เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. virojch

    virojch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2007
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +264
    ขอคุณพี่นักเขียนครับผมพอเข้าใจแล้วครับ ในโลกแห่งความจริงหรือโลกทางกายภาพมนุษย์มักจะยึดติดอยู่กับระบบประสาทสัมผัสทั้งหลาย นั่นก็คือ "อัตตา" และสิ่งที่ท่าน อ.อนาลัยสอนนั้น เราต้องพยายามละกรอบที่เป็นอัตตา ของเราก่อนถูกไหมครับ จึงจะเข้าใจได้ถ่องแท้ได้ ส่วนความรู้สึกนึกคิดลุ่มลึกเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดที่มีความเข้มข้น ลึกซึ้งทำนองนี้ ใช่ไหมครับ พี่นักเขียนอย่าเพิ่งรำคาญผมนะครับ คือผมอ่านหนังสือไปก็เกิดคำถามมาเรื่อยๆครับ คืออยากทราบว่า ความคิด ความเชื่อ ของเราสร้างอิทธิพลต่อเหตุการณ์ วัตถุสิ่งของ และจะรวมถึงตัวของบุคคลอื่นด้วยไหมครับ เช่น การสาปแช่ง การแผ่เมตตา
    ขอถามพี่นักเขียนอีกอย่างครับในหนังสืออิสระแห่งความปรารถนา หน้า ๑๔๙ ไม่เข้าใจครับ" ผู้มีโอกาสสูงกว่า มักกลัวธรรมชาติของตัวตนภายใน และตระหนักถึงพลังอำนาจที่พวกเขาพยายามจะเก็บกด " ขอบคุณครับ
     
  2. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    เมื่อคืนอ่านเรื่อง จิตวิญญาณประสานกาย ทดลองทำตามที่หนังสือบอกไว้ (สะกดจิตธรรมชาติ) แล้วฝันเห็นตัวเองอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายเรา(เป็นครั้งที่สาม) ตัวตนที่เห๊นนั้น ดูมีสุขภาพดี มีชีวิตชีวามาก เห๊นแล้วรู้สึกว่าตัวเราก้เป็นแบบนั้นได้ ดีใจมาก (ความรู้สึกแบบนี้มีทั้งสามครั้งเลย)

    ต่อมาฝึนอีกว่า การเรียนรู้ในร่างกายภาพ มีเรื่องต่างๆหรือตัวตนต่างมากมาย ในฝันเห็นเปน จอทีวีขนาดใหญ่เรียงต่อกันเปนตึกสูงมาก เรื่องไหนเรียนแล้วยังไม่ได้ความรู้ มันจะต่อสูงขึ้นไปอีกจนกว่าจะได้ความรู้ที่ซ่อนอยู่ ข้างตึกนันมีอ่างน้ำ คนในฝันบอกว่า น้ำในอ่างนี้เติมเท่าไร ก้ไม่เติมถ้าไม่มีสติ
     
  3. pal

    pal เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +856
    การจะเข้าถึงเรื่องบางสิ่งบางอย่าง ไม่จำเป็นต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า สัมผัสด้วยประสาทสัมผัสที่หก เรียนรู้ด้วยประสาทสัมผัสที่หก และจิตวิญญาณ ใช่ไหมคะ จะไปอ่านหนังสือของพี่คืนนี้ที่ทำงานค่ะ เพราะว่าเดี๋ยวจะไปทำงานแล้ว ขอให้คืนนี้งานไม่ยุ่งนะ จะได้อ่านได้ จะเริ่มอ่านใหม่ด้วยประสาทสัมผัสที่หก ค่ะ ขอบคุณพี่นักเขียนคะ
     
  4. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ส่งใจมาให้จาก Keller, Texas

    ก่อนอื่นพี่นักเขียนขอให้คุณน้องขจรวรรณทำความเข้าใจในแนวของท่านอาจารย์อนาลัยสึกนิดหนึ่งนะคะ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าหลักการหรือความเป็นจริงของท่านแตกต่างไปจากความเป็นจริงที่คุณน้องศึกษามา พี่นักเขียนเข้าใจว่า สัจจธรรมมีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ในประสบการณ์ประจำวันที่เราพบเห็นจากธรรมชาติ คือแม้แต่มดและแมลงอื่นๆก็เป็นครูบาอาจารย์ให้เราได้ไม่น้อยไปกว่ามนุษย์และครูบาอาจารย์เบื้องบน ความแตกต่างของข้อมูลความรู้ที่เราได้รับมักแตกต่างกันที่คำนิยามที่ใช้เท่านั้น

    ที่คุณน้องอธิบายว่า เมื่อฝึกฝนไปถึงจุดหนึ่งแล้ว สมาธิสูงกว่าสติ พี่นักเขียนขออธิบายตามท่านอาจารย์อนาลัยนะคะ ลองคิดตามในทิศทางนี้ดู
    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า สติสัมปชัญญะตือ การจดจ่ออันคมชัดของจิตวิญญาณ โดยธรรมชาติแล้วมันเป็นหนึ่งเดียวแยกส่วนไม่ได้ และทำงานพร้อมกันหมด แต่ท่านแยกสติสัมปชัญญะออกเป็นสามส่วนให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่า เรามี
    1.สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับตัวตนภายใน ในโลกภายใน อันเป็นสติสัมปชัญญะของตัวตนที่เป็นจินตภาพ เรารู้เห็นการทำงานของสติสัมปชัญญะส่วนนี้ได้ในความฝันอันคมชัดและในสมาธิ
    2.สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับร่างกายหรือรูปกาย อันเป็นสติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับร่างกายในระดับเซลล์ ทำให้ร่างกายดำเนินชีวิตและหน้าที่ที่เราแม้ว่าเราไม่ได้เข้าไปควบคุมในระดับจิตสำนึก แต่มันก็ทำหน้าที่ได้โดยอัตโนมัติ เช่น หายใจ เดิน ยืน นั่ง นอน ได้โดยเราไม่ต้องมีสติรู้เห็นการสูดลมหายใจ หรือการบังคับควบคุมกล้ามเนื้อ มันเป็นไปโดยปราศจากการคิดว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะเป็นไปได้ เสมือนว่ามีคนหายใจให้ จะเดินก็แค่คิดไม่ได้ต้องวางแผนว่าจะใช้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นอย่างไรจึงจะ ยืน เดิน นั่ง นอนได้ เป็นต้น
    3.สติสัมปชัญญะส่วนที่จะจ่อกับตัวตนภายนอก อันเป็นสติสัมปชัญญะของตัวตนที่เรารู้จักว่าคือเรา เป็นของเรา

    เมื่อเราฝึกสมาธิ เป้าหมายของการให้รู้แจ้ง คือการทำให้เรารู้เห็นสติสัมปชัญญะและการทำงานของมันอย่างครบส่วน การฝึกยืน เดิน นั่ง นอน ทุกอิริยาบทก็เพื่อให้เราสามารถติดตามรู้เห็นสติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับรูปกายได้ด้วยสติสัมปชัญญะส่วนที่เคยจดจ่อแต่กับเพียงตัวตนภายนอก

    การฝึกฝันในทิศทางของท่านอาจารย์อนาลัยที่พี่นักเขียนมานำเสนอก็ดี หรือการฝึกสมาธิที่ทำให้พบกระแสแห่งความรู้สึกนึกคิดอีกกระแสหนึ่งที่แตกต่างไปจากสติสัมปชัญญะตามปกติที่รับรู้สิ่งต่างๆผ่านประสาทสัมผัสภายนอก ก็เป็นการฝึกฝนที่ทำให้เรารู้เห็นสติสัมปชัญญะและการทำงานของส่วนที่จดจ่อกับตัวตนภายในอันเป็นจินตภาพ

    การฝึกฝนทั้งหมดที่ทำให้รู้แจ้งคือ การทำให้สติสัมปชัญญะที่เคยทำงานแยกส่วน ไม่รู้ไม่เห็นกัน รวมกันเป็นหนึ่งเดียว และรู้เห็นอย่างคมชัดได้ไม่น้อยไปกว่ากัน ซึ่งจะยังผลให้เราตระหนักได้ว่า อารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเรา ส่งผลกระทบต่อร่างกายหรือรูปกายของเรา ต่อภาวะอันเป็นกายภาพและจินตภาพของเราอย่างแยกจากกันไม่ได้

    ยามตื่น อารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเรา เป็นไปตามความเชื่อส่วนบุคคล หากเราเชื่อว่า เราจะป่วยเมื่อได้รับการรุกรานของเชื้อโรค เมื่อเราไปอยู่ในสถานที่ต่างๆที่ทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัย เราก็รับเอาเชื้อโรคและความป่วยไข้มาด้วยความเชื่อว่าจะป่วย อารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดจึงเป็นปัจจัยก่อเกิดโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพตามความเชื่อส่วนบุคคล

    ยามฝัน หรือยามที่จิดเป็นสมาธิ อารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกติดของเรา ยังคงเป็นไปตามความเชื่อ หากความบิดเบือนที่เกิดจากการรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้ายามตื่น ที่เคยรู้แต่เพียงภาวะทางกายภาพขาดหายไป ทำให้การรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสภายในหรือประสาทสัมผัสที่หกทำงานได้โดยปราศจากการขัดขวาง ทำให้เรารู้เห็นภาวะทางจินตภาพอันเป็นต้นกำเนิดของภาวะทางกายภาพได้ชัดเจนขึ้น

    ดังนั้น เมื่อเราอยู่ในความฝันก็ดี ภวังค์สมาธิก็ดี เรานำความเชื่อที่ไม่ถูกต้องติดตามเข้าไปรู้เห็นและเผชิญกับประสบการณ์ต่างๆภายใน ไม่มากก็น้อย เมื่อเราคิดว่า สติสัมปชัญญะของเรามีการแบ่งแยก แยกส่วน มันก็ทำให้เราเข้าใจอย่างบิดเบือนตามไปด้วยโดยไม่รู่ตัวว่า จิตวิญญาณของเราแยกส่วน เมื่อทำสมาธิ จิตวิญญาณส่วนหนึ่งกลายเป็นมีพลัง อีกส่วนหนึ่งด้อยพลัง และก่อให้เกิดความขัดแย้ง

    อาการที่คุณน้องรู้สึกเสมือนว่าถูกเหวี่ยงออกไป และรู้เห็นภาวะนั้นๆ และรับเอาความเจ็บเสมือนถูกกระแทกข้างฝา เกิดจากความเชื่อในการแบ่งแยกของสติสัมปชัญญะหรือการแบ่งแยกของจิตวิญญาณ ซึ่งตามธรรมชาติแล้วในภาวะดังกล่าวนี้ ตัวตนของเราเป็นตัวตนภายในอันเป็นจินตภาพที่พุ่งออกไปพร้อมกับการจดจ่อส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณ ไม่ใช่พุ่งออกไปพร้อมกับตัวตนโปร่งแสงอย่างเป็นกลุ่มก้อนอีกตัวหนึ่งหรือจิตวิญญาณทั้งดวง นอกจากนี้เมื่อเราคิดถึงตัวตนภายในด้วยความคิดความเชื่อของตัวตนภายนอก เราก็ยังคงยึดติดกับภาวะทางกายภาพซึ่งไม่ได้มีอยู่อีกแล้ว เราจึงเผชิญกับการกระแทก การชนกับข้างฝา การเจ็บกาย

    ภาวะดังกล่าวนี้ เป็นไปหรือเกิดขึ้นในจิต เกิดขึ้นกับตัวตนภายในอันเป็นจินตภาพ ซึ่งมีความเป็นจริงไม่น้อยไปกว่าความเป็นไปที่เกิดขึ้นกับตัวตนทางกายภาพหรือตัวตนภายนอกในโลกแห่งความเป็นจริงยามตื่น ซึ่งท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า มันเป็นต้นกำเนิดของรูปกายและภาวะภายนอกหรือตัวตนภายนอก

    ความเชื่อของเราทำให้เราเผชิญกับประสบการณ์อันเป็นภาวะจิตด้วยการนำเอาอารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของตัวตนภายนอกไปเป็นมาตรวัด รู้เห็นและเผชิญกับประสบการณ์ในโลกภายใน มันจึงทำให้เราชนฝา ซึ่งไม่มีอยู่จริง เจ็บกายซึ่งไม่มีอยู่เป็นกายภาพเช่นกัน

    เมื่อพี่นักเขียนแนะนำให้คุณน้องตั้งสติก่อนนอน และยังผลให้ไม่เผชิญกับประสบการณ์ดังกล่าวนี้อีก มันเป็นเพราะเหตุว่า การตั้งจิตก่อนนอน ทำให้ความเป็นหนึ่งเดียวของสติสัมปชัญญะสามส่วนเกิดขึ้น การแบ่งแยกตัวตนก็หายไป เมื่อมีสติสัมปชัญญะที่ทำงานเป็นหนึ่งเดียว มันก็ติดตามรู้เห็นประสบการณ์จากโลกภายนอกอันเป็นกายภาพยามตื่น เข้าไปสู่โลกแห่งจินตภาพภายใน ในสมาธิหรือความฝัน การแปลงรูปกายหรือการจดจ่อกับรูปกายก็เปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติอยู่แล้ว คือเปลี่ยนไปตามวิถีการรจดจ่อของจิตวิญญาณ รูปกายในความฝันหรือสมาธิซึ่งเป็นจินตภาพจึงดำเนินไปได้อย่างราบรื่นโดยไม่เอาขีดจำกัดของรูปกายยามตื่นอันเป็นจินตภาพติดอารมณ์ไปด้วย

    ครูบาอาจารย์ที่แท้จริงไม่เคยทอดทิ้งหรือจากพวกเราไปไหน ทั้งยามตื่น ยามหลับ ยามฝัน ยามตายและยามที่เราเลือกไปถือกำเนิด ท่านสถิตย์อยู่กับเราตลอดวันเวลา โดยปราศจากร่างกายตัวตน หากเราตระหนักได้ในความเป็นจินตภาพของท่าน อันได้แก่การสถิตย์อยู่ในภาวะที่เป็น ความรู้ ซึ่งคือแก่นแท้ของจิตวิญญาณ เราจะพบว่า ท่านยังคงอยู่กับเราเสมอและขยายตัวไปกับการพัฒนาของจิตวิญญาณ หรือการพัฒนาด้วยการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ของเรา กล่าวได้ว่า ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณของเราอันมีแก่นแท้เป็นความรู้ที่ปราศจากหน่วยนับ ปราศจากปริมาตรหรือปริมาณ แต่พร้อมเสมอที่จะขยายตัวและแตกแขนง

    ไม่มีครูบาอาจารย์ใดๆที่ทอดทิ้งลูกศิษย์เพียงแค่การตายของร่างกายเนื้อหนัง เช่นเดียวกันกับที่พ่อแม่ที่รักลูกโดยปราศจากเงื่อนไข ย่อมไม่มีวันทอดทิ้งลูก เพียงเพราะการจากกันหรือถูกแยกจากกันด้วยเพียงช่องว่าง ระยะทางและกาลเวลา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2007
  5. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ไม่ตาย ไม่สูญสลาย ****

    กาย สังขารเสื่อมสลาย...
    แต่ "ตัวกระทำ" คงอยูตลอดไป

    ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน
    นี่คือ......." หลักสัจจะธรรม "

    - "หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  6. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ของฝากจาก Texas

    คุณ เม้าได้สัมผัสกับความเป็นจริงที่พวกเราทั้งหลายจะได้สัมผัสกับเสมอๆอย่างเป็นธรรมชาติต่อไป หากเราศึกษาหาความรู้ร่วมกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสนับสนุนเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างจริงใจ เราจะพบว่า เราทั้งหลายคือครูบาอาจารย์ของกันและกันค่ะ

    พี่นักเขียนได้ถ่ายรูปขนมไว้เยอะแยะว่าจะเอามาฝากคุณหนูทั้งหลายของคุณเม้า ยิ่งคนที่ได้ตาที่สามนั่นแหละ กลับบ้านแล้วมีอุปกรณ์ส่งขนม จะส่งไปให้หลายๆถาดเป็นกำลังใจในการพัฒนาก้าวไกล
     
  7. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    ปกติคนเราประสาทสัมผัสที่หกมักจะรับรู้ยามเราหลับใช่ไหมค่ะ แล้วถ้าประสาทสัมผัสที่หกรับรู้ยามตื่นควบคู่ไปพร้อมๆกับประสาทสัมผัสทั้งห้านั่นเป็นไปได้ไหม
    ถ้าอย่างเช่น คนที่มองเห็นวิญญาณอีกมิติหรือสัมผัสรู้สึกได้ โดยที่ยังอยู่กับกายภาพ อยู่กับตัวตนยามตื่น แบบนี้เรียกว่าประสาทสัมผัสที่หกรับรู้ยามตื่นหรือเปล่า
    แล้วอย่างคนที่ป่วยเป็นโรคเจ้าหญิงนิทราเจ้าชายนิทรา คือประสาทสัมผัสทั้งห้าเค้าไม่รับรู้ในขณะที่ประสาทสัมผัสที่หกรับรู้หรือเปล่าคะ

    นั่งคิดๆขึ้นมาสงสัยอยากรู้ขึ้นมาเลยอยากถามพี่นักเขียนค่ะ
     
  8. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ดีใจค่ะที่พอจะช่วยคลี่คลายความสงสัยให้ได้บ้างไม่มากก็น้อย การซักถามของพวกเรา คือการเรียนรู้ของพี่นักเขียนด้วยเช่นกันค่ะ เพราะฉะนั้นก็ต้องขอบคุณที่ช่างซัก

    ที่ว่า อยากทราบว่า ความคิด ความเชื่อ ของเราสร้างอิทธิพลต่อเหตุการณ์ วัตถุสิ่งของ และจะรวมถึงตัวของบุคคลอื่นด้วยไหมครับ เช่น การสาปแช่ง การแผ่เมตตา

    ข้อนี้ อธิบายตามคำสอนของท่านอาจารย์อนาลัยได้ว่า เราสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของเราด้วยความเชื่อของเราเอง ซึ่งรวมถึงเหตุการณ์ทั้งหมดในชีวิต วัตถุสิ่งของตลอดจนร่างกายของเราและบุคคลตัวตนทั้งหลายในโลกของเราด้วย แม้คนที่รักและเมตตาเรา หรือสาปแช่งเรา ก็เรียกได้ว่า เราสร้างสถานการณ์และสร้างบุคคลเหล่านั้นขึ้นมาในชีวิต ในละครของชาติภพของเรา เพื่อเป็นปัจจัยในการท้าทายและทำให้เราต้องขวนขวายที่จะเรียนรู้เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณต่อไปด้วยการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ เปลี่ยนความเชื่อที่ว่า เขาสาปแช่งเรา เป็นความรู้ที่ว่า เขาปรารถนาสิ่งดีๆให้เกิดในชีวิตของเขา แต่เมื่อเขาคาดหวังว่าเราจะเป็นผู้ให้การช่วยเหลือเขา แต่เรากลับไม่ช่วย แม้ว่าเขาจะมองเห็นว่าเราช่วยเขาได้ เราเองเป็นผู้ที่เชื่อว่าเขาสาปแช่งเรา เมื่อเราอยู่ในสถานภาพที่มีโอกาสสูงกว่า หรือมีความสามารถสูงกว่า และเผชิญกับผู้ที่มีโอกาสด้อยกว่า ความสามารถน้อยกว่า ความเชื่อของเราเป็นไปได้สองทาง คือ เขาอวยพรเราและชื่นชมเราทางหนึ่ง หรือ เขาอิจฉาเราและสาปแช่งเราอีกทางหนึ่ง ทางใดล่ะคือความเป็นจริงและทางใดคือความเชื่อ

    ความรู้ทำให้เราเผชิญกับการให้และความรักอันปราศจากเงื่อนไข และสัมผัสรู้ได้ด้วยอารมณ์ และความรู้สึกนึกคิดที่เป็นไปในทางบวกเสมอ ส่วนความเชื่อมักทำให้เรารู้สึกหมดพลังอำนาจ หวาดกลัว แตกแยกและเผชิญกับความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบ เพราะไม่มีจิตวิญญาณใดๆขัดขวางพัฒนาการของจิตวิญญาณอื่นๆ จิตวิญญาณทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียวกัน พร้อมด้วยความรู้ความสามารถอันเสมอเหมือนต้นกำเนิด

    ขอถามพี่นักเขียนอีกอย่างครับในหนังสืออิสระแห่งความปรารถนา หน้า ๑๔๙ ไม่เข้าใจครับ" ผู้มีโอกาสสูงกว่า มักกลัวธรรมชาติของตัวตนภายใน และตระหนักถึงพลังอำนาจที่พวกเขาพยายามจะเก็บกด "

    ตอบคำถามนี้ต่อจากคำตอบแรกนะคะว่า แต่พวกเราไม่ได้มีความรู้เสมอเหมือนกันในส่วนที่ว่า เราจะเอาความรู้ความสามารถที่เสมอเหมือนกับต้นกำเนิดของเรามาใช้ได้อย่างไร เราถูกปิดกั้นด้วยความเชื่อส่วนบุคคลซึ่งไม่เหมือนและไม่เท่ากัน กล่าวได้ว่ามีความเชื่อที่บิดเบือนมากเท่าไร ก็นำความรู้ความสามารถมาใช้ได้น้อยเท่านั้น ต่อเมื่อเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ได้มากเท่าไรก็นำความรู้ความสามารถจากต้นกำเนิดมาใช้ได้มากเท่านั้น

    คนที่มีโอกาสสูงกว่าจึงหมายถึงผู้ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ได้มาก แต่กลัวที่จะเปลี่ยน เพราะจิตวิญญาณรู้ดีว่า หากเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ได้มากเท่าไร จิตวิญญาณก็จะทำให้เรามีได้ เป็นได้ ทำได้มากเท่านั้น มันอาจฟังดูประหลาด แต่ลองคิดตามตัวอย่างง่ายๆนี้นะคะว่า เรามักคิดว่า ใครๆก็อยากเก่ง อยากรวย อยากมีสุขภาพดีด้วยกันทุกคน

    แต่ตามความเป็นจริงแล้ว มีคนจำนวนไม่น้อยที่กลัวว่า เก่งแล้วจะขาดคนอวยพรและถูกอิจฉาริษยา รวยแล้วจะขาดเพื่อน มีสุขภาพดีแล้วจะขาดคนเห็นใจ

    ความเชื่อเหล่านี้ทำให้ผู้ที่มีโอกาสที่จะเป็นไปได้สูง ปิดกั้นตนเองจากความเป็นไปได้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นการเกิบกดพลังอำนาจตามธรรมชาติของตัวตนภายใน ที่รู้ดีว่า จิตวิญญาณสามารถจะมีได้ ทำได้ เป็นได้ ด้วยพลังอำนาจที่เสมอเหมือนกับต้นกำเนิด
     
  9. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    การเข้าถึงโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ เข้าถึง รู้เห็น รับและเรียนรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสที่หกค่ะ ไม่ใช่ว่าไม่จำเป็นต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า หากแต่ว่า ประสาทสัมผัสทั้งห้ารู้เห็นไม่ได้ในโลกแห่งความเป็นจริงอันปราศจากภาวะที่เป็นกายภาพ และเราจะรู้เห็น หรือเรียนรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสที่หก หรือรู้เห็นได้ด้วยจิตวิญญาณ ซึ่งก็คืออารมณ์และความรู้สึกนึกคิดเท่านั้นค่ะ ไม่มีทางอื่น

    ด้วยเหตุนี้ ท่านอาจารย์อนาลัยจึงปรารถนที่จะถ่ายทอดข้อมูลความรู้ให้พวกเรารู้จักใช้ประสาทสัมผัสที่หกได้อย่างเป็นธรรมชาติ ตามที่มันควรจะเป็นค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2007
  10. แก้วทิพย์

    แก้วทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +2,435
    สมัยเด็กๆ ที่บ้านมีหนังสือแปลชุดของสุคนนธรส อาทิ บ้านเล็กในทุ่งกว้าง บ้านเล็กในป่าใหญ่ ฤดูหนาวอันยาวนาน ริมทะเลสาบสีน้ำเงิน.... จำได้ว่าพออ่านหนังสือเป็น จะติดอ่านหนังสือพวกนี้มากจนจบทุกเล่ม เวลาอ่านมีจินตภาพสัมผัสเห็นค่อนข้างชัดเจนของชีวิตตัวละครของชาวนาอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นลอรา แมรี่ แอลแมนโซ หรือตัวละครอื่นๆ หรือสภาพภูมิศาสตร์แต่ละฤดูกาลที่เขาเผชิญ ทั้งๆที่ไม่เคยไปอเมริกาหรือแม้แต่คลุกคลีกับเด็กฝรั่งเลยตอนเป็นเด็ก จริงๆแล้วก็เป็นเรื่องชีวิตจริงที่ถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือ ไม่ใช่นิยายแต่งขึ้นมาอย่างสนุกสนานเหมือนอ่านการ์ตูน แต่ก็อ่านอย่างใจจดจ่อ คิดว่าให้มาอ่านตอนนี้คงไม่ได้อรรถรสเหมือนตอนเป็นเด็กอีกแล้ว อยากเรียนถามพี่นักเขียนว่า มโนภาพที่ปรากฏในใจเป็นเพราะความสามารถในการบรรยายของผู้ประพันธ์อย่างเดียว หรือมีความนึกคิดอารมณ์คล้อยตามของเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย (ตามอารมณ์ของเด็กๆ เพราะเนื้อหาเริ่มตั้งแต่ตัวละครเป็นเด็ก ซึ่งก็คงจะเป็นวัยเด็กเหมือนกับวัยผู้อ่าน)
     
  11. kaewta77

    kaewta77 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +627
    ผมมีความรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของคุณพี่นักเขียนมากๆเลย ในการที่จะพยายามพิมพ์ประโยคยาวๆเพื่ออธิบายในคำสอนของท่านอาจารย์โนวา อนาลัยให้พวกเราได้เข้าใจให้ได้มากที่สุด
    ผมซาบซึ้งมากเลยครับ
    และขอโมทนาด้วยนะครับ
     
  12. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    วันสุดท้ายใน Keller Texas ก่อนไป Cancun, Mexico

    พี่นักเขียนขออธิบายย้อนนิดหนึ่งก่อนจะตอบน้องนกนะคะว่า ธรรมชาติการรับรู้ของจิตวิญญาณแปลงสภาพเป็นสองส่วนด้วยกันคือ
    1.แปลงสภาพเป็น รูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัส และทำให้เรารู้เห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า
    2.แปลงสภาพเป็นอารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด และทำให้เรารู้เห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสที่หก

    เรามักจะยึดติดกับความเชื่อที่ว่า รับทั้งหลายรับรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นจากภายนอก เกิดขึ้นแปลกแยกไปจากตัวตนของเรา ไม่เกี่ยวกับเรา

    ท่านอาจารย์อนาลัยอธิบายว่า เราทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงที่เราเผชิญอยู่ทั้งยามตื่น ยามหลับและยามฝัน ด้วยความอารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเราซึ่งเป็นไปตามความเชื่อส่วนบุคคล มันออกจะเป็นการยากที่เราจะมีสติระลึกรู้ หรือตระหนักในธรรมชาติความเป็นจริงข้อนี้ได้จริงๆ แม้เราจะรับเอาข้อมูลความรู้จากท่านอาจารย์อนาลัย ยอมรับว่าเป็นความจริง แต่เราก็เผลอและลืมไปบ่อยๆว่า จิตวิญญาณของเรามีพลังอำนาจตามธรรมชาติที่สามารถสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายทางกายภาพที่เรากำลังรู้เห็นและสัมผัสได้นี้ จากอารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า เรารู้เห็นสิ่งต่างๆที่เราสร้างขึ้นเองเป็นภาวะทางกายภาพ ผ่านประสาทสัมผัสทางกายภาพ และเราก็รู้เห็นสิ่งต่างๆที่เราสร้างขึ้นเองเป็นภาวะทางจินตภาพ ผ่านประสาทสัมผัสที่หกหรืออารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเรา

    ไม่ว่าเราจะตื่น หลับ หรือฝัน ประสาทสัมผัสที่หก็ทำงานอยู่ตลอดเวลาค่ะ หากแต่ว่ายามตื่นเรามักใช้แต่ประสาทสัมผัสทั้งห้าเสียจนเคยชิน และเราก็ไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่เรารู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสที่หก แม้จะรับได้รู้เห็นได้แต่บ่อยครั้งเราก็ไม่ได้แยแสหรือใส่ใจข้อมูลเหล่านั้น และคิดว่ามันไม่จริง มันไม่สำคัญ เพราะเราไม่ได้รู้เห็นผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า เช่น เมื่อเราได้ยินได้ฟังใครสักคนพูดคุยให้เราฟัง บางครั้งสิ่งที่เราได้ยินขัดกันกับความรู้สึก เราแทบจะไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นเป็นความเป็นจริง และเมื่อเหตุการณ์ผ่านไป เราไปรู้ทีหลังว่า สิ่งที่เขาพูดไม่ตรงกับความเป็นจริง แต่ความรู้สึกหรืออารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเราที่ผุดขึ้นมาตอนนั้นกลับถูกต้อง

    หากเรามีสติสัมปชัญญะที่จะจับอารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของตนเองที่ผุดขึ้นมา และขัดแย้งกับสิ่งที่เรารู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า เราจะพบว่า มันมักเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ที่เราเรียกกันว่า มีลางสังหรณ์แม่นยำ

    สรุปคือ ประสาทสัมผัสที่หก ทำงานควบคู่ไปกับประสาทสัมผัสทั้งห้าเสมอในยามตื่น หากแต่ว่าประสาทสัมผัสทั้งห้ามักบิดเบือนการรู้เห็นได้ด้วยความเชื่อส่วนบุคคล ส่วนประสาทสัมผัสที่หกมักรู้เห็นอย่างตรงไปตรงมา จากจิตวิญญาณสู่จิตวิญญาณโดยตรง

    ยามหลับเรารับรู้ด้วยประสาทสัมผัสที่หกแต่เพียงอย่างเดียว เพราะประสาทสัมผัสทั้งห้าปิดลง แต่เราอาจตีความหมายข้อมูลความรู้ที่รับมาได้โดยปราศจากการบิดเบือนนั้นผิดเพี้ยนคลาดเคลื่อนไป หากเราไม่รู้จักถอดรหัสข้อมูลที่มักปรากฏเป็นสัญญลักษณ์ในความฝัน และนำเอามาตรฐานการรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้ายามตื่นมาเป็นตัวตัดสินความหมายต่างๆ

    คนที่นอนหลับเป็นเจ้าหญิงนิทรา ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาหยุดทำงาน และประสาทสัมผัสที่หกของเขาก็ทำงานต่อไปอย่างเป็นธรรมชาติ มีผู้ป่วยหลายรายที่ตกอยู่ในภาวะ โคม่า อยู่ในห้องผ่าตัด หรือหมดสติไปหลายวัน แต่กลับรู้เห็นเหตุการณ์ที่เป็นไปกับคนรัก ครอบครัวที่มาเยี่ยมเยียนเขาที่โรงพยาบาล หรือรู้เห็นเหตุการณ์ที่เป็นไปที่บ้าน หรือข้ามเมือง ข้ามประเทศ

    แพทย์ที่ทำการค้นคว้าและจดบันทึกประสบการณ์เหล่านี้ไว้มากมายได้แก่ Dr. Raymond Moody ซึ่งได้เขียนหนังสือไว้หลายเล่ม เช่น Life After Death, Beyond the Lights และ Dr. Elizabeth Kruber Ross ผู้เขียนหนังสือไว้มากมายเช่น The Wheel of Life, On Death and Dying ฯลฯ พี่นักเขียนกำลังเดินทางอยู่เลยไม่มีหนังสือใกล้มือ อาจบอกชื่อเพี้ยนไปบ้าง ยังมีอีกหลายเล่มค่ะ ใครเคยอ่านหนังสือชุดนี้ ช่วยกันค้น references แทนพี่นักเขียนหน่อยนะคะ แพทย์สองคนนี้นับว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์สองคนแรกที่ยอมรับธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณ ความเป็นอมตะและการเป็นบุคลิกภาพที่ปราศจากร่างกายตัวตน พร้อมด้วยประสาทสัมผัสที่หกอย่างเต็มตัว

    พี่นักเขียนกำลังเตรียมตัวจะไป Cancun, Mexico คืนนี้ ยังไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาสเขียนถึงพวกเราบ้างไหมช่วงที่อยู่ที่นั่น เพราะมีโปรแกรมเต็มเหยียด แต่สัญญาว่าจะคิดถึงทุกคน จะหอบทะเลและปิรามิดมาฝาก หวังว่าห้องวิทย์ฯจะไม่หายวับไปผุดที่มิติอื่นเมื่อพี่นักเขียนกลับมานะคะ

    หากพี่นักเขียนยังไม่ได้ให้คำอธิบายขยายความกับพวกเราบางคน ไม่ว่ากันนะคะ จะพยายามตามเก็บให้ครบเมื่อกลับมา ใครยังไม่ได้คำอธิบาย ต้องขอโทษด้วยนะคะและรบกวนช่วยทวงด้วย เพราะไม่มีเจตนาจะข้ามไม่อธิบายหรือให้ข้อมูลเพิ่มเท่าที่จะทำได้

    ใครมีคำอธิบายช่วงนี้ช่วยเหลือกันนะคะ พี่นักเขียนจะอุ่นใจมากๆ เมื่อเห็นพวกเราเรียนด้วยกัน ช่วยเหลือกัน สัญญาว่ากลับมาจะเอาทะเลกับปิรามิดมาฝาก
     
  13. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    หนังสือทุกเล่มที่คุณน้องแก้วทิพย์กล่าวถึง เป็นหนังสือสุดยอดในดวงใจของพี่นักเขียนในวัยเด็ก อ่านทุกเล่มและจินตนาการตาม และชีวิตของพี่นักเขียนก็ได้เดินทางไปตามรัฐต่างๆที่ ลอร่า อิงเกิล เคยเล่าไว้ และที่สำคัญที่สุดคือ พี่นักเขียนอ่านแล้วกลัวทอร์นาโดเป็นที่สุด และในที่สุดก็มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ซึ่งมีทอร์นาโดเป็นประจำ

    อารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเราสร้างโลกและประสบการณ์ชีวิตของเราค่ะ ตัวหนังสือเป็นพียงสัญญลักษณ์เท่านั้น แต่การถ่ายทอดข้อมูลความรู้ที่แท้จริงจากนักเขียนไปสู่ผู้อ่าน เป็นการถ่ายทอดจากจิตวิญญาณไปสู่จิตวิญญาณอีกส่วนหนึ่ง นอกเหนือไปจากตัวอักษรค่ะ
     
  14. มโนกรรม

    มโนกรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +877
    ผมคนหนึ่งที่ซาบซึ้งในน้ำใจของพี่นักเขียนมาก ที่สละเวลา(ในโลกทางกายภาพ) มาถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ รวมทั้งไขข้อข้องใจต่างๆให้กับพวกเรา ทุกครั้งที่อ่านข้อความของพี่นักเขียนผมมีความรู้สึกว่าผมสามารถรับรู้ได้ถึงอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดอันบริสุทธิ์ของพี่นักเขียนที่ถ่ายถอดออกมา อ่านแล้วอบอุ่น สบายใจจริงๆครับ และผมคิดว่าหลายๆท่านคงจะรู้สึกเช่นเดียวกัน

    พวกเราจะคอยครับ ขอให้พี่นักเขียนเดินทางโดยสวัสดิภาพ และจะรอของฝาก(ทะเลกับปิรามิด) จากพี่ด้วยครับ
     
  15. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    วันสุดท้ายใน Keller Texas ก่อนไป Cancun, Mexico

    พี่นักเขียนขออธิบายย้อนนิดหนึ่งก่อนจะตอบน้องนกนะคะว่า ธรรมชาติการรับรู้ของจิตวิญญาณแปลงสภาพเป็นสองส่วนด้วยกันคือ
    1.แปลงสภาพเป็น รูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัส และทำให้เรารู้เห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า
    2.แปลงสภาพเป็นอารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด และทำให้เรารู้เห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสที่หก

    เรามักจะยึดติดกับความเชื่อที่ว่า รับทั้งหลายรับรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นจากภายนอก เกิดขึ้นแปลกแยกไปจากตัวตนของเรา ไม่เกี่ยวกับเรา

    ท่านอาจารย์อนาลัยอธิบายว่า เราทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงที่เราเผชิญอยู่ทั้งยามตื่น ยามหลับและยามฝัน ด้วยความอารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเราซึ่งเป็นไปตามความเชื่อส่วนบุคคล มันออกจะเป็นการยากที่เราจะมีสติระลึกรู้ หรือตระหนักในธรรมชาติความเป็นจริงข้อนี้ได้จริงๆ แม้เราจะรับเอาข้อมูลความรู้จากท่านอาจารย์อนาลัย ยอมรับว่าเป็นความจริง แต่เราก็เผลอและลืมไปบ่อยๆว่า จิตวิญญาณของเรามีพลังอำนาจตามธรรมชาติที่สามารถสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายทางกายภาพที่เรากำลังรู้เห็นและสัมผัสได้นี้ จากอารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า เรารู้เห็นสิ่งต่างๆที่เราสร้างขึ้นเองเป็นภาวะทางกายภาพ ผ่านประสาทสัมผัสทางกายภาพ และเราก็รู้เห็นสิ่งต่างๆที่เราสร้างขึ้นเองเป็นภาวะทางจินตภาพ ผ่านประสาทสัมผัสที่หกหรืออารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเรา

    ไม่ว่าเราจะตื่น หลับ หรือฝัน ประสาทสัมผัสที่หก็ทำงานอยู่ตลอดเวลาค่ะ หากแต่ว่ายามตื่นเรามักใช้แต่ประสาทสัมผัสทั้งห้าเสียจนเคยชิน และเราก็ไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่เรารู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสที่หก แม้จะรับได้รู้เห็นได้แต่บ่อยครั้งเราก็ไม่ได้แยแสหรือใส่ใจข้อมูลเหล่านั้น และคิดว่ามันไม่จริง มันไม่สำคัญ เพราะเราไม่ได้รู้เห็นผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า เช่น เมื่อเราได้ยินได้ฟังใครสักคนพูดคุยให้เราฟัง บางครั้งสิ่งที่เราได้ยินขัดกันกับความรู้สึก เราแทบจะไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นเป็นความเป็นจริง และเมื่อเหตุการณ์ผ่านไป เราไปรู้ทีหลังว่า สิ่งที่เขาพูดไม่ตรงกับความเป็นจริง แต่ความรู้สึกหรืออารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเราที่ผุดขึ้นมาตอนนั้นกลับถูกต้อง

    หากเรามีสติสัมปชัญญะที่จะจับอารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของตนเองที่ผุดขึ้นมา และขัดแย้งกับสิ่งที่เรารู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า เราจะพบว่า มันมักเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ที่เราเรียกกันว่า มีลางสังหรณ์แม่นยำ

    สรุปคือ ประสาทสัมผัสที่หก ทำงานควบคู่ไปกับประสาทสัมผัสทั้งห้าเสมอในยามตื่น หากแต่ว่าประสาทสัมผัสทั้งห้ามักบิดเบือนการรู้เห็นได้ด้วยความเชื่อส่วนบุคคล ส่วนประสาทสัมผัสที่หกมักรู้เห็นอย่างตรงไปตรงมา จากจิตวิญญาณสู่จิตวิญญาณโดยตรง

    ยามหลับเรารับรู้ด้วยประสาทสัมผัสที่หกแต่เพียงอย่างเดียว เพราะประสาทสัมผัสทั้งห้าปิดลง แต่เราอาจตีความหมายข้อมูลความรู้ที่รับมาได้โดยปราศจากการบิดเบือนนั้นผิดเพี้ยนคลาดเคลื่อนไป หากเราไม่รู้จักถอดรหัสข้อมูลที่มักปรากฏเป็นสัญญลักษณ์ในความฝัน และนำเอามาตรฐานการรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้ายามตื่นมาเป็นตัวตัดสินความหมายต่างๆ

    คนที่นอนหลับเป็นเจ้าหญิงนิทรา ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาหยุดทำงาน และประสาทสัมผัสที่หกของเขาก็ทำงานต่อไปอย่างเป็นธรรมชาติ มีผู้ป่วยหลายรายที่ตกอยู่ในภาวะ โคม่า อยู่ในห้องผ่าตัด หรือหมดสติไปหลายวัน แต่กลับรู้เห็นเหตุการณ์ที่เป็นไปกับคนรัก ครอบครัวที่มาเยี่ยมเยียนเขาที่โรงพยาบาล หรือรู้เห็นเหตุการณ์ที่เป็นไปที่บ้าน หรือข้ามเมือง ข้ามประเทศ

    แพทย์ที่ทำการค้นคว้าและจดบันทึกประสบการณ์เหล่านี้ไว้มากมายได้แก่ Dr. Raymond Moody ซึ่งได้เขียนหนังสือไว้หลายเล่ม เช่น Life After Death, Beyond the Lights และ Dr. Elizabeth Kruber Ross ผู้เขียนหนังสือไว้มากมายเช่น The Wheel of Life, On Death and Dying ฯลฯ พี่นักเขียนกำลังเดินทางอยู่เลยไม่มีหนังสือใกล้มือ อาจบอกชื่อเพี้ยนไปบ้าง ยังมีอีกหลายเล่มค่ะ ใครเคยอ่านหนังสือชุดนี้ ช่วยกันค้น references แทนพี่นักเขียนหน่อยนะคะ แพทย์สองคนนี้นับว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์สองคนแรกที่ยอมรับธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณ ความเป็นอมตะและการเป็นบุคลิกภาพที่ปราศจากร่างกายตัวตน พร้อมด้วยประสาทสัมผัสที่หกอย่างเต็มตัว

    พี่นักเขียนกำลังเตรียมตัวจะไป Cancun, Mexico คืนนี้ ยังไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาสเขียนถึงพวกเราบ้างไหมช่วงที่อยู่ที่นั่น เพราะมีโปรแกรมเต็มเหยียด แต่สัญญาว่าจะคิดถึงทุกคน จะหอบทะเลและปิรามิดมาฝาก หวังว่าห้องวิทย์ฯจะไม่หายวับไปผุดที่มิติอื่นเมื่อพี่นักเขียนกลับมานะคะ

    หากพี่นักเขียนยังไม่ได้ให้คำอธิบายขยายความกับพวกเราบางคน ไม่ว่ากันนะคะ จะพยายามตามเก็บให้ครบเมื่อกลับมา ใครยังไม่ได้คำอธิบาย ต้องขอโทษด้วยนะคะและรบกวนช่วยทวงด้วย เพราะไม่มีเจตนาจะข้ามไม่อธิบายหรือให้ข้อมูลเพิ่มเท่าที่จะทำได้

    ใครมีคำอธิบายช่วงนี้ช่วยเหลือกันนะคะ พี่นักเขียนจะอุ่นใจมากๆ เมื่อเห็นพวกเราเรียนด้วยกัน ช่วยเหลือกัน สัญญาว่ากลับมาจะเอาทะเลกับปิรามิดมาฝาก
     
  16. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ขอบคุณพี่นักเขียนมากๆ ที่อุตสาห์เจียดเวลามาตอบข้อสงสัย จะรอคอยของฝากจากพี่นักเขียนครับ

    หนังสือของ Dr. Raymond Moody ที่ไทยก็ได้มีแปลมาวางขายนานแล้ว ที่ซื้อมาก็คือ Life After Death ส่วนหนังสือ Beyond the Lights ก็ไม่รู้ว่ามีแปลเป็นไทยหรือเปล่า

    ส่วนหนังสือของ Dr. Elizabeth Kruber Ross ไม่แน่ใจว่ามีแปลเป็นไทยแล้วหรือยัง เพราะว่าชื่อหนังสือไม่คุ้นเลย

    เห็นคำว่า Ross ก็นึกไปถึง คนที่ชื่อ rose ที่เป็นร่างทรงสามารถติดต่อกับวิญญาณได้ ติดต่อกับวิญญาณของเผ่าอินเดียแดงที่ชื่อ eagle ชื่อจริงของ rose รู้สึกจะชื่อว่า Rosemary Altea ชื่อหนังสือที่อ่านชื่ออะไรก็จำไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าใช่ The Eagle and the Rose หรือเปล่า มีแปลเป็นไทยเหมือนกันแต่นานแล้ว รู้สึกว่าชื่อหนังสือจะชื่อ เรื่องจริงของร่างทรง

    อันนี้หนังสือออนไลน์ preview ของ The Eagle and the Rose เข้าไปอ่านได้(น่าจะบางส่วน)
    http://www.amazon.com/gp/reader/044...kqvWYylWsEuMEIGVn+gyVmvoPmKU68Yw=#reader-link

    พูดถึงสัมผัสที่หก เลยนึกถึงเรื่องตอนเด็กๆ ตอนนั้นตอนเย็นแล้วมีเพื่อนยืมเงิน 20 บาท ก็ให้เพื่อนยืมไป ตอนที่เพื่อนเอามือมาจับเงิน ใจก็แว๊บไปเลยว่า เอาเงินไปเล่นสนุกเกอร์แน่ อีกวันก็เลยไปแซวเพื่อนว่า เล่นสนุกเกอร์สนุกหรือเปล่า เพื่อนงงเลยว่าไปรู้มาได้ไง

    แต่ครั้งนี้ก็เป็นแค่ครั้งเดียวเอง หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยได้รู้สึกปิ๊งแว๊บอะไรอย่างนี้อีกเลย

    edit: จำได้แล้วครับว่าหนังสือของ Rosemary ที่ตอนนั้นซื้อมาอ่านคือหนังสืออะไร หนังสือเล่มนั้นชื่อ "Proud Spirit" หรือชื่อไทยว่า "วิญญาณทระนง"

    อันนี้ที่คนอื่นเค้าเขียนถึงหนังสือของ Rosemary

    ---------

    เรื่องจริงสุดพิเศษของร่างทรง ที่ LARRY KING แห่ง CNN
    ยังต้องขอดูตัว เรื่องจริงจากประสบการณ์การเป็นสื่อกลางระหว่าง วิญญาณ และ คนเป็น
    จากร่างทรงที่ทั้ง"คนเป็น" และ "วิญญาณ" ต้องการนัดพบกันมากที่สุด

    ----------

    ผู้เขียนคือสตรีชาวอังกฤษชื่อ Rosemary Altea หนังสือสองเล่มนี้น่าสนใจมาก โรสแมรี่ได้ถ่ายทอดประสบการณ์อันเกิดจาก จิตวิญญาณที่เปิดออกรับสัมผัสพิเศษที่สามารถสื่อสารกับผู้ตายได้ ในชีวิตจริงเธอรับบททำหน้าที่แจ้งข่าวหรือส่งสารต่างๆสู่ญาติหรือเพื่อนฝูงต่างๆของผู้ตาย เธอได้รับการยอมรับในวงกว่าง รายการที่เรตติ้งสูงมาก เช่น CNN และ Larry King Live ก็ยังเคยเชิญเธอไปออกรายการ และเธอก็ได้สร้างความตกตะลึงพรึงเพริดให้กับผู้ชมนับล้านทั่วอเมริกา หนังสือของเธอทำให้ชักนำคนอ่านค้นหาโลกแห่งจิตวิญญาณ กำเนิดแห่งจักรวาล การบำบัดรักษาทางจิต โรสแมรี่ มีผลงานที่ช๊อคคนนับล้านจากประสบการณ์ในการเป็นสื่อกลางระหว่าง "ชีวิต และวิญญาณ"


    edit2 : อ่านบางส่วนของหนังสือ Proud spirit ได้ที่ http://www.amazon.com/gp/reader/068...lYt5X2oFusV/Nw2keddRDLqgwScWNNsA=#reader-link
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2007
  17. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    Free Fall การปล่อยให้ตนเองเป็นอิสระ

    พี่นักเขียนขออธิบายเพิ่มเติมให้คุณน้องขจรวรรณอีกเรื่องหนึ่งค่ะ ที่คุณน้องกล่าวถึงประสบการณ์ในการทำสมาธิ ซึ่งทำให้เผชิญกับการหลุดออกไปจากร่างกายเนื้อหนังที่รู้สึกเสมือนว่าถูกเหวี่ยงออกไปนอกโลก

    ภาวะดังกล่าวเป็นภาวะที่จิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่ภาวะอันเป็นจินตภาพ ซึ่งหมายความว่า แม้จะรู้สึกเสมือนว่าเรายังมีร่างกายตัวตนอยู่ แต่ร่างกายตัวตนนั้นๆก็ไม่ได้มีคุณสมบัติทางกายภาพเหมือนร่างกายตามปกติของเรา มันเป็นรูปกายที่ปราศจากความทึบตัน และอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ของช่องว่าง ระยะทางและกาลเวลา มันจึงไม่ได้รับผลกระทบและสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมในลักษณะเดียวกับร่างกายตามปกติของเรา

    แต่ถ้าหากเราปราศจากความรู้เกี่ยวกับตัวตนอันเป็นจินตภาพหรือตัวตนภายในของเรา แม้เราจะมีสติสัมปชัญญะติดตามรู้เห็นประสบการณ์ภายใน แต่เราก็นำเอาข้อจำกัดของตัวตนภายนอกทางกายภาพที่ควรจะทึบตัน มีน้ำหนัก อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของช่องว่าง ระยะทางและกาลเวลาติดไปด้วย ทำให้เราจำกัดความเป็นไปได้และความสามารถของตัวตนภายในโดยไม่จำเป็น

    ต่อไปนี้เมื่อคุณน้องเริ่มทำสมาธิ และก่อนเข้านอน พี่นักเขียนขอแนะนำให้คุณนัองตั้งจิตและระลึกถึงความเป็นจริงเกี่ยวกับความแตกต่างของตัวตนภายนอกทางกายภาพและตัวตนภายในอันเป็นจินตภาพ และบอกกับตนเอง เมื่อเราเผชิญกับประสบการณ์เช่นถูกเหวี่ยง ถูกกระแทก เราจะมีสติระลึกรู้และตระหนักว่า เรามีภาวะอันเป็นจินตภาพที่ไม่อาจได้รับการกระทบกระเทือน ไม่เจ็บ เพราะเราปราศจากร่างกายเนื้อหนัง และเรามีคุณสมบัติและความสามารถพร้อมที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นๆได้อย่างปลอดภัยตามธรรมชาติของจิตวิญญาณ

    ให้ศึกษาเกี่ยวกับประสาทสัมผัสภายในให้ละเอียดและพยายามทำความเข้าใจว่ามันคืออะไร เมื่อเข้าใจแล้ว ประสาทสัมผัสจะทำงานได้อย่างเป็นอัตโนมัติตามธรรมชาติ ศึกษาได้จากหนังสือ ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ

    หากรู้สึกเสมือนว่าเรากำลังพุ่งไปด้วยความเร็วสูง ให้กำหนดจิตว่า ฉันจะหยุดตามปรารถนา ฉันจะอยู่ในภาวะใดๆก็ได้ดังปรารถนา เพราะมันคือธรรมชาติของจิตวิญญาณ จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่ เป็นอยู่ ดำเนินไปเป็นภาวะนั้นๆ ดังนั้นหากเราจดจ่อกับการควบคุมและความสามารถของจิตวิญญาณ แทนที่จะจดจ่อกับการขาดการควบคุมและการปราศจากความสามารถเพราะเราเชื่อว่าหากปราศจากครูบาอาจารย์ เราจะไร้พลังอำนาจ มันก็เป็นไปเช่นนั้น

    หากเราตระหนักได้ว่า เราไม่จำเป็นต้องร้องเรียกครูบาอาจารย์ เพราะท่านสถิตย์อยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา เราจะรู้สึกได้ถึงความปลอดภัย และพลังอำนาจที่จะทำให้เราควบคุมทุกอย่างได้ดังปรารถนา

    เมื่อเราเผชิญกับแรงเหวี่ยง และการพุ่งไปอย่างรวดเร็ว เราทำได้สองอย่าง คือหยุด ด้วยการสั่งให้หยุดและตระหนักว่าพลังอำนาจในการหยุดเป็นของเรา เราก็จะหยุด และอีกอย่างที่ทำได้คือปล่อยด้วยเจตนาที่จะเผชิญกับอิสระภาพที่เรามีไม่ได้จากแรงดึงดูดของโลก

    อย่างแรกเปรียบได้กับการจะกระโดดลงสระว่ายน้ำจาก spring board ซึ่งสูงลิ่ว เราหยุดได้ เลือกได้ ที่จะไม่กระโดด

    อย่างที่สองเปรียบได้กับการกระโดดอย่างอิสระ จาก spring board ด้วยการเชื่อถือว่า เมื่อพุ่งลงสู่สระน้ำแล้วเราจะปลอดภัย และหากเลือกทางนี้ เราก็ต้องทำด้วยความเชื่อถือว่า หากเราปล่อยให้ร่างกายตัวตนของเราหล่นอย่าง Free Fall ไร้การต่อต้าน เราจะได้สัมผัสกับอิสระภาพที่เราสัมผัสไม่ได้ด้วยวิธีการอื่น

    เราเลือกได้ทั้งสองทาง และมันก็ปลอดภัยไม่น้อยไปกว่ากันค่ะ คนชอบว่ายน้ำอย่างพี่นักเขียนก็ไม่ชอบกระโดดจากที่สูงเพราะกลัวความสูงอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าหากขึ้นไปแล้วบางครั้งก็อยากจะเผชิญกับประสบการณ์ที่แตกต่างไป และทำไม่ได้ในสภาพแวดล้อมอื่นๆ ดังนั้นหากเราตระหนักได้ว่า เราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยและสนับสนุนเรา ความกลัวจะหายไป และทำให้เราทำในสิ่งที่เคยกลัวได้สำเร็จโดยปราศจากความกลัว แต่ก็ไม่ได้มีใครบังคับ และทั้งหมดนี้ เป็นทางเลือกของเราเสมอ ^-^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2007
  18. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    เช้ามืดวันนี้ฝันว่าได้ไปงานทำบุญที่วัดไหนสักแห่ง
    มีพระนั่งสวดบนพื้นยกสูงข้างหน้า
    แล้วก็ยังมีพระมาจากที่อื่น มาร่วมนั่งปนอยู่กับฆารวาส
    พระที่มาจากที่อื่น ผมบนศีรษะยาว เหมือนไม่ได้โกนมา2-3 เดือน
    มีความรู้สึกว่ามาร่วมรอรับอะไรกันสักอย่าง
    เป็นความฝันที่ชัดเจนมาก แต่ตีความหมายไม่ออก

    หลังจากนั้น แวบเห็น ตัวเอง นอนอยู่คนเดียวในห้อง
    ตกใจรู้สึกตัวทันที นอนอยู่คนเดียวจริงๆ

    ทำไมต้องตกใจและรีบตื่นก็ไม่รู้ คงต้องรบกวนถามพี่นักเขียนซะแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2007
  19. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ก่อนอื่นคุณเม้าต้องถามตัวเองว่า เรามีอารมณ์อย่างไรในขณะที่เรามองเห็นพระที่มาจากที่อื่น และเรามีความรู้สึกอย่างไรกับพระที่ผมยาว หากเข้าใจในอารมณ์และความรู้สึกสองส่วนนี้ จะเข้าใจได้ว่าการมาร่วมของพระรูปนั้นทำให้เรารู้สึกอย่างไรต่อไปอีก

    ให้สังเกตว่า พี่นักเขียนถามแต่ ความรู้สึก เพราะทุกสิ่งที่ปรากฎในความฝันเป็นสัญญลักษณ์ และมักไม่ได้มีความหมายตรงไปตรงมา แต่เป็นรหัสที่ต้องถอดความ

    ส่วนประกอบทุกส่วนในความฝัน แม้เป็นบุคคลที่เรารู้จักหรือไม่ก็ตาม ก็เป็นตัวแทนส่วนหนึ่งของภาวะจิต หรือภาวะของจิตวิญญาณของเราในขณะนั้น พี่นักเขียนจะขอยกตัวอย่างนะคะ แต่อย่าถือว่าเป็นการตีฝันที่ถูกต้องนะคะ เพราะสัญญลักษณ์ในความฝันของแต่ละคน มีความหมายจำเพาะสำหรับเจ้าของฝันเท่านั้น เช่น สำหรับพี่นักเขียน หากพี่นักเขียนเผชิญกับพระที่ผมยาวยามตื่น อาจจะรู้สึกว่า ท่านเดินทางมาไกลจึงไม่ได้ปลงผมตามเวลาที่กำหนด แต่ในความฝันพี่นักเขีนอาจรู้สึกถึงความไม่จำเป็นของวินัย ซึ่งเป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น และไม่ได้มีความหมายต่อจิตวิญญาณ แม้ว่ายามตื่นอาจจะไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลย

    ความรู้สึกที่เรามีต่อ สัญญลักษณ์ เหล่านี้ นอกจากจะแสดงถึงภาวะจิตของเราเองแล้ว ยังสอนให้เราเข้าใจความเป็นจริงบางอย่างที่เราไม่อาจเข้าใจได้ยามตื่น เพราะเรามักตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า แต่เมื่อเรารู้เห็นพระรูปนี้ในความฝัน เรารับรู้ด้วยประสาทสัมผัสที่หกหรือด้วยอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด หรือรับรู้ด้วยจิตวิญญาณโดยตรง ดังนั้นพี่นักเขียนจึงให้เราตรวจสอบอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของเราเป็นอย่างแรกและเป็นเพียงอย่างเดียว เพื่อหาความหมายที่แท้จริง

    การตีฝันโดยทั่วไป ผู้ที่ตีฝันมักใช้ สถิติ ในการตีความหมาย ซึ่งเป็นการให้ความหมายที่หยาบเกินไปสำหรับภาวะของจิตวิญญาณ เพราะจิตวิญญาณมีความเป็นเอกลักษณ์เป็นที่สุด หากเรามอบอำนาจในการตีความหมายให้กับผู้อื่น เรามักสูญเสียความหมายที่แท้จริงจากมุมมอง จากความเชื่อจำเพาะและสูญเสียความรู้ในทิศทางจำเพาะที่จำเป็นต่อพัฒนาการของเรา

    คุณเม้าตกใจตื่นเมื่อพบว่าเรานอนอยู่คนเดียวในห้อง ทำไมต้องตกใจ ต้องถามตัวเองต่อว่า เรามีอารมณ์และความรู้สึกอย่างไรต่อการอยู่คนเดียว ปัจจัยอื่นๆที่ซ่อนเร้นอาจเผยตัวออกมาให้เรารู้ถึงความกังวลบางอย่างที่เรามองไม่เห็นยามตื่น และภาพสะท้อนจากความฝันก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นการบอกเหตุล่วงหน้าเสมอไป แม้ว่ามันอาจจะใช่ลางบอกเหตุ แต่ถึงกระนั้น เราก็มีอำนาจควบคุมอนาคต เพราะหากว่าเรามองเห็นสิ่งที่เป็นลางบอกเหตุร้าย เราก็อยู่ในภาวะได้เปรียบเพราะความฝันเตือนให้เราระแวดระวัง และทำให้เรามีแนวโน้มที่จะเลือกทำในสิ่งที่แตกต่างไป ซึ่งไม่เอื้ออำนวยให้ฝันร้ายเป็นจริง หรือเอื้ออำนวยให้ฝันดีกลายเป็นจริง

    อำนาจในการรับมือกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฎในความฝัน อยู่ ณ ขณะปัจจุบันที่เราเผชิญกับเหตุการณ์ยามตื่น แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจในความหมายของความฝันได้อย่างชัดเจน หรือถอดรหัสได้หมดเป็นคำพูดยามตื่น แต่การจำความฝันได้คมชัด ทำให้จิตใต้สำนึกได้รับข้อมูลความรู้ไว้แล้ว และพร้อมเสมอที่จะนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ได้อย่างฉับพลัน

    พี่นักเขียนเองขยันจดความฝัน แต่ก็ไม่ได้ถอดรหัสหรือตึความหมายได้รายวัน หลายสิ่งหลายอย่างจะจำไว้เป็นธนาคารข้อมูลเฉยๆ แล้ววันใดวันหนึ่งที่เราเผชิญกับเหตุการณ์หนึ่งๆเข้า ความฝันที่เราไม่เคยรู้ความหมายจะผุดขึ้นมาประสานกับประสบการณ์ยามตื่น ทำให้เราตระหนักได้ถึงความหมายทั้งหมด และทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด หากแต่ว่าเราจะต้องให้เครดิตกับความฝันเหล่านี้ก่อน คือจดมัน ให้ความสำคัญกับมัน มิฉะนั้นต่อให้มันผุดขึ้นมา ณ เวลาใด เราก็จะมองช้ามมันไป แม้มันจะให้สาระที่สำคัญ เราก็เอามาใช้ไม่ได้

    เช้ามืดวันนี้ พี่นักเขียนเตรียมตัวไป Cancun, Mexico แล้ว ไม่แน่ใจว่าจะติดต่อพวกเราได้หรือไม่ แต่สัญญาทุกๆคนว่าจะเอาทะเลกับปิรามิดมาฝาก กลับมาจะมีขนมมาฝากหนูน้อยของคุณเม้าทั้งหลาย ถ้าหากตอนนี้อยู่ที่บ้านละก็ เอากระเป๋าพิเศษมาหอบตัวเล็กตัวน้อยไปด้วยหมดแล้วหละ(555)
     
  20. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ก็ขอขอบพระคุณพี่นักเขียนมากนะคะ ที่กรุณาตอบคำถามของขจรวรรณ ได้อย่างชัดเจนและตรงกับสิ่งที่ตัวเองต้องการพร้อมทั้งชี้แนะแนวทางที่ควรจะปฏิบัติต่อไป จะศึกษารายละเอียดตามที่พี่นักเขียนแนะนำให้เข้าใจแล้วนำไปฝึกฝนต่อเพื่อข้ามพ้นความกลัวให้ได้ค่ะ..

    " การศึกษาเกี่ยวกับจิตวิญญาณ เป็นศาสตร์ที่ครอบคลุมการศึกษาในศาสตร์ทางโลกทุกสาขาวิชาที่มนุษย์พยายามศึกษามาทั้งชีวิต "

    (good)
     

แชร์หน้านี้

Loading...