เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. penpilai

    penpilai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +216
    พี่ก็ขอชื่นชมน้องmindนะคะที่มีความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้ และพี่ก็เชื่อว่าน้องmindจะเปลี่ยนความเชื่อให้เป็นความรู้ได้ในที่สุด
     
  2. penpilai

    penpilai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +216
    ขอบคุณนะคะคุณKhajornwanสำหรับคำแนะนำ(เป็นหลายครั้งแล้วแต่ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร อ่านในกระทู้คุณชยุต ไม่ทราบว่าเกี่ยวกับจุดประสานมิติหรือเปล่า) ส่วนของมือตัวเองก็เป็นค่ะ มือจะร้อน บางทีมือไปโดนรถที่จอดอยู่เหมือนมีกระแสไฟฟ้ามันช๊อตที่นิ้วมือด้วยค่ะ
     
  3. penpilai

    penpilai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +216

    เช่นกันค่ะคุณmead วันไหนไม่ได้เข้ามาอ่านเหมือนขาดอะไรไปซักอย่าง ต้องเข้ามาเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ที่อยู่ในนี้
     
  4. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ฝ่ามือเป็นอะไรที่รับสัมผัสพลังได้มากที่สุดของร่างกายทีเดียวครับ..มีพี่ท่านหนึ่งบอกมาว่าเค้าเคยเดินไปสถานที่หนึ่งๆแถวนครสวรรค์อยู่ๆก็ร้องไห้แบบปิติโดยไม่ทราบสาเหตุเพราะไปรับสัมผัสพลังบางอย่างจากสัมผัสที่6..พอกลับบ้านไปนั่งสมาธิดูจึงทราบว่าบริเวณนั้นมีรอยพระพุทธบาทอยู่..ตอนหลังจึงพาพระท่านหนึ่งที่ค้นหารอยพระพุทธบาท เข้าไปดูแล้วก็พบจริงๆครับ..ก่อนหน้านั้นเค้าเคยแบมือรับคลื่นต่างดาวตอนที่มี่การสื่อสารกัน เค้าก็ส่งพลังลงมาจนเปลื่ยนร่างตัวหดสั้น พุงป่องไปเลยครับ พี่เค้าแนะว่าให้ใช้ประสาทสัมผัสภายในแทนดีที่สุด ปลอดภัยกว่ามากครับ แต่ยังไงให้พี่นักเขียนมาช่วยขยายความดีที่สุดครับ

    ลองไปอ่านแถวนี้ดูครับผลจากแบมือรับพลังจากนอกมิติ
    ซึ่งอาจพลาดรับพลังที่เราไม่ต้องการเข้ามาได้ง่ายเหมือนกัน น่าจะมีวิธีป้องกันนะครับ
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=86674&page=5
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2007
  5. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425

    แวะมาคุยกันบ่อยๆครับ
    วันนี้คุยกันจุใจมาก...พรุ่งนี้ต้องทำงานกันแล้วครับ
    เชิญพักทานขนมครกครับ พี่นักเขียนอยู่ที่นู่นคงหาทานยากหน่อย อิอิ

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. ประสงค์.

    ประสงค์. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +793
    พี่ มายครับผมมาแสดงตัวแล้วครับ ที่โมทนาบ่อยเพราะช่วยทำให้รู้ว่าอ่านแล้วยังครับจะได้ไม่ข้ามเรื่องสำคัญไป อิอิ..
     
  7. แก้วทิพย์

    แก้วทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +2,435
    อูย น่าทานจังเลย ไปซื้อแถวไหนคะนี่ ว่าแต่ว่า ปูขาเก เซมารู มันแปลว่าอะไรค่ะ วันนี้น้องประสงค์ มาร่วมวงด้วยนะนี่ พี่แก้วทิพย์ยินดีต้อนรับค่ะ คงต้องขอขนมครกเพิ่มอีกจานแล้วค่ะ คุณ Mead สงสัยพี่นักเขียนยังไม่ตื่นนอน คงต้องให้น้องมายด์ไปตาม (b-cap) (b-cap)
     
  8. Chalhoei

    Chalhoei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +3,166
    คุณ mead ครับ ไม่มีไส้เผือกหรือข้าวโพดเหรอ ผมกินหอมไม่ได้ อ่ะ
    หน้าที่แล้วเล่นทายภาพกันเหรอ ไม่ได้เปิดเว็บสิบกว่าชั่วโมง โห ต้องโมทนาเป็นหน้าๆเลยนะ เครื่องที่บ้านช้าด้วย เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยไปใช้เครื่องที่ทำงานโมทนานะ
    วันนี้ไปชาร์ทพลังกับคุณโอ๊คมาครับที่วัดสมณโกฏิ อยุธยาสุดยอดเลยครับ ทั้งปิติ ทั้งสุข ขากลับไม่ได้ลาเจ้าภาพเลยรีบพาน้องๆที่ไปด้วยเที่ยวเมืองอยุธยาก็ไปที่เจดีย์ศรีสุริโยทัย คิดถึงท่านครั้งอาศัยบารมีท่านตอนเด็กๆ ไปถึงก็จะร้องไห้ เลยต้องรีบกลับ
    และไปดูค้างคาวแม่ไก่ที่วัดน้ำเต้า ก็มหัศจรรย์ครับไม่รู้ว่าเป็นการสำนึกคุณของเค้าหรือเปล่าก็ไม่รู้ สังเกตุไม่มี มูลของเค้าให้เห็นเลย ทั้งๆที่มีเป็นพันๆตัว ถ้างานไม่เยอะพรุ่งนี้จะเอารูปให้ดูครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2007
  9. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ภาวะอันเป็นไปที่อยู่เบื้องหลัง

    เมื่อพี่นักเขียนอธิบายถึงภาวะของการรับถ่ายทอดข้อมูล และกล่าวถึงอารมณ์และความรู้สึกนึิกคิดที่ว่าเสมือนอยู่ ณ ศูนย์กลางของใยแมลงมุม หรือกลางระบบเครือข่าย จะหันไปทิศไหนมันก็รับได้ และข้อมูลความรู้ที่ได้เป็นภาพรวมที่สมบูรณ์ไม่มากก็น้อยนั้น พยายามจะหาภาพที่ใกล้เคียงกับสภาพแวดล้อมในความรู้สึกนั้นๆมาลงให้ดู แต่ยังหาไม่ได้

    เมื่อคุณ Mead เอาภาพใยแมลงมุมที่เป็น 2 มิติมา post พี่นักเขียนนั่งมองดูภาพนั้นรู้สึกว่ามีหลายๆอย่างขาดหายไป จ้องอยู่พักใหญ่ทำให้หวลระลึกถึงสภาพแวดล้อมดังกล่าวที่น่าจะเรียกว่า Three dimensional spider web หรือใยแมลงมุมสามมึิติมากกว่า จึงลอง google search และปรากฏว่าได้ภาพที่สะดุดใจมา 3 ภาพ

    ภาพที่ 1 เป็นภาพใยแมลงมุม 3 มิติตามธรรมชาติที่นักวิทยาศาสตร์เริ่มพบเห็นเนืองๆไม่นานมานี้ ซึ่งพี่นักเขียนเองก็ไม่เคยเห็นหรือรู้มาก่อนว่ามันมีอยู่ในธรรมชาติ ในภาพมีแมลงมุมอยู่ตรงกลางใยของมัน ซึ่งทำให้พี่นักเขียนระลึกถึงอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดในขณะที่ตนเองอยู่ในภาวะดังกล่าวว่า รู้สึกเสมือนถูกห่อหุ้มอยู่ ณ ศูนยฺ์กลางของใยแมลงมุมอันเป็นระบบเครือข่ายของความรู้ และผนวกด้วยความรู้สึกที่ได้รับการปกป้องคุ้มครองอย่างเอื้ออาทรที่สุด ปราศจากความกลัว มีแต่ความรักและเมตตาอย่างล้นหลามที่ห่อหุ้มเราอยู่ นึกคิดปรารถนาอยากได้ความรู้หมวดใด ความรู้นั้นก็หลั่งไหลพรั่งพรูเข้ามาหาเรา ภาวะนี้เรียกว่า นอกจากไม่หนาวไม่ร้อนแลัว อบอุ่นและสุขสบายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ คือสุขกายเหมือนไม่มีกาย สุขใจเหมือนว่าเราคือศูนย์กลางของจักรวาล อิ่มกายก็เหมือนพอดีที่สุด อิ่มใจก็เหมือนอิ่มอย่างล้นหลาม

    ภาพที่ 2 เป็นภาพใยแมลงมุม 3 มิติตามธรรมชาติอีกเหมือนกัน แต่ใกล้เคียงสภาพแวดล้อมในความฝันขึ้นมาอีกนิดตรงที่ว่า นอกเหนือไปจากใยแมลงมุมแล้ว สภาพแวดล้อมที่กว้างไกลออกไปกว่านั้นมืดมิดแต่ก็เรืองรองเป้นอนันต์ เหมือนห้วงอวกาศที่มืดมิดแต่ก็สว่างไสวด้วยดาวล้านดวง

    ภาพที่ 3 เป็นภาพใยแมลงมุมที่มีหยดน้ำค้างจับตามธรรมชาติอีกเหมือนกัน มันแสดงถึงความเรืองรอง สว่างไสว ชุ่มชื่น ที่ใก้ลเคียงการรู้เห็นที่ว่า ความรู้นั้นหลั่งไหลเข้ามาสู่ตัวเราเหมือนน้ำที่หลั่งไหลเข้ามาหาตัวเราตามเส้นใยแห่งระบบเครือข่ายนี้ แรกๆมันไหลเข้ามาแบบ control ไม่ได้ แต่ภายหลังที่ control ได้แล้วสามารถเลือกเก็บ-เลือกหยิบเอาได้ทีละเม็ดก็ว่าได้

    ภาพที่ 4 เป็นภาพใยแมลงมุม 3 มิติที่นักวิทยาศาสตร์พยายามวาดจากการคำณวน ซึ่งไม่ได้เหมือนหรือใกล้เคียงสภาพแวดล้อมที่พีนักเขียนเผชิญ แต่ลักษณะที่เป็นวงหอยซึ่งม้วนออกไปนั้นไม่อาจจะเห็นได้ในภาพอื่นๆ และพี่นักเขียนรู้สึกว่ามันเป็นสัญญลักษณ์ที่แสดงออกถึงความเป็นอนันต์ที่ปรากฏอยู่ในภาวะนั้นได้ดีทีเดียว

    ทั้งนี้พี่นักเขียนขออธิบายว่า การไปสู่ภาวะที่รับการถ่ายทอดข้อมูลในความฝัน ไม่ใช่ว่าจะเป็นภาวะที่ว่าแค่นึกคิดเอาก็พุ่งไปสู่ภาวะนี้ได้และรับได้รู้ได้ทันทีนะคะ มารู้เอาเมื่อเมื่อไม่นานก่อนที่จะลงมือจดบันทึกความฝันว่าตนเองได้หัดปรับสติสัมปชัญญะไปสู่ภาวะนี้มายาวนานโดยไม่รู้ตัวว่าหัดหรือถูกหัด เพราะตั้งแต่จำความได้-จวบจนอายุประมาณสิบขวบ ชอบตื่นมาแล้วบอกกับคุณแม่ว่าเวลานอนมักฝันว่าตัวเองอยู่ตรงกลางของก้อนสำลี เป็นไปอย่างนั้นแรมปี เป็นเด็กที่นอนแล้วไม่ยอมตื่น โดขึ้นมาเป็นเด็กค่อนข้างอารมณ์ดี ทุกข์ร้อนไม่เป็น โกรธก็ไม่ค่อยเป็น ในขณะที่อยู่กลางก้อนสำลีรู้สึกว่าตัวเล็กกว่าหมัด พอใกล้จะตื่นจะรู้สึกเหมือนว่าตัวโตเท่าเมฆใหญ่ยักษ์อยู่ในท้องฟ้ากว้าง แล้วจึงตื่น เป็นอย่างนี้แทบจะทุกวัน ไม่เคยเข้าใจประสบการณ์เหล่านั้นมาก่อน และยิ่งโตก็ยิ่งห่างเหินจนเหมือนไม่เคยเผชิญกับประสบการณ์ดังกล่าวอีกเลยแรมปี จนกระทั่งกลับมาเรียนสมาธิและหัดฝึกฝัน จึงได้กลับไปสัมผัสกับภาวะนี้อีกบ่อยๆ

    ประสบการณ์แรกๆที่เผชิญกับภาวะที่เสมือนอยู่ศูนย์กลางของใยแมลงมุมสามมิตินี้ จะรู้สึกว่าข้อมูลความรู้ หรือน้ำที่ไหลเข้ามามากมายเกินไป มีแต่ล้น เก็บไว้ไม่หวัดไหว ตื่นมาเหนื่อย เหมือนได้ยิน ได้ฟัง ได้รับมากมาย เพราะขาดความรู้และทักษะที่จะรับข้อมูล ตื่นมาหลังประสบการณ์นี้ทีไรบอกได้อย่างเดียวว่า หัวโตเหมือนช้าง (แต่ตัวดันเท่าเดิม) หากแลเห็นรูปกายของบุคลิกภาพที่แปลงรูปจนจับไม่ทัน และได้ยินบุคลิกภาพของรูปกายนั้นๆพูด แต่ก็เร็วมาก ต้วเองเหมือนเด็กนักเรียนที่อยากจดงาน แต่จดไม่ทัน ฟังไม่ทัน จำไม่หมด

    เมื่อเข้าสู่ภาวะดังกล่าวได้บ่อยขึ้น มีสติที่จะจับได้ว่ารูปกายของบุคลิกภาพที่พบเห็นแปลงสภาวะไปตามอารมณ์ ความรู้สึกนึิกคิดของบุคลิกภาพนั้นๆ หากเราจะรับเอาส่วนใดต้องมีสติสัมปชัญญะจดจ่อกับรูปกายนั้นๆให้ได้ การแปลงรูปอย่างเรียกว่าฉับพลันไม่มีหยุดก็จะชะลอลงจนเสมือนหยุด ตามความรู้สึกคือ จับรูปกายได้เหมือนหยุดเวลาได้ รูปกายแรกสุดที่จับได้คือสมเด็จโตฯ แต่จากนั้นก็ปรากฏเป็นบุคลิกภาพที่พี่นักเขียนรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้างในชาติภพนี้ แต่ในความฝัน-นอกจากจะรู้จักเป็นอย่างดีแล้วยังเป็นบุคคลที่เรารักเคารพเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย ซึ่งล้วนเป็นครู เป็นอาจารย์ใหญ่ เป็น Professor เป็นศิลปิน เมื่อรู้เห็นรูปกายได้ชัดเจนเมื่อใด speed ของการถ่ายทอดจะช้าลงตามไปด้วยจนรับได้ จดจำได้ทัน เข้าใจได้ แม้จะไม่เป็นภาษาพูด แต่รับมาเหมือนรับ concept ใหญ่ๆที่รับแล้วเข้าใจได้ทันที กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า รับมุมมอง-อารมณ์-ความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการของบุคลิกภาพนั้นๆมา รูปกายนั้นๆรู้อะไรก็รู้ด้วยเห็นด้วย แต่ในขณะเดียวกันเราก็ยังมีอารมณ์-ความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการของตนเอง มีความจำต่างหากอีกชุดหนึ่งด้วยที่เป็นของตนเอง

    เห็นรูปกายพร้อมกับจดจ่อกับการสื่อสารได้บ่อยๆขึ้น รูปกายนั้นก็ไม่สำคัญอีกต่อไป คือจะปรากฏหรือไม่ก็ไม่ใช่ปัจจัยควบคุมการรับข้อมูลอีกต่อไป เพราะสิ่งที่สำคัญและจับได้คืออารมณ์ เมื่อตื่นจากความฝัน จดบันทึกแล้วจะเป็นภาพเสียส่วนมาก บวกกับอุปมาอุปมัย ภาพที่ sketch ไว้ค่อนข้างดูยาก และคิดว่าจะนำมาวาดใหม่บางภาพให้พวกเราดู ที่ต้องวาดใหม่เพราะเหตุว่า หลายๆภาพมักเป็นภาพ sketch 2 มิติ แต่ภาพจริงอย่างน้อยควรจะเป็น 3 มิติ และซับซ้อนกว่าที่บันทึกไว้มาก หลาย concept ใหญ่ๆที่บันทึกไว้ยังไม่ได้ถอดความ แม้ว่าพี่นักเขียนจะเข้าใจภาพเหล่านั้นได้ เสียแต่ว่ายังไม่สามารถวาดออกมาได้สมบูรณ์เหมือนกับที่รู้เห็นมา พยายามหา computer software อยู่เนืองๆว่าจะเอาอะไรมาสร้างภาพสามมิติเหล่านั้นให้ได้เหมือนที่สุด และจะทำ animations อย่างไรที่แสดงให้เห็นได้ เพราะหลายๆ concept ที่บันทึกไว้แม้ว่าจะพอจะอธิบายเป็นคำพูดได้บ้าง แต่ก็ตระหนักว่าหากขาดภาพสามมิติหรือภาพเคลื่อนไหวที่ใกล้เคียงที่รู้เห็นมา จะทำให้ผู้อ่านจินตนาการบิดเบือนไปได้มากเพราะเรามักจินตนาการด้วยการใช้สิ่งที่เราคุ้นเคยในโลกทางกายภาพเป็นหลัก ซึ่งปรากฏการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิตินั้น แม้ภาพสามมิติก็ยังไม่พอที่จะทดแทนหรือเปรียบเทียบได้ หากถอดออกมาเป็นคำพูดด้วยแล้ว จะยิ่งทำให้หลายๆสาระขาดหายไปด้วยเพราะไม่มีคำศัพท์มากพอ เช่นเดียวกับที่พี่นักเขียนพูดถึงใยแมลงมุม ทำให้คุณ Mead นำภาพ 2 มิติของใยแมลงมุมมา post ซึ่งในที่นี้ต้องยอมรับว่า พี่นักเขียนรู้สึกทันทีว่าเราให้ข้อมูลได้ไม่ดีพอ ทำให้ผู้อ่านยังไม่สามารถเข้าถึงสิ่งที่พี่นักเขียนพยายามจะอธิบายได้

    ในที่นีัพี่นักเขียนต้องขอบคุณ คุณ Mead และขอสนับสนุนให้พวกเราพยายามช่วยตนเองและช่วยพี่นักเขียนด้วยการพยายามตีความหมายสิ่งที่พี่นักเขียนเล่าให้ฟังหรือตอบคำถามออกมาเป็นภาพหรือคำอธิบายขยายความจากความเข้าใจส่วนตัว เหมือนที่คุณ Mead มักจะทำบ่อยๆ เพราะมันเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้พวกเราปรับคลื่นความถี่ของอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการเข้าหากันได้ ทำให้พี่นักเขียนทราบว่า สิ่งที่กำลังถ่ายทอดให้พวกเรา ทำให้พวกเรามีอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการในทิศทางเดียวกันหรือเปล่า เพราะหากว่า อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการที่เกิดขึ้นยังห่างไกลจากพี่นักเขียนต้องการถ่ายทอด ถือว่าพี่นักเขียนยังไม่ประสพความสำเร็จในการทำหน้าที่ TA เลยค่ะ ( แถมคุณ Mead หัวหน้าชั้นมายกให้เป็นอจ.ใหญ่อีกด้วย เลื่อนขั้นเร็วจัง ได้ paid vacation ด้วยหรือเปล่าเอ่ย?)

    พี่นักเขียนขอให้พวกเราลองนึกย้อนกลับไปถึงความฝันในวัยเด็กของตนเอง แต่ละคนจะพบความฝันที่ประทับใจมาแล้ว และอาจทำให้ระลึกได้ว่า เราเคยเข้าไปสู่สภาวะดังกล่าวนี้กันมาแล้วทุกคน ในที่นี้พี่นักเขียนขอย้ำว่าประสบการณ์ของแต่ละคนจะแตกต่างกันไปไม่เหมือนกับพี่นักเขียนแน่นอนเพราะภาวะจิตของเราแต่ละคนล้วนมีเอกลักษณ์ เท่าที่พี่นักเขียนสัมภาษณ์คนใกล้ตัว ได้ความว่า สามีของพี่นักเขียนเองมีประสบการณ์ในวัยเด็กคือ ฝันเห็นตนเองอยู่ในใจกลางของวังน้ำวนที่ทำให้รู้สึกอบอุ่น สบาย ได้รับความรัก ไม่อยากตื่น เพื่อนรักของพี่นักเขียนบอกว่า ตกอยู่ในภาวะที่เหมือนอยู่ในอ้อมกอดและได้รับการคุ้มครองเหมือนอยู่บ้านเก่า ตื่นขึ้นมาตั้งแต่จำความได้รู้สึกเหมือนมาอยู่ในต่างแดน ต่างโลก ที่ไม่ใช่ที่เคยอยู่มาก่อน เรียกได้ว่า เข้านอนแลัวฝันว่าได้กลับบ้าน ตื่นมารู้สึกแปลกที่ทุกวันจนโตก็ค่อยๆลืมเลือนไป

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า เด็กๆสัมผัสกับจิตวิญญาณต้นกำเนิดและองค์ความรู้จากต้นกำเนิดได้ทุกคนอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งทำให้พวกเขาเรียนรู้ที่จะเดิน พูด มองเห็น ใช้ส่วนต่างๆของร่างกายได้ และบางคนก็นำความรู้ต่างๆมาใช้ได้เลยหากไม่ถูกขัดขวาง ความรู้ที่ว่านี้จะเรียกว่าเป็นความรู้ข้ามชาติภพ-ข้ามมิติ-ก็ไม่ผิด เช่นพวกเด็กอัจฉริยะ เป็นต้น แต่เมื่อเราเติบโตขึ้น การศึกษาและสังคมสอนให้เราเรียนรู้จากภายนอก ทำให้เรามองไม่เห็นการติดต่อสื่อสารและการรับข้อมูลความรู้จากภายในได้อีกต่อไป พวกเราทั้งหลายผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาแล้วทุกคน เพียงแต่ว่าเราอาจจะเลิกจดจำ และยิ่งเราห่างเหินความฝันและห่างเหินกิจกรรมที่ทำให้เราจะระลึกถึงประสบการณ์นี้ได้ เช่น การวาดภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กๆทำเสมอๆอย่างเป็นธรรมชาติ ยิ่งทำให้เราความจำเสื่อมโดยใช่เหตุ การวาดภาพทำให้เรารู้จักที่จะคงสภาพข้อมูลความรู้ได้โดยปราศจากการบิดเบือนด้วยคำพูด กล่าวได้ว่า ยิ่งเราโตขึ้นและพูดเก่งมากขึ้นเท่าใด เราก็สูญเสียความเป็นจริงไปพร้อมกับวาทะศิลป์มากขึ้นเท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้าม หากเราสามารถเรียนรู้ที่จะบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างเป็นภาพไว้ได้มากเท่าใด ต่อไป การใช้ถ้อยคำและภาษาพูดของเราจะขยายตัว คือเราจะมีคำศัพท์เพิ่มมากขึ้น และสามารถอธิบายภาพได้ดีขึ้น

    คุณ Mead ช่วยโฆษณาไว้ว่า ต่อไปห้องวิทย์ฯจะมีการเรียนวาดภาพด้วย ซึ่งตรงใจพีนักเขียนจังค่ะ ต่อไปเราจะหันกลับไปฝึกความรู้เดิมสมัยวัยเด็กกันนะคะ เพราะเราเคยมีความพิเศษมากมายมาแต่กำเนิดที่เราลืมเลือน การฝึกฝนเพื่อกลับไปหาอารมณ์-ความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการในวัยเด็ก จะทำให้พวกเราตระหนักว่า เราไม่ได้กำลังจะเรียนรู้อะไรที่ใหม่หรือไกลเกินเอื้อมเลย หากแต่ว่า เรากำลังจะ ยกเลิก หรือ unlearn บางอย่างที่เรียนรู้จากภายนอก ซึ่งขัดขวางไม่ให้เรารู้เห็นและสัมผัสกับสิ่งที่เราทั้งหลายเรียนรู้จากภายในมาแต่กำเนิด และยังคงเรียนรู้ต่อไปเงียบๆอย่างคลุมเครือ

    พี่นักเขียนของเชิญชวนให้พวกเรานำภาพตอนเด็กๆของตนเอง ตอนอายุ 2-6 ขวบ จะดีที่สุด (ถ้ามี) หรือถ้าไม่มีโดกว่านั้นหน่อยก็ได้ นำมาลงอวดกันหน่อยค่ะ เพื่อให้เราได้เห็นภาพของบุคลิกภาพบุคคลตัวตนหนึ่งของเราที่มีวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณใกล้ชิดต้นกำเนิดมากที่สุด ผู้เป็นสือที่จะนำเรากลับไปหาต้นกำเนิดแห่งความรู้ของเราไงคะ

    พี่นักเขียนได้ฟังความคืบหน้าของพวกเราทั้งในและนอกห้องวิทย์ฯหลังจากที่ได้ศึกษาหนังสือชุดของท่านอาจารย์อนาลัยแล้ว พี่นักเขียนคาดหวังว่า นอกจากเราจะได้รับทราบว่าใครทำอะไรได้สำเร็จแล้ว ยังหวังอีกว่าจะได้ทราบเกี่ยวกับ"ภาวะอันเป็นไปที่อยู่เบื้องหลัง" ของความสำเร็จเหล่านั้น หากมาเปิดเผยให้พวกเรารับทราบกันได้จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ข้อบกพร่องที่พวกเราทั้งหลายมักมองข้ามกันเสมอๆ แม้ว่าเราจะอยากเรียนอยากรู้เพียงใดก็ตามคือ เมื่อมีผู้ใดกระทำการบางอย่างได้เหนือชั้นหรือเหนือมนุษย์ เรามักชิืนชมยินดีและอวยพรเขา แต่พวกเรามักไม่ถามถึง"ภาวะอันเป็นไปที่อยู่เบื้องหลัง" และส่วนมากแล้วผู้ที่กระทำการใดๆได้เหนือชั้นหรือผิดแผกไปก็มักไม่เคยกล่าวถึงภาวะเหล่านั้น เขามักจะกล่าวถึงเพียงผลลัพธ์ที่เขาได้ เขามักไม่บอกที่มาและ"ภาวะอันเป็นไปที่อยู่เบื้องหลัง"ของผลลัพธ์เหล่านั้น ซึ่งไม่ใช่ว่าพวกเขาปกปิดความเป็นจริง แต่พี่นักเขียนเข้าใจว่า ทั้งเขาและเราต่างเคยชินกับการเรียนรู้สิ่งต่างๆจากภายนอก การเรียนรู้ด้วยการศึกษาจากการกระทำทางกายภายภาพ เราไม่เคยชินกับการเรียนรู้ด้วยการศึกษาจากภายใน หรือการเรียนรู้ด้วยการศึกษาการกระทำทางจินตภาพหรือการกระทำทางจิต

    แม้ในภาวะอันเป็นไปในชีวิตประจำวัน เมื่อมีผู้ใดประสพความสำเร็จอย่างสูงในวงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวงการบันเทืง ธุรกิจ ฯลฯ เมื่อนักข่าวสัมภาษณ์บุคคลเหล่านั้นด้วยหวังว่าจะนำเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างให้ผูัฟังผู้ชมสามารถประสพความสำเร็จได้บ้างไม่มากก็น้อย อย่างมากที่เราจะได้รับรู้ตือ พวกเขาทำอะไร อย่างไร อันเป็นการกระทำ"ภายนอก" ที่นำไปสู่ความสำเร็จเหล่านั้น แทบไม่เคยมีใครถามว่า พวกเขากระทำการ"ภายใน"หรือมีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดอย่างไร ที่นำพาให้เขาไปสู่ความสำเร็จเหล่านั้น และตามความเป็นจริงที่เราพบเห็นอยู่เสมอๆ เราต่างก็ตระหนักดีว่าต่อให้มีคนอีกร้อยคนพันคนทำตามการกระทำภายนอกของเขา ก็ไม่อาจประสพผลสำเร็จได้ ไม่ว่าจะในทิศทางเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันก็ยังยาก แล้วเราก็โทษโชคชะตา-บุญหรือกรรมว่าทำให้เราแตกต่างจากเขา

    ในห้องวิทย์ฯนี้ ไม่ว่าพี่นักเขียนจะย้อนเล่าถึงเรื่องราวมากมายที่อาจจะดูเสมือนว่าไม่สัมพันธ์กับสาระของจิตวิญญาณที่พวกเราสนใจกันเท่าไรนัก แต่พี่นักเขียนมีเป้าหมายคือ ให้พวกเรามองเห็นหรือสัมผัสกับความเป็นไปทางด้านอารมณ์-ความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการของพี่นักเขียน เพราะเหล่านี้คือ"ภาวะอันเป็นไปที่อยู่เบื้องหลัง" ที่นำมาสู่การติดต่อสื่อสารและการรับข้อมูลความรู้ทั้งหมดจากท่านอาจารย์อนาลัย

    พี่นักเขียนเองก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆตรงที่ว่า เมื่อรับข้อมูลความรู้มาแล้วก็นำมาเสนอหรือถ่ายทอดให้ผู้อ่านเลย อย่างมากที่สุดที่พี่นักเขียนได้ทำไปหลังจากนั้นคือ เล่าถึงที่มาของหนังสือ แต่"ภาวะอันเป็นไปที่อยู่เบื้องหลัง"ก็เป็นสิ่งที่พี่นักเขียนยังไม่เคยเล่า ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการเล่าหรือปิดเป็นความลับ แต่เมื่อพวกเรายังไม่ได้ตระหนักว่าการกระทำทั้งหลายเป็นการกระทำทางจิต "ภาวะอันเป็นไปที่อยู่เบื้องหลัง"แทบจะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสนใจ

    มาถึงจุดที่พวกเราได้มารวมตัวกันในห้องวิทย์ฯนี้ พี่นักเขียนขอย้ำว่า พวกเรากำลังศึกษา"ภาวะอันเป็นไปที่อยู่เบื้องหลัง"ความสำเร็จทุกอย่างในชีวิต ย้อนกลับไปถึงความสำเร็จในการหัดเดิน หัดพูด หัดมองเห็น หัดรับประทานอาหาร ซึ่งเป็นควาวมสำเร็จในการมาถือกำเนิดและดำเนินชิวิตในรูปกายที่เราเลือก ในห้องวิทย์ฯนี้เรามักพูดคุยกันเรื่อง "ความฝัน" "ภาวะของสติสัมปัชญญะ"ทั้งในความฝันก็ดี ยามตื่นก็ดีที่เราเผชิญกับประสบการณ์ต่างๆ หลายๆคนเริ่มกล่าวถึงภาวะเหล่านี้เช่นความรู้สึกที่เกิดขึ้นบนกระหม่อม แต่ขอให้เจาะลึกลงไปอีกถึงอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการด้ย เพราะเหล่านี้คือหัวใจหรือ"ภาวะอันเป็นไปที่อยู่เบื้องหลัง"

    พี่นักเขียนขอให้พวกเราจดจ่อกับสาระเกี่ยวกับ"ภาวะอันเป็นไปที่อยู่เบื้องหลัง"ให้มากขึ้น คำถามของคุณหลาน mindanaric เป็นตัวอย่างของเด็กช่างซักที่พยายามค้นคว้าเกี่ยวกับ"ภาวะอันเป็นไปที่อยู่เบื้องหลัง" ที่พี่นักเขียนอยากให้พวกเราซักถามกันต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง รวมทั้งคุณหลาน mindanaric ด้วย (แล้วไม่ต้องร้องไห้นะคะ ซักไซ้ได้เสมอค่ะ) เพราะคำตอบที่เราได้จาก"ภาวะอันเป็นไปที่อยู่เบื้องหลัง"เหล่านี้ จะทำให้เราสามารถเข้าใจกระบวนการอันเป็นต้นกำเนิดของการกระทำภายนอกทั้งหมด และทำให้เราสามารถกระทำการทั้งภายในภายนอกให้บรรลุผลสำเร็จได้ด้วยตนเอง

    มัวแต่เขียน อยากเล่นเกมส์ด้วยคน ภาพวาดของคุณ Mead สวยมากจริงๆ น่าจะชื่อ "จิตประภัสสร"

    ปล ภาพด้านล่างนี้เรียง
    ภาพที่ 1 ภาพที่ 3
    ภาพที่ 2 ภาพที่ 4
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    Studio Ghiibli Film

    เมื่อประมาณ 4 ปีมาแล้วฝันว่าพบกับศิลปินท่านหนึ่ง ซึ่งไปรู้เห็นประวัติเขาว่า เขาเริ่มสร้างงานศิลปะของเขาเมื่อายุ 60 ปี แล้วเขาก็พาไปดู Studio ที่แสดงผลงานของเขาไว้มากมาย ภาพที่ประทับใจมากๆเป็น animationห และรู้ชื่อศิลปินว่า Miyazaki ได้ยินเสียงบอกว่าให้ศึกษาจาก Miyazaki ตื่นมาไม่รู้จักว่าเขาคือใคร

    สัปดาห์หนึ่งให้หลังมีเพื่อนมาเยี่ยมจาก Chicago เขาทำงานเกี่ยวกับ 3D-animations เขามาติดต่อให้พี่นักเขียนวาด cartoon ให้ เพราะรู้จักกันมานานและเขารู้ว่าพี่นักเขียนชอบเขียน cartoon มากๆ เล่าความฝันให้เขาฟังเห็นเขาอยู่ในวงการ

    เขาเลยส่งหนังสือและ DVD ของ Hayao Miyazaki มาให้เป็นของขวัญ มีเรื่องSpirited Away (ดู 3 รอบ หลงรักเจ้าหนู Chihiro), Princess Mononoke, Castle in The Sky และ Gi Gi

    ไม่ทราบมาจนทุกวันนี้ทำไม่ถึงฝันถึง Miyazaki หรือจะฝันเห็นผ่านมุมมองของคุณ Mead และพวกเราที่รู้จัก Miyazaki ก็เป็นได้ ลึกๆคิดว่าต่อไปจะทำงานเกี่ยวกับเด็กๆ เช่นเขียนหนังสือเด็กประกอบภาพ

    เอา cartoon ที่พี่นักเขียนวาดมาให้ดูเล่น จากหนังสือเด็กชุด Ruffy ยังไม่เคยตีพิมพ์ และเพื่อนเอาไปทำ 3-D animations แต่ยังไม่เสร็จค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Blankie.jpg
      Blankie.jpg
      ขนาดไฟล์:
      102.1 KB
      เปิดดู:
      54
  11. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    เฉลย..คุณขจรวรรณ และท่านผู้อ่าน

    กฎธรรมชาติ กฎแห่งธรรม กฎแห่งกรรม..ที่แท้จริง???

    จาก สูงสุด วัตถุ กาย จิต..กิเลส
    สู่ สามัญ จิต..บริสุทธิ์

    สรรพสิ่งในมหาสากลจักรวาล คือ สิ่งเดียวกัน???

    เท่าที่มนุษย์ ค้นพบ
    ดิน น้ำ ลม ไฟ
    ดวงดาว ป่าเขา แผ่นดิน ท้องฟ้า ทะเล แม่น้ำ สรรพสัตว์
    ประเทศ จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ครอบครัว คน สัตว์ สิ่งของ
    โมเลกุล อะตอม อิเล็กตรอน โปรตรอน นิวตรอน นิวตริโน อนุภาคแสง โฟตอน แกมมา อัลฟา ฯลฯ

    สิ่งที่เล็กที่สุด คือ อะไร????ทำจากอะไร????เกิดจากอะไร????จิต???

    สรรพสิ่งในมหาสากลจักรวาล

    ยึดกันอยู่อย่างไร??? ห่างกันเท่าใด???ใกล้ชิดแค่ไหน????
    เท่าที่มนุษย์คิดได้ มีตัวชี้วัด คือ ระยะ..
    ระยะทาง ระยะห่าง ระยะเวลา
    นั่นแสดงว่ามี
    ช่องว่าง ความว่าง ระหว่างสรรพสิ่ง
    ช่องว่าง ความว่าง ระหว่างทุกสรรพสิ่ง มีอยู่ในทุกสรรพสิ่ง เป็น..ผืนเดียวกัน..เชื่อมต่อกัน..เหมือนกัน????
    ...ย่อมเป็น..ผืนเดียว..อันเดียวกัน..จริงแท้แน่นอน...ทั่วทั้งสากลมหาจักรวาล
    ...ย่อมเป็น..ที่ตั้งอยู่ และ มีอยู่ใน เปลี่ยนรูปไป..ไม่ดับ..ของ..ทุกสรรพสิ่ง ทั่วทั้งสากลมหาจักรวาล

    ในช่องว่าง ความว่าง ระหว่างสรรพสิ่ง มีอะไร????
    สรรพสิ่งยึดกันอยู่ด้วยอะไร????
    แรง?
    แรงดึงดูด
    แรงโน้มถ่วง
    แรงยึดเหนี่ยว
    แรงเกี่ยวพัน
    แรงสัญญา
    ฯลฯ
    แรง = พลังงาน = ไม่มีวันสูญหาย


    จึงเห็นว่า
    ทุกสรรพสิ่ง ล้วน เกี่ยวข้อง สัมพันธ์กัน
    ทุกสรรพสิ่ง ประกอบด้วย วัตถุ+ช่องว่าง ซึ่ง บรรจุด้วย แรง ทำให้ ยึดติด สัมพันธ์กัน เฉกเช่น คน สัตว์ สิ่งของ ล้วนเกี่ยวข้อง ผูกพันกันและกัน มีผลต่อกันและกัน ต่อเนื่องกัน ไม่มีที่สิ้นสุด ดุจ ทฤษฎีปฏิจจสมุทปบาท ทฤษฎีสัมพันธภาพฯลฯ ทั้ง การกระทำ คำพูดและ ความคิด จิตใจ หรือนี่คือที่มาของคำว่า กฎแห่งกรรม นี่คือ สัญญาขัณฑ์ นั่นเอง


    ซึ่งเป็นไปตาม กฎธรรมชาติ เช่น
    ทฤษฎีแรงโน้มถ่วง ของนิวตัน
    ทฤษฎีแรงสัมพันธภาพ ของไอน์สไตน์
    ทฤษฎีปฏิจสมุทปบาท ของพระพุทธเจ้า
    ฯลฯ เท่าที่มนุษย์ คิดได้

    อยากถาม..มนุษย์อีกว่า
    จะแยกเขา แยกเรา แยกเผ่า แยกพันธุ์ แยกหมู่ แยกพวก แยกเชื้อ แยกชาติ แยกศาสนา แยกๆๆๆฯลฯ...ทำไม..????? ในเมื่อ..เราล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน ตั้งอยู่บนช่องว่าง ความว่าง อันหนึ่งอันเดียวกัน มีแรงฯลฯยึดเหนี่ยวเกี่ยวพัน กันและกันๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

    เมื่อใหร่???..จะยินยอมพร้อมใจ..และกลับคืน..สู่..สามัญ
    ธรรมชาติ ..สมดุลย์
    ธรรมดา ..สบายๆ..
    ด้วย..
    ธรรม ..สายกลาง
    อันหนึ่งอันเดียวกัน คือ ความ..รัก..ดี..ที่จิต..กาย..พอดี พอเพียง..ต่อสรรพสิ่ง
    สู่..
    ความว่าง..ช่องว่าง..จิต..บริสุทธิ์..ดั่งเดิม..นิพพานัง..จิตจักรวาลหนึ่งเดียว

    วิธีการ นั้นมีอยู่แล้ว ฟรีๆ ทุกๆที่ ทุกๆเวลา ขณะจิต

    หรือนี่คือ???
    กฎแห่งความจริงแท้ แน่นอน ของมหาสากลจักรวาล
    (b-love2u) (b-cry) (b-lablin) (b-love2u)
    วัตถุ รูป กาย...สังขาร ภาวะ
    จิตบริสุทธิ์ วิญญาณ ช่องว่าง...เวทนา อารมณ์
    แรงยึดเหนี่ยว เกี่ยวพัน สัญญา...กฎแห่งกรรม กฎธรรมชาติ
    ตัดภาวะ ตัดอารมณ์ คือ ตัดสัญญาได้แล้วไซร้ ย่อมไปจาก วัฎสงสาร ได้นั่นเอง<!-- / message --><!-- edit note -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2007
  12. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ความก้าวหน้าของจิตวิญญาณ/เอกลักษณ์ของตนเอง

    ความก้าวหน้าของจิตวิญญาณ หมายถึงการขยายการรู้เห็นของสติสัมปชัญญะครอบคลุมได้กว้างขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ คือ:
    - รู้เห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสภายนอก + ประสาทสัมผัสภายใน หรือ
    - รู้เห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า + ประสาทสัมผัสที่หก ซึ่งจะทำให้เราสามารถรู้เห็น
    - โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติอันเป็นกายภาพ + จินตภาพ

    ความคมชัดของสติสัมปชัญญะเป็นคุณสมบัติหรือภาวะที่จิตวิญญาณสามารถจดจ่อและรู้เห็นสิ่งต่างๆได้โดยไม่เล็ดรอดการรู้เห็นไป ซึ่งตามปกติแล้วเรามักรู้เห็นได้เพียงสิ่งที่เรารับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า แล้วปล่อยให้สิ่งที่เรารู้เห้นด้วยประสาทสัมผัสที่หกเล็ดรอดไปโดยปริยาย เพราะเรามักตีค่าว่ามันเป็นเพียงอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิดที่ไร้ความหมาย

    ความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคลเป็นภาวะที่มีมาแต่กำเนิดส่วนหนึ่งซึ่งสถิตย์อยู่ในจิตวิญญาณส่วนหนึ่ง และแตกแขนงเพิ่มเติมด้วยการดำเนินชีวิตในแต่ละชาติภพอีกส่วนหนึ่ง ความเป็นเอกลักษณ์ที่ว่านี้เป็นภาวะจิต อันได้แก่อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิด ซึ่งสะท้อนให้เห็นเป็นภาวะทางกายภาพอันได้แก่ประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดตลอดจนสุขภาพร่างกายของแต่ละคนด้วย

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า :
    ตัวตนแต่ละตัวตนของเธอในทุกชาติภพซึ่งมีบุคลิกภาพอันหลากหลายต่างก็มีเป้าหมายจำเพาะ มีหน้าที่จำเพาะ แต่ละบุคลิกภาพหรือแต่ละตัวตนมีความพยายามในการสร้างสรรค์ อันเป็นพื้นฐานของตันเองซึ่งเป็นตัวกำหนด คุณภาพอันเป็นอมตะ และเป็นคุณภาพที่แต่ละบุคลิกภาพหรือแต่ละตัวตนในแต่ละชาติภพแสวงหา ด้วยภาวะของจิตวิญญาณอันเป็นร่างกายเนื้อหนัง-พวกเธอกำลังใช้พลังงานไปในทิศทางที่ทำให้เธอแสวงหาการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ของจิตวิญญาณและคุณค่าของชีวิต เพื่อค้นให้พบ คุณภาพอันเป็นอมตะ
    (จากหนังสือ อมตะแห่งจิตวิญญาณ -ภาคต้น
    บทที่ 3 สภาพแวดล้อมในปัจจุบันของฉัน
    สภาพแวดล้อมในอนาคตของเธอ หน้า 38)


    ธรรมชาติของความคิดทั้งหลายได้รับผลกระทบจากคุณภาพของอารมณ์ ซึ่งแต่ละอารมณ์มีความเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง ไม่มีอารมณ์ของผู้ใดคล้ายคลึงกัน ดังนั้นในโลกทางกายภาพของเธอ จึงไม่มีวัตถุธาตุใดๆที่เสมอเหมือนกันแม้แต่บุคคลที่เธอเรียกกันว่าฝาแฝดก็ตาม อะตอมและโมเลกุลที่ประกอบกันขึ้นเป็นวัตถุธาตุทั้งหลายมีคุณลักษณะเป็นเอกลักษณ์ของมัน
    (จากหนังสือ อมตะแห่งจิตวิญญาณ -ภาคต้น
    บทที่ 3 สภาพแวดล้อมในปัจจุบันของฉัน
    สภาพแวดล้อมในอนาคตของเธอ หน้า 62)


    สรุปได้ว่า ความเป็นเอกลักษณ์ของเราแต่ละคน คือปัจจัยที่ทำให้เราเลือกที่จะเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิต เพื่อค้นให้พบ คุณภาพอันเป็นอมตะ ในทิศทางและเป้าหมายจำเพาะของเรา

    ยกตัวอย่างนะคะ :
    บางคนเลือกมาถือกำเนิดด้วยการมีร่างกายที่เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ เอกลักษณ์ของเขาคือ ใช้ความเจ็บป่วยเป็นหนทางสู่การเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิต ใช้ความเจ็บป่วยเป็นปัจจัยที่ทำให้พัฒนาคุณภาพอันเป็นอมตะ อันได้แก่ ความอดทน วินัยในการใช้ชีวิต เพื่อให้เขารู้จักที่จะรักชีวิต เทิดทูนชีวิต เพราะทุกครั้งที่รอดตายจากความเจ็บป่วยมาได้ เป็นการบรรลุผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่เสมอ เป็นต้น

    บางคนเลือกเกิดมาใช้ชีวิตผาดโผน เสี่ยงตาย เอกลักษณ์ของเขาคือ ใช้ความผาดโผน เสี่ยงตายเป็นหนทางสู่การเคิมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิต ใช้ความผาดโผน เสี่ยงตายเป็นปัจจัยที่ทำให้พัฒนาคุณภาพอันเป็นอมตะ อันได้แก่ ความอดทน หรือ วินัยในการใช้ชีวิต เพื่อให้เขารู้จักที่จะรักชีวิต เทิดทูนชีวิต เพราะทุกตรั้งที่รอดตายจากความเสี่ยงมาได้ เป็นการบรรลุผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่เสมอ เป็นต้น

    ตามตัวอย่างที่พี่นักเขียนยกมานี้ จะเห็นได้ว่า แม้บุคคลสองคนจะบรรลุคุณภาพอันเป็นอมตะที่ดูเสมือนว่าคล้ายคลึงกัน แต่ต่างก็ใช้ความเป็นเอกลักษณ์ในทิศทางจำเพาะ ด้วยเป้าหมายจำเพาะ และคุณภาพอันเป็นอมตะนั้นๆก็แตกต่างกันไปอีกมาก หากเราไปสัมภาษณ์คนที่รอดตายจากโรคภัยไข้เจ็บ กับ คนที่รอดตายจากความเสี่ยงภัย แม้ว่าเขาทั้งสองคนดูเสมือนจะบรรลุเป้าหมายเดียวกันคือ รอดตายมาได้ แค่ความแตกต่างที่จะปรากฏให้เราเห็นได้ชัดคือ อารมณ์ จินตนาการและความรู้สีกนึกคิด อันเป็นเอกลักษณ์ยิ่งของเขา
    (rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2007
  13. mindanaric

    mindanaric เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +1,964
    SoS!!!

    มีปัญหามาถาม ว่า....ฝันแต่จำไม่ได้ทำไงดี ???? ใครรู้ช่วยบอกที

    ต้องฝึกสติฯหรอ? ฝึกแบบไหนดี ?

    แล้วก็ทำยังไงถึงจะรับรู้ถึงตัวตนภายในได้(ใช้สติฯภายในได้) มีวิธีการฝึกแบบไหนได้บ้าง?

    อยากให้คุณน้ายกตัวอย่าง ที่ตัวเองเคยประสบมาประกอบเป็นแบบอย่างด้วยค่ะ

    @o@ ~
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2007
  14. mindanaric

    mindanaric เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +1,964



    โหหภาษาชาวบ้านเค้าเรียกว่าขั้นเทพแล้วนี่!!!

    เมื่อก่อนคิดว่าพวกต่างดาวเจริญทางด้านวัตถุมากกว่าเรามากกกก แต่ที่ไหนได้สูงกว่านั้นอีกกกกกก O-O!!!

    พึ่งเข้าใจเอเลี่ยนนะเนี่ย~
     
  15. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    นักวิทยาศาสตร์ห้องวิทย์ฯเล่นเอาพี่นักเขียนเกิอบจะปวดหัวไปด้วยอีกคนเจ้าค่ะ
    ที่คุณน้องขจรวรรณบอกว่า จิตวิญญาณของเราจะหลุดพ้นได้ต้องเอาชนะแรงโน้มถ่วงของโลกให้ได้

    พี่นักเขียนเข้าใจตามความเป็นไปยามฝันนะคะว่า จิตวิญญาณของเราอยู่นอกเหนือแรงโน้มถ่วงของโลกอยู่แล้วโดยธรรมชาติ เราไม่จำเป็นต้องไปเอาชนะมัน เราเพียงแต่จำเป็นจะตัองตระหนักว่า จิตวิญญาณไม่ได้อยู่ใต้อิทธิพลของ ช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา และแรงดึงดูดของโลกอยู่แล้วตลอดวันเวลา แต่ในยามตื่น เราเชื่อได้ยาก-เข้าใจได้ยาก เพราะจะไปให้ถึงจุดหมายปลายทางต้องเดินทาง ต้องใช้เวลา เดินยังไงๆก็ตัวหนัก จะกระโดดได้สูงเพียงใดก็ตกกลับลงมาสู่พื่้นดิน แต่ในความฝัน แม้เราจะไม่เชื่อ-แม้เราจะไม่เข้าใจ แต่เราก็พบเห็นตัวเราเหาะเหินได้ ตัวลอยได้ ออกไปนอกโลกได้เสมอๆ

    ตราบใดที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ยอมรับว่า ภาวะจิต ความฝันอันเป็นจินตภาพ อารมณ์ ความรู้สีกนึิกคิดและจินตนาการ มีโลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นจริงไม่น้อยไปกว่าโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพ และพยายามนำจิตวิญญาณมาเกี่ยวพันกับการคำนวณทางคณิตศาสตร์เพื่อหาข้อพิสูจน์ เราจะหาความเป็นจริงไม่พบ เพราะเมื่อเราพูดถึงอารมณ์ในแง่บวกและลบ เราไม่สามารถคำนาณปริมาตรหรือปริมาณของอารมณ์ได้ด้วยวิธีการทางคณิตศาสตร์ใดๆ จริงไหมคะ

    พี่นักเขียนไม่ชอบคิดเลข ชอบวาดรูปมากกว่า ไม่ปวดหัวดี
    ทานขนมหน่อยนะคะ แก้ปวดหัว
    ห้ามคิดต่อนะคะว่า ไข่หรือไก่เกิดก่อนกัน เดี๋ยวปวดหัวอีก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. mindanaric

    mindanaric เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +1,964

    (}) (bb-flower (kiss) (smile) [b-wai] (rose) (rose)
     
  17. mindanaric

    mindanaric เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +1,964
    เห็ยด้วยอย่างแรงงงงค่า (b-ahh)
     
  18. mindanaric

    mindanaric เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +1,964
    ฮูเล่ๆๆๆ น้องปาสงมาแร้ววววว~ เย้ๆๆ ค่อยครึ้กครื้นหน่อย มีประสบการณ์อะไร มาแบ่งปันบ้างก็ได้น้าหรือคำถามก็ยอดเลยย รุสึกว่าพี่ๆแถวนี้หลายคนสนใจ เราเหลือเกินนะ หนุ่มน้อยนิรนาม uvu~

    เรียกเราว่าพี่ด้วยอ่า .....OoO""...ตายจริง มีคนเด็กกว่าเราด้วยนะที่ห้องนี้ อิอิอิ (ดีจายค่า) ยินดีที่ได้รู้จักมิตรธรรมเอ๋ย~
     
  19. mindanaric

    mindanaric เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +1,964

    นั่นจิแอบอยากรู้เหมือนกันมันแปลว่าอารายหยอ @.@ ตอนนี้ไม่ต้องตามแล้วค่า คุณน้ามาอยู่นี้แล้ว แต่...พี่แก้วออกไปแล้ว...~
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2007
  20. mindanaric

    mindanaric เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +1,964
    คุณChalhoei มาช้าค่า เล่นกันไปแล้ว ด้วยความรวดเร็วคุณชายมิ้ทก็เฉลยเรียบร้อยเลย ไม่รอให้คนอื่นมาทายเลย -"- ขออนุโมทนาที่ไปชาร์จแบตมาด้วยนะคะ (จะอนุญาตไม๊น้อ)



    อ้า....รู้สึกว่าคุณน้าจะยังไม่ได้เห็นเฉลยนะ หุหุหุหุ ทายถูกๆด้วยอ่าค่ะ

    (good) (good) (good) (good) (good)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2007

แชร์หน้านี้

Loading...