ฉันทะ วัตถุมงคล หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา **

ตุ้ย ฉันทะ · 1 ธันวาคม 2012

วันนี้ ในห้องนี้ คงไม่มีใครดีใจมากๆเท่ากับคุณ peerasitg แล้วล่ะมั่งครับ
ยินดีกับคุณ peerasitg ที่ได้รับรางวัล หลวงปู่ทวดอังคารธาตุ ไปทีเดียวถึง2องค์ครับ

* ขอบคุณ คุณนะมารวย ด้วยครับสำหรับของรางวัล
** ขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่านที่คอยช่วยสรุป และตรวจทานให้ครับ
*** ขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่านที่เข้ามาร่วมสนุกในครั้งนี้ด้วยครับ
**** สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับรางวัลยังไม่ต้องเสียใจครับ ขอบอกไว้ก่อนเลยว่ายังมีรายการที่เพื่อนสมาชิกในเวปนี้ ได้มอบวัตถุมงคลมาให้ร่วมสนุกกันอีกหลายชิ้นด้วยกันครับ

ผมว่าวันไม่เพียงแต่คุณ peerasitg เท่านั้นที่มีความสุข ผมและเพื่อนสมาชิกหลายท่านเลยทีเดียวที่มีความสุขในวันนี้เหมือนกัน เพราะได้เริ่มอ่านบทความดีๆของพี่โจ(สงสัยพี่โจ น่าจะเริ่มว่างจากงานบ้างแล้ว) หลังจากห่างหายมาสักระยะหนึ่งแล้ว หวังว่าพี่โจจะนำบทความดีๆมาให้เพื่อนสมาชิกได้อ่านกันอีกนะครับ

;aa57;aa1;aa26;aa30;aa46;aa48;aa15;aa18

sylvenus · 2 ธันวาคม 2012

ฉันทะ said: ↑

วันนี้ ในห้องนี้ คงไม่มีใครดีใจมากๆเท่ากับคุณ peerasitg แล้วล่ะมั่งครับ
ยินดีกับคุณ peerasitg ที่ได้รับรางวัล หลวงปู่ทวดอังคารธาตุ ไปทีเดียวถึง2องค์ครับ

* ขอบคุณ คุณนะมารวย ด้วยครับสำหรับของรางวัล
** ขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่านที่คอยช่วยสรุป และตรวจทานให้ครับ
*** ขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่านที่เข้ามาร่วมสนุกในครั้งนี้ด้วยครับ
**** สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับรางวัลยังไม่ต้องเสียใจครับ ขอบอกไว้ก่อนเลยว่ายังมีรายการที่เพื่อนสมาชิกในเวปนี้ ได้มอบวัตถุมงคลมาให้ร่วมสนุกกันอีกหลายชิ้นด้วยกันครับ

ผมว่าวันไม่เพียงแต่คุณ peerasitg เท่านั้นที่มีความสุข ผมและเพื่อนสมาชิกหลายท่านเลยทีเดียวที่มีความสุขในวันนี้เหมือนกัน เพราะได้เริ่มอ่านบทความดีๆของพี่โจ(สงสัยพี่โจ น่าจะเริ่มว่างจากงานบ้างแล้ว) หลังจากห่างหายมาสักระยะหนึ่งแล้ว หวังว่าพี่โจจะนำบทความดีๆมาให้เพื่อนสมาชิกได้อ่านกันอีกนะครับ

;aa57;aa1;aa26;aa30;aa46;aa48;aa15;aa18
Click to expand...

ยินดีกับคุณ peerasitg ด้วยนะครับ...

พระท่านเลือกคนจริงๆ ครับ

ดีใจที่ได้อ่านบทความดีๆ จากพี่โจนะครับ...

หูกาง · 2 ธันวาคม 2012

สุดยอดมากครับพี่โจ เตือนสติผมเยอะเลยครับ...ขอบคุณมากครับ...

แหม่มจ้า · 2 ธันวาคม 2012

Jopaa said: ↑

วันนี้มีเรื่องเก็บตกเล็กๆน้อยๆมาเล่า..

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อคืนลอยกระทงที่ผ่านมา ณ วัดทุ่งเศรษฐี อุดมสุข บางนา

อยู่ดีๆก็เกิดการเอะอะโวยวาย..สับสน อลหม่านขึ้น..

ที่สุดจับใจความได้ว่า..

มีสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ท่านมีความสนใจในการเข้าวัดเข้าวา และนั่งปฏิบัติธรรมมาก

และก็พอดีอีกเช่นกัน ที่ท่านได้อาจารย์สอนกรรมฐานแบบมั่วๆ..

พระท่านนี้ท่านจะสอนแต่การมองเห็น ท่านจะเน้นว่าต้องมองให้เห็นนู้น เห็นนี่..มองให้เห็นบ้านของตนเองในสวรรค์ มองให้เห็นพระเกศแก้วเจ้าฟ้าจุฬามณี..รวมทั้งครั้งหลังสุดเตลิดไปใหญ่ บอกว่าเธอผู้นี้มีกุมารทองคุ้มครอง ดังนั้นจึงต้องนั่งให้เห็นกุมารทององค์ที่มาคอยคุ้มครองเธอ..

เธอเชื่อถือมาก พยายามจะมองให้เห็น..เค้นให้เห็น.. ที่สุดจิตแห่งการพยายามจะเค้น จะบังคับให้เห็น กลายเป็นความเคลียดในจิต เตลิดเกิดเป็นภาพหลอนมากมาย เห็นเป็นยักษ์ เป็นผี เป็นยมทูต เป็นกุมารทอง เห็นอะไรเยอะแยะจะมาจับตัวเธอไป จึงเป็นที่มาของการร้องเอะอะโวยวายขึ้น..

นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง..โทษของการส่งจิตออกนอก..โทษของการนั่งภาวนาโดยการเห็น มิใช่การนั่งภาวนาแห่งการ "รู้"

นับเป็นแนวทางที่สุ่มเสี่ยงมาก จิตอ่อนๆ ผู้ไม่เคยมีประสบการ์ณการภาวนามาก่อน จิตหลุดออกนอก..เข้าลกเข้าพงกู่ไม่กลับก็มากมี..ซึ่งก็คือ ตัวอย่างของพวกร่างทรงต่างๆ เป็นต้น..นั่งไปนั่งมากลายเป็นจิตหลอกจิต จิตหลอกตนเอง คิดว่าที่สุดแล้วตนเป็นเช่นนั้นจริง เป็นองค์นู้นองค์นี่จริง สำคัญตนว่าเป็นผู้มากอิทธิฤทธิ์ก็มากมี จนบางครั้งการพูดจาส่งเสียงกัน ก็ใช้คำพูดแปลกๆเรียกว่า "ภาษาเทพ" เช่นนี้แล้วเรียกว่าจิตพาให้เป็นไป ซึ่งก็คือสารเคมีในร่างกายเริ่มมีความผิดปกติไป จึงต้องเกิดเป็นโรงพยาบาลศรีธัญญา เพื่อรักษาผู้ป่วยอาการแห่งการเห็น อาการแห่งการหลอน ดังคำหลวงปู่ดุลย์ อตุโล พระอรหันต์เจ้าท่านได้พูดได้เตือนไว้ "ที่เขาเห็น..เขาเห็นจริง..แต่สิ่งที่ถูกเห็น..ไม่จริง "

นัยยะเดียวกันกับการพยายามจะนั่งให้เห็นหลวงปู่ดู่ หลวงปู่ทวด เป็นการนั่งเพื่อพยายามจะให้เห็น เค้นที่จะให้เห็น แต่ลืมถามตนเองไปว่า

"ถ้าเห็นแล้วได้อะไรล่ะ หลวงปู่ฯจะมาช่วยอะไรท่านได้ "

พระพุทธองค์ท่านก็ตรัสอยู่ป่าวๆ.."อัตตาหิ อัตโน นาโถ" ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนช่วยตนเอง ครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้ช่วย ท่านเป็นแต่ผู้ชี้ทางเท่านั้น

ดังนั้นศิษย์ยุคหลังหลวงปู่ฯจึงจำเป็นต้องไม่หลงประเด็น ดังคำว่าหลวงปู่ดู่ท่านที่เน้นว่า

" แกนั่งแล้ว ปฏิบัติแล้ว กิเลสแกลดลงหรือไม่ล่ะ ถ้าลดลงข้าฯว่าแกใช้ได้ " นี่ต่างหากคือสิ่งที่หลวงปู่ดู่ท่านสอนสั่ง ท่านไม่ได้สอนให้เห็นท่าน มองท่าน หรือขอให้ท่านช่วย ดังที่ผู้ได้ชื่อวาศิษย์หลวงปูยุคหลังๆต่างพยายามจะให้เป็นไปในแนวทางนี้..ที่ถูกต้องแล้ว ท่านสอนแต่เรื่องกิเลส สอนแต่ให้พยายามดำรงจิตใจด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งกุศโลบายด้วยคำพูดต่างๆ.. ที่สุดแล้ว ก็เพื่อให้เราพยายามละลดกิเลสต่างๆเท่านั้น ไม่ใช่จะไปพยายามเพิ่มพูนกิเลสมากขึ้น ดังที่ศิษย์ยุคหลังๆพยายามจะให้เป็นเช่นนั้น โดยพยายามเค้นจะมองให้เห็นท่าน เห็นหลวงปูทวด เห็นสิ่งต่างๆนอกตัว เห็นแสงสว่างเป็นต้น เรียกว่าไปกันคนละด้านกันเลย จนนักภาวนาใหม่ๆบางท่าน คิดว่าแนวทางการปฏิบัติธรรมแห่งหลวงปู่ดู่ เป็นแนวทางเฉพาะแตกต่างกับสายอื่นๆ เป็นแนวทางแห่งการส่งเสริมให้จิตออกนอก

การนั่งภาวนาสมาธิที่ถูกต้อง..แท้จริงแล้วไม่มีเรื่องอัศจรรย์ใดๆเลย มีแต่เพียงเรื่องของการทำให้จิตสงบๆ จากที่จิตวอกแว๊ก..เตลิดมาทั้งวัน และเมื่อจิตนิ่งดีแล้ว จึงสามารถน้อมมาพิจารณาการกระทำแห่งตัวในวันนั้นๆ ว่าสิ่งนั่นสิ่งนี้เราทำถูกต้องหรือไม่ วันนี้เกิดเหตุการ์ณอะไร? เราวางอารมณ์ถูกต้องหรือไม่ กิเลสแห่งความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเข้ามาครอบงำเราตรงไหน เราพลาดตรงไหนไป..ไม่ทันเขาตรงไหน..เช่นนี้เป็นต้น

เช่นนี้แล้ว..จึงได้ชื่อว่าเป็นนักภาวนาที่ถูกต้อง ได้ชื่อว่าเป็นนักภาวนาเพื่อหาวิธีเอาชนะรบรากับตัวกิเลสที่อยู่รอบตัวเราทุกขณะจิตในชีวิตประจำวัน เอาชนะกิเลสที่ฝังแน่นอยู่ในตัวเราทุกคน โดยการหาวิธีการให้แก่ตนเอง หาเคล็ดลับเล็กน้อยๆให้แก่ตัวเอง ทั้งนี้ก็เพื่อคลายจิตออกวังวนแห่งกิเลสวันละเล็กวันละน้อย

การเอาชนะกิเลสได้มาก ที่สุดแล้วไม่มีใครได้อะไรกับเราเลย พ่อแม่ก็ไม่ได้ ญาติพี่น้องก็ไม่ได้ แต่ตัวเราเองนั่นแหละที่ได้..ได้ความสุขใจ..เอาชนะได้มากกว่าคนอื่น ก็สุขใจมากกว่าคนอื่น เอาชนะน้อย ก็ทุกข์ใจมาก..ทุรนทุรายมากกว่าคนอื่น..มันก็เท่านั้น ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้เลย..

เรื่องของการภาวนา ที่สุดแล้ว ไม่มีเรื่องของความวิเศษวิโส ความอัศจรรย์ใดๆให้งมงายเลย..

อยู่ในเส้นทางแห่งธรรม อย่าหลุดออกนอกแนวโคจร

"อย่าส่งจิตออกนอก " คำพูดนี้แห่งพระอรหันต์เจ้าทุกๆองค์ ช่างสำคัญนัก

เล่าๆไว้พอเป็นประสบการ์ณ ความผิดเพี้ยนที่ได้พบเห็นกันบ่อยๆ
Click to expand...

ขออนุโมทนาครับพี่โจ

ยุทธhotline · 2 ธันวาคม 2012

ขอบคุณสำหรับบทความครับ

Jopaa · 2 ธันวาคม 2012

Jopaa said: ↑

วันนี้มีเรื่องเก็บตกเล็กๆน้อยๆมาเล่า..

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อคืนลอยกระทงที่ผ่านมา ณ วัดทุ่งเศรษฐี อุดมสุข บางนา

อยู่ดีๆก็เกิดการเอะอะโวยวาย..สับสน อลหม่านขึ้น..

ที่สุดจับใจความได้ว่า..

มีสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ท่านมีความสนใจในการเข้าวัดเข้าวา และนั่งปฏิบัติธรรมมาก

และก็พอดีอีกเช่นกัน ที่ท่านได้อาจารย์สอนกรรมฐานแบบมั่วๆ..ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นพระจากที่ไหน เพียงแต่เธอมานั่งปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดทุ่งฯ

พระท่านนี้ท่านจะสอนแต่การมองเห็น ท่านจะเน้นว่าต้องมองให้เห็นนู้น เห็นนี่..มองให้เห็นบ้านของตนเองในสวรรค์ มองให้เห็นพระเกศแก้วเจ้าฟ้าจุฬามณี..รวมทั้งครั้งหลังสุดเตลิดไปใหญ่ บอกว่าเธอผู้นี้มีกุมารทองคุ้มครอง ดังนั้นจึงต้องนั่งให้เห็นกุมารทององค์ที่มาคอยคุ้มครองเธอ..

เธอเชื่อถือมาก พยายามจะมองให้เห็น..เค้นให้เห็น.. ที่สุดจิตแห่งการพยายามจะเค้น จะบังคับให้เห็น กลายเป็นความเคลียดในจิต เตลิดเกิดเป็นภาพหลอนมากมาย เห็นเป็นยักษ์ เป็นผี เป็นยมทูต เป็นกุมารทอง เห็นอะไรเยอะแยะจะมาจับตัวเธอไป จึงเป็นที่มาของการร้องเอะอะโวยวายขึ้น..

นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง..โทษของการส่งจิตออกนอก..โทษของการนั่งภาวนาโดยการเห็น มิใช่การนั่งภาวนาแห่งการ "รู้"

นับเป็นแนวทางที่สุ่มเสี่ยงมาก จิตอ่อนๆ ผู้ไม่เคยมีประสบการ์ณการภาวนามาก่อน จิตหลุดออกนอก..เข้าลกเข้าพงกู่ไม่กลับก็มากมี..ซึ่งก็คือ ตัวอย่างของพวกร่างทรงต่างๆ เป็นต้น..นั่งไปนั่งมากลายเป็นจิตหลอกจิต จิตหลอกตนเอง คิดว่าที่สุดแล้วตนเป็นเช่นนั้นจริง เป็นเทพ เป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่องค์นู้นองค์นี่จริง สำคัญตนว่าเป็นผู้มากอิทธิฤทธิ์ จนบางครั้งการพูดจาส่งเสียงกัน ก็ใช้คำพูดแปลกๆเรียกว่า "ภาษาเทพ" เช่นนี้แล้วเรียกว่าจิตพาให้เป็นไป ซึ่งก็คือสารเคมีในร่างกายเริ่มมีความผิดปกติไป จึงต้องเกิดเป็นโรงพยาบาลศรีธัญญา เพื่อรักษาผู้ป่วยอาการแห่งการเห็น อาการแห่งการหลอน ดังคำหลวงปู่ดุลย์ อตุโล พระอรหันต์เจ้าท่านได้พูดได้เตือนไว้ "ที่เขาเห็น..เขาเห็นจริง..แต่สิ่งที่ถูกเห็น..ไม่จริง "

นัยยะเดียวกันกับการพยายามจะนั่งให้เห็นหลวงปู่ดู่ หลวงปู่ทวด เป็นการนั่งเพื่อพยายามจะให้เห็น เค้นที่จะให้เห็น แต่ลืมถามตนเองไปว่า..

"ถ้าเห็นแล้วได้อะไรล่ะ หลวงปู่ฯจะมาช่วยอะไรท่านได้ "

พระพุทธองค์ท่านก็ตรัสอยู่ป่าวๆ.."อัตตาหิ อัตโน นาโถ" ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนช่วยตนเอง ครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้ช่วย ท่านเป็นแต่ผู้ชี้ทางเท่านั้น

ดังนั้นศิษย์ยุคหลังหลวงปู่ฯจึงจำเป็นต้องไม่หลงประเด็น ดังคำว่าหลวงปู่ดู่ท่านที่เน้นว่า

" แกนั่งแล้ว ปฏิบัติแล้ว กิเลสแกลดลงหรือไม่ล่ะ ถ้าลดลงข้าฯว่าแกใช้ได้ " นี่ต่างหากคือ สิ่งที่หลวงปู่ดู่ท่านเน้น ท่านสอนสั่ง ไม่ใช่ไดอาร๊อกแปลกๆที่นำมาตีความเข้าข้างตนแบบในปัจจุบัน ท่านไม่ได้สอนให้เห็นท่าน มองท่าน หรือขอให้ท่านช่วย ..ที่ถูกต้องแล้ว ท่านสอนแต่เรื่องกิเลส สอนแต่ให้พยายามดำรงจิตใจด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งกุศโลบายคำพูดต่างๆ.. ที่สุดแล้ว ก็เพื่อให้เราพยายามลดละกิเลสต่างๆเท่านั้น ไม่ใช่จะไปพยายามเพิ่มพูนกิเลสมากขึ้น ดังที่ศิษย์ต่อมาพยายามจะให้เป็นเช่นนั้น โดยพยายามเค้นจะมองให้เห็นท่าน เห็นหลวงปูทวด เห็นสิ่งต่างๆนอกตัว เห็นแสงสว่าง เป็นต้น เรียกว่าไปกันคนละด้านกันเลย จนนักภาวนาใหม่ๆบางท่าน คิดว่าแนวทางการปฏิบัติธรรมแห่งหลวงปู่ดู่ เป็นแนวทางเฉพาะแตกต่างกับสายอื่นๆ เป็นแนวทางแห่งการส่งเสริมให้จิตออกนอก รวมถึงเดี๋ยวนี้ถ้าไม่มีพระกำนั่งอยู่กับมือ ก็กลายเป็นนั่งปฏิบัติธรรมกันไม่ได้ซะแล้ว ขาดความมั่นใจ นั่นเรียกว่า กาลเวลาที่ผันผ่าน จากกุศโลบายกลายเป็นแม่แบบแห่งความยึดติดไป ทั้งๆที่ครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่แต่โบราณกาลทุกๆองค์ ท่านก็ไม่เคยมีพระกำอยู่ในมือ แต่ก็พบกับธรรมะอันแสนล้ำค่าโดยไม่ต้องพึ่งพาซึ่งสิ่งภายนอกใดเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องของ "จิด" ล้วนๆ ไม่มีเอสเชทเชอร์รี่อื่นใดเลย

การนั่งภาวนาสมาธิที่ถูกต้อง..แท้จริงแล้วไม่มีเรื่องอัศจรรย์ใดๆเลย มีแต่เพียงเรื่องของการทำให้จิตสงบๆ หาตัว "สติ" ให้เจอ จากที่จิตวอกแว๊ก..เตลิดมาทั้งวัน และเมื่อจิตนิ่งดีแล้ว จึงสามารถน้อมมาพิจารณาการกระทำแห่งตัวในวันนั้นๆ ว่าสิ่งนั่นสิ่งนี้เราทำถูกต้องหรือไม่ วันนี้เกิดเหตุการ์ณอะไร?.. เราวางอารมณ์ถูกต้องหรือไม่ ?.. กิเลสแห่งความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น มันเข้ามาครอบงำเราตรงไหน?.. เมื่อไร ?.. เราพลาดตรงไหนไป..ไม่ทันมารยาแห่งกิเลสมันตรงไหน..เช่นนี้เป็นต้น

เช่นนี้แล้ว..จึงได้ชื่อว่าเป็นนักภาวนาที่ถูกต้อง ได้ชื่อว่าเป็นนักภาวนาเพื่อหาวิธีเอาชนะ รบรากับตัวกิเลสที่อยู่รอบตัวเราทุกขณะจิตในชีวิตประจำวัน หาวิธีขุดกมลสันดานตนเองขึ้นมา หาเคล็ดลับเล็กน้อยๆให้แก่ตัวเอง ทั้งนี้ก็เพื่อคลายจิตใจเราออกวังวนแห่งกิเลสวันละเล็กวันละน้อย

การเอาชนะกิเลสได้มาก ที่สุดแล้วไม่มีใครได้อะไรกับเราเลย พ่อแม่ก็ไม่ได้ ญาติพี่น้องก็ไม่ได้ แต่ตัวเราเองนั่นแหละที่ได้..ได้ความสุขใจ..เอาชนะได้มากกว่าคนอื่น ก็สุขใจมากกว่าคนอื่น เอาชนะน้อย ก็ทุกข์ใจมาก..ทุรนทุรายมากกว่าคนอื่น..มันก็เท่านั้น ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้เลย..

เรื่องของการภาวนา ที่สุดแล้ว ไม่มีเรื่องของความวิเศษวิโส ความอัศจรรย์ใดๆให้งมงายเลย..

อยู่ในเส้นทางแห่งธรรม อย่าหลุดออกนอกแนวโคจร

"อย่าส่งจิตออกนอก " คำพูดนี้แห่งพระอรหันต์เจ้าทุกๆองค์ ช่างสำคัญนัก

เล่าๆไว้พอเป็นประสบการ์ณ ความผิดเพี้ยนที่ได้พบเห็นกันบ่อยๆ
Click to expand...

-----------------------------------------------------------

พอดีวันนี้วันอาทิตย์ยังคงว่างๆ..เมื่อวานก็ว่าจะพูดแต่เรื่องที่ได้ไปพบเจอมา แค่ประมาณเล่าสู่กันฟัง ที่สุดก็เตลิดไปพูดถึงเรื่อง "โทษของการส่งจิตออกนอก" เสียได้ ซึ่งไม่รู้จะไปกระทบท่านผู้ใดอีกหรือไม่..และหากเป็นดังนั้น ข้าพเจ้าผู้เขียนต้องกราบขออภัย และขออโหสิกรรมมา ณ ที่นี้ด้วยเป็นอย่างสูง..อย่าได้ผูกใจเจ็บด้วยกิเลสแห่งตัวทิฐิเลยหนา..

และเพื่อให้จบบทความอันเกี่ยวกับ "ส่งจิตออกนอก" ข้าพเจ้าจึงขออนุญาตินำบทความที่จะเขียนถึงท่อนหนึ่งแห่งการได้เคยสนทนากับครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ แห่งวงศ์พระป่ากรรมฐาน เพียงบางส่วน เพื่อถ่ายทอดให้ฟังดังนี้...

-------------------------------------------------------------------

ผู้เขียน : หลวงปู่ครับ...การนั่งภาวนาด้วยการกำหนดให้เห็น กับการนั่งด้วยการกำหนดสติอยู่กับตัวรู้ สองวิธีนี้แต่งต่างกันอย่างไรครับ

หลวงปู่ : เหมือนกันปลายทางเดียวกัน สงบได้เหมือนกัน อยู่ในบทพระกรรมฐาน 40 ห้องเหมือนกัน ต่างกันที่จริตแต่ละบุคคล เพียงแต่กี่คนละที่เริ่มต้นอยู่กับการเห็น แล้วจิตไม่พาเตลิดออกนอก เข้าลกเข้าพงไป กี่คนที่ต้นทางเริ่มเช่นนั้น แล้วต่อมาสามารถดึงจิต วางจิตกลับมาสู่ร่องที่ถูกต้องถูกแนวได้

ผู้เขียน : ผมได้เคยถามผู้นั่งปฏิบัติด้วยการพยายามมองให้เห็น เขาว่านั่งมาก็หลายปี ยังไม่เคยได้พบกับความสงบสักทีล่ะครับ หลับตาทีไรก็พาแต่จะออกไปนอกกายเสียเรื่อย

หลวงปู่: ปกติคนเรา ชินชากับการใช้ตา ไม่ใช้จิต เมื่อพยายามจะใช้จิต มันก็กลายเป็นเรื่องยาก เมื่อเป็นของยาก ประกอบกับวางจิตไม่ถูกที่ ปฏิบัติไปก็ไม่ได้ผล ไม่ได้สัมผัสรสชาติแห่งความสงบที่แท้จริงสักที นานไปจึงเริ่มเบื่อ ท้อ ก็กลับไปหาวิธีง่ายๆ ตามความเคยชินแห่งตัว โดยสร้างจินตนาการภาพขึ้นมา วิธีนั่นมันง่ายกว่า และก็หลงทางมากกว่า ผู้ที่เขายังไม่เคยลิ้มรสชาติแห่งความสงบ เขาไม่รู้ เขาจึงคิดว่าวิธีนั่นเป็นวิธีที่ถูกต้องเที่ยงธรรมดีแล้ว

ผู้เขียน : ยังมีสาเหตุอื่นอีกมั๊ยขอรับ

หลวงปู่ : มี

ผู้เขียน :กราบหลวงปู่เมตตาขอรับ

หลวงปู่ : เกือบทั้งหมดของผู้เริ่มต้นภาวนาด้วยการอยากเห็น..ให้ถามตัวเองให้ชัดเจน ก็ในเมื่อเริ่มต้นด้วยตัว "อยาก" เสียแล้ว กิเลสมันนำหน้าไปแล้ว มันจะพบความสงบได้อย่างไร..

ผู้เขียน : แล้วอย่างพวกร่างทรงล่ะขอรับ

หลวงปู่ : คล้ายๆกัน พวกเดียวกัน หมู่เดียวกัน ชอบอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์เหมือนกัน ชอบความร่ำความรวย ชอบได้มาโดยการขอ การอ้อนวอน การหวังพึ่งพิงผู้อื่นเหมือนกัน เป็นเรื่องทางโลกทั้งหมด เป็นโลกีย์วิสัย ไม่เป็นแก่นไม่เป็นธรรม ยังเอาเป็นสาระที่พึ่งไม่ได้ ไม่ใช่แนวทางของผู้ปฏิบัติธรรม

หมายเหตุ :จากภาษาอีสาน แปลความเป็นภาษาไทยกลาง

เมื่อประสบการ์ณแห่งชีวิต ได้เคยพบเจอครูบาอาจารย์มา ก็นำมาถ่ายทอดให้ฟังตามความเป็นจริง อย่าได้หาว่าข้อเขียนข้าพเจ้าจงเกลียดจะไปโจมตีผู้ใดเลย ข้าพเจ้าถือธรรม ถือตามความเป็นจริงเป็นหลัก มิได้มีเจตนาร้ายแก่ผู้ใดเลยหนอ

peerasitg · 2 ธันวาคม 2012

อิฐมอญ said: ↑

สุดยอด.....ยินดีกับคุณ peerasitg ด้วยนะครับ
Click to expand...

SKTC said: ↑

ยินดีด้วยครับ สุดยอด....ได้ 2 องค์เลย
Click to expand...

9thammada said: ↑

ขออนุโมทนาบุญกับผู้แจกและคุณตุ้ยด้วยครับ
Click to expand...

ฉันทะ said: ↑

วันนี้ ในห้องนี้ คงไม่มีใครดีใจมากๆเท่ากับคุณ peerasitg แล้วล่ะมั่งครับ
ยินดีกับคุณ peerasitg ที่ได้รับรางวัล หลวงปู่ทวดอังคารธาตุ ไปทีเดียวถึง2องค์ครับ

* ขอบคุณ คุณนะมารวย ด้วยครับสำหรับของรางวัล
** ขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่านที่คอยช่วยสรุป และตรวจทานให้ครับ
*** ขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่านที่เข้ามาร่วมสนุกในครั้งนี้ด้วยครับ
**** สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับรางวัลยังไม่ต้องเสียใจครับ ขอบอกไว้ก่อนเลยว่ายังมีรายการที่เพื่อนสมาชิกในเวปนี้ ได้มอบวัตถุมงคลมาให้ร่วมสนุกกันอีกหลายชิ้นด้วยกันครับ

ผมว่าวันไม่เพียงแต่คุณ peerasitg เท่านั้นที่มีความสุข ผมและเพื่อนสมาชิกหลายท่านเลยทีเดียวที่มีความสุขในวันนี้เหมือนกัน เพราะได้เริ่มอ่านบทความดีๆของพี่โจ(สงสัยพี่โจ น่าจะเริ่มว่างจากงานบ้างแล้ว) หลังจากห่างหายมาสักระยะหนึ่งแล้ว หวังว่าพี่โจจะนำบทความดีๆมาให้เพื่อนสมาชิกได้อ่านกันอีกนะครับ

;aa57;aa1;aa26;aa30;aa46;aa48;aa15;aa18
Click to expand...

sylvenus said: ↑

ยินดีกับคุณ peerasitg ด้วยนะครับ...

พระท่านเลือกคนจริงๆ ครับ

ดีใจที่ได้อ่านบทความดีๆ จากพี่โจนะครับ...
Click to expand...

ดีใจมาก อย่างพี่ตุ้ย บอกไว้ ขอบคุณ คุณนะมารวย และ พี่ตุ้ย ได้นำสิ่งมงคลให้ศิษย์หลวงปู่รุ่นหลังได้รับไว้บูชา
รวมทั้งผู้สรุปข้อมูล ผู้ตรวจทาน

ขอบคุณ พี่โจ กับบทความดี ๆ ตลอดมาให้สมาชิกทุกท่านได้อ่านกัน

ขอบคุณ และอนุโมทนากับศิษย์หลวงปู่ดู่ ทุกท่าน :-Happy Smile_

mrchainarong · 2 ธันวาคม 2012

ยินดีๆด้วยครับ พร้อมอ่านบทความดีครับๆ ครับ

KonnoK · 2 ธันวาคม 2012

สมกับการรอคอยครับ
บทความของพี่โจโดนใจมากๆ

นิววัดสะแก · 2 ธันวาคม 2012

Jopaa said: ↑

วันนี้มีเรื่องเก็บตกเล็กๆน้อยๆมาเล่า..

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อคืนลอยกระทงที่ผ่านมา ณ วัดทุ่งเศรษฐี อุดมสุข บางนา

อยู่ดีๆก็เกิดการเอะอะโวยวาย..สับสน อลหม่านขึ้น..

ที่สุดจับใจความได้ว่า..

มีสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ท่านมีความสนใจในการเข้าวัดเข้าวา และนั่งปฏิบัติธรรมมาก

และก็พอดีอีกเช่นกัน ที่ท่านได้อาจารย์สอนกรรมฐานแบบมั่วๆ..ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นพระจากที่ไหน เพียงแต่เธอมานั่งปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดทุ่งฯ

พระท่านนี้ท่านจะสอนแต่การมองเห็น ท่านจะเน้นว่าต้องมองให้เห็นนู้น เห็นนี่..มองให้เห็นบ้านของตนเองในสวรรค์ มองให้เห็นพระเกศแก้วเจ้าฟ้าจุฬามณี..รวมทั้งครั้งหลังสุดเตลิดไปใหญ่ บอกว่าเธอผู้นี้มีกุมารทองคุ้มครอง ดังนั้นจึงต้องนั่งให้เห็นกุมารทององค์ที่มาคอยคุ้มครองเธอ..

เธอเชื่อถือมาก พยายามจะมองให้เห็น..เค้นให้เห็น.. ที่สุดจิตแห่งการพยายามจะเค้น จะบังคับให้เห็น กลายเป็นความเคลียดในจิต เตลิดเกิดเป็นภาพหลอนมากมาย เห็นเป็นยักษ์ เป็นผี เป็นยมทูต เป็นกุมารทอง เห็นอะไรเยอะแยะจะมาจับตัวเธอไป จึงเป็นที่มาของการร้องเอะอะโวยวายขึ้น..

นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง..โทษของการส่งจิตออกนอก..โทษของการนั่งภาวนาโดยการเห็น มิใช่การนั่งภาวนาแห่งการ "รู้"

นับเป็นแนวทางที่สุ่มเสี่ยงมาก จิตอ่อนๆ ผู้ไม่เคยมีประสบการ์ณการภาวนามาก่อน จิตหลุดออกนอก..เข้าลกเข้าพงกู่ไม่กลับก็มากมี..ซึ่งก็คือ ตัวอย่างของพวกร่างทรงต่างๆ เป็นต้น..นั่งไปนั่งมากลายเป็นจิตหลอกจิต จิตหลอกตนเอง คิดว่าที่สุดแล้วตนเป็นเช่นนั้นจริง เป็นเทพ เป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่องค์นู้นองค์นี่จริง สำคัญตนว่าเป็นผู้มากอิทธิฤทธิ์ จนบางครั้งการพูดจาส่งเสียงกัน ก็ใช้คำพูดแปลกๆเรียกว่า "ภาษาเทพ" เช่นนี้แล้วเรียกว่าจิตพาให้เป็นไป ซึ่งก็คือสารเคมีในร่างกายเริ่มมีความผิดปกติไป จึงต้องเกิดเป็นโรงพยาบาลศรีธัญญา เพื่อรักษาผู้ป่วยอาการแห่งการเห็น อาการแห่งการหลอน ดังคำหลวงปู่ดุลย์ อตุโล พระอรหันต์เจ้าท่านได้พูดได้เตือนไว้ "ที่เขาเห็น..เขาเห็นจริง..แต่สิ่งที่ถูกเห็น..ไม่จริง "

นัยยะเดียวกันกับการพยายามจะนั่งให้เห็นหลวงปู่ดู่ หลวงปู่ทวด เป็นการนั่งเพื่อพยายามจะให้เห็น เค้นที่จะให้เห็น แต่ลืมถามตนเองไปว่า..

"ถ้าเห็นแล้วได้อะไรล่ะ หลวงปู่ฯจะมาช่วยอะไรท่านได้ "

พระพุทธองค์ท่านก็ตรัสอยู่ป่าวๆ.."อัตตาหิ อัตโน นาโถ" ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนช่วยตนเอง ครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้ช่วย ท่านเป็นแต่ผู้ชี้ทางเท่านั้น

ดังนั้นศิษย์ยุคหลังหลวงปู่ฯจึงจำเป็นต้องไม่หลงประเด็น ดังคำว่าหลวงปู่ดู่ท่านที่เน้นว่า

" แกนั่งแล้ว ปฏิบัติแล้ว กิเลสแกลดลงหรือไม่ล่ะ ถ้าลดลงข้าฯว่าแกใช้ได้ " นี่ต่างหากคือ สิ่งที่หลวงปู่ดู่ท่านเน้น ท่านสอนสั่ง ไม่ใช่ไดอาร๊อกแปลกๆที่นำมาตีความเข้าข้างตนแบบในปัจจุบัน ท่านไม่ได้สอนให้เห็นท่าน มองท่าน หรือขอให้ท่านช่วย ..ที่ถูกต้องแล้ว ท่านสอนแต่เรื่องกิเลส สอนแต่ให้พยายามดำรงจิตใจด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งกุศโลบายคำพูดต่างๆ.. ที่สุดแล้ว ก็เพื่อให้เราพยายามลดละกิเลสต่างๆเท่านั้น ไม่ใช่จะไปพยายามเพิ่มพูนกิเลสมากขึ้น ดังที่ศิษย์ต่อมาพยายามจะให้เป็นเช่นนั้น โดยพยายามเค้นจะมองให้เห็นท่าน เห็นหลวงปูทวด เห็นสิ่งต่างๆนอกตัว เห็นแสงสว่าง เป็นต้น เรียกว่าไปกันคนละด้านกันเลย จนนักภาวนาใหม่ๆบางท่าน คิดว่าแนวทางการปฏิบัติธรรมแห่งหลวงปู่ดู่ เป็นแนวทางเฉพาะแตกต่างกับสายอื่นๆ เป็นแนวทางแห่งการส่งเสริมให้จิตออกนอก รวมถึงเดี๋ยวนี้ถ้าไม่มีพระกำนั่งอยู่กับมือ ก็กลายเป็นนั่งปฏิบัติธรรมกันไม่ได้ซะแล้ว ขาดความมั่นใจ นั่นเรียกว่า กาลเวลาที่ผันผ่าน จากกุศโลบายกลายเป็นแม่แบบแห่งความยึดติดไป ทั้งๆที่ครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่แต่โบราณกาลทุกๆองค์ ท่านก็ไม่เคยมีพระกำอยู่ในมือ แต่ก็พบกับธรรมะอันแสนล้ำค่าโดยไม่ต้องพึ่งพาซึ่งสิ่งภายนอกใดเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องของ "จิด" ล้วนๆ ไม่มีเอสเชทเชอร์รี่อื่นใดเลย

การนั่งภาวนาสมาธิที่ถูกต้อง..แท้จริงแล้วไม่มีเรื่องอัศจรรย์ใดๆเลย มีแต่เพียงเรื่องของการทำให้จิตสงบๆ หาตัว "สติ" ให้เจอ จากที่จิตวอกแว๊ก..เตลิดมาทั้งวัน และเมื่อจิตนิ่งดีแล้ว จึงสามารถน้อมมาพิจารณาการกระทำแห่งตัวในวันนั้นๆ ว่าสิ่งนั่นสิ่งนี้เราทำถูกต้องหรือไม่ วันนี้เกิดเหตุการ์ณอะไร?.. เราวางอารมณ์ถูกต้องหรือไม่ ?.. กิเลสแห่งความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น มันเข้ามาครอบงำเราตรงไหน?.. เมื่อไร ?.. เราพลาดตรงไหนไป..ไม่ทันมารยาแห่งกิเลสมันตรงไหน..เช่นนี้เป็นต้น

เช่นนี้แล้ว..จึงได้ชื่อว่าเป็นนักภาวนาที่ถูกต้อง ได้ชื่อว่าเป็นนักภาวนาเพื่อหาวิธีเอาชนะ รบรากับตัวกิเลสที่อยู่รอบตัวเราทุกขณะจิตในชีวิตประจำวัน หาวิธีขุดกมลสันดานตนเองขึ้นมา หาเคล็ดลับเล็กน้อยๆให้แก่ตัวเอง ทั้งนี้ก็เพื่อคลายจิตใจเราออกวังวนแห่งกิเลสวันละเล็กวันละน้อย

การเอาชนะกิเลสได้มาก ที่สุดแล้วไม่มีใครได้อะไรกับเราเลย พ่อแม่ก็ไม่ได้ ญาติพี่น้องก็ไม่ได้ แต่ตัวเราเองนั่นแหละที่ได้..ได้ความสุขใจ..เอาชนะได้มากกว่าคนอื่น ก็สุขใจมากกว่าคนอื่น เอาชนะน้อย ก็ทุกข์ใจมาก..ทุรนทุรายมากกว่าคนอื่น..มันก็เท่านั้น ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้เลย..

เรื่องของการภาวนา ที่สุดแล้ว ไม่มีเรื่องของความวิเศษวิโส ความอัศจรรย์ใดๆให้งมงายเลย..

อยู่ในเส้นทางแห่งธรรม อย่าหลุดออกนอกแนวโคจร

"อย่าส่งจิตออกนอก " คำพูดนี้แห่งพระอรหันต์เจ้าทุกๆองค์ ช่างสำคัญนัก

เล่าๆไว้พอเป็นประสบการ์ณ ความผิดเพี้ยนที่ได้พบเห็นกันบ่อยๆ
Click to expand...

สาธุ สาธุ สาธุ

Jopaa · 3 ธันวาคม 2012

ขออนุญาติชี้แจงเพื่อแก้ไขบทความครับ

พอดีมีหมู่เพื่อนได้โทรมาปรึกษาว่า..บทความที่ผมเขียนเกี่ยวกับเรื่อง "ส่งจิตออกนอก" ของคุณสุภาพสตรีท่านหนึ่ง เหตุเกิด ณ วัดทุ่งเศรษฐี.. เมื่ออ่านแล้ว ผมเขียนสั้นเกินไป อันอาจทำให้มีผู้เข้าใจผิด พาลนึกว่าเป็นพระที่วัดทุ่งเศรษฐี เป็นผู้สอนกรรมฐานแนวทางนั้น..

ขอเรียนว่าไม่ใช่น่ะขอรับ..คุณสุภาพสตรีแกไปเรียนมาจากที่ไหนก็ไม่ทราบได้ ทราบแต่แกมาอาศัยสถานที่ภาวนา ณ วัดทุ่งเศรษฐี เท่านั้น แล้วก็เกิดเรื่องที่นั้น

วัดทุ่งเศรษฐี ปัจจุบันเพิ่งได้รับรางวัลเป็นสถานที่ปฏิบัติดีเด่น โดยหลวงพ่อเณร เจ้าอาวาสปัจจุบันท่านมักนิมนต์พระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบจากต่างจังหวัด โดยเฉพาะในสายพระป่ากรรมฐานพระอาจารย์ใหญ่มั่น มาอบรมธรรมและสอนการนั่งสมาธิให้แก่ญาติโยมเป็นเนื่องนิจ

เพื่อให้คลายความสับสน ผมจึงขออนุญาตชี้แจงขยายความดังนี้น่ะขอรับ

ด้วยความเคารพเพื่อนๆทุกคน

ตุ้ย ฉันทะ · 28 พฤษภาคม 2013

รายการที่ 1366 พระพิมพ์สมเด็จ เนื้อผงพุทธคุณ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา ปี2527 พระชุดนี้เป็นพระในโอ่ง หลวงน้าสายหยุดและป้าสะอิ้ง ได้รับมอบหมายจากหลวงปู่ดู่ให้สร้างพระชุดนี้ โดยลูกศิษย์ของหลวงน้าสายหยุดก็ได้ออกแรงมาช่วยเทพระอยู่หลายท่านด้วยกัน ด้านหลังองค์พระมีทั้งหลังเรียบ, หลัง ๑ ด, หลัง อะ ระ หํ องค์นี้จะเห็นเป็นคราบฝุ่นอยู่บ้างเพราะเป็นพระปากโอ่ง เนื่องจากปากโอ่งถูกปิดด้วยปูน และเจาะรูสัก 7-8รูให้อากาศเข้า ตัวโอ่งอยู่ในกุฏิจะไม่มีน้ำเข้าแต่มีฝุ่นเล็ดรอดลงไปได้บ้าง พระชุดนี้หลวงปู่ดู่อธิฐานจิตครับ พุทธคุณเต็มเปี่ยม ใช้นั่งกรรมฐานดีนักแล เนื้อแท้ดูง่ายสบายตา องค์นี้หลังเรียบมาพร้อมตลับสแตนเลสอาธรคนาขึ้นคอได้เลยครับ ราคาบูชา 398.-

chongkasem · 3 ธันวาคม 2012

ปิดรายการที่ 1366 พระพิมพ์สมเด็จ เนื้อผงพุทธคุณ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา ปี2527

ตุ้ย ฉันทะ · 28 พฤษภาคม 2013

รายการที่ 1367 เหรียญเสมาหลวงปู่ใหญ่(ยะชิด) เนื้ออัลปาก้า วัดสะแก อยุธยา ปี2510 เหรียญชุดนี้หลวงปู่ดู่เป็นผู้ปลุกเสก และจารให้ทุกๆเหรียญครับ สำหรับเหรียญนี้หลวงปู่ดู่จารหน้าเหรียญ 4จุดครับ พุทธคุณเต็มเปี่ยม มาพร้อมเลี่ยมกันน้ำอารธนาขึ้นคอได้เลยครับ ราคาบูชา 1,098.-

chongkasem · 3 ธันวาคม 2012

ปิดรายการที่ 1367 เหรียญเสมาหลวงปู่ใหญ่(ยะชิด) เนื้ออัลปาก้า วัดสะแก อยุธยา ปี25

sun2555 · 3 ธันวาคม 2012

ฉันทะ said: ↑

รายการที่ 1367 เหรียญเสมาหลวงปู่ใหญ่(ยะชิด) เนื้ออัลปาก้า วัดสะแก อยุธยา ปี2510 เหรียญชุดนี้หลวงปู่ดู่เป็นผู้ปลุกเสก และจารให้ทุกๆเหรียญครับ สำหรับเหรียญนี้หลวงปู่ดู่จารหน้าเหรียญ 4จุดครับ พุทธคุณเต็มเปี่ยม มาพร้อมเลี่ยมกันน้ำอารธนาขึ้นคอได้เลยครับ ราคาบูชา 1,098.-

Click to expand...

ขอจองครับ..........................

ตุ้ย ฉันทะ · 28 พฤษภาคม 2013

รายการที่ 1368 เหรียญเสมาหลวงปู่ใหญ่(ยะห่าง) เนื้ออัลปาก้า วัดสะแก อยุธยา ปี2510 เหรียญชุดนี้หลวงปู่ดู่เป็นผู้ปลุกเสก และจารให้ทุกๆเหรียญครับ สำหรับเหรียญนี้หลวงปู่ดู่จารหลังเหรียญ 4จุดครับ พุทธคุณเต็มเปี่ยม มาพร้อมเลี่ยมกันน้ำอารธนาขึ้นคอได้เลยครับ ราคาบูชา 1,099.-

sun2555 · 3 ธันวาคม 2012

ฉันทะ said: ↑

รายการที่ 1368 เหรียญเสมาหลวงปู่ใหญ่(ยะห่าง) เนื้ออัลปาก้า วัดสะแก อยุธยา ปี2510 เหรียญชุดนี้หลวงปู่ดู่เป็นผู้ปลุกเสก และจารให้ทุกๆเหรียญครับ สำหรับเหรียญนี้หลวงปู่ดู่จารหลังเหรียญ 4จุดครับ พุทธคุณเต็มเปี่ยม มาพร้อมเลี่ยมกันน้ำอารธนาขึ้นคอได้เลยครับ ราคาบูชา 1,099.-

Click to expand...

ขอจองครับ.......................

ตุ้ย ฉันทะ · 3 ธันวาคม 2012

chongkasem
ปิดรายการที่ 1367 เหรียญเสมาหลวงปู่ใหญ่(ยะชิด) เนื้ออัลปาก้า วัดสะแก อยุธยา ปี25

ต้องขอโทษ คุณจงเกษม ด้วยครับ ผมลงภาพรายการที่ 1367 ผิดครับ(ผมแก้ไขแล้ว)
แต่ภาพที่ คุณจงเกษม จองยังเป็นรูปเดิมอยู่ครับ
หากคุณจงเกษม ยังต้องการอยู่ต้องเป็นรูปที่ผมแก้ไขแล้วนะครับ หากแต่ไม่ถูกใจในรูปที่เปลี่ยนก็ยกเลิกการจองได้ครับ ผมต้องขอโทษด้วยอีกครั้งนะครับที่ทำให้สบสนครับ

chongkasem · 3 ธันวาคม 2012

ฉันทะ said: ↑

ต้องขอโทษ คุณจงเกษม ด้วยครับ ผมลงภาพรายการที่ 1367 ผิดครับ(ผมแก้ไขแล้ว)
แต่ภาพที่ คุณจงเกษม จองยังเป็นรูปเดิมอยู่ครับ
หากคุณจงเกษม ยังต้องการอยู่ต้องเป็นรูปที่ผมแก้ไขแล้วนะครับ หากแต่ไม่ถูกใจในรูปที่เปลี่ยนก็ยกเลิกการจองได้ครับ ผมต้องขอโทษด้วยอีกครั้งนะครับที่ทำให้สบสนครับ
Click to expand...

จองเหมือนเดิมครับคุณตุ้ย...ขอบคุณครับ

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

ฉันทะ วัตถุมงคล หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา **

ตุ้ย ฉันทะ ID LINE : 0818477768 ID WeChat : T8477768

sylvenus เป็นที่รู้จักกันดี

หูกาง เป็นที่รู้จักกันดี

แหม่มจ้า เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

ยุทธhotline Active Member

Jopaa เป็นที่รู้จักกันดี

peerasitg เป็นที่รู้จักกันดี

mrchainarong เป็นที่รู้จักกันดี

KonnoK เป็นที่รู้จักกันดี

นิววัดสะแก เป็นที่รู้จักกันดี

Jopaa เป็นที่รู้จักกันดี

ตุ้ย ฉันทะ ID LINE : 0818477768 ID WeChat : T8477768

ไฟล์ที่แนบมา:

koi.jpg

chongkasem เป็นที่รู้จักกันดี

ตุ้ย ฉันทะ ID LINE : 0818477768 ID WeChat : T8477768

ไฟล์ที่แนบมา:

d_03.jpg

chongkasem เป็นที่รู้จักกันดี

sun2555 เป็นที่รู้จักกันดี

ตุ้ย ฉันทะ ID LINE : 0818477768 ID WeChat : T8477768

ไฟล์ที่แนบมา:

d_02.jpg

sun2555 เป็นที่รู้จักกันดี

ตุ้ย ฉันทะ ID LINE : 0818477768 ID WeChat : T8477768

chongkasem เป็นที่รู้จักกันดี

แชร์หน้านี้

แชร์หน้านี้

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

** ฉันทะ ** วัตถุมงคล หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา **

ไฟล์ที่แนบมา:

koi.jpg

ไฟล์ที่แนบมา:

d_03.jpg

ไฟล์ที่แนบมา:

d_02.jpg

แชร์หน้านี้

การค้นหาที่มีประโยชน์

ติดต่อเรา

ฉันทะ วัตถุมงคล หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา **