จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. urairatvi

    urairatvi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +2,401
    ขออนุโมทนาบุญกับจิตบุญดวงที่ 129และครูผู้ฝึกและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน
    ขอให้ท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะคะ
     
  2. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ขอโมทนากับจิตบุญ๑๒๙ และครูผู้สอนด้วยครับ สาธุ


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  3. PlaiifarPP

    PlaiifarPP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +1,194

    จริงค่ะ เพราะไม่รู้ว่าในอดีตเราจะเคยปรามาสผู้ใดมาบ้าง
    และที่สำคัญ ชาตินี้นี่แหละ เราไปปรามาสใครทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ดี
    เราก็จะควรขมากรรมต่อพระรัตนตรัยบ่อยๆ เพื่อความสบายใจและเพื่อความคล่องตัวในการปฏิบัติ
     
  4. PlaiifarPP

    PlaiifarPP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +1,194

    พระสารีบุตรเถระผู้เป็นอัครสาวกเบื้องขวา เป็นพระธรรมเสนาบดี สนองงานพระผู้มีพระภาคเจ้า
    เป็นผู้บริหารหมู่สงฆ์และเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างไกล แม้ท่านจะมีตำแหน่งสูงส่งถึงเพียงนั้น ท่านก็ยังมีความอ่อนน้อมถ่อมตนไม่ถือตัว
    มีความเสมอต้นเสมอปลาย ให้ความเป็นกันเองกับภิกษุสามเณรทุกรูป
    ทำให้ท่านเป็นที่เคารพรักของภิกษุสงฆ์ อีกทั้งญาติโยมก็เลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านมาก

    ครั้งหนึ่งท่านถูกพระภิกษุรูปหนึ่งใส่ความว่า “ท่านเป็นถึงอัครสาวก แต่แกล้งมาเดินกระทบตน”
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสถามพระสารีบุตรในที่ประชุมสงฆ์ว่า “เป็นอย่างนั้นจริงหรือ?”

    พระสารีบุตรกราบทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้ามีสติสัมปชัญญะอยู่เสมอ คอยระมัดระวังตน ประคองสติอันเป็นไปในกาย
    เสมือนบุรุษประคองถาดซึ่งบรรจุน้ำมันอยู่เต็มเปี่ยมและมีคนเงื้อดาบอยู่เบื้องหล้ง พร้อมขู่ว่า “ถ้าน้ำมันหกจะประหารเสีย
    ข้าพระองค์ประพฤติตนเสมือนผ้าเก่าสำหรับเช็ดเท้า
    เสมือนโคที่มีเขาขาด
    เสมือนเด็กจัณฑาลที่พลัดหลงถิ่น
    ย่อมไม่มีอำนาจที่จะแกล้วกล้าอาจหาญประการใด”


    เมื่อพระสารีบุตร กล่าวเช่นนั้นในท่ามกลางสงฆ์แผ่นดินที่แม้ไม่มีจิตยังเกิดอาการหวั่นไหว เป็นการอนุโมทนาในคุณธรรมอันสูงส่งของท่าน

    ภิกษุรูปนั้น เมื่อได้ฟังก็เกิดอาการเร่าร้อนในสรีระเหมือนมีไฟมาเผาไหม้ตัว
    อดรนทนอยู่ไม่ได้ต้องลุกขึ้นมาขอขมาพระสารีบุตรและยอมรับสภาพต่อหน้าหมู่สงฆ์ว่า ได้กล่าวตู่ใส่ความพระสารีบุตร

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสสรรเสริญว่า “สารีบุตรมีจิตมั่นคงดั่งขุนเขา หนักแน่นเหมือนแผ่นดิน
    เป็นผู้ไม่แสดงอาการยินดียินร้าย เป็นผู้คงที่และมีวัตรดี เป็นผู้มีใจสะอาด
    เหมือนน้ำที่ไม่มีฝุ่นหรือโคลนตม สังสารวัฎย่อมไม่มีแก่พระสารีบุตร”


    จากนั้นพระพุทธองค์ทรงรับสั่งให้พระสารีบุตรอดโทษแก่ภิกษุผู้กล่าวหาตู่
    มิเช่นนั้นแล้ว ศรีษะของภิกษุรูปนั้นจะแตกเป็น ๗ เสี่ยง


    พระสารีบุตรยอมอดโทษให้ทุกอย่าง เพราะท่านไม่เคยมีความคิดประทุษร้ายใคร
    อีกทั้งมีความอ่อนน้อมถ่อมตน และยังได้ปวารณาตัวอีกว่า
    “หากตัวท่านเองได้ประพฤติผิดพลาดล่วงเกิน ทั้งที่มีเจตนา หรือไม่มีเจตนาก็ดี
    ขอให้เพื่อนสหธรรมิกได้โปรดให้อภัยงดโทษนั้นด้วย”


     
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ทำจิตให้นิ่งๆ เดี๋ยวรู้เอง
    เราเข้าใจ บนความไม่เข้าใจของบุคคลอื่น
    หรือ ความเข้าใจของบุคคลอื่น บนความเข้าใจเราเอง ก็ตามที

    มันไม่สำคัญหรอกนะน้องเอ๊ย เพราะมนุษย์ทุกคนย่อมมีเหตุผลของตน
    และบนพื้นฐาน รากฐาน ภูมิธรรม ภูมิปัญญาสร้างมาไม่เท่ากัน
    บางท่านปฎิบัติธรรมมาเป็นระยะสิบๆปี ยี่สิบปี หรือบางท่านก็ปฎิบัติจนตายฟรี
    (เกิดยังฟรีเลย จะเอาอีกสักชาติไหม)
    ก็เหมือนพายเรือบนอ่างน้ำ คือไม่ไปไหน แต่ก็มีเหตุปัจจัยมากมาย
    สรุปแล้วหลักๆ ก็แค่ กรรมเก่า+บุญเก่า
    กรรมเก่ามาตัดรอนตอนชีวิตตนให้สั้นลง โดยเฉพาะกรรมไม่ดีนะ
    สรุปแล้วผู้ใดทำกรรมอะไรไว้ ย่อมเสวยกรรมนั้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับชาตินี้หรือชาติปัจจุบันนี้ จะเสวยกรรมใด
    แต่ถ้าเป็นบุญเก่ามาช่วยหนุนนำให้กระทำดีมีแต่ความเจริญ แต่อยู่ที่คนๆนั้นจะทำต่อไหม๊
    หรือว่าไปเลือกทำตรงกันข้ามกับ คำว่า บุญหรือกุศลก็เป็นเรื่องของบุคคลนั้นๆ

    การเรียนรู้ธรรมของพระพุทธองค์ ไม่ต้องรู้มากหรอก แต่ให้ปฎิบัติมากๆ
    เช่น เจริญสติภาวนามากๆ แล้วเราจะพบคำตอบเอง ที่เราอาจนึกไม่ถึงด้วยซ้ำไป
    เพราะแท้ที่จริงแล้ว ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นมีมากมาย เปรียบเสมือนใบไม้ทั้งป่าเขา ลำเนาไพรในผืนโลกใบนี้
    แต่พระองค์ท่านเลือกเอาเฉพาะใบไม้ในกำมือเดียว ที่นำมาสอนพวกเรา
    ส่วนพระไตรปิฎก หรือ 84000 พระธรรมขันธ์นั้น ของเขาทำไว้ดีอยู่แล้ว เพราะมีการสังคายนากันหลายครั้ง
    ดั่งกฎหมายรัฐธรรมนูญของไทยเลย ปรับปรุง แก้ไขกันหลายครั้ง ก็เพื่อให้เข้ากับเหตุการณ์ในปัจจุบัน
    ปัจจุบันคือใคร? ข้ากับเองนี่ไง๊ และที่ยุ่งอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะว่ามีข้า มีเอ็ง นี่แหล่ะ
    แต่ถ้าไม่มีข้า ไม่มีเอ็ง กฎหมายก็ไม่ต้องมีก็ได้
    แต่ในทางธรรมะเขาเรียกว่า พี่อัตตากับน้องมานะ โลกมันยุ่งก็เพราะมนุษย์มีมิจฉาทิฎฐิ
    มิจฉาทิฎฐิ คือความเห็นผิดไปจากธรรมชาติ หรือ เข้าใจว่า..ร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา นี่ไง๊
    เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว จิตย่อมจะไปยึดเอา เอาแล้วคราวนี้ เกิดมีอาการหรือความรู้สึกเข้าไปร่วมวงด้วย
    แถมบวกกิเลสตัวอื่นเข้าไปอีกมากมาย ทำท่าจะแค่ไกล่เกลี่ยทำท่าจะไม่ได้แล้ว
    ให้ถอนความเป็นตัวเป็นตนก่อน ทีทุกอย่างจะเสียหายไปมากกว่านี้ เหมือนคนส่วนใหญ่ทุกวันนี้
    ความคิดของคนเรานั้นเปลี่ยนยากก็จริง แต่ก็พอจะเปลี่ยนกันได้ แต่ไม่ใช่เปลี่ยนที่ตัวความคิด
    เพราะความคิดไม่มีผู้ใดไปเปลี่ยนได้ เพราะจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว เมื่อจิตของคนเราทุกข์ ก็พาเราทุกข์ไปด้วย
    เฉพาะเราจะต้องไปเปลี่ยน ตัวที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของความคิด นั่นก็คือ การเจริญสติภาวนา
    หรือ กรรมฐานทั้ง 40 กอง ของพระพุทธองค์นั้น
    เพราะกรรมฐานก็มีเพื่อ ทำจิตใจของคนเราให้นิ่ง แต่ถ้าจิตคนเรายังไม่นิ่ง
    เราก็ไม่มีทางจะเข้าใจผู้อื่นได้ เพราะในเมื่อเราก็ยังไม่เข้าใจตัวของเราเองเลย
    แล้วเราจะไปหาใครที่จะมาเข้าใจตนเองอีกหรือ

    เพียงแต่ให้พวกเราลงมือปฎิบัติก่อน เมื่อปฎิบัติและทำจิตของตนเองให้นิ่งดีแล้ว เดี๋ยวก็จะถึงบางอ้อหรือบางอ๊าวเอง

    เพราะธรรมะบางตัวหรือกิเลสบางตัวนั้น เข้าใจแบบไม่ต้องเข้าใจ
    หรือไม่ต้องมีผู้ใดมาอธิบายก็เข้าใจ ขอให้จิตเรานิ่งอย่างเดียว
    แต่จิตจะนิ่งได้ เพราะสติ และเรารู้ได้ เพราะปัญญา

    นี่ไง๊ ถึงได้บอกกับพวกเราว่า ธรรมะนั้นถ้านำมากองรวมกันแล้ว มันใหญ่กว่าโลกนี้ซะอีก
    แต่เราต้องใช้ปัญญานะ
    แต่ขอปัญญาทางธรรมนะ มิใช่..ปัญญาทางโลก
    นั่นไง๊..ปัญญาทางโลก ดูเอาเองเห่อ ได้แก่ วิทย์+เทคโนฯ ผลิตกันเข้าไป ตามสนองกิเลสโลกกันเข้าไป
    และผลสุดท้าย ก็คือ มันกลับมาทำร้าย+ทำลายพวกเรากันเอง
    เช่น สงคราม สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ มีหนี้สิน ก่อทุกข์มากมาย เป็นต้น
    ผลสุดท้ายถามว่า มีความสุขกันไหมหล่ะ! ตามมันเข้าไป ยิ่งตามก็ยิ่งทุกข์
    และสิ่งเหล่านั้น มันช่วยให้เรามีความสุขกันมากไหม ยิ่งมีมากก็ทุกข์มาก
    ไม่ต้องมีอะไรกันเลยไหม จะได้ไม่ต้องทุกข์
    โทรศัพท์ คอมฯ รถยนต์..รุ่นไหน ผลิตใหม่อยู่เรื่อยๆ พวกเราตามมันทันไหม๊???

    คนทางโลกพากันเดินหลงทางกันหมด ใฝ่หาความสุขแต่ภายนอกมาหลายภพชาติ
    แต่หารู้ไม่ ความสุขที่แท้จริง ก็คือ ความสุขภายใน นั่นก็คือ จิต
    พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนกันเข้า พระอรหันต์มีกี่องค์แล้วที่มรณะจากพวกเราไป
    ทิ้งสังขาร ทิ้งธรรมะดีๆให้พวกเรามากมาย
    เห็นมีแต่กราบไหว้ เข้าถึงแค่อามิสบูชา
    อย่าคิดว่าแค่กราบสามหน ทำบุญมากมาย จะได้ไปพระนิพพานกันนะ
    ผู้ที่อยากไปพระนิพพาน ต้องนำจิตมาเดินมรรคมีองค์๘(ศีลสมาธิปัญญา)เท่านั้น
    ทางอื่นไม่มี ทำอย่างอื่นไม่ได้ เพราะอะไรไปพระนิพพาน
    ถ้าไม่ใช่จิต ร่างกายไปด้วยไหม๊ คนที่รักเราหรือเรารักเขาไปกับเราด้วยไหม
    บ้านช่องห้องหอ เงินล้าน เงินหมื่นล้าน มันพาเราไปพระนิพพานได้ไหม๊

    ขอให้ทุกท่านหันมาสนใจเรื่อง จิตใจตนเองมากๆ
    ยิ่งบุคคลใดพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น เฉกเช่นพระอรหันต์ เห็นมีแต่ผู้คนส่วนใหญ่ ชอบตามไปทำบุญกันดีนัก
    ท่านอยู่ถึงในป่าก็จะตามไป
    บ้างตามไปรับธรรมะ(ฟังเฉยๆหรือฟังแล้วนำมาปฎิบัติตาม?)
    บ้างไปเอาเครื่องรางของขลัง ไปรับศีล ไปรับพร ไปรับผ้ายันต์ ไปรับน้ำมนต์
    ถามว่าพระอรหันต์ทุกองค์นั้น ท่านเกิดมาเหมือนเราไหม๊ มีร่างกายเหมือนเราไหม๊
    มีสองมือ สองเท้า กับอีกหนึ่งสมองเหมือนเราไหม๊...(ปัญญามีไหม๊?)
    เห็นผิดกับเราๆท่านๆ ก็ตรงที่จิตใจเท่านั้นเอง นอกนั้นเหมือนกันหมด
    แต่พวกเราไม่ยอมปฎิบัติกันเอง(ความเพียรมีไหม๊?)
    อริยบุคคลทั้งฝ่ายสงฆ์หรือฝ่ายฆราวาส ต่างก็เป็นอรหันต์ได้
    แต่ถ้าหากท่านปฎิบัติธรรม ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ ตามพระพุทธเจ้ากันนะ
    เพราะพระอรหันต์ทุกองค์นั้น ท่านก็ปฎิบัติธรรม ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ ตามพระพุทธเจ้าหรือพระธรรมกันทั้งนั้น
    ทำไม๊""พวกเราไม่ยอมทำตามกันบ้างเล่า!

    คำว่า มรรคผลพระนิพพาน เป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม
    เห็นน่าจะเป็นจริง สำหรับผู้ไม่ยอมลงมือปฎิบัติ สักที

    พอแร๊ะ ที่เหลือเดี๋ยวผมให้คุณ Zero มาเทศน์ต่อดีกว่า เดี๋ยวจะไปเบียดบังเวลาของท่า

    ปล.เห็นทุ่งนา ทุ่งหญ้า และเห็นมีคนรักกันบนกระทู้ด้วยแล้ว เห่อ หายเหนื่อยเลย
    เพราะเห็นมีหลายคนแร๊ะ ที่เริ่มจะเบื่อธรรมะ จริงๆแล้ว ธรรมะไม่น่าเบื่อหรอกจ้า
    แต่คนที่นำเสนอธรรมะนี่จิ! อาจจะทำให้พวกท่านเบื่อได้..ชิ๊มิ๊...อิอิ

    ได้โปรดอโหสิกรรมให้กับพี่ภูด้วยเด้อ อาจจะไปล่วงเกินจิตกันได้ โดยมิรู้ตัว...สาธุๆๆ
    รักกันนะ ช่วยเหลือกันนะ เมตตากันนะ..เพราะเรามีพระพุทธเจ้าหรือท่านพ่อเดียวกัน

    ผู้ใดถ้ารู้ตัวว่าตนเองจิตละเอียด ก็อย่าลงไปหาไม้หน้าสาม เอ๊ย ไปเอาหยาบนะจ๊ะ..ที่รัก 555+ เอิ๊กๆๆๆๆ

    ว่าแต่ว่า..น้องดาว น้องแนท น้องคนดีของพี่ภูๆ อยู่ที่ไหนหน๋อ! มัวสุ่มอยู่ถ้ำไหน???
    ปล่อยให้พี่ภูเห่า เอ๊ย หอน เอ๊ย เหงาอยู่เนี๊ย! มากระตุ๊กต่อมกันหน่อยนะ


     
  6. ข้าวฮาง

    ข้าวฮาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2012
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +608
    "๑ คน ๑ ธรรมะชาติสร้างสรรค์ ไร้ซึ่งกายสบั้นแล้วหนอใจ ไร้ความกลัวและความอาย ไร้ซึ่งความหมายในตนเอง"

    "จงขับกล่อมคำและความหมาย อย่างระมัดระวัง ถูกใจเราอาจไม่ถูกใจใคร 555+++"

    "สวัสดียามดึก คึกยามหลับ ขับยามตื่น กลืนยามหิว ชิวชิวถ้าไม่คิดมาก จะลำบากคนอื่นแทนตน บ่นมันเรื่อย เหนื่อยก็ให้พัก หนักก็ให้วาง ห่างให้เข้าไกล้ ไกลให้เข้าหา ปลามันอยู่ในน้ำ ข้ามมันให้พ้น เป็นคนมันขมขื่น ก็เกิดอยู่ร่ำไป ใจไม่เคยพอ ท้อก็ให้ถอย หงอยอย่าซึมเศร้า เร้าปลุกจิตตน จนไม่วายจิตต์ คิดคำนึงถึงผู้อื่น ที่ดาษดื่นลำบากหลาย สายให้หลับต่อ บ่อนั้นมีน้ำ ดื่มกันบ่อเดียว เทียวไม่ซ้ำรอย ถอยไม่ซ้ำซาก มากด้วยจิตบุญฯ หนุนพระศาสนา.....พานำศิวิไลย์เอยฯ" ( ◜◡‾)(‾◡◝ )


    "สาธุโมทนากับท่านภูฯและทุกท่านจิตบุญฯ เสมอๆ นะขอรับ บุญแสงขอให้ข้าวฮางได้เยอะ ๆ อิอิอิ" ლ(╹◡╹ლ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มกราคม 2013
  7. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ขอแสดงความยินดีและอนุโมทนาจิตบุญ 127,128,129และคุณครูอาจารย์ทุกท่านค่ะ สาธุ สาธุ สาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2013
  8. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    สวัสดียามเช้าครับ อ.ภู ไม่ซีเรียสนะครับ

    สังเกตุไหม หากคนๆนั้น พิมพ์ข้อความอะไรก็แล้วแต่ แล้วมักลงท้ายด้วย
    "อิอิ 555 เอิ๊กๆ" ให้เข้าใจว่า ตนเป็นผู้มีอารมณ์ดี

    แต่มหาบุรุษ พระศาสดา ท่านไม่เป็นอย่างนั้น
    หากเพลาใด ที่พระองค์ทรงแย้มสรวล นั่นแสดงว่าต้องมีเหตุ

    เช่นกัน หากผู้ใด "หึหึ" "หุหุ" อยู่ในลำคอ
    จึงเป็นที่มาของ พราหมณ์ท่านหนึ่ง ในสมัยพุทธกาล
    ชื่อว่า "พราหมณ์หุหุกชาติ" ผู้ยังไม่ลอยบาปธรรมได้ ในครั้งนั้น

    เพราะอะไร นั่นเพราะหากเรา ผู้กำลังฝึกตน หากคนๆนั้น จิตละเอียด จิตตั้งมั่นพอ
    จะพิจารณาและรู้ได้เลยว่า นั่นคือ หนทางสุดโต่ง ทั้งสองด้าน
    คือ กามสุขัลลิกานุโยค และอัตตกิลมถานุโยค
    คือ ความเพลินยินดีเอออวย และความไม่พอใจยินดีข่มทับ


    เหล่านี้ คือ อุปกิเลส ทั้งนั้น ที่ขาดการสำรวมระวัง
    เอาแค่พองาม บนทางสายกลาง ไม่ใช่ขำก๊าก ชักดิ้น ชักงอ ไม่สมเป็นผู้ฝึกตน

    เพราะอะไร จึงยกเรื่องนี้มา ก็เพราะว่า อ.ภู เคยบอกไว้ในหน้าก่อน #10622
    หากว่ามีส่วนไหนที่ขาด ก็ให้เติมในส่วนที่พร่อง

    เรื่องของ "พราหมณ์หุหุกชาติ" นั้น มีดังนี้ (ในอรรถกถายังมีรายละเอียด)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2013
  9. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    การดูพระอริยเจ้านั้นดูได้ยาก (หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญโญ)


    การดูพระอริยเจ้านั้นดูได้ยาก (หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญโญ)

    การดูพระอริยเจ้านั้น ส่วนมากจะสุ่มเดาตามกิริยาที่แสดงออกมาทางกายและวาจา การดูในลักษณะอย่างนี้ก็ยากที่จะถูกต้องได้ เพราะพระอริยเจ้ากับผู้ยังเป็นปุถุชนมีกิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจาเหมือน ๆ กัน ถึงท่านผู้นั้นจะได้บรรลุธรรมถึงขั้นเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม จะตัดนิสัยเดิมของท่านเองไม่ได้ นิสัยเป็นมาอย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้น เช่น พระสารีบุตรในชาติก่อนมา เคยเป็นลิง นิสัยลิงก็ยังติดตัวมา ฉะนั้น พระสารีบุตรจึงชอบกระโดดโลดเต้นอยู่เป็นนิสัย เห็นกิ่งไม้ใดพอจะกระโดดจับโหนตัวเล่นก็ต้องทำ หรือเห็นน้ำบ่อพอจะกระโดดข้ามได้ก็ต้องกระโดดไปมา จนพระองค์อื่นเห็นก็เกิดความแปลกใจ ทำไมพระสารีบุตรจึงแสดงในกิริยามรรยาทที่ไม่เหมาะสมอย่างนี้ ไม่สมศักดิ์ศรีที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่า เป็นพระอรหันตสาวกข้างขวาของพระพุทธเจ้าเลย จึงมีพระองค์อื่นโจษขานกันขึ้น และเล่าเรื่องของพระสารีบุตรถวายแด่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิสัยเดิมของพระสาวกนั้นละไม่ได้ นิสัยเคยเป็นมาในอดีตมีอย่างไร การแสดงออกมาทางกายและวาจา ก็ชอบแสดงออกมาอย่างนั้น ฉะนั้น จึงได้เปรียบนิสัยของพระอริยเจ้าและปุถุชนไว้ดังนี้
    ๑. น้ำลึกเงาลึก ๒. น้ำลึกเงาตื้น ๓. น้ำตื้นเงาลึก ๔. น้ำตื้นเงาตื้น ทั้ง ๔ ข้อนี้ เป็นวิธีตัดสินได้ยากมาก เพราะไม่มีญาณหยั่งรู้พิเศษเฉพาะตัว นอกจากจะสุ่มเดาไปเท่านั้น
    ข้อ ๑ คำว่า น้ำลึกเงาลึก นั้น หมายความว่า ท่านผู้นั้นมีคุณธรรมอยู่ในใจแล้ว และก็ยังมีนิสัยกิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจามีความสุขุมลุ่มลึก เป็นนิสัยเดิมของท่านเป็นมาอย่างนั้น ถ้าลักษณะอย่างนี้ก็พอจะเดาถูกบ้าง
    ข้อ ๒ คำว่า น้ำลึกเงาตื้น หมายความว่า ท่านผู้นั้นมีคุณธรรมอยู่ภายในใจแล้ว แต่กิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจาไม่มีความสำรวมเลย อยากแสดงตัวอย่างไร อยากพูดอย่างไร ก็เป็นในความไม่สำรวมทั้งสิ้น แต่ก็ไม่ผิดในพระธรรมวินัย ไม่มีอกิริยาภายในใจ แต่เป็นเพียงกิริยาที่แสดงออกมาเท่านั้น ถ้าหากไปพบเห็นผู้ที่ท่านเป็นนิสัยอย่างนี้ ก็จะเดาภายในใจไปเลยว่า ท่านผู้นี้ยังเป็นปุถุชนทันที เพราะมีนิสัยไม่น่าเคารพเชื่อถือได้เลย
    ข้อ ๓ น้ำตื้นเงาลึก หมายความว่า ท่านผู้นั้นยังไม่มีคุณธรรมภายในใจ แต่กิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจานั้นมีความสุขุมลุ่มลึกมาก การสำรวมทางกาย การสำรวมทางวาจาน่าเลื่อมใส ใครได้พบเห็นแล้วจะเกิดความเชื่อถือเป็นอย่างมาก เพราะความบกพร่องในความชั่วร้ายในตัวท่านไม่มี ถ้าได้พบเห็นผู้ที่ท่านมีนิสัยอย่างนี้ ก็จะเดาไปว่าเป็นพระอริยเจ้าทันที
    ข้อ ๔ น้ำตื้นเงาตื้น หมายความว่า ท่านผู้นั้นยังไม่มีคุณธรรมภายในใจเลย กิริยามรรยาทการแสดงออกทางกายทางวาจาไม่มีความสำรวมแต่อย่างใด ทำไปพูดไปตามใจชอบ ถ้าหากพบเห็นท่านผู้ใดมีกิริยาการแสดงออกมาอย่างนี้ ก็จะพอเดาถูกอยู่บ้าง
    ถ้าจะดูนิสัยน้ำลึกเงาตื้น หรือดูนิสัยน้ำตื้นเงาลึก คิดว่าท่านจะต้องเดาผิดอย่างแน่นอน ฉะนั้น การสุ่มเดาว่าใครเป็นพระอริยเจ้า และใครเป็นปุถุชนนั้น จึงยากที่จะสุ่มเดาให้ถูกทั้งหมดได้ ถึงพระอริยเจ้าด้วยกันก็ยังไม่รู้กันทั้งหมดได้ เช่น พระอริยเจ้าขั้นพระโสดาบันก็ยังไม่สามารถดูภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นพระสกิทาคามี พระอริยเจ้าขั้นพระสกิทาคามีก็ไม่สามารถดูภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นพระอนาคามีได้ พระอริยเจ้าขั้นพระอนาคามีก็ไม่สามารถดูภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นพระอรหันต์ได้ แม้พระอรหันต์องค์ที่ท่านไม่มีญาณพิเศษส่วนตัว ก็ไม่สามารถรู้ภูมิธรรมขององค์อื่นได้ แต่เมื่อได้สนทนาธรรมกันแล้ว ท่านจะรู้ทันทีว่า ท่านผู้นั้นมีภูมิธรรมขั้นนั้นขั้นนี้ทันที ในบางกรณีพระอรหันต์ก็ย่อมรู้กันได้ หรือรู้ภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นอื่นได้ด้วย นั่นคือ เป็นผู้มีนิสัยเกี่ยวข้องกันมาในอดีต เคยสร้างบารมีร่วมกันมา และเคยร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาหลายภพหลายชาติ ถ้าในกรณีอย่างนี้ก็พอรู้กันบ้าง ถึงจะรู้ท่านก็ไม่โฆษณา นอกจากว่าจะพูดเป็นนัย ๆ ให้ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดฟังบางโอกาสเท่านั้น เช่นว่า เพชรน้ำหนึ่งอยู่ที่โน้นที่นี้ หรือพูดว่า ท่านองค์นั้นมีสติดีแล้วนะ อย่างนี้เป็นต้น
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุครับผม
    พี่ภูมีกระจกหกด้าน(ส่วนตัว)แร๊ะ
    ขอบใจจ้า ที่มาเติมเต็มให้กัน เยี่ยมๆ
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุกับธรรมาทานของคุณหน่อง

    พระสมุทรสุดลึกล้นคณนา สายดิ่งทิ้งทอดมาหยั่งได้
    เขาสูงอาจวัดวากำหนด จิตมนุษย์นี้ไซร้ ยากแท้หยั่งถึง


    ถึงว่า..ครูบาอาจารย์ที่เคยสอนสั่งลูกศิษย์ของท่านว่า...
    อย่าไปดูจิตผู้อื่น หรือ อย่าไปดูจริยาผู้อื่น
    โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติ
    เพราะมันไม่เกี่ยวกับปฎิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานของตนเอง
    ก็ด้วยเหตุผลนี้เอง
     
  12. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    อ้าววว...แล้วท่าน "พระอรหันต์จี้กง" ล่ะค่ะ

    ขอกราบอนุโมทนาบุญงามๆ กับธรรมทานที่ท่านขยันโพสต์โต้ตอบในกระทู้ อ่านแล้วทำให้ข้าน้อยได้ความรู้ขึ้นมาเยอะเลย แต่อ่านแล้วทำให้นึกเห็นการโต้ตอบของฝ่ายค้าน ในรัฐบาล (ดีน่ะ ที่ฝ่ายรัฐบาลในกระทู้นี้ จิตท่านยกกันหมดแล้ว สิ่งที่แต่ละท่านสือตอบออกมาสัมผัสได้ว่ามีแต่เมตตาจิตที่ทั้งสอนกันตรงๆ แถมสอนสั่งทางอ้อมๆ ก็มี แต่ด้วยจิตที่ยังมืดบอดหลงผิดว่าตัวเองนั้นเก่งนักหนา กลับยังมองไม่เห็น..) นี้แหล่ะน๊า..ที่ประเทศไทยมันไม่เจริญไปถึงไหนสักกะที ก็เนื่องด้วยเหตุนี้นี้เอง

    ปล. ธรรมมะที่เห็น คือ ธรรมมะที่อยู่ในจิตของผู้โพสต์ ไม่ใช่ตัวหนังสือที่เขียนบนกระทู้
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    บ้านใครอยู่แถวๆนี้บ้างเนี๊ย
    ใช่เลย..ประมาณนี้เลย


    ผืนแผ่นดินและท้องฟ้า โดยมีเมฆหมอกอยู่ตรงกลาง

    คนดีกับคนไม่ดีอยู่ด้วยกันได้ เพราะพยายามมองหาแต่ส่วนที่ดีของคนนั้น
    แต่ทำไม..คนดีกับคนดีอยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็เพราะว่าคนดีพยายามมองหาแต่ส่วนที่ไม่ดีต่อกัน
    สรุปแล้วคนดีด้วยกันก็ยังอยู่ด้วยกันไม่ได้เลย
    เพราะฉะนั้น ถ้าหากหาความดีของใครไม่ได้เลย
    ขอแนะนำว่า..ให้อยู่คนเดียวจะดีกว่า
     
  14. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [​IMG]

    พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเรื่องบัว 4 เหล่า
    บัวสี่เหล่า คือ บัวใต้น้ำเป็นหนึ่งในระดับของสติปัญญา
    ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถ
    ของคนที่เรียนรู้เรื่องต่างๆ เป็น 4 ระดับ คือ...


    1.พวกมีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ
    เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือน ดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงพระอาทิตย์ ก็จะเบ่งบานทันที (อุคฆฏิตัญญู)


    2.พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ
    เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจราณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม ก็จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาไม่ช้า เปรียบเสมือน ดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำ ซึ่งจะบานในวันถัดไป (วิปัจจิตัญญู)


    3.พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ
    เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอบด้วยศรัทธาปสาทะ
    ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือน ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆโผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง (เนยยะ)


    4.พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ
    แม้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียรเปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่โคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลาอีกด้วย ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบานได้อีก (ปทปรมะ)


    **เหล่าบัวทั้งสี่เหล่านี้..ล้วนแล้วแต่อยู่ในน้ำด้วยกันทั้งนั้น..พวกเราจึงพึงร่วมแรงร่วมใจ..และพึงตระหนักรักษาน้ำซึ่งเป็นองค์มวลรวม..อย่าพึงให้เสีย เพราะมิเช่นนั้น ไม่ว่าเหล่าบัวกอไหนก็จะอยู่ในน้ำไม่ได้..ทั้งสิ้น

    ขอเจริญในธรรม..ทุก ๆ ท่าน...
     
  15. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    น่าน ไงล่ะเห็นม่ะ

    สมมุตินะสมมุติ หาก อ.ภู เป็นอริยบุคคล ผ่านการปฏิบัติฝึกฝนมาเยอะ
    ไม่จัดจานในปริยัติ หรือร่องรอยปฏิปทาครูบาอาจารย์

    จะเปรียบตัวอย่างว่า เหตุใด ขอใช้คำว่าสายก็แล้วกัน จะได้มองภาพได้ชัดเจน

    ในสายการปฏิบัติหลวงพ่อชา วัดสาขาท่านจะห้ามสูบบุหรี่เคี้ยวหมาก เพราะอะไร

    เรื่องนี้มีเหตุ ได้ยินจากพระท่านหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์หลวงพ่อชา หากจำไม่ผิด
    ท่านว่าเมื่อก่อนหลวงพ่อชา ท่านก็สูบบุหรี่ เคี้ยวหมาก แต่ท่านเป็นพระอริยเจ้านะ

    มีเณรรูปหนึ่ง ต้องคอยเอากระโถนเศษหมากบุหรี่ไปทิ้งทุกๆวัน

    วันหนึ่ง ก็เลยถามหลวงพ่อชา ทำนองว่า ทำไมต้องเคี้ยวหมากสูบบุหรี่ด้วย

    ท่านจึงเลิกในโลกวัชชะ เหล่านั้นเลย

    สิ่งเหล่านี้ การหัวเราะ การสูบหรี่ เคี้ยวหมาก จะนำมาตัดสินว่า ท่านเหล่านั้น
    สิ่งเหล่านี้ยังละไม่ได้ แล้วจะละกิเลสได้อย่างไร นำมาชี้ชัดไม่ได้หรอก
    เพราะท่านเป็นพระสาวก ภาพรอยยิ้มของท่าน ยังนำมาเพื่อความปีติ เบิกบานใจ
    คือ รอยยิ้มของพระอริยเจ้า ให้ได้เห็น

    แต่เพราะอะไร นั่นเพราะ เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ศิษยานุศิษย์

    ไม่ใช่ขำก๊าก ระเบิดเถิดเทิง อิอิ แงวแงว ลงท้ายฟุดฟิดฟายฟาย แล้วก็ไอเลิฟยู โอ้ยยย...หลายโค้ง

    ย้ำ..!!! หากคนๆนั้น ยังเป็นผู้ฝึกตนอยู่นะ

    ดังนั้น ก็คงไม่ต้องถามหรอกว่า เณรน้อยในครั้งนั้น ได้รับอานิสงค์หรือไม่ ในเรื่องนี้

    หรือสาวใย ไปใย ให้ถึง พระอรหันต์จี้กง

    ชัดมั้ยย [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2013
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=FEBZfWpT49c]น้ำไหลนิ่ง - YouTube[/ame]

    "อ๊าว! ตั้งใจทุกคน
    อย่าทำจิตให้มันเพ่งไปที่คนโน้น คนนี้
    ทำความรู้สึกคล้ายๆกับเรานั่งอยู่บนเขา อยู่ในป่าแห่งนึง คนเดียวเท่านั้น
    ตัวเราที่นั่งอยู่แต่เฉพาะในปัจจุบันนี้มีอะไรบ้าง มีแต่กายกับจิตเท่านั้น.."
    (ฟังต่อ)
     
  17. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    สิ่งที่รักษาสมาธินี้ไว้ได้ คือสติ สตินี้เป็นธรรมเป็นสภาวธรรมอันหนึ่ง ซึ่งให้ธรรมอันอื่นๆ ทั้งหลายเกิดขึ้นโดยพร้อมเพรียง สตินี้ก็คือชีวิต ถ้าขาดสติเมื่อใดก็เหมือนตาย ถ้าขาดสติเมื่อใดก็เป็นคนประเภท ในระหว่างขาดสตินั้น พูดไม่มีความหมาย การกระทำไม่มีความหมาย ธรรมคือสตินี้คือความระลึกได้ในลักษณะใดก็ตาม สติเป็นเหตุให้สัมปชัญญะเกิดขึ้นมาได้ เป็นเหตุให้ปัญญาเกิดขึ้นมาได้ ทุกสิ่งสารพัด

    หลวงพ่อชา สุภัทโท
    ที่มา fbเรารัก ธรรมะ
     
  18. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    "สำคัญ ที่ ตัวแก ต้อง ปฏิบัติให้จริง สอนตัวเอง ให้มาก นั่นแหละ จึงจะดี"

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
    ที่มา fb สมาธิ จิต​
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,846
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    หลวงพ่อชา สุภัทโท

    ++++++++++++++++++++++++
    กราบ กราบ กราบ หลวงพ่อชาเจ้าค่ะ
    อนุโมทนาสาธุค่ะ คุณหมอมาแล้ววว
     
  20. PlaiifarPP

    PlaiifarPP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +1,194

    แท้จริงแล้วนั้น กิเลสมิได้มีอยู่จริง
    แล้วเราจะไปชนะมันได้อย่างไร?
    สิ่งที่เราต้องทำเพียงอย่างเดียวคือ
    เราเพียงแต่ดูจิตใจโดยชัดเจน
    เผชิญหน้ากับความคิดโดยแจ่มชัด
    เมื่อเราเห็นใจอย่างชัดเจน โมหะก็จะไม่มีอยู่

    ความสงบที่แท้จริงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราหยุดการแสวงหา
    ต่อเมื่อเราไม่ต้องวิ่งหาบุคคลอื่นนั้นเรียกว่า ความสงบ

    ความสงบมีอยู่แล้วโดยไม่ต้องทำขึ้น
    เป็นความสงบจาก โทสะ โมหะ โลภะ
    เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นแก่เรา สติจะมาทันที
    เนื่องจาก สติ สมาธิ ปัญญา อยู่ที่นั่นแล้ว
    โทสะ โมหะ โลภะ จึงไม่มี
    ถ้าบุคคลใดไม่ได้เจริญสติ ไม่ได้ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น
    บุคคลนั้นจะไม่มีมัน ทั้งๆ ที่มันมีอยู่ที่นั่นแล้ว

    หลวงพ่อเทียน
     

แชร์หน้านี้

Loading...