พบลายแทงขุมทรัพย์ วัดกุฎีดาว!พระองค์เจ้าพีระพงษ์ภานุเดช เผชิญผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์!

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย Norlnorrakuln, 21 ธันวาคม 2012.

  1. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    เจ้าพีระ๒.jpg

    พระองค์เจ้าพีระพงษ์ภานุเดช หรือเรียกพระนามโดยทั่วไปว่า "พระองค์เจ้าพีระฯ"มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศ
    ในฐานะเป็นเชื้อพระวงค์คนไทยพระองค์แรกที่เข้าแข่งขันรถ และได้รับรางวัลชนะเลิศกรังด์ปรีซ์

    พระองค์เจ้าพีระฯไม่เชื่อเรื่องภูตผีปีศาจว่ามีจริงๆ ทรงเห็นเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระไม่ควรเชื่อถือ หรือนำมาสนพระทัย และแล้วพระองค์เจ้าพีระฯ
    ก็ทรงเผชิญอำนาจลี้ลับด้วยพระองค์เอง จนต้องยอมรับอย่างไม่ลังเลสงสัยอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังถูกภูตผีวิญญาณสาปแช่งให้เกิดวิบัติ
    ซึ่งต่อมาก็เป็นไปตามคำสาปแช่งเช่นนั้นจริงๆ เรื่องราวที่พระองค์เจ้าพีระฯเผชิญกับภูตผีวิญญาณที่เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์จะเป็นเช่นไร
    ขอเชิญติดตามได้ดังนี้...

    ใต้แผ่นดินของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาทุกวันนี้ เชื่อไหมว่ายังมีทรัพย์สมบัติอันมีค่าถูกฝังจมอยู่ใต้ดินมากมายมหาศาล เกินกว่าจะประมาณค่าได้
    เพราะก่อนกรุงศรีอยุธยาจะถูกพม่าข้าศึกบุกกระหน่ำจนกรุงแตก สูญสิ้นอิสรภาพเสียเมืองแก่พม่า ชาวพระนครศรีอยุธยาต่างมีฐานะ
    มั่งคั่งร่ำรวยกันเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากห้วงเวลานั้นเป็นยุคสมัยที่กรุงศรีอยุธยาราชธานีกำลังเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด
    เป็นพระมหานครที่มั่งคั่งและงดงามวิจิตรตระการตา

    เมื่อกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าล้อมเมืองเอาไว้และยังไม่รู้ชะตากรรมต่อไป ชาวกรุงศรีอยุธยาจึงต้องหาทางซุกซ่อนทรัพย์สมบัติอันมีค่าของตนไว้
    เพื่อให้พ้นจากเงื้อมมือของฆ่าศึกศัตรู คือการฝังดินเอาไว้ในที่ลับไม่ให้ใครรู้ ดังนั้นลองคิดดูเถอะว่าชาวกรุงศรีอยุธยาจะมีทรัพย์สมบัติฝังไว้ในดิน
    จำนวนเท่าไร? โดยเฉพาะพวกพ่อค้าวาณิช อำมาตย์เสนาบดีที่ร่ำรวยและเชื้อพระวงค์ทั้งหลายย่อมจะแสวงหาสถานที่เร้นลับ เพื่อฝังทรัพย์สมบัติ
    อันได้แก่แก้วแหวนเงินทองไว้ดังกล่าว โดยหวังว่าเมื่อสงครามเสร็จสิ้นลงแล้วก็จะหวนกลับไปขุดขึ้นมาใหม่

    แต่เมื่อสงครามยุติลง ชัยชนะเป็นของพม่า ผู้คนบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมากที่รอดชีวิตก็ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยจนหมดเมือง
    เจ้าของทรัพย์ที่นำไปฝังดินไว้ถ้าไม่ตายในเงื้อมมือของทหารพม่า ก็ตายในระหว่างทาง พวกที่ถูกต้อนไปถึงเมืองพม่าแล้วโอกาสที่จะกลับมาสู่
    พื้นแผ่นดินไทยย่อมหมดสิ้นไป สมบัติที่ฝังไว้จึงถูกทิ้งให้จมอยู่ใต้ดินโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้

    ผู้ที่ฝังทรัพย์สมบัติไว้บางรายได้ทำลายแทงบ่งชี้จุด หรือตำแหน่งสถานที่ฝังสมบัติเอาไว้เพื่อกันลืม หรือเพื่อมอบลายแทงให้แก่ลูกหลานเพื่อมาขุด
    เอาไปในภายหลัง ส่วนมากลายแทงชี้ขุมทรัพย์จะเขียนไว้เป็นปริศนายากแก่การตีความเพื่อป้องกันเวลาลายแทงตกไปอยู่ในมือผู้อื่น ซึ่งมิใช่ลูกหลาน
    ญาติของตน ผู้ที่ได้ลายแทงไปก็จะตีความปริศนาไม่ถูก ไม่สามารถไปขุดเอาทรัพย์สมบัติเหล่านั้นได้ เว้นแต่บุคคลที่เจ้าของทรัพย์
    เฉลยข้อความอันเป็นปริศนาไว้แล้วเท่านั้น

    พระองค์เจ้าพีระฯทรงได้ลายแทงขุมทรัพย์ที่ฝังสมบัติล้ำค่าในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจากพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งพระภิกษุรูปนั้นได้จำพรรษา
    อยู่ในเขตอารามแห่งหนึ่งของจังหวัดนนทบุรี ท่านเล่าที่มาของลายแทงชิ้นนี้ว่าได้มาโดยบังเอิญ โดยไปพบซุกซ่อนอยู่บนเพดานในกุฎีของท่าน
    จึงได้นำมามอบให้แก่พระองค์เจ้าพีระฯ ซึ่งพระองค์ท่านก็ได้มอบถวายปัจจัยตอบแทนให้ไปจำนวนหนึ่ง

    วัดกุฎิดาว๕.jpg

    ลายแทงดังกล่าว เป็นสมุดข่อยแบบโบราณเก่าแก่มากด้านหนึ่งในกระดาษข่อยนั้นมีอักษรไทยโบราณเขียนด้วยรงค์(สี,น้ำย้อม)แต่ตัวอักษร
    ได้ซีดจางเป็นสีขาวไปจนหมด อีกด้านหนึ่งเป็นผ้าเยื้อไม้มีอักขระไทยโบราณเขียนไว้ด้วยหมึกสีดำ(หมึกจีน?)ด้านที่เป็นผ้าเยื้อไม้
    มีรอยวาดแสดงที่ตั้งของโบสถ์และเจดีย์วัดกุฎีดาวและมีเครื่องหมายเป็นปริศนา บอกตำแหน่งขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ถึง ๑๖ จุดรอบๆโบสถ์ คิดเป็นมูลค่า
    สูงหลายโกฎิล้าน! และในด้านซึ่งเป็นผ้าเยื้อไม้ที่ระบุลายแทงขุมทรัพย์นั้นเอง มีปรากฎคำสาปแช่งเขียนกำกับเอาไว้ด้วย!!

    ในสมุดข่อยลายแทงฉบับนี้ยังมีปริศนาบอกที่ซ่อนขุมทรัพย์ต่างๆภายในเขตพระนครศรีอยุธยาอีก ๓๐๓ แห่ง หากขุดค้นนำเอาขุมทรัพย์ทั้งหมดมาได้ครบ
    เห็นทีราคาของขุมทรัพย์ทั้งหมดคงจะหาค่าประมาณมิได้เป็นแน่แท้!

    หลังจากพระองค์เจ้าพีระฯทรงได้สมุดข่อยฉบับนี้มา ท่านก็ได้ศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียดโดยอาศัยผู้รู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญอักขระอักษรไทยโบราณ
    จนรู้แน่ชัดว่าที่หน้าโบสถ์ร้างวัดกุฎีดาว ลึกลงไปใต้ดินเป็นที่ฝังขุมทรัพย์ของพระเจ้าอู่ทองทรงสร้างเอาไว้สำหรับบรรจุมหาสมบัติอันล้ำค่า
    เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานของพระมเหสีที่ทรงรักใคร่มากที่สุด ดังนั้นย่อมไม่ต้องสงสัยเลยว่าขุมทรัพย์แห่งนี้จะมีค่ามากมายมหาศาลเพียงใด!!

    พระองค์เจ้าพีระฯจึงทรงตัดสินพระทัยเปิดฉากขุดค้นหาขุมทรัพย์อันล้ำค่าแห่งนี้ ที่หน้าโบสถ์ร้างวัดกุฎีดาวก่อนแห่งอื่น ก่อนจะลงมือขุดค้นหานั้น
    พระองค์เจ้าพีระฯทรงดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง โดยขออนุญาติไปทางกรมศิลปากรเพื่อขุดหาสมบัติโบราณ
    และมีข้อตกลงเป็นสาระสำคัญว่า ถ้าขุดพบมหาสมบัติโบราณได้จริงๆจะมอบให้แก่รัฐ ๙๐ % ส่วนอีก ๑๐% เป็นของพระองค์
    เมื่อกรมศิลปากรตกลงตามข้อเสนอนั้น พระองค์ทรงดำเนินงานในส่วนที่สองทันที โดยสั่งเครื่องมือค้นหาแหล่งแร่ใต้ดิน
    ที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้นคือเครื่อง ไมน์ ดีเทคเตอร์ (Mine detecter)เครื่องมืออุปกรณ์นี้สามารถบอกได้ว่า ลึกลงไปใต้ดิน ๒๐ เมตร
    มีแหล่งแร่อะไรบ้าง เช่น แร่เงิน แร่ทอง และวัตถุโลหะอื่นๆได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งสามารถบอกได้อีกด้วยว่าแหล่งแร่ดังกล่าวมีปริมาณมากน้อยเท่าไหร่
    โดยจะมีเสียงดังหลายระดับ เช่นถ้าพบแร่มีปริมาณน้อยก็จะดังน้อย ถ้าพบแร่มีปริมาณมากก็จะดังมาก

    วัดกุฎิดาว๔.jpg

    หลังจากเตรียมงานพร้อมแล้วพระองค์เจ้าพีระฯและคณะขุดหาสมบัติซึ่งประกอบด้วย หม่อมสาลี่ พระชายา มร.แฮริสัน และพระสหายลูกครึ่งอีกคนหนึ่ง
    พร้อมด้วยคนงานขุดดินอีก ๑๕ คนก็ออกเดินทางไปวัดกุฎีดาว จังหวัดพระนครศรีอยุธยาในกลางเดือนธันวาคม พ.ศ ๒๕๐๓ เพื่อเริ่มต้นขุดหาสมบัติ
    ก่อนที่จะเริ่มต้นขุดค้นหาสมบัติใต้ดินมีผู้รู้แนะนำพระองค์ท่าน ให้ทรงทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ต่อภูตผีปีศาจหรือวิญญาณที่เฝ้าสมบัตินั้น เพื่อขอขมา
    ที่ล่วงเกิน แต่พระองค์ท่านไม่เชื่อว่าภูตผีปีศาจหรือวิญญาณมีจริง จึงมิได้สนพระทัยและไม่ได้ทำอะไรเลย!

    คณะขุดค้นหาสมบัติได้ไปตั้งแคมป์หรือที่พักชั่วคราวอยู่ในวัดกุฎีดาวซึ่งเป็นวัดร้าง มร.แฮริสันและพระสหายลูกครึ่งพักที่แคมป์เพื่อควบคุมคนงาน
    ไม่ให้มีการแอบขโมยลักขุด ส่วนพระองค์เจ้าพีระฯและหม่อมสาลี่พระชายา เสด็จเช้าไปเย็นกลับ ด้วยพาหนะรถยนต์ส่วนพระองค์ทุกวัน

    วันแรกที่ดำเนินการขุดค้นหาสมบัติใต้ดิน คณะของพระองค์เจ้าได้ใช้เครื่องมือค้นหา ไมน์ ดีเทคเตอร์ ตรวจหาไปรอบๆบริเวณโบสถ์ก็ปรากฎพบว่า
    เครื่องมืออันทันสมัยนี้ระบุอย่างแน่ชัดว่าที่หน้าโบสถ์มีทองคำถูกฝังอยู่เป็นจำนวนมาก!การขุดจึงเริ่มต้นทันทีด้วยความคึกคัก คนงาน ๑๕ คน
    พร้อมด้วยอุปกรณ์การขุดประเภทจอบเสียม ระดมเปิดหน้าดิน และเจาะลึกลงไปเรื่อยๆ พอขุดลงไปได้ ๖-๗ ฟุต แทนที่จะพบโอ่งไหใส่ทองคำหรือ
    เครื่องประดับล้ำค่า กลับพบกระเบื้องโบราณลวดลายสวยงามทับถมซับซ้อนกันอยู่เป็นจำนวนมาก ต้องโกยเอากระเบื้องไม่มีราคาเหล่านั้นขึ้นมา
    เสียเวลาไปมาก จนกระทั่งเวลาล่วงเข้าสู่ตอนเย็นจึงต้องหยุดพักเอาแรงไว้แต่เพียงเท่านี้

    วัดกุฎิดาว๓.jpg

    คืนนั้นพระองค์เจ้าพีระฯและพระชายาก็เสด็จกลับกรุงเทพฯ ด้วยรถยนต์ส่วนพระองค์โดยประทับอยู่วังเลขที่ ๓๒ ซอยสุภางค์ ถนนสุขุมวิท อำเภอพระขโนง
    กรุงเทพมหานคร พระองค์เจ้าพีระฯตรัสเล่าว่า...

    "พอกลับมาคืนวันนั้นตอนดึกประมาณ ๒๔.๐๐ น.ปรากฎมีเสียงคล้ายคนขุดดินดัง "ฉึก ฉึก ฉึก" อยู่ที่ใต้พื้นดิน ตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงหนูวิ่งไล่กัน
    แต่พอฟังไปกลายเป็นเสียงคนขุดดิน จึงนึกว่าคงเป็นขโมย มาขโมยดินเพราะพึ่งขุดสระน้ำเอาไว้ใหม่ๆ จึงถือปืนเดินออกมาดูแต่ไม่เห็นมีอะไร
    จึงกลับเข้ามานอนใหม่ ก็ได้ยินเสียงขุดดินอีก" พระองค์เจ้าพีระฯสงสัยว่าเป็นอะไรกันแน่จึงถือปืนเดินออกไปใหม่ เดินตามเสียงนั้นไปรอบๆบ้าน
    โดยที่เสียงประหลาดนั้นยังคงดังอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวดังตรงโน้นที เดี๋ยวดังตรงนี้ที ย้ายที่ไปเรื่อยๆ เดินตามไปตรงที่เกิดเสียง ก็ย้ายหนีไปขุดดังตรงที่อื่นอีก!
    หากเป็นคนทั่วไปก็คงจับไข้ห้วโกร๋ไปแล้ว แต่พระองค์เจ้าพีระฯไม่ทรงเชื่อเรื่องผี ท่านจึงเดินตามเสียงประหลาดอย่างไม่หวั่นกลัวอะไร

    เมื่อหาสาเหตุไม่พบว่าเสียงที่ได้ยินมีที่มาอย่างไรพระองค์เจ้าพีระฯ จึงเสด็จกลับเข้ามาที่บรรทมต่อและเสียงที่ขุดดินก็ตามมาดังที่นอกห้องบรรทม
    เหนือพระเศียรกระทั่งรุ่งเช้า ตอนเช้าพระองค์เจ้าพีระฯเสด็จไปดูตรงจุดที่เกิดเสียงประหลาด ปรากฎว่าไม่มีร่องรอยผิดปกติอะไร ไม่มีสิ่งใดสูญหาย
    แม้แต่ดินก้อนเดียว พระองค์ตรัสเล่าว่า

    "เขามาอาละวาดเต็มที่ตามมาถึงบ้าน เขาคงมาท้วงเรา เพราะเราไม่ได้ไปแสดงความเคารพหรือขอขมาเขาเสียก่อนขุด ตอนนั้นฉันไม่เชื่อเรื่องผี
    จึงไม่ได้ทำพิธีทางไสยศาสตร์ ทั้งที่วันนั้นก็มีคนทักท้วงว่าควรจะทำ" เรื่องนี้พระองค์เจ้าพีระฯได้ตรัสเล่าให้พระญาติพระวงค์ และพระสหาย
    ตลอดจนชาวบ้านที่มารับจ้างช่วยขุดหาขุมทรัพย์ฟัง ซึ่งทุกคนที่รับรู้เรื่องนี้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้องเป็นผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์มาแสดงตัวปรากฎ
    ให้เห็นเตือนให้ยับยั้งการขุดหาขุมทรัพย์ ซึ่งไม่ใช่ของตนเอง และทุกคนต่างขอร้องให้พระองค์ทรงล้มเลิกการขุดหาขุมทรัพย์ในคราครั้งนี้
    เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายได้ แต่พระองค์และพระสหายไม่ยอมเลิกล้มโครงการ ตรัสสั่งให้ดำเนินการขุดต่อไป

    วัดกุฎิดาว๒.jpg

    วันรุ่งขึ้นพระองค์เจ้าพีระได้ใช้เครื่องไมด์ดีเทคเตอร์ตรวจสอบดูอีกครั้งที่หลุมซึ่งขุดค้างไว้ ปรากฎว่าเครื่องส่งเสียงแสดงว่า
    มีทองคำอยู่ใต้ดินบริเวณนั้นเป็นจำนวนมากเช่นเดิม จึงให้คนงานขุดต่อที่หลุมเดิมขุดลงไปโดยขยายปากหลุมให้กว้างและโกยดินขึ้นมามากมาย
    พบแต่หม้อดินโบราณใบเล็กๆใส่กระดูกคนเอาไว้ใบหนึ่ง นอกนั้นไม่พบอะไรเลย วันต่อมาการขุดดำเนินการต่อไปอีก วันนี้ได้พระพุทธรูปองค์เล็กๆ
    สององค์ ไม่พบทรัพย์สมบัติสิ่งใดทั้งสิ้น ทั้งที่เครื่องตรวจสอบแร่ธาตุระบุว่ามีทองคำอยู่ใต้ดินบริเวณนั้นมากมาย และหลุมที่ขุดก็ลึกลงไปมากแล้ว

    วันต่อๆมาก็ยังขุดต่อไปอีก กระทั่งถึงเย็นวันหนึ่งเวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น.ขณะพระองค์เจ้าพีระฯได้ทรงวางเครืองไมน์ ดีเทคเตอร์ ซึ่งทรงถือมา
    เป็นเวลานานลง แล้วเงยพระพักตร์ขึ้น ก็ทอดพระเนตเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากทางหลังโบสถ์ ชายคนนั้นรูปร่างสูงใหญ่กำยำล่ำสันผิดมนุษย์
    แต่งตัวแบบนักรบไทยโบราณ สวมเสื้อแขนกระบอกกางเกงขาลีบๆสั้นๆสีน้ำเงินเข้มทั้งชุด มีแขนใหญ่และลำคอใหญ่
    พระองค์เจ้าพีระฯตรัสอุทานออกมาว่า ...

    วัดกุฎิดาว๑.jpg


    "ผีนี่นา!"ที่พระองค์ตรัสเช่นนั้นเพราะชายคนดังกล่าวปราศจากศีรษะ พระองค์เจ้าพีระฯตรัสถามพระชายา และพระสหายทั้งสองว่า
    เห็นอะไรบ้างหรือเปล่า หม่อมสาลีและพระสหายตอบว่าไม่เห็นมีอะไร พระองค์ตรัสเล่าต่อไปว่า...
    "ฉันเห็นแล้วฉันไม่ตกใจ ความที่อยากรู้ว่าเป็นอะไรจึงวิ่งตามผีไปจนถึงพุ่มไม้ที่ผีหาย ซึ่งอยู่ห่างจากโบสถ์ประมาณร้อยเมตร ก็ได้พบว่าพุ่ม
    ไม้ที่เห็นไกลๆว่าเป็นไม้เล็กๆนั้น แท้จริงเป็นไม้ขนาดใหญ่ทีเดียว แต่ขึ้นอยู่ในแอ่งข้างล่างจึงมองเห็นเป็นพุ่มไป"

    พระองค์เจ้าพีระฯได้ทรงนำเรื่องที่เห็นผีไปเล่าให้ชาวบ้านฟัง และตรัสถามชาวบ้านว่าเป็นใคร ชาวบ้านก็ทูลว่าเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์
    และการมาปรากฎให้เห็นเช่นนี้แสดงว่าผู้ที่เห็นปู่โสมเข้าใกล้ขุมสมบัติแล้ว ซึ่งหมายความว่าพระองค์เจ้าพีระฯ กำลังขุดเข้าใกล้
    ขุมสมบัติเข้าไปทุกที แม้ชาวบ้านจะบอกว่าปู่โสมเป็นวิญญาณหรือเป็นผีที่เฝ้าขุมทรัพย์ กระนั้นพระองค์เจ้าพีระฯก็ไม่ทรงเชื่อ

    พระสหายชาวต่างประเทศที่ชื่อแฮริสัน ทราบรายละเอียดว่าพระองค์เจ้าพีระฯทรงเห็นผีหัวขาดเดินออกมาจากทางหลังโบสถ์
    จึงเปิดเผยออกมาบ้างว่า เขาเองก็พบเห็นชายหัวขาดเดินออกมาจากทางหลังโบสถ์ แล้วไปหายที่พุ่มไม้เช่นเดียวกัน!
    เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แทนที่พระองค์เจ้าพีระฯจะทรงยั้งคิดและไตร่ตรองถึงความผิดพลาด ที่ท่านกำลังละเมิดทรัพย์สินของผู้อื่น
    ที่ตายไปแล้ว แต่ยังมีวิญญาณเจ้าของเดิมหวงแหนเฝ้ารักษาอยู่ พระองค์กลับทรงเห็นว่าทรัพย์สินที่เจ้าของเสียชีวิตไปแล้วนั้น
    ย่อมไม่มีใครเป็นเจ้าของ ฉะนั้นผู้ใดค้นพบผู้นั้นย่อมมีสิทธิ์ครอบครอง ที่พระองค์ทรงคิดเช่นนี้เนื่องจากไม่เชื่อว่าผีมีจริงวิญญาณมีจริงนั้นเอง

    แม้วิญญาณเจ้าของสมบัติหรือปู่โสมเฝ้าทรัพย์จะมาแสดงตนประหนึ่งห้ามปราม ทว่า พระองค์เจ้าพีระฯหาได้สนพระทัยไม่
    ยังคงตรัสสั่งให้ดำเนินการขุดค้นหาต่อไปอีก วันต่อมาพระองค์เจ้าพีระฯและทีมงานได้ใช้เครื่องไมน์ ดีเทคเตอร์ ลงไปตรวจที่ก้นหลุมอีก
    สัญญาณดังแรงมาก ประหนึ่งว่าจวนเจียนใกล้จะได้พบแร่ทองคำจำนวนมหาศาลแล้ว เพียงไม่กี่อึดใจเดียวเท่านั้น...

    แต่ทันใดนั้นเอง!ได้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้น เมื่อคนงานระดมขุดอย่างชนิดที่เรียกว่าเต็มแรงสุดกำลังเลยที่เดียว...เสียงดังครืดๆๆ
    มาจากใต้ดินคล้ายมีอะไรบางอย่างขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ข้างใต้ เสียงนี้ดังอยู่ชั่วขณะแล้วก็เงียบหายไป คนงานที่กำลังขุดดินอยู่ต่างพากัน
    เผ่นหนี้กระโจนขึ้นจากหลุมด้วยความกลัวตาย

    เมื่อเหตุการณ์เป็นปกติแล้ว พระองค์เจ้าพีระฯและพระสหาย ได้ทรงนำเครื่องมืออันทันสมัยลงไปตรวจสอบที่ก้นหลุมอีก
    แล้วก็ต้องประหลาดใจเป็นหนที่สอง เพราะปรากฎว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงจากเครื่องมือ นั้นคือสัญญาณแต่เดิมที่เคยร้องดังลั่น
    กลับเงียบเสียงลงอย่างแผ่วเบามาก และยังชี้ไปทิศทางอื่น เป็นการบ่งชัดว่าขุมทองคำมหาศาลได้เคลื่อนย้ายหนีไปตำแหน่งอื่น!

    แต่พระองค์เจ้าพีระฯไม่ทรงย่อท้อพระทัย จึงตรัสสั่งให้คนขุดย้ายไปตำแหน่งใหม่ ซึ่งเครื่องได้ชี้จุดห่างออกไปประมาณ ๓๐ เมตร
    แต่เมื่อระดมขุดลึกลงไปๆใกล้จะถึงจุดที่เครื่องบอกว่ามีขุมทรัพย์จำนวนมากฝังอยู่ ก็ต้องเจอกับเหตุการณ์แปลกประหลาดซ้ำอีก
    นั้นคือได้ยินเสียงดัง ครืดๆๆ แล้วเครื่องวัดสัญญาณก็เงียบหายไป!

    เป็นเวลาสองวันเต็มๆที่ชุดตามล่าหาขุมทรัพย์ ได้พยายามขุดตามมหาสมบัติที่เคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา ชนิดที่เรียกว่าหวุดหวิดจวนเจียน
    มันก็หนีไปจากที่เดิมอีก!เป็นที่น่าสังเกตุว่าบริเวณที่ขุมทรัพย์เคลื่อนย้ายหนีไปรวมตัว ณ ที่แห่งใหม่นั้น บางครั้งจะมีลักษณะเรียงตัวกัน
    เป็นรูปสี่เหลี่ยมบ้าง ทรงกลมบ้าง เมื่อขุดตามไปก็ได้แต่ดินโกยขึ้นมา ไม่มีแม้แต่เศษทองให้พบเห็นแม้แต่เพียงชิ้นเดียว!

    เมื่อพระองค์เจ้าพีระฯทรงเห็นชัดเช่นนั้นจึงตรัสสั่งให้หยุดการขุดเอาไว้ก่อน และเริ่มหันมาสนพระทัยเรื่องไสยศาสตร์อันเร้นลับ
    บังเอิญได้รู้จักกับพระอาจารย์รูปหนึ่ง ท่านมีชื่อเสียงทางไสย์เวทพุทธาคม เมื่อท่านรับทราบเรื่องการขุดหาขุมทรัพย์ที่วัดร้างกุฎีดาว
    ว่ามีอาถรรพณ์ลึกลับก็รับว่าจะทำพิธีบวงสรวงขออนุญาติขุด เมื่อถึงฤกษ์งามยามดี พระอาจารย์จอมขมังเวทย์ท่านนี้ได้ตั้งศาลเพียงตา
    ขึ้นที่หลังโบสถ์ แล้วท่านก็นำเอาไข่ลมมาเสกให้ดูปรากฎว่าไข่มีสีเขียวบ้างสีแดงบ้าง จากนั้นท่านก็ยืนยันว่า
    สถานที่แห่งนี้มีทองคำจำนวนมากฝังอยู่จริงๆ และทำพิธีอยู่ ๓-๔ สัปดาห์ แต่เข้าฤดูฝนเสียก่อน การพิธีจึงจำเป็นต้องหยุดชะงักไป
    แม้ผ่านฤดูฝนแล้วก็ยังมิได้ดำเนินงานต่อ เนื่องจากไม่แน่ใจว่าวิญญาณที่เฝ้าทรัพย์จะอนุญาตหรือไม่?...

    "เรื่องอาถรรพณ์ต่างๆในการขุดหาสมบัติที่อยุธยาฉันได้นำไปเล่าให้พระอาจารย์อีกรูปหนึ่งฟัง พระอาจารย์รูปนี้เก่งมาก
    เป็นยอดอาจารย์เลยก็ว่าได้ เพราะท่านสำเร็จได้อภิญญาหลายอย่าง ท่านก็หลับตานั่งทางในแล้วไปคุยกับคนไม่มีศีรษะที่ฉันเห็น
    ท่านว่าเห็นแล้ว ท่านว่าคนนี้มีจริงๆเป็นปีศาจเฝ้าทรัพย์ชื่อ ผาด เป็นอดีตทหารของพระเจ้าอู่ทอง ปีศาจตนนั้นได้บอกกับพระอาจารย์
    หลวงพ่อว่า...ฉันไปรบกวนเขาโดยไปขุดทรัพย์แล้วไม่ทำตามแบบแผน เขาจะให้ทรัพย์นั้นได้หรือไม่ ต้องแล้วแต่บุญแต่กรรมของเรา
    อย่างไรก็ตาม เขาได้สาปผู้ไปขุดเอาทรัพย์นั้นแล้ว ว่าไม่ให้ทำมาค้าขึ้น ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะในเวลาต่อมาทั้งสามคนที่ร่วมกันขุดก็แย่
    ฉันก็แย่..."

    คำสาปจากวิญญาณผู้เฝ้าขุมทรัพย์ปรากฎเป็นความจริงในเวลาต่อมา นั่นคือธุรกิจที่พระองค์เจ้าพีระฯทรงร่วมกับพระสหายอีกสองคน
    ก็มีอันต้องล้มเลิกกิจการล่มจมลง ต่อมา มร.แฮริสัน ก็เสียชีวิตก่อนวัยอันควร!พระสหายลูกครึ่งก็หายสาปสูญไปโดยไม่รู้ว่าอยู่ไหน
    จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้! ส่วนพระองค์เจ้าพีระฯในเวลาต่อมาได้ดำเนินธุระกิจอีกหลายอย่างแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
    การดำเนินงานขุดหาสมบัติจึงเท่ากับล้มเลิกไปโดยปริยาย ซึ่งเป็นเหตุให้พระองค์หันมาศึกษาพุทธศาสตร์อย่างจริงจัง
    โดยมุ่งเน้นด้านจิตศาสตร์เป็นสำคัญ เพื่อหวังว่าในสักวันหนึ่งพระองค์จะทรงติดต่อกับวิญญาณผีปู่โสมด้วยพระองค์เอง
    ถ้ายังติดต่อไม่ได้ก็จะไม่ล่วงละเมิดอีกต่อไป

    พระองค์เจ้าพีระฯกับประสบการณ์เผชิญวิญญาณหวงสมบัติที่วัดกุฎีดาวนี้ พระองค์เคยเสด็จไปประทานสัมภาษณ์ที่สมาคมค้นคว้าทางจิต
    แห่งประเทศไทย ณ ตึกเกษมปัญญาคาร วัดมกุฎกษัตริยาราม โดยมี พ.ต.อ. ชะลอ อุทกภาชน์ ผู้กำกับการสันติบาลกอง ๕
    นายแพทย์เชียร สิริยานนท์ และนายแพทย์ประพันธ์ พืชผล เป็นผู้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ ๒๕๐๔

    เจ้าพีระ๑.jpg

    ที่นั้นพระองค์เจ้าพีระฯทรงยอมรับต่อที่ประชุม ณ สมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทยว่า แต่เดิมพระองค์ไม่เคยทรงเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจเลย
    แต่ปัจจุบันได้ทรงยอมเชื่อแล้ว ทั้งนี้ เพราะได้ทรงประสบเรื่องวิญญาณลี้ลับมาแล้วด้วยพระองค์เอง.


    อ้างอิงข้อมูลโดย: นิตยสารภูตผีวิญญาณ ฉบับที่ ๕ พ.ศ ๒๕๔๕
     
  2. makigochan

    makigochan ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    6,247
    ค่าพลัง:
    +68,038
    เรื่องน่าสนใจมากเลยค่ะ ตอนนี้ผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว วิญญาณปู่่โสมจะยังคง
    อยู่หรือไม่คะ
     
  3. wondam

    wondam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +488
    อ่านแล้ว สนุกมากมายเลยคับ
     
  4. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,670
    สนุกดีค่ะ แต่สงสารปู่โสมแกจัง จะไปไหนก้อไปไม่ได้
    คงจะต้องรอเจ้าของตัวจริงต่อไป กว่าจะได้ไปผุดไปเกิดกับเค้าซักที
     
  5. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    เก็บไว้เป็นสมบัติของชาติอยู่ใต้ดินนั่นแหละดีแล้ว ผู้คนสมัยนี้ไม่เหมาะกับสมบัตินั้นหรอก ผมเชื่อว่าทรัพย์สมบัตินี้ถ้าจะเป็นของใครสักคนต้องเป็นของคนดี หรือเป็นของเจ้าของเขาจริงๆ หรือไม่ก็อยู่ใต้ดินแบบนั้นนั่นแหละดีแล้ว เอามาก็โลภกัน แม้แต่กรมศิลป์ยังไว้ใจไม่ได้เลย คนเราต้องอยู่กิน เงินทองไม่เข้าใครออกใคร ตำรวจเป็นโจรเยอะแยะไป
     
  6. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ยังคงอยู่เหมือนเดิมครับ เพราะเป็นประเภทปีศาจที่มีฤทธิ์มาก แถมยังมีหน้าที่เฝ้าทรัพย์โดยตรง
    ความเห็นส่วนตัว คงไม่มีใครสามารถนำทรัพย์ตรงจุดนี้ไปได้ เพราะเป็นสมบัติของพระเจ้าอู่ทอง(จุดอื่นๆอาจไม่แน่เพราะในลายแทงระบุยังมีขุมทรัพย์ย่อยๆอีก ๓๐๓ จุด คงรอเจ้าของเดิมหรือลูกหลานตามโอกาส)

    ส่วนขุมทรัพย์ใหญ่ๆนั้นต้องรอถึงยุคสมัยของพระเจ้าจักรพรรดิ อาถรรพณ์ต่างๆจึงจะหมดวาระสิ้นสุดลง ซึ่งมหาขุมทรัพย์ทั้งหลายในสี่ทวีปนี้ก็จะตกเป็นของพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีบุญญาธิการสูงพระองค์นั้น เป็นผู้ปลดปล่อยวิญาณปู่โสมทั้งหลายตามวาระกฎแห่งกรรม!
     
  7. chollada

    chollada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +484
    ใครคือพระเจ้าจักรพรรดิคะ ในปัจจุบันท่านเป็นผู้ใด
     
  8. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ทราบแต่เพียงว่าภายหลังจากสิ้นยุคสมัยของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณะโคดมแล้ว ๕,๐๐๐ ปีล่วงมา อีกประมาณหนึ่ง ก็จะถึงวาระสมัยที่มีพระเจ้าจักรพรรดิอุบัติขึ้น ซึ่งไม่มีวันเวลาปรากฎแน่ชัด!

    ส่วนในสมัยปัจจุบันนี้ท่านก็ยังคงสั่งสมบารมีอยู่ นั้นแล (หลายองค์) :cool:
     
  9. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911
    อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกแปลกๆขนลุก ครับ.. ผมเป็นคนเชียงราย แต่ได้มีโอกาสไปเที่ยว จ.อยุธยา เมื่อ ปีที่แล้ว ก่อนน้ำท่วมใหญ่ 2 เดือน แล้วได้ไปเที่ยววัดกุฏีดาว โดยบังเอิญ และรู้สึกแปลกๆมาก.. เหมือนกับมีอะไรบางอย่าง.. ยิ่งได้อ่านเรื่องนี้แล้วยิ่งตื่นเต้นอยากไปขุดเองซะเลย 55+
     
  10. tom02

    tom02 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +49
    ปู่โสมยังอยู่ครับ
    เพราะบ้านยายผมอยู่ในอยุธยา อยู่เกาะเมืองอโยธยาเก่า ไม่ไกลจากวัดกุฏีดาว
    ทวดผมเล่าให้ฟังว่า
    ในสมัยก่อน ชาวบ้านแถวนั้นบางคนก็เคยเห็นแสงขึ้นมาจากพื้นดิน
    วิ่งไปมาระหว่างวัดมเหยงค์ กับวัดกุฏีดาว ห่างกันประมาณ 500 เมตร ซึ่งในอดีต 2วัดนี้ เคยมีโซ่ขนาดใหญ่วางบนดินเชื่อมระหว่างสองวัด แต่ปัจจุบันโซ่ถูกตัดไปแล้ว ชาวบ้านแถวนั้นเค้าเชื่อกันว่า ปู่โสมอยู่วัดมเหยงค์ กับวัดกุฏีดาว ซึ่งมีเรื่องเล่ามากมาย ท่านไม่ใช่คนดุ มีเรื่องเล่าว่า มีชายแก่คนหนึ่งยากจนจะเอาวัวที่บ้านไปเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย จะไปขายที่ในเมืองอยุธยา แต่พอเรือผ่านวัดมเหยงค์ ก็มีคนโบกเรียก พ่อค้าเลยหยุดเรือ คนที่โบกเรือนั้นแต่งชุดไทยโบราณ จะมาขอซื้อวัวโดยแรกกับลูกหมา 1 คอก ชายแก่เห็นลูกหมาน่ารักเลยยอมแรก แต่พอเรือใกล้ถึงบ้านก็กลัวจะโดนเมียด่า เลยจับโยนลูกหมาลงคลอง เก็บไว้ 1ตัว แต่พอมาถึงบ้าน ชายแก่เปิดเรือดูพบว่า กลายเป็นตุ๊กตาหมาทองคำ

    ซึ่งปู่โสมท่านก็ให้สมบัติแก่คนที่สมควรมากกว่า ท่านไม่ใช่คนที่น่ากลัว ท่านจิตใจดีด้วยซ้ำ
     
  11. makigochan

    makigochan ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    6,247
    ค่าพลัง:
    +68,038
    เพิ่งย้ายไปอยู่อยุธยาไมกี่ปีเองค่ะ เคยไปสถานที่บางแห่งในเกาะเมืองอยุธยา ทั้งๆที่ก็มีสิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่แล้ว แต่มีความรู้สึกแปลกๆค่ะ มันเหงาๆ เหมือนกับว่าสถานที่นั้นมันมีอดีตหรืออะไรบางอย่างค่ะ ท่านใดมีเรื่องเล่าเก่าๆเกี่ยวกับอยุธยา ก็นำมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ ชอบมากเลยค่ะ
     
  12. mintcnn

    mintcnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +135
    สนุกมากครับ ...

    ชอบอ่านมากกับเรื่องแบบนี้และได้ข้อคิดอะไรหลายๆอย่าง

    ของไม่ใช่ของเรา ยังไงก็ไม่ใช่ของเรา..
     
  13. มหาละลวย

    มหาละลวย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +717
    น่าสนใจมากครับ ขอบคุณมากครับ
     
  14. Baifirn1

    Baifirn1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +293
    สนุกมากเลยครับ ขอบคุณครับที่นำเรื่องเล้นลับมาให้อ่าน
     
  15. ชัยบวร

    ชัยบวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    928
    ค่าพลัง:
    +1,642
    ครับ...ผมจะเล่าเรื่องจริงที่ผมประสบมาเมื่อปี พ.ศ. 2555 ที่ผ่านมาให้ฟังนะครับ เรื่องวิญญาณที่เฝ้าขุมสมบัตินั้น ที่วัดร้างสมัยสุโขทัย ผมก็ไปเจอมาเช่นกันครับ เนื่องจากผมเข้าไปสำรวจสถานที่เพื่อจะทำการอนุรักษ์หรือบูรณะ ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งรูปร่างสมบูรณ์เหมือนคนปกตินี่แหละครับ เขามาพูดอะไรให้ผมฟังก็ไม่ทราบ ฟังไม่เข้าใจ แต่จับคำได้เพียงว่า "เชลียง" ผมจึงนำเรื่องนี้ไปเล่าให้หลวงพ่อเจ้าอาวาส และชาวบ้านฟังพร้อมบอกรูปพรรณสัณฐานของชายคนนั้น ปรากฏว่าเขาเป็นเจ้าของที่ดินบริเวณวัดร้างนั่นเอง แต่เสียชีวิตไปนานแล้ว ผมถึงเข้าใจ ถึงอย่างไรผมไม่ได้มีเจตนาจะไปขุดหรือเอาสมบัติอะไรทั้งสิ้น ผมเพียงแค่ประสงค์จะทำการบูรณะขึ้นมาเพื่อเป็นการส่วนรวม ถ้ามีงบหรือเงินทุนเพียงพอสำหรับการบูรณะนะครับ ผมจึงไม่ต้องเกรงกลัวอะไร เพราะทำด้วยจิตใจดีงาม
     
  16. trp77

    trp77 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +28
    ขอบคุณครับ:boo:
     
  17. da2496

    da2496 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +106
    เมื่อ 20ปีผ่านมาหลายคนหลายวาระ ทักว่าเรามีสมบัติในอดีตให้ยินยอมให้เขาทำพิธีดึงให้เอาไหม แต่แบ่งคนละครึ่ง เราก็คิดว่าสมบัติเราทำไมต้องแบ่ง ชีวิตผ่านช่วงอดอยากมาแล้วจะโลภทำไม ของๆเรา กี่ชาติๆก็ของๆเรา ไม่จำเป็นต้องรีบขุด
     
  18. นางสาวอยู่จ้ะ

    นางสาวอยู่จ้ะ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,041
    ค่าพลัง:
    +3,865
    เรานะ ถึงไม่ค่อยอยากไปเที่ยวนอนค้างอ้างแรมที่อยุธยาเลย..
     
  19. pummuq

    pummuq เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    375
    ค่าพลัง:
    +352
    คนเฝ้าสมบัติอาจจะเป็นเปรต
     
  20. LungKO

    LungKO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    590
    ค่าพลัง:
    +925
    นิธิกัณฑคาถา/นิธิกัณฑสูตร

    นิธิง นิเธติ ปุริโส..................คัมภีเร อุทะกันติเก
    อัตเถ กิจเจ สะมุปปันเน.........อัตถายะ เม ภะวิสสะติ
    คนเราฝังขุมทรัพย์ไว้ในที่ลึกจดถึงน้ำ, ก็ด้วยคิดว่าเมื่อเกิดกิจที่จำเป็นขึ้น
    ขุมทรัพย์นี้จะเป็นประโยชน์แก่เรา

    ราชะโต วา ทุรุตตัสสะ...........โจระโต ปีฬิตัสสะ วา
    อิณัสสะ วา ปะโมกขายะ........ทุพภิกเข อาปะทาสุ วา
    เอตะทัตถายะ โลกัส๎มิง..........นิธิ นามะ นิธิยยะติ
    ขุมทรัพย์ที่คนฝังไว้ในโลก ก็เพื่อจุดประสงค์นี้ คือ...
    เพื่อให้พ้นจากราชภัยที่คอยคุกคาม เพื่อให้พ้นจากโจรภัยที่คอยเบียดเบียน
    เพื่อเก็บไว้ใช้หนี้ก็มี เพื่อเก็บไว้ใช้ในยามเกิดทุพภิกขภัย
    หรือเพื่อใช้ในเวลามีภัยอันตรายต่างๆ

    ตาวัสสุนิหิโต สันโต...............คัมภีเร อุทะกันติเก
    นะ สัพโพ สัพพะทาเยวะ........ตัสสะ ตัง อุปะกัปปะติ
    ขุมทรัพย์ที่เขาฝังไว้อย่างดีในที่ลึกจดน้ำถึงเพียงนั้น
    จะสำเร็จประโยชน์แก่เขาไปทั้งหมด ตลอดเวลาก็หาไม่

    นิธิ วา ฐานา จะวะติ..............เพราะบางทีขุมทรัพย์เคลื่อนที่ไปก็มี
    สัญญา วาสสะ วิมุยหะติ.........บางทีเขาลืมที่ฝังไว้ก็มี
    นาคา วา อะปะนาเมนติ..........บางทีพวกนาคเคลื่อนย้ายก็มี
    ยักขา วาปิ หะรันติ นัง............บางทีพวกยักษ์นำขุมทรัพย์นั้นไปก็มี
    อัปปิยา วาปิ ทายาทา............อุทธะรันติ อะปัสสะโต
    หรือบางทีเมื่อเขาไม่เห็น ทายาทผู้ไม่เป็นที่รักขโมยขุดเอาไปก็มี
    ยทา ปุญญักขะโย โหติ...........สัพพะเมตัง วินัสสะติ
    เมื่อเขาสิ้นบุญ ขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ทั้งหมดนั้นก็พินาศหายไป
    ยัสสะ ทาเนนะ สีเลนะ.............สัญญะเมนะ ทะเมนะ จะ
    นิธิ สุนิหิโต โหติ.....................อิตถิยา ปุริสัสสะ วา

    ขุมทรัพย์ที่ผู้ใดจะเป็นสตรีก็ตาม เป็นบุรุษก็ตาม ฝังไว้ดีแล้ว
    ด้วยทาน ศีล สัญญมะ และทมะ

    เจติยัมหิ จะ สังเฆ วา.............ในพระเจดีย์ หรือในพระสงฆ์
    ปุคคะเล อะติถีสุ วา...............ในบุคคล หรือในแขกที่มาหา
    มาตะริ ปิตะริ วาปิ..................อโถ เชฏฐัมหิ ภาตะริ
    ในมารดา บิดา ก็หรือว่าพี่ชาย

    เอโส นิธิ สุนิหิโต....................อะเชยโย อะนุคามิโก
    ขุมทรัพย์นี้ชื่อว่าฝังไว้ดีแล้ว คนอื่นขนเอาไปไม่ได้ จะติดตามคนฝังตลอดไป

    ปะหายะ คะมะนีเยสุ...............เอตัง อาทายะ คัจฉะติ
    บรรดาทรัพย์สมบัติที่เขาจำต้องละไป เขาพาไปได้ เฉพาะขุมทรัพย์นี้เท่านั้น

    อะสาธารณะมัญเญสัง............อะโจระหะระโณ นิธิ
    ขุมทรัพย์นี้ไม่ทั่วไปแก่คนเหล่าอื่น ทั้งโจรก็ลักเอาไปไม่ได้

    กยิราถะ ธีโร ปุญญานิ...........โย นิธิ อะนุคามิโก
    ผู้มีปัญญาควรทำแต่บุญที่จะเป็นขุมทรัพย์ติดตามตนตลอดไป

    เอสะ เทวะมะนุสสานัง............สัพพะกามะทะโท นิธิ
    ขุมทรัพย์นี้ให้ผลอันน่าปรารถนาทุกประการ แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

    ยัง ยัง เทวาภิปัตเถนติ...........สัพพะเมเตนะ ลัพภะติ
    เทวดาและมนุษย์ปรารถนาผลใดๆ ผลนั้นๆ ทุกอย่าง จะได้ด้วยขุมทรัพย์นี้
    สุวัณณะตา สุสะระตา.............ความมีผิวพรรณงดงาม ความมีเสียงไพเราะ
    สุสัณฐานัง สุรูปะตา...............ความมีทรวดทรงสมส่วน ความมีรูปสวย
    อาธิปัจจัง ปะริวาโร................ความเป็นใหญ่ ความมีบริวาร
    สัพพะเมเตนะ ลัพภะติ............ทั้งหมดจะได้ด้วยขุมทรัพย์นี้
    ปะเทสะรัชชัง อิสสะริยัง..........ความเป็นพระราชาในประเทศ ความเป็นอิสระ
    จักกะวัตติสุขัง ปิยัง................ความสุขของความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์อันน่าพอใจ
    เทวะรัชชัมปิ ทิพเพสุ..............แม้ความเป็นเทวราชของเทวดาในหมู่เทพก็ตาม
    สัพพะเมเตนะ ลัพภะติ.............ทั้งหมดก็จะได้ด้วยขุมทรัพย์นี้
    มะนุสิกา จะ สัมปัตติ...............สมบัติของมนุษย์ก็ดี
    เทวะโลเก จะ ยา ระติ..............ความยินดีในเทวโลกก็ดี
    ยา จะ นิพพานะสัมปัตติ..........สมบัติคือนิพพานก็ดี
    สัพพะเมเตนะ ลัพภะติ.............ทั้งหมดก็จะได้ด้วยขุมทรัพย์นี้
    มิตตะสัมปะทะมาคัมมะ...........บุคคลอาศัยมิตตะสัมปทา
    โยนิโส เจ ปะยุญชะโต............ถ้าประกอบความเพียรโดยแยบคาย
    วิชชาวิมุตติวะสีภาโว..............ก็จะเป็นผู้ชำนาญในวิชชาและวิมุตติ
    สัพพะเมเตนะ ลัพภะติ.............ทั้งหมดก็จะได้ด้วยขุมทรัพย์นี้
    ปะฏิสัมภิทา วิโมกขา จะ..........ความเพียบพร้อม และความหลุดพ้น
    ยา จะ สาวะกะปาระมี..............อีกทั้งสาวกบารมี
    ปัจเจกะโพธิ พุทธะภูมิ.............การตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า และพุทธภูมิ
    สัพพะเมเตนะ ลัพภะติ..............ทั้งหมดก็จะได้ด้วยขุมทรัพย์นี้
    เอวัง มะหัตถิกา เอสา...............ยะทิทัง ปุญญะสัมปะทา
    ผู้ถึงพร้อมด้วยบุญ ย่อมได้ประโยชน์มากมายถึงเพียงนี้
    ตัส๎มา ธีรา ปะสังสันติ...............ปัณฑิตา กะตะปุญญะตันติ.
    เพราะฉะนั้น บัณฑิตผู้เป็นปราชญ์
    จึงสรรเสริญภาวะแห่งบุญที่ทำไว้แล้วเท่านั้นแล... ดังนี้.

    Credit
    แสดงกระทู้ - นิธิกัณฑคาถา • ลานธรรมจักร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มกราคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...