ใครทราบประวัติของพระฤาษีต่าง ๆบ้างครับ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สนใจศึกษา, 6 เมษายน 2005.

  1. ศิษย์พ่อปู่

    ศิษย์พ่อปู่ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +10
    ตอนนี้ต้องการข้อมูล

    อ่าคือผมเข้ามาดูครั้งแรกอ่าครับคืออยากให้ช่วยทีผมต้องการข้อมูลของพ่อปู่ฤาษีทั้ง108พระองค์ แล้วก็อยากรู้ว่า16ชั้นฟ้าเนี่ยแล้วก็15ชั้นดินอ่ามีอารายมั่งใครดูแลแต่ล่ะชั้นแล้วขอความกรุณาทีนะครับ ผมเป็งสามเณรตัวเล็กๆเองอ่าช่วยทีนะครับ
     
  2. ศิษย์พ่อปู่

    ศิษย์พ่อปู่ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +10
    *-*

    ใครอยู่ สายโอเวอร์โซลมั่งครัย สายเข้าทรงอ่าต้องการรู้จักอ่าได้ม่ะอ่าครับอยากขอความรู้ด้านโลกของวิญญานมั่งอ่าผมกำลังเรียนรู้อ่าครับช่วยทีนะ
     
  3. บ้านไม้..[

    บ้านไม้..[ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2007
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +567
    ขอทราบเรื่องราวเกี่ยวกับปู่ฤาษีพรหมเมศด้วยค่ะ ....
     
  4. TK the Naka

    TK the Naka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +1,190

    สวัสดีครับคุณบ้านไม้

    สำหรับองค์ปู่พระฤาษีพรหมเมศร์ มีประวัติคร่าวๆ ดังนี้ครับ

    ท่านมีรูปร่างลักษณะเหมือนอย่างกับพระพรหมโดยทั่วๆไป คือ มี 4 หน้า ส่วนตรงเศียรด้านบนก็เป็ฯกรวยเช่นเดียวกันกับเศียรของพระฤาษีทั้งหลาย มี 8 กร หน้าสีทอง ผิวกายสีทองนุ่งด้วยผ้าโขมพัตถ์
    สำหรับพระฤาษีพรหมเมศร์ผู้นี้ท่านทรงมีอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์อย่างมากมาย ท่านชอบช่วยเหลือมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยทั่วไป ด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดีงามของท่านอย่างสุดซึ้งครับ


    TK the Naka
     
  5. TK the Naka

    TK the Naka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +1,190

    กราบสวัสดีครับท่านสามเณร

    สำหรับคำว่า 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดินนั้นเป็นคำที่พระท่าน หรือผู้หลักผู้ใหญ่เขาเรียกกันจนติดปาก แต่ว่าก็มีที่มาที่ไปเหมือนกันครับ
    16 ชั้นฟ้า หมายถึงสวรรค์ชั้นพรหมโลกทั้ง 16 ชั้นนั่นเองครับ ซึ่งจะเป็นที่สถิตของพระพรหมทั้งหลาย ในคติพราหมณ์เชื่อว่าสวรรค์ชั้นนี้เป๋นที่สถิตวิมาน ของพระพรหมและพระสุรัสวดีด้วยครับ
    ซึ่งพรหมโลกทั้ง 16 ชั้นจะมีรายชื่อดังนี้ครับ
    1. พรหมปริชชาภูมิ
    2. พรหมปโรหิตาภูมิ
    3. มหาพรหมาภูมิ
    4. ปริตตาภูมิ
    5. อัปปมาณาภูมิ
    6. อาภัสสรภูมิ
    7. ปริตตสุภาภูมิ
    8. อัปปมาณสุภาภูมิ
    9. สุภกิณหาภูมิ
    10. เวหับผลาภูมิ
    11. อสัญญิภูมิ
    12. อวิหาภูมิ
    13. อตับปาภูมิ
    14. สุทัสสาภูมิ
    15. สุทัสสีภูมิ
    16. อกนิฏฐาภูมิ
    ส่วน 15 ชั้นดินก็หมายถึงนรกภูมิครับท่านสามเณร
    ซึ่งอันนี้ขออนุญาตบอกรวมๆครับว่าเป็นที่ของขุมนรกทั้ง 31 ขุม ครับ มีขุมใหญ่ๆ อยู่ 8 ขุม
    1. สัญชีพนรก
    2. กาลสูตรนรก
    3. สังฆาฏนรก
    4. โรรุพนรก
    5. มหาโรรุพนรก
    6. ดาปนรก
    7. มหาดาปนรก
    8. มหาอเวจีนรก
    ส่วนพระฤษีทั้ง 108 ลองดูหน้าที่ผ่านๆมานะครับ พวกโยมพี่ๆเขาคงลงไว้บ้างครับ ถ้าอยากทราบองค์ไหนก็ระบุมานะครับจะลองหาข้อมูลให้ครับ

    นมัสการครับ

    TK the Naka
     
  6. accswu

    accswu Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +31
    รวมประวัติ พ่อแก่ และปู่ฤาษี ทุกๆ พระองค์ http://www.maameu.com
     
  7. นายบุญ

    นายบุญ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +7
    พระนามพระฤาษีการแพทย์

    (b-glass)ปู่ฤาษีการแพทย์ที่นับถือในวงการ คือ ปู่ฤาษีชีวกโกมาร์ภัสส์ เป็นปู่ฤาษีที่ทำการรักษาให้พระพุทธเจ้ามาก่อน ซึ่งตอนนี้ผมนับถืออยู่ที่ หัวหิน ( ป่าละอู ) ผู้คนแถวนั้นรู้จักดี ศักดิ์สิทธิ์มากท่านเป็นคนใจดี เรียกกันว่า ปู่ฤาษีชีวก......( ผมก็เป็นศิษย์ท่านเหมือนกานน้า )
     
  8. นายบุญ

    นายบุญ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +7
    รายพระนามองค์ฤาษี

    พระฤาษีนารอท
    พระฤาษีนารายณ์. พระฤษีตาวัว
    พระฤาษีตาไฟ. พระฤาษีชีวก
    พระฤาษีประลัยโกษฐ์(b-glass)
    พระฤษีกระไลยโกษฐ์
    พระฤาษีบรมโกษฐ์
    พระฤาษีสัตบงกช
    พระฤาษีเดินดง
    พระฤาษีจตุทิพยเนตร
    พระฤาษีนเรศ
    พระฤาษีหน้าด่าน
    พระฤาษีสิธาจาร
    พระฤาษีโฆสาจารย์
    พระฤาษีโคตบุตร
    พระฤาษีโคดมบรมมุนีเทพตรึงไตรโลกนาถ
    พระฤาษีมหามุนีญาณทิทย์
    พระฤาษีพรหมเมศร์
    พระมหาฤาษีพิราทัง
    พระฤาษีคนธรรพ์
    พระฤาษีคุรุอสูร
    เท่าที่ผมรู้และรับองค์อยู่ก็มีเท่านี้แล
     
  9. worapat.com

    worapat.com Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +82
    worapat

    ผมรู้เรื่องปู่ฤาษี
     
  10. เอ บางซ่อน

    เอ บางซ่อน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +2
    ฝากบอกข่าว งานไหว้ครู ของวัดเชิงหวายครับ และ ครอบครูพ่อแก่ ด้วยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆรับของ แจกฤาษี เดินดง โลหะ 500 ท่านแรก วัดเชิงหวาย
    เป็นวัดที่โน๊ต เชิญยิ้ม นับถือมาก และมาไหว้หลวงพ่อบ่อยๆครับ ดูรายละเอียดได้ที่นี่ ครับ อ้อ วันที่ 29 พค 51 นะครับ ลิงค์นี้ครับ http://ajanaung.blogth.com/
     
  11. prirawat

    prirawat สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +12
    ขอบคุณมากครับสำหรับความรู้ที่ให้
     
  12. appropriatex

    appropriatex สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ผม กกำมี ครับ เหอะๆ ที่รู้ๆ ผมเป็น ปีศาจ อ่ะครับ ตอนนี้ผมได้ร่าง จริงๆเเล้วครับ เมื่อก่อนผมอยู่ในร่างของผมเมื่อชาตินี้ ตอนนี้ผมได้ลงมาเกิดอย่างเต็มตัว ในโลกมนุษย์ ถ้าอยากรู้เรื่อง มากกว่านี้ ก็เมล มาได้ appropriatexx@hot ผมไม่ได้พูดเล่น ครับ เรื่องนี้ ถ้าจะลองดูก็ลองได้ ผมฆ่าคนโดยไม่ผิดอยู่เเล้ว
    ผมขอรู้เเค่ ชื่อ นามสกุล เเค่นี้ ก็ฆ่า ได้เเล้วครับ เพราะฉนั้น อย่าทำเป็น เล่น
    ผมไม่ชอบ
     
  13. คุณ วัชรพงษ์

    คุณ วัชรพงษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +30
    ตำนานพ่อแก่
    พ่อแก่ หรือพระฤาษี ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนในแวดวงศิลปะแขนงต่างๆ ล้วนนิยมเคารพนับถือบูชา เนื่องด้วยเกิดจากความเชื่อที่ว่า ในอดีต พ่อแก่หรือพระฤาษีได้เป็นผู้นำเอาศิลปะ
    แขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการร้องรำทำเพลง หรือแม้แต่การร่ายรำ นาฏศิลป์ต่างๆ มาถ่ายทอดให้แก่มนุษย์ได้รับรู้ความงาม ความอ่อนช้อยของศิลปะ รู้จักความอ่อนโยน รู้จักรัก รู้จักเมตตา และ
    การให้อภัย ก่อให้เกิดความสุขแก่มวลมนุษยชาติ ดังนั้นศิลปิน หรือผู้เกี่ยวข้องในศิลปะทุกแขนง
    ในประเทศไทยจึงได้เคารพบูชาพ่อแก่ หรือครูฤาษีว่าเปรียบดังบรมครูแห่งศาสตร์ของการแสดง
    เมื่อได้บูชาแล้วจะก่อให้เกิดศิริมงคล มีความเจริญก้าวหน้าในด้านการงาน มีเสน่ห์ เมตตามหานิยมในตัว
    ความเป็นมาของพ่อแก่
    พ่อแก่, พระฤาษี หรือบางครั้งก็เรียกกันว่า ครูฤาษี ถือเป็นบรมครูแห่งศาสตร์ของการแสดง ตามตำนานกล่าวไว้ว่า พระฤาษีมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 108 องค์ ปางเสมอเถรถือว่าเป็นปางที่มีฤทธิ์มากที่สุดในบรรดาทั้ง 108 องค์ คำว่า ฤาษี มาจากคำว่า ฤาษิ แปลว่า ผู้เห็นด้วยความรู้พิเศษอันเกิดจากฌาน ซึ่งสามารถแลเห็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้ บางครั้งก็เรียกพ่อแก่หรือฤาษีว่า
    "ตฺริกาลชฺญ" แปลว่า ผู้รู้กาลทั้งสาม นอกจากนี้พระฤาษียังถือว่าเป็นผู้ประทานสรรพวิชาความรู้
    ทั้งมวลแก่มนุษยชาติ เนื่องด้วยตำราทางโหราศาสตร์ และตำราทางเทววิทยา กล่าวไว้สอดคล้องกันว่า พระพฤหัสบดีถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นอาจารย์แห่งสรรพวิชาความรู้ทั้งมวล เนื่องด้วยพระอิศวรมหาเทพ ร่ายพระเวทให้ฤาษี 19 ตน ป่นเป็นธุลี แล้วห่อด้วยผ้าสีแก้วไพฑูรย์ ประพรมด้วยน้ำอมฤต บังเกิดเป็นเทวราช มีสีกายดั่งแก้วไพฑูรย์ มีวิมานบุษราคัม ทรงกวางทองเป็นพาหนะ รักษาเขา
    พระสุเมรุด้านทิศตะวันตก มีร่างกายแสดงด้วยสัญลักษณ์ของฤาษีจึงมีปัญญาบริสุทธิ์ เฉลียวฉลาด พูดจาไพเราะเสนาะหู เป็นอาจารย์แห่งสรรพวิชาความรู้ทั้งมวลรวมถึงเป็นอาจารย์ของเหล่า
    เทพเทวดา จึงให้ถือว่าวันพฤหัสบดีอันแสดงด้วยสัญลักษณ์ของฤาษีเป็นวันครูจึงมีการไหว้ครูกัน
    ในวันนี้ ซึ่งมีสืบทอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน (ลอกเค้ามา)
     
  14. คุณ วัชรพงษ์

    คุณ วัชรพงษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +30
    เรื่องเล่าพระฤาษี
    "พุทธวันทิตวา ข้าพเจ้าของอาราธนาบารมีคุณ พระพุทธคุณนัง ธรรมคุณนัง สังฆคุณนัง วันทิตวา ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีคุณ พระสังฆคุณนัง อีกทั้งคุณพระบิดา พระมารดา พระอนุกรรมวาจา อุปัชฌาย์ครูบาอาจารย์ อีกทั้งพระฤาษีนารอด พระฤาษีนารายณ์ พระฤาษีตาวัน พระฤาษีตาไฟ พระฤาษีเกตุ พระฤาษีเนตร พระฤาษีมุชิตวา พระฤาษีมหาพรหมเมศ พระฤาษีสมุหวัน ทั้งพระเพชรฉลูกัน และนักสิทธวิทยา อีกทั้งพระคงคา พระเพลิง พระพาย พระธรณี พระอิศวรผู้เป็นเจ้าฟ้า ขออัญเชิญเสด็จลงมาประสิทธิพระพรชัย ให้แก่พวกข้าพเจ้าในเวลาวันนี้ ข้าพเจ้าขอเชิญเทพดาเจ้าทั้งหลายทั่วพื้นปถพีดล พระฤาษี ๑๐๘ ตน บันดาลดลด้วยสรรพวิทยา พระครูยา พระครูเฒ่า พระครูภักและอักษร สถาพรเป็นกรรมสิทธิ์ ให้แก่พวกข้าพเจ้าในเวลาบัดนี้เถิด
    ข้าพเจ้า ขออาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชิญเสด็จลงมาปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพเจ้าขอเชิญพระพรหมลงมาอยู่บ่าซ้าย ขอเชิญพระนารายณ์มาอยู่บ่าขวา ขอเชิญพระคงคาลงมาเป็นน้ำลาย ขอเชิญพระพายลงมาเป็นลมปาก ขอเชิญพญานาคลงมาเป็นสร้อยสังวาล ข้าพเจ้าขอเชิญพระอังคารมาเป็นด้วยใจ ถ้าแม้นข้าพเจ้าจะไปรักษาไข้แห่งหนึ่งแห่งใด ให้มีชัยชนะแก่โรค ขอจงประสิทธิให้แก่ข้าพเจ้าทุกครั้ง พุทธสังมิ ธรรมสังมิ สังฆสังมิ" (คัดตามต้นฉบับเดิม)
    ที่นำมากล่าวข้างต้นนั้นคือ บทไหว้ครูของเก่า ที่ผมได้จดไว้ตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียนเตรียมอุดมศ ึกษา เพราะมีกิจต้องเข้าพิธีไหว้ครูกับลุง ซึ่งเป็นหมอแผนโบราณอยู่เป็นประจำทุกปี
    คนไทยเราดูจะคุ้นกับฤาษีอยู่มาก เพราะตามพงศาวดารสมัยโบราณ หรือจดหมายเหตุเก่าๆ มักจะกล่าวถึงฤาษี อย่างเช่นฤาษีวาสุเทพกับฤาษีสุกกทันต์ ผู้สร้างเมืองหริภุญไชย และในคำไหว้ครูที่กล่าวถึงข้างต้น ได้ออกชื่อฤาษีแปลกๆ หลายชื่อ ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไปข้างหน้า
    นอกจากนี้ ในวรรณคดีต่างๆ ก็มักจะมีเรื่องของฤาษีแทบทุกเรื่อง เพราะพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดินจะต้องไปศึกษาเล่าเ รียนกับฤาษี และฤาษีเป็นเจ้าพิธีการต่างๆ เป็นต้น
    ตำราของวิชาการหลายสาขา เช่น ดนตรี แพทย์ ก็มีเรื่องของฤาษีมาเกี่ยวข้องอยู่ด้วย ดังจะเห็นว่าพวกดนตรีและนาฏศิลป์เคารพบูชาฤาษี แพทย์แผนโบราณก็มีรูปฤาษีไว้บูชา ดังนี้เป็นต้น
    ลักษณะของฤาษีแบบไทยๆ มักจะรู้จักกันในรูปของคนแก่ นุ่งห่ม หนังเสือ โพกศีรษะเป็นยอดขึ้นไป
    ทำไมจึงต้องนุ่งห่มหนังเสือ ลองเดาตอบดูก็เห็นจะเป็นเพราะอยู่ในป่า ไม่มีเสื้อผ้า ก็ใช้หนังสัตว์แทน ส่วนจะได้มาโดยวิธีอย่างไรไม่แจ้ง แต่คงไม่ใช่จากการฆ่าแน่นอน เพราะฤาษีจะต้องไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่ถ้ามีคนเอาเนื้อสัตว์มาถวายก็กินได้ ไม่เป็นไร
    ฉะนั้น หนังสัตว์ก็อาจจะเป็นของพวกนายพราน หรือคนที่เคารพนับถือ เอามาถวายก็เป็นได้ ถึงอย่างนั้นก็ยังอาจจะสงสัยต่อไปอีกว่า ทำไมจึงเลือกเอา หนังเสือ เรื่องนี้ก็ต้องเดาตอบเอาอีกว่า เพราะหนังเสือนุ่มดี
    แต่ฤาษีไทยเราเห็นครองแต่หนังเสือเหลือง สังเกตจากรูปฤาษีส่วนมาก จะระบายสีเป็นอย่างเสือลายเหลืองสลับดำ แต่ฤาษีของบางอาจารย์ปิดทองก็มี
    ชุดเครื่องหนังนี้อ่านตามหนังสือวรรณคดีว่า เป็นชุดออกงาน เช่นเข้าเมืองหรือไปทำพิธีอะไรต่างๆ ก็ใช้ชุดหนัง แต่ถ้าบริกรรมบำเพ็ญตบะอยู่กับอาศรมในป่าก็ใช้ ชุดคากรอง คือนุ่งห่มด้วยต้นหญ้าต้นคา ในหนังสือบทละครเรื่องอุณรุท พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๑ กล่าว ไว้ตอนท้าวไกรสุทรับสั่งให้สังฆการีออกไปนิมนต์ฤาษีน ารอท มาเข้าพิธีอภิเษกสมรสพระอุณรุทกับนางศรีสุดา มีความว่า

    "เมื่อนั้น พระนารอททรงญาณฌานกล้า ได้แจ้งไม่แคลงวิญญา ก็บอกหมู่สิทธาพร้อมกัน ต่างผลัดเปลือกไม้คากรอง ครองหนังเสือสอดจำมขัน กรกุมไม้เท้างกงัน พากันรีบมายังธานี"
    ดังนี้แสดงว่าเวลาอยู่ป่านุ่งเปลือกไม้คากรอง ออกนอกอาศรมเข้าเมือง ก็เปลี่ยนเป็นเครื่องหนัง และที่กล่าวมานี้ที่จะเป็นฤาษีแบบไทยๆ ที่มีระเบียบวัฒนธรรมแล้วหรืออย่างไรไม่ทราบ ฤาษีของอินเดียก็ว่านุ่งห่มสีขาว ทีจะเป็นฤาษีเมื่อบ้านเมืองเจริญแล้ว ดึกดำบรรพ์ก่อนโน้นจะมีนุ่งหนังเสือบ้างกระมัง
    ตามภาพเขียนสมัยโบราณ ถ้ามีภาพป่าหิมพานต์ มีรูปต้นมักกะลีผล จะเห็นพวกวิทยาธรและพวกที่แต่งตัวคล้ายๆ ฤาษีเหาะขึ้น ไปเชยชมสาวมักกะลีผลกันเป็นกลุ่มๆ ความจริงไม่ใช่ฤาษีแท้ เป็น พวกนักสิทธ นี่ว่าตามคติอินเดียที่เขาถือว่า นักสิทธไม่ใช่ฤาษี เป็นแต่ผู้สำเร็จจำพวกหนึ่งเท่านั้น ทำนองเดียวกับพวกวิทยาธรหรือพิทยาธร ในหนังสือวรรณคดีไทยเรียกว่า ฤาสิทธ ก็มี มักเรียกรวมๆ กันว่า ฤาษีฤาสิทธ หรือ ฤาษีสิทธวิทยาธร
    ในวรรณคดีอินเดียกำหนดจำนวนพวกนักสิทธไว้ตายตัว มีจำนวน ๘๘,๐๐๐ ทางไทยเราดูจะนับนักสิทธเป็นฤาษีไปด้วย
    ในเอกสารที่เก่าที่สุดของไทยคือ ไตรภูมิพระร่วง ของ พระญาลิ ไท ก็เรียกฤาสิทธว่าเป็นอย่างเดียวกับฤาษี ดังความตอนหนึ่งว่า
    "ครั้นว่านางสิ้นอายุศม์แล้วจึงลงมาเกิดที่ในดอกบัวหลวงดอก ๑ อัน มีอยู่ในสระๆ หนึ่ง มีอยู่แทบตีนเขาพระหิมวันต์ฯ เมื่อนั้นยังมีฤาษีสิทธองค์ ๑ ธ นั้นอยู่ในป่าพระหิมพานต์ ธ ย่อมลงมาอาบน้ำในสระนั้นทุกวัน ธ เห็นดอกบัวทั้งปวงนั้นบานสิ้นแล้วทุกดอก ๆ แลว่ายังแต่ดอกเดียวนี้บมิบานแล ดุจอยู่ดังนี้บมิบานด้วยทั้งหลายได้ ๗ วัน ฯ พระมหาฤาษีนั้น ธ ก็ดลยมหัศจรรย์นักหนา ธ จึงหันเอาดอกบัวดอกนั้นมา ธ จึงเห็นลูกอ่อนอยู่ในดอกบัวนั้นแล เป็นกุมารีมีพรรณงามดั่งทองเนื้อสุก พระมหาฤาษีนั้น ธ มีใจรักนักหนา จึงเอามาเลี้ยงไว้เป็นพระปิยบุตรบุญธรรม แลฤาษีเอาแม่มือให้ผู้น้อยดูดกินนม แลเป็นน้ำนมไหลออก แต่แม่มือมหาฤาษีนั้นด้วยอำนาจบุญพระฤาษี"
    ดังนี้จะเห็นว่า ใช้คำ ฤาสิทธ ในความหมายเดียวกับ ฤาษี และนิยายทำนองนี้ดูจะแพร่หลายมาก ในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง มีเรื่องฤาษีเก็บเด็ก จากดอกบัวมาเลี้ยงแทรกอยู่เสมอ
    ลักษณะความเป็นอยู่ของฤาษีเท่าที่เราเข้าใจกัน โดยทั่วๆ ไปนั้น ก็ว่ากินเผือกมันเป็นอาหาร เพราะไม่มีการทำไร่ไถนา บางคัมภีร์มีข้อห้ามพวกฤาษีไม่ให้เข้าหมู่บ้าน ไม่ให้ย่างเหยียบเข้าไปในเขตพื้นดิน ที่เขาไถแล้ว แต่ในที่บางแห่งกล่าวว่า ฤาษีนั้นแบ่งออกเป็น ๘ จำพวกด้วยกันคือ
    ๑.สปุตตภริยา คือฤาษีที่รวบรวมทรัพย์ไว้บริโภคเหมือนมีครอบครัว
    ๒.อุญฉาจริยา คือฤาษีที่เที่ยวรวบรวมข้าวเปลือกและถั่วงาเป็นต้นไว ้หุงต้มกิน
    ๓.อนัคคิปักกิกา คือฤาษีที่รับเฉพาะข้าวสารไว้หุงต้มกิน
    ๔.อสามปักกา คือฤาษีที่รับเฉพาะอาหารสำเร็จ (ไม่หุงต้มกินเอง)
    ๕.อัสมุฏฐิกา คือฤาษีที่ใช้ก้อนหินทุบเปลือกไม้บริโภค
    ๖.ทันตวักกลิกา คือฤาษีที่ใช้ฟันแทะเปลือกไม้บริโภค
    ๗.ปวัตตผลโภชนา คือฤาษีที่บริโภคผลไม้
    ๘.ปัณฑุปลาสิก คือฤาษีที่บริโภคผลไม้หรือใบไม้เหลืองที่หล่นเอง
    ในหนังสือ ลัทธิของเพื่อน โดย เสฐียรโกเศศ นาคประทีป ได้กล่าวถึงพวกฤาษีไว้ตอนหนึ่งว่า
    "เกิดมีพวกนักพรตประพฤติเนกขัมม์ขึ้น พวกนี้มักอาศัยอยู่ ในดงเรียกว่า วานปรัสถ์ (ผู้อยู่ป่า) หรือเรียกว่า ฤาษี (ผู้แสวง) ปลูกเป็นกระท่อมไม้หรือมุงกั้นด้วยใบไม้ (บรรณศาลา) เป็นที่อาศัย"
    กระท่อมชนิดนี้ถ้าอยู่รวมกันได้หลายคนเรียกว่า อาศรม พวกฤาษีใช้เปลือกไม้หรือหนังสัตว์เป็นเครื่องนุ่งห่ม และขมวดผมมวย ให้เป็นกลุ่มสูงเรียกวา ชฎา อาศัยเลี้ยงชีพด้วยมูลผลาหารของป่า
    ลัทธิที่ประพฤติมีการบำเพ็ญตบะทรมานกายอย่างเคร่งเคร ียด เพียรพยายามทนความหนาวร้อน อดอาหาร และทรมานด้วยวิธีต่างๆ
    ความมุ่งหมายที่บำเพ็ญตบะ ยังคงหวังให้มีฤทธิเดช อย่างความคิดในชั้นเดิมอยู่ แต่ว่าเริ่มจะมุ่งทางธรรมแทรกขึ้นอีกชั้นหนึ่งด้วย กล่าวคือการบำเพ็ญตบะ เป็นทางที่จะซักฟอกวิญญาณให้บริสุทธิ์สะอาด เข้าถึงพรหม และเกิดฤทธิเดชเหนือเทวดามนุษย์
    ในอีกแห่งหนึ่งกล่าวว่า "ผู้ที่อยากเป็นฤาษีเขามีตำราเรียนเรียกว่า คัมภีร์อารัญยกะ แปลว่า เนื่องหรือเกี่ยวกับป่า ชายหนุ่มที่ไปบวชเรียน เป็นฤาษีจะต้องเรียนและปฏิบัติที่มีกำหนดไว้ในคัมภีร ์ อะไรเป็นปัจจัย ให้ต้องประพฤติตนเป็นฤาษี ตอบได้ไม่ยากนักคือ เขาเห็นว่า ความประพฤติของ ชาวกรุงชาวเมืองในมัธยมประเทศสมัยโน้น เลอะเทอะเต็มที มักชอบประพฤติ แต่เรื่องสุรุ่ยสุร่ายเอ้อเฟ้อ อยู่ด้วยกามคุณ ต้องการจะมีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ เหมือนบรรพบุรุษครั้งดึกดำบรรพ์ ครั้งไกลโน้นประพฤติกันอยู่ ชะรอยบรรพบุรุษของชาวอริยกะครั้งกระโน้น จะไม่ใช่เป็นคนเพาะปลูก และใช้เปลือกไม้และหนังสัตว์เป็นเครื่องนุ่งห่ม เห็นที่จะเอาอย่างบรรพบุรุษ ครั้งดึกดำบรรพ์ ซึ่งยังไม่รู้จักหว่านไถและยังไม่รู้จักทอผ้า คงจะสร้างทับ กระท่อมกันอยู่ในป่า ไว้ผมสูงรกรุงรัง พวกฤาษีจึงได้เอาอย่าง"
    เท่าที่กล่าวมาข้างต้นนั้นคือลักษณะและความเป็นอยู่ข องฤาษีโดยทั่วๆ ไป แต่ยังมีอีกลักษณะหนึ่งซึ่งไม่ได้กล่าวถึง คือ การมีบุตรและภรรยา
    ฤาษีประเภทนี้มีมากจนเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ฤาษีมีเมียได้ ซึ่งจะได้เล่าถึงในประวัติของฤาษีต่างๆ ต่อไปข้างหน้า
     
  15. คุณ วัชรพงษ์

    คุณ วัชรพงษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +30
    ดังได้กล่าวแล้วว่า ฤาษีต้องเพียรบำเพ็ญตบะ กันอย่างหนัก ฉะนั้นผลที่เกิดขึ้นจึงมี แตกต่างกันไป ตามความเพียรพยายาม ใครปฏิบัติได้มากก็ได้รับการยกย่อง ให้เป็น
    ฤาษีอันดับสูง เท่าที่ทราบเขาจัดฤาษีไว้ ๔ ชั้นดังนี้

    ๑.ราชรรษี (เจ้าฤาษี)
    ๒.พราหมณรรษี (พราหมณฤาษี)
    ๓.เทวรรษี (เทพฤาษี)
    ๔.มหรรษี (มหาฤาษี)

    แต่ในบางแห่งก็จัดฤาษีที่สำเร็จตบะไว้เพียง ๓ ชั้นคือ

    ๑.พรหมฤาษี คือผู้มีตบะเลิศ ข่มจิตสงบได้จริง ไม่ยินดียินร้ายในสิ่งทั้งปวง
    ๒.มหาฤาษี คือเป็นพวกฤาษีชั้นกลาง มีตบะ ข่มกามคุณได้หมดสิ้นแล้ว
    ๓.ราชฤาษี ได้แก่ ฤาษีที่มีตบะฌานสำเร็จเป็นอันดับต้น

    การไต่อันดับไม่ได้ใช้ระบบการสอบ ผู้ที่จะเลื่อนชั้น จะต้องปฏิบัติบำเพ็ญตบะจนได้ผลตามที่กำหนดไว้ ซึ่งจะต้องใช้ความเพียรพยายามและความอดทนอย่างยิ่งยวด
    ในคำไหว้ครู ที่ได้ยกมากล่าวในตอนต้น มีชื่อฤาษีที่คุ้นหูคนไทยส่วนมากอยู่ ๓ ตนด้วยกันคือ
    -ฤาษีนารอด
    -ฤาษีตาวัว
    -ฤาษีตาไฟ

    ฤาษีทั้งสามนี้คนระดับชาวบ้านสมัยก่อนรู้จักกันดี มักพูดถึงอยู่เสมอในตำนานพระพิมพ์ ที่ว่า จารึกไว้ในลานเงินก็ได้กล่าวถึงฤาษีตาวัว (งัว) และฤาษีตาไฟไว้เหมือนกัน ดังความว่า

    "ตำบลเมืองพิษณุโลก เมืองกำแพงเพชร เมืองพิไชยสงคราม เมืองพิจิตร เมืองสุพรรณ ว่ายังมีฤาษี ๑๑ ตน ฤาษีเป็นใหญ่ ๓ ตนๆ หนึ่งฤาษีพีลาไลย ตนหนึ่งฤาษีตาไฟ ตนหนึ่งฤาษีตางัว เป็นประธานแก่ฤาษีทั้งหลาย จึงปรึกษากันว่า เราท่านทั้งหลายนี้จะ เอาอันใดให้แก่ พระยาศรีธรรมาโศกราช ฤาษีทั้ง ๓ จึงว่าแก่ฤาษีทั้งปวงว่า เราจะทำด้วยฤทธิ์ทำด้วยเครื่องประดิษฐานเงินทองไว้ฉะ นี้ฉลองพระองค์ จึงทำเป็นเมฆพัตร อุทุมพร เป็นมฤตย์พิศม์ อายุวัฒนะ พระฤาษีประดิษฐานไว้ในถ้ำเหวใหญ่น้อย เป็นอานุภาพแก่มนุษย์ทั้งหลาย สมณชีพราหมณาจารย์เจ้าไปถ้วน ๕๐๐๐ พรรษา

    พระฤาษีองค์หนึ่งจึงว่าแก่ฤาษีทั้งปวงว่า ท่านจงไปเอาว่าน ทั้งหลายอันมีฤทธิ์ เอามาให้สัก ๑๐๐๐ เก็บเอาเกสรไม้อันวิเศษ ที่มีกฤษณาเป็นอาทิให้ได้ ๑๐๐๐ ครั้นเสร็จแล้ว ฤาษีจึงป่าวร้องเทวดาทั้งปวง ให้ช่วยกันบดยา ทำเป็นพระพิมพ์ไว้สถานหนึ่ง ทำเป็นเมฆพัตรสถานหนึ่ง ฤาษีทั้ง ๓ องค์นั้น จึงบังคับฤาษีทั้งปวงให้เอาว่านทำเป็นผง เป็นก้อน ประดิษฐานด้วยมนต์คาถาทั้งปวงให้ประสิทธิทุกอัน จึงให้ฤาษีทั้งนั้น เอาเกสรและว่านมาประสมกันดีเป็นพระให้ประสิทธิแล้ว ด้วยเนาวหรคุณประดิษฐานไว้บนเจดีย์อันหนึ่ง ถ้าผู้ใดให้ถวายพระพรแล้ว จึงเอาไว้ใช้ตามอานุภาพเถิด ให้ระลึกถึงคุณพระฤาษีที่ทำไว้นั้นเถิด"

    ฤาษีตาวัว นั้นเดิมทีเป็นสงฆ์ตาบอดทั้งสองข้าง แต่ชอบเล่นแร่แปรธาตุ จนสามารถทำให้ปรอทแข็งได้ แต่ยังไม่ทันใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างไร ก็เอาไปทำหล่นตกถาน (ส้วมของพระตามวัด) เสีย จะหยิบเอามาก็ไม่ได้ เพราะตามองไม่เห็น เก็บความเงียบไว้ ไม่กล้าบอกใคร จนกระทั่งวันหนึ่ง ลูกศิษย์ไปถาน แลเห็นแสงเรืองๆ จมอยู่ใต้ถาน ก็กลับมาเล่าให้อาจารย์ฟัง หลวงตาดีใจบอกให้ศิษย์พาไป เห็นแสงเรืองตรงไหนให้จับมือจุ่มลงไปตรงนั้น จะเลอะเทอะอย่างไรช่างมัน ศิษย์กลั้นใจทำตาม หลวงตาก็ควักเอาปรอทคืนมาได้ จัดแจงล้างน้ำให้สะอาดดีแล้วก็แช่ไว้ในโถน้ำผึ้งที่ท ่านฉัน ไม่เอาติดตัวไปไหนอีก เพราะกลัวจะหล่นหาย
    อยู่มาวันหนึ่ง ท่านก็มารำพึงถึงสังขาร ว่าเราจะมานั่งตาบอดอยู่ทำไม มีของดีของวิเศษอย่างนี้แล้ว ก็น่าจะลองดู จึงให้ศิษย์ไปหาศพคนตายใหม่ๆ เพื่อจะควักเอาลูกตา แต่ลูกศิษย์หาศพใหม่ๆ ไม่ได้ ไปพบวัวนอนตายอยู่ตัวหนึ่ง เห็นเข้าที่ดีก็เลยควักลูกตาวัวมาแทน
    หลวงตาจึงเอาปรอทที่แช่น้ำผึ้งไว้มาคลึงที่ตา แล้วควักเอาตาเสียออก เอาตาวัวใส่แทน แล้วเอาปรอทคลึงตามหนังตา ไม่ช้าตาทั้งสองข้างก็กลับเห็นดีดังธรรมดา แล้วหลวงตาก็สึกจากพระ เข้าถือเพศเป็นฤาษี จึงได้เรียกกันว่าฤาษีตาวัว มาตั้งแต่นั้น
    ส่วน ฤาษีตาไฟ นั้นยังไม่พบต้นเรื่องว่า ทำไมจึงเรียกว่า ฤาษีตาไฟ ที่ตาของท่านจะแรงร้อนเป็นไฟ แบบตาที่สามของพระอิศวรกระมัง
    อย่างไรก็ตาม ฤาษีทั้งสองนี้เป็นเพื่อนเกลอกัน และได้สร้างกุฎีอยู่ใกล้กันบนเขาใกล้เมืองศรีเทพ ท่านออกจะรักและโปรดมาก มีอะไรก็บอกให้รู้ ไม่ปิดบัง
    วันหนึ่งฤาษีตาไฟได้เล่าให้ศิษย์คนนี้ฟังว่า น้ำในบ่อสองบ่อที่อยู่ใกล้กันนั้นมีฤทธิ์อำนาจไม่เหม ือนกัน น้ำในบ่อหนึ่ง เมื่อใครเอามาอาบก็จะตาย และถ้าเอาน้ำอีกบ่อหนึ่งมารดก็จะฟื้นขึ้นมาได้อีก
    ศิษย์ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ ฤาษีตาไฟจึงบอกว่า จะทดลองให้ดูก็ได้ แต่ต้องให้สัญญาว่า ถ้าตนตายไปแล้ว ต้องเอาน้ำอีกบ่อหนึ่งมารดให้คืนชีวิตขึ้นใหม่ ศิษย์ก็รับคำ ฤาษีตาไฟจึงเอาน้ำในบ่อตายมาอาบ ฤาษีก็ตาย ฝ่ายศิษย์เห็นเช่นนั้นแทนที่จะทำตามสัญญา กลับวิ่งหนีเข
    ้าเมืองไปเสีย
     
  16. คุณ วัชรพงษ์

    คุณ วัชรพงษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +30
    กล่าวฝ่ายฤาษีตาวัว ซึ่งเคยไปมาหาสู่ฤาษีตาไฟอยู่เสมอ เมื่อเห็นฤาษีตาไฟหายไปผิดสังเกตเช่นนั้นก็ชักสงสัย จึงออกจากกุฎีมาตา ม เมื่อเดินผ่านบ่อน้ำตายเห็นน้ำในบ่อเดือด ก็รู้ว่าเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้ว เดินต่อไปอีกก็พบซากศพของฤาษีตาไฟ

    ฤาษีตาวัวจึงตักน้ำอีกบ่อหนึ่งมาราดรด ฤาษีตาไฟก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมา แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฤาษีตาวัวฟัง และว่าจะต้องแก้แค้นศิษย์ลูกเจ้าเมือง ตลอดจนประชาชนพลเมืองทั้งหมดอีกด้วย

    ฤาษีตาวัวก็ปลอบว่า อย่าให้มันรุนแรงถึงอย่างนั้นเลย ฤาษีตาไฟก็ไม่เชื่อฟังได้เนรมิตวัวขึ้นตัวหนึ่ง เอาพิษร้ายบรรจุไว้ในท้องวัวจนเต็ม แล้วปล่อยวัวกายสิทธิ์ให้เดินขู่คำรามด้วยเสียงกึกก้ อง รอบเมืองทั้งกลางวันกลางคืน แต่เข้าเมืองไม่ได้ เพราะทหารรักษาประตูปิดประตูไว้

    พอถึงวันที่เจ็ด เจ้าเมืองเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็สั่ง ให้เปิดประตูเมือง วัวกายสิทธิ์คอยทีอยู่แล้วก็วิ่งปราดเข้าเมือง ทันทีนั้นท้องวัวก็ระเบิดออก พิษร้ายก็กระจายพุ่งออกมาทำลาย ผู้คนพลเมืองตายหมด เมืองศรีเทพก็เลยร้างมาแต่ครั้งนั้น
    ถ้าว่าตามเรื่องที่เล่ามานี้ ฤาษีตาวัวก็ดูจะใจดีกว่าฤาษีตาไฟ และคงจะเป็นด้วยฤาษีตาวัวเป็นผู้ช่วยให้ฤาษีตาไฟฟื้น คืนชีพขึ้นมานี่เองกระมัง ทางฝ่ายแพทย์แผนโบราณจึงได้ถือเป็นครู ส่วนทางฝ่ายทหารออกจะยกย่องฤาษีตาไฟ ดังมีมนต์บทหนึ่งกล่าวไว้ในตำราพิชัยสงครามว่า "ขอพระศรีสุทัศน์เข้ามาเป็นดวงใจ พระฤาษีตาไฟเข้ามาเป็นดวงตา" ดังนี้
     
  17. คุณ วัชรพงษ์

    คุณ วัชรพงษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +30
    พระคาถา บูชาพระฤาษี108

     
  18. อำนวยกรณ์

    อำนวยกรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    515
    ค่าพลัง:
    +1,931
    เคยมีคนพาไปกราบ ปู่ฤาษี ที่หนองบัวลำพู แต่งตัวเป็นฤาษีผมยาวถึงก้น พันกันนัวเนียไว้หนวดและอายุปัจจุบันดูไม่มาก เรียนตนเองว่าปู่ ใส่เสื้อเขียวไม่มีแขนข้างใน นุ่งหมเขียวทับด้วยผ้าคล้ายจีวรแต่สีเขียวตุ่น ๆ ไม่อาบนำ ก่อนสวดมนต์ตอนเย็นจะพรมน้ำอบน้ำหอม สวดมนต์ยาวนาน ๑ -๒ ชัวโมง บางครั้งถึง ๓ ชั่วโมง ห้ามจดบทสวดให้ท่องอย่างเดียว คนท่องได้เก่งมาก บทสวดก็แปลกหู มีสำนักเป็นของตนเองอยู่ลึกมาก วันที่ไปคนที่ศรัทธามาจากอเมริการ และออสเตรเลียเชียวนะ
     
  19. marcbangkok

    marcbangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +1,098
    หนึ่งในตำนานความลี้ลับของผู้วิเศษหรือที่เราเรียกกันว่า "พระฤาษี" คือเรื่องราวที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เพราะบุคคลที่เรียกว่า "ฤาษี" นั้นตามความเข้าใจมักหมายถึงบุคคลอันลี้ลับซ่อนกายอยู่ในถ้ำ ในป่าในเขายากที่จะให้ผู้ใดพบเห็นตัว ฤาษีเหล่านั้นต่างมีวัตรปฏิบัติบำเพ็ญเพียรเพื่อหาทางออกจากกามกิเลสทั้งหลาย บำเพ็ยเพียรภาวนาจนสามารถเข้าถึงธรรมชาติแห่งจิต ลุถึงอภิญญาสมาบัติ ได้ฌาน ได้ญาณหยั่งรู้ บางตนมีฤทธิ์เหาะเหินเดินอาการ บางตนสามารถจำศีลอยู่ใต้น้ำ บางตนมีอายุยืน เป็นร้อย เป็นพ้น เป็นหมื่นปี หรืออาจจะมากกว่านั้น

    คำว่า "ฤาษี" แม้ว่าเป็นคำคุ้นเคยแต่น้อยคนที่จะรู้ว่าฤาษีหมายถึง อะไร?

    ฤาษี แปลว่า "ผู้เห็น"

    หมายถึง การแลเห็นด้วยความรู้พิเศษอันเกิดจากฌาน สามารถแลเห็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้ ซึ่งรวมเรียกว่า "ตริกาลชัญ" แปลว่าผู้รู้กาลทั้งสาม

    ในหนังสือเมืองโบราณ ปีที่ 5 ฉบับที่ 5 มิถุนายน - กรกฏาคม 2522 โดยคุณศักดิ์ศรี แย้มนัดดา เล่าเรื่องฤาษีเกี่ยวกับการหยั่งรู้ไว้ว่า (ในวรรณคดีสันสกฤตมิได้กำหนดเวลาแน่นอนว่าสามารถรู้ไปถึงเหตุการณ์ในอดีตช้านานเพียงไร แต่ในวรรณคดีพระพุทธศาสนามีข้อเปรียบเทียบ กำลังความรู้เรื่องในอดีตที่เรียกว่า "ปุพเพนิวาสานุสติญาณ" ของฤาษี กับขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าแตกต่างกัน กล่าวคือ ฤาษีมีความรู้ ระลึกอดีตชาติได้ไม่เกิน 80 ชาติ แต่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงระลึกอดีตชาติได้มากมายเป็นจำนวนชาติอันหาที่สุดมิได้ และด้วยคุณธรรมข้อนี้องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้เลิศกว่าฤาษีทั้งปวง

    ความหมายของฤาษีที่แปลว่า"ผู้เห็น" เป็นที่เข้าใจกันในสมัยที่เริ่มแต่งคัมภีร์ฤคเวทเมื่อประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว เพราะฤาษีโบราณเมื่อง 3,500 - 4,000 ปี มาแล้วได้ช่วยกันแต่งบทสวดสรรเสริญเทพเจ้าขึ้น

    ซึ่งหมายถึงฤาษีผู้ฝึกฝนตนจนบรรลุอำนาจสมาธิชั้นสูงหรือญานสมาบัติ มีความพิเศษเหนือกว่ามนุษย์ สามารถมองมิติที่มนุษย์ปุถุชนไม่สามารถมองเห็นได้ สามารถได้ยินเสียงอันเป็นทิพย์จากมิติอื่นที่มนุษย์ไม่มีวันได้ยิน แต่สิ่งเหล่านี้สำหรับฤาษีผู้ทรงอภิญญาสมาบัติแล้วสามารถทำได้ เมื่อที่ฤาษีเข้าสมาธิสูงสุดเพื่อติดต่อกับพระเปนเจ้าฤาษีเหล่านั้นย่อมบังเกิดภาพนิมิตและเสียงอยางหนึ่งอย่างใดขึ้นตามที่พระเป็นเจ้าปราถนาให้ฤาษีเหล่านั้นรับรู้ เมื่อเหล่าฤาษีรุ่นแรกได้รับภาพและข้อความต่างๆ อันเป็นทิพย์จึงได้เรียบเรียงแต่งขึ้นเป็นบทสวด บทสรรเสริญเทพเจ้าตางๆ สาระสำคัญอยู่ตรงที่ถ้อยคำเหล่านั้นมิได้เป็นการคิดขึ้นเองของฤาษี หากแต่เป็นถ้อยคำโดยตรงที่พระเป็นเจ้าหรือ เทพเจ้าองค์หนึ่งองค์ใดประทานให้มาทางญานสมาธิ ทุกถ้อยคำที่ออกจากปากของฤาษีก็ล้วนแต่เป็นถ้อยคำแห่งเทพเจ้า

    ในลักษณะดังกล่าวมานี้ เข้าใจได้ว่า พระเป็นเจ้าหรือทวยเทพทั้งหลายนั้นอาศัยฤาษีเป็นสื่อกลางสำหรับถ่ายทอดบทสวดสรรเสริญและความรู้ต่างๆ จากโลกทิพย์ หรือ สรวงสวรรค์มาสู่บนโลกมนุษย์ของเรา

    ทั้งนี้เป็นไปเพื่อให้มวลมนุษญืทั้งหลายได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่ายังมีมิติที่สูงกว่า และมีหนทางแห่งการเข้าสู่ภพภูมิอันละอียดด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งยังให้มนุษย์ทั้งหลายได้ทราบว่า พระเป็นเจ้าสูงสุดก็ดี ทวยเทพทั้งหลายก็ดี มีลักษณะรูปร่าง มีทิพยภาวะอย่างไร และมีอิทธิฤทธิ์มีคณูปการต่อจักรวาล โลก มนุษย์ ตลอดจนสรรสัตว์ทั้งหลายอย่างไร ซึ่งการแสดงสาระสำคัญเหล่านี้ ฤาษีคือผู้จดจารและถ่ายทอดจนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมและประเพณีสืบมาจนถึงปัจจุบัน

    สำหรับรายนามบางส่วนของฤาษีรุ่นแรกที่สมควรได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาฤาษี เป็นหมาคุรุของโลก เป็นผู้ทรงฌานสมาบัติชั้นสูง จนสามารถติดต่อกับทวยเทพได้โดยตรง เป็นผู้ที่ได้รับความเคารพว่ามีจิต เข้าถึงพระเป็นเจ้าคือ พระอิศวร และที่สำคัญคือ เป็นผู้ประพันธ์คำภีร์ฤคเวทเป็นที่ปรากฏสืบต่อมาในวรรณดดีสันสกฤต ได้แก่ ฤาษีวศิษฐ์, อัคสตยะ (อัสติ), กัณวะ, อัตริ, อังคิรัส, อุศนัสหรืออุศนา (พระศุกร์), กุศิกะ, เรภะ, กุตสะ ฯลฯ สรุปว่า ฤาษีรุ่นแรก เมื่อ 3,500 - 4,000 ปีนั่นคือ บรรดาฤาษีที่แต่งคัมภีร์ฤคเวทโดยการดลบันดาลของเทพทั้งหลาย
     
  20. marcbangkok

    marcbangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +1,098
    1.พรหมฤาษี หรือ พรหมรรษี

    หมายถึง ฤาษีที่สือบเชื้อสายจากพรหม ถ้าตีความหมายเชิงจิตวิญญาณจะหมายความว่าเป็นฤาษีที่เป็นพรหมลงมาเกิดหรือเกิดจากการแบ่งภาคของพรหมลงมาเกิดในเมืองมนุษย์ หรือหมายถึงพรหมฤาษีที่อยู่ในแดนพรหมอันเป็นทิพย์ จะปรากฏให้กับฤาษีในแดนมนุษย์ที่เข้าฌานสมาบัติได้เท่านั้น หรืออีกนัยหนึ่งคือ ฤาษีที่อยู่ในวรรณะพราหมณ์ อันถือว่าเป็นวรรณะสูงสุดและเป็นผู้บำเพ็ญตบะอย่างยิ่งยวดเหนือฤาษีทั้งหลาย ทั้งนี้ผู้เข้าถึงความเป็นพรหมได้ ต้องได้ญานตั้งแต่ปฐมฌานเป็นต้นไป และจะเป็นพรหมชั้นสูงแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับกำลังของฌานสมาบัติของตนที่ทำไว้ ที่สำคัญคือ ยามเมื่อสิ้นใจต้องสิ้นใจในฌานสมาบัติที่ตนทำ เมื่อสิ้นใจจากโลกนี้ก็ไปผุดเกิดเป็นพรหมฤาษีตามกำลังแห่งฌานที่ตนได้บำเพ็ญมา

    ฤาษีในกลุ่มแรกนี้ที่ปรากฏรายนามในวรรณคดีภาพย์และปุราณะ คือ อรรวาวสุ, อัษฎาวักร, อัตริ, เอารวล, ภัทรวาช, ภฤคุ, จยวน, ศุก, ทธีจ, มทน, เทวศรรมัน, เคาตม(ไทยเรียกโคตม), ชาชลิลล, กาศยป, กฤป, ลิขิต, โลมส, มังกนก, มารกัณเฑย, นารท(ไทยเรียกนารอท), ปุลัสตย, ฤจีก, ไวศัมปายน (ผู้สวดมหาภารตะจบบริบูรณ์เป็นคนแรก), วศิษฐ์, วิศวามิตร (เป็นคนเดียวในโลกที่สามารถแปลงวรรณะกษัตริย์เป็นวรรณะพรหมณ์ ได้สำเร็จ โดยบำเพ็ญตบะอย่างสูงสุด ในรามเกียรติ์พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 เรียกว่า ฤาษีสวามิตร) และคนสุดท้ายคือ ฤาษีวยาส ผู้แต่งกาพย์ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คือ กาพย์มหาภารตะ ซึ่งมีความยาวถึง 1 แสนโศก

    สำหรับเรื่องกำลังฌานที่สามารถพาให้ไปอุบัติเกิดเป็นพรหมหรือผูที่ได้ในชีวิตนี้ก็เรียกว่าเป็นพรหมในร่างมนุษย์ โดยลำดับฌานดังต่อไปนี้ คือ

    ฌาน ชั้นต้นเรียก ปฐมฌาน มีวิตกวิจารเป็นอารมณ์ หมายถึงการคำนึงนึกถึงแต่คำภาวนาเท่านั้น

    ฌาน ชั้นที่สองเรียกว่า ทุติยฌาน หมายถึงสภาวะจิตที่ได้ปิติจากความสงบเบื้องต้น ปิตินี้มีอาการออกมาทางกายหลายประการ แบ่งเป็นห้าอย่างหลัก แต่สามารถจำแนก แยกย่อยได้มากมายหลายอาการ อาการทั้ง 5 ประการหลักๆ มีศัพท์เฉพาะเรียกว่า

    พระปิติทั้ง 5 ได้แก่
    ขณิกาปิติ หมายถึง การเห็นนิมิตเป็นแสงไฟแลบ คล้ายฟ้าแลบ
    ขุททกาปิติ หมายถึง ปิติที่มีอาการสะอื้นร้องไห้
    อุเพ็งคาปิติ หมายถึงปิติที่มีอาการตัวสั่นไปมา
    โอกกันติกาปิติ หมายถึง ปิติที่มีอาการตัวโยกโคลงไปมา
    ผรณาปิติ หมายถึง ปิติที่มีอาการขนลุกสะท้านไปทั่งทั้งตัว

    ตติฌาน คือชั้นที่สาม ชั้นนี้ผู้ที่เข้าถึงจะมีอาการสุขในสมาธิอิ่มเอิบอย่างบอกไม่ถูก สามารถผ่านปิติในชั้นดังกล่าวเข้าสู่ความสุขอันละเอียดอ่อนกว่าเดิม

    จตุตฌาน คือชั้นที่สี่ ชั้นนี้เป็นฌานระดับลึกลมหายใจจะละเอียดจนเหมือนว่าหยุดหายใจ อาการทางกายความรู้สึกทางกายจะหายไป


    2.เทพฤาษี หรือเทวรรษี

    จัดว่าเป็นฤาษีที่มีฐานะสูงสุดโยชาติกำเนิด กล่าวคือ เป็นเทพมาแต่กำเนิดแล้วบำเพ็ญพรตถือเพศเป็นฤาษี ภายหลังเพื่อสร้างตบะเดชะให้ยิ่งยวดขึ้นไป ฤาษีกลุ่มนี้มีลักษณะพิเศษคือ เป็นกลุ่มโอปาติกะ ผุดเกิดขึ้นเป็นเทพบนชั้นฟ้า ในอีกนัยหนึ่งหมายถึง ฤาษีที่มีคุณธรรมเข้าสู่ขั้นเทวะ ด้วยดำนาจศีลสมาธิปัญญาของตน

    การบำเพ็ญพรตเพื่อให้เกิดตบะเดชะยิ่งๆ ขึ้นไปนั้นถือว่าเป็นเรื่องสำคัญเพราะแม้แต่พระเป็นเจ้า เช่นพระอิศวรหรือพระศิวะนั้นยังมีปางที่เป็นฤาษี ในขณะเดียวกันคติของไศวะนิกายก็ถือว่า พระศิวะเป็นบรมโยคี ที่อยู่เหนือโยคีทั้งหลาย เหล่าฤาษีโยคีทั้งปวงย่อมมุ่งจิตของตนไปที่พระศิวะ เพื่อความหลุดพ้น

    เทพฤาษีหรือเทพเจ้าผู้ทรงเพศ มีจริยาวัตรเป็นฤาษีองค์ที่เก่าแก่ ที่สุดที่พบเป็นหลักฐานนอกจากจะมีพระศิวะแล้ว ก็มีพระพฤหัสบดี หรือพรหมณัสปติ ซึ่งมีกล่าวถึงในคัมภีร์ฤคเวทว่าเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งมนต์อันประเสริฐ และดำรงตำแหน่งเทวปุโรหิตของทวยเทพทั้งหลายคู่กับพระอัคนี (เทพแห่งไฟ) แต่เมื่อมาสู่ระยะหลังพระพฤหัสได้กลายมาเป็นเทพฤาษีอย่างสมูบรณ์ ในขณะที่พระอัคนียังเป็นเทวปุโรหิตตามเดิม

    นอจากพระพฤหัสซึ่งเป็นเทพฤาษีที่มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพมากที่สุดพระองค์หนึ่งแล้ว ยังมีเทพฤาษีอีกพระองค์หนึ่งที่ได้รับความเคารพไม่ด้วยไปกว่ากันเท่าไหร่คือ พระศุกร์ หรือ อุศนัศ หรืออีกนามหนึ่งว่า กวิ กล่าวว่า หลังจากสมัยพระวเท พระพฤหสได้รับการยกย่องว่าเป็นคุรเทพแห่งทวยเทพเทวาทั้งหลายในชั้นฟ้ ในขณะที่พระศุกร์ได้รับการยกย่องว่าเป็นคุรุเทพแห่งบรรดาอสูร ยักษ์ แทตย์ และทานพทั้งหลาย อันเป็นฝ่ายตรงข้ามเป็นคู่ปรปักษ์แห่งทวยเทพทั้งปวง พระศุกร์มีความสามารถพิเศษคือ เป็นผุ้รู้มนต์ที่สามารถชุบชีวิตผู้ที่ตายแล้วให้ฟื้นขึ้นมา มนต์บทนี้มีชื่อว่า "สัญชีวินี" ในตำนานกล่าวว่า พระศุกร์ใช้มนต์บทนี้ชุบชีวิตอสูรทั้งปวงให้กลับมีชีวิตเพื่อสู้รบกับบรรดาเหล่าเทพทั้งหลาย กลายเป็นสงครามไม่รู้จบ ด้วยเหตุนี้พระศุกร์จึงเป็นคุรุเทพเป็นเทพฤาษีที่บรรดา เทวเจ้าทั้งหลายให้ความกรงกลัวเป็นที่สุดพระองค์หนึ่ง


    3.ราชฤาษี หรือ ราชรรษี

    หมายถึงพระราชาที่สละราชสมบัติออกบวชเป็นฤาษีจะโดยชั่วคราวหรือตลอดชีวิตก็ตาม เช่น พระชนก (บิดาของสีดา) รวมถึงพระราม พระลักษณ์ และพระวิศวามิตร เป็นต้น ในตำนานของพระพุทธศาสนาตอนที่พระเวสสันดรออกบวชเป็นฤาษีในเขาวงกตก็ถูกจัดว่าเป็นราชฤาษีเช่นกัน คำว่าราชฤาษีบางทีอาจใช้เป็นคำเรียกพระเจ้าแผ่นดินที่มีเดชานุภาพแม้มิได้ออกบวชเป็นฤาษีก็ได้อย่างเช่นท้าวทุษยันต์ กษัตริย์จันทรวงศ์ สังเกตได้ว่าคำว่าราชฤาษีนี้ใช้เจาะจงเกี่ยวกับฐานันดรของผู้ออกบวชมากกว่า บรรลุคุณธรรมชั้นสูงเหมือนอย่างพรหมฤาษี และ เทพฤาษี ดังกล่าวมา

    4.มหาฤาษี หรือ มหรรษี

    แปลหว่าฤาษีผู้ยิ่งใหญ่ หมายถึงฤาษีโดยทั่วไปบำเพ็ญตละอย่างอุกฤษฏ์ จนมีฤทธิ์เดชเป็นที่เกรงกลัวของทวยเทพเทวาทั้งหลายรวมไปถึเหล่าอสูร อธิบายว่ามหาฤาษีนี้มีความหมายกว้างขวางรวมเอาฤาษีสามประเภทข้างต้นไว้ด้วย หมายเอาว่าเป็นฤาษที่ได้ฌานสมาบัติชั้นสูงมีอิทธิอำนาจควบขคุมธาตุทั้ง 4 เป็นที่เคารพของเทพเทวา หรือจะใช้เรียกฤาษีผู้มีชื่อเสียงอันใดก็ได้เช่นกัน ในวรรณคดีฤาษีที่ได้รับการยกย่องเป็นระดับมหาฤาษีนั้นมีมากมายหลายตนด้วย แต่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ "ฤาษีวาลมีกิ" ผู้แต่งเรื่องรามายณะ ฤาษีทรุวาส ผู้โทษะร้ายสาปแช่งเทวดาให้พินาศ ฤาษีกบิลผู้มีตาไฟและได้เผาผลาญเจ้าชายศุรยวงศ์ 6,000 องค์ให้ถึงกาลพินาศ นอกเหนือจากนี้ พระภรตมุนี ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาฤาษีเช่นเดียวกัน โดยพระภรตมุนีเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการรจนา นาฏยศาสตร์ โดยจดจำจากท่ารำของพระศิวะในปางนาฏราชที่แสดงไว้ที่ตำบลจิทัมพรัมหรือติลไลในอินเดียภาคใต้


    5.บรมฤาษี (ปรมฤาษี)

    หมายถึง ฤาษีที่ยิ่งกว่าฤาษีทั้งปวง คำนี้ใช้รวมกับฤาษีในลำดับที่ 1-4 ด้วย มีความหมายกว้างๆ เช่นเดียวกับ มหาฤาษี ในบางที่อาจแปลความหมายต่างไปว่า บรมฤาษี มีศักดิ์ตบะฌานแก่กล้ากว่ามหาฤาษีก็ได้ อย่างไรก็ตาม คำนี้มิได้เจาะจงว่าจะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงละไว้ในฐานะที่เข้าใจว่า "บรมฤาษี" คือฤาษีที่สำเร็จญานชั้นสูงเป็นที่เคารพ กราบไหว้ของเหล่าฤาษีทั้งหลายรวมทั้งมนุษย์และเทวดา

    6.ศรุตฤาษี

    หมายถึง ฤาษที่แต่งคัมภีร์พระเวทโดยทั่วไป

    7.กาณฑฤาษี

    หมายถึง ฤาษีที่แต่งบทสวดบาทบทในคัมภีร์พระเวท
     

แชร์หน้านี้

Loading...