บุญใหญ่!!!เชิญร่วมถวายสีรองพื้นทาพระประธานใหญ่108องค์!!!ขาดอีก 37 ถังเจ้าภาพถังละ1313บ.

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย เก๋ณัฐา, 30 มกราคม 2013.

  1. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    คุณมัณฆ์นิชิษฐ์ แจ้งร่วมเป็นเจ้าภาพสีรองพื้นทาพระพุทธรูปองค์ปฐม 1 ถัง
    อนุโมทนาสาธุการคะ ขอพรอันประเสริฐจงบังเกิดแด่คุณมัณฆ์นิชิษฐ์ ขอให้คุณมัณฆ์นิชิษฐ์ และครอบครัวเจริญๆยิ่งขึ้นไป อันใดติดขัดขอให้คลี่คลายอันใดปรารถนาขอให้สำเร็จโดยฉับพลันเทอญสาธุสาธุสาธุ
     
  2. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    "กรรม" นี้เราสร้างเอง (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

    [​IMG]


    เราเกิดมาทุกคนนี้เกิดมาด้วยอำนาจแห่งกรรม
    ตกแต่งมาแล้วพร้อมมูลทุกคน

    ไม่มีใครจะเอาไปเพิ่มให้ใครได้ เรียกว่าพอเหมาะพอดีกับกรรม
    ของตัวเองที่สร้างมาด้วยกันทุกคน

    เพราะฉะนั้นจงให้เห็นใจซึ่งกันและกัน ท่านแสดงไว้ว่า กมฺมํ
    สตฺเต วิภชติ นี่อันหนึ่ง สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้ง
    หลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น

    คือสัตว์เหล่านี้มีกรรมไปด้วยกันทั้งนั้น จึงไม่ให้ประมาทกัน ให้
    ต่างคนต่างส่งเสริม ให้เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันว่ามีกรรมด้วยกัน

    เราเป็นผู้สร้างเองกรรมของเรา จะไปตำหนิผู้หนึ่งผู้ใดมาสร้าง
    ให้เราอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ ท่านจึงไม่ให้ตำหนิกัน ไม่ให้ดูถูก
    เหยียดหยามกัน

    ใครเกิดอยู่ที่ไหนในบ้านนอกในเมืองในป่าในเขาที่ไหน เกิดมา
    จากท้องแม่ เราก็มีกรรมฝังเข้าไปในนั้นทุกคน พ่อแม่ที่จะไปเกิดนี้
    เราก็เลือกเอาไม่ได้ ต้องกรรมเป็นผู้จัดสรรให้พาไปเกิด

    ถ้าหากว่าพ่อแม่เรียกมาเกิดในท้องได้ตามความต้องการแล้ว พ่อ
    แม่แต่ละคนๆ นี้จะไปเรียกเอาเทวบุตรเทวดามาเป็นลูกทั้งหมด
    เลยนะ พวกหมูหมาเป็ดไก่นี้ไล่หนีหมด

    ยิ่งไอ้หยองนี้เข้าอยู่วัดไม่ได้เลย เพราะไม่ใช่ประเภทพวกเทวบุตร
    เทวดา ถูกขับเลยไอ้หยอง แต่ที่อยู่ได้ก็เพราะไอ้หยองมันก็เป็น
    กรรมของมันเอง มันก็กรรมของไอ้หยอง

    กรรมของเราเข้าใจไหม ต่างตัวต่างคนมีกรรมด้วยกันท่านจึง
    ไม่ให้ประมาทกัน อยู่ด้วยกันได้

    : หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี
    Luangta.Com -

    อ้างอิง http://palungjit.org/threads/%E0%B8...99.450427/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    หลวงปู่ทิม เทศน์ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

    [​IMG]


    พระธรรมเทศนาของหลวงปู่ทิม เรื่อง "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"
    นะโม ตัสสะ ภะคำวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ"(3จบ)
    มาบัดนี้อาตมาใคร่แสดงธรรมสั่งสอนของพระพุทธองค์ เพื่อที่ทุกท่านจะได้นำไปใช้ดำเนินในชีวิตให้ถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านเป็นศาสดาเอกของโลก ท่านรู้เอง เป็นอนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ คือเป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่านี้อีกแล้ว และเราทำไมไม่ตั้งใจรำลึกถึงพระองค์บ้าง วิธีรำลึกถึงพระองค์ ก็ให้หลับตาภาวนา พุทโธ ๆ ๆ ๆ เพราะพุทโธ เป็นผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หลับตาให้เห็นรูปพระพุทธเจ้าให้อยู่ในใจเราตลอด อย่าพะวักพะวงไปที่อื่น ถ้าหากจิตนึกไปอยู่ในกาม รูป เสียง กลิ่น รส แสดงว่าจิตนั้นยังติดอยู่ในกิเลส สมาธิก็หาเกิดไม่ ความนิ่งเฉยก็ไม่มี เมื่อจิตนั่งเป็นสมาธิแล้วก็ให้คิดซิว่า วันนี้เราทำอะไรไว้บ้าง ดีหรือชั่วอย่างไร ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ความดีความชั่วในใจนั่นเอง เมล็ดมะม่วงกว่าจะโตขึ้นเป็นต้นมะม่วง เมล็ดมะปรางกว่าจะโตเป็นต้นมะปราง เมล็อของต้นอะไรโตขึ้นก็เป็นต้นไม้อย่างนั้น
    บุญและบาปเป็นสิ่งหนึ่งที่คอยควบคุมให้ทุกอย่างเป็นไปได้เช่นกัน เป็นสิ่งที่เป็นวิญญาณคอยควบคุมโชคชะตาของมนุษย์ ฉะนั้นทำความดีไว้เถิด ไม่เสียหายอะไร ทำไปเถิดเดี่ยวได้ผลตอบแทน ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าแล้ว ชาตินี้ก็เห็น แต่ถ้าเราคิดว่า ทำความดีแล้ว ต้องได้อย่างโน้นอย่างนี้ หรือทำบุญ 10 บาท ก็ขอให้ถูกหวย ล้านบาท ก็เป็นไปไม่ได้ เราทำความดี อย่าไปคำนึงถึงผลตอบแทน ทำไปเถิดถ้าคิดว่าสิ่งนั้นทำไปแล้วเราสบายใจ ถึงแม้ว่าเรายังไม่ได้ผลตอบแทนในตอนนี้ แต่เราก็ได้ความสบายใจไม่ใช่หรือ ? เมื่อใจสงบ นิ่งเฉย สมาธิก็เกิด ความอิ่มเอมในจิตใจก็ดีขึ้น ปัญญารอบรู้ก็เกิด ทำให้สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้
    ต้นไม้พันธุ์ดี แต่ถ้าปลูกในที่ซึ่งไม่เหมาะกับพันธุ์อย่างนั้น ต้นไม้นั้นก็ไม่เกิดหรือเกิดแต่ไม่สวยไม่งาม ไม่มีผลมาก เช่นเดียวกับคนดี ถ้าอยู่ผิดที่ก็อาภัพได้ ความดีไม่ให้ผลเท่าที่ควรจะให้ หรือคนดีร่างกายไม่สมประกอบ ก็อาจจะน้อยใจไม่ประกอบความดีก็ได้ หรือคนดีบางคน ถ้ายังไม่ถึงที่ความดีจะให้ผลดีก็เหมือนต้นไม้ที่ยังไม่ถึงเวลาจะมีผล คนดีนั้นก็อาภัพ หรือนัยหนึ่ง คนดีบางคน หากความดีไม่สมบูรณ์เช่นมีแต่ความซื่อ แต่ความฉลาดไม่มี มีแตความขยัน แต่ไม่รู้จักกาละเทศะ อะไรต่าง ๆ ทำนองนี้คนดีนั้นก็อาจอาภัพได้เช่นกัน
    เพราะแต่ละคนที่สร้างความดีขี้นมานั้น ไม่ใช่ว่าเขาจะทำดีทุกครั้ง ส่วนมากคนเราเวลาทำความดีมักจะแทรกความชั่วลงไปด้วย ทำให้เชื่อไม่ได้ว่า คนที่มีบุญจำเป็นต้องมีร่างกายดีเสมอไป ร่างกายเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ ตายแล้วเกิดเอาใหม่ได้ แต่ความดีที่มีอยู่ในวิญญาณนั้น ถ้าหมั่นประกอบความดีอยู่เสมอความดีนั้นจะไม่ตาย จะต้องยั่งยืนแน่นอน ถึงไม่ให้ผลตอนนี้ วันหนึ่งก็ต้องให้ผลอย่างแน่นอน ทำไปเถิดความดี คนเราไม่มีใครรู้ความตายได้ ถ้ารู้ความตาย ทุกคนก็ต้องเกรงกลัวต่อบาป หรือถ้ามีใครสามารถฝึกตนเองจนรู้ถึงนรก ไปเห็นความไม่สวยงามในนรก อาจจะเกิดความกลัว ไม่ทำในสิ่งที่ผิดได้ จงทำมันซะเดี๋ยวนี้ซิ ทำมันไปได้ประโยชน์แน่นอน และพยายามฝึกจิตใจให้สงบ แผ่เมตตาไว้ ทำใจให้เป็นสมาธิ สมาธินั้นเราสังเกตุได้ 3 ทาง คือ นิ่ง เฉย เงียบ แต่จะเงียบแบบคนตายแล้วนั้น มักจะเงียบไปเฉพาะชาตนี้ ชาติต่อไปก็ไม่เงียบ มันก็เกิดอีก เพราะจิตมันมาเกิดอีก มันอยากได้ อยากดี อยากอยู่ตลอดเวลา

    เราทุกคนที่ใจกำลังคิดทำความดีนั้น ทำไปเถิด ความดีนั้นแหละ ดีแน่ ๆ แต้ถ้าใจตอนนี้กำลังคิดจะทำความชั่ว ก็ให้รีบงดเสียเถิด จะปล่อยให้เวลาที่คิดนั้น ล่วงเลยไป อย่าลืมว่า เวลาเป็นสิ่งไม่แน่นอน แต่ความดีหมั่นทำไว้เสมอนั้นแน่นอน ตายแล้วก็พาเอาความดีติดตามไปถึงชาติหน้าได้อีก คนที่ซึ้งในคุณค่าของความดีจริง ๆ เขาจะรอคอยจนกว่า จะถึงเวลาที่ความดีจะให้ผลได้เสมอ
    ตรงกันข้ามคนชั่วที่ฉลาดในการปกปิดความชั่วของตนจนคนอื่นไม่รู้ หรือรู้แต่ทำอะไรเขาไม่ได้ ชีวิตของเขาจะรุ่งเรืองอยู่เสมอ คนอย่างนี้ก็มีอยู่ไม่น้อยในกลุ่มของคนที่มีการเรียนดี แต่เราอย่าท้อถอย จงเชื่อว่าความชั่วที่สะสมไว้ทุก ๆ วันนั้น มันก็จะมากขึ้นเป็นอันดับ ซึ่งในวันหนึ่ง ความชั่วนั้นจะต้องปรากฏออกมาให้ผู้อื่นรู้ แต่คนที่มีนิสัยเลวร้ายไม่นึกถึงความดี มัวแต่นึกถึงความชั่วที่คนอื่นกระทำได้ผลดีแล้ว โดยไม่นึ่กผลร้ายที่จะเดินมาสู่ทีหลัง เวลาเขาจับได้ก็หาว่าเขาโง่ หรือตัวเองฉลาดกว่าเขา หารู้ไม่ว่า ตัวเองหลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลา อาตมาขอยืนยันว่า คนที่ไม่ถูกหลอกเลย มีประเภทเดียว คือ คนที่ยึดมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

    คนโดยมาก ถ้าเก่งในทางไหน มักจะพูดตัวเองในทางนั้น ซึ่งบางทีก็พูดมาก จนคนอื่นรำคาญหรือเหตุที่ตัวเด่นในทางนั้นจริงเลยเกิดเข้าใจผิดคิดว่า ความดีของคนอื่นซึ่งไม่เหมือนกับของตนไม่สำคัญ เขาไม่ยอมรับความดีของคนอื่น ไม่ยอมรับนับถือความดีในแง่อื่น

    มีคนถามว่า ทำไมคนชั่วถึงได้ดีอยู่เสมอ ตัวฉันทำความดีตั้งนานไม่เห็นใครเห็นเลย ขอให้พิจารณาให้ถ่องแท้ คนชั่วพวกนี้มักใช้ความดีเป็นฉากกำบังความชั่ว เมื่อตอนที่ทำความดี ความชั่วก็ยังไม่เกิดผล เมื่อความชั่วถูกสะสมบ่อย ๆ เข้า วันหนึ่งความดีก็อาจไม่คุ้มครองได้ ตอนนี้นแหละ ความชั่วก็จะต้องให้ผล หรือที่คนมักพูดกันว่า"เพราะบุญเก่ายังมีผลอยู่ ความชั่วในปัจจุบันจึงยังไม่สนอง แต่เมื่อบุญเก่าหมดเมื่อไหร่ บาปที่ทำไว้ก็จะให้ผลทันที"

    อาตมาภาพเองก็ได้พูดถึงเรื่องการทำความดีดีกว่าความชั่วให้ญาติโยมฟังมาก็นานพอควรแล้ว และเห็นว่าสมควรแก่เวลา และขอให้ญาติโยมที่นั่งฟังนี้ จงนำไปคิดเพื่อที่จะได้เป็นสิ่งที่ดีงาม สามารถนำไปใช้ในครอบครัวได้ ขอความสุขทั้งหลายจงมีแต่ญาติโยมทุกท่านเทอญ....เอวังก็มีประการฉะนี้แล.....
    บุญกุศลใด ๆ อันเกิดจากบทความนี้ ขอบุญกุศลอันนั้น จงแผ่ไปถึง หลวงปู่ทิม อิสริโก ผู้แสดงธรรมเทศนา

    http://palungjit.org/threads/หลวงปู่ทิม-เทศน์-ทำดีได้ดี-ทำชั่วได้ชั่ว.435439/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1010-03677.jpg
      1010-03677.jpg
      ขนาดไฟล์:
      47.2 KB
      เปิดดู:
      109
  4. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    ธรรมโอวาท โดย หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ

    [​IMG]



    คัดลอกมาจากกระทู้ที่ 000421 ในลานธรรมเสวนา นำเสนอโดย *คุณโยคาวจร*


    “จิตเป็นสิ่งสำคัญ สัมมาทิฐิ คือ ความเห็นชอบ คือ ตัวปัญญามันเกิดขึ้น พอปัญญาเกิดขึ้นเท่านั้นแหละ สัมมาทิฐิตัวเดียวชัดเจนขึ้นมา นั่นเป็นอาการของมัน ปัญญาสัมมาทิฐิ เกิดขึ้นมา มันเป็นองค์มรรค 8 สมบูรณ์บริบูรณ์เลย เบื้องต้นเรายังฟุ้งซ่านอยู่ก็ต้องมาแก้ เราจะเข้าใจจะสงบระงับด้วยอุบายนี้ ความฟุ้งขณะปฏิบัติเพราะเราไปยึดมั่น เรายิ่งยึดเท่าไรมันก็ยิ่งฟุ้ง ดังนั้นท่านเรียกว่า สมุทัย ยุ่งไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง พอปัญญาสัมมาทิฐิเกิดขึ้น สมุทัยก็หาย นิโรธก็เกิดขึ้น การที่เรามาเห็นว่า นี้เป็นสัมมาทิฐิ คือ ตัวมรรคทั้ง 8 มารวมกันอยู่ ณ ที่เดียวกันนี้

    เมื่อจิตรวมกันในสมาธิแน่วแน่เต็มที่แล้ว สัมมาทิฐิความเห็นชอบก็เกิดขึ้น ณ สัมมาทิฐินั่นเอง คือ เห็นทุกข์ เห็นสมุทัย ส่วนจะละได้มากน้อยขนาดไหน ก็แล้วแต่กำลังของปัญญาสัมมาทิฐิของตน เมื่อละได้แล้วนิโรธ ความดับเย็นสนิทขนาดไหนก็จะปรากฏขึ้นเฉพาะตนในที่นั้น

    ธรรมะเป็นทางแก้ทุกข์ เมื่อจะแก้ก็ต้องสอบทุกข์ก่อน ให้เห็นทุกข์ก่อนเหมือนกับเราทำงานอะไร เราต้องเห็นงานก่อนจึงจะทำได้ทุกข์อันหนึ่งที่เป็นงานของพวกเราควรทำถ้าไม่ทำเราก็ไม่พ้น ฉะนั้นพระพุทธเจ้าทรงสอนพวกเราให้รู้ทุกข์


    เราได้ชื่อว่าผู้นับถือพระพุทธศาสนาประจำใจ ต้องให้เข้าใจหลักธรรมจริงๆ จึงจะถูกต้อง การเปิดจิตใจให้กว้างสว่างไสวนั้น เป็นนิสัยของชาวพุทธโดยตรง เราเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า ทาน ศีล ภาวนา หรือการทำดีได้ดี การทำชั่วได้ชั่วจริง ก็ควรที่จะรีบขวนขวายหาทางสร้างความดีเสีย จะได้มีกำลังใจของจิตใจต่อไป คนเราในโลกนี้เกิดมาแล้วย่อมมีความดี และความชั่วปะปนกันไป ไฉนเราจึงจะพบกับความดีเพียงอย่างเดียว อะไรๆ ก็ไม่สู้การสร้างความดีนะ ความดีนี้ผู้ใดสร้าง ผู้นั้นย่อมมีความสุขเย็นอกเย็นใจ การให้อภัยนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญ

    ปัจจุบันโลกเราต้องการคนดี โลกต้องการให้อภัย เพราะนั่นเป็นทางแห่งความสันติสุขนะ ต้องให้อภัยทำให้ใจกว้างขวาง จึงจะได้ชื่อว่าเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแท้จริง"

    "ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นของเย็น เป็นของบริสุทธิ์ บุคคลผู้มีปัญญาจะไม่ปฏิเสธธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะธรรมถ้าอยู่ในจิตใจของผู้ใด ผู้นั้นย่อมมีความสุขความเจริญ"

    "ธรรมชาติของธรรมนั้น ผู้ปฏิบัติผู้บำเพ็ญเท่านั้นจึงจะรู้ได้ ครูบาอาจารย์หลายองค์ท่านไม่เคยลดละในการปฏิบัติธรรม เพราะการปฏิบัติธรรมที่เรากระทำอยู่เรื่อยๆ เป็นนิจโดยไม่หยุดยั้ง ผลย่อมเกิดขึ้นได้ทุกครั้งไป และจะสืบเนื่องกันไม่ขาดระยะ ตราบเท่าที่เราไม่ทิ้งการปฏิบัติธรรมนั้น เราเป็นฆราวาส ต้องพยายามทำคุณงามความดี ทำทาน รักษาศีล บำเพ็ญภาวนาให้เจริญ แล้วปัญญาก็ย่อมเกิดตามมาเอง"

    "ท่านผู้รู้พูดเป็นปัญหาว่า 'กล้วย 4 หวี สำรับอาหาร 4 สำรับ สามเณรนั่งเฝ้า พระเจ้านั่งฉัน' ปัญหานี้เป็นปัญหาธรรมะ เปรียบเทียบกับการปฏิบัติของบุคคล ส่วนมากคนจะไม่นำไปคิดกัน ข้อธรรมะที่ท่านให้ไว้แล้วให้นำไปตีความหมายให้ละเอียด กล้วย 4 หวี ได้แก่ธาตุ 4 เณรน้อยนั่งเฝ้า ได้แก่ คนโง่เขลาเบาปัญญา ไม่รู้เท่าทันตามหลักของพระธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม นั่งเฝ้าตัวเองอยู่ ไม่รู้ว่าในตัวของตนนั้นมีอะไรบ้าง กินแล้วก็นอน เลี้ยงร่างกายให้อ้วนท้วนสมบูรณ์ ไม่ได้ทำอะไรที่ดีให้เกิดขึ้นแก่ตัวเองเลย อันนี้แหละชื่อว่าโง่เขลาเบาปัญญา ได้แต่นั่งเฝ้าตัวเองอยู่ สามเณรนั่งเฝ้าสำรับที่มีอยู่แล้วโดยไม่ฉัน ก็หมายถึงบุคคลที่ไม่รู้ธาตุ 4 ตามความเป็นจริงว่า ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นอย่างไร ไม่ยอมกำหนด รู้แบบชนิดที่ให้เกิดปัญญา พระเจ้านั่งฉันหมายความว่า พระอริยเจ้าทั้งหลายที่รู้หลักความจริงอันประเสริฐ เมื่อภาวนาได้ ที่แล้วก็ยกธาตุ 4 (เปรียบด้วยกล้วย 4 หวี) มาพิจารณาตามหลักแห่งความเป็นจริง จนท่านเหล่านั้นสำเร็จคุณเบื้องสูง คือพระอรหันต์ ก็เพราะพระอริยเจ้าท่านเป็นผู้ฉลาดในอรรถและพยัญชนะ จึงไม่นั่งเฝ้าอยู่เฉยๆ ธาตุ 4 ก็อยู่ที่ตัวของเรา ขันธ์ 5 ก็อยู่ที่ตัวของเรา มันไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย แต่คนที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็เลยต้องนั่งเฝ้าเฉยๆ เหมือนลิงนั่งเฝ้าเม็ดทองคำ ไม่รู้ค่าของทองคำ คนที่โง่เขลาเบาปัญญาก็ได้แต่นั่งเฝ้ารูปธรรม นามธรรมที่มันอยู่ในตัวของเรานี่แหละ ท่านหยิบยกเอาธาตุ 4 ขันธ์ 5 มาสับโขกให้ละเอียด จนท่านรู้แจ้งเห็นจริงในอัตภาพ ร่างกายของท่านเอง และอัตภาพร่างกายของคนอื่น ท่านนั่งฉัน คือนั่งพิจารณาอัตภาพ คือ ธาตุ 4 ขันธ์ 5 เกิดมาแล้ว มันเป็นอย่างไร เกิดมาแล้วก็เป็นทุกข์ คือความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

    พวกท่านทั้งหลายอย่าได้นั่งเฝ้าร่างกายอยู่เฉย ๆ มันไม่เกิดปัญญา ปัญญามันเกิดจากการภาวนา คือ การอบรมจิต เพื่อจะทำลายกิเลสให้หลุดหายไปในที่สุด หลักสำคัญ ก็คงจะมีกายนี่แหละสำคัญมาก กายก็คือขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตามธรรมดาของ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้อยู่กับตัวเรา คือ จิต ตกลงว่าขันธ์ 5 กับจิตนี่อยู่ร่วมกัน แยกกันไม่ออก

    แต่ถ้าคนไม่รู้ไม่เข้าใจก็แยกแยะออกเป็นส่วนว่า ส่วนไหนเป็นรูป ส่วนไหนเป็นเวทนา และส่วนไหนเป็นสัญญา สังขาร วิญญาณ ยุ่งเหยิงกันไปหมด นอกจากปล่อยให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเกี่ยวพันกันกับใจ ให้มันผ่านไปตามธรรมชาติของมัน เราต้องพิจารณาให้รู้เห็น ตามความเป็นจริงในขันธ์ทั้ง 5 สู้กิเลสที่มันย่ำยีตัวเราอยู่นั้น ก็เท่ากับว่าพวกเราได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง ถึงแม้พวกเราจะบวชเข้ามาอยู่ใกล้พระพุทธองค์ ก็จะไม่มีความหมาย นักบวชที่แท้จริงนั้นต้องเป็นผู้ต่อสู้ หรือปราบปรามกับกิเลส ถ้าเราไม่มีการต่อสู้กับมันปล่อยให้มันย่ำยีเราแต่ฝ่ายเดียวนั้น ตัวเราเองจะย่ำแย่ลงไปทุกที ผลสุดท้ายเราก็เป็นผู้แพ้ ยอมเป็นทาสรับใช้ของกิเลส ใช้การไม่ได้

    สำหรับการสู้รบตบตีกับกิเลส จิตใจของเราจะรู้สึกว่า มีความทุกข์ยากลำบากเป็นกำลังอย่างมากทีเดียว แต่ก็ขอให้พวกเราทำต่อและยอมรับความทุกข์ยากลำบากลำบนอันนั้น ยิ้มรับกับความลำบากเพราะความเพียรพยายามของเรา เมื่อเรามีความท้อถอยอิดหนาระอาใจต่อความเพียรของตนนั้น ให้พึงระลึกถึงพระพุทธองค์ผู้เป็นบรมครูของพวกเราว่า พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆจาติ นานาโหนฺตมฺปิ วตฺถุโต คือ ให้ยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นอารมณ์ โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าของพวกเรา ก่อนที่พระองค์จะทำลายรังของกิเลสลงได้อย่างราบคาบ พระองค์ก็ใช้อาวุธหลายอย่าง หลายชนิดเข้าประหัตประหาร จนกิเลสยอมจำนนต่อหลักฐาน ยอมให้พระองค์โขกสับได้อย่างสบาย ขันติพระองค์ก็นำมาใช้ เช่น พระองค์บำเพ็ญทุกขกิริยาคือ การกระทำที่บุคคลทั้งหลายในโลก ทำได้ยากยิ่ง เพราะต้องใช้ความอดทนอย่างใหญ่หลวง จนเอาชนะกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้ พวกท่านทั้งหลายเมื่อเข้ามาอยู่ป่าแล้ว ก็ได้ชื่อว่าทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่นิยมอยู่บ้าน คลุกคลีด้วยหมู่ เพราะการคลุกคลีด้วยหมู่ จิตใจของเราก็จะไหลไปสู่อารมณ์ต่าง ๆ ได้ง่าย โอกาสที่จะทำให้จิตเป็นสมาธิ หรือทำให้จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งนั้นยากเหลือเกิน พระพุทธองค์เมื่อพระองค์ทรงบำเพ็ญทุกขกิริยา พวกท่านปัญจวัคคีย์ 5 รูป ไปเฝ้าปฏิบัติพระองค์อย่างใกล้ชิดด้วยตั้งใจว่า เมื่อพระองค์บรรลุธรรมแล้วจักบอกแก่เราก่อน เมื่อเรามาสันนิษฐานดูแล้วจะเห็นได้ว่าการคลุกคลี หรือการอยู่ร่วมกันหลายคนนั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อการทำสมาธิ พระองค์ก็เลยต้องทำวิธีใดวิธีหนึ่งให้พวกปัญจวัคคีย์เกิดความเบื่อหน่าย แล้วจะได้หลีกหนีไปอยู่เสียที่อื่น พระองค์ต้องกลับมาเสวยพระกระยาหารอีก ทำให้ท่านเหล่านั้นไม่เชื่อมั่นในการกระทำความเพียร เลยต้องหลีกหนีไปอยู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมื่อท่านปัญจวัคคีย์หนีจากท่านไปแล้ว พระองค์ก็ได้ทำความเพียร ทางใจให้อุกฤษฏ์ยิ่งขึ้น จนสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยกาลไม่นาน อันนี้จะเห็นได้ว่าพระองค์ทำเป็นตัวอย่างไว้ให้เราดูแล้ว เราผู้เป็นศิษย์ของพระองค์ท่านก็ควรจะสำเหนียก และดำเนินตามการทำความเพียรเพื่อทำลายกิเลส มันจะต้องลำบากทุกสิ่งทุกอย่างการกินก็ลำบาก อดมื้อฉันมื้อก็ต้องยอมอด อดมันทำไม อดเพื่อปราบกิเลส กิเลสมันก่อตัวมานานแสนนาน หลายกัปหลายกัลป์มาแล้ว จนเราสาวหาตัว ต้นตอ โคตร เหง้า ของมันไม่พบ นี่แหละท่านจึงสอนให้อยู่ป่าหาที่สงัดแม้แต่ในครั้งพุทธกาล มีท่านพระเถระหลายท่านที่มุ่งหมายต่อแดนพ้นทุกข์ ได้ออกปฏิบัติตนทรมานตนอยู่ในป่าในเขา และก็ได้บรรลุมรรคผลเป็นพระอริยบุคคลเป็นจำนวนมากนับไม่ถ้วน แต่เหตุในการบำเพ็ญของท่านเหล่านั้น ท่านทำกันจริงจัง หวังผล คือ การหลุดพ้นจริงๆ ท่านสละเป็นสละตายมาแล้วทั้งนั้น ความทุกข์ยากลำบาก ทุกข์มากทุกข์น้อย ย่อมมีแก่ทุกคนในขณะปฏิบัติ

    เราต้องทำความเพียรก็ไปทุกข์อยู่กับความเพียร ทำนาทำไร่ก็ไปทุกข์อยู่กับทำนาทำไร่ อันนี้เป็นของธรรมดา แต่จะทุกข์มากทุกข์น้อยก็ขึ้นอยู่กับการกระทำที่ฉลาด รู้วิธีการบ้างพอสมควร อย่างการทำความเพียรต้องเป็นผู้รักษาสัจจะ คือให้มีสัจธรรม ตั้งใจอย่างไรแล้วอย่าทำลายสัจจะ สัจจะเมื่อตั้งให้ถูกต้องตามอรรถตามธรรมแล้วจะเกิดเป็นพลังของจิตอย่างดีเยี่ยม พวกเราทั้งหลายตั้งหน้าตั้งตาเข้ามาสู่สมรภูมิรบด้วยกันเช่นนี้แล้ว ต้องตั้งหน้าตั้งตาถอดถอนสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อตนด้วยกัน อย่าถือว่าเป็นเรื่องง่ายๆ ถ้าถือว่าเป็นเรื่องง่ายแล้ว กิเลสมันจะหัวเราะเยาะดูถูกพวกเราทุกข์เพราะการทำความเพียร มิใช่ทุกข์ที่ไม่มีผล เป็นทุกข์ที่ทำลงไปแล้วคุ้มค่า เราอย่าไปท้อถอยจงอดทนต่อสู้อุปสรรคต่างๆ การปราบปรามกิเลสก็คือการแก้ความไม่ดีที่สถิตอยู่ภายในตัวของเรา จึงต้องทำด้วยความเพียรของบุรุษ ทำด้วยความตั้งจิตตั้งใจจริงๆ ทำด้วยความพากเพียรจริงๆ หนักก็สู้เบาก็สู้ เช่นเดียวกับเราตกน้ำ เราต้องพยายามแหวกว่ายช่วยตัวเอง กำลังวังชามีเท่าไรเอามารวมกันหมด เพื่อจะเอาตัวรอด จนกว่าชีวิตจะหาไม่ เมื่อไม่ไหวจริงๆ จึงจะยอมจมน้ำตาย หากมีกำลังเพียงพออยู่ตราบใด จะไม่ยอมจมน้ำตายเป็นอันขาด อันนี้ก็เช่นเดียวกัน การจะทำความเพียรเพื่อหลุดพ้นนั้นจะทำเหลาะแหละไม่ได้ ต้องทำจริงๆ จังๆ จึงจะเห็นความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ เรามาอยู่ร่วมกันมากท่านหลายองค์ จงประพฤติตามธรรม ตามวินัยอย่างเคร่งครัด อย่าเป็นคนมักง่าย วันหนึ่งคืนหนึ่งผ่านไป ผ่านไปอยู่เรื่อยๆ สังขารร่างกายนับเวลาที่จะผ่านไปๆ โดยลำดับพวกเราอย่าปล่อยให้วันคืนล่วงไปเฉยๆ ต้องให้มันผ่านไปด้วยการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรม ก็เพื่อจะกำจัดสิ่งปลอมแปลงนั้นออกให้เหลือแต่ของจริง คือแก่นแท้ของธรรม เฉพาะอย่างยิ่งคือ การหัดภาวนา ควรจะทำให้เกิดให้มีความแท้จริง งานอย่างอื่นเราก็เคยต่อสู้มาแล้ว ตั้งแต่ไหนแต่ไรก็ต่อสู้กับงานหนักงานเบามาแล้ว จนกระทั่งเวลาผ่านมาจนบัดนี้ เราก็ทำได้มาเรื่อยๆ แต่เวลานี้เราจะฝึกหัดภาวนา คือการทำจิตใจโดยเฉพาะ และการทำภาวนานี้ก็เป็นงานที่จำเป็นจะต้องทำเช่นเดียวกับงานชิ้นอื่นๆ หรือควรที่จะทำให้หนักยิ่งไปกว่างานอื่นๆ เสียอีก เพราะเป็นงานหนักและละเอียดกว่างานทั้งหลาย

    การทำภาวนาแรกๆ จิตของเราย่อมกวัดแกว่งดิ้นรน ล้มลุกคลุกคลาน เป็นของธรรมดาเพราะจิตยังไม่เคยกับการภาวนามาก่อน จึงถือได้ว่าการภาวนาเป็นงานใหม่ของจิต ถึงจะยากลำบากแค่ไหนเราต้องฝืน เพื่อที่จะฉุดกระชากลากจิต ที่กำลังถูกกิเลสย่ำยีอยู่นั้นให้พ้นภัยอันตราย ให้เป็นจิตที่ปราศจากกิเลสเรื่องเศร้าหมอง จึงเป็นสิ่งที่พวกเราทั้งหลายควรทำอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นในโอกาสต่อไปนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเรา จะพากันมาบำเพ็ญเพียรทางด้านจิตใจ อันเป็นจุดหมายปลายทาง ให้เกิดความสุขความสมหวังขึ้นภายในใจของตัวเองด้วย "จิตภาวนา" เหนื่อยบ้างลำบากบ้างก็ทนเอา การปล่อยให้จิตคิดไปในแง่ต่างๆ ตามอารมณ์ของจิตนั้นไม่สามารถที่จะทำให้เกิดอะไรขึ้นมา นอกจากไปเที่ยวเก็บรวบรวมเอาความทุกข์ความร้อนจากอารมณ์ภายนอก มาเผาลนจิตใจของตนให้วุ่นวายเดือดร้อนไม่ขาดระยะเท่านั้น

    ท่านกล่าวว่าสมาธิก็คือการทำใจให้สงบ สงบจากอะไร สงบจากอารมณ์เครื่องก่อกวนทั้งหลาย เมื่อไม่มีอะไรมารบกวน ถ้าเป็นน้ำก็จะใสสะอาดดุจน้ำฝนที่ตกลงมาจากท้องฟ้า ยังไม่มีอารมณ์ภายนอกมารบกวน ก็จะเป็นจิตที่ใสสะอาดหมดจด แต่ขณะนี้จิตของเราถูกกิเลสหรืออารมณ์ภายนอกเล่นงาน แทบจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว แต่เราจะมาฝึกเพื่อให้จิตสงบ จากอารมณ์ภายนอกเหล่านั้น การทำนั้นต้องค่อยทำค่อยไป จะกำหนดเอาวันนั้นเวลานั้นจะเกิดผลแน่นอนนั้นย่อมไม่ได้ เพราะการทำจิตให้ปราศจากอารมณ์ภายนอกนั้นต้องใช้เวลาพอสมควร ยิ่งถ้าเราไม่เคยฝึกมาก่อน จะเป็นการลำบากมากทีเดียว แต่ก็ไม่เหลือวิสัยที่เราจะทำ ในขั้นแรกของการอบรมจิตนั้น ท่านสอนให้ยึดเอาข้ออรรถข้อธรรมบทใดบทหนึ่งมาเป็นอารมณ์ บทใดก็ได้ สำหรับเป็นเครื่องกำกับควบคุมใจ ไม่เช่นนั้นจิตจะส่าย กวัดแกว่งไปสู่อารมณ์ต่างๆ ที่เราเคยชินกับอารมณ์นั้นๆ แล้วก่อความทุกข์ให้เป็นที่เดือดร้อนอยู่เสมอ

    ท่านจึงสอนให้นำบทธรรมะข้อใดข้อหนึ่งมาเป็นอารมณ์ เช่น เราภาวนาบริกรรมว่า พุทโธ ๆ ธัมโม ๆ หรือ สังโฆ ๆ หรือจะกำหนดให้มีอานาปานสติ คือการกำหนดลมหายใจเข้าออก ควบคู่ไปด้วยก็ได้ เช่น จะบริกรรมว่า พุท เข้า โธ ออกดังนี้ คำว่าเข้าออกก็คือหมายกำหนดกองลมนั่นเอง หายใจเข้าก็กำหนดว่าพุธ หายใจออกก็กำหนดว่าโธ ดังนี้ และในขณะที่บริกรรมเราต้องมีสติควบคู่ไปด้วย เมื่อเรามีสติตามระลึกอยู่โดยการเป็นไปติดต่อโดยลำดับ จิตก็ไม่มีโอกาสจะแวะไปเกี่ยวข้องกับอารมณ์ภายนอก จิตก็จะค่อยหยั่งเข้าสู่ความสงบโดยลำดับ จิตใจขณะนั้นจะมีความสงบมาก ในขณะที่จิตสงบไม่ยุ่งเหยิง วุ่นวาย กาลเวลาและสถานที่จะไม่มีเลย ในขณะนั้นจิตจะสงบอย่างเดียว เพราะจิตที่สงบจะไม่สำคัญมั่นหมายติดอยู่กับสถานที่ กาลเวลาที่ไหนเลย มีแต่ "ความรู้" ที่ทรงตัวอยู่เท่านั้น นี่เรียกว่าความสุขที่เกิดขึ้นจากการภาวนา จะเรียกว่าเป็นผลจากการภาวนาก็ได้

    เราอยู่ในโลกนี้ เราต้องอยู่ให้ฉลาด ประกอบด้วยปัญญา ตัวเรารู้ว่าเราปฏิบัติผิด ไม่ถูกต้องตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องพยายามแก้ไขที่ตัวเราให้ถูกต้อง คือเราต้องหาอุบายวิธีอยู่เสมอว่า ทำอย่างไรตัวเองจึงจะอยู่ให้เป็นสุขไม่วุ่นวายใจ อันนี้สำคัญมากทีเดียว สิ่งทั้งปวงพระพุทธเจ้าสอนพวกเราว่า

    ถ้าใครละความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงเสียได้ ผู้นั้นจะพบเห็นพระนิพพาน พระนิพพานอยู่เหนือความโลภ โกรธ หลง ท่านว่าอย่างนี้ ความโลภ โกรธ หลง เป็นรากเหง้าของโลก ชาติใดภาษาใด ก็มีสิ่งทั้งสามนี้ ทุกคนหนีไม่พ้น มีปัญหาอยู่ ถ้าทุกคนมีกันแล้วอย่างนี้จะทำประการใดดี ไม่คิดจะละสิ่งเหล่านี้บ้างหรือ บางคนถ้าจะละมันออกไปก็ยังเสียดายมันอยู่ ถือว่ามันเป็นมิตรที่ดีต่อเราอยู่ไม่ยอมให้มันตีตัวจากเราเลยอันนี้ก็ได้ชื่อว่าเราโง่กว่ากิเลส ปล่อยให้กิเลสเป็นนายเรา"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2013
  5. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    มีญาติโยมไลน์กันเข้ามาถามว่าบุญทาสีรองพื้นพระประธาน 108 องค์เต็มหรือยัง ยังนะคะ ยังไม่เต้มและยังสามารถร่วมบุญกันเข้ามาได้คะ โดยปกติแล้วหากได้เจ้าภาพครบหรือได้งบประมาณครบถ้วนเพียงพอที่จะสร้างโครงการบุญแต่ละครั้ง เก๋จะปิดกระทู้คะ แต่ตอนนี้ยังเพราะไม่ได้ปิด เพราะยังขาดงบประมาณจำนวนมาก จึงจะสามารถทาสีรองพื้นพระประธานองค์ปฐมทั้ง 108 องค์ให้เสร็จสมบูรณ์ ก่อนที่พวกเราจะเข้าขั้นตอนต่อไป คือในส่วนของขั้นตอน การทาสีทอง ซึ่งจะเป็นสีขององค์พระประธานจริงๆ ในขั้นตอนของการทาสีทองนั้น เก๋จะเปิดโครงการอีกครั้งเมื่อเราได้งบประมาณทาสีรองพื้นองค์ปฐมตรบทั้ง 108 องค์คะ อนุโมทนาสาธุ
     
  6. ธรรมสถิต

    ธรรมสถิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,261
    ค่าพลัง:
    +15,736
    อนุโมทนาบุญครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  7. ธรรมสถิต

    ธรรมสถิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,261
    ค่าพลัง:
    +15,736
    อนุโมทนาบุญครับ สาธุ
     
  8. ลมหายจัย

    ลมหายจัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +610
    [​IMG][/url][/IMG]​
    ถ้ากระทำแต่ความดีโดยไม่ต้องนั่งกรรมฐาน
    มีสิทธิ์ตกนรกไหม?​

    เมื่อข้าพเจ้าเลิกดื่มสุราได้แล้ว การบำเพ็ญทานและการรักษาศีลของข้าพเจ้าเป็นไปได้โดยง่าย ไม่มีอะไรติดขัด ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคขัดขวางทำให้เกิดการไขว้เขวอีกต่อไป จึงนับว่าข้าพเจ้าได้เหยียบย่างขึ้นสู่บันไดขั้นที่ ๑ อันเป็นความงามเบื้องต้นของพระพุทธศาสนาได้แล้วอย่างค่อนข้างมั่นคงทีเดียว แต่คนอย่างข้าพเจ้าย่อมไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้แน่ จะต้องพยายามหาทางก้าวเดินขึ้นสู่บันไดขั้นที่ ๒ คือการเจริญภาวนาให้ได้ฌาณสมาบัติให้จงได้

    ด้วยเหตุนี้ในคืนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงเข้าไปไหว้พระสวดมนต์ ตามที่หลวงพ่อเคยสอนไว้ (จะสวดอะไรบ้างนั้นขอท่านผู้อ่านจงเปิดดูใน คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน ที่หลวงพ่อเขียนไว้เถิด เพราะขณะนี้ได้มีจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มไว้แล้ว) แล้วลองนั่งดูตามแบบฉบับของการนั่งกรรมฐาน คือ นั่งขัดสมาธิเพชร นั่นเอง ต่อจากนั้นก็เริ่มระลึกถึงลมหายใจเป็นอารมณ์ (อานาปานุสสติกรรมฐาน) แล้วกำหนดเอา "พุทโธ" เป็นองค์ภาวนา "พุทโธ" และชั่วระยะเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่นาที ข้าพเจ้าก็เริ่มรู้สึกคันตามเนื้อตามตัว โดยเฉพาะที่ใบหน้าเหมือนมีตัวแมลงมาเดินไต่ ยิ่งหักห้ามใจสะกดนิ่งไว้ เจ้าแมลงที่ว่าก็ดูเหมือนจะเดินไปเข้าหูบ้าง จมูกบ้าง จนข้าพเจ้าทนไม่ไหว ต้องใช้มือคอยปัด และเกาตามเนื้อตัวที่คนอยู่บ่อยๆ อดนึกขำไม่ได้ที่มีคนเคยเอาปัญหานี้ถามหลวงพ่อ แล้วหลวงพ่อเย้าว่า

    "ไอ้ตัวสมาธินี่มันคันใช่ไหม อย่าไปสนมันนะ ปล่อยไป เดี๋ยวมันก็หายคันเองแหละ" เอ้า!..ปล่อยก็ปล่อย ข้าพเจ้ากำหนดจิตจับอยู่แต่ลมหายใจเข้า-ออก และองค์ภาวนา "พุทโธ" ต่อไป ความคันต่างๆ ที่เกิด หายไปจริงๆ แต่ความเจ็บที่ตาตุ่มซึ่งกดติดกับพื้นกระดานนี่สิ มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนั้นที่ก้นกบอีกแห่งหนึ่ง ก็ดูเหมือนจะมีอาการเจ็บปวดขึ้น และแม้ว่าข้าพเจ้าจะหาเบาะมารองพื้น และนั่งใหม่ ก็หาได้พ้นจากความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นไม่ มิหนำซ้ำขาทั้งสองของข้าพเจ้า กลับเกิดอาการเหน็บชาขึ้นจนขยับเขยื้อนไม่ได้เลยอีกด้วย เป็นอันว่าการเจริญภาวนาของข้าพเจ้าในคืนนั้นประสบความล้มเหลวโดยลิ้นเชิง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าการเจริญภาวนานั้น ทำไมจึงช่างยากเย็นและทุกเวทนาเช่นนี้ และถ้าแก้ไขไม่ตกก็เห็นทีที่ข้าพเจ้าจะก้าวขึ้นสู่บันไดขั้นที่ ๒ ไม่ได้แน่ ดังนั้น ในวันหนึ่งข้าพเจ้าจึงได้ถามหลวงพ่อว่า

    "หลวงพ่อครับ ถ้าผมกระทำแต่ความดีโดยไม่ต้องนั่งกรรมฐาน จะมีสิทธิ์ตกนรกไหมครับ? "

    "มีสิทธิ์ตกแน่" หลวงพ่อตอบทันที

    "อ้าว!..ก็พระพุทธเจ้าสอนว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มิใช่หรือครับ? ข้าพเจ้าแย้ง

    "ใช่ แต่คุณหรือคนธรรมดาทั่วๆ ไปจะมีใครกระทำแต่ความดีได้ทั้ง ๑oo% เล่า มีแต่ทำดีมาก ทำชั่วน้อย หรือทำชั่วมาก ทำดีน้อย จริงไหม? ไม่ใช่พระอรหันต์นี่ ท่านมีสติทุกลมหายใจเข้าออก จึงจะทำความดีได้ทั้ง ๑oo% หลวงพ่ออธิบาย

    "แต่หลวงพ่อเคยพูดนี่ครับว่า การบำเพ็ญทานและรักษาศีลนั้นถือเป็นความงามเบื้องต้นของพระพุทธศาสนา หากตายไปก็มีสิทธิ์ไปจุติเป็นเทวดา เสวยสุขในสวรรค์ได้" ข้าพเจ้าแย้งเพราะยังข้อใจอยู่

    "เก่งนี่ ที่จำได้ แต่นั่นต้องหมายความว่า ก่อนตาย จิตของคุณก่อนที่จะแยกจากกาย ต้องจับอยู่ในกุศลผลบุญของทาน ศีล ที่คุณทำมาด้วยนะ จึงจะไปเกิดเป็นเทวดาได้ แต่ถ้าจิตของคุณก่อนที่จะแยกจากกายไปจับอยู่ในกรรมชั่วแม้เพียงน้อยนิด คุณก็จะต้องไปรับกรรมชั่วก่อน ต่อเมื่อชดใช้กรรมชั่วจบสิ้นแล้วนั่นแหละ คุณจึงจะมีสิทธิ์ไปเสวยผลแห่งกรรมดีได้นะ" หลวงพ่ออธิบาย

    "มีข้อแม้อย่างนี้ด้วยหรือครับ?" ข้าพเจ้าถามอ้อมแอ้ม

    "ใช่!..บางคนอาจทำความดีถึง ๘o% ทำความชั่วเพียง ๒o% ก็มิได้หมายความว่าจะลบล้างกันได้เหลือความดีอยู่ ๖o% นะ กรรมดีและกรรมชั่วนั้นแยกกันโดยเด็ดขาด อยู่ที่ว่าจิตของคุณก่อนที่จะแยกจากกายนั้นไปจับอยู่ที่กรรมดี หรือกรรมชั่วต่างหาก ถ้าบังเอิญก่อนตายจิตไปจับเอากรรมชั่วเพียงน้อยนิด ก็อาจลงนรกก่อนได้ และในทำนองเดียวกัน หากแม้คุณทำความชั่ว ๘o% ทำความดีได้เพียง ๒o% หากจิตของคุณก่อนแยกจากกาย ไปจับเอากรรมดีเพียงน้อยนิดเข้า ก็สามารถไปเสวยสุขในสวรรค์ก่อนได้นะ ด้วยเหตุนี้คนเฒ่าคนแก่ จึงมักจะไปคอยให้สติแก่คนที่ใกล้ตายเสมอ โดยให้คนใกล้ตายภาวนา "พุทโธ" บ้าง "สัมมาอะระหัง" บ้างเป็นต้น แต่ไม่เป็นผลหรอกนะ ถ้าคนที่ใกล้จะตายผู้นั้นมิได้เคยฝึกนั่งกรรมฐานมาก่อน" หลวงพ่ออธิบาย

    "จริงครับหลวงพ่อ ขนาดผมมิได้เจ็บไข้ได้ป่วยสักนิด ยังทำจิต ให้สงบจับอยู่ในองค์พุทโธ เพียงแค่สัก ๒-๓ นาที ยังไม่ได้เลยครับ" ข้าพเจ้าสารภาตตามความเป็นจริง

    "ต้องฝึกให้ชำนาญนะ จึงจะทำได้ เหมือนเช่นนักมวยนั่นแหละ แม้จะมีพี่เลี้ยงไปยืนตะโกนสอนอยู่ข้างเวทีให้ฮุคขวา ฮุคซ้าย เตะก้านคอ ศอก เข่า เขาก็ทำไม่ได้นะ หากมิได้ฝึกซ้อมจนเกิดความชำนาญมาก่อน ดังนั้น หากใครก็ตาม สามารถฝึกกรรมฐานได้จนช่ำชอง ก็อาจสามารถกำหนดจิตไปวางอยู่ ณ ที่ใดก็ได้นะ ยิ่งฝึก จิตก็ยิ่งเชื่องนะ แม้ทำกรรมชั่วไว้มาก ทำกรรมดีไว้แต่เพียงน้อยนิด เขาก็สามารถกำหนดจิตของเขาไปวางไว้ในส่วนของกรรมดีได้ โอกาสลงนรกเขาจึงไม่มี และเมื่อเขาได้มีโอกาสไปเสวยสุขก่อน ได้อยู่ในกลุ่มของคนดี เขาก็มีโอกาสสร้างกุศลผลบุญได้มาก และในทุกครั้งที่สร้างกรรมดี ถ้าเขาอุทิศส่วนกุศลผลบุญให้แก่เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ หากเจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นไม่ถือผูกโกรธพยาบาท และอภัยให้เขาก็อาจจะไม่ต้องไปชดใช้กรรมชั่วเลยก็ได้นะ เสมือนหนึ่งเจ้าหนี้ ซึ่งเห็นในคุณงามความดีของคุณ แล้วไม่ติดใจทวงหนี้คืนจากคุณนั่นแหละ คุณก็ไม่ต้องหาเงินไปใช้หนี้เขาใช่ไหม?

    ดังนั้น หากคุณฝึกนั่งกรรมฐานได้ช่ำชอง คุณจะได้เปรียบมากนะ อย่างน้อยที่สุด ก่อนตายคุณก็สามารถกำหนดจิตของคุณไปวางอยู่ในกรรมดี แล้วไปเสวยสุขตามกุศลผลบุญที่ทำมาได้นะ อย่าลืมว่าการตายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรกลัว แต่สิ่งที่ควรกลัวคือการเกิดต่างหาก ด้วยเหตุนี้ การนั่งกรรมฐานจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากนะ เพราะจะเป็นตัวกำหนดการเกิด ดังที่ฉันพูดมาแล้วได้ด้วย นอกจากนั้นประโยชน์ของการนั่งกรรมฐานยังมีอีกมาก อาทิเช่น หากสามารถทำให้จิตสงบเพียงชั่วระยะเวลาแค่ช้างกระดิกหูก็ได้บุญ มากกว่าการให้ทาน และรักษาศีลเสียอีก หากจิตสงบเพียง ๕ นาที ๑o นาที ก็อิ่มเอิบกว่านอนหลับตั้งหลายชั่วโมงและถ้านำไปพิจารณาวิปัสสนาญาณ ก็จะเกิดปัญญา รู้แจ้งเห็นจริง ละ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม อันเป้นหนทางสู่โลกุตระ ซึ่งเป็นทางเดินของพระอริยเจ้าได้ และที่สำคัญที่สุดก็คือ การนั่งกรรมฐานนั้นเป็นการให้จิตซึ่งเป็นมิตรแท้ของเราได้มีโอกาสพักผ่อนด้วยนะ ทุกวันนี้คนเรามักเอาใจกาย ซึ่งเป็นมิตรเทียม แต่มิได้เอาใจจิตซึ่งเป็นมิตรแท้เลยนะ" หลวงพ่ออธิบายอย่างละเอียด

    "เอ!..หลวงพ่อครับ ผมชักงงๆ เรื่องจิตและกาย ที่หลวงพ่อพูดมากขึ้นทุกทีแล้วละครับ จิตกับกาย ของคนเรามิได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรอกหรือครับ?" ข้าพเจ้ารีบถามด้วยไม่เข้าใจจริงๆ

    "จิตก็คือจิต กายก็คือกายนะ จิตมิใช่เป็นอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของกายนะ เสมือนเช่นคนขับรถ ก็มิใช่เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของตัวรถนั่นแหละ กล่าวคือคนขับรถมิใช่เป็นพวงมาลัย, มิใช่เป็นเพลา, มิใช่เป็นลูกล้อ, มิใช่เป็นตัวรถฉันใด จิตก็มิใช่เป็นหัวใจ, ไส้, ปอด, มันสมองหรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของกายฉันนั้น เมื่อรถเกิดเสียคนขับก็พยายามซ่อมพยายามแก้ไข อย่างสุดความสามารถ แต่เมื่อแก้ไขไม่ได้ คนขับรถก็ต้องทิ้งรถหารถคันอื่นใหม่ฉันใด จิตก็เช่นกันนะ เมื่อกายเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย ก็นำกายไปหาหมอให้รักษาเยียวยา แต่เมื่อไรไม่สามารถจะแก้ไขเยียวยาได้ จิตก็จำต้องทิ้งกายไปฉันนั้น" หลวงพ่ออธิบาย และเมื่อเห็นข้าพเจ้ายังสนใจฟังอยู่ ก็พูดต่อว่า

    "คุณไปเอาอกเอาใจกายของคุณมามากต่อมากแล้วนะ อยากกินอะไรไม่ว่าจะใกล้ไกลแค่ไหนเพียงไร คุณก็พากายไปกินจนได้ อยากจะเที่ยวที่ไหน อยากจะดูอะไร คุณก็พากายไปเที่ยวไปดู อยากจะสวยอยากจะงาม เสียเงินสักเท่าไรคุณก็สรรหามาแต่งให้กายคุณจนได้ อยากจะฟังอะไรคุณก็พากายไปฟัง หรือไม่ก็หาซื้อเครื่องเสียงชั้นดีมาเปิดให้ฟัง แต่คุณเคยขอร้องอะไรกายของคุณได้บ้างไหม ลองใคร่ครวญดูให้ดีซิ เวลาเกิดปวดหัว ปวดฟัน คุณขอร้องมิให้ปวดได้ไหม? เมื่อผมหงอก ผมร่วง คุณขอร้องมิให้หงอก ให้ร่วงได้ไหม? เวลาจะแก่คุณจะขอร้องไม่ให้แก่ได้ไหม? และเวลาจะตายคุณขอร้องว่าอย่าเพิ่งตายได้ไหม? มันไม่เคยยอมทำตามที่คุณขอร้องเลยสักอย่างเดียวนะ นี่หรือมิตรแท้ มิตรแท้ก็ต้องฟังกันบ้างซิ ยามสุขก็ต้องสุขด้วยกัน ยามทุกข์ก็ต้องทุกข์ด้วยกันซิจึงจะถูก นี่อะไรทำชั่วไว้มากมาย พอตายนอกแหงแก๋ ไม่ยอมตามไปรับกรรมในนรกด้วย ปล่อยให้จิตเป็นผู้รับภาระในการใช้หนี้กรรมเอาดื้อๆ เห็นไหมว่า มิตรที่แท้จริงของคุณก็คือจิตนะ มิใช่กาย เพราะจิตนั้นไม่มีวันตาย และจะติดตามคุณไปทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าจะรับกรรมหรือเสวยสุขนะ แต่คุณเคยเอาใจมิตรแท้หรือจิตของคุณบ้างไหม? เปล่าเลย คุณใช้จิตอย่างไม่เคยว่างเว้น ในศีล๕ นาทีคุณคิดไม่รู้กี่เรื่องจริงไหม? มิหนำซ้ำยามนอนคุณก็ไม่ละเว้นที่จะใช้จิต จึงได้ฝันได้ละเมอเปรอะไปหมด คุณทารุณโหดร้ายต่อจิตซึ่งเป็นมิตรแท้ของคุณมากแล้วนะ" หลวงพ่ออธิบายย้ำ

    "แล้วผมจะเอาใจจิตซึ่งเป็นมิตรแท้ ได้อย่างไรครับหลวงพ่อ?" ข้าพเจ้าถามด้วยความอยากรู้

    "ก็นั่งกรรมฐานซิ เมื่อจิตว่าง จิตก็จะได้พักผ่อน เมื่อจิตได้พักผ่อนก็เกิดเอิบอิ่ม มีพลังกล้าแข็ง ยังไงล่ะ" หลวงพ่อตอบยิ้ม"

    "เมื่อคืนก่อนผมลองนั่งดูบ้างแล้วครับ แต่ทนทุกข์เวทนาไม่ได้ จึงต้องเลิกนั่ง" ข้าพเจ้าตอบแล้วเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า ในการนั่งให้หลวงพ่อฟัง ดั้งที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้น ซึ่งเมื่อหลวงพ่อได้ฟังแล้วก็หัวเราะพูดว่า

    "เอ๊ะ!..คุณนี่เอาจริงไม่เลวนะ แอบไปนั่งกรรมฐานจนค้นพบว่าตัวสมาธินี่มันคัน มันเมื่อยเสียแล้ว แต่อย่างน้อยคุณก็ได้บุญแล้วนะ เพราะมีความตั้งใจจริงที่จะปฏิบัติธรรม แค่ตั้งใจก็ได้บุญแล้วนะ แต่ความจริงแล้วการเจริญพระกรรมฐานนั้น ไม่จำเพาะแต่จะต้องมานั่งกรรมฐานอย่างเดียวเท่านั้นนะ ท่านให้ทำได้ถึง ๔ อิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง หรือนอน ก็ได้นะ และการนั่งก็ไม่จำเป็นต้องนั่งให้ถูกตามแบบฉบับนัก หากนั่งกับพื้นไม่ได้ก็นั่งบนเก้าอี้ซิ หรือไม่ก็นอนสบายๆ บนเก้าอี้ผ้าใบก้ได้ เราฝึกจิตนะ ไม่ใช่ฝึกทรมานกาย พระพุทธเจ้าเองท่านก็สอนให้ เดินสายกลาง มิให้ตึงไป มิให้หย่อนไป ถ้ากำหนดกฏเกณฑ์กันมากมายนัก คนสูงอายุก็ดี คนอ้วนก็ดีที่ไม่สามารถนั่งขัดสมาธิกับพื้นได้ ก็ไม่ต้องมีโอกาสได้นั่งกรรมฐานซิ ถึงพยายามนั่งก็จะไม่ได้แม้แค่ปฐมฌาณ ทั้งนี้เพราะเสี้ยนหนามของปฐมฌาณก็คือ นิวรณ์๕ ซึ่งได้แก่

    ๑.ความพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (กามฉันทะ)

    ๒.ความผูกโกรธพยาบาท

    ๓.ความง่วงเหงาหาวนอน

    ๔.ความคิดฟุ้งซ่านและความรำคาญหงุดหงิดใจ

    ๕.ความเคลือบแคลงสงสัยในผลการปฏิบัติ

    ดังนั้น เมื่อเกิดความเมื่อยขบขึ้นมา ความหงุดหงิดรำคาญใจซึ่งเป็นหนึ่งในนิวรณ์ ๕ ก็เกิดขึ้น และนิวรณ์ ๕ นี้หากเกิดขึ้นแม้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ปฐมฌาณก็เกิดขึ้นไม่ได้แล้วนะ เป็นยังไงเข้าใจหรือยัง?" หลวงพ่ออธิบาย

    "เข้าใจแล้วครับ แบบนี้ค่อยยังชั่ว ผมจะพยายามเจริญพระกรรมฐานใหม่ ที่ผมท้อใจก็เพราะทนนั่งเจ็บตาตุ่มไม่ไหว ทรมานจริงๆ ครับ" ข้าพเจ้าตอบอย่างดีใจ

    "แต่การเจริญกรรมฐานนั้น คุณจะต้องปฏิบัติทั้ง สมถกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน ด้วยนะ เพราะหากปฏิบัติแค่สมถกรรมฐาน แม้จะบรรลุไปจุดสุดยอดคือ ทรงฌาณ ๔ มีจิตเป็นเอกัคคตารมณ์ได้ก็จริง ก็ยังเป็นแค่ฌาณโลกีย์อยู่นะ จิตบริสุทธิ์ก็จริง แต่ยังขาดปัญญา เขาเรียกว่า "โง่ แต่บริสุทธิ์" นะ จริงอยู่ถ้าเกิดตายในขณะทรงฌาณได้ ก็จะไปเป็นพรหมได้แต่คุณจะอยู่ในฌาณได้ตลอดเวลาหรือ ส่วนใหญ่ก็มักจะนอกฌาณ จริงไหม? และเมื่ออยู่นอกฌาณ จิตซึ่งขาดปัญญาก็ย่อมตกเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมได้ เช่นปุถุชนคนธรรมดาทั่วๆ ไปเหมือนกัน และถ้าหากเกิดตายในขณะนั้นขึ้นมา แม้เคยทรงฌาณได้ก็มีสิทธิ์ตกนรกได้นะ เขาเรียกว่า "ตายนอกฌาณ" ยังไงล่ะ และก็มีมาแล้วมากต่อมากด้วย เป็นที่น่าเสียดายยิ่ง ดังนี้คุณจะต้องเอากำลังฌาณของสมถกรรมฐานนี้มาพิจารณาวิปัสสนากรรมฐานจนเกิดปัญญา รู้เท่าทันในกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมให้ได้ จึงจะล่วงข้ามความทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้ หากแม้ไม่ได้ในชาตินี้ โอกาสลงนรกของคุณก็จะไม่มีนะ ถ้าคุณฝึกจิตเพียงแค่อยู่ในระดับ พระโสดาบัน ให้ได้เท่านั้น คุณก็หมดสิทธิ์ลงนรกแล้วนะ"

    หลวงพ่ออธิบายอย่างละเอียดด้วยความเมตตา เมื่อเห็นข้าพเจ้ายังตั้งใจฟังอยู่ ก็อธิบายต่อว่า

    "การให้ทานและรักษาศีลนั้น เป็นเพียงแค่ป้องกันหรือจำกัดเขตมิให้กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลนั้นออกมาเพ่นพ่านนอกกรอบด้วยการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ความโลภ โกรธ หลง คือ กิเลส หรือความทะยานอยากจะได้ อยากจะมี อยากจะเป็น คือ ตัณหา หรือการยึดมั่นถือมั่นว่า ไอ้นั่นคือของเรา ไอ้นี่คือของเรา (อุปาทาน) ยังคงมีอยู่ในจิตนะ เสมือนหนึ่งจับเสือขังกรงไว้นั่นแหละ แม้มันจะไม่สามารถออกมาขบกัดทำร้ายใครก็ตาม แต่มันก็ยังดุอยู่ใช่ไหม? ส่วนการเจริญสมถกรรมฐาน นั้น ก็เพียงแค่สงบระงับกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ไว้ได้เพียงชั่วขณะที่ทรงฌาณเท่านั้น เมื่อออกนอก ฌาณ ตัวกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ก็กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ได้อีก เปรียบเสมือนฉีดยาสลบให้เสือนั่นเอง ถ้าหมดฤทธิ์ยาสลบเมื่อใด เสือก็ยังคงเป็นเสือที่ดุร้าย พร้อมจะขบกัดทำร้ายผู้คนอยู่เช่นเดิมนั่นแหละแต่ถ้าหากได้เจริญวิปัสสนาญาณ จนเกิดปัญญารู้เท่าทันในกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมแล้ว ค่อยๆ ละ ค่อยๆ ตัด สังโยชน์ ๑o ออกไปทีละข้อๆ ได้จนครบทั้ง ๑o ข้อเด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหาน แล้วนั่นแหละ ตัวกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ทั้งหลายจึงหมดฤทธิ์ เปรียบเสมือนหนึ่งคุณใช้มีดเข้าห้ำหั่นเสือจนตายไปนั่นแหละ เสือจึงสิ้นฤทธิ์ เข้าใจหรือยังล่ะ?" หลวงพ่ออธิบายอย่าละเอียด แล้วถามข้าพเจ้าอย่างเมตตา

    "เข้าใจแล้วครับหลวงพ่อ ผมจะพยายามต่อไปครับ" ข้าพเจ้าตอบด้วยจิตใจที่อิ่มเอิบ และเบิกบานยิ่งแล้วท่านผู้อ่านที่รักล่ะ เข้าใจตามข้าพเจ้าแล้วหรือยัง?
    ลูกศิษย์หลวงพ่อวัท่าซุง​
    ลูกศิษย์คือ ผู้ที่เชื่อฟังคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2013
  9. poysian

    poysian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,140
    ค่าพลัง:
    +2,422
    อนุโมทนาบุญด้วยครับทุกท่าน ...ตกลงปัจจุบันได้จำนวนกี่ถังแล้วครับคุณเก๋..แล้วอีกงานบุญนึงคือเจดีย์ถวายพระได้เท่าไหร่แล้วครับ.. ...และยังขาดอีกทเ่าไหร่ครับทั้ง2งานบุญ
     
  10. ธรรมสถิต

    ธรรมสถิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,261
    ค่าพลัง:
    +15,736
    อนุโมทนาบุญครับ สาธุ
     
  11. ธรรมสถิต

    ธรรมสถิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,261
    ค่าพลัง:
    +15,736
    มหาบุญหลาดไม่ได้!!!
    เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทาสีรองพื้น
    พระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดา 108 องค์
    วัดป่าโนนจ่าหอม บ้านโพนเมือง จ.อุบลราชธานี


    [​IMG]

    อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
     
  12. ธรรมสถิต

    ธรรมสถิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,261
    ค่าพลัง:
    +15,736
    มหาบุญหลาดไม่ได้!!!
    เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทาสีรองพื้น
    พระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดา 108 องค์
    วัดป่าโนนจ่าหอม บ้านโพนเมือง จ.อุบลราชธานี

    ทำกันตามกำลังศรัทธา

    ก่อนให้ตั้งใจ ขณะให้เต็มใจ หลังให้ปลื้มใจ
    จะได้บุญเต็มที่ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ

    ธรรมใดที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแล้ว
    ขอให้ทุกท่านได้เห็นธรรมนั้นในชาติปัจจุบันเทอญ สาธุ
     
  13. ธรรมสถิต

    ธรรมสถิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,261
    ค่าพลัง:
    +15,736
    มหาบุญหลาดไม่ได้!!!
    เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทาสีรองพื้น
    พระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดา 108 องค์
    วัดป่าโนนจ่าหอม บ้านโพนเมือง จ.อุบลราชธานี

    ทำกันตามกำลังศรัทธา

    ก่อนให้ตั้งใจ ขณะให้เต็มใจ หลังให้ปลื้มใจ
    จะได้บุญเต็มที่ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ

    ธรรมใดที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแล้ว
    ขอให้ทุกท่านได้เห็นธรรมนั้นในชาติปัจจุบันเทอญ สาธุ
     
  14. ปักธงชัย

    ปักธงชัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    584
    ค่าพลัง:
    +3,721
    คุณ ณพล เลิศสุมิตรกุล และ ครอบครัว ร่วมทำบุญทาสีองค์พระประธานสมเด็จองค์ปฐม 108 องค์ รวม 500 บาท โอน 3/3/56
    อิทัง ปุญญะผะลัง
    ขอพระแม่ธรณี และ พระยายมราช จงเป็นสักขีพยานในการทำบุญของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อน้อมบูชาพระรัตนตรัย พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรมทุกพระธรรมขันธ์ พระอริยสงฆ์ พระอริยเจ้าทุกๆพระองค์ พระอินทร์ พระพรหม พระยายมราช และ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับทุกบุญกุศลที่ท่านทั้งหลาย และ ทุกดวงจิตทั่วทั้งจักรวาล ที่ได้ทำมาในทุกภพทุกชาติ
    ด้วยอนิสงฆ์ผลบุญนี้ กราบขอพระบารมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธาน ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอชำระหนี้สงฆ์ นับตั้งแต่อดีตชาติจวบจนปัจจุบัน, ขอชำระหนี้กรรมให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายโมทนาบุญครั้งนี้ของข้าพเจ้าทั้งหลาย และ ตัดขาดจากข้าพเจ้าทั้งหลาย ณ บัดนี้ และ ขอขมาต่อพระรัตนตรัย บิดามารดาที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้เคยปรามาส ล่วงเกิน จาบจ้วง จะเป็นชาติภพใดก็ตาม ขอจงอโหสิกรรมนับแต่บัดนี้ด้วยเทอญ
    ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขออุทิศส่วนกุศลผลบุญทั้งหลายที่ได้ทำแล้วแก่บิดามารดา ญาติพี่น้อง ทุกภพทุกชาติ อุปัชฌาย์ครูบาอาจารย์ทุกภพทุกชาติ เทพเทวดา 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดินที่ได้ปกปักรักษาข้าพเจ้าทั้งหลาย อีกทั้งเทพเจ้าทั้งหลาย ทั่วสากลพิภพ และ ท่านทั้งหลายที่ตกทุกข์ได้ยากอยู่ในภูมิอบายทั้ง 4 อันได้แก่ ภูมินรก ภูมิเปรต ภูมิอสูรกาย และภูมิสัตว์เดรัจฉาน ขอจงโมทนาบุญนี้ด้วยเทอญ
    ด้วยอนิสงฆ์แห่งบุญนี้ ขอให้ข้าพเจ้าทั้งหลายเข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้ และ ขอให้ข้าพเจ้าทั้งหลายได้มี มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ ขอให้มีสมบัติเกิด ในทุกที่ทุกสถาน ในทุกกาลทุกเมื่อ ทุกภพ ทุกชาติ ให้ประสบแต่ความสุข ความเจริญ ความสำเร็จ ทั้งทางโลกทางธรรม ด้วยความราบรื่นรวดเร็ว นับแต่บัดนี้ ตราบเข้าสู่พระนิพพาน
    นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ ปัจจุบันเน กาเล
    ขอเรียนเชิญทุกท่านร่วมอนุโมทนาบุญ ครับ
     
  15. ธรรมสถิต

    ธรรมสถิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,261
    ค่าพลัง:
    +15,736
    ขออนุโมทนาบุญครับ สาธุ

    ขอพระบารมีแห่งสมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดา
    ดลบันดาลให้สิ่งที่ได้อธิษฐานไว้สมหวังดังตั้งใจทุกประการเทอญ
     
  16. ธรรมสถิต

    ธรรมสถิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,261
    ค่าพลัง:
    +15,736
    [​IMG]

    เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทาสีรองพื้น
    พระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดา 108 องค์
    วัดป่าโนนจ่าหอม บ้านโพนเมือง จ.อุบลราชธานี

    ทำกันตามกำลังศรัทธา
    ก่อนให้ตั้งใจ ขณะให้เต็มใจ หลังให้ปลื้มใจ

    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ สาธุ
     
  17. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    อนุโมทนาสาธุการทุกๆท่านคะ ยังสามารถร่วมทำบุญเข้ามาได้นะคะ ต้องขอโทษด้วยนะคะที่หายไปหลายวัน เก๋เดินทางไปนมัสการเจ้าแม่กวมอิมใหญ่ที่ปีนังกับที่บ้านมาน่ะคะ เพิ่งกลับมาถึงเมื่อวานนี้เองคะ
     
  18. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    อนุโมทนาคะคุณpoysian ต้องขอโษทีนะคะที่ตอบช้า เก๋ไปนมัสการเจ้าแม่กวนอิมใหญ่ที่ปีนังมา เพิ่งกลับถึงเมืองไทยเมื่อวานนี้เองคะ เลยตอบช้าไปหน่อย เดี๋ยวรอเก๋เช้คกับทางวัดจะแจ้งกลับนะคะ
     
  19. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    อนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่งคะ อันใดปรารถนาขอให้สำเร็จโดยฉับพลัน อันใดติดขัดขอให้คลี่คลายโดยฉับพลันเทอญสาธุสาธุสาธุ
     
  20. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    ใช้เวลาหน่อยคะพี่เดี๋ยวรอเช้ดกับทางวัดหน้าจะประมาณสองสามวันเก๋จะแจ้งไปนะคะ ไปดูแบบเจ้าแม่กวนอิมใหญ่มาแล้วก็ ไปอัญเชิญทานมาด้วยคะ ที่ถัด ก็เจ้าแม่กวนอิม 28 เมตร ที่พวกเราซื้อที่กันไปเมื่อปีที่แล้วนี่แหละคะ อนุโมทนาสาธุคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...