ทำสมาธิแล้วเห็นภาพ...ผมจะปิดมันยังไงดีครับ..

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย GLiKe, 19 มีนาคม 2013.

  1. GLiKe

    GLiKe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +137
    ขออนุญาติสอบถามสมาธิหน่อยนะครับ...

    ผมจำอารมณ์สมาธิ ขาดวับ ดิ่ง...แล้วรู้สึกลอยๆๆ เหมือนอยุ่ในระฆังครอบไว้...มันเงียบสงบ..ประมาณอึดใจเดียว และเหมือนหยุดหายใจไปเอง...ที่แรกตกใจมากครับ...แล้วผมก็ค่อยๆ ออกมารุ้ลมหายใจอีกครั้ง...เคยเป็นอย่างนี้ 2 ครั้งครับ

    ....ผมเคยไปฝึกมโนมยิทธิ บ้านสายลม...ตอบอาจารย์ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง อาจารย์ให้ผ่านครับ...ผมเลยกลับมาฝึกต่อที่บ้าน...ทำเหมือนตอนฝึกครับ...

    ..... แต่ติดตรงนี้ครับ...อย่างที่บอกข้างบน อารมณ์นิ่งมาก ไม่เห็นอะไรเลย...ได้ความสงบดีครับผมชอบจริตตรงนี้...

    ...... ผมอยากกลับไปเป็นอารมณ์เดิมจะทำได้ไหมครับ... พอผมนั่งสมาธิได้หลับตาลง สวดมนต์สักพักเหมือนปกติ..แล้วนั่งสมาธิ มันเห็นภาพตลอดเวลา...ปะป่นกันไปหมด...จริงบ้างไม่จริงบ้าง...

    ......วันหนึ่งผมเคยลองสิ่งที่เห็นว่าจริงไหม......กลางวันผมโทรหาแม่ แม่บอกว่าจะไปเที่ยวดูคอนเสิร์ตลูกทุ่ง...ตกค่ำผมเข้าสมาธิดูแม่ว่าทำอะไรอยุ่... เห็นแม่มากับพ่อใส่แขนยาวหนาทั้ง 2 คน.. (คิดในใจ เดือนนี้ยังหนาวอยุ่เหรอ) พ่อนั่งข้างซ้ายของแม่...เห็นหน้าแม่ชัด แต่พ่อมองหน้าไม่เห็น หน้าดำคล้ำมาก..ผมเลยตั้งใจส่งบุญให้พ่อ...ผมเริ่มเห็นหน้าพ่อชัดเจนขึ้น รุ้เลยว่าเมา...ผมเลยออกจากสมาธิ..

    .....เช้าโทรหาคุณแม่...ถามแม่ตามที่ได้เห็น... แม่หัวเราะเลย แล้วถามว่าใครโทรไปรายงานให้ฟัง คืนนั้นแม่บอกว่าหนาว....มันตรงทุกอย่างเลยครับ..

    .... ปัญหาสมาธิผมก็เกิดอีก...เวลาไม่อยากให้เห็นอะไร มันห้ามไม่ได้ทุกที..ทำให้ผมไม่นิ่งเลย...ผมได้แต่บอกตัวเองว่า...เห็นเน่อ เห็นเน่อ..

    ....ผมจะแก้ตรงนี้ยังไงดีครับ... เวลาทำสมาธิผมไม่อยากให้เห็นพร่ำเพื่อครับ...ไม่ใช่จริตผมนะครับ

    ....ขอขอบพระคุณทุกท่านด้วยนะครับผม...
     
  2. PataPee_ChangP

    PataPee_ChangP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +211
    ขั้นตอนที่เกิดนิมิตแล้ว
    เหลือแต่ขั้นตอนที่ต้องควบคุม

    หรืออีกนัยหนึ่งคือคุณเองทำจุดพ้อยต์ไว้
    แต่จำไม่ไดว่าตนเองได้ทำไว้ บางอย่างเรื่องที่ไม่อยากเห็น อาจเป็นเหตุนำพาไปสู่เหตุสำคัญก็ได้นะคะ

    ส่วนวิธีควบคุมก็มีวิธีหนึ่งนะคะ เราใช้อยู่ คือเห็นอะไรก็เห็นไปเลย มองให้สุดๆดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
    ไม่ต้องนึกถึงอะไรเลยนะคะ
    พอเห็นไปสุดๆแล้วจดจ่ออกับเรื่องที่เห็น แล้วกำหนดให้เบี่ยง เช่นเรื่องที่เห็นเป็นต้นไม้ เราลองเปลี่ยนจากต้นไม้เป็นดอกไม้ กำหนดว่าเป็นดอกไม้ เป็นดอกไม้ ถ้าเปลี่ยนตามที่เรากำหนดจิต แสดงว่าเริ่มควบคุมได้แล้วคะ

    วิธีทดสอบของตัวเราว่าตนเองควบคุมจิตตนเองได้มากแค่ไหน ไม่รู้ว่าใครทำแบบเราบ้างหรือเปล่า
    คือเวลานอนหลับเราจะตั้งนาฬิกาปลุกโดยการกำหนดจิตมองที่เข็มนาฬิกาว่าจะตื่นอีกที กี่โมง กี่นาทีข้างหน้า
    ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังทำได้อยู่ พอถึงเวลาที่กำหนดจะตื่นเองเลย
    เราก็เลยเริ่มเข้าใจว่า ผู้ที่เขาสะกดจิตตนเอง.หรือผู้ถอดกายทิพย์คงจะใช้วิธีนี้เพื่อกำหนดตนให้ตื่นกลับเข้าร่างหนะคะ

    เรื่องการกำหนดจิตนี่เป็นอะไรที่ สงบสุขแท้จริง
    ขอให้ทุกท่าน พบเจอกับจิตที่สงบ ทั่วทุกคนนะคะ
     
  3. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    เมื่อพูดถึงตอนจิตสงบ ในสภาวะจิตที่คุณต้องการนั้น เกิดนิมิตเกิดขึ้น คุณไม่ต้องการที่จะรับรู้นิมิตที่ลอยผ่านนั้น อันนี้คือความต้องการของคุณ และคุณชอบในการฝึกปฏิบัติในแบบนี้......

    ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจก่อนนะครับว่านิมิตนี่มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เรามาพูดถึงการฝึกเอาอารมณ์ของกรรมฐานด้านฝ่ายการปฏิบัติสุขวิปัสโก ก่อน คุณต้องการการฝึกด้านสมถะภาวนา ต้องการความสงบแห่งจิต ธรรมชาติของจิตนะครับ เมื่อเข้าสู่อารมณ์ของอุปจารสมาธิ จะมีนิมิต กับ ปิติ เกิดขึ้นในช่วงของสมาธิในระดับนี้ นิมิต เป็นอย่างไร ถ้าคุณฝึกอานาฯ มันจะมี ๒ อย่างที่จะเกิดขึ้น ๑.แสงสี มันจะเป็นแสงสีลอยผ่านไปมา ม่วงบ้าง เขียวบ้าง ส้มบ้าง แดงบ้าง ขาวบ้าง ฯลฯ ลอยเข้าลอยออก เล็กบ้างใหญ่บ้าง ส่วนในอันที่ ๒ มีมาเป็นภาพ นิ่งบ้าง เคลื่อนไหวบ้าง เหมือนภาพฉายหนัง ผ่านไปมา เกิดขึ้นจังๆตรงหน้า ผ่านเข้ามาด้านข้าง ฯลฯ.....

    สรุปรวมความคือ นิมิตในอุปจารสมาธิ เกิดขึ้นมากมายหลายแบบ แต่มีจุดประสงค์เดียวคือ ดึงจิตออกจากฐาน......วิธีการ ไม่ยากครับ.......

    ๑.เลิกที่จะไปสนใจเลย ทรงอยู่ในกรรมฐานเดิม เมื่อสมาธิเลยผ่านอุปจารสมาธิมันจะหายไปเอง หรือต่ำกว่าอุปจารสมาธิมันก็จะหายไปเอง...

    ๒.กำหนดรู้ในนิมิต แล้วก็เพิก เห็นหนอ รู้หนอ อะไรก็ว่าไป.....เมื่อสติไปรู้มันก็จะดับลงไปเอง จิตก็จะกลับลงสู่ฐานเดิม.......

    วิธีการไม่ยากหลอกครับ สำคัญแต่คุณอย่าไปตั้งค่าว่าชอบหรือไม่ชอบ ให้คุณเข้าใจว่ามันเป็นธรรมชาติต้องเกิดของสมาธิในระดับที่คุณทรงอยู่เท่านั้น ไม่ได้มีความสำคัญอะไร ใครๆถ้าเขาเป็นผู้ปฏิบัติได้จริง เขาก็เจออาการแบบนี้กันทั้งนั้น......

    จบในเรื่องการสอบสภาวะอารมณ์ ในฝ่ายของ สุขวิปัสโก.......

    ....................................................................................................................................

    มาในฝ่ายของ เตวิชโช

    อารมณ์จิตคุณต้องฝึกมโนมยิทธินั้น คุณฝึกในส่วนของมโนฯครึ่งกำลัง ใช้กำลังของอุปจารสมาธิ เช่นกัน ช่วงนี้อารมณ์จิตเป็นทิพย์สบายดีมาก ใช้งานได้ คุณทรงอารมณ์ตามครูฝึกได้ ฝึกได้แล้วจนครูฝึกท่านให้ผ่าน แสดงว่ากำลังจิตคุณดีมาก และ ครูฝึกท่านก็รับรองได้ว่าไม่ผิด อันนี้ผมยินดีด้วยครับ......

    หลังจากนั้นคุณนำกลับมาปฏิบัติต่อ จนสามารถรู้สภาวะของแม่คุณได้ตามที่คุณกล่าว อันนั้นต้องรับรองว่าการปฏิบัติของคุณมีผลแล้วครับ ถือว่าใช้ได้......แต่สิ่งหนึ่งที่คุณต้องทรงไว้ให้ได้ถ้าจะฝึกในด้านของเตวิชโชนี้นะครับ คือ สภาวะที่ครูฝึกสอนให้คุณทรงอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็น ศีล กำลังของสมาธิ หรือ กำลังของวิปัสนาญาณ ในวันที่คุณฝึกนั้น คุณต้องทรงไว้ให้ได้ตลอดไป....และที่สำคัญ ในวันที่คุณฝึกปฏิบัติ สภาวะอารมณ์ที่คุณส่งจิตไปรู้แม่คุณในวันนั้น คุณทรงไว้อย่างไร อันนี้สำคัญให้คุณทรงไว้ให้ได้อย่างนั้น.....

    ตามปกติเมื่อ ศีล สมาธิ หรือ วิปัสนาญาณ อย่างใดอย่างหนึ่ง ตกลง กรรมฐานก็จะตกลง เมื่อบวกด้วยกำลังของนิวรณ์ที่เป็นปกติมีอยู่ในจิตใจ ทำให้ใจเคลื่อน สิ่งที่เห็นผิดพลาด อันนี้ถือเป็นเรื่องปกติ ปกติมากๆสำหรับผู้ปฏิบัตินะ.....เอาไปเอามาก่อให้เกิดความเห็นว่าอุปทานไปซะ เหมารวมว่าสิ่งที่เห็นทั้งหมดไม่ใช่ความจริง.....แต่สิ่งที่คิดกันไม่ค่อยถึงเลยคือ อารมณ์ของตัวเองทรงไม่ดี นิวรณ์เข้าแทรก กิเลสเข้าแทรก ทำให้เทวบุตรมารได้ช่องเข้ามา พูดหมาเป็นแมว พูดหมูเป็นหมา สับสนไปหมด.....อันนี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ.....เป็นเรื่องที่เราต้องทรงอารมณ์ให้ดี.....

    คุณถือเป็นผู้ปฏิบัติได้ จะให้ดีเลยในครั้งแรกเป็นไปไม่ได้หลอกครับ ตามทันบ้าง ตามไม่ทันบ้าง มันเรื่องธรรมดา จะให้ตามทันหมดมันจะไปได้อย่างไร เราฝึกใหม่ ทรงอารมณ์ใหม่ ต่อให้ฝึกเก่าก็ยากอยู่ถ้าไม่ซักซ้อมอารมณ์ ทรงฌาน ให้เป็นปกติ ถ้าได้หมดตามทันหมดก็พระอรหันต์สิครับ แจ่มใส เพราะไม่มีกิเลส.....

    คุณถือเป็นผู้ปฏิบัติได้มาแล้ว สอบอารมณ์จนผ่าน ซักซ้อมอารมณ์ตามที่ครูฝึกสอนไว้ให้ดี ทรงอารมณ์ตามที่คุณรู้เรื่องราวของแม่คุณนั้นได้อย่างไร อย่างนั้นหละครับ ซักซ้อมไปเรื่อยๆ ก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ ภาพจะชัดขึ้นเรื่อยๆ นั่นหละครับ ถูกแล้วนะ.....

    คุณเคยผ่านมาแล้วคุณย่อมรู้ดีรู้ชัดว่าเป็นอย่างไร....ถ้ามันจะมีผิดบ้างก็ให้เข้าใจว่ามันเป็นปกติ เพราะเรายังมีกิเลส เรายังไม่ใช่พระอรหันต์นะ.....เท่านี้หละครับ แต่อย่าได้ละความเพียร ถ้าคุณจะเอาดีทางด้านนี้......

    จบการสอบสภาวะ ฝ่าย การปฏิบัติแบบเตวิชโช.......

    ............................................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2013
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ง่ายๆ ตัดทิ้ง ครับ

    เจออะไรมา เจอ นิมิต อะไรมา ก็ตัดทิ้งให้หมดครับ

    ตอนแรกๆ จะลำบากหน่อย เพราะ เผลอ สติ เมื่อไหร่ จิตส่งออกไปจับ อารมณ์ นิมิตต่างๆ ที่เข้ามาให้เห็น ถ้า สติ ตามไม่ทัน สติ กำลังไม่พอ จิตมันไปจับ นิมิต ไปแล้วครับ

    พอรู้ตัวเมื่อไหร่ ว่ากำลัง ดู นิมิต ต่างๆ อยู่ ให้ตัดทิ้งให้หมด แล้วกลับมาที่คำบริกรรม ฐานเดิมครับ

    ทำบ่อยๆ แล้วจะ ชำนาญเอง จะความคุม นิมิต ต่างๆ ได้เองครับ

    จะดูอะไร หรือ จะไม่ดูอะไร ก็จะแล้วแต่ใจเรา จิตเราตามต้องการ

    เพียงแต่ ช่วงแรกๆ เป็นใหม่ๆ อาจจะลำบาก เพราะไม่เคยเป็นเคยเจอมาก่อน

    พอหัดให้ชำนาญ ก็จะ ควบคุมได้เองครับ จขกท.


    ที่ไปเห็นพ่อแม่ นั้นก็เพราะ ตัวเอง ตั้งใจดูเอง ทดสอบเอง มันก็เห็นตามที่ตั้งใจ นั้นละครับ

    ส่วนเรื่อง นิมิตอื่นๆ ที่เข้ามาเอง ถ้าไม่ต้องการ ก็ตัดทิ้งให้หมด ครับ

    แล้วหาคำบริกรรมภาวนา นะครับ จขกท.


    ที่มันเห็นเพราะ ควบคุม สติ ไม่ดีพอครับ มีกำลัง สติไม่พอครับ

    เวลาเห็นภาพมา นะ เห็นนิมิต ต่างๆนะ อย่าไปดู ตามดู ครับ แต่ให้ตัดทิ้งครับ จขกท.

    แล้วหาคำบริกรรมภาวนา จะช่วยได้เยอะครับ อย่าให้หลุดจากคำ บริกรรมภาวนา นะครับ

    .

    ทำสมาธิ ดูใจตัวเอง อย่า ส่งออก ส่งจิตออกไปดูข้างนอก เช่น พวกส่งไปดูพ่อ ดูแม่ พวกนี้เรียก ส่งจิตออก

    ครูบาอาจารย์ แนะนำว่า อย่าส่งจิตออกนอก ครับ

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2013
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อย่าพึ่งรีบร้อน ชี้เรื่อง ไม่ใช่จริต ให้วางการปรารภว่า ไม่ใช่จริตไว้ก่อน ตะเอาไว้

    เสร็จแล้ว ก็ฝึกอย่างเดิม คือ เอาไปออกรู้ออกเห็นนั่นแหละ แต่ พยายามมุ่ง
    ไปที่ วัตถุที่สื่อเข้าหาธรรมได้ง่ายๆ ไม่ยาก

    เช่น เห็นแม่ ถ้าทำได้ ก็ทำอีก ออกไปเห็นอีก สมมติว่า เห็นแล้ว เรายังเผลอ
    เอาไปถามแม่อีก อันนี้ คือ อาการลังเลในมรรค ที่ตนทำ คนที่ไม่ลังเลสงสัย
    มรรคที่ตนทำ เขาจะไม่ไปถามเอากับแม่ ไม่ต้องไปถาม หรือไปบอก คนที่เรา
    เข้าไปส่อง ถ้าเมื่อไหร่ เรายังเอ่ยปากถาม เมื่อนั้นพึง ทราบว่า เราลังเล และ
    ลูบคลำศีล

    ที่นี้ ก็ ส่องไปเรื่อยๆ ส่องเงียบๆ สักแต่ว่าเห็น ไม่ต้องไปเล่า ไม่ต้องถาม ไม่ต้อง
    บอกว่า ท่านจะเจออะไร จะเป็นยังไง จะเจอกรรมอะไรไหม เราอย่าส่งจิตออก

    ถ้าไม่ส่งจิตออก เราจะไม่สำคัญตัวผิดว่าเป็นพระเจ้า ผู้ไถ่บาป ผลิกศาสนาเป็น
    พระมหาไถ่ ถ้าเราสำคัญผิดว่าเป็น พระมหาไถ่ เราก็จะ เถลเถไถมะไลถา บ้าง
    อาจจะดิ้นรนไปเยอร์มัน ไปเที่ยวปลดทุกข์ของคนนั้น คนนี้ วุ่นไปหมด แต่ก็
    ยังมานั่ง งง และ รอความตาย ศพกลายเป็นสีดำ อยู่ที่บ้านเพียงลำพังอยู่ดี

    พอเราไม่ส่งจิตออก มีความชำนิขำนาญในการส่อง ทีนี้ หากจะพิสูจน์การส่อง
    เพราะหากเราส่องๆมากๆ บางทีไม่ใช่การส่อง

    ตรงนี้ฟังดีๆนะ

    คือเรายังไม่ทันกำหนดจิตเลย แต่ จิตทะลึ่งเห็นนั่นเห็นนี้ไปแล้ว เห็นโดย
    ไม่ได้รำพึงจะเห็น ตรงนี้แหละ จะเป็น จุดตรวจสอบอารมณ์ธรรม ความ
    สำเร็จ

    หาก จิตทะลึ่งเห็นภาพอะไรก็ตาม โดยที่เราไม่ได้เจตนา รำพึงเห็น ให้เรา
    ตามเห็นว่า จิตทะลึ่งเห็นเอง คิดเอง เออเอง ส่องได้เอง มันเกิดได้ มัน
    พ้นอำนาจของเรา เพราะว่า มันเคยชิน จิตที่ชืนในการส่งออก มันก็เลย
    ส่งออกโดยไม่ปรึกษาหารือเราสักคำ

    พอเห็นเออ จิตมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเรา ตอนนี้แหละ หากมีทิฏฐิธรรม
    นี้รำพึงในจิต คุณ ส่องตัวเองเลย

    ส่องเข้ามาที่ตัวเองเลยนะว่า ตอนนี้ ทำอะไรอยู่ ใส่เสื้อสีอะไร นั่งหรือ
    ยืนหรือนอน หลับตา หรือลืมตา ต้องเป็นการ ส่องกลับเข้ามานะ อย่า
    ให้ จิตที่คิดไปเองอันเกิดจากเราจำได้หมายรู้ว่า เราคือเรา เราเมื่อเช้า
    ใส่เสื้อสุดเทห์ตัวโปรด เนี่ยะ จะพิสูจน์ ชักไส้ออกจากปล้องไง ถ้า
    ย้อนมาดูตัวเองได้ ก็พิจารณาไปเลย ขน เล็บ ฟัน หนัง เอน กระดูก
    ธาตุ4 มันเป็นยังไง

    " ขน เล็บ ฟัน หนัง เอน กระดูกธาตุ4 มันเป็นยังไง " จะเป็นการ ยกสิกขาบท
    ที่พระท่านชอบให้กันตอนบวช นี่ จุดเริ่มของการเป็น พระ เราทำหรือยัง เรา
    เพียรหรือยัง ถ้าเพียรแล้ว ก็ทำตรงนี้ให้มากๆ

    ทำจนกระทั่ง มันเห็นเอง โดยเราไม่เจตนา จะเห็น กายเรา แล้วก็ตรวจลง
    ไปอีกว่า เห็นเพราะอำนาจสมาธิเห็น(ธาตุ) หรือว่า เห็นเพราะนึกเอา(ขันธ์)

    ฝึกแล้วก็จะได้การ แยก "ธาตุ" กับ "ขันธ์"

    แล้วก็หมั่นพิจารณาว่า เออแหนะ เออแหนะ ตัวสัตว์ บุคคล เราเขา อยู่
    ตรงส่วนไหน อยู่กับ การเป็น "ธาตุ" หรือ หรือว่า อยู่กับ "ขันธ์" ความ
    เป็นตัวตน(สักกายทิฏฐิ) อยู่ตรงไหนน๊อ

    พอมาถึงตรงนี้ ก็จะ ลงคำสอนของพระเลย พระท่านว่า มโนยิทธิ กสิณ
    นี้เอาไว้ ตัดสักกายทิฏฐิ ให้กระเด็น !!!
     
  6. GLiKe

    GLiKe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +137
    ขอบคุณนะครับ คุณPataPee_ChangP

    ............. ใช่เลยครับผมอ่อนเรื่องการ ควบคุมการเห็น...เรื่องนี้สำคัญกับผมมาก....
    เวลาที่ผมทำสมาธิ ใจรุ้สึกเบาสบาย สงบ... ก็จะเห็นภาพ ภูเขา ทะเลหมอก รอบตัวไปหมด...จนมาคิดในใจว่า เราอยุ่ไหนเนี่ย..(แหน่ะ...ยังคิดไปด้วยได้อีก ระหว่างที่เห็น)

    ........... พออารมณ์สมาธิ นิ่งๆๆ ก็ไปอยุ่อีกที่หนึ่ง... คราวนี้ห็นมีเมฆ มีปราสาท รอมเต็มไปหมด...เหมือนอยุ่ในวัด ที่มีโบภ์ สวยๆๆ ก็ดูเงียบสงบดีเหมาะกับการมานั่งสมาธิดี....ภาพที่เห็นพวกนี้ไม่เคยเห็นที่ไหน หรือหนังสืออะไรเลย...ผมไม่อยากติดอยุ่ในนี้อ่ะครับ...สถานที่นั้นผมยังไม่รู้เลย ว่าเรียกว่าอะไร...

    ............ อ้าว คราวนี้บอกตัวเองว่า... เห็นอะไรก็เห็นไป ...ไม่สนใจหรอก... (ถึงตอนนี้สมาธิผม เห็นทั้งภาพ เห็นทั้งความคิดตัวเอง... แล้วมันจะสงบได้ยังไงเนี่ย)

    .......... ผมรู้สึกไม่ไหวแล้วที่จะต้องมาเห็นอะไรต่างๆๆ...จิตมันเหนื่อย ที่จะต้องมาคอยดูอะไรที่เราไม่อยากเห็น...สมองเราก็ได้รับอากาศน้อยอยุ่แล้ว...จากการหายใจเบามากๆ...

    ........ เอาไงดีละทีนี้...พอสวมมนต์สมาธิ วิธีของผมที่ทำได้ตอนนี้...ต้องนึกก่อนนั่งสมาธิว่าเราจะไปทำสมาธิที่ไหน... ด้วยความศัทธาในหลวงพ่อโต วัดบางพลีในใหญ่.... เอาละขอให้นั่งสมาธิแล้วไปอยุ่ในโบถ์ของหลวงพ่อโต อย่างเดียวแล้วกัน....ขอเห็นหลวงพ่อโต องค์เดียวพอแล้วครับ

    ....... แล้วผมก็ไปได้จริงๆๆ ด้วยครับ...เข้าไปนมัสการหลวงพ่อโต...แล้วนั่งอยุ่กลางโบถ์ คราวนี้ได้ยินเสียงหลวงพ่อโตด้วย..."ไม่มาซะนาน" เข้าหูข้างขวาชัดมาก....ผมตกใจเลย แต่ผมคุยด้วยไม่ได้ครับ..ก็ผมคนธรรมาดานิ...

    ........ตอนนี้ก็ยังปิดไม่ให้เห็นภาพ ไม่ได้อยุ่ดี...ขณะนั่งในโบถ์ ยังเห็นใบหน้าใครไม่รุ้ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง...ลอยไปมา.... ผมอยากมีสมาธิกลับไปเหมือนเดิม... อยากควบคุมมันได้ครับ....

    ....... ช่วยแนะนำผมด้วยครับผม...
     
  7. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    -.- มันเป็น มโนมยิทธิ ไงครับ จขกท ใช้อยู่

    ตัวเอง จิตตัวเองต้องการไป ไปอยุ่ในโบถ์ของหลวงพ่อโต มันก็เลยไปไงครับ -.-

    จะไม่ให้ไป ไม่ให้เห็น ก็ต้องควบคุม จิต ตัวเอง สติ ตัวเอง ความนึกคิดตัวเอง ก่อนครับ

    ส่วนเรื่องการ เห็น หรือ ไม่เห็นนั้น มีเรื่องของ จริต แต่ละคนที่สร้างมาครับ

    บางคน ปฏิบัติ ก็ไม่เห็นอะไรเลย

    บางคน ปฏิบัติ ก็เห็นนั้นเห็นนี่


    และที่สำคัญ ที่ จขกท เห็น ก็เพราะมันเป็น มโนมยิทธิ ครับ

    มโนมยิทธิ ว่าถือเป็นส่วนหนึ่งของอภิญญาสมาบัติ นะครับ จขกท.

    มโนมยิทธิ ฤทธิ์ที่สำเร็จได้ด้วยใจ


    .

    แนะนำ จขกท นะครับ

    มโนมยิทธิ ให้คุยกับ ครูฝึก มโนมยิทธิ โดยตรงที่บ้านสายลม ครับ

    จะแนะนำได้ถูกต้องครับ

    ที่บ้านสายลม มโนมยิทธิ มีคนเป็นเยอะแยะครับ รู้จริง ตอบได้จริงครับ


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2013
  8. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อย่าเข้าใจผิด เรื่องการ ควบคุมจิต ได้นะครับ

    เห็นว่า จิตนี้ควบคุมไม่ได้ อันนี้ เป็นสัมมาทิฏฐิ

    เห็น จิตควบคุมได้ อันนี้ เป็น มิจฉาทิฏฐิ

    จิตเราควบคุม สั่งการไม่ได้ แต่ เราบริหารได้

    ฟังให้ดีๆนะ ควบคุม กับ บริหารจัดการ ไม่เหมือนกัน

    ควบคุม คือ จิตต้องถูกกฏ ไม่เป็นอิสระ อยู่ภายใต้ การบังคับ สกัดธรรม
    เป็น ทาสคนทั้งโลก ต้องคอยไปยกเขา

    การบริหาร การจัดการ คือ จิตจะมีอิสระ แต่ความอิสระนั้น จะนำมาบริหาร
    เพื่อให้เกิดประโยชน์ ตามความสมควรแก่ธรรม ยุติธรรม มีสันติธรรม

    การบริหาร การจัดการ จะเกิดขึ้นได้ จะต้องรู้ จุดประสงค์ อธิษฐานจิตไว้ตรง
    ซึ่งในที่นี้คือ "นิพพาน"
     
  9. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    จากการอ่านสภาวะการปฏิบัติของคุณ ผมว่า คุณควรหยุดทางด้าน ทิพยจักษุญานก่อน....

    ให้ฐานด้านสมถะภาวะนา แข็งก่อน ค่อยไปต่ออันใหม่จะดีกว่า ดูแล้วจิตคุณไม่มีกำลัง...

    ฐานไม่แน่นพอ.....
     
  10. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ถูกนะ...เห็นด้วยครับ.....

    จิตมันไปชัดเจนเลย.....
     
  11. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    และขอบอก จขกท. ว่า

    ถ้าไม่ต้องการเห็น จริงๆ นะ

    จับภาพ พระพุทธรูป เพ่งภาพพระพุทธรูป เข้าไปครับ

    บริกรรมเข้าไป อย่าให้ขาด

    สติไม่เผลอ สติไม่ขาด ถ้ามันหลุดจากภาพพระพุทธรูป ได้ ไปเห็นสิ่งอื่นแทนได้ ให้มันรู้ไปครับ

    .

    กรรมฐาน 40 กอง

    เลือกมาใช้ได้เลยครับ

    .
     
  12. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    อาการเเบบเนี่ย หลายคนยังเข้าใจผิดกันอยู่. ว่า จริงๆมันเป็นผลดีหรือไม่ ถ้าหาก จขกท สังเกตุดีๆ มันจะเกิดหลังจากที่ จิตสงบระงับ เเละ กายสงบระงับ เรียกว่าปัสสัทธิ ตรงนี้มันชี้ชัดเเล้วว่า จิตกำลังจะตั้งมั่น ไม่ใช่ว่าจิตมันกำลังส่งออกนอก อย่างที่พวกศิษย์ที่จำคำอาจารย์มาพูดกัน เป็นเรื่องที่เข้าใจผิด จากการจำไม่หมด ถ้าให้ไปลองปฏิบัติกันเองเเล้วถ้าหากไม่เคยสัมผัสว่ากายกับจิตสงบระงับยังไง ร้อยทั้งร้อย ก็จะอธิบายกันไม่ถูก มันจะรู้สึกเเต่ตรงความมืดที่ดวงตา กับ ปิติ ที่มาเป็นละรอบ พอประทานชีพไปวันๆ.เท่านั้น (ซึ่งตรงนี้เรียกว่าจิตยังมีนิวรณ์เล่นงานอยู่.)เเต่จะทำให้ กาย กับ จิต สงบระงับเป็นไม่มี เมื่อทำไม่ได้ก็เข้าใจผิดว่า ผู้ที่มีนิมิตเกิดนั่น เค้าคงเป็นเเบบเรา ตัวเองไม่ควบคุมไม่ชำระจิตให้ปราศจากนิวรณ์เอง ไม่ยอมน้อมไปหาที่สงบกว่านั่น ซึ่งยังไม่ผ่านตรงนั้นจะเหมารวมว่าเค้าจะเป็นเเบบเรานั่นไม่ได้ นิมิตไม่ใช่อาการฟุ้งซ่าน ฉนั้น ถ้าจิตกับกายยังไม่สงบ(ปัสสัทธิ) ไม่มีทางที่จะเห็นนิมิตได้ ต้องลองไปสังเกตุใหม่ เเละ การที่จะทำให้นิมิตตั้งนานๆก็ไม่ง่ายเช่นกัน. ส่วนความคิดที่เกิดขึ้นมันเป็น วิจิกิจฉา ของคุณ สงสัยในกุศลธรรมมันก็จะดึงคุณไว้เท่านั้น เเละความสุข อะไรมันก็จะยังไม่เกิด คุณจะรู้สึกทุกข์เเละอึดอัดขึ้นมาเเทน (ปัญญาจะถ้อยลงมา) เพราะความสงสัยเป็นเหตุนั้น เเต่ที่ต้องระวังจริงๆคือคำบริกรรมว่า เห็นหนอๆ ของคุณ ที่มันไม่ช่วยให้เห็นหรือให้จิตตั้งมั่น เเต่มันจะฉุดดึงคุณลงมา
     
  13. GLiKe

    GLiKe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +137
    ขอบคุณมากเลยครับ....

    ....ฝึกกำลังทางใจ คงไปแค่นมัสการหลวงพ่อโต อย่างเดียว....เห็นมากว่านี้คงเกินกำลัง ....แล้วก็กลับมาส่องรูปและนามของตัวเอง..วันนนี้ละกิเลสอะไรไปบ้าง....ส่วนเรื่องที่ไม่ต้องการเห็น...แล้วยังเห็นอยู่ก็คงต้องปล่อยวางไป...อย่าไปยึดมันมาก...ตัดได้ตัด....

    ....ผมเข้าใจตัวเองอย่างนี้ครับผม...

    .... ผมเห็นชอบความเห็นทุกท่านมาเลยครับ...อนุโมทนาบุญด้วยนะครับ...สรุปผมได้หมดเลย...//แก้เป็น..สรุปข้อปัญหาตัวผมได้หมดเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2013
  14. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    หมายถึง ได้ทำ ชะมะ

    แต่ ได้ผล นี่ ยังถามเอาอยู่

    จริงๆ ไอ้ตอนได้ผล ท่านว่า จะไม่ถามเอาจากใคร และ จะไม่บอกใครด้วย
    เพราะว่า จุดที่น่าฟังกว่าเรื่องไหน มันเป็นเรื่องว่าด้วยการ "ทำ" ซึ่งไม่
    เกี่ยวอะไรกับการเป็นใคร ขอเพียงแต่ ได้สดับวิธีทำ แล้วนำไปสมาทาน

    ทุกคน ย่อมรู้ตามกันได้ เพราะรู้ตามได้จึงชื่อรู้อรรถ เพราะว่ารู้อรรถ
    จึงว่ารู้ธรรม

    เพราะว่า ธรรมนั้นไม่กุมจิตให้สำคัญตนว่าเหนือกว่า เสมอ หรือต่ำ
    ก็ชื่อว่าเห็น ธรรมดับ

    ธรรมไม่ดับ ก็ไม่ชื่อว่า เห็นการพ้นโดยรอบ

    เมื่อ เห็นอาการพ้นโดยรอบ จึงเข้าใจ ว่า ต้นทางปฏิบัติจริงๆ มันอยู่ตรงนี้

    .................พึ่งเริ่ม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2013
  15. GLiKe

    GLiKe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +137
    ผมยังทำไม่ได้ครับ...ต้องขอโทษที่ใช้คำพูดผิด..

    .....ผมรวบรวมจากที่อ่านบทความวันนี้ครับผม...และเข้าใจตามนั้น...
     
  16. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    งืมๆ ก็กล่าวกัน การกล่าวส่วนผล เอาไว้เป็น เทคนิค

    คือ ถ้าเราเป็นพระ เราจะสบายกว่านี้ เพราะ พระวินัยจะมีให้ถือ

    การกล่าวล่วงไปส่วนผล หากเผลอกล่าวเข้า โดยที่ยังฝึก จะอาบัติปาราชิก กันเลยทีเดียว

    ก็เลย ต้องซ้อม เอาสติ ระลึกกั้น กันไว้ก่อน ตั้งแต่ตอนเป็น โคม

    เมื่อไหร่ได้บวชเป็นพระ ก็ปล่อย ลอย ได้สบาย ไม่อึดอัด ไม่พลาด
     
  17. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ที่นี้ คุณสังเกต วิธีธรรมของพระพุทธองค์ไว้หน่อย เนาะ

    เราจะเห็นว่า " ธรรมปฏิบัตินั้นเป็นเรื่องเรียบง่าย ต้องมีความเรียบ และ ง่าย "

    ในขณะที่ ภายใต้ความเรียบง่ายนั้น อาจจะมีความผิสดาร ทะลุเขา จักรวาล
    ต่างๆ นานา ว่ากันไปตาม จริต

    จริตนั้น มีอย่างไร พระท่านว่า ให้เอามาบริหาร

    ไม่ใช่เอามาตั้งธง เพื่อปฏิเสธ

    " ความเรียบง่ายของการปฏิบัติธรรม " คุณจะเห็นว่า พ้นกามตัณหา
    ภวตัณหา และ วิภวตัณหา อยู่ด้วยดี

    อันนี้เลย เตือนตั้งแต่ตอนต้นว่า อย่ารีบร้อนสรุปเรื่อง จริต มันอยู่ที่
    เราเอามาบริหารให้เกิดความเรียบง่าย พ้นตัณหา3 ได้รอบไหม ก็ว่ากันไป
     
  18. GLiKe

    GLiKe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +137
    ใช่เลยครับผม...

    ... ผมเริ่มต้นฝึกเองครับ ตัวผมยังหาไม้มาเหลาทำโครงโคมอยุ่....... มีคำวาจา จาบจ้วงขออโหสิด้วยนะครับ...
     
  19. พระ ธรรมะ

    พระ ธรรมะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2013
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +416
    สุดท้าย มันก้คือทำไปเรื่อยๆ อย่าคิดทำอะไรแผลงๆ ก้พอ ตอนแรกๆมันเกิดมันก้เป็นแบบนี้แหละ ไม่มีใครคุมมันได้ตั้งแต่ต้น เดี๋ยวอารมณ์นี้ดับไป มันก้เปลี่ยน แล้วก้จะค่อยๆใช้มันเป็นเอง มันเป็นโลกีย์ อารมณ์นี้เปลี่ยน มันก้เปลี่ยนตาม แต่ควรใช้ช่วงเวลานี้ ฝึกหัด ศึกษา สิ่งนี้ ให้มากๆ แต่ให้เข้าใจว่า โลกีย์ (โลกไม่เที่ยง) เพื่องจะไม่ให้ จิตหลงในสิ่งนี้
     
  20. PataPee_ChangP

    PataPee_ChangP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +211
    อ่านๆมาพอจะเข้าใจ เจ้าของกระทู้แล้วคะ คือเห็นหนะเห็นได้ ควบคุมก็พอได้ แต่เรื่องของเรื่องอยากจะ เปิดปิดสวิชได้เหมือนจอทีวี ใช่ไหมคะ
    ดวงตาที่สามของมนุษย์ไม่สามารถควบคุมได้ในสภาพของจิตที่สั่นไหว คือจิตไม่นิ่งนั่นเองคะ
    อีกอย่างถ้าเปิดดวงตาที่สามของตนแล้ว จะเห็นตลอดเวลาทันทีที่หลับตา ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นไหม แต่เราเป็นแบบนี้นะคะ ดังนั้นแล้วให้เราก้าวข้ามเรื่องเปิดปิด ไปเลยคะ ตราบใดที่ยังหายใจอยู่เราก็จะเห็น
    เรามาว่าด้วยเรื่องควบคุมดีกว่านะคะ ตอนแรกๆที่เราใช้ดวงตาที่สามของเราเป็นเหมือนคุณคะคือเห็นอะไรเต็มไปหมด เราเรียกขั้นนี้ว่า ขั้นทะลัก พูดตามความเข้าใจของตนเองคะ เหมือนว่าวันเวลาผ่านไปเรื่อยๆกี่แสนล้านวินาทีก็ไม่รู้ มีผู้ที่เกี่ยวข้องกับเราทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งจิตเก่าจิตใหม่ของเรา ดวงตาที่สามมของเราซึ่งยังถูกผนึกอยู่ครั้งเมื่อเรายังไม่มีร่างขับเคลื่อน (เป็นวุ้นอยู่นั่นเอง).เขาเก็บผนึกทุกสิ่งทุกอย่งไว้ให้เรา แล้วพอถึงเวลาที่เรากำหนดให้เราได้ระลึกเห็นได้ ข้อมูลเหล่านั้นก็ทะลักออกมาไม่เป็นกระบวนคะ เหมือนเด็กวิ่งแย่งกันเข้าห้องเรียน เราต้องมาจัดระเบียบ ต้องหาวิธีเฉพาะคะ
    ก่อนอื่นที่เราทำคือนั่นแหละคะ อยากบอกอะไรกับเราอยากให้เราเห็นอะไร บอกมาเห็นมาให้หมด และให้จิตเราว่างเปล่าไม่ต้องมีเรื่องอะไรเลย เมื่อถึงระยะหนึ่งของการนั่งสมาธิเราจะลอยอยู่บนอากาศ นั่นแหละคะจะเป็นช่วงผ่านการทะลักของข้อมูล
    เร็วช้าขึ้นอยู่กับแต่ละคน บางคนเรื่องของคนอื่นไม่ใช่ของตนเองก็อยากรู้ อันนี้ก็จะช้าหน่อยเพราะจะทะลักเยอะคะ
    ถ้าจะคุยกันต่อ ขอเป็นส่งทางpmก็แล้วกันนะคะ

    ขอให้ทุกท่านพบวิถีและหนทางแห่งตนทุกท่านคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...