เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    จากหน้า 36 เมื่อฉันกล่าวว่า จิตวิญญาณของเธอล่องลอยเข้า - ออกนั้น เธอต้องเข้าใจว่าจิตวิญญาณมีสภาวะเป็นพลังงาน ดังนั้นมันจึงไม่ได้มีสภาพอยู่เป็นตัวตนหรือประจำที่ทั้งกลุ่มก้อนเหมือนร่างกายของเธอ

    ไม่ทราบว่าจิตวิญญาณที่มีสภาวะเป็นพลังงานในที่นี้ นอกจากมีคุณสมบัติการถ่ายทอดด้านอารมณ์ จินตนาการ ความรู้สึกนึกคิดแล้ว จิตวิญญาณมีคุณสมบัติทางพลังงานตามหลักวิทยาศาสตร์ด้วยหรือไม่ เช่น มีพลังงานความร้อน, แสง, เสียง ฯลฯ แล้วจิตวิญญาณ 1 ดวง สามารถรวมตัวกับจิตวิญญาณดวงอื่นได้หรือไม่? ถ้ารวมกันได้เค้าจะรวมตัวกันด้วยวิธีใด?
    (b-evil)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2007
  2. Chalhoei

    Chalhoei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +3,166
    ขอบคุณอาจารย์อย่างสูงเลยครับที่ย้ำเตือนตรงนี้บ่อยๆ เพราะไม่มั่นใจตนเองว่าใช่ภาระนี้หรือเปล่า ตอนนี้ ปิ๊ง แล้วครับ ว่า ความรู้นึกคิดลุ่มลึกอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน คืออะไร ก็เป็นปนิธานที่เลือกลงมาเพื่อภาระนี้ ก็เพื่อมวลเวไนยครับ
    ธรรมชาติของชาติภพ บทที่ 2 แสวงหาผู้รู้-ผู้ตอบคำถาม
    หน้าที่ 11
    เมื่อมีตั้งตนเป็น"ผู้รู้" หรือ"ผู้ตอบคำถาม" พวกเขาจะดึงดูดพวกเธอจำนวนไม่น้อยที่ไม่แสวงหาตำตอบจากภายในด้วยตนเอง เธอควรตระหนักว่าเธอกำลังแสวงหาความง่ายโดยไม่ต้องการใช้ความเพียรส่วนตน มันจะทำให้ผู้ที่ตั้งตนเป็น"ผู้รู้" หรือ"ผู้ตอบคำถาม"รวมทั้งเธอทั้งหลายที่แสวงหาความง่ายลงอยด้วยการก่อเกิด"ลัทธิความเชื่อ" ฉันได้กล่าวมาแล้วว่าเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณคือการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ การตั้งตนเป็น"ผู้รู้"หรือ"ผู้ตอบคำถาม" และการทำตนเป็น"ผู้ตาม" นอกจากจะไม่อาจช่วยให้เกิดการถ่ายทอดความรู้ที่แจริงแล้ว ยังทำให้พวกเธอทั้งหมดตกกลับไปสู่ความเชื่อส่วนบุคคลและส่วนรวม
    ขออาจารย์ยกตัวอย่างด้วยครับ ? เพราะตอนนี้ก็ระวังตัวว่าจะถลำไปกลับลัทธิความเชื่อต่างๆเพราะอิทธิฤทธิ์ใครๆก็อยากมี อยากเป็น อยากได้ แต่ก็กลัวจิตเราไปหลงและไม่ได้ความรู้เพิ่มเพราะน้ำย่อมเต็มแก้วแล้ว
    บทที่ 3 เธอคืออะไร
    หน้า 24 จากบรรทัดที่ 8-10 จากล่าง (ข้อนี้ขอซ้ำกับคุณขจรวรรณ ครับ)
    อารมณ์จึงไม่ใช่ปัจจัยที่เธอจะต้องเก็บกดหรือทำให้สลายไปแต่เธอจะต้องรู้จักใช้อารมณ์หรือความรู้เพื่อรักษาความสมดุลย์ให้เกิดขึ้นในโลกและสังคมที่เธออยู่
    ตรงนี้มีวิธีที่จะรักษาสมดุลย์ยังไงครับ เพราะบางครั้งมีผู้ที่ทำให้เราไม่พอใจ เราก็เก็บไว้ในใจ บางครั้งนับหนึ่งถึงสิบก็แล้วสวดมนต์ก็แล้วจิตก็ยังไม่ยอมแถมจิตก็ยังรังเกียจเค้าอีก?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2007
  3. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ขอเพิ่มเติมนะคะ คือพวกเราจะสามารถกลับคืนสู่สภาวะเดิมของจิตวิญญาณได้อย่างไรคะ.. ขอบคุณค่ะ..
     
  4. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    การรักษาความสมดุลย์ของโลก (ธรรมชาติของชาติภพ-บทที่ 3 หน้า 24)

    การทำล้างที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ เช่น สงคราม การทำลายภูเขา การก่อให้เกิดมลพิษ และการก่อสร้างอื่นๆที่นำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย ไม่ได้เป็นการรักษาความสมดุลย์ของโลก หากแต่ว่าเมื่อมีการก่อสร้างหรือการนำทรัพยากรของโลกไปใช้จนเกินความพอดี โลกจะปรับสภาพเพื่อรักษาความสมดุลย์ และการปรับสภาพของโลกมักจะปรากฏเสมือนการทำลายล้าง เช่น Tsunami พายุหมุน Hurricane Tornado Earthquake น้ำท่วม เป็นต้น แต่หลังจากภัยธรรมชาติเหล่านี้สิ้นสุดลง เราจะพบว่าภาวะที่เราเรียกว่าภัยพิบัติจะปรับสภาพของโลกให้กลับคืนสู่ความสมดุลย์ในที่สุด

    บางประเทศในโลกปัจจุบันเผชิญกับปัญหาที่พวกเขาเรียกว่าประชากรล้นโลก แต่แท้จริงแล้วบางประเทศในโลกก็กำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนประชากร บางภูมิภาคของโลกเผชิญกับความแห้งแล้ง บางภูมิภาคก็เผชิญกับน้ำท่วม ความสมดุลย์ของโลกเป็นความสมดุลย์ในภาพรวม

    เชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ที่มนุษย์ไม่เคยรู้จัก ไม่ได้เป็นสิ่งที่โลกไม่เคยมีมาก่อน หากแต่เป็นสิ่งที่มีมาพร้อมกับโลก และมีอยู่ในร่างกายของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย รวมทั้งมนุษย์ แต่มนุษย์เพิ่งจะค้นพบ ปัจจัยที่ก่อให้เกิิดโรค-ไม่ใช่เชื้อโรค หรือปัจจัยจากภายนอกที่บุกรุกเข้าไปสู่ร่างกาย หากแต่เกิดจากอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่ทำให้ร่างกายขาดความสมดุลย์ ทำให้การแบ่งแยกเซลล์ การเพิ่มและลดปริมาณของหน่วยต่างๆในร่างกายเกิดจาการแปลงสภาวะที่ขาดความพอดี ทำให้ร่างกายขาดความสมดุลย์

    ภาวะโรคร้อน การละลายของน้ำแข็งในบริเวณขั้วโลกเหนือ ภาวะการทะลุของชั้น ozone การสูญพันธุ์ของสัตว์นานาชนิดในโลก ล้วนเป็นภาวะที่โลกพยายามปรับสภาพให้คืนสู่ความสมดุลย์

    ไม่ว่ามนุษย์จะทำลายหรือทำให้โลกขาดความสมดุลย์เพียงใด โลกก็จะปรับตนเองคืนสู่สภาพความสมดุลย์ในที่สุด แต่ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์จะไม่ต้องเผชิญกับสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าภัยพิบัติ มนุษย์จะต้องเผชิญกับภาวะที่มนุษย์เรียกว่าภัยพิบัติที่เกิดจากการปรับสภาพของโลก มนุษย์มักจะเข้าใจว่าภัยพิบัติจะทำให้โลกถึงจุดจบ แต่โลกจะไม่เผชิญกับภัยพิบัติที่เกิดจากการทำลายของมนุษย์ เพราะโลกจะไม่ทำลายตนเองหรือปรับสภาพด้วยการไปสู่ภาวะที่มนุษย์เรียกว่าจุดจบของโลก หากแต่โลกจะปรับสภาพให้คืนสู่ความสมดุลย์ได้ในที่สุด และการปรับสภาพของโลกก็ย่อมไม่นำพามนุษย์ไปสู่จุดจบด้วยเช่นกัน เพราะโลกจะคงความสมดุลย์อยู่ได้ด้วยการมีมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของโลก การจดจ่อกับภัยพิบัติของกลุ่มชนเป็นปัจจัยเหนี่ยวนำให้ภัยพิบัติเกิดขึ้นในโลกภูมิภาคหนึ่งๆของโลก

    เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้นในภูมิภาคหนึ่งๆของโลก เราจะเห็นได้ว่าโลกไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงหรือเคลื่อนไหวทางกายภาพ เช่น แกนของโลกเคลื่อนที่ไปจากจุดเดิม อุณหภูมิของโลกเปลี่ยนแปลง ระดับน้ำทะเลเปลี่ยนแปลง เท่านั้น แต่มนุษย์โลกก็จะมีการเคลื่อนไหวตามไปด้วย เช่น การย้ายถิ่นฐาน การส่งความช่วยเหลือและจุนเจือกันซึ่งเป็นไปอย่างกว้างขวางทั่วโลก

    ความเป็นไปทั้งหมดเป็นภาพสะท้อนภาวะของจิตวิญญาณซึ่งพัฒนาเป็นระบบเครือข่าย ที่ฉายออกมาสู่โลกทางกายภาพ จิตวิญญาณที่เรียกได้ว่าพัฒนาไปสู่ภาวะที่สูงสุดจะเกิื้อกูลจิตวิญญาณที่ยังอยู่ในภาวะที่เรียกได้ว่าต่ำสุดเสมอ แต่จิตวิญญาณที่พัฒนาไปสู่ภาวะสูงสุดก็ไม่ได้จากระบบโลกหรือระบบสุริยจักรวาลนี้ไปทั้งหมด หากแต่ขยายตัวและบางส่วนก็ยังคงเกื้อกูลจิตวิญญาณอื่นๆอยู่เสมอ เป็นวงจรที่ไม่มีวันสิ้นสุด (rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2008
  5. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765

    แหม น่ารักจริงๆเลยมายด์ ขอให้ความตั้งใจสัมฤทธิ์ผลด้วยเน้อ สาธุ (bb-flower

    เมื่อไหร่จะสอบเสร็จซะทีล่ะ รอคนมากินตับ อิอิ
     
  6. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    คนที่ไวเนี่ยพี่เฉลยคนเดียวล่ะจ้าพี่ขจรวรรณ นกเลยพลอยได้ฟังไปด้วย เมื่อคืนฟังจนนอนหลับปุ๋ยเลย

    เห็นพี่ขจรวรรณลุยอ่านไปหลายหน้าแล้ว ว้า ตามไม่ทันเลยงั้นขอลุยอ่านด้วยคน
     
  7. ชมภูเขา

    ชมภูเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2007
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +526
    หวัดดีน้องมายด์ แวบเดียวก็ทำให้ที่นี่มีอะไรดีๆมาเป็นกอง

    หนังสือขายดีพวกเราก็ดีใจกับพี่นักเขียนเป็นอันดับแรก
    นั่นหมายถึงว่ามีคนได้สัมผัสกับคำสอนของท่านอาจารย์
    ได้มากขึ้น อาจจะไม่ได้หมายความว่าเป็นผลสำเร็จอย่างอื่น
    นั่นอาจจะเป็นจุดมุ่งหมายเดียวที่พี่นักเขียนต้องการเผยแพร่
    คำสอนของท่านอาจารย์สู่พวกเราทุกคนและมากขึ้น
    มีความเชื่อพิเศษส่วนตัวว่า "...คำสอนของท่านอาจารย์
    จะค่อยๆทอแสงอ่อนๆ และพร้อมจะสาดแสงอันแรงกล้า
    ชโลมหายหลากดวงจิตวิญญานให้งดงามดังเหล่ามวลดอกไม้รอรับแสงแรกของวันใหม่...วันนั้นคือวันที่พวกเรารอคอย"

    เป็นกำลังใจให้เด็กน้อยคนนี้นา...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    ไม่รู้ทำไม เริ่มหยิบหนังสือธรรมชาติของชาติภพมาอ่าน ไม่อยากอ่านแบบหน้าแรกไปหน้าสุดท้าย แต่อยากอ่านหน้าสุดท้ายไล่มาหน้าแรก ???

    หน้า 241 การแบ่งภาคตัวตนในยามตื่นและตัวตนในความฝันไม่ใช่สิ่งที่ไร้เหตุผล และก็ไม่ใช่อำนาจประหลาดที่บังคับให้เธอเป็นไปเช่นนั้นเธอแยกตัวตนของเธอในขณะนี้กับตัวตนในฝันเพราะระดับของพัฒนาการทางจิตวิญญาณของเธอเอง ระดับของพัฒนาการของเธอแต่ละคนแตกต่างกัน แม้ในขณะที่เขาตื่นอยู่ในแต่ละวันของชีวิต-บางคนเดินทางไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงโลกอื่นโดยแหวกว่ายไปสู่กระแสจิตกระแสอื่นอยู่เป็นประจำ และบางครั้งก็มี"ปลาประหลาด"ผุดขึ้นมาจากกระแสดังกล่าว

    เพิ่งรู้สึกเมื่อไม่นานมานี้เอง ว่าตัวตนเราในขณะนี้ ตัวตนเราในขณะอื่น ต่างดำเนินไปพร้อมๆกัน
    มีความฝันที่ตัวเราได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ไม่ได้เจอกันและจากกันไปนานมากแล้ว
    ถ้าเป็นตัวตนในปัจจุบันก็นับว่าแต่ละคนมีเส้นทางที่แยกออกไปแทบไม่มีโอกาสมาเจอกันเลยก็ว่าได้
    แต่ในความฝันแต่ละครั้งแต่ละคนกับดำเนินไปเหมือนปกติเหมือนเป็นอีกทางเลือกหนึ่งตัวตนหนึ่งของเรา
    ความรู้สึกมันเลยชัดเจนขึ้นมาถึงหลายหลายทางเลือกของตัวตนของเรา
     
  9. oakpr

    oakpr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +264
    ขอบคุณอย่างจริงใจครับ

    ขอบคุณมาก ๆ ครับ ที่ทุกท่านช่วยกันเผยแพร่นะครับขอบคุณอย่างจริงใจครับ
    027461004-6
     
  10. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    สภาวะที่แท้จริงของต้นกำเนิดจิตวิญญาณ

    สภาวะแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดเป็นสภาะวะที่อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดเป็นไปตามความรู้อันเป็นของกลางของสากลโลก หรือเป็นไปตามองค์ความรู้ของจักรวาล ไม่ใช่คล้อยตามความเชื่อส่วนบุคคลหรือความเชื่อส่วนกลุ่มชน และเป็นสภาวะแห่งอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่เต็มไปด้วยการสร้างสรรค์ ไม่ใช่ทำลายล้าง สภาวะแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดตั้งอยู่ในความเชื่อถือในธรรมชาติ เชื่อถือในความรักอันปราศจากเงื่อนไขและการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เชื่อถือในความสมบูรณ์พูนสุข จิตวิญญาณทุกหน่วยที่มาถือกำเนิดเป็นสิ่งมีชีวิต รวมทั้งมนุษย์ได้รับพรหรือได้รับพลังอำนาจที่เสมอเหมือนกับคุณสมบัติของต้นกำเนิดทุกประการ

    แต่มนุษย์มักมีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่ลบ ความเชื่อในทางที่ผิด ซึ่งทำให้มนุษย์ขาดความรักอันปราศจากเงื่อนไข ขาดความเชื่อถือในธรรมชาติ พยายามเอาชนะธรรมชาติ ขาดศรัทธาในจิตวิญญาณของตนเอง ขาดความเชื่อถือในความสมบูรณ์พูนสุข การที่มนุษย์ไม่ไว้ใจ-ไม่ศรัทธาในมนุษย์ด้วยกัน สะท้อนให้เห็นถึงการที่มนุษย์ไม่ไว้ใจ-ไม่ศรัทธาในจิตวิญญาณซึ่งมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

    มนุษย์บางคนหลงทางไปไกล นอกจากจะไม่ไว้ใจมนุษย์ด้วยกันและไม่ตระหนักในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของจิตวิญญาณแล้ว ยังเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นเพื่อประโยชน์สุขส่วนตน เพราะคิดว่าหากไม่ทำเช่นนั้น ตนเองจะไม่ได้รับการช่วยเหลือเกื้อกูลจากผู้ใด หรือไม่ต้องการได้รับการช่วยเหลือเกื้อกูลจากผู้ใด ซึ่งตามธรรมชาติความเป็นจริง ยิ่งมนุษย์คิดเอาประโยชน์สุขใส่ตนแต่ถ่ายเดียวมากเท่าไร จิตวิญญาณของเขาก็ห่างไกลความสมบูรณ์พูนสุข และห่างไกลอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่สร้างสรรค์ และห่างไกลความรู้มากเท่านั้น

    เสมือนใบไม้ที่ไม่ได้ตระหนักว่า ต้นไม้ทั้งต้น ราก-ใบและดอก-ผล ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกับต้นไม้ที่สนับสนุนมัน หากใบไม้ใบนั้นพยายามเอาตัวรอดแต่เพียงใบเดียวอย่างโดดเดี่ยว มันก็ร่วงหล่นหรือปลิดตนเองออกจากต้นไม้ไปก่อนที่มันจะมีความพร้อม ทำให้มันไม่ได้รับการสนับสนุนจากต้นไม้อีกต่อไป แต่ถ้าหากใบไม้ใบนั้นตระหนักได้ในการได้รับการสนับสนุนจากต้นไม้ทั้งต้น จากราก-ใบและดอก-ผลส่วนอื่นๆ ในที่สุดมันจะเต็มไปด้วยความพร้อม แม้จะร่วงหล่นจากต้นไม้ไป มันก็จะเจริญงอกงามเป็นต้นไม้ต้นใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ ความพร้อมของใบไม้เปรียบได้กับความรู้ หรือความเชื่อที่เปลี่ยนเป็นความรู้

    มนุษย์ที่มีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่ลบ มักเป็นผู้ที่ไม่แสวงหาความรู้ และเชื่อว่าความเชื่อในทางที่ผิดของตนคือความรู้ที่แท้จริง ความคิดดังกล่าวมักนำพาให้เขาห่างไกลจากภาวะของจิตวิญญาณต้นกำเนิดไปไกลยิ่งขึ้นไปอีก

    เราอาจจะตระหนักได้ยากว่าความเชื่อในทางที่ผิดของเราไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริง แต่เราจะตระหนักได้ไม่ยากว่าอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเราห่างไกลจากภาวะของจิตวิญญาณต้นกำเนิดไปไกลเพียงใด ด้วยการสำรวจว่าเรากำลังมีความรู้สึกที่ดีอยู่หรือไม่ เรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ชีวิตในแง่ลบอยู่หรือไม่ หากเรากำลังมีความรู้สึกที่ไม่ดี และกำลังเผชิญกับสถานการณ์ชีวิตที่ตกต่ำ สถานการณ์ชีวิตในแง่ลบ กำลังเผชิญกับสถานภาพที่ขัดสน สัมพันธภาพที่ไม่ดี หรือ สุขภาพร่างกายที่อ่อนแอเจ็บป่วย เราควรจะตระหนักได้ว่า เรากำลังมีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่ห่างไกลไปจากภาวะของต้นกำเนิด ที่ควรจะเต็มไปด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่ดี สร้างสรรค์ เต็มไปด้วยความสมบูรณ์พูนสุข ความไว้วางใจ ความเชื่อถือในสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ชีวิตทั้งหมด อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่ดีย่อมเหนี่ยวนำประสบการณ์ชีวิตในแง่บวกและความสมบูรณ์พูนสุขมาสู่ชีวิตเสมอ

    ภาวะของจิตวิญญาณต้นกำเนิด ยังคงเต็มไปด้วยความใฝ่รู้ต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด แม้แต่ท่านอาจารย์อนาลัย ท่านก็กล่าวว่า ท่านยังคงแสวงหาความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติความเป็นจริงของจักรวาล ซึ่งขยายตัวออกไปอีกอย่างไม่เคยหยุดยั้ง ดังนั้นการแสวงหาความรู้ของท่านก็จะไม่มีวันสิ้นสุดเช่นกัน

    เราทั้งหลายจะสามารถกลับคืนสู่สภาวะต้นกำเนิดของจิตวิญญาณได้ ด้วยการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ (rose)

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับสภาวะเหล่านี้ไว้ในหนังสือ อมตะแห่งจิตวิญญาณ-ภาคต้น บทที่ 2 มิติและหน้าที่ในปัจจุบัน-ของฉัน มิติและหน้าที่ในอนาคต-ของเธอ (หน้า 7)(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2007
  11. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    จิตวิญญาณคือพลังงาน พลังงานคือจิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณไม่ได้มีคุณสมบัติในการถ่ายทอดด้านอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดนะคะ แต่มีคุณสมบัติในการถ่ายทอดข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดค่ะ (คุณน้องขจรวรรณ อาจจะเพียงพิมพ์คำว่าด้วยผิดไปเป็นคำว่าด้าน แต่ทำให้ความหมายผิดไปด้วยน่ะค่ะ)

    จิตวิญญาณคือพลังงาน พลังงานคือจิตวิญญาณ
    จิตวิญญาณแปลงสภาะจากการเป็นพลังงาน เป็น สสาร และ
    จิตวิญญาณก็แปลงสภาวะจากการเป็นสสาร กลับเป็นพลังงานได้เช่นกัน


    ดังนั้นจิตวิญญาณมีคุณสมบัติเช่นเดียวกันกับพลังงานตามหลักวิทยาศาสตร์บางส่วนที่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบแล้ว เช่น ความร้อน แสง เสียง ค่ะ ตามธรรมชาติความเป็นจริงแล้วเรา เราทุกคนมีประสาทสัมผัสที่หก หรือประสาทสัมผัสภายในที่ทำให้เราสัมผัสกับพลังงาน หรือสัมผัสกับจิตวิญญาณได้เสมอ

    ในขณะที่เราสนทนากันและใช้คำพูด หรือใช้ตัวอักษรเป็นสัญญลักษณ์ในการถ่ายทอดข้อมูลความรู้สู่กันและกัน พลังงาน หรือจิตวิญญาณ หรือข้อมูลความรู้และความทรงจำก็ถูกถ่ายทอดไปด้วยพร้อมๆกันในอีกระดับหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เป็นสัญญลักษณ์ แต่เป็นอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดโดยตรง จะเรียกภาวะนี้ว่าเป็นภาพภายใน เป็นเสียงภายใน แสงภายใน หรือเป็นความร้อนภายในก็คงไม่ผิดค่ะ ซึ่งเป็นพลังงานที่วัดไม่ได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์

    ภาพภายในเป็นสิ่งที่เราเข้าใจได้ไม่ยาก เพราะเมื่อมีบทสนทนาเกิดขึ้น เราเกิดมโนภาพและเสียงภายในเสมออย่างเป็นอัตโนมัติ แสงภายในคือปัญญา เพราะเมื่อเราได้สนทนากันและทำให้เรามีความรู้ ความเข้าใจแตกฉานขึ้น เราจะตระหนักได้ถึงความสว่างภายใน ส่วนความร้อน-บทสนทนาบางครั้งก่อให้เกิดความรู้สึกเอื้ออาทร ความรัก ความอบอุ่น ที่นอกเหนืออุณหภูมิทางกายภาพ แต่เราก็เรียกมันว่าความอบอุ่น เหล่านี้เป็นความร้อนในแง่บวกก็ว่าได้

    แต่ถ้าหากบทสนทนาก่อให้เกิดความโกรธ ความโมโหโทโส ก็เรียกได้ว่ามันก่อให้เกิดความร้อนในแง่ลบ ซึ่งเราจะรู้สึกถึงความร้อนที่ว่านี้ได้ไม่น้อยทีเดียว หากใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์จับคลื่นความร้อนที่ปรากฏในร่างกาย ในสมอง ซึ่งเกิดจากความร้อนในแง่บวกแง่ลบที่พี่นักเขียนกำลังกล่าวถึงนี้ ก็จับได้ วัดได้ เช่นอุปกรณ์ Ultrasound เป็นต้น แต่การวัดพลังงานของจิตวิญญาณก็ยังเป็นสิ่งที่มีจุดบอดทางวิทยาศาสตร์อีกมาก เพราะวิทยาศาสตร์เน้นแต่การวัดและมาตรวัดที่เป็นกายภาพ และรู้เห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าเท่านั้น ซึ่งตามธรรมชาติแล้วพลังงานของจิตวิญญาณวัดได้ รู้เห็นได้อีกมากมายนอกเหนือประสาทสัมผัสทั้งห้า ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าหลักวิทยาศาสตร์ยังแคบและจำกัดอยู่มาก เมื่อเปรียบกับพลังงานและความเป็นไปได้ของจิตวิญญาณ หากจะเอามาตรวัดอันจำกัดไปวัดสิ่งที่มีขนาด ปริมาณ ปริมาตร กว้างไกลมหาศาล มาตรวัดนั้นๆก็ย่อมใช้การไม่ได้

    คำว่าพลังงานซึ่งเกี่ยวพันกับจิตวิญญาณ จึงเป็นรูปของพลังงานที่มีคุณสมบัติอื่นๆอีกมากที่นักวิทยาศาสตร์ยังค้นไม่พบ และวัดไม่ได้

    จิตวิญญาณไม่ได้เป็นดวง ไม่มีหน่วยนับ และไม่ได้มีสัณฐานจำกัดค่ะ
    ท่านอาจารย์อนาลัยเปรียบจิตวิญญาณกับลมหายใจ ซึ่งผ่านเข้าออกร่างกายของเราทุกร่าง ลมหายใจของ Einstein ไม่ได้เป็นของเขา เมื่อเขาหายใจออก มันก็กลายเป็นของกลางที่ผ่านเข้า - ออกรูปกายไม่รู้อีกกี่รูปกายมาตราบจนทุกวันนี้ ณ วันนี้เราก็กำลังหายใจเอาลมหายใจบางส่วนที่เคยเป็นลมหายใจที่ผ่านรูปกายของ Einstein ด้วยเช่นกัน แล้วมันก็จากรูปกายของเราไปอีก สู่รูปกายอื่นๆต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

    พี่นักเขียนขอให้คุณน้องขจรวรรณลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ ด้วยการนำเอาความหมายของจิตวิญญาณที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ มาจดจ่อและนำไปพิจารณา และตอบคำถามของตนเองที่ว่า

    จิตวิญญาณสามารถรวมตัวกับจิตวิญญาณดวงอื่นได้หรือไม่?
    ถ้ารวมกันได้เค้าจะรวมตัวกันด้วยวิธีใด?


    ความหมายของจิตวิญญาณที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ :
    จิตวิญญาณคือความรู้
    ความรู้คือจิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณคือ ข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ
    ที่ถ่ายทอดได้ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิด


    ลองตอบคำถามตนเองโดยใช้คำจำกัดความหรือความหมายเหล่านี้ก่อนนะคะ อย่าเพิ่งอ่านคำตอบของพี่นักเขียนที่จะตอบต่อไปด้านล่าง หากคุณน้องขจรวรรณตอบคำถามเหล่านี้ได้ด้วยตนเองส่วนหนึ่งแล้ว ไปอ่านคำตอบของพี่นักเขียนอีกส่วนหนึ่ง คุณน้องอาจจะมีความคิดใหม่ๆที่ขยายตัวออกไปไกลกว่าพี่นักเขียน และสามารถตอบโต้กับพี่นักเขียนได้ แทนที่จะรับคำตอบโดยไม่ตอบโต้นะคะ

    พี่นักเขียนอยากให้พวกเราทำเช่นนี้กันบ่อยๆ เพราะมันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ความรู้ของเรางอกงามได้รวดเร็วกว่าการหาคำตอบที่อยู่ภายนอกตัวตนของเรา-คือพี่นักเขียน-แต่เพียงทิศทางเดียว ซึ่งพี่นักเขียนก็อาจจะให้คำตอบได้อย่างจำกัดตามความเชื่อและมุมมองส่วนบุคคล หากพวกเราหาคำตอบให้ตนเองด้วยทางหนึ่ง และเปรียบเทียบคำตอบนั้นกับคำตอบของพี่นักเขียนอีกทางหนึ่ง พวกเราทุกคนจะช่วยกันขยายความรู้ความเข้าใจออกไปได้มากมายและรวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่าค่ะ

    หาคำตอบไป พักทานขนมไปด้วย แล้วค่อยไปอ่านคำตอบด้านล่างนะคะ (rose)
    ----------------
    [​IMG]
    ----------------

    จิตวิญญาณคือความรู้
    ความรู้คือจิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณคือ ข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ
    ที่ถ่ายทอดได้ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิด


    ความรู้ย่อมรวมตัวกับความรู้อื่นๆได้เสมอ ซึ่งจะยังผลให้เกิดความรู้ใหม่ หรือแปลงสภาพความรู้เก่าทั้งหมด หรือแปลงสภาพความรู้เก่าบางส่วน คงสภาพความรู้เก่าไว้บางส่วน ความรู้ทำให้สติสัมปชัญญะขยายตัว สติสัมปชัญญะคือการจดจ่ออันคมชัดของจิตวิญญาณ ดังนั้นกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ความรู้ทำให้การจดจ่ออันคมชัดของจิตวิญญาณขยายตัว หรือความรู้ทำให้เกิดอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิดที่สร้างสรรค์ หรือทำให้เกิดปัญญา

    เราจะเห็นได้ว่า จิตวิญญาณมีความซับซ้อนตรงที่ว่า ตัวของมันเป็นทั้งข้อมูลความรู้ และเป็นทั้งอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิดที่ได้รับผลกระทบจากข้อมูลความรู้โดยตรง และ อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิด + ข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ ที่สถิตย์อยู่รวมกันเป็นจิต+วิญญาณนั้นไม่มีวันแยกกันอยู่

    เราจะวัดขนาดหรือปริมาณได้อย่างมากก็คือขนาดหรือปริมาณของข้อมูล เช่นทุกวันนี้เราเรียกขนาดปริมาณของข้อมูลเป็น bit byte kilobyte megabyte gigabyte ฯลฯ ซึ่งจะมีชื่อเรียกต่อไปอีกอย่างไม่มีวันสิ้นสุดเพราะปริมาณของข้อมูลมีแต่จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ แต่เราก็ไม่อาจวัดขนาดหรือปริมาณของความรู้ที่อยู่ข้อมูลได้อยู่ดี เรากล่าวไม่ได้ว่าข้อมูลที่มีขนาด 700 MB ที่บรรจุอยู่ในแผ่น CD แผ่นหนึ่ง มีปริมาณความรู้เท่ากันกับข้อมูลที่บรรจุอยู่ใน CD ที่มีขนาด 700 MB อีกแผ่นหนึ่ง

    ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น ข้อมูลความรู้ เป็นสิ่งที่วัดปริมาตรหรือปริมาณไม่ได้เมื่อมันสถิตย์อยู่ในอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิด แต่มันก็เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลและส่งผลกระทบต่ออารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิดอย่างมหาศาล (rose)
     
  12. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    การตั้งตนเป็น"ผู้รู้"หรือ"ผู้ตอบคำถาม"/ การรักษาความสมดุลย์

    คุณเฉลยมีคำตอบอยู่ในถามแล้วค่ะ ตรงที่คุณเฉลยกล่าวว่า
    ตอนนี้ก็ระวังตัวว่าจะถลำไปกลับลัทธิความเชื่อต่างๆ เพราะอิทธิฤทธิ์ใครๆก็อยากมี อยากเป็น อยากได้ แต่ก็กลัวจิตเราไปหลงและไม่ได้ความรู้เพิ่มเพราะน้ำย่อมเต็มแก้วแล้ว

    ผู้ตั้งตนเป็นผู้รู้-ผู้ตอบคำถาม จะตั้งตนเป็นผู้รู้-ผู้ตอบคำถามขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อเขามีผู้ตามที่ยกให้เขาเป็นเช่นนั้น และเขาพอใจที่จะอยู่ในสถานภาพที่เหนือผู้อื่น คือมีแต่ผู้ตาม-ไม่มีผู้แซงหน้าหรือเสมอภาคกับเขา มีแต่ผู้ฟัง-ไม่มีผู้พูดให้เขาฟัง มีแต่ผู้เห็นด้วย-ไม่มีผู้ขัดแย้ง เรียกได้ว่ามีแต่ผู้ที่ด้อยกว่าเขา-ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนหรือล้ำหน้าไปกว่าเขา

    ผู้รู้-ผู้ตอบคำถามที่ท่านอาจารย์อนาลัยตำหนิและตักเตือน คือผู้ที่ไม่แสวงหาความรู้ต่อไปเพราะเชื่อว่าตนมีความรู้มาก-เข้าใจมากกว่าผู้อื่น และเชื่อตนว่าตนคือผู้ที่สมควรได้รับการยกย่องให้อยู่แนวหน้า บางคนก็เลยเถิดถึงขนาดพอใจให้มีผู้คนกราบไหว้บูชา เพราะเชื่อว่าตนอยู่เหนือผู้อื่น ดังเช่นที่คุณเฉลยกล่าวว่า หลงและไม่ได้ความรู้เพิ่มเพราะน้ำย่อมเต็มแก้วแล้ว

    ผู้ตามที่ท่านอาจารย์อนาลัยตำหนิและตักเตือน คือผู้แสวงหาความง่ายโดยไม่ใช้ความเพียรส่วนตน ซึ่งหมายถึงผู้ที่ไม่ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง ไม่ใช้สติปัญญาใคร่ครวญ-ไตร่ตรอง ไม่ชอบอ่านหนังสือ หรือหาความรู้จากสื่อชนิดต่างๆ แต่ชอบฟัง-เขาว่า หรือผู้ที่ีไม่ชอบศึกษาหาความรู้เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง แต่ชอบฟังและรับเอาคำวินิจฉัย คำวิจารณ์ของผู้อื่นโดยไม่ตรวจสอบ

    ผู้แสวงหาความง่ายโดยไม่ใช้ความเพียรส่วนตน ครอบคลุมถึงผู้ที่ไม่หาความรู้ใส่ตน แต่รับเอาวัตถุหรือของสำเร็จรูปมาครอบครอง และเชื่อว่าวัตถุหรือของสำเร็จรูปเหล่านั้นจะทำให้จิตวิญญาณของตนพลิกผันเป็นอื่น คือมีอิทธิฤทธิ์ มีพลังอำนาจได้โดยไม่ต้องใช้ความเพียร บุคคลเหล่านี้อาจจะเรียกการเดินทางไกลเพื่อไปแสวงหาวัตถุหรือของสำเร็จรูปเหล่านั้น การทุ่มเทเวลา ทุ่มเทกำลังกายหรือกำลังทรัพย์เพื่อจะไปเอาวัตถุหรือของสำเร็จรูปเหล่านั้นว่าเป็นความเพียร เพราะเขาต้องใช้เวลาและความอดทนที่จะได้มาซึ่งวัตถุหรือของสำเร็จรูปเหล่านั้น แต่ความเพียรที่แท้จริงคือความเพียรในการแสวงหาความรู้ เป็นความเพียรที่จะใช้ปัญญา-ใช้ความคิดอันเป็นไปเมื่อเราได้รับข้อมูล เพื่อทำให้ข้อมูลความรู้เหล่านั้นสถิตย์อยู่ในสติสัมปชัญญะด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ใช้แรงกายแรงใจเพื่อให้วัตถุหรือของสำเร็จรูปเหล่านั้นมาอยู่ในครอบครอง

    วัตถุหรือของสำเร็จรูปเคยใช้เป็นเพียงสัญญลักษณ์ในสมัยโบราณ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้มนุษย์เราระลึกถึงข้อมูลความรู้ ที่ครูบาอาจารย์ได้ถ่ายทอดเป็นคำพูดให้กับลูกศิษย์ หรือเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ลูกระลึกถึงคำอบรมสั่งสอนของพ่อแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสมัยที่ยังไม่มีการบันทึกข้อมูลเป็นลายลักษณ์อักษร การลงคาถาอาคมในวัตถุหรือของสำเร็จรูปเป็นพิธีกรรมที่เป็นไปเพื่อแสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์์และคุณค่าของข้อมูลความรู้ของผู้ให้ แต่ความเป็นจริงเหล่านี้ก็สูญหายไปเกือบหมด ทำให้คนเราตีค่าของของข้อมูลความรู้-เทียบเท่าวัตถุหรือของสำเร็จรูปเท่านั้น และหลงเชื่อผิดๆว่า หากได้ครอบครองวัตถุหรือของสำเร็จรูปเหล่านั้น ก็เสมือนได้ข้อมูลความรู้ ได้อิทธิฤทธิ์ ได้พลังอำนาจมาโดยปริยาย หากเป็นเช่นนั้นจริง เราคงไม่เห็นวัตถุหรือของสำเร็จรูปออกมาแล้ว ก็ออกมาอีกมากมาย ไม่มีวันจบสิ้น เพราะหากวัตถุหรือของสำเร็จรูปชิ้นหนึ่งๆสามารถถ่ายทอดข้อมูลความรู้ อิทธิฤทธิ์ หรือพลังอำนาจให้กับบุคคลได้จริง บุคคลนั้นๆก็คงแปลงสภาพไปแล้วโดยไม่ต้องแสวงหาวัตถุหรือของสำเร็จรูปชิ้นใหม่ต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

    หนังสือของท่านอาจารย์อนาลัยเต็มไปด้วยข้อมูลความรู้ก็จริง แต่การครอบครองหนังสือก็ไม่ต่างไปจากการครอบครองวัตถุหรือของสำเร็จรูปใดๆ ดังนั้นแม้แต่ผู้ที่ชอบอ่านหนังสือหรือการรับข้อมูลจากสื่อทุกชนิด ก็ต้องใช้ความคิดไตร่ตรอง ไม่ใช่รับเอาโดยปริยาย เพราะหากรับเอาโดยปริยายก็ยังเรียกว่าไม่ได้ใช้ปัญญา และความรู้จะเกิดไม่ได้หากไม่ใช้ปัญญา ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง

    พี่นักเขียนทำหน้าที่ถ่ายทอดข้อมูลความรู้ที่ได้รับมาเป็นตัวอักษร ซึ่งอย่างมากที่สุดที่พี่นักเขียนจะทำได้ ไม่ว่าเขียนหนังสือหรือเขียนในกระทู้นี้ พี่นักเขียนก็ทำได้เพียงถ่ายทอดข้อมูล แต่การที่พวกเราจะได้ความรู้หรือไม่นั้นล้วนอยู่ที่ความเพียรส่วนตนทั้งสิ้น เพราะเมื่อพวกเราอ่านหนังสือ-ตั้งคำถามและแสวงหาคำตอบ พี่นักเขียนจะทำได้อย่างมากคือนำเสนอข้อมูลอื่นๆต่อไปอีกเพื่อช่วยขยายความ แต่ความรู้จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อพวกเรานำข้อมูลที่ได้รับจากหนังสือ จากการสนทนาถาม-ตอบในห้องวิทย์ฯ ไปขบคิดและทำความเข้าใจด้วยตนเองอีกต่อหนึ่ง จนกว่าข้อมูลความรู้เหล่านี้จะสถิตย์อยู่ในสติสัมปชัญญะของเราด้วยความเข้าใจ ทำให้เรานำข้อมูลความรู้ไปใช้ได้กับชีวิตประจำวันในระดับจิตสำนึก เราจึงกล่าวได้ว่า-เราได้ความรู้ (อันเป็นปรากฏการณ์ที่ชาวห้องวิทย์ฯเราเรียกกันว่า-ปิ๊งๆ)

    หากเราตระหนักได้ในความเป็นจริงข้อนี้ พี่นักเขียนเชื่อว่า การที่เราจะหลงไปสู่การตั้งตนเป็นผู้รู้-ผู้ตอบคำถาม หรือหลงไปสู่การเป็นผู้ตามหรือผู้แสวงหาความง่าย ย่อมเป็นไปได้ยาก เพราะเราไม่ได้รับเอาสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นวัตถุหรือของสำเร็จรูปใดๆ แต่่เราต้องใช้ความคิด ใช้ปัญญา ใช้ความเพียรส่วนตนในการตั้งคำถาม ในการหาคำตอบ และในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งขยายความรู้ของเราร่วมกันเสมอ (rose)

    ------------------------------------
    [​IMG]
    ------------------------------------

    อุปสรรคทั้งหมดที่ขวางกั้นระหว่างเจตนาของเรา-กับ-เป้าหมายสูงสุดของชีวิต ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากความเชื่อของเราทั้งสิ้น มันเกิดขึ้นเพราะเราเป็นผู้สร้างโจทย์ชีวิตให้กับตนเอง เมื่อเราเผชิญกับความท้าทายหรืออุปสรรคเหล่านี้ บ่อยครั้งเราไม่ได้ตระหนักว่า มันมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้เพราะอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบของเราที่คล้อยตามความเชื่อในแง่ลบนั้นๆ ซึ่งอาจจะเกิดจากความรับผิดชอบที่แฝงไปด้วยความกังวล ความกลัวในความล้มเหลวหรือความผิดหวัง หรือเกิดจากความเชื่อที่ว่าเราเป็นผู้มีมานะและไม่ท้อถอยต่อความยากลำบาก ความเชื่อนี้ก็ดึงดูดความยากลำบากให้เราต้องมีมานะและพิสูจน์ความอดทนของตนเอง

    ในฐานะพ่อแม่ ลูก นายจ้าง ลูกจ้าง หัวหน้า หรือลูกน้อง เราต่างก็มีความคาดหวังที่จะบรรลุเป้าหมายสูงสุดในชีวิตในทิศทางจำเพาะของเราด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งเรามีความคาดหวัง มีเจตนาแรงกล้า และมีเป้าหมายสูงส่งมากเท่าไร เราก็มักจะมีความกังวล ความกลัวในความล้มเหลว หรือความผิดหวัง มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งทำให้เราต้องเผชิญกับอุปสรรคและความท้าทายทางอารมณ์ที่หนักหน่วงเป็นเงาตามด้วยตัวเช่นกัน

    แต่ถ้าหากเราตระหนักได้ว่าอุปสรรคและความท้าทายทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในเส้นทางของเรา ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจาก อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่ลบของตนเอง เราจะตระหนักได้อีกว่า เราจะสามารถควบคุมมันได้ในที่สุด

    พระอาจารย์สอนสมาธิของพี่นักเขียนเคยกล่าวไว้ว่า หากเรามีเจตนาและเป้าหมายอันสูงสุดในชีวิตเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวมมากเท่าใด เราก็มักจะพบหรือต้องร่วมงานกับผู้ที่มีเจตนาและเป้าหมายในชีวิตเพื่อประโยชน์สุขส่วนตนมากเท่านั้น เพราะเจตนาและเป้าหมายของเราจะเป็นเสมือนร่มเงาให้เขาเข้ามาอาศัยเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ส่วนตน แม้เขาจะได้ไปซึ่งสิ่งที่เขาปรารถนาเป็นการเฉพาะหน้า แต่มันก็ทำให้เขาไม่อาจเติมเต็มเป้าหมายสูงสุดในชีวิตได้

    ในทางตรงกันข้าม เราจำเป็นต้องสำรวจตนเองด้วยเช่นกันว่า ผู้ที่เราไม่พอใจ เป็นผู้ที่มาขัดขวางการบรรลุเป้าหมายของเรานั้น เขาขัดขวางเป้าหมายอันสูงสุดในชีวิตเรา หรือเป็นเพียงเป้าหมายเฉพาะหน้าเพื่อประโยชน์สุขส่วนตนของเราเท่านั้น

    การได้มาซึ่งประโยชน์สุขส่วนตนในวันนี้กลับทำให้เป้าหมายอันสูงสุดของชีวิตห่างไกลออกไปอีกลิบลับ เพราะเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณทั้งหลายที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนัง ล้วนเป็นเป้าหมายที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวมเสมอ ไม่มีจิตวิญญาณใดมาถือกำเนิดเพื่อพัฒนาอย่างโดดเดี่ยว

    การบรรลุเป้าหมายอันสูงสุดจะเป็นไปได้ก็ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ทุกขณะจิตที่เราดำเนินชีวิต จากจุดเริ่มต้น-คือเจตนาที่เรามีต่อทุกการกระทำ-ไปสู่จุดหมายปลายทาง อันได้แก่เป้าหมายของทุกการกระทำในชีวิต หากเจตนาของเราเปลี่ยนแปลงจากเจตนาอันบริสุทธิ์เพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม กลายเป็นเจตนาเพื่อประโยชน์สุขส่วนตนเมื่อใด เป้าหมายระยะสั้นเหล่านั้นก็เบี่ยงเบนให้ออกนอกลู่นอกรอย และห่างไกลเป้าหมายสูงสุดของชีวิตมากขึ้นเท่านั้น

    หากเราค้นพบอารมณ์และความรู้สึกลุ่มลึกอันเป็นเอกลักษณ์ของเรา เราจะพบเจตนาและเป้าหมายสูงสุดของชีวิต ที่ทำให้เหตุการณ์เฉพาะหน้าที่เราเผชิญอยู่นั้นปราศจากความหมาย หรือไม่มีผลต่ออารมณ์ของเรา แม้จะมีบ้างมันก็ไม่มีอิทธิพลต่อเราเท่าไรนัก และสามารถร่วงหล่นไปได้พร้อมๆกันกับความเชื่อในแง่ลบที่เป็นต้นเหตุของอารมณ์ขุ่นมัวนั้นๆ เพราะเราจะพบว่าเหตุการณ์ที่ไม่น่าอภิรมย์เหล่านั้น เป็นส่วนหนึ่งของความท้าทายที่เราเป็นผู้เลือก จะกล่าวว่า เราสร้างขวากหนามขึ้นมาเพื่อทดลองความอดทนของเรา สร้างสถานการณ?์ชีวิตที่ไม่พึงปรารถนา สร้างบุคคลตัวตนที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจเหล่านั้นขึ้นมาทั้งหมด เพิื่อพิสูจน์ตนเองก็คงไม่ผิด

    บุคคลหนึ่งๆจะมีความน่ารังเกียจสำหรับเรา ก็เพราะเราวัดพฤติกรรมของเขาด้วยความดี-ความชั่ว ความสูง-ความต่ำ บุญ-บาป ซึ่งเป็นมาตรวัดที่กำหนดขึ้นโดยมนุษย์ ที่ทำให้เรามองเห็นความแตกต่างเหล่านั้นและรับไม่ได้ หากเราใช้มาตรวัดของจิตวิญญาณอันได้แก่ความรู้ แทนที่เราจะรู้สึกรังเกียจพฤติกรรมของบุคคลเหล่านั้น เราจะรู้สึกเมตตาในความไม่รู้ของเขา เพราะพฤติกรรมของเขาเกิดจากความไม่รู้ เกิดจากความไม่มีปัญญา หรือขาดความรู้ที่จะทำให้เขามองเห็นหรือตระหนักได้ว่า การกระทำของเขากำลังส่งผลในแง่ลบให้กับผู้อื่น หรือการกระทำของเขาเป็นการกระทำที่เบียดเบียนผู้อื่น ความไม่มีปัญญาหรือขาดความรู้ มักทำให้บุคคลไม่สามารถจะมองเห็นได้กว้างไกลไปกว่าอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของตนเอง จดจ่อได้แค่ความต้องการของตนเองเท่านั้น ไม่ว่าคุณเฉลยจะมีอารมณ์ขุ่นมัวหรือรังเกียจคนเหล่านี้ปานใด ก็เปล่าประโยชน์เพราะการจดจ่อแต่ตนเองของเขาจะทำให้เขารับความรู้สึกของผู้อื่นไม่ได้ เรียกได้ว่าเขาขาดการสื่อสารกับจิตวิญญาณอื่นๆ ซึ่งเป็นภาวะที่น่าสมเพชมากกว่าน่ารังเกียจ

    เมื่อเราตั้งเจตนาที่จะบรรลุผลสำเร็จใดๆ เรามักเริ่มต้นด้วยการมีความเชื่อในแง่บวกว่า เราจะสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเหนี่ยวนำให้เราบรรลุเป้าหมายได้เสมอ แม้เราจะเริ่มต้นด้วยจินตนาการ แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นจริงทั้งหมด แต่เมื่อเราลงมือทำ ความเชื่อของเราอาจผันแปรไปทำให้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเราพลอยขุ่นมัวไปด้วย

    หากเรากลับไปจดจ่อที่เจตนาอันเป็นจุดเริ่มต้นของตนเองได้ เราจะพบว่าเป้าหมายของเรายังเด่นชัด และขวากหนามหรืออารมณ์ขุ่นมัวที่สร้างอุปสรรคและความท้าทายที่อยู่ตรงหน้าจะจางหายไป หมดความสำคัญไปโดยสิ้นเชิง เพราะการจดจ่อกับเจตนาจะทำเรามีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่บวกเสมอ เช่นเดียวกับที่เรามีเจตนาแรกเริ่มที่จะบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายหนึ่งๆ การจดจ่อกับเจตนาแรกเริ่มจะเหนี่ยวนำให้เรากลับไปสู่อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่บวกอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทำให้เรามองเห็นเป้าหมายที่สดใส

    การจดจ่อกับเจตนาแรกเริ่ม จะทำให้เราจดจ่อกับจินตนาการในการบรรลุเป้าหมาย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณไปสู่อนาคต สู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่เราประสพความสำเร็จ

    หากเราสามารถไปถึงจุดนั้นๆได้ในชั่วพริบตาและหันกลับมามองวันนี้ หรือจุดนี้ที่เรากำลังจมอยู่กับอารมณ์ขุ่นมัว เราอาจจะพบว่า หากเราปลิดอารมณ์ขุ่นมัวนี้ออกไปได้เร็วเท่าไร เราก็ไปถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วเท่านั้น ไม่ต้อง detour ไปสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่ไม่พึงปรารถนาเส้นอื่นให้เสียเวลา และหากเราไปถึงจุดนั้นได้ในชั่วพริบตา เราจะพบอีกด้วยว่าอารมณ์ขุ่นมัวเหล่าปราศจากความหมาย เช่นเดียวกับที่เราเคยผ่านอุปสรรคและความยากลำบากทั้งหลายในชีวิต และหันกลับไปมองอดีต บางครั้งเราก็หัวเราะหรือส่ายหน้าให้กับเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆที่ผ่านพ้นไปแล้ว

    [​IMG]

    แท้จริงแล้วเราควรจะหัวเราะหรือส่ายหน้าให้กับความเชื่อในแง่ลบที่เหนี่ยวนำให้เกิดอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบของเรา และตระหนักได้ว่าเราสามารถควบคุมมันได้เสมอ

    [​IMG]
    ไม่ว่าชีวิตของเราจะ detour ออกนอกเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อันโรยด้วยกลีบกุหลาบอีกกี่ครั้ง
    เราก็สามารถรักษาความสมดุลย์ให้เกิดขึ้นในโลกและสังคมที่เราอยู่ได้
    ด้วยการพลิกผันไปสู่การจดจ่อกับเจตนาและเป้าหมายสูงสุดของชีวิต
    ด้วยความเชื่อในแง่บวกได้เสมอค่ะ (rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2007
  13. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ทำไปเสียทุกอย่าง

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้ให้คำจำกัดความ หรือความหมายโดยทั่วไปว่า จิตวิญญาณคือข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ
    ที่ถ่ายทอดด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด


    พี่นักเขียนขยายความว่า การค้นให้พบตนเอง จึงหมายถึงการค้นให้พบข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ หรือค้นให้พบความรู้ความสามารถที่อยู่ในอารมณ์และความรู้สึกอันลุ่มลึก ที่เราสามารถถ่ายทอดมาสู่อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเราในปัจจุบัน ไม่ใช่ค้นให้พบการเป็นใคร แต่ค้นให้พบความรู้ความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ด้วยการสร้างสรรค์ และเรียนรู้คุณค่าชีวิตด้วยการเป็นผู้ที่สามารถนำความรู้ความสามารถทั้งหลายมาก่อให้เกิดประโยชน์ด้วยการให้ ด้วยการรัก และด้วยการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นด้วยความรักอันปราศจากเงื่อนไข ซึ่งเป็นคุณสมบัติอันเป็นแก่นแท้ของจิตวิญญาณ การค้นพบดังกล่าวนี้จะทำให้เราค้นพบคุณภาพอันเป็นอมตะของเรา

    การทดลองทำหลายสิ่งหลายอย่างตลอดชีวิต อาจช่วยให้เราค้นพบตนเองได้ ซึ่งในนัยของท่านอาจารย์อนาลัย ไม่ได้หมายความว่า ค้นให้พบความสามารถอันเป็นพรสวรรค์เท่านั้น แต่ค้นให้พบความเป็นการนำความรู้ความสามารถพิเศษนั้นๆมาก่อให้เกิดประโยชน์กับเองและผู้อื่นในทิศทางที่สร้างสรรค์และเป็นเอกลักษณ์

    พี่นักเขียนมีความคิดเหมือนคุณ zip ว่า เราควรจะลองทำไปเสียทุกอย่าง และค้นให้พบว่าเราชอบอะไร แต่เมื่ออายุล่วงเลยมาจนเกินครึ่งร้อยแล้ว พี่นักเขียนลองมามาก แล้วก็ชอบหลายอย่างเสียด้วย ทำให้คิดว่าเราคงไม่ต้องเลือกทีี่จะทำอะไรเพียงอย่างเดียว หากเราคิดว่าเราทำได้ดีหลายๆอย่าง หรือรักจะทำหลายอย่างก็ควรทำ ที่ว่าดีไม่ใช่ว่าผลงานที่ได้จะเลอเลิศเสมอไปนะคะ แต่ความสุขที่ได้จากการทำหรือ process เป็นนั้นดีค่ะ ส่วน product อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ตัดสินไม่ได้แน่ชัด เพราะ product ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นผลงานทางด้านใด เช่น ภาพวาดที่เราวาดให้คนจำนวนร้อยมากชม ดนตรีที่เราบรรเลงให้คนจำนวนสิบฟัง หรือเพลงที่เราแต่งให้คนไม่กี่คนฟัง หรือแม้แต่งานสถาปัตยกรรมที่เราสร้างสรรค์ให้ผู้คนเป็นจำนวนพันใช้งาน ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่อาจตัดสินได้ว่า product นั้นๆดีหรือไม่ดีเพียงใด แม้ผลงานชิ้นเดียวกัน บางครั้งผู้ฟัง ผู้ชม ผู้ใช้งานก็ตัดสินต่างกันฟ้ากับดิน

    สิ่งสำคัญที่สุดที่พี่นักเขียนเชื่อว่าเราจะได้จากการทดลองทำมากมายหลายอย่างในชีวิต คือ ความรู้ความสามารถที่เราได้จาก process ของการเรียนรู้ที่จะทำอย่างดีที่สุด ไม่ว่า product ที่ได้นั้นจะถูกตัดสินว่าอย่างไรในสายตาของผู้อื่น เพราะ process ของการเรียนรู้และการลงมือทำ ทำให้เราได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับตนเองยิ่งขึ้นไปอีก เช่น เรียนรู้ความอดทน ความเพียร ความมุ่งมั่น และเรียนรู้ความละเอียดอ่อนหรือปราณีตของตนเอง ไม่ว่าจะเรียนรู้ว่ามีไปหมดทุกอย่างนะคะ บ่อยครั้งก็เรียนรู้ว่าเรามีไม่มากพอ และอะไรคือจุดอ่อนหรือสิ่งที่เราควรจะแก้ไข

    process ของทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยทำในชีวิต จะกลายเป็นคลังหรือธนาคารความรู้ความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์ของเรา เราอาจจะยังไม่ได้ใช้งานมันในช่วงหนึ่งๆของชีวิต แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อเราถึงจุดหนึ่งๆในชีวิตแล้วหันกลับไปมอง เราอาจจะพบว่าเราได้ใช้ความรู้ความสามารถที่เราสะสมไว้ในธนาคารความรู้ความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์ของเราแทบจะทุกอย่างโดยไม่รู้ตัว เราอาจไม่ได้นำ process หรือ product นั้นๆมาใช้ตรงๆ แต่นำมาประยุกต์ใช้ และเราก็พบว่า process เหล่านั้นแปลงสภาพอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเราไปไกลโข จากจุดแรกเริ่มที่เรายังไม่เคยทดลองทำหลายๆอย่าง

    หากเราได้ทดลองทำสารพัดโดยมุ่งที่จะเรียนรู้จาก process และไม่ตัดสินตนเองด้วย product ตามคำวินิจฉัยของผู้อื่น อย่างน้อยที่สุดพี่นักเขียนเชื่อว่า เราจะพบว่าชีวิตนี้เราไม่ได้เป็นหนี้ตนเอง เพราะเราได้ทดลองทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นแรงบันดาลใจและความท้าทาย และเราจะไม่ต้องลงเอยอย่างที่ฝรั่งเรียกว่า rocking chair syndrome คือนั่งเก้าอี้โยกยามชราแล้วทอดหุ่ยเสียดายว่า ตนยังไม่เคยทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ใฝ่ฝัน ได้แต่พูดมาตั้งแต่ยังมีเรี่ยวมีแรงทำได้ กว่าจะคิดได้ว่ายังไม่ได้ทำหรือยังไม่เคยลงมือทำอย่างที่พูด ก็หมดแรงจะทำเสียแล้ว
    [​IMG]
    Leonardo Da Vinci เป็นตัวอย่างของอัจฉริยะระดับโลกที่จดจ่อกับ process มากมายในชีวิต เขาออกแบบและสร้างหุ่นจำลองอุปกรณ์เครื่องทุนแรงสารพัดชนิด เช่นเครื่องทอผ้า จักรยาน เครื่องโม่ ฯลฯ แต่ชั่วชีวิตของเขา สิ่งประดิษฐ์เหล่านั้นไม่เคยถูกนำไปสร้างหรือใช้งาน จน Da Vinci ตายไปหลายร้อยปีแล้ว สิ่งต่างๆที่เขาคิดค้นจึงได้ถูกนำมาพัฒนาและนำมาสร้างเพื่อใช้งานจริง ศิลปินระดับโลกอื่นๆ เช่น Van Gogh ทำงานหนักตลอดชีวิตโดยไม่มีชื่อเสียง ไม่มีเงิน แต่ก็กลายเป็นศิลปินระดับโลกหลังจากตายไปแล้ว

    การทดลอง การทำสิ่งที่ตนใฝ่ฝันและรักจะทำ น่าจะเป็นสมบัติของโลกที่ไม่มีวันสูญสลายและเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดไปสู่อนุชนรุ่นหลังได้มากกว่าที่เราคิด มิฉะนั้นโลกคงไม่มีวิวัฒนากรรุดหน้าอย่างที่เราเห็นหากความรู้ตายไปกับร่างกายตัวตน และสูญสลายไปพร้อมกับร่างกายตัวตน อนุชนรุ่นหลังคงต้องค่อยๆเรียนใหม่รู้ใหม่จากตำราทีึ่หลงเหลือ การพัฒนาคงจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่าเรามาถือกำเนิดจากแหล่งข้อมูล 3 แหล่งหรือ 3 ฐานข้อมูล คือ
    จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมมิติในอดีตชาติ
    จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติ
    จิตวิญญาณ(เสมือน)ร่วมร่างแต่ต่างมิติในอดีต ปัจจุบัน อนาคต


    ดังนั้นไม่ว่าเราจะคิดจะทำอะไรในชีวิตนี้ พี่นักเขียนเชื่อว่า ความรู้ความสามารถของเราย่อมไม่สูญสลาย และย่อมเป็นประโยชน์กับจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดในรูปกายอื่นๆต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด จริงไหมคะ

    กลับมาจากเวียดนามแล้วหรือคะ? สนุกไหม? เอารูปสวยๆมาฝากพวกเราบ้างหรือเปล่า?(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2007
  14. Chalhoei

    Chalhoei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +3,166
    ตั้งใจจะทักทายคุณวิหค หลายวันแล้ว มาจากมาเลเซียหรือครับ แต่ทำไมเหมือนอยู่ใกล้ๆกันเลยครับ
    ตอนที่คุณวิหค บินโฉบไปโฉบมา น้องนาคาผมหลบไม่ยอมออกมาเลยแกคงกลัวคุณวิหคนะ..........ล้ออออเล่น นะน้องนาคา ตั้งใจสอบเป็นหมอ มาอยู่ศิริราช นะผมอยู่แถวนั้น หรือไปอยู่ที่กำแพงเพชรก็ได้ มีแม่น้ำปิงให้เล่นด้วย จะได้ช่วยดูแลยามผมปลดกระเษียนนะ
     
  15. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ขอต้อนรับคุณวิหคเข้าสู่ห้องวิทย์ด้วยคนค่ะ..

    และก็ขอเอาใจช่วยให้น้องนาคาสอบเข้าเป็นนักเรียนแพทย์ได้สมความตั้งใจนะคะ
    ยิ่งน้องนาคาศึกษาธรรมชาติของจิตวิญญาณกับพี่นักเขียนแล้ว
    เชื่อแน่ว่าน้องนาคาจะสามารถนำความรู้ทางจิตวิญญาณไปประยุกต์ใช้กับวิชาแพทย์ได้อย่างดีทีเดียวค่ะ..
    จะได้นำความรู้ความสามารถไปช่วยเหลือมนุษยชาติให้พ้นทุกข์จากความเจ็บป่วย.. ซึ่งทรมานมาก ๆ ..
    ขออนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ..

    คุณเฉลยอยู่กำแพงเพชรนี่อยู่แถวไหนคะ เคยไปเที่ยวที่น้ำตกคลองลานเมื่อปลายปีที่แล้ว
    อากาศสดชื่นจริง ๆ ค่ะ.. รู้สึกป่าไม้ที่นั่นอุดมสมบูรณ์ดีนะคะ..
    (verygood)
     
  16. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ขอขอบคุณพี่นักเขียนทุก ๆ คำตอบนะคะ เพราะอ่านแล้วรู้สึกความรู้ได้ขยายออกไปอีกเยอะเลยค่ะ.. ขอถามบทที่ 4 ธรรมชาติการรับรู้ของจิตวิญญาณ ต่อเลยนะคะ
    หน้า 42 การรู้จักตัวตนที่แท้จริงมีความหมายลึกซึ้งกว่าที่เธอทั้งหลายเข้าใจมากนัก ในขณะที่จิตของเธอสงบเป็นสมาธินั้น เธอจะรู้สึกถึงกระแสจิตอีกกระแสหนึ่ง ซึ่งแตกต่างไปจากภาวะปกติที่เธอคุ้นเคย เธออาจได้ยินเสียงจากภายในหรือเห็นภาพในความคิดคำนึง แต่พื้นฐานการศึกษาและความเชื่อมักทำให้เธอตีความหมายสิ่งเหล่านี้ผิดเพี้ยนไป

    หากเราทำสมาธิแล้วเห็นภาพหรือได้ยินเสียงภายใน เราจะทราบได้อย่างไรว่าการมองเห็นหรือการได้ยินเสียงภายในที่ตัวเองได้ยินหรือเห็นนั้น สิ่งไหนเป็นความจริงหรือเป็นเพียงภาพลวงตาที่จิตของเราอุปทานไปเองน่ะค่ะ..
    (b-wow)
     
  17. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    จากหน้า 48 - 49
    จิตวิญญาณซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของเธอ
    สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นในแต่ละวัน
    จากความรู้สึกนึกคิดและความคาดหวัง

    จากธรรมชาติของความเป็นจริงข้อนี้ เธอจะเห็นได้ว่าจิตวิสัยและความรู้สึกนึกคิดของเธอนั้นสำคัญเพียงใด ความรู้และความเข้าใจในธรรมชาติแห่งความเป็นจริงในข้อนี้จะทำให้เธอล่วงรู้ว่า จักรวาลของเธอและสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากความรู้สึกนึกคิด

    เนื่องจากพวกเรายังคิดแบบจิตมนุษย์อยู่ ทำให้นึกภาพไม่ออกว่าเราจะสร้างวัตถุธาตุหรือสรรพสิ่งขึ้นมาจากความรู้สึกนึกคิดได้อย่างไร? พี่นักเขียนพอจะมีวิธีหรือการทดลองใดที่พอจะพิสูจน์ได้หรือมองเห็นได้ว่า ความรู้สึกนึกคิดของเราจะสามารถสร้างวัตถุธาติหรือสรรพสิ่งทั้งหลายที่เป็นกายภาพได้บ้างมั้ยคะ?
    (b-uh)
     
  18. Sirote O.

    Sirote O. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2007
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +200
    เกิดขึ้นพร้อมๆกัน / อตัมมยตา

    เรียนถามอาจารย์โนวาครับ

    คือจากที่ว่าเรากำเนิดจาก 3 แหล่ง... จิตวิญญาณทั้ง 3 แหล่งนั้น เป็นอยู่และดำเนินไปพร้อมๆกันใช่ไหมครับ และในแต่ละแหล่งก็มีเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เองมากมายในแต่ละแหล่งเองด้วยใช่ไหมครับ ... อย่างไรก็ตามเราในความหมายของเราเองคือเราในปัจจุบันถือเป็น master หรือ center ใช่ไหมครับ

    กรณีที่ผมอ่านธรรม เรื่อง ไม่น่าเอา ไม่น่าเป็น หรือ อตัมมยตา...และนำมาพิจารณาปฎิบัติ จะมีผลต่อการศึกษาทางอาจารย์หรือไม่อย่างไร

    ...และเรื่องปฎิจสมุปบาทนั้น ถ้าทำตามนั้นได้จริงคือไม่ยึดมั่นแล้ว วงกลมวัฎสงสารไม่เกิด ดังนี้ จะมีผลไปยังทุกๆแหล่งที่กล่าวข้างต้นหรือไม่ หมายถึงว่าถ้าหลุดพ้น ณ ที่นี่ ก็หลุดหมดทุกภพพร้อมๆกันใช่ไหมครับ

    ขอบพระคุณอาจารย์มา ณ ที่นี้ครับ
    ศิโรตม์
     
  19. Chalhoei

    Chalhoei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +3,166
    บทที่ 3 เธอคืออะไร
    หน้าที่ 39 ย่อหน้าที่ 2
    เธอระลึกชาติได้จากความฝัน เธอรับรู้ข้ามชาติภพได้ด้วยสัญชาติญาณ
    คำว่า เธอรับรู้ข้ามชาติภพได้ด้วยสัญชาติญาณ หมายความว่าอย่างไรครับ?
    หน้า 40 ย่อหน้าแรก
    การขาดสติที่จะติดตามความรู้สึกนึกคิดทั้งยามตื่น ยามหลับทำให้เธอไม่รู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเธอทั้งหมดมาจากไหน
    การฝึกสติยามตื่นหรือการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสที่หก อาจารย์มีเทคนิคอย่างไรครับ? แบบที่ไม่ต้องนั่งสมาธิตรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2007
  20. Chalhoei

    Chalhoei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +3,166
    กำลังลองช่วยคุณขจรวรรณ หาคำคอบ ครับ (ยังไม่ได้อ่านคำตอบครับ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...