เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. Chalhoei

    Chalhoei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +3,166
    ตอนนี้ในห้องวิทย์นี้เรากำลังศึกษา หนังสือของอาจารย์ โนวา อนาลัย ชื่อธรรมชาติของชาติภพ อยู่ครับ เพิ่งเริ่มบทต้นๆ เอง พี่ๆน้องๆ ที่อ่านแล้วมีปัญหา เข้ามาถามอาจารย์นักเขียนได้นะครับ
    และไม่จำเป็นต้องเป็น เล่มนี้นะครับ เล่มอื่นๆก็ถามได้ หรือเรื่องอื่นๆก็ได้ครับอาจารย์ใจดีตอบให้อยู่แล้ว
    น้อง ketpirun เห็นแว็บมาหลายวันแล้ว สมัครสมาชิกลงมาถามและคุยกันได้ครับใช้นามแฝงอื่นก็ได้ครับ
     
  2. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    process:
    product:

    เรื่องการทดลองทำหลายๆอย่างเพื่อค้นหาตัวเองนี่ เป็นความท้าทายที่น่าสนุกครับ

    Leonardo Da Vinci, Van Gogh มีทั้ง process & product น่าทึ่งมากครับ ทั้งคู่นอกจากได้ค้นพบความเป็นอัจฉริยะของตัวเองแล้ว ยังเป็นแนวทางให้คนอื่นๆได้เรียนรู้ และนำไปคิดต่อเอาได้อีกหลายอย่างในทุกๆวงการ
    แค่เราเห็นผลงานเพียงชิ้นนึง ก็เป็นแรงบันดาลใจให้ค้นหาสร้างชิ้นงานจริงๆขึ้นไปในทิศทางต่างๆ และรองรับความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยต่อมาอีกมากมาย ผมว่าอาชิพ"ศิลปิน"นี่เป็นผู้สร้างสรรค์มุมมองให้กับโลกอนาคตได้มากจริงๆครับ..โชคดีจริงๆสำหรับผู้ที่มีศิลปะอยู่ในหัวใจ ต้องการค้นหาอะไรก็พบ ในห้วงจินตนาการอันไร้กาลเวลา
    แวะมาทักทายทุกคนครับ (ไปปั่นงานต่อล่ะครับ)

    (sing)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2007
  3. Chalhoei

    Chalhoei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +3,166
    อยู่หมุ่บ้านคลองแม่ลายครับ ปากทางที่จะไปคลองลาน เป็นหมู่บ้านเล็กๆแต่สงบน่าอยู่
    ถ้าคุณขจรวรรณมีโอกาสไปอีกแวะบ้านผมได้เลยนะ พ่อแม่ผมใจดีมากๆ น้องผมเป็นป่าไม้ ใ้ห้เค้าพาเที่ยวอุทยานแห่งชาติ มีช่องเย็นด้วยหนาวมากๆ ขนาดเดือนเมษา อากาศยังเย็นถึง 4 องศาเลยล่ะ ไปเมื่อไหร่บอกได้เลยครับ
     
  4. TK the Naka

    TK the Naka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +1,190
    อยากทราบข้อมูลของภาพวาด โมนาลิซ่า ครับ
    และอยากทราบว่าทำไมถึงได้มีชื่อเสียงมากๆด้วย
    แล้วทำไมภาพวาดนี้ดูมีอำนาจ ลึกลับ แปลกๆ
    หรือเป็นรูปวาดที่มีวิญญาณสิงอยู่ฮะ?
     
  5. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    การแยกแยะความเชื่อ



    คำถามข้อแรกของคุณน้องขจรวรรณ มีคำตอบอยู่ในคำถามข้อที่สองพอดี
    คุณน้องได้คัดลอกคำกล่าวของท่านอาจารย์อนาลัย ที่ว่า

    จิตวิญญาณซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของเธอ
    สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นในแต่ละวัน
    จากความรู้สึกนึกคิดและความคาดหวัง


    จากธรรมชาติของความเป็นจริงข้อนี้ เธอจะเห็นได้ว่าจิตวิสัยและความรู้สึกนึกคิดของเธอนั้นสำคัญเพียงใด
    ความรู้และความเข้าใจในธรรมชาติแห่งความเป็นจริงในข้อนี้จะทำให้เธอล่วงรู้ว่า
    จักรวาลของเธอและสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากความรู้สึกนึกคิด


    จิตวิสัยและความรู้สึกนึกคิดของเรานั้นสำคัญ เพราะเราสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของเราจากความรู้สึกนึกคิดและความคาดหวัง หากจิตวิสัยและความรู้สึกนึกคิดของเราไม่สำคัญ-สติสัมปชัญญะก็จะปราศจากความสำคัญไปด้วย และสติสัมปชัญญะก็คงจะไม่ใช่หัวใจของการฝึกปฏิบัติทั้งหลายในทุกศาสนา เพราะสติสัมปชัญญะคือการจดจ่ออันคมชัดที่ควบคุมจิตวิสัยและความรู้สึกนึกคิดของเราทั้งหมด

    เมื่อกล่าวถึง ภาพลวงตา จิตหลอน การคิดไปเองลมๆแล้งๆ การฝันเฟื่อง ภาวะเหล่านี้ไม่ใช่ภาวะที่ไม่เป็นจริง ไม่มีอยู่จริงหรือไม่มีความหมายต่อโลกแห่งความเป็นจริง ในทางตรงกันข้าม-สิ่งที่เรารู้เห็นในภาพลวงตา ในความคิดที่ผุดขึ้นมาอย่างไร้สติ ในความฝันเฟื่อง ล้วนมีความเป็นจริงไม่น้อยไปกว่าโลกแห่งความเป็นจริงของเรา และส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเราไม่น้อยไปกว่าสิ่งที่เรานึกคิดและคาดหวังให้เป็นจริงอย่างมีสติ

    แม้เราจะไม่เชื่อถือ ภาพลวงตา จิตหลอน การคิดไปเองลมๆแล้งๆ การฝันเฟื่อง ภาพหรือเสียงภายใน แต่มันก็ล้วนเป็นภาวะที่สะท้อนให้เราเห็นส่วนลึกของอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อของตนเอง เราอยู่ในภาวะที่ขาดสติสัมปชัญญะที่ควบคุมรู้เห็นว่า ความคิด ภาพ เสียง และประสบการณ์ภายในจิตเหล่านั้นผุดขึ้นมาจากไหน เหตุใดเราจึงรู้เห็นสิ่งเหล่านั้น และขาดสติที่จะตระหนักได้ว่าอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้นกำลังคล้อยตามความเชื่อใด

    แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ไร้ผลหรือไร้อิทธิพลต่อโลกแห่งความเป็นจริงและประสบการณ์ชีวิตในแต่ละวัน มันส่งผลกระทบ มันก่อเกิด ไม่น้อยไปกว่าความรู้สึกนึกคิดและความคาดหวังที่เป็นไปอย่างมีสติ แต่เมื่อเหตุการณ์ในชีวิตที่เกิดจากจากอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อโดยขาดสติเหล่านี้ ผุดขึ้นมาในประสบการณ์ชีวิต เราก็มักจะไม่รู้ว่ามันมาจากไหน เพราะเราจดจำไม่ได้ว่ามันคือ ภาพลวงตา จิตหลอน การคิดไปเองลมๆแล้งๆ การฝันเฟื่อง ภาพหรือเสียงภายใน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกนึกคิดและความคาดหวังของเราเองโดยแท้ที่กลายมาเป็นความเป็นจริง

    การไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราเรียกว่า ภาพลวงตา จิตหลอน การคิดไปเองลมๆแล้ง การฝันเฟื่อง ภาพหรือเสียงภายในที่เราไม่เชื่อถือ จึงทำให้เราพลาดสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของการก่อเกิดสรรพสิ่งทั้งหมดในชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าพลาดที่จะติดตามรู้เห็นการสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของตนเองด้วยสติสัมปชัญญะอันคมชัด

    ทุกความรู้สึกนึกคิดและความคาดหวังมีผลต่อโลกแห่งความเป็นจริง
    ทุกความรู้สึกนึกคิดและความคาดหวังสร้างโลกแห่งความเป็นจริงบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เสมอ-อย่างไม่มีข้อยกเว้น
    และมันก็มาสู่โลกแห่งความเป็นจริงของเราได้ด้วยการจดจ่อ ไม่ว่าเราจะมีสติรู้เห็นหรือไม่ก็ตาม

    ดังนั้นการมองเห็นภาพหรือได้ยินเสียงจากภายใน จึงเป็นภาวะที่เรารู้เห็นโลกแห่งความเป็นจริงบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เหล่านั้น บุคคลตัวตนทั้งหลายในโลกแห่งความเป็นจริงบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้-ไม่ใช่ใครอื่น พวกเขาคือบุคคลตัวตนของเราในต่างชาติภพ พวกเขาคือจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมมิติในอดีตชาติ พวกเขาคือจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติ พวกเขาคือจิตวิญญาณเสมือนร่วมร่างแต่มิติในอดีต-ปัจจุบันและอนาคตชาติ

    ทุกบุคคลตัวตนกำลังมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน
    อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อของเรา
    ส่งผลกระทบต่ออารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด และการมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพวกเขา
    และอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด และการมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพวกเขา ก็ส่งผลกระทบย้อนกลับมาหาเราอย่างเป็นปัจจุบันทันด่วน

    อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อของเราในขณะจิตหนึ่งๆ เปรียบได้กับการโยนก้อนหินลงกลางบ่อน้ำ แล้วเกิดคลื่นออกไปกระทบฝั่ง ซึ่งเปรียบได้กับตัวตนในชาติภพอื่นๆทำให้เกิดคลื่นย้อนกลับไปสู่จุดที่หินตกกระทบผิวน้ำในจุดแรก ซึ่งเปรียบได้กับตัวตนของเราในปัจจุบันชาติ

    คำว่า อุปาทาน มาจากภาษาสันสกต Upadana ซึ่งแปลว่า การยึดติด (clinging) อันเกิดจากความกระหาย ความอยากได้-อยากเป็น-อยากทำเป็นอันมาก (intensified degree of craving) พจนานุกรมไทยก็ให้ความหมาย อุปาทาน ไว้ว่าหมายถึง การยึดมั่นถืิอมั่น การนึกเอาว่าต้องเป็นอย่างนั้น ซึ่งมีสาเหตุมาจากการยึดติดกับความเชื่อส่วนบุคคล อุปาทานแยกเป็น 4 ประเภทด้วยกันคือ:
    1. การยึดติดกับวัตถุธาตุ ที่ก่อให้เกิดความอยากทางกายภาพ ความอยากทางเพศ ความหลงใหล ความขุ่นมัว ความผูกมัด หรือการพันธนาการอันเกิดจากความอยาก
    2. การยึดติดกับมุมมองที่ผิด
    3. การยึดติดกับกฎเกณฑ์และพิธีกรรม ซึ่งบุคคลเชื่อว่า เพียงการเข้าร่วมในกฏเกณฑ์และพิธีกรรมก็จะทำให้จิตวิญญาณของตนพัฒนาได้ โดยไม่ต้องใช้ความคิดและปัญญา
    4. การยึดติดกับความเชื่อส่วนบุคคล

    อุปาทานจึงไม่ได้หมายถึงสิ่งที่ไม่เป็นจริง ไม่มีจริง ไร้ความหมาย หากพิจารณาความหมายจากรากเหง้าของคำศัพท์นี้ นอกจากอุปาทานจะไม่ได้ไร้ความหมาย ไร้ความเป็นจริง หรือไร้ผลต่อความรู้สึกนึกคิดของเราแล้ว ยังเป็นภาวะที่เป็นจริง และสมควรที่เราต้องจับตาหรือติดตามให้ได้ เพื่อรู้เห็นว่ามันเป็นไปอย่างไร เพราะมันคือส่วนหนึ่งของความรู้สึกนึกคิดและความคาดหวังที่เราไม่ได้ติดตามรู้เห็น หรือมีสติสัมปชัญญะที่คมชัดพอที่จะควบคุมมันได้ และมันก็ก่อเกิดประสบการณ์ชีวิตส่วนที่เราไม่รู้ว่ามาจากไหน
    [​IMG]
    ดังนั้นการแยกแยะที่เราควรทำอย่างยิ่ง จึงไม่ใช่การแยกแยะว่า ความรู้สึกนึกคิดที่ผุดขึ้นในภาวะจิตของเรานั้น อะไรคือของจริง อะไรคือของไม่จริง แต่เราจะต้องแยกแยะว่า อะไรคือความรู้สึกนึกคิดที่เกิดจากอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่บวก หรือเป็นไปตามความรู้ และอะไรคือความรู้สึกนึกคิดที่เกิดจากอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่ลบ (rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2007
  6. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ความคิด ความคาดหวัง ก่อเกิด ความเป็นจริง

    จากคำกล่าวนี้ ท่านอาจารย์อนาลัยยังได้ตอกย้ำต่อไปอีกว่า
    การกระทำทั้งหลายล้วนเป็นการกระทำทางจิต

    ความเป็นจริงนี้เป็นสิ่งทีี่เกิดขึ้นและรู้เห็นได้ในชีวิตประจำวันเสมอค่ะ หากคุณน้องขจรวรรณลองพิจารณาตนเองดูจะพบว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไร เพียงแค่การเดินทางจากบ้านไปยังที่ทำงานในแต่ละวัน เราจะมีความคิดความคาดหวังเกิดขึ้น ก่อนหน้าที่การกระทำหรือภาวะทางกายภาพนั้นๆจะเกิดขึ้นเสมอ เช่น เราอาจจะคิดล่วงหน้าไปก่อนว่า ก่อนจะเข้าที่ทำงาน เราจะแวะข้างทางเพื่อรับประทานอาหารเช้า เพื่อซื้ออาหารหรือขนม หรือเครื่องดื่มติดมือไป เราอาจจะคิดหรือคาดหวังว่า วันนี้เราจะมีประชุมและจะมีผู้ใดเข้าร่วมประชุมบ้าง เรานึกคิดจินตนาการก่อนแทบทุกขณะจิต แม้แต่คิดว่า เราจะลุกจากโต๊ะทำงานไปทำอะไร ที่ไหน จะพูดคุยกับใครเรื่องอะไร ความคิดความคาดหวังเหล่านั้นไม่ได้เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น แต่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า มันคือการก่อเกิดหรือการสร้างโดยแท้ ซึ่งหมายความว่า หากไม่คิดไม่คาดหวัง หรือกระทำด้วยจิตก่อนแล้ว ภาวะทางกายภาพเหล่านั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้

    แม้แต่ตัวอักษรและคำพูดทั้งหมดที่คุณน้องขจรวรรณพิมพ์ลงในกระทู้นี้ เพื่อถามคำถามพี่นักเขียน ก็ล้วนเกิดขึ้นก่อนในความคิดทั้งสิ้น คุณน้องอาจจะพิมพ์อย่างรวดเร็วจนดูเสมือนว่าความคิดกับการพิมพ์นั้นเกิดขึ้นพร้อมกัน แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ความคิดจะต้องเกิดขึ้นก่อนเสมอ ตัวอักษรที่ปรากฏบนจอคือวัตถุธาตุที่เกิดจากความคิดของคุณน้องโดยแท้ และความเป็นไปเช่นเดียวกันนี้ เป็นจริงกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา แต่เรามักไม่ได้ตระหนักว่า ความคิดและความคาดหวังของเราคือจุดกำเนิดหรือการสร้างประสบการณ์และวัตถุธาตุทั้งหมดให้ปรากฏในความเป็นจริง

    คำว่าสร้างวัตถุธาตุและเหตุการณ์ทั้งหลายขึ้นในประสบการณ์ชีวิตของเรา ซึ่งเป็นชีวิตที่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของช่องว่างระยะทางและกาลเวลา เป็นสิ่งที่ต้องใช้ช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา เราจึงมักมีความเชื่อว่า วัตถุธาตุ บุคคล ประสบการณ์ทั้งหมดมาจากภายนอกตัวตนของเรา

    คุณน้องขจรวรรณลองนึกย้อนถึงประสบการณ์ วัตถุสิ่งของที่เราครอบครอง และบุคคลต่างๆที่ก้าวเข้ามาในชีวิตเรา แล้วลองถามตนเองว่า มีประสบการณ์ วัตถุสิ่งของและบุคคลใดบ้าง ที่ปรากฏในประสบการณ์ชีวิตของเราโดยที่เราไม่เคยนึกคิด ฝัน กังวล สงสัย ข้องใจเกี่ยวกับมัน หรือมีความคิดเพียงหน่อยหนึ่งให้มันเลยบ้าง

    ในที่นี้เราต้องเข้าใจด้วยว่า ทุกสิ่งที่ปรากฏในชีึวิตของเราย่อมไม่ใช่สิ่งที่พึงปรารถนาเสมอไป เพราะบ่อยครั้งสิ่งที่เรานึกคิดว่าเราไม่ชอบ ไม่พึงปรารถนาก็มาปรากฏในชีวิตของเรามากมาย และท่านอาจารย์อนาลัยก็พยายามบอกเราว่า ต้นกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏในชีวิตของเรานั้น มีต้นมากำเนิดมาจากความคิดและความคาดหวังของเราเองทั้งสิ้น ซึ่งเรียกได้ว่าเราสร้างมันขึ้นมาเองจากความคิดของเรา ไม่ว่าจะเป็นบ้านในฝัน ก็เกิดจากความรู้สึกนึกคิดของเจ้าของบ้านร่วมกับสถาปนิก รถยนต์คันงามที่เราอยากเป็นเจ้าของ ก็เกิดจากความรู้สึกนึกคิดของเราที่อยากจะได้มันอยู่ในครอบครอง

    เราจินตนาการถึงรูปลักษณ์ สีสรร และคุณสมบัติของมันขึ้นในความคิดและความคาดหวัง แล้วเราจึงเสาะหารถยนต์คันนั้นจนพบยี่ห้อที่ถูกใจ
    เราจินตนาการถึงรูปลักษณ์ สี บุคลิกภาพหรือขนาดของสุนัขแสนซนที่เราปรารถนาจะเป็นเจ้าของ แล้วเราก็เสาะหาหรือได้มาซึ่งสุนัขนั้น
    เราจินตนาการถึงการท่องเที่ยว การได้พักผ่อน การได้เดินทาง แล้วเราก็แสวงหาโอกาส เวลาและความเป็นไปได้ที่จะทำให้เราได้เดินทางท่องเที่ยว พักผ่อน ประสบการณ์ทั้งหมดล้วนมาสู่ชีวิตของเราได้ ด้วยความคิดและความคาดหวังทั้งสิ้น

    แต่เรามักจะคิดว่า หากเราไม่ได้ลงมือทำคือ ลงมือจ้างสถาปนิกมาออกแบบบ้าน ลงมือติดต่อหาซื้อรถยนต์ ลงมือตระเวนหาสุนัขที่เราอยากได้ ลงมือติดต่อบริษัททัวร์ หรือนัดแนะเพื่อนฝูง เราจะไม่ได้สิ่งเหล่านั้นมาครอบครอง หรือสิ่งเหล่านั้นจะปรากฏขึ้นในชีวิตของเราไม่ได้ แต่ตามธรรมชาติความเป็นจริงแล้วหากเราปราศจากความคิดใดๆ เราก็ปราศจากการกระทำที่จะเหนี่ยวนำวัตถุธาตุหรือสรรพสิ่งนั้นมาสู่เรา และบ่อยครั้งที่เรากล่าวว่า เราได้บางสิ่งบางอย่างมาอย่างไม่คาดคิด พบบุคคลบางคนอย่างไม่คาดคิด หรือได้รับการช่วยเหลืออย่างไม่คาดคิด ได้เดินทางโดยไม่ได้คาดคิด ตามความเป็นจริงแล้ว ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่เราคาดคิดแต่ยังไม่ทันจะลงมือทำต่างหาก มันก็ปรากฏขึ้นแล้ว บางคนกล่าวว่า เพียงแค่คิดก็ได้แล้ว ยังไม่ทันจะทำเลย เป็นต้น ซึ่งเป็นความเป็นจริง หากเราจะติดตามและตระหนักได้ว่า สิ่งที่ปรากฏขึ้นในชีวิตนั้นเคยเป็นเพียงความคิดและความคาดหวังของเราเท่านั้น
    [​IMG]

    ดังนั้นตามธรรมชาติความเป็นจริงแล้ว เราจะเรียกว่าคิดแบบจิตมนุษย์ หรือคิดแบบจิตวิญญาณ ก็ไม่ได้มีความหมายและความเป็นจริงที่แตกต่างกันเลย เพราะไม่ว่าจะคิดแบบมนุษย์หรือคิดแบบจิตวิญญาณ ความคิดและความคาดหวังก็ล้วนก่อเกิดหรือสร้างวัตถุธาตุและสรรพสิ่งต่างๆขึ้นในชีวิตของเราเสมอ เพราะความเป็นไปนี้คือธรรมชาติหรือพลังอำนาจตามธรรมชาติที่แท้จริงของจิตวิญญาณ ไม่ว่าจิตวิญญาณจะเป็นร่างกายเนื้อหนัง หรือปราศจากร่างกายเนื้อหนังก็ตาม มันก็มีพลังอำนาจในการก่อเกิดหรือสร้างวัตถุธาตุ บุคคล ประสบการณ์ชีวิตและสุขภาพร่างกายของเราเสมอ

    สิ่งเดียวที่แตกต่างกันคือ เมื่อจิตวิญญาณยังเป็นร่างกายเนื้อหนังเช่นเรา ความคิดและความคาดหวังของเราใช้ช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา กว่าที่มันจะแปลงสภาวะเป็นวัตถุธาตุ บุคคล ประสบการณ์ชีวิตและสุขภาพร่างกายของเราและสรรพสิ่งต่างๆมาสู่ประสบการณ์ชีวิตในปัจจุบันของเรา

    แต่ในภาวะที่จิตวิญญาณปราศจากร่างกายเนื้อหนัง ความคิดและความคาดหวังของเราอยู่นอกเหนือช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา มันจึงแปลงสภาวะเป็นวัตถุธาตุ บุคคล ประสบการณ์ชีวิตและสุขภาพร่างกายของเราและสรรพสิ่งต่างๆมาสู่ประสบการณ์ชีวิตของเราได้อย่างฉับพลัน

    แม้จะยังมีร่างกายเนื้อหนังอยู่ในขณะนี้ เราก็สามารถพิสูจน์ ทดลองและรู้เห็นความเป็นไปหรือความเป็นจริงทั้งหมดนี้ได้ในความฝัน ในมโนภาพที่เกิดจากอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด แม้ว่าเมื่อเราตื่นขึ้นเราจะคิดว่ามันจับต้องไม่ได้ ไม่เป็นวัตถุธาตุ บุคคล ประสบการณ์ชีวิตและสุขภาพร่างกายของเราและสรรพสิ่งที่แท้จริง แต่ตัวตนในความฝันก็เผชิญกับสิ่งเหล่านี้เสมือนว่า มันเป็นความเป็นจริงไม่น้อยไปกว่าที่เราเผชิญกับสิ่งที่เราเรียกว่าของจริง-ยามตื่น

    ธรรมชาติความเป็นจริงข้อนี้ที่ว่า เราสร้างวัตถุธาตุหรือสรรพสิ่งขึ้นมาจากความรู้สึกนึกคิดและความคาดหวังของตนเอง เป็นธรรมชาติความเป็นจริงที่มีความละเอียดอ่อนเป็นอันมาก เพราะเรามักจะไม่อาจติดตามความรู้สึกนึกคิดและความคาดหวังของตนเองได้ทุกขณะจิต เรามักมีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อไปเรื่อยๆโดยไม่ได้ตระหนักว่า มันส่งผลให้เราคิดและคาดหวังในแง่บวกหรือแง่ลบ แล้วเราก็ต้องเผชิญกับวัตถุธาตุ บุคคล ประสบการณ์ชีวิตและสุขภาพร่างกายของเราและสรรพสิ่งที่เราคิดและคาดหวังโดยไม่รู้ตัวเหล่านั้นเสมอๆ

    พี่นักเขียนได้ฟังข่าวอุบัติเหตุที่เกิดจากรถยนต์ ณ สี่แยกแห่งหนึ่งในเมืองเล็กๆซึ่งเป็น college town คือเป็นเมืองมหาวิทยาลัย อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดจากผู้ขับรถวัยรุ่นรายหนึ่งซึ่งเมา และขับรถพาเพื่อนๆกลับบ้านตอนเช้ามืดหลังบาร์เลิก แต่จะขอเล่าอีกหน เพราะเป็นตัวอย่างที่คุณน้องขจรวรรณจะเห็นภาพได้ชัดเจน ผู้ขับรถวัยรุ่นที่เมารายนั้นขับฝ่าไฟแดงแห่งหนึ่ง ซึ่งยังผลให้เกิดอุบัติเหตุรุนแรงถึงชีวิต กล่าวคือ รถยนต์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไฟแดงกับเขา ก็เป็นวัยรุ่นอีกกลุ่มหนึ่งที่ออกเที่ยวกลางคืนและกำลังจะกลับบ้านหลังบาร์เลิกเช่นกัน รถคันนั้นถูกรถคันที่ฝ่าไฟแดงชนประสานงา และทำให้คนขับและผู้โดยสารถึงแก่ชีวิตในทันที ส่วนรถยนต์อีกสองคัน เป็นรถยนต์ที่มาจากด้านซ้ายและขวา ซึ่งมาตามสัญญาณไฟเขียว ซึ่งขับและโดยสารโดยวัยรุ่นอีก 2 กลุ่ม สองคันนี้ถูกชนด้านข้าง เสียหลักและชนกับเสาไฟฟ้าคันหนึ่ง อีกคันหนึ่งพุ่งเข้าชนตัวอาคาร ผู้ขับและผู้โดยสาร ตายและได้รับบาดเจ็บสาหัส

    นักข่าวได้สัมภาษณ์พ่อแม่ของเด็กวัยรุ่นทั้งหมดที่ประสบอุบัติเหตุ ณ สี่แยกในคืนนั้น พี่นักเขียนฟังอย่างใจจดใจจ่อด้วยความอยากรู้ว่า อะไรหรือภาวะจิตใด ที่เหนี่ยวนำให้พ่อแม่เหล่านั้นและเด็กๆเหล่านั้นต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมที่สาหัสเช่นนั้นร่วมกัน พ่อแม่ของเด็กๆเหล่านั้นกล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่า
    ฝันร้ายของเขาได้กลายเป็นความจริง
    สิ่งที่เขากลัวที่สุดในชีวิตว่าจะเกิดขึ้น-ได้เกิดขึ้นแล้ว
    บางคนก็กล่าวว่า เขาเตือนลูกของเขาทุกวัน ทุกลมหายใจว่า ให้ระวังจะเกิดอุบัติเหตุรถยนต์
    บางคนก็กล่าวว่า เขาห้ามลูกของเขาเสมอๆว่า อย่าขับรถกลางคืนหลังบาร์เลิกเพราะจะเกิดอุบัติเหตุถึงชีวิต

    เด็กๆที่รอดชีวิตก็กล่าวเช่นเดียวกันว่า พ่อแม่บอกเขาและเตือนเขาเสมอๆ
    บางคนก็บอกว่า ทุกวันที่เขาออกจากบ้าน พ่อกับแม่จะบอกว่า ให้ระวังอุบัติเหตุตามสี่แยกเวลากลางคืน โดยเฉพาะหลังบาร์เลิก ฯลฯ เด็กบางคนบอกว่า เขาจินตนาการเห็นอุบัติบ่อยๆตามที่พ่อแม่ตักเตือน และเขาก็กลัวและระวังมากจนบางครั้งเขาก็ฝันร้าย แต่เขาไม่นึกเลยว่ามันจะเกิดขึ้นกับเขาได้จริงๆ

    คำให้สัมภาษณ์ของบุคคลเหล่านี้ ตอกย้ำให้พี่นักเขียนเข้าใจถึงความหมายที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า การกระทำทั้งหลายเป็นการกระทำทางจิต
    หรือ
    เราสร้างประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดของเราจากความคิดและความคาดหวัง

    พี่นักเขียนเฝ้าดูรายการนี้จนจบด้วยความสลดใจว่า หากคนเราตระหนักได้ในธรรมชาติความเป็นจริงและพลังอำนาจของความนึกคิด ซึ่งเป็นพลังอำนาจของจิตวิญญาณที่เป็นแก่นแท้ของเรา เราคงจะรู้จักนึกคิดแต่สิ่งที่สวยงามและเป็นประโยชน์สุขแก่ตนเองเสมอ แทนที่จะจดจ่อนึกคิดเช่นพ่อแม่และเด็กๆเหล่านี้ อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่ลบของพวกเขา คืิอความคิดและความคาดหวังที่สร้างหรือก่อเกิดเหตุร้ายทั้งหมดขึ้น เรียกได้ว่าความคิดของพวกเขาสร้างวัตถุธาตุ บุคคล ประสบการณ์ชีวิตและสุขภาพร่างกายของเขาก็ไม่ผิด

    ความเชื่อในแง่ลบของพวกเขาคือความเชื่อที่ว่า สี่แยกคือจุดอันตรายที่เกิดอุบัติเหตุถึงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามเช้ามืดหลังบาร์เลิก

    คำกล่าวนี้ อาจจะฟังดูเป็นความเป็นจริงอยู่ดีสำหรับคนจำนวนมาก แต่ถ้าหากเราหยุดพิจารณาสักนิด เราจะพบความเป็นจริง และความเชื่อในแง่บวกที่ปรากฏให้เห็นว่า มีผู้คนอีกมากมายมหาศาลที่ขับรถผ่านสี่แยกเช่นนี้ ในเวลาเช่นนี้ แต่ไม่เคยประสบอุบัติเหตุเช่นนี้เลย พวกเขารอดพ้นจากสี่แยกมรณะนี้ด้วยเหตุใด หากมันเป็นความเป็นจริง คงไม่มีผู้ใดรอดพ้นอุบัติเหตุ ณ จุดนี้ได้เลยแม้แต่รายเดียว

    หากคุณน้องขจรวรรณจะทดลองความเป็นจริงนี้ พี่นักเขียนก็ขอแนะนำให้นึกคิดและคาดหวัง ใช้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิดที่คล้อยตามความเชื่อใดๆในแง่บวก ที่คุณน้องปรารถนาให้เกิดสิ่งดีๆขึ้นในชีวิตของตนเอง คุณน้องก็จะพบว่ามันเป็นจริงได้เสมอ-ทุกขณะจิต (rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2007
  7. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ฐานข้อมูล 3 แหล่ง กับ วงจรของชาติภพอันสมบูรณ์

    ก่อนอื่นทำความเข้าใจกันก่อนนะคะว่า พี่นักเขียนทำหน้าที่ล่ามและเลขาของท่านอาจารย์อนาลัย ผู้เป็นองค์ความรู้หรือครูบาอาจารย์ที่ปราศจากร่างกายตัวตน พี่นักเขียนได้ถ่ายทอดข้อมูลความรู้ที่ได้รับมาเป็นหนังสือชุด 10 เล่ม และ ณ วันนี้ก็มาสนทนากับผู้อ่านเพื่อช่วยขยายความและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระที่ปรากฏในหนังสือ แม้ผู้อ่านจะถามโดยตรงต่อท่านอาจารย์อนาลัย พี่นักเขียนก็ทำหน้าที่ล่ามและเลขาต่อไปค่ะ

    หากถามคำถามเกี่ยวพันกับสาระในหนังสือโดยตรง พี่นักเขียนก็จะทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถที่จะให้ความกระจ่าง แต่พี่นักเขียนไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางพุทธศาสนาหรือศาสนาใดๆค่ะ คำว่า อตัมมยตา นี้ พี่นักเขียน หาคำศัพท์จากทั้งคัมภีร์ภาษาสันสกฤต และภาษาอังกฤษไม่พบ ไม่ทราบว่ามีรากศัพท์มาจากคำสองคำต้นกำเนิดใด เพราะหากเป็นรากศัพท์ย่อมปรากฏใน Buddhist Dictionary และคงจะหาความหมายและรายละเอียดได้ไม่ยากนัก

    หากคุณ Sirote O. อธิบายรายละเอียดมาให้เข้าใจบ้าง ก็อาจช่วยให้พี่นักเขียนช่วยค้นหาข้อมูล และพอแนะนำได้ว่า สาระเหล่านั้นเกี่ยวพันหรือสนับสนุนกับสาระที่ปรากฏในหนังสือของท่านอาจารย์อนาลัยอย่างไรบ้าง ต่อคำถามที่ว่า:
    จิตวิญญาณมาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังในแต่ละชาติภพ จากฐานข้อมูล 3 แหล่งคือ:
    1. จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมมิติในอดีตชาติ
    2. จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติ
    3. จิตวิญญาณเสมือนร่วมร่างแต่มิติในอดีต-ปัจจุบันและอนาคตชาติ


    จิตวิญญาณทั้งหมดนี้มีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน และต่างก็มีเส้นทางแห่งความเป็นไปได้หลากหลาย-เป็นอนันต์

    หากจะกล่าวว่าการเป็นบุคคลตัวตนของเราในชาติภพนี้คือ master หรือ center หรือเป็นศูนย์กลางที่ควบคุมความเป็นไปทั้งหมดก็ถูกต้องที่สุด เพราะแม้ว่าเราจะมีแหล่งข้อมูลจากทั้งสามฐานข้อมูลนั้น แต่อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อของเราก็ส่งผลกระทบต่อทุกบุคคลตัวตนในทุกชาติภพ และในทุกเส้นทางแห่งความเป็นไปได้

    หากพิจารณาปฏิจสมุปบาท ในภาวะที่แบ่งแยกออกเป็น อดีต ปัจจุบัน อนาคต ซึ่งช่วยให้สอดคล้องพอที่จะเปรียบเทียบกับข้อมูลของท่านอาจารย์อนาลัยได้ แบ่งได้ดังนี้คือ:
    อดีึีต:
    1. อวิชชา (Ignorance)
    2. สังขาร (Mental Formation)

    ปัจจุบัน:
    3. วิญญาณ (Consciousness)
    4. นามรูป (Mind & Matter)
    5. อายตนะ (Six Bases)
    6. ผัสสะ (Impression)
    7. เวทนา (Feeling)
    8. ตันหา (Craving)
    9. อุปาทาน (Clinging)
    10. ภาวะ (Process of Becoming)

    อนาคต
    11. จุติ (Rebirth)
    12. จาร-มรณะ (Old Age and Death)

    ตามหลักปฏิจสมุปบาทกล่าวไว้ว่า
    Mental Process เป็นเหตุให้เกิด 1, 2, 8, 9, 10
    Rebirth Process เป็นเหตุให้เกิด 3,4,5,6,7

    จะเห็นได้ว่า:
    เหตุที่เกิดขึ้นในอดีต ได้แก่ Mental Process ก่อให้เกิดผลในอดีตและปัจจุบัน
    เหตุที่เกิดขึ้นในอนาคต ได้แก่ Rebirth Process ก่อให้เกิดผลในปัจจุบัน
    เป็นวงจรที่ไม่มีวันสิ้นสุด

    จะสิ้นสุดได้ก็ต่อเมื่อ:
    ปราศจากเหตุในอดีตและปัจจุบัน อันได้แก่ Mental Process
    ปราศจากเหตุในอนาคตอันได้แก่ Rebirth Process

    พี่นักเขียนขอจับใจความแต่เพียงสั้นๆมาเพียงเท่านี้ เพราะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญตามที่กล่าวมาแล้ว
    [​IMG]
    หากเราจะพิจารณาถึง อดีต ปัจจุบัน อนาคต ในนัยของท่านอาจารย์อนาลัยซึ่งกล่าวไว้ว่า อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต มีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน พี่นักเขียนมีความเห็นส่วนตัวว่าคล้องจองกับหลักปฏิจสมุปบาทเป็นอันมาก เพราะเหตุุจะมีอยู่ในอนาคตได้ก็ต่อเมื่อมันไม่ได้อยู่บนเส้นทางแห่งกาลเวลา-ซึ่งเป็นเส้นตรง และอนาคตจะเป็นเหตุที่ส่งผลมาสู่ปัจจุบันได้ ก็น่าจะเป็นไปตามที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต มีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน

    ต่อคำถามของคุณ Sirote O. ที่ว่าถ้าไม่ยึดมั่นแล้ว วงกลมวัฎสงสารไม่เกิด ดังนี้ จะมีผลไปยังทุกๆแหล่งที่กล่าวข้างต้นหรือไม่ หมายถึงว่าถ้าหลุดพ้น ณ ที่นี่ ก็หลุดหมดทุกภพพร้อมๆกันใช่ไหม

    พี่นักเขียนก็ขอขยายความว่า คำว่ายึดมั่นในนัยของท่านอาจารย์อนาลัย คือการยึดมั่นในความเชื่อที่ผิดซึ่งก่อให้เกิดอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบ ที่ก่อให้เกิดประสบการณ์ในแง่ลบ ซึ่งส่งผลต่อทุกชาติภพ หรือส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณทั้งสามแหล่ง อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบคือเหตุในอดีตและปัจจุบัน หรือ Mental Formation

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่าจิตวิญญาณมาถือกำเนิดเพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิต ซึ่งเป็นไปเพื่อเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณอันได้แก่การเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ และการรักและความเมตตาอย่างปราศจากเงื่อนไข

    การเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้จึงเรียกได้ว่าเป็นกระบวนการที่กำจัดเหตุหรือ Mental Process อันได้แก่อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบที่คล้อยตามความเชื่อ ซึ่งสิ่งที่ท่านอาจารย์อนาลัยขยายความต่อไปคือ ท่านได้กล่าวว่า แม้จิตวิญญาณจะเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ได้จนหมดแล้ว จิตวิญญาณก็ไม่ได้ปราศจากอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด หากแต่ว่าอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดจะเป็นไปตามความรู้ และเต็มไปด้วยการสร้างสรรค์

    ซึ่งเมื่อเป็นไปตามนั้นแล้ว ก็กล่าวได้ว่า:
    เหตุในอดีตและปัจจุบัน หรือ Mental Process อันได้อารมณ์จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบที่คล้อยตามความเชื่อก็ย่อมหมดลง

    ส่วน Rebirth Process อันเป็นเหตุในอนาคตนั้น ท่านอาจารย์อนาลัยก็ได้กล่าวไว้ใน อมตะแห่งจิตวิญญาณ -ภาคต้น และภาคปลายว่า เราจะต้องเรียนรู้ต่อไปที่จะเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ แม้ภาวะหลังความตาย และ ก่อนมาถือกำเนิด เราก็ต้องได้รับการอบรมจากจิตวิญญาณที่เป็นครูบาอาจารย์ เพื่อช่วยให้เราเปลี่ยนความเชื่อที่ผิดให้เป็นความรู้ และให้เรารู้จักคุณค่าชีวิตได้อย่างบริบูรณ์

    ตามความเข้าใจของพี่นักเขียนเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณที่เป็นร่างกายเนื้อหนังเช่นเราทั้งหลาย คือการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ และการรู้จักคุณค่าของชีวิต เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตให้ครบชาติภพ ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าครบจำนวนชาติภพ แต่หมายถึงเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และการเรียนรู้คุณค่าชีวิตจนครบบริบูรณ์

    ซึ่งเมื่อเป็นไปตามนั้นแล้ว ก็กล่าวได้ว่า:
    เหตุในอนาคตอันได้แก่ Rebirth Process อันได้แก่การถือกำเนิดในวงจรของชาติภพก็ย่อมหมดลงเช่นกัน และท่านอาจารย์อนาลัยได้ขยายความต่อไปว่า เมื่อการดำเนินชีวิตในวงจรของชาติภพจบลง จิตวิญญาณก็จะดำเนินชีวิตต่อไปในวงจรชีวิตนอกเหนือชาติภพ โดยปราศจากร่างกายเนื้อหนังที่เป็นกายภาพ และยังคงแสวงหาและถ่ายทอดความรู้ต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เพื่อทำให้จักรวาลขยายตัว และสนันสนุนเกื้อกูลสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาล (rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2007
  8. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ประสาทสัมผัสที่หก

    การรับรู้ข้ามชาติภพได้ด้วยสัญชาติญาณ หมายถึงการที่เราตอบสนองต่อส่ิงต่างๆ ด้วยความรู้ที่เราไม่ได้เรียนในชาติภพนี้ แต่ใช้ความรู้ที่เราเรียนรู้มาจากชาติภพอื่นๆ และความรู้เหล่านั้นก็มาสู่เราอย่างฉับพลันเป็นอัตโนมัติ

    การใช้ความรู้จากชาติภพอื่นด้วยสัญชาติญาณเป็นไปเสมอๆตามธรรมชาติ ได้แก่ การหัดเดิน หัดพูด ของเด็กๆ เป็นต้น แต่เราทุกคนก็นำความรู้มากมายกว่านั้นมาใช้ด้วยสัญชาติญาณโดยที่เราไม่รู้ตัว เราจะพบได้ว่าเราทำเช่นนั้นก็ต่อเมื่อ เราตอบสนองต่อเหตุการณ์และความเป็นไปในปัจจุบันได้อย่างฉับพลัน โดยที่เราไม่รู้ว่า เราเอาความรู้นั้นมาจากไหน

    บางคนมีความสามารถเฉพาะตัวบางอย่างที่ไม่ได้เรียนรู้ในชาติภพนี้ บางคนเล่นดนตรีโดยอ่านโน้ตไม่ออก บางคนว่ายน้ำเก่งโดยไม่เคยเรียนว่ายน้ำเป็นกิจลักษณะ บางคนทำอาหารเก่งโดยรู้เองเป็นเอง บางคนเก่งเย็บปักถักร้อยเก่งโดยเป็นเอง บางคนพูดเก่งมีวาทะศิลป์ หากเผชิญกับสถานการณ์ใดๆ เขาก็มีวาทะศิลป์ที่จะโน้มน้าวผู้ฟังได้เสมอ โดยไม่ได้ต้องเรียนรู้ เป็นต้น

    น้องมายด์ของเราเคยใช้คำว่า เข้าใจแบบเข้าใจ หรือ เข้าใจแบบไม่เข้าใจ
    การรับรู้ข้ามชาติภพด้วยสัญชาติญาณก็คล้ายคลึงกัน คือ รู้แบบรู้-คือรู้ว่าตนเองมีความรู้และรู้ว่าความรู้นั้นมาจากไหน
    ส่วนรู้แบบไม่รู้-คือรู้ว่าตนเองมีความรู้แต่ไม่รู้ว่าความรู้นั้นมาจากไหน

    พี่นักเขียนไม่ค่อยอยากจะแนะนำให้ฝึกสติยามตื่นเพื่อให้รับรู้ด้วยประสาทสัมผัสที่หกโดยไม่นั่งสมาธิเลยค่ะ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะว่าถ้าไม่ฝึกสมาธิแล้วประสาทสัมผัสที่หกจะใช้การไม่ได้ เพราะตามธรรมชาติแล้วประสาทสัมผัสที่หกของเรารับรู้ได้ตลอดวันเวลา แต่หากสติสัมปชัญญะของเราตามไม่ทัน เราจึงไม่รู้ว่ารู้ ไม่รู้ว่าเห็น ไม่รู้ว่ารับได้

    พี่นักเขียนเองเริ่มนั่งสมาธิมาก่อนหน้าที่จะฝึกฝัน ก่อนที่จะสัมผัสหรือสื่อสารกับท่านอาจารย์อนาลัยได้ แม้จะตระหนักว่าประสาทสัมผัสที่หกของเราเป็นคุณสมบัติอันเป็นไปตามธรรมชาติ แต่มันก็ข้ามการรู้เห็นของสติสัมปชัญญะไปหมด ด้วยความเคยชินกับการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า ต่อเมื่อได้ฝึกสมาธิ จึงตามรู้ตามเห็นได้ ทั้งยามตื่นยามฝัน

    เข้าใจว่าประเด็นหลักที่คุณเฉลยต้องการฝึก คือฝึกการใช้ประสาทสัมผัสที่หก ซึ่งพี่นักเขียนขอแนะนำว่าให้อ่านทบทวนสาระเกี่ยวกับประสาทสัมผัสที่หกจากหนังสือ ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ บทที่ 4 หน้า 38 ประสาทสัมผัสภายใน แล้วให้พยายามทำความเข้าใจทีละคุณสมบัติ จดจ่อเพียงไม่กึ่คุณสมบัติที่คิดว่าเข้าใจได้ จากนั้นต้องบังคับตนเองให้ทำสมาธิก่อนนอนจนเป็นนิสัย ไม่นั่งก็นอนสมาธิด้วยการนับจากปลายเท้าขึ้นมาตามที่พี่นักเขียนได้เคยแนะนำ เพราะเป็นวิธีการเดียวที่จะเหนี่ยวนำให้เรารู้จักการรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสที่หกได้ เริ่มต้นรู้เห็นในภวังค์สมาธิ รู้เห็นในความฝันก่อน จึงจะรู้เห็นได้ยามตื่น เพราะยามตื่นนั้นเรามีวิตกวิจารณ์ และมีข้อจำกัดเกี่ยวกับช่องว่าง-ระยะทางและการเวลา ที่ขัดขวางการรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสที่หกมากมาย

    ต่อเมื่อเรารู้เห็นผ่านภาวะที่ปราศจากการขัดขวางได้บ่อยๆ อันได้แก่ในภวังค์สมาธิและในความฝัน เราจะรู้จักคุณสมบัติของมันได้ดีขึ้นเริื่อยๆ คุ้นเคยกับมันมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลาตื่นก็รู้ได้ เห็นได้ จับได้ว่ามันกำลังทำงานอย่างเป็นธรรมชาติ หากเราไม่ฝึกสมาธิและไม่เคยเผชิญกับการทำงานของประสาทสัมผัสที่หกอย่างเป็นธรรมชาติโดยปราศจากการขัดขวางมาก่อน แม้เรารู้ เราก็ไม่เชื่อถือ แม้เราเห็นเราก็จะไม่แน่ใจ เพราะมันเหมือนการรู้เห็นสิ่งที่เราไม่คุ้นเคยและไม่รู้จักดีพอ

    หากคุณเฉลยอยากฝึกใช้ประสาทสัมผัสที่หกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรวดเร็วโดยไม่ต้องฝึกด้วยการนั่งสมาธิเป็นแรมปีจึงจะใช้การได้ พี่นักเขียนขอแนะนำให้ฝึก 2 ทาง (ไม่ใช่เลือกฝึกทางใดทางหนึ่งนะคะ ต้องฝึกคู่กัน):
    1. ฝึกกำหนดจิตให้เป็นสมาธิก่อนนอน
    ซึ่งจะเรียกว่าทำสมาธิแบบย่อก็คงไม่ผิด คือกำหนดจิตเพียงชั่วครู่และให้สมาธิดำเนินต่อไปในความฝัน ตื่นเช้าอย่าขยับตัว ให้จิตตื่นก่อนและปล่อยให้กายหลับต่อ ภาวะนี้เรียกได้ว่าเป็นภาวะเดียวกับการเป็นฌาน ระหว่าง ฌาน 4 กับ 5 ที่พี่นักเขียนเคยกล่าวถึง และเป็นภาวะที่จะทบทวนความฝันและจำได้แม่นยำ เมื่อทบทวนและจดจำได้ ตื่นแล้วให้จดบันทึกทุกวัน บ่อยเข้าจะพบว่าการรู้เห็นประสบการณ์ในความฝันเป็นไปอย่างไรด้วยประสาทสัมผัสที่หก และทำให้เรารู้จักและใช้งานมันได้มากขึ้นเรื่อยๆ

    2.ฝึกรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสที่หก
    เมื่อจิตตื่นแต่กายยังหลับอยู่นี้ เป็นภาวะที่ประสาทสัมผัสที่หกทำงานอย่างชัดเจนเป็นธรรมชาติปราศจากการขัดขวางด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า ให้จับภาวะนี้ให้ได้ทุกเช้า และกำหนดว่าอยากรู้อยากสัมผัสอะไรขึ้นมาในภาวะนี้ ประสาทสัมผัสที่หกจะรู้เห็นได้ โดยจะมีภาพ มีเสียง มีตัวรู้ มีความอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดผุดขึ้นมา ความรู้สึกอาจคล้ายกับว่าฝัน หรือวูบเข้าไปสู่ความฝัน แต่ให้ตั้งสติให้ ให้รู้และคงสภาพไว้ให้ได้ว่า จิตตื่นแล้ว เมื่อรู้เห็นสิ่งใดให้รับไว้โดยอย่าวิตกวิจารณ์ แม้จะพูดไม่ออกบอกไม่ถูกในระยะแรกๆ ก็อย่าพยายามตีความหมายเป็นคำพูด ให้รับไว้เป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น รับได้สัมผัสได้บ่อยๆ ผนวกกับการฝึกจำความฝัน จะทำให้เข้าใจประสาทสัมผัสที่หกได้ถ่องแท้ และทำให้เรารู้เห็นการทำงานของมันได้อย่างเป็นธรรมชาติ
    [​IMG]
    การรู้เห็นประสาทสัมผัสที่หกทำงาน ก็คือการใช้ประสาทสัมผัสที่หก(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2007
  9. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    คำถามและคำตอบจากหนังสือชุดของท่านอาจารย์อนาลัย

    เพื่อช่วยให้ผู้อ่านค้นหา คำถาม-คำตอบทั้งหมดที่เกิดขึ้นในกระทู้นี้ได้สะดวกยิ่งขึ้น
    พี่นักเขียนได้รวบรวม คำถามและคำตอบจากหนังสือชุดของท่านอาจารย์อนาลัย
    ที่ผู้อ่านห้องวิทย์ฯนำมาถาม และพี่นักเขียนได้ตอบขยายความ ไว้ที่
    http://www.novaanalai.com/novaanala...860/64A62772-7160-11DC-937B-000D932ED860.html
    โดย post ล่าสุดขึ้นเป็นอันดับแรก แล้วย้อนกลับไปข้อความเก่าตามลำดับค่ะ
    (rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2008
  10. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ชิวิตนอกเหนือชาติภพ
    เรื่องนี้น่าสนใจตรงที่ว่า ถ้าเราหลุดพ้นไปจากวงจรการเกิด-ดับ ไปสู่มิติที่ละเอียดกว่า+และมีหน้าที่สนับสนุนจักรวาลขณะที่กำลังขยายตัว ประสบการณ์และความทรงจำเกี่ยวกับชาติภพอาจไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกแล้วต้องละทิ้งถอดรหัสความเป็นมนุษย์ออกไป ให้คงเหลือไว้เฉพาะรหัสที่เป็น ความรู้ เท่านั้น (ถูกมั๊ยครับ?) เพื่อการนำไปสร้างสรรค์ขยายมิติของเอกภพออกไป เรื่อยๆ..ชวนให้คิดต่อไปได้อีกมากเกี่ยวกับหน้าที่ที่อยู่นอกเหนือชาติภพว่าเป็นไปอย่างไรได้อีกในมิติที่เราไม่เคยรู้?(แต่จิตวิญญาณรู้ดี) น่าจะมีเหตุผลที่ปิดมิติเอาไว้เพื่อให้มีหน้าที่สร้างสรรค์ตัวตนบุคลิกเฉพาะบนโลกนี้ได้อย่างเต็มที่จากพลังงานจิตแบบรวมหมู่ของมนุษย์ ที่แผ่ขยายออกไปพร้อมๆกันในมิติคู่ขนาน..เพื่อให้เกิดความสมดุลย์กันไปในทุกๆมิติ เราก็คือส่วนขยายของจิตวิญญาณที่สร้างสรรค์นั่นเอง..ทุกๆดวงจิต ทุกๆมิติมีหน้าที่เกื้อกูลกันหมดเชื่อมโยง ถักทอเส้นใยเป็นระบบเครือข่ายไปหมด น่าสนใจจริงๆครับ



    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2007
  11. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ชวนพี่นักเขียนและเพื่อนๆมานอนพักผ่อนร่างกายและจิตใจ
    ฟังเพลงบนยอดปิรามิดชั้น 5 รับพลังพิเศษจากอาจารย์อนาลัยไปด้วย
    จัดห้อง VIP ไว้สำหรับพวกเราโดยเฉพาะ
    เตียงหมุนได้รอบทิศทางเลยนะครับ
    ไว้รอชมพระจันทร์กับดวงดาวคืนนี้ครับ


    <TABLE cellSpacing=3 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>Over The Rainbow (The Wizard Of Oz).mp3 (1.29 MB, 549 views)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [music]http://palungjit.org/attachments/a.226133/[/music]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2007
  12. Chalhoei

    Chalhoei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +3,166
    รักคุณ mead ที่สุดเลยครับ ชอบมากเลย เสียงเด็กๆ ไม่ต้องฟังความหมายแค่ได้ยิน ก็มีความสุขแล้วครับ
     
  13. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    โอ้โห พี่mead สวยมากเลย อยากไปนอนดูท้องฟ้าทั้งวันทั้งคืนเลยอ่ะ
    หวังว่าคงมีโอกาสได้ไปจริงๆนะ อิอิ ขอราคาพิเศษด้วยยยยย
     
  14. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    แว้บๆมาอ่านตั้งนานแล้ว แต่ยุ่งๆอยู่ไม่มีเวลานั่งติดเก้าอี้เลย ได้เวลามาซะที
    อ่านข้อความของพี่นักเขียนแล้ว ก็นึกถึงตัวเอง
    เพราะตั้งแต่โตมา ถ้ามองตัวเราว่ามีความสามารถอะไรพิเศษที่โดดเด่น
    อยากเป็นอะไร ชอบทำอะไร ซึ่งจะให้เจาะจงเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งเลยก็ไม่ชัดเจน
    เพราะแต่ละอย่างถ้าพูดขึ้นมาก็ชอบก็อยากทำทั้งนั้น นั่นก็ชอบ นี่ก็ชอบ
    หรือการได้ทดลองทำอะไรมากมายหลายอย่างเหมือนกัน ทำได้หมดแต่ไม่ได้เลิศเลอเพอร์เฟค
    แต่ถ้าถามว่าพอใจไหม โอเคไหม มีความสุขไหม ตอบอย่างมั่นใจเลยว่ามีความสุขกับทุกอย่างที่ได้ทำ
    บางคนอาจจะคิดว่าการได้เป็นที่หนึ่งหรือสุดยอดในด้านในด้านหนึ่งคงเป็นอะไรที่ประสบความสำเร็จมาก
    แต่สำหรับนกถ้าการได้ทำอะไรก็แล้วแต่ เราทำได้ แล้วเรามีความสุข นั่นก็สุดๆล่ะ (b-love2u)
     
  15. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    (verygood) (b-ping)
     
  16. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    เสียงเด็กๆเค้าใสบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ฟังแล้วสุขใจดีจริงๆครับ..ฟังได้ทั้งวัน
    พี่เฉลยรู้สึกว่าสองเพลงนี้เมโลดี้คล้ายๆกันมั๊ยครับ น่าฟังทั้งสองเพลง
    คนแต่งเพลง Somewhere Out There ดูเหมือนได้รับแรงบันดาลใจมาจากเพลง Over The Rainbow แน่เลยครับ วันหน้าจะหาเพลงมาให้ฟังอีกครับฝึกเป็น DJ

    ห้องใต้ดินว่างครับน้องนก ล้อเล่นน่ะ !
    สำหรับพวกเราฟรีหมด..ถ้าเสร็จเมื่อไหร่ไปเที่ยวด้วยกันครับ
    มีคลับเฮ้าส์รูปดอกบัวบาน (สวยมาก) ภัตตาคาร+ร้านอาหาร ฟิตเนส ชอปปิ้งมอลล์ เป็นปีกรอบอาคารยื่นออกไปในน้ำ มีน้ำตกไหลลงที่ปลายกลีบ ดาดฟ้าข้างบนออกไปตากลมรับแสงแดดได้ด้วย ถนนเข้าไปบางส่วนมุดลงไปใต้น้ำด้วย สปาก็มีทั้ง 4 ธาตุบำบัดทั้งจิตทั้งร่างกายครับ เอา Concept มาเรียกน้ำย่อยก่อน น้องนกน้ำลายยืดเลย อิอิ..
    แบบเหล่านี้ช่วยกันทำอยู่ครับยังต้องพัฒนาแก้ปัญหาอีกหลายอย่าง..โครงการใหญ่มาก Concept จากเบื้องบนเลยนะเนี่ย (หมายถึงแนวคิดสนุกๆนะครับ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • lotus03.jpg
      lotus03.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.4 KB
      เปิดดู:
      41
    • lotur001.jpg
      lotur001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.7 KB
      เปิดดู:
      33
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2007
  17. Chalhoei

    Chalhoei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +3,166
    ตอนนี้อ่านธรรมชาติของชาติภพ ยิ่งอ่านยิ่งเข้าใจ และคำตอบที่อาจารย์เมตตาตอบให้ก็ยิ่งทำให้กระจ่างขึ้นไปอีก ก็ขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงครับ
    ก็มีคำถามอีกแล้ว พยายามหาคำตอบด้วยตัวเองก่อน ที่จะถามอาจารย์มันก็ยังงงๆอยู่เลยขอถามอาจารย์ดีกว่า
    บทที่ 5 จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมมิติในอดีต-อนาคตชาติ
    หน้าที่ 57
    ธรรมชาติแห่งความเป็นจริงของจิตวิญญาณ ไม่มีอดีตและอนาคต มีแต่ปัจจุบันและการลงโทษเจึงไม่ป็นเหตุเป็นผลกับจิตวิญญาณพราะการลงโทษนั้นเกิดขึ้นพร้อมกันกับการทำผิดหรืออาจพูดได้ว่าการลงโทษนั้นเกิดขึ้นก่อนที่เธอจะทำผิดเสียด้วยซ้ำไป
    ปรโยคที่ขีดเส้นใต้หมายความว่าอย่างไรครับ?
     
  18. Chalhoei

    Chalhoei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +3,166
    ก็น่าฟังทั้งสองเพลงครับ เอาลงแผ่นแล้วเอาไว้ฟังในรถ แต่เสียงผู้ใหญ่มันเหมือนมีมายาแฝงอยู่ (ไม่รู้ฝังใจอะไรมาจึงฟังเค้าอย่างนั้น) แต่เสียงเด็กเนี่ยบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างคุณ mead ว่า เพราะตอนนี้แอบรักเด็กคนหนึ่งอยากได้เป็นลูกแค่พ่อเค้าหวงมากๆ เป็นเราๆก็หวงนะ คืออยากมีลูกสาวนะ เพราะตัวเองไม่มี่ มีแต่ทะโมน 2 หน่อเป็นหนุ่มหมดแล้ว
     
  19. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    แง่ว พี่meadก็ นึกว่าจะใจร้ายให้นกตัวน้อยๆ หึหึ ไปอยู่ห้องใต้ดินซะแล้น
    conceptสุดยอดอลังการงานสร้างมากเลยพี่mead อยากให้เสร็จสิ้นขบวนการเร็วๆ
    อยากสัมผัสทุกสิ่งทุกอย่าง คงจะอารมณ์บรรเจิดมากเลย (b-deejai)
     
  20. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765

    ง่ะ พี่เฉลยมีลูกโตเป็นหนุ่มแล้วเหรอ (b-wow) อิอิ อยากเห็น
    จะเป็นคนใจดีเหมือนพี่เฉลยเปล่า
    เสียดายโชคดีกะฟลุ๊คเป็นเด็กชาย ไม่งั้นจะฝากให้เลี้ยงแล้ว 555
     

แชร์หน้านี้

Loading...