รูปภูมิ อรูปภูมิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เซราฟ, 10 เมษายน 2013.

  1. เซราฟ

    เซราฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2013
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +161
    เคยได้ยินมาว่า ผู้เข้าถึงอรูปสมาบัติ 8 หมดครบ ตั้งแต่ปฐมฌาน ถึง เนวสัญญาณาสัญญายตนะ

    แต่ไม่ปรารถนาจะนำอรูปสภาวะ มาเป็นภพแห่งตน เหตุเพราะไม่มีรูป จึงไม่มีอายตนะ 5 ประการ ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงธรรมที่เขาบรรลือกันได้

    จึงต้องการเป็นรูปพรหม ด้วยเหตุต้องการรูป เพื่อสดับธรรม จึงเพ่งรูปก่อนทำกาละ เพื่อนำรูปสภาวะ มาเป็นภพแห่งตน

    ทุกท่านคิดว่าอย่างไร
     
  2. chaokhun

    chaokhun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +5,701
    ผู้ที่ได้เล่ามาให้ท่านฟัง.... สามารถปฏิบัติธรรมสมาธิได้ถึงขั้นเข้ารูปฌาณ และั อรูปฌาณได้แล้วหรือ


    สภาวะของการปฏิบัติสมาธิ เป็นไปตามลำดับ ไม่สามารถข้ามขั้นไปได้ แต่สามารถปฏิบัติได้คล่องแคล่วรวดเร็วแบบไม่รู้ขั้นตอน คือจากปฐมฌาณถึงฌาณแปด จากรูปฌาณ ไป อรูปฌาณ ชั่วอึดใจเดียว

    ดังนั้นมิต้องเพ่งรูปอะไรทั้งสิ้น แล้วแต่จะตั้งจิตไป เข้าสู่อัปปนาสมาธิ สู่รูปฌาณหรืออรูปฌาณ ก็ได้
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ไม่ใช่เรื่องของเรา ไม่ต้องเก็บมา วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในผลของการปฏิบัติ นิวรณ์

    ปฏิบัติถึงก็หายสงสัยเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2013
  4. เซราฟ

    เซราฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2013
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +161
    คือผู้เล่าเป็นอาจารย์ผมเอง เค้าเป็นคาราวาสที่ปฏิบัติดี


    เค้าเล่าด้วยเรื่องภพภูมิ เมื่อจะตายใครได้อรูปฌานแล้ว แต่ไม่อยากเป็นอรูปพรหม
    ตอนกำลังจะตาย ถ้าอยากเป็นรูปพรหมให้เพ่งรูป แล้วเมื่อละไป จะได้เอง รูปพรหม

    เป็นดังนี้

    แค่อยากรู้ว่าท่านที่มีกรุณามาตอบจะว่ากันอย่างไร เผื่อจะได้ความรู้ใหม่ ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2013
  5. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ถ้าว่ากันด้วยประสบการณ์และเคยผ่านมาหรือเปล่า อันนี้ผมก็คงต้องตอบว่า "จำไม่ได้"

    แต่ถ้าว่ากันตามทฤษฎี ที่เล่าถ่ายทอดสืบต่อกันมา ก็เป็นไปตามนั้นครับ
     
  6. เซราฟ

    เซราฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2013
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +161
    ไม่ใช่เรื่องของเรา ก็จรึงอยู่

    แต่บางที่เรื่องบางเรื่องดีๆของเขา ผมอยากเอา มาเป็นรอยเท้าให้เดิมตาม ไม่ต้องงุ่มงามหาทางใหม่ เพื่อจะไปถึงในจุดๆเดียวกัน

    จริงอยู่ไปถึงย่อมหายสงสัย แต่ทำอย่างไร ถึงจะไปถึง ตรงนี้ไง สำคัญ ฉะนั้นผมต้องเรียนรู้เหมือนดูรอยเท้าที่จะไปถึง จะได้ไม่ต้องมาเดินหาทางใหม่เพื่อไปให้ถึง เสียเวลา ถ้าอยากหา เดี๋ยวว่ากันใหม่ เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2013
  7. เซราฟ

    เซราฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2013
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +161
    ตอบมาเถิด อยากได้ความรู้ใหม่ๆ เพราะว่าจะตั้งใจเดินไปให้ถึง ทุกความรู้จะมีส่วนช่วยในการเดินทางไปให้ถึง ครับ
     
  8. เซราฟ

    เซราฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2013
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +161
    โมทนาครับ ความรู้ใหม่ เนวสัญญาณาสัญยตนะ ที่ผมเข้าใจ เป็นสภาวะที่ยังมีสัญญาที่เป็นเหมือนไม่มีสัญญา เป็นสัญญายตนะที่เป็นเนวสัญญาณา ครับ ขอบคุณ
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =========

    สิ่งที่กล่าวถามมา อริยะบุคคลที่เจริญสมาธิฌาณ ก้าวข้ามพ้นรูปฌาณ ไปสู่อรูปฌาณสำเร็จแล้ว ถึงแล้วเห็นแล้วในความดีวิเศษยิ่งกว่าของอรูปพรหม โดยธรรมดาวิธี ย่อมไม่กลับไปเสพในรูปฌาณอีก เพราะความเป็นอรูปฌาณหรืออรูปพรหม นั้นวิเศษกว่า มีสุขยิ่งกว่า แต่ก็ยังติดอยู่ไม่ดีไปกว่าพระนิพพาน

    ส่วนที่เธอกล่าวว่า เหตุเพราะไม่มีรูป จึงไม่มีอายตนะ 5 ประการ ในความเป็น พรหมและอรูปภาพ หรือจิตวิญญาณอาศัยการสัมผัสด้วย จิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น อายตนะนั้น เป็นเรื่องของกายหยาบของมนุษย์

    อีกส่วนหนึ่ง แม้อรูปพรหมทั้งหลายไม่ติดในรูปทั้งหลายแล้ว แต่ด้วยอิทธิบารมีแห่งการปฏิบัติ แม้ละกายสังขารไปแล้ว ได้ไปเกิดเสวยทิพย์เป็นมหาพรหม แล้วนั้น แม้จิตหรือกายทิพย์จะไม่มีรูปแล้วก็ตาม แต่ มหาพรหมทั้งหลายย่อมนิมิตกระทำด้วยฤทธิ์ ให้กายทิพย์ของตนบังเกิดเป็นรูป ตามที่ตนปราถนาได้ รูปนี้สำเร็จได้ด้วยอิทธิฤทธิ์บารมี ครับ[ข้อนี้เรากล่าวเช่นนี้เพราะทราบในวาระจิตของท่านท้าวมหาพรหมธาดา ส่วนหนึ่ง ท้าวมหาพรหม ปรเมศวรเปิดโลก บรมครูของเราส่วนหนึ่ง ท้าวมหาพรหมผกาพรหมส่วนหนึ่งและอื่นๆ จึงขอกล่าวให้ฟังอย่างนี้ อนึ่งการเนรมิตกายทิพย์ ย่อมกระทำได้ภายใต้เหตุผลอันชอบธรรม มิได้กระทำอย่างเป็นนิจ] ตรงนี้ไม่ใช่การเสพรูปพรหม แต่อาศัยว่ามีเหตุอันจำเป็นครับสาธุ เพราะจิตของ มหาพรหม ไม่ยึดติดในรูปหรือวัตถุธาตุใดๆ ครับสาธุ






     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2013
  10. เซราฟ

    เซราฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2013
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +161
    สาธุครับ เหมือนที่คุณกล่าวไว้น่ะครับ

    สัญญาที่เหมือนไม่มีสัญญา แค่เข้าในฌาณ ออกมายังมีเหลือรูป ยังมีโอกาส ค้นหาความจริง

    ถ้าเป็นอรูปพรหม งั้นรออีกนาน

    อะไรสูงๆก็ไม่ได้ดี ถ้ามันไม่อยู่ในเวทีของเรา ครับ
     
  11. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ========

    วิธีคิด มีสองด้าน จะซ้ายไปวา หรือขวามาซ้าย จะคิดแบบเหตุไปหาผล หรือผลมาหาเหตุ จะคิดแบบมองจากภายนอกเข้าสู่ภายใน หรือภายในออกสู่ภายนอก

    กระผมไม่ขอกล่าวว่าท่านควรเลือกแบบใด
    แต่กระผมขอกล่าวว่า กระผมเชื่อในพระพุทธเจ้า คือเชื่อว่า ต้องสำรวจดูตน ดูภายใน ดูจากเหตุคือรากเหง้าของปัญหา จะนำพาให้เห็นผลที่กระทบ

    สุดท้ายก็อยู่ที่ปัญญาของท่าน ทุกข์สุขเกิดอยู่ที่จิตท่านแล้วท่านจะมัวส่งจิตออกนอกทำไม ทำไมไม่ดูที่ภายในคือจิตท่าน หากท่านยังทำตรงนี้ไม่ได้ ก็ไม่ควรนำพระธรรมของพระพุทธเจ้ามาบอกใคร เพราะว่ายังเดินไปไม่ถึงแก่นแท้นั่นเอง
    ยังไงก็ได้แค่กระพี้เปลือก ตนยังไม่ทำให้เป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วจะเป็นที่พึ่งแก่ผู้อื่นได้อย่างไร ครับสาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2013
  12. เซราฟ

    เซราฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2013
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +161
    ถึงต้องพึ่งตน ด้วยการที่พึ่งตน จึงจะถึงพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งได้ ที่พึ่งอันมาจากการพึ่งตนเองแต่แรก
     
  13. เซราฟ

    เซราฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2013
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +161
    แม้ถึงพระพุทธองค์แล้วก็ต้องพึ่งตนเองอีก จนถึงที่สุด หล่ะครับ
     
  14. เซราฟ

    เซราฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2013
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +161
    หากได้ละทิ้งการพึ่งตนเองแต่แรก ย่อมไปไม่ถึงที่พึ่งคือพระพุทธองค์ แล้วจะได้พึ่งตนพึ่งท่าน จนที่สุดแห่งทุกข์หรือครับ
     
  15. เซราฟ

    เซราฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2013
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +161
    เอ๊า สาา..ธุ...!
     
  16. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เรื่องรูปฌาณ ที่เกี่ยวกับ พุทธานุสติ ก็ดี สังฆานุสติก็ดี เขาฝึกกันไม่ใช่ให้ยึดติด แต่ที่ฝึกกันเพื่อให้เกิดพุทธานุสติ เพื่อเป็นรากฐานของสมาธิ เป็นวิธีการหนึ่งในการฝึก เป็นขั้นบันได้ ก้าวไปสู่การยกจิตให้มีปัญญาสูงขึ้น จิตก้าวหน้าสู่สมาธิฌาณที่สูงขึ้น จิตก้าวหน้าสู่สมาธิญาณวิปัสสนาที่สูงขึ้น เมื่อยกจิตสูงขึ้นได้แล้วเขาก็วางลงเขาไม่ยึดติดเหมื่อนที่ท่านคิดหรอก

    บุคคลผู้กล่าวว่ายึดติดในรูปพระพุทธเจ้า ท่านช่างปัญญาน้อยเสียจริง กลับมีมิจฉาทิฏฐิ ตัดสินไปแปลความไปเป็นอย่างนั้นไปได้ ขอให้ทบทวนดูใหม่ครับ สาธุ

    จำไว้นะว่าอย่าดูถูกหรือปรามาส ธรรมวิธีใดๆที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ท่านมีปัญญาสูงสุดแล้ว เพียงแต่บางท่านอาจจะยังไปไม่ถึงที่สุด ก็อย่าด่วนสรุปว่าเป็นอย่างนั้นหรืออย่างนี้ครับ สาธุ
    ขอท่านจงเจริญในธรรม
     
  17. อยู่ร่ำไป™

    อยู่ร่ำไป™ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +42
    อ้าว...ลาซะแล้ว งัย..แรมโบ้ สู้พระเอกลิเก ไม่ได้หรือไง

    หรือว่าหมดชั่วโมงบิน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2013
  18. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ผู้ที่ได้ฌานมีปฐมฌาน เมื่อตายฌานนั้นยังไม่เสื่อมย่อมเข้าถึง
    ๑.พรหมปาริสัชชาภูมิ ๒. พรหมปุโรหิตาภูมิ ๓. มหาพรหมาภูมิ

    ผู้ที่ได้ฌานมีทุติยฌาน. ตติยฌาน เมื่อตายฌานนั้นยังไม่เสื่อมย่อมเข้าถึง
    ๑. ปริตตาภา ๒. อัปปมาณาภาภูมิ ๓. อาภัสสราภูมิ

    ผู้ที่ได้ฌานมีจตุตถถฌาน เมื่อตายฌานนั้นยังไม่เสื่อมย่อมเข้าถึง
    ๑. ปริตตสุภา ๒. อัปปมาณสุภาภูมิ ๓. สุภกิณณหาภูมิ

    ผู้ที่ได้ฌานมีปัญจมฌาน เมื่อตายฌานนั้นยังไม่เสื่อมย่อมเข้าถึง
    ๑. เวหัปผลาภูมิ ๒. อสัญญสัตตาภูมิ
    แต่สำหรับพระอริยะบุคคลชั้นสูง มีพระอนาคามี จะได้ไปเกิดได้อีก
    ๓. อวิหาภูมิ ๔. อตัปปาภูมิ ๕. สุทัสสาภูมิ ๖. สุทัสสีภูมิ ๗. อกนิษฐาภูมิ

    ฌานทั้งหมดนี้เป็นพรหมที่มีทั้งรูปทั้งนาม แต่อสัญญสัตตาพรหม
    มีแต่รูปอย่างเดียวไม่มีนาม ที่เรียกกันทั่วๆไปว่าพรหมลูกฟัก

    ส่วนพรหมที่ไม่มีรูป คืออรูปภูมิ มี ๔ ภูมิคือ
    อากาสานัญจายตนะ. วิญญาณัญจาจายตนะ. อากิญจัญญายตนะ. เนวสัญญานาสัญญายตนะ.
    ก็จะไปอยู่ในภูมิของตนตามฌานที่ได้

    ข้อสังเกตุ !
    - ในอสัญญสัตตาภูมิ ๑ จะไม่มีพระอริยะบุคคลเกิดอยู่เลย

    - ๑. อวิหาภูมิ ๒. อตัปปาภูมิ ๓. สุทัสสาภูมิ ๔. สุทัสสีภูมิ . อกนิษฐาภูมิ นี้
    จะมีแต่พระอริยะบุคคลชั้นสูงอยู่เท่านั้น คือ จะมีแต่พระอนาคามี และพระอรหันต์เท่านั้น
    ส่วน ปุถุชน พระโสดาบัน พระสกทาคามี จะไปบังเกิดขึ้นไม่ได้เลย

    - ส่วนอรูปภูมิ ๔ ปุถุชนเกิดอยู่ได้ และพระอริยบุคคล ๗ จำพวก (เว้นพระโสดาปัตติมมรรคเกิดไม่ได้)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P07.jpg
      P07.jpg
      ขนาดไฟล์:
      123.1 KB
      เปิดดู:
      53
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 เมษายน 2013
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เรื่องที่ คุณ เซราฟ ตั้งคำถามมา คุณ tjs ได้อธิบายคำตอบที่ดีไปแล้วนะครับ.แต่ส่วนตัวขอแทรกตรงจุดนี้ไม่ทราบว่ายัง
    เข้าใจคลาดเคลื่อนหรือเปล่าต้องขออภัยไว้ก่อน..ในส่วนเรื่อง รูปฌาณ ไปยังอรูปฌาณ ก็เคยได้ยินมาว่าควรเป็นไปตามขั้นตอน..
    แต่ก็มีบ้างในทางปฏิบัติ..ที่จะพรวดพราด
    ไปขึ้นสู่ อรูปฌานได้เลยแบบไม่รู้ตัวและไม่ได้ตั้งใจ....ทำให้เหมือนไปข้างเติ่ง อยู่ในอวกาศประมาณนั้น
    .และก็ทำอะไรไม่ได้.บวกกับสภาวะอารมย์ที่บ่งบอกได้ว่ายังไม่ใช่นิพพาน


    และช่วงนี้หากมาแบบพรวดพราดกำลังสมาธิก็น้อยไม่เพียงพอในการรักษาอารมย์ได้นาน
    ถึงรักษาอารมย์ได้นาน.ก็ไม่มีปัญญาเพียงพอที่จะพิจารณาอะไรได้..
    กำลังสติ ณ จุดนี้ก็เหมือนๆจะไม่พอในการระลึกเรื่องอะไรขึ้นมาพิจารณาได้
    เหมือนๆกับว่าอยู่ในอวกาศเฉยๆ...คล้ายๆว่าไปหลบไป..ซ่อนจากโลกนี้เฉยๆ.
    ทำอะไรก็ไม่ได้..ออกมาสภาพจิตก็เหมือนเดิมไม่ได้ดีขึ้น...
    .ที่เล่าให้ฟังตอนนี้หมายถึง กรณีที่มาแบบพรวดพราดนะครับ.


    เลยเป็นเหตุที่ต้องค่อยๆพยายาม กลับมาทำให้ได้ตาม
    ขั้นตอน เริ่มต้นจากรูปฌาณก่อน ด้วยการสร้างสติจากการเจริญสติในประจำวัน.
    ด้วยการเพิ่มการสร้างสติให้ต่อเนื่อง....ด้วยการรวมช่วงการขยับร่างกายในชีวิตประจำวันที่
    ทำเป็นปกติจนเกิดความเคยชิน.เป็นเหตุให้การสร้างสติขาดช่วงโดยไม่รู้ตัว
    เช่น.การขยับร่างกายเล็กๆน้อย ตามนิสัยและรูปแบบชีวิตประจำวันต่างๆที่เคยชิน


    .ด้วยการเจริญสติด้วยการตามดูการขยับร่างกายควบคู่การตามลมหายใจตามปกติโดยเน้นให้อยู่ที่ฐานกายเป็นหลัก
    เพื่ออุดช่องว่างของการขาดช่วงที่ไม่รู้ตัวอย่างที่ได้กล่าวมา...
    ร่วมกับการทำสมาธิเพื่อสะสมกำลังสมาธิโดยการอาศัยรูป.
    เพื่อใช้สำหรับการขึ้นวิปัสสนา.ในโหมดละเอียดของรูปฌาณให้ได้ก่อน.สำหรับเพิ่มปัญญาในการตัดกิเลส.
    เพราะสังเกตุว่า แม้จะวิปัสสนาในโหมดอุปจารสมาธิ จิตก็จะยัง
    กลับมาฟูได้อีกจากพวกอุปกิเลสต่างๆ.ไม่เหมือนการวิปัสสนาในขั้นฌานที่จิตจะวางได้นานกว่า


    .และเพื่อให้พอมีกำลังสมาธิบวกกับกำลังสติและมีปัญญาที่เพียงพอ จากการที่สะสมมาในขั้นรูปฌาณ.สำหรับการที่จะขึ้นไป
    สู่อรูปฌาณ.ส่วนขั้นตอนนอกเหนือในส่วนประเด็นอื่นๆของปลายทางที่นำไปสู่
    ความสะอาดของจิตจริงๆ..นอกจากนี้ค่อยว่ากันอีกทีครับเพราะยังอยู่ในระหว่างเดินทาง.ที่เล่ามานี้เป็นส่วนขั้นตอน
    ที่เข้าใจ ณ ขณะนี้...ผิดถูกต้องขออภัยไว้ก่อนครับ.​
     
  20. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =========

    ต้องขออภัยด้วยครับ หากการกระทำใดๆด้วยกาย วาจา ใจ ใดๆที่ได้ล่วงเกิน ท่าน กระผมต้องขอขมากรรมด้วยครับ

    ความจริงท่านเองก็มีภูมิความรู้ในทางธรรมมากเช่นกันแต่การแสดงธรรมอาจมีวิธีการที่ต่างกัน เมื่อเราได้พูดคุยกันมากๆย่อมเข้าใจและรู้ใจกัน ย่อมมไม่มีข้อสงสัยใดๆเพราะเข้าใจในจริตซึ่งกันและกัน

    ผมมีเจตนาที่ดี และเข้าใจในเจตนาดีของทุกๆท่านเช่นกัน เราเข้ามาแลกเปลี่ยนซึ่งภูมิธรรมและความรู้ทั้งหลาย จะเป็นแนวปริยัติ ปฏิบัติ หรือปฏิเวธ ซึ่งก็เป็นประโยชน์แลกเปลี่ยนได้เสมอครับ เพียงแต่ความแตกต่างอาจเป็นเพราะด้วยแนวทาง วิธีการที่แตกต่างกันนั้นเอง

    อันวิธีการประสพการณ์ของผมความจริงอาจจะแตกต่างจากหลายๆท่านมากเพราะ ส่วนของผมเกิดทางธรรมตรงนี้ได้ มันเริ่มจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านเมตตาทำให้เห็นและเชื่อว่า โลกทิพย์มีจริง ภพภูมิมีจริง จิตวิญญาณมีจริง อภิญญาอิทธิฤทธิ์มีจริง เมื่อท่านทำให้เชื่อแล้ว ท่านก็มาสอนวิธีการต่างๆ ท่านให้เน้นที่การยึดเอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เน้น การทำสมาธิ การมีข้อวัตรปฏิบัติที่เป็นระเบียบควบคุมต้นเอง บางโอกาสก็ต้องถือศีลแบบเทพพราหม์ แต่ก็มีประโยชน์หลายประการ ที่สุดท่านก็สอนให้เดินสมาธิขั้นสูงยิ่งๆขึ้นไป ฝึกทั้งฌาณและญาณวิปัสสนา

    สิ่งสำคัญต้อง เคร่งครัดในศีล ข้อปฏิบัติ ข้อห้ามต่างๆ และต้องสวดมนต์ภาวนาทุกวัน อันนี้ขาดไม่ได้ เรื่องบุญทานก็ไม่ควรขาด เมื่อปัจจัยหลายอย่างเกื้อหนุน การเจริญทางจิตก็ก้าวหน้าดีขึ้น

    ชีวิตนี้จึง ถวายให้พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ บิดารมารดาบรรพบุรุษ ครูอาจารย์เทพเทวดา กระผมจึงมีการปฏิบัติบูชา และไหว้ครูทุกปีแบบเล็กๆเน้นที่การทำบายศรีให้สวยงามและการว่ากล่าวโองการที่ดีถูกต้องครบถ้วนเชิดชูพระคุณของครูอาจารย์ทั้ง5ประการที่กล่าวมา

    กระผมเชื่อว่าความเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆแม้กระทั่งทางธรรม ต้องเริ่มจากการกระทำปัจจัยต่างๆให้ดีสมบูรณ์ แต่ก็ต้องเริ่มจากการมีจิตใจที่ดีก่อน
    ด้วยการคิดดีก่อนครับ สาธุครับ

     

แชร์หน้านี้

Loading...