เหตุ กับ ผล

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Samarnl, 26 เมษายน 2013.

  1. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ในศาสนาของพระองค์สอนให้เชื่อเรื่องเหตุกับผล
    เมื่อผลเกิด อยากรู้ผล ให้สาวไปหาเหตุ
    จะดับผลให้ไปดับที่เหตุ
    เหตุกับผลย่อมตรงกันเสมอ
    ทำสิ่งใดไว้ย่อมได้รับผลสิ่งนั้น
    ก็เป็นความจริงดังนั้นพระพุทธเจ้าแสดงเรื่องเหตุกับผล
    ทุกขสัจจ์ เป็น ผล
    สมุทยสัจจ์ เป็น เหตุ
    นิโรธสัจจ์ เป็น ผล
    มรรคสัจจ์ เป็น เหตุ
    พระองค์ตรัสแสดงถึงผลก่อน จึงแสดงเหตุที่หลัง
    เพราะผลรู้ได้ง่ายกว่าเหตุ เหตุรู้ได้ยาก
    ผลเกิดขึ้นได้เฉพาะหน้า
    แม้แต่พระวินัยก็เช่นเดียวกัน ต้องให้ผลเกิดก่อนจึงบัญญัติห้ามทีหลัง
     
  2. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ช่วงนี้ คุณ ลุงหมาน ตั้งกระทู้ที่มีประโยชน์บ่อยขึ้นครับ

    อนุโมทนาครับ

    สาธุครับ
     
  3. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ถ้าฝึก ฌาณ ไม่ได้ ก็จะ จมอยู่ในโลกของ เหตุ กับ ผล

    พอ จมอยู่ในโลกของ เหตุ กับ ผล ก็เอาแค่ ความเข้าใจ
    ไปตาม เหตุ และ ผล ซึ่ง ก็เท่ากับ กลายเป็นรู้แบบสัญญา

    เมื่อ ตายไป สิ่งเหล่านี้ ก็หายหมด !!!

    แต่ถ้า มีกำลัง ฌาณจิตที่เพียงพอ พอใช้ พอสำหรับการเห็น
    จะเห็นเลยว่า ประโยคที่กล่าวว่า " พระมหาสมณะกล่าวถึงการ
    ดับของเหตุเหล่านั้น " ตรงนี้ ไม่ใช่เรื่อง ดับแบบ "ตายห่าลืมหมด"

    ถ้าเห็นเข้ามาจริงๆ จะยิ่งบ่อน้ำตาแตก เพราะว่า จริงๆแล้ว
    ศาสนาพุทธนั้น "นอกเหตุ เหนือผล"

    " นอกเหตุ เหนือผล " ตรงนี้เรียกว่า " สามัญผล " เพราะ
    การดับไป ของเหตุ นั้นก็เป็นเรื่อง ที่มีอยู่แล้ว ไม่ใช่ไปทำให้
    มันมีขึ้น ใครอบรม สมถะ และ วิปัสสนา เข้ามอ ย่อมอาศัย
    อุบายธรรมสองชนิดนี้ ไป"แจ้ง"อาการ "เหนือเหตุ เหนือผล"
    ที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา สามัญๆ
     
  4. 9TRONG

    9TRONG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +514
    รบกวนคุณบุคคลทั่วไป 3 คน ช่วยอธิบายคำว่า ศาสนาพุทธนั้น "นอกเหตุ เหนือผล" เพิ่มเติมอีกหน่อยนะครับ

    เพราะอ่านความคิดเห็นแล้ว ทำไมจึงไปคล้ายวาทะของศาสดามักขลิ โคศาล ในสามัญญผลสูตรซะอย่างนั้น?

    ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เพื่อความเศร้าหมองแห่งสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายหาเหตุมิได้ หาปัจจัยมิได้ ย่อมเศร้าหมอง ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายหาเหตุมิได้ หาปัจจัยมิได้ ย่อมบริสุทธิ์ ไม่มีการ กระทำของตนเอง ไม่มีการกระทำของผู้อื่น ไม่มีการกระทำของบุรุษ ไม่มีกำลัง ไม่มีความเพียร ไม่มีเรี่ยวแรงของบุรุษ ไม่มีความบากบั่นของบุรุษ สัตว์ทั้งปวง ปาณะทั้งปวง ภูตะทั้งปวง ชีวะทั้งปวง ล้วนไม่มีอำนาจ ไม่มีกำลัง ไม่มีความเพียร แปรไปตามภาวะเคราะห์ดีเคราะห์ร้าย ตามความประจวบ ตามความเป็นเอง ย่อมเสวยสุขเสวยทุกข์ในอภิชาติทั้ง ๖ เท่านั้น [อภิชาติ(กำเนิด)ทั้ง ๖ คือ ๑.กำเนิดดำ ๒.กำเนิดเขียว ๓.กำเนิดแดง ๔.กำเนิดเหลือง ๕.กำเนิดขาว ๖.กำเนิดขาวจัด]

    ถ้าผมเข้าใจอะไรผิดก็ขออภัยด้วยนะครับ
    รบกวนขอความรู้เพิ่มเติมเพื่อเป็นธรรมทาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2013
  5. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ที่คุณ เอาไปจับ แล้ว พบว่า มันไปตรงกับ คำสอนอื่น

    ตรงนี้ คุณดูเข้ามาเลยว่า คุณเข้าไปยุ่ง " เรื่องการบัญญัติโลก "

    ศาสนาพุทธ จะไม่สนใจเรื่องการสร้างวาทะ ที่เป็นไปเพื่อ นิยาม
    ให้ Definition ว่า โลกเป็นอย่างงั้น อย่างงี้

    แม้บางอย่าง จะเหมือนเข้าไป นิยาม เช่นกล่าวว่า คนมี4ประเภท
    ธรรมมี4อย่าง แต่...หากสังเกตดีๆ จะไม่ใช่การ บัญญัติลงไป
    ตรงๆ แต่เป็นเพียงการกล่าวว่า " อย่างนี้ก็มี " เพื่อให้เห็น " ความ
    แปรปรวน " เมื่อเห็น ความแปรปรวน คำบอกกล่าวนั้น จัดว่า
    เป็นเรื่อง การชี้ทุกข์

    " นอกเหตุ เหนือผล " ตรงที่คุณเห็นข้างต้น ไม่ใช่ ยกกล่าวเพื่อ
    บัญญัติเรื่องโลก เรื่องกรรม

    มันเป็น ภาษาปฏิบัติบางประการ เพื่อ จี้ เข้ามาที่ ทุกขสัจจ

    ใช้เมื่อยามที่ควรใช้ ไม่ได้ ใช้เพื่อ ประกาศเป็น สัจจนิรันดร์

    *********

    ดังนั้น

    คุณทำการเห็น สภาพธรรมที่เรียกว่า " การเข้ามาบัญญัติโลก "
    ตรงนี้ไว้เลย เห็นไปเนืองๆ แล้วจะเข้าใจ " ภาษาธรรม " เข้า
    มาได้แบบ ตรงๆ ไม่ง่อนแง่น คลอนแคลน

    " การเข้าไปบัญญัติโลก " จัดเป็นเรื่อง กิจ ที่ทำไปก็เสียเปล่า
    ไม่ให้มรรคผล จัดเป็น อัพยากตธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2013
  6. 9TRONG

    9TRONG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +514
    ชื่อ "บุคคลทั่วไป 3 คน" นี่แปลว่า "ตัณหา ราคะ อรดี" รึเปล่าครับ

    :) เดาๆเล่นนะครับ ไม่มีอะไร เผื่อจะได้เข้าใจ "ภาษาธรรม" ในสไตล์คุณบุคคลทั่วไปฯ มากขึ้น
     
  7. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    แล้วแต่จะเรียก

    ถ้าเป็นไปเพื่อกุศล ก็เรียกให้ดังๆ

    ถ้าเป็นไปเพื่อความไม่บังเกิดผลอะไร แต่ บัญญัติโลกเพื่อเรียก ก็เปล่าประโยชนจากมรรคผล

    ถ้าเป็นไป เพื่ออกุศล สะดุ้งภายหลัง ก็ขึ้นกับว่า อาศัยระลึกได้เป็นหรือเปล่า มีสติเป็นกับเขาไหม
     
  8. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    อืม...ก่อนๆนั้นคงไร้สาระนะซิ...ใช่ป่าว
     
  9. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    พระวินัยมีอยู่แล้วหรือไม่

    พระพุทธองค์ไปเอามาตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยหยิบมาได้แปดหมื่นกว่า
    ดังพระธรรมที่แสดงเรื่องปารมีปันจั้น(บารมีพันชั้น)
    คือกาละคาบหนึ่งๆเท่านั้นหรือไม่อย่างไร
    ทำไมกล่าวว่าวินัย
    ทำไมไม่มีวิที่อยู่ข้างนอกบ้างหรือย่างไร
    และสิ่งที่อยู่ในวิในวงที่แสดงนั้น
    ทำอย่างไรได้วินัย
    นิทาน
    พระอภิธรรม
    ซึ่งทั้งหมดรวมเรียกว่าสังขตธรรม
    อสังขตธรรมอยู่ในวินัยมีหรือไม่อย่างไร
     
  10. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ดังมีเรื่องเล่ากล่าวไว้ว่า ในขณะพระอัสสชิกำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในกรุงราชคฤห์
    อุปติสสะ เห็นกิริยาสำรวมและสงบของพระอัสสชิ ก็เกิดความสนใจและเลื่อมใส
    อุปติสสะจึงเดินตาม พระอัสสชิ จนท่านบิณฑบาตเสร็จ
    กลับไปฉันเรียบร้อยแล้ว จึงได้ช่อง เข้าไปถามว่า ท่านบวชกับใคร
    ใครเป็นศาสดาของท่าน

    พระอัสสชิตอบว่า พระศาสดาของท่านคือพระสมณโคดม ซึ่งอยู่ในวงศ์ศากยะ
    ได้เสด็จทรงผนวชจนตรัสรู้โดยพระองค์เอง

    อุปติสสะ จึงถามต่อไปว่า
    พระสมณโคดม ศาสดาของท่าน สอนธรรมอะไรเป็นสำคัญ ขอให้แสดงธรรมะนั้นให้ฟัง

    พระอัสสชิกล่าวถ่อมตนว่า ท่านเพิ่งเข้ามาบวชใหม่
    ยังไม่อาจแสดงหลักธรรมได้กว้างขวางมากนัก

    ได้แต่กล่าวอย่างย่อๆ
    อุปติสสะ ก็บอกว่าไม่ต้องแสดงหลักธรรมให้ยืดยาวเยิ่นเย้อหรอก
    เอาแต่แค่ใจความก็พอแล้ว!

    พระอัสสชิ จึงกล่าวเป็นคาถาสั้นๆ รวมสี่บาท ความว่า :

    เยธัมมา เหตุปัปภวา ธรรมเหล่าใด เกิดแต่เหตุ
    เตสัง เหตุ ตถาคโต พระตถาคตเจ้า ตรัสเหตุของธรรมเหล่านั้น
    เตสัญจะโย นิโร โธจะ และความดับของธรรมเหล่านั้น
    เอวังวาที มหาสมโณติ พระมหาสมณะ มีวาทะตรัสไว้ดังนี้
     
  11. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ไม่ได้ไร้สาระครับ แต่ไม่มีประโยชน์ต่อการปฎิบัติ

    ไม่มีประโยชน์ในการใช้ชีวิตจริงๆ อิงตำรามากจนเกินไปน่ะครับ

    ความเป็นจริงที่นำมาตั้งกระทู้ ที่ตั้งเช่นนี้ชี้ให้เห็นถึงความเป็นจริงในชีวิต

    โดยไม่ต้องนึกคิดให้วุ่นวายน่ะครับ นี่คือประโยชน์ที่เกิดขึ้นครับ

    หากการอธิบายของผมสร้างความไม่พอใจแม้แต่ ผมขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ

    สาธุครับ
     
  12. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    คุณกำลัง ติเตียน ลบหลู่ และ ปฏิเสธ คำสอนของพระพุทธเจ้าว่าไม่มีประโยชน์ต่อการปฏิบัติ
    พยายามชักจูงผู้อื่นผู้ที่กำลังอ่านให้เกิดความแคลงใจในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าไม่ควรอย่างยิ่ง
    อย่างนี้ถือได้ว่าท่านเป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนา อย่างเห็นได้ชัดเจน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 เมษายน 2013
  13. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    หากคุณ ลุงหมาน คิดเช่นนั้น ผมต้องขออภัยครับ

    การเจาะลึกจนเกินไป มีผลให้เกิดความลังเล ดั่งคนที่เรียนมาสูง

    จะทำอะไรก็คิดแล้วคิดอีก เมื่อคุณ ลุงหมาน ถาม ผมก็ตอบตามที่ผมนึกคิด

    ผมเคยกล่าวไว้แล้วว่า คำสอนในพระไตรปิฎก ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

    ผู้ที่เปลี่ยนแปลงนั้น ใช่ผู้ที่เป็นปฎิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนา หรือไม่ครับ

    มีการเพิ่มเติม และ หยิบยกออกไป ในบางส่วน คุณ ลุงหมาน คิดว่าอย่างไรครับ

    ผมไม่ต้องการนำมาถกเถียง เพียงแต่อนุโมทนาในส่วนที่ดี ไม่ดีผมไม่เคยก้าวก่าย

    ผมได้ขออภัยครั้งนี้ เป็นครั้งที่สองแล้วครับ กรุณามองที่ประโยชน์ครับ ตัวตนวางไว้ก่อนครับ

    สาธุครับ
     
  14. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    คุณ ลุงหมาน คิดว่า ในพระไตรปิฎก นั้น

    มีการสอนในการปฎิบัติหรือไม่ครับ

    สาธุครับ
     
  15. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ในพระไตรปิฏกนั้นเปลี่ยนแปลงตรงไหนบอกหน่อย ท่านมีจุดประสงค์อันใดจึงกล่าวไว้เช่นนี้
    ท่านเห็นจุดบกพร่องแล้วหรือยัง ไม่รู้จริงก็อย่ามาพูด พูดอย่างนี้แหละเหมือนว่าจะทำให้พระไตรปิฏกยิ่งเสื่อมเสียขึ้นไปอีก
    เห็นมีแต่อรรถกาจารย์(มีพระสารีบุตรเป็นต้น)ได้ขยายความที่ลึกซึ้งให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่ก็ยังคงเนื้อความเดิมไว้
    ซึ่งมีหมายเลขกำกับที่มาไว้เสมอ เคยเปิดพระไตรปิฏกอ่านสักเล่มไหม ? จึงได้กล่าวเช่นนั้น

    ผมมองเห็นประโยชน์ครับ เห็นว่ามีบุคคลที่กำลังจะบิดเบือนเพื่อจะทำลายคำสอนอยู่
    ซึ่งจะเป็นประโยชน์อันยาวไกล ที่ไม่ทำให้คำสอนต้องสิ้นสุดลงในระยะอันสั้น เกินกว่าเวลาอันสมควร
     
  16. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984

    ก็ไปท้าเขาก่อน..ด้วยวาทะ ในโลกนี้คนโง่หรือคนฉลาดมากกว่ากัน..
    ..เท่านั้นแหละ ได้เรื่องพอเขาไปกันจริงๆ..อาจารย์ สัญชัย ปริพาชก ถึงกับกระอักเลือดเพราะขาดคนอุปถาก ลูกศิษย์บางส่วนต้องหวลคืนกลับ..มาอยู่เป็นเพื่อนเพราะสงสารอาจารย์ ใช่ไหมลุง...อิอิ:cool:

    ..แต่ผมสงสัยจริงๆ..ขนาดฌาน8 แล้วนะนั่น ยังมีอิจฉาอีกรึ อาจารย์..อิอิ:boo:
     
  17. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ที่คุณสับสนอ้างอิงมานั้น อันนี้คงไม่เกี่ยวข้องกับพระอัสสชิ

    ผู้ที่ได้ฌาน ๘ นั้น ท่านก็ยังไม่สามารถละกิเลสได้เลยซักอย่าง
    มีแต่ข่มไว้ในขณะที่เข้าฌานเท่านั้น แต่เมื่อออกจากฌานกิเลสก็กลับมาเหมือนเดิม

    ปรกติ อาจารย์ สัญชัย รู้นะว่าตัวเองนั้นยังไม่สำเร็จ แต่เป็นเพราะว่าติดลาภสักการะ
    จะอยู่กับคนหมู่มากเพราะเห็นว่าคนโง่มาก จึงยึดติดกับคนส่วนมากไม่ยอมตามไปตามคำขอร้องจากพระสารีบุตร
    จึงปล่อยให้ลูกศิษย์ที่ฉลาดตามพระสารีบุตรไป แต่พอลูกศิษย์ของตนตามพระสารีย์บุตรไปจริงถึงครึ่งหนึ่ง
    จึงเกิดการว้าเหว่ถึงกับกระอักเลือดตาย

    มีบางท่านอธิบายไว้ว่า อาจารย์ สัญชัย ก็เป็นผู้ที่มีปัญญาพอเห็นพระสารีบุตรเดินกลับเข้ามาในสำนักของตน
    ก็รู้ได้ทันทีว่าพระสารีบุตรมีผิวพรรณที่ผ่องใส แต่ท่านไม่ไปกับพระสารีบุตรเพราะถูกลาภสักการะเกี่ยวคล้องไว้
     
  18. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    ผม พอเข้าใจเรื่องฌาณ ..ขนาด ฌาณ 8 ยังมี อิจฉาอยู่ นั้นเกิดจาก

    การ เจริญสติ ที่ ไม่เป็น////// การ ภาวนา สมถะ กรรมฐานอย่างเดียว และ ไม่เข้าใจ การ เจริญสติ ว่าทำอย่างไร การ มีตัวตน จึง ยิ่งเด่นชัดมาก ไม่สามารถละ อัตตา ได้.ใน พวก ฤาษี ทำกันมานาน เข้่าจนลึก ไร้ตัวตนหยาบๆ แต่ ตัวตนที่เป้นนามธรรม เหลือ แต่จิตจเด่นดวง ชัด จนเกิด ปรมาตมัน

    ยึกแต่ตนเอง ที่ สุขสบาย เพราะ ไร้รูป ...

    เมื่อ พระพุทธองค์ มาตรัสรู้ และ เผย แผ่ คำสอน ท่านจึงเป็น บรมครู ของเหลาส เทวดา และ ฤาษีที่เก่งกาจ ยังต้องสยบให้

    ไม่แปลก เลน ที่ ผู้สำเร็จฌาณ 8 จะยัง งมงาย กับ จิต ของตน
    จนไม่อาจละ อารมณ์ ต่างๆได้เพราะ ปล่อยวาง ไม่เป็น เพียงแต่ากด
    ข่ม ใจให้ นิ่งจน เป็นฌาณลึก แต่ไ ม่ได้ จิตคสงบ เพราะ เห็น สัจจะ
    อันเกิด จาก จิต ที่เห็นไตรลักษณ์ เอง....
     
  19. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    It's OK เช่นนั้นเชิญครับ ผมไม่โต้เถียงอะไรครับ

    ผมกล่าวขออภัยครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม และ ถึงเวลาอันควรแล้ว ที่จะหยุดการสนทนาครับ

    สาธุครับ
     
  20. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ขอให้ถือว่า ผม และ คุณ ลุงหมาน ไม่เคยสนทนาซึ่งกันและกัน

    สาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...