จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สง่างาม เกินคำบรรยาย!
    ผู้ที่จะคิดทำจิตเกาะพระรายต่อไป โปรดจำภาพแบบนี้ให้ดีๆ
    หรือ
    ภาพหลวงพ่อฤาษีลิงดำนี้ก็ได้ หรือตามแต่ใจท่านปรารถนา​

    [​IMG]

    ปล.เฉพาะคุณลินดา กรุณามองภาพที่#2ให้ดี​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 มิถุนายน 2013
  2. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ขออนุโมทนากับจิตบุญดวงที่ ๑๓๗ และคุณครูผู้สอน และผู้ที่มีส่วนเกี่ยว

    .ข้องทุกๆท่านค่ะ...ขอให้ท่านเจริญๆทั้งทางโลกและทางธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ.
     
  3. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444

    ขออนุโมทนากับ จิตบุญน้องใหม่ ...จิตบุญที่ ๑๓๗ แห่งสมาคม จิตเกาะพระ คุณตูน...และครูผู้สอน ...ครูเกษ ครูแพท และ ครูผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านค่ะ.... โมทนาสาธุ ...
     
  4. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    สาธุขออนุโมทนาในธรรมทานค่ะคุณภูทยาน...แม่นีเชื่อเลยค่ะ...

    -เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับตัวเราทั้งนั้น...ทุกข์หรือสุขนั้นอยู่ที่...

    ...เราจะทำตัวของเรา...เราเท่านั้นที่จะลิขิตตัวเราเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินทอง

    ...ว่าจะต้องมีมากมีน้อย...ถ้าเราอยู่ด้วยความพอเพียง และทำตนให้อยู่ใน...

    ...ขอบของความพอดี พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่เราก็จะมีความสุข นี่คือความจริงที่..

    ...ทุกคนต้องเข้าใจและปฏิบัติตัวให้เห็นถึงสิ่งที่แท้จริงที่เราในตัวเรา เพื่อไม่

    ...ให้เกิดความทุกข์...ธรรมทานที่ท่านกล่าวมาทั้งหมดนั้นใช่เลยค่ะนี่คือธรรม

    ...ของผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบถึงได้รู้ธรรมเห็นธรรมและได้นำมาเป็นธรรม

    -ทานให้กับผู้อ่าน ผู้เขียนขอกล่าวคำว่า เชื่อเลยค่ะสาธุอนุโมทนาค่ะ.........
     
  5. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ท่านพี่ภู กล่าวได้ชอบแล้ว ดีแล้ว... สาธุค่ะ ..ขอสดุดี คุณครูผู้เสียสละ คนนี้อีกครั้งค่ะ ... พี่แนทจะไม่มีวันนี้เลย ...ถ้าไม่มีครูเกษ...คนนี้ ...
    ครูในดวงใจผู้เสียสละ ความสุขส่วนตัว เพื่อผู้อื่นโดยแท้ ...


    ลูกจะขอทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุดไปตราบจนขันธ์5 ของลูกนี้จะดับสลายคืนสู่โลกไป พระพุทธเจ้าข้า...ให้สมกับที่ท่านปู่สมเด็จองค์ปฐมฯ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ และ ท่านพ่อพระสมณโคดม ไว้ใจให้ลูกได้ทำหน้าที่นี้...สาธุ สาธุ สาธุ..._/|\_

    อ่านจบน้ำตาซึมเลย ...โมทนาสาธุ กับปณิธานความตั้งใจ ของครูเกษ ด้วยค่ะ
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    หาทางออกก่อนดับขันธ์
    อย่าลืม! ว่าขันธ์๕ ของคนเรา ซึ่งประกอบไปด้วยร่างกายและจิตใจ
    แต่อยากให้พวกเราตระหนักถึง คำว่า "ขันธ์๕" ให้มาก
    เพราะว่าเราจะรู้ตัวว่าตนเองนั้นหลงหรือไม่หลง มีอุปาทานมากหรือน้อย
    หรือผู้ที่ยังมิได้เข้ามาปฎิบัติหรือปฎิบัติแต่ยังไม่เข้าใจ/ยังเข้าไม่ถึงรสพระธรรม
    และผู้ที่ปฎิบัติธรรมสำเร็จ คือมีดวงตาเห็นธรรม หรืออย่างน้อยที่สุดจิตพระโสดาบัน
    คนทั้งสองประเภทนี้ จะเห็นวิชั่นหรือการแสดงออกมาสู่ภายภายนอกย่อมต่างกันมาก

    ข้าพเจ้าขออภัย มิได้มีเจตนาเปรียบเทียบว่า..ใครดีกว่าหรือเลวกว่า
    แต่อยากให้ดูการพัฒนาจิตใจของผู้ปฎิบัติไปในทิศทางที่ดีนั่นเอง โปรดอย่าเข้าใจผิด
    เพราะผู้ที่มิได้ปฎิบัติ หรือปฎิบัติแต่ยังเข้าไม่ถึงแก่นธรรม คือจิตตนเอง ย่อมไม่รู้จริงแน่
    กำลังเข้าข้างตนเองก็ยังมิรู้ตัว จิตมีอุปาทานหรือเข้าไปยึดติด/ยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งที่เรียกว่าสมมุติ
    ก็ยังไม่รู้ตัวกันอีก เราอยู่กับกองกิเลสหรือกองทุกข์ของตนทุกวัน บางคนก็ยังไม่รู้ตัว
    แต่ไม่มีใครผิดใครถูก เห็นมีแต่เราเองนี่แหล่ะ เที่ยวไปคิดเอาเองว่า..คนนั้นผิด คนนี้ถูก
    จริงหรือไม่ ตัวเราเองก็ยังไม่รู้ สังขารหรือคิดปรุงแต่งนำหน้าไปก่อนแล้ว เคยรู้ตัวกันบ้างไหม
    เราตกไปอยู่กับโลกแห่งความคิดตนไปเรียบร้อยแล้วก็ยังไม่รู้ตัว แต่ถ้าเราตกไปอยู่ในสังขารขันธ์
    หรือความคิดปรุงแต่งของตนไปแล้ว ก็ยากที่จะตามทัน เพราะสติคนธรรมดาๆ มักตามไม่ทันแน่
    ขนาดนักภาวนาอาชีพ ก็ยังตามกันไม่ค่อยจะทัน มิใช่ให้ไปตามความคิดหรือปรุงแต่งของผู้ใด
    ที่พูดนี่กำลังหมายถึงความคิดของตนเองนี่แหล่ะ สังขารขันธ์หรือความคิดที่มันผุดขึ้นมาเอง
    โดยธรรมชาติของจิตมนุษย์ โดยเฉพาะจิตผู้ที่ไม่อยู่เฉยคือจิตไม่นิ่ง เพราะยังมิได้ฝึกจิต
    ไม่มีผู้ใดห้ามความคิดของเราได้ แต่ถ้านักภาวนาที่ตามทันแล้วย่อมจะรู้ดีว่าควรวางใจอย่างไร
    อย่าไปห้ามความคิดเพราะเป็นเรื่องธรรมชาติแห่งจิต ภาวนาเจริญสติมากๆเพื่อตามดูตามรู้จิตตน
    มิให้วิ่งตามสิ่งที่จิตไปคิดหรือผุดรู้ออกมาจากจิต แค่กำหนดจิตเรารู้เท่าทันสิ่งที่ไปรับรู้มาเท่านั้นเอง
    เพราะผู้ที่ไม่ได้ฝึกจิตมาดีย่อมตามไม่ทันและวิ่งตาม ย่อมเป็นทุกข์อย่างแน่นอน
    สำหรับผู้ที่ตกไปอยู่โลกแห่งความคิดของตนอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ชนิดที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป
    ก็เลยพากันหนีทุกข์ วิ่งเข้าหาสุขทางโลก มีดวงตาหามีแววไม่ การที่จะเห็นธรรมหรือความจริง
    ตามที่พระพุทธองค์เห็นนั้น เราจะต้องเห็นด้วยตาในคือจิตของเรา เพราะฉะนั้นนักภาวนาจะต้อง
    ตามหาจิต/ดวงจิตของตนให้พบเจอไวๆเพราะธรรมที่พบในจิตตนนั้นจะกลับมาสอนตัวของเราเอง
    พระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ธรรมะของครูบาจารย์ ธรรมะของผู้อื่นก็สอนตนเองมิได้
    นอกเสียจากธรรมะที่ผุดออกมาจากภายในจิตตนเท่านั้น จึงจะรู้ความเป็นจริงตามดั่งพระพุทธองค์

    เมื่อก่อนข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนทั่วไป คือจิตไม่นิ่ง แต่ตอนนี้ก็มิได้วิเศษไปกว่าผู้อื่นแต่อย่างใด
    เหมือนพวกเราทุกอย่าง แต่อาจต่างกันที่ภายใน นั่นก็คือจิตใจที่เปลี่ยนไป มีสติสัมปชัญญะมากขึ้น
    เพราะฉะนั้น คนเราก็อย่าคิดให้เสียเวลาที่จะไปเปลี่ยนคนนั้น คนนี้ ตามดั่งใจของตนเลย
    เพราะเป็นไปไม่ได้ แค่ตัวนิสัยสันดานของตนก็ยังเปลี่ยนไม่ได้ แล้วจะเที่ยวไปคิดเปลี่ยนคนอื่น
    เลิกคิดไปเลย แต่มีอยู่สิ่งเดียวที่พอจะเปลี่ยนแปลงนิสัยเสียหรือสันดานของตนเองได้
    นั่นก็คือกรรมฐาน ที่นักภาวนากำลังเจริญสติภาวนากันอยู่เวลานี้นี่แหล่ะ พอจะมีโอกาสได้บ้าง
    แต่มิใช่แค่นุ่งขาวหรือห่มเหลืองแล้วจะเปลี่ยนทันทีทันใดได้เลย อันนั้นมันง่ายไป

    สำหรับผู้ที่อยากจะออกจากความทุกข์ของตน ไม่อยากกลับมาเกิดใน ๓๑ ภพภูมิ
    เราจำเป็นจะต้องนำจิตมาปฎิบัติธรรม นำจิตมาเดินตามมรรคและจะต้องเดินให้ถูกต้องด้วย
    มีนักภาวนาหลายต่อหลายท่าน มักเอาสติมาเดินมรรคผิด ก็คือ เอาสตินำจิตตนเอง
    ตรงนี้นักภาวนาจะต้องพึงระวังให้ดี เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่นักภาวนาจะต้องมีครูหรือผู้รู้คอยแนะนำ
    เพราะไม่อย่างนั้นนักภาวนาก็จะไม่รู้แนวทางการปฎิบัติของตนนั้น ติดขัดอะไรบ้าง เราจะไปรู้ไหม
    ยกเว้น พวกสัพพัญญู แต่ถ้าเราทำสมาธิแค่ขณิกสมาธิหรือสมาธิเล็กน้อย หรือสูงกว่านี้ไปนิดนึง
    นั่นก็คืออุปจารย์สมาธิหรือเฉียดฌาน แต่ไม่เป็นไร แต่ถ้าเลยเขตนี้ไปแล้วไม่ได้ อันตรายมาก
    เช่น อัปปนาสมาธิหรือว่าฌานเป็นต้นไป นั่นหมายถึงผู้ที่กำลังจะเข้าเขตความละเอียดแห่งจิต
    จิตเรากำลังจะเข้าสู่โลกทิพย์ อาจจะทำให้นักภาวนาปฎิบัติหลงได้ เพราะโลกทิพย์นั้นไม่มีใคร
    มีเราแต่ผู้เดียวเท่านั้นเวลาเข้าฌาน โดยเฉพาะฌานลึกตั้งแต่ฌาน๔ อาการหูดับและประสาท
    จะถูกตัดขาดออกจากกัน บอกตามตรงว่าหลงทุกรายไป ไม่เชื่อลองดู ยกเว้นผู้ที่ทำสมาธิเล็กน้อย
    แต่ถ้าเข้าเขตละเอียดแห่งจิต ฌานต้นๆยังไม่อันตราย แต่จะอันตรายตรงที่นั่งแล้วเห็นนู้น เห็นนี่
    เรียกว่า นิมิต เมื่อเห็นแล้วเกิดความสงสัยมากมาย สรุปแล้วถ้าเราขืนเผลอสติหรือปล่อยจิตหลง
    ไปตามตัวที่จิตเราไปรู้หรือไปรับรู้มา เป็นสิ่งที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนหน้านี้ แต่ถ้าดีหรือไม่ดี
    ยิ่งยึดถือเอาเป็นตัวเป็นตน อันนี้น่ากลัวเพราะตนหลงก็ยังไม่รู้ตัว คราวนี้หล่ะเขาเรียกว่ากู่ไม่กลับ
    ใครเตือนก็ไม่ฟังละ เพราะถือว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นคนอื่นไม่ได้เห็นอย่างเรา
    โน้นแหล่ะ คนแบบนี้จะกลับมาเป็นปกติหรือดังเดิมได้ ต้องรอพบขุมปัญญาตนเอง
    ถ้าโชคดีมีครูบาจารย์มาโปรดหรือมาสอนในจิตก็ดีไป แต่ถ้าไม่มีก็ปล่อยให้คนอื่นว่าตนเพี้ยนไป

    ข้าพเจ้าขอแนะนำให้ไปหาครูบาจารย์หรือผู้รู้ที่ตนเองศรัทธา เราก็อย่าไปถือว่าตนเก่งทางโลกแล้ว
    ข้ามีความรู้ทางโลกมาก ข้าจบโท-เอก ข้ามีตำแหน่งหรือหน้าที่ใหญ่โตแล้ว ไม่มีผู้ใดมาสอนตนได้
    ผู้ที่คิดแบบนั้นขอบอก..ผิดถนัด ตรงนี้แหล่ะที่จะขอเตือนโดยเฉพาะผู้ปฎิบัติใหม่ ความรู้ทางโลก
    ยิ่งมีความรู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีใหญ่ แต่ให้นำไปใช้กับทางโลก มิใช่มาใช้กับการปฎิบัติธรรม
    ความรู้ทางโลก(อีโก้)จะเป็นตัวขัดขวางมิให้เข้าถึงธรรมหรือไม่เจริญก้าวหน้าในธรรมเท่าที่ควร
    ไปดูประวัติของอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ผู้ที่เคยคิดแบบนั้นมาก่อน
    ***ขออภัย ขออนุญาตออกนามท่านเพื่อเป็นธรรมาทาน เพราะคนส่วนใหญ่นั้นรู้จักท่านเป็นอย่างดี
    และตัวผมเองก็เอาแบบอย่างหรือนำปฎิปทาของท่านมาเป็นแนวทางการปฎิบัติของตนเองด้วย***

    พร่ำไปพร่ำมายาวจนได้
    แค่อยากจะบอกว่า..ที่คนเรามันยุ่งหรือว่าคนอื่นมันยุ่งหรือโลกมันยุ่งอะไรก็ประมาณนั้น
    หรือแบ่งพรรค แบ่งพวก แบ่งสี แบ่งแยกดินแดน แบ่งความคิด ผิดหรือถูก อะไรก็ตามแต่
    ซึ่งเกิดมาจากสาเหตุภายใน คือจิตใต้สำนึกของคนนั้น หรือคนเราชอบนำสติห่างจิตตนเอง
    คนเราส่วนใหญ่ถึงได้ดูยุ่งเหยิงหรือวุ่นวาย หลงเบียดเบียนกัน หลงทำกรรมโดยเฉพาะกรรมไม่ดี
    แต่ความจริงไม่มีผู้ใดผิดหรือถูก ที่คนเราหลงมาเกิดย่อมมีโอกาสตกหรือหลงไปอยู่กับสิ่งสมมุติ
    เพียงแต่พวกเรายังหาทางออกกันไม่ได้เท่านั้นเอง
    เพราะความไม่รู้ของตนเป็นเหตุ ตราบใดจิตผู้นั้นยังไม่เป็นสัมมาทิฎฐิ ไม่มีทางเห็นถูกต้องตามมรรคแน่
    เพราะสัมมาทิฎฐินั้นซึ่งอยู่ในมรรคข้อแรกสุด ว่าด้วยเรื่องปัญญา
    ***ข้อที่๑-๒ ว่าด้วยเรื่องปัญญา ซึ่งพระพุทธองค์ทรงนำมาให้พวกเราพิจารณาเป็นข้อแรก
    ***ข้อที่๓-๔-๕ ว่าด้วยเรื่องของศีล ***ส่วนที่เหลือก็คือข้อที่๗-๘ ว่าด้วยเรื่องสติและสมาธิ
    นั่นเป็นเรื่องของทฤษฎี แต่ถ้าเป็นเรื่องของการปฎิบัติ นักปฎิบัติจะต้องเริ่มต้นกันที่ศีลก่อน
    แล้วค่อยไปว่ากันเรื่องภาวนา หรือ เจริญสมถสมาธิก่อนค่อยไปต่อวิปัสสนา เป็นต้น
    สรุปแล้ว นักปฎิบัติธรรมทุกท่านจะต้องเจริญรอยตามมรรคมีองค์๘ นี้เท่านั้น
    ซึ่งเป็นหนทางไม่มีคำว่า"หลงทาง" ถ้าปฎิบัติถูกต้องตามอริยมรรคของพระพุทธองค์

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ
    ด้วยความปรารถนาดี
    จาก.."สมาคมจิตเกาะพระ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มิถุนายน 2013
  7. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขอขอบพระคุณค่ะ...ท่านพี่ภู และพี่แนทศิษย์love...แหม๋..พี่ภูเขียนออกมายังกะตาเห็นแหน่ะ...ทั้งสองข้อความ...อ่านแล้วทำให้เขื่อนกั้นน้ำของหนูแตกเลยอ่ะ...555...ถ้าพี่บี้ กะน้องหนูนา..เป็นซุปตาร์ได้เพราะคำว่า.. born to be...ถ้างั้น...ครูเกษก็คงจะเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ หรือ เพื่อเป็นแบบนี้..กระมั่งค่ะ...สาธุ...:cool:({):cool:({)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มิถุนายน 2013
  8. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขออนุญาตจัดเต็มอีกครั้งค่ะ นี้เป็นการบ้านของลูกศิษย์ ที่จิตเกาะพระเป็นออโต้แล้ว..ทำให้จิตเข้าโหมดวิปัสสนาได้เองจะเป็นแบบนี้ และห้ามเอาสติไปนำจิตเด็ดขาด ให้มีสติแค่ตามดูจิตมันไปเท่านั้น แล้วให้มีสติคอยตะล่อมจิต ช่วยจิตหัดพิจารณาธรรมจากกายไปแบบนี้ เพื่อให้จิตเค้าออกมาวิปัสสนาได้เอง เพราะถ้าเกิดใครเอาสติไปนำจิตเสียแล้ว จิตมันจะดื้อเหมือนเด็ก และไม่ยอมออกมาวิปัสสนาน่ะ..จะบอกให้..:boo::boo::boo:

    วันนี้สติมันเหมือนจะรู้ตัวก่อนจะลืมตาครับ แล้วเหมือนจะเห็นความคิดตัวเอง พอลืมตาผมก็จับภาพพระทันที แล้วเปิดทีวีดูข่าวไปพร้อมจับภาพพระไปเรื่อยๆ สักพักก็มาอาบน้ำแล้วพิจารณาความสกปรกของร่างกายไปด้วยครับ ตอนไปทานข้าวเช้าก็พิจารณาว่าข้าวที่กินเข้าไปกินเพื่ออะไร กินเพื่อดับความหิวนี้เท่านั้น ไม่ว่าจะกินดีเท่าไหร่ เดี๋ยวมันก็ถ่ายออกมาเหมือนกันหมด ถึงจะบำรุงมันเท่าไหร่ มันก็เจ็บแล้วก็ตายหาความเที่ยงไม่ได้(พิจารณาแป๊บเดียวข้าวหมดจานซะแล้ว) รู้สึกว่ากินเพื่อบรรเทาความหิวไม่ค่อยสนใจกับรสชาติเท่าไหร่ครับ ตอนทำงานก็พิจารณาเรื่องทุกข์ที่ต้องทำงานเพราะอะไรครับ พอนึกถึงพระทุกที ส่วนมากผมจะนึกคำว่าพระก่อนค่อยเห็นองค์พระ แต่วันนี้นึกถึงคำว่าท่านพ่อมีอาการขนลุกซู่แล้วมีอาการตื้นตันใจน้ำตาจะไหล่อีกแล้วครับ สายๆ พอดีปวดท้องเข้าห้องน้ำ ช่วงถ่ายอยู่มันคิดขึ้นมาได้ว่านี้อาหารที่เรากินเข้าไปไม่ว่าดีแค่ไหนสุดท้ายมันก็ถ่ายออกมาเป็นแค่นี้ครับ พักเที่ยงได้เดินไปโรงอาหารกลางแดดแต่รู้สึกไม่ค่อยสนใจกับความร้อนที่มากระทบร่างกายเท่าไหร่ครับ ถ้าเป็นทุกทีต้องรีบเดินเข้าหาร่มไม้แล้วรีบให้ถึงไวๆ กลางวันนี้ได้ทานก๋วยเตี๋ยว แล้วผมมองดูต้นถั่วงอกในชามมาพิจารณากับร่างกาย ว่าแค่ถั่วงอกต้นเดียวร่างกายนี้ยังสู้ไม่ได้ ถั่วงอกเมื่อเขาถอนมายังมาทำเป็นอาหารได้ หรือแค่พอเริ่มเน่านิดหน่อยแค่ล้างๆ น้ำก็ยังเอามาผัดกินได้ยังจับยังแตะต้องได้ แต่ร่างกายเราพอตายลงหาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย แม้แต่คนที่รักเราที่สุดยังไม่กล้าเข้าใกล้เลย(แพ้ถั่วงอกต้นเดียวซะแล้วร่างกายนี้ เฮอ เฮอ เฮอ) ช่วงบ่ายมีเรื่องยุ่งๆต้องเตรียมของพิธีไหว้ครูมีการซักซ้อมเกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนา ช่วงซ้อมเจ้าพิธีจู้จี้จุกจิกกลัวไม่สวยไม่เป็นระเบียบ ผมมีความคิดว่าเขาทำเพื่อเคารพพระหรือทำเพื่อเอาหน้าตา หรือทำตามที่เขาปฏิบัติกันมา เขาเคารพพระกันจริงๆ หรือเปล่า แล้วเริ่มมาใช้โน่นนี้ผม ผมเกิดอาการหงุดหงิดไม่พอใจขึ้นมาก็ตามดูอารมณ์ไปเรื่อยๆ แตมีการเผลอดูไม่จบรู้สึกตัวอีกทีมัมก็ดับไปแล้ว ผมก็มาพิจารณาอารมณ์ใหม่ว่าเป็นเพราะอะไร ก็รู้สึกว่าผมมีทิฐิมานะถือตัวถือตน ตัวกูของกูอยู่ พอประมาณบ่าย3 พระมาทำพิธีใครจะใช้อะไรผมทำหมด คือจะดัดมันสักหน่อยครับ แต่ช่วงนี้อารมณ์จิตไม่ขุ่นแล้วครับ อารมณ์สบายๆ ตอนเย็นกลับมาห้องมาเปิดอ่านเมล์ครูดู พออ่านจบรู้ว่าท่านพ่อกับหลวงพ่อท่านได้ส่งพลังพุทธะมาให้ รู้สึกว่าท่านปราณีคนอย่างผมมากเหลือเกินมันตื้นตันใจน้ำตาซึมเลยครับ สักพักผมไปซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาทาน(ก่อนทานอาหารทุกมื้อผมจะถวายอาหารให้พระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ ผู้มีพระคุณทุกท่านครู อาจารย์เทวดาทุกๆพระองค์ก่อนเสมอ) ตอนถวายให้ท่านพ่อ นึกถึงท่านมือสั่นน้ำตาไหลเลยครับ ที่ได้นึกถึงพระเมตตาของท่านพ่อ หลวงพ่อฤาษี หลวงปู่ปานรู้สึกอารมณ์มันอิ่มไปหมด อารมณ์มันยอมท่านทั้งกาย และใจเลย ตอนจะมาพิจารณาอสุภะนี่มันเกิดปัญหามันไม่ยอมจะพิจารณา พอดีนึกขึ้นได้ว่ามีสมุดภาพพิจารณาสังขารเอามาเปิดพิจารณามันก็รู้สึกเฉยๆ กับภาพซากศพ ผมเลยเขายูทูบเพือหาภาพมาพิจารณาอีก มันก็ยังเฉยๆ อีก ผมเลยขู่ลงไปว่ายังอยากเกิดอีกหรือไม่เหนื่อไม่เบื่อบ้างหรือไง แล้วผมก็ลงไปอาบน้ำ ตอนอาบน้ำก็พิจารณาความสกปรกของร่างกายไปด้วย แล้วก็รู้สึกเห็นหน้าตัวเองเป็นเนื้อแดงๆ ขนลุกซู่เลยครับ ขึ้นมาก็มาเปิดยูทูบเป็นอสุภะกรรมฐาน หลวงปู่สมชายดูแล้วพิจารณาไปด้วยสักพักน้ำตาซึมเลยครับ(สงสัยบ่อน้ำตาจะตื้นครับครู) รู้สึกขึ้นมาว่าแค่นี้เองนะหรือร่างกายเรา

    ภาพพระเมื่อวันเริ่มวิปัสสาผมเห็นเพียงแสงสว่างขาวๆ ครับ แต่วันนี้ตอนฟังพระสวดช่วงเย็นพอนึกถึงผมเห็นท่านพ่อเป็นแก้วใสนั่งอยู่กลางดวงแสงครับ ตอนนี้แค่นึกภาพก็ปรากฏทันทีเลยครับ แต่ภาพระลอยขึ้นมาเองยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ครับภาพท่านพ่อผมจับเป็นระยะๆ บางช่วงหลังพิจารณาผมจะอยู่กับท่านพ่อให้นานบ้าง..... บางครั้งตอนกำลังพิจารณาก็มีภาพพระขึ้นมาคั้นเป็นช่วงๆ ก็มีครับ

    เกียรติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มิถุนายน 2013
  9. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    เอ้า..ขอแถมอีกสัก 2 ฉบับก็แล้วกัน...ขอเชิญทุกท่านโมทนาบุญกันให้ถ้วนหน้า...สำหรับธรรมมาทานนี้เถิด..สาธุๆๆ:cool::boo::cool::boo:

    เช้านี้ตื่นมาก็จับอสุภะเลยครับ สลับกับระลึกถึงท่านพ่อไปด้วย แต่ไม่เห็นภาพแค่นึกถึงเฉยๆครับ ช่วงอาบน้ำก็พิจารณาความสกปรกของร่างกายไปด้วยครับ ตอนทานข้าวเช้าทานไปนิดเดียวประมาณ5-6 คำ มันรู้สึกไม่หิวมันอิ่มๆอย่างไรก็ไม่รู้ครับ มันไม่ใช่อาการเหมือนเบื่ออาหารอย่างครั้งก่อนมันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เมือวาน ตอนมื้อกลางวันมีจัดเลี้ยงอาหารให้ผู้มาร่วมงาน พอเลิกพิจารณาอสุภะจะมาทานข้าวรู้สึกเหมือนผู้คนมันเหมือนๆ กันหมด ไม่อยากพวกอาหารคาวเลยมันอิ่มๆ อย่างไรก็ไม่รู้ เลยทานขนมหวานไป1ถ้วย กับผลไม้อีกไม่กี่ชิ้น ช่วงเย็นก็ไม่หิวเลยไม่ทานอีกจนมาถึงมื้อเช้า ตอนเช้าผมก็ฟังเทศน์ของหลวงปู่สมชายเรื่องให้พิจารณาร่างกายแล้วพิจารณาไปด้วย(เทศน์นี้ชอบมากครับฟังทั้งวันมา2วันแล้วครับ) ส่วนมากจะพิจารณาแต่ร่างกายนานๆ จะมาลงที่มรณานุสติทีครับ พยายามจะพิจารณามรณานุสติ แต่มันวนอยู่แต่อสุภะนานๆ ถึงจะลงมรณานุสติทีหนึ่งครับ กลางวันมันก็ไม่รู้สึกหิวอีกแต่มันมีอาการแสบท้องนิดๆ ก็ไปกับเพื่อนๆ นั่งทานไปพิจารณาอาหารว่าเรากินทำไม จุดประสงค์เรากินเพื่ออะไร ทำไปทำมาก๋วยเตี๋ยวหมดซะได้(นี่ขนาดไม่หิวนะเนียะ) กับมาพักกลางวันกำลังจะเอนตัวลงนอนเหมือนกำลังจะคิดอะไรสักอย่าง แต่เห็นสติมันดึงความคิดมาอยู่กับตัวไวมาก ผมเลยนอนพิจารณาเรี่องสติกับการทำงานของมัน เลยพอจะเข้าใจนิดๆ ว่าทำไม่ครูถึงย้ำเรื่องสติบ่อยๆ แล้วช่วงเย็นมาเห็นผลของสติอีก คือว่าพรุ่งนี้จะมีการเลี้ยงรุ่นกันเลยนัดไปเจอกันที่บ้านเพื่อน แล้วชวนกันไปร้านเหล้า ผมบอกไม่อยากไปรำคาญคนเยอะ ผมไม่กินเหล้าแล้วด้วย แต่ถ้านั่งที่นี่ผมก็อยู่คุยได้ มันก็เซ้าซี้กันจะให้ไปให้ได้ มันเลยมีตัวโกรธพุ่งขึ้้นมา แต่สติมันเห็นวับ พอรู้มันดับเลยครับ การทำงานของมันเร็วมากๆ (ผมยังทึ่งเลยเพราะเป็นครั้งแรกที่เป็นแบบนี้ แล้วพระมหาสติ พระมหาปัญญาของพระพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้าจะขนาดไหนไม่ต้องคิดเลย คิดอย่างไงก็คิดไม่ออกแน่ๆครับ)

    วันนี้ตื่่นนอนมันจับอสุภะทันที มองเห็นภาพศพแล้ว ผมก็ดึงสติมาหาท่านพ่อแป็บเดียวต้องรีบลุกมาสวดมนต์ ไหว้พระ 6โมงต้องรีบไปเตรียมของพิธีไหว้ครูตอนอาบน้ำก็พิจารณาความสกปรกทั้งภายนอกภายในกาย ช่วงทานข้าวเช้าก็พิจารณาอาหารเหมือนเดิม แต่วันนี้ช่วงเช้าทั้งวันพิจารณาแต่อสุภะแล้วก็ฟังเทศน์เกี่ยวกับร่างกายนี้ด้วย(ผมโหลดลงมือถือแล้วเสียบหูฟัง) แล้วพิจารณาตาม เรื่องพิธีไหว้ครูแทบไม่รู้เรื่องเลย ตามองพื้นหูฟังเทศน์ พอเงยหน้าเห็นคนก็กำหนดให้เห็นเป็นศพเป็นกระดูกไปหมด(ลืมไปเซ็นชื่อมาทำงานเลย) บางครั้งกำหนดดูตอนเพิ่งตายแล้วค่อยๆ เน่า แล้วเหลือแต่กระดูกแล้วหายไป แล้วย้อนดูกระดูกขึ้นมาจนกลายเป็นร่างกาย แล้วพิจารณาตอนเพิ่งตายว่าเกิดขึ้น ช่วงเน่าตั้งอยู่ ตอนเป็นกระดูกแล้วสลายคือดับไปเหลือแต่ความว่าง ช่วงบ่ายเสร็จพิธีแล้วช่วยเก็บของเสร็จ ผมกลับมาห้องพักเพื่อมาฝึกเรื่องสติแทนเพื่อจะเร่งสติขึ้นมา ผมก็เพ่งสติพยายามจับภาพท่านพ่อให้นานที่สุด แล้วสลับมาจับความเคลื่อนไหวของร่างกายประมาณ 1 ชั่วโมง รู้สึกเหมือนสติมันดับพรึบแล้วก็วูบขึ้นมา(มันเร็วมาก) สมองมันเบาโล่งไปหมด มือมันเบาเหมือนไม่มีน้ำหนักเลยครับ สติจับแต่การเคลื่อนไหวของร่างกาย จะนึกถึงพระก็นึกไม่ออก แต่มันไม่ได้รู้สึกพร้อมกันทีเดียวมันจะจับการเคลื่อนไหวที่ละอย่าง แล้วมันอยากจะเดินอยากจะขยับแต่ร่างกาย ผมเดินจนเมื่อย ต้องให้มันหยุดเดิน พอหยุดมันก็จะขยับเเขนขยับมือ ให้มันนึกถึงท่านพ่อก็นึกไม่ออกมีแต่ภาพศพ เครื่องในคนผุดขึ้นมาเต็มไปหมด แต่ให้พิจารณามันก็ไม่ยอมพิจารณา ผมก็เลยดูมันไปเรื่อยๆ รู้สึกอารมณ์มัน ร่างกายเบามากเลยครับ

    วันนี้ไหว้ครูทางโลกแล้วก็เลยหาภาพดอกไม้มาไหว้ครูทางธรรมด้วยครับ ลูกศิษย์ขอกราบครูเกษและคุณครูทุกท่านครับ

    เกียรติ
     
  10. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    ขออนุโมทนากับจิตบุญดวงที่ ๑๓๗ และคุณครูผู้สอน และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุก ๆ ท่านค่ะ

    [​IMG]
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=r3ejc6nIaUs]อนัตตลักขณสูตร - YouTube[/ame]
    สูตรที่ทำให้ปัญจวัคคีย์เป็นพระอรหันต์
    หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้ทรงเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ทั้งห้า ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เรียกการเทศนาครั้งนี้ว่า "ธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร" ซึ่งนับได้ว่าเป็นปฐมเทศนาของพระพุทธองค์ และแสดงเทศนาเป็นครั้งที่สองนั่นก็คือ "อนัตตลักขณสูตร" แก่ปัญจวัคคีย์ทั้งห้า เนื้อหาของพระสูตรจะเกี่ยวข้องกับความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน เรียกว่า "ไตรลักษณ์"​

    อ่านเพิ่มเติม
    ͹ѵ�

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=6tBHrMCKxNk"]???????????????????? By Mayagoon - YouTube[/ame]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มิถุนายน 2013
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อภิมหาโมทนาสาธุกับคุณเกียรติด้วย
    ว่าที่จิตบุญ ดวงที่เท่าไหร่ก็ไม่รุ๊ ครูเกษสำรองที่นั่งด่วนเลย
    ขอโมทนาสาธุกับครูเกษมณี มณีเกษเป็นอย่างสูงยิ่งด้วยนะครับ
    ตกลงครูสอนเก่งหรือว่าลูกศิษย์วิปัสสนาเก่งกันแน่
    ในนามสมาคมจิตเกาะพระ ขอขอบพระคุณ คุณเกียรติและครูเกษด้วย
    อยากให้ผู้ที่กำลังปฎิบัติจิตเกาะพระได้ดูเป็นตัวอย่าง

    จุดเด่นจิตเกาะพระก็คือ ช่วยย่นระยะเวลาสมถกรรมฐาน
    เพราะนักปฎิบัติมักจะผ่านสมถกรรมฐานยากหรือนาน กว่าจะเข้าโหมดวิปัสสนากรรมฐาน
    การปฎิบัติธรรมนั้น ยากตรงสมถกรรมฐานนี้แหล่ะ แต่ถ้าจิตไม่สามารถเข้าถึงสมถกรรมฐานได้
    นั่นก็หมายถึงผู้ปฎิบัติไม่สามารถให้จิตตนเองนิ่งหรือเป็นสมาธิได้
    เพราะฉะนั้นแล้ว จิตย่อมไม่ทำวิปัสสนาแน่หรืออาจจะเป็นวิปัสสนึกแทน

    อย่าลืม! เพราะว่าสมถกรรมฐานนั้นเป็นบาทฐานของวิปัสสนากรรมฐาน
    จิตเราจะต้องมีปัญญาเสียก่อน จิตถึงวิปัสสนาได้
    ตราบใดจิตไม่ยอมวิปัสสนา(พิจารณาธรรม) จิตมัวไปติดแต่สมถะนาน
    เพราะเราเจริญสติไม่พอ เราก็แค่สุขจากสมถสมาธินั่นเอง

    อย่าลืม สมาธิชั่วคราวหรือฌานนั้น เป็นแค่หินทับหญ้าเท่านั้น
    ผู้ปฎิบัติธรรมจะบรรลุธรรมขั้นใด หรือปล่อยวางได้มากหรือน้อยนั้น
    ก็ขึ้นอยู่กับวิปัสสนามากหรือน้อย หรือวิปัสสนาขาดหรือไม่

    เคยฟังเทศน์หลวงปู่ดูลย์ฯกันมั๊ย ท่านว่า..จิตนิ่งเมื่อไหร่เราก็รู้เมื่อนั้น
    เพราะฉะนั้น กว่าเราจะเข้าใจพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพพุทธองค์
    จึงต้องทำให้จิตเรานิ่งหรือเป็นสมาธิก่อน ถ้าไม่อย่านั้น No way!
    แต่จะเข้าถึงพระธรรมหรือคำสอนฯจิตเราต้องผ่านวิปัสสนาให้ได้ก่อน

    พอแร๊ะ ยิ่งพูดยิ่งงง

    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 6 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    ภูทยานฌาน2, Dhammanee
    สงสัยคงจะเหลือตากับยายแน่ๆ ครูเกษจะเปลี่ยนใจก็บอกมานะ
    สอนไปทั้งๆที่มองไม่เห็นอนาคต แต่ก็ยังสอนอยู่แล้ว ฮ่าๆ รู้แล้วว่าเอาแรงที่ไหนมา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มิถุนายน 2013
  13. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    สอนไปทั้งๆที่มองไม่เห็นอนาคต แต่ก็ยังสอนอยู่แล้ว ฮ่าๆ รู้แล้วว่าเอาแรงที่ไหนมา

    ขออนุโมทนาสาธุ กับครูเกษ ที่ท่านได้ทุ่มเทกําลังใจ กําลังกายที่ได้สอนศิษย์ ให้เห็นความสุข ความสว่าง ผู้ให้แสงสว่างแก่ผู้อื่น ก็คือผู้ให้แสงสว่างแก่ตนด้วย นั่นเองอนาคตก็คือ ความสุขความสงบ และความหลุดพ้น เพราะอนาคตจะดี หรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับปัจจุบัน เพราะทําปัจจุบันดีแล้วนั้นแหละ คือผู้ที่จะมีอนาคตที่ดีแน่ ขออนุโมทนาสาธุ กับครูเกษ และครูผู้สอนทุกๆท่าน ขอให้ท่านจงเป็นผู้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงด้วยเทอญ
     
  14. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้ปฏิบัติตามรอยของพระพุทธเจ้าชี้บอกแล้ว จะเป็นผู้หายสงสัยในอดีต อนาคต เพราะเชื่อว่าการเกิดมาของแต่ละคน ละสัตว์ก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตนในปัจจุบันเท่านั้นหรือการกระทํากรรมนั้นๆ ถ้าเราได้มาปฏิบัติธรรมแล้ว ก็เป็นการปฏิบัติตนในปัจจุบันให้ดี คือทํากรรมดี เพราะปัจจุบันธรรม เป็นการแก้กิเลสที่จะเกิดขึ้นไม่ให้เกิดขึ้น เพราะเราใช้สติ หรือ เราได้นําธรรมมาพิจารณาลงในปัจจุบัน เพราะอดีต อนาคตก็ไม่มีใครไปแก้ไขได้แล้ว จึงแก้ลงในปัจจุบันเท่านั้น ผู้ปฏิบัติผู้เดินตามปฏิบัติตามท่านชี้บอกแล้วก็จะเป็นผู้ที่จะทําตนให้รู้แจ้ง แห่งกองทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง ท่านเรียกว่า"มรรค"คือ ความเพียรที่จะทําให้เราทําเพื่อความพ้นทุกข์...นั้นเอง
     
  15. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ขอแสดงความยินดีและอนุโมทนากับคุณตูน จิตบุญดวงที่137 และครูเกษผู้มีมหาเมตตารวมถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ...;ปรบมือhp_dayhp_dayhp_day
     
  16. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    สิ่งที่ต้องจำไว้
    ในการปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์
    (บางตอนของพระพุทธองค์
    )


    ๑. “อย่าเสียดายอะไรในโลกทั้งหมด”
    (ความพอใจกับไม่พอใจ ซึ่งปิดกั้นมรรคผลนิพพานไว้หมด...พอใจเท่ากับโลภะหรือราคะ ไม่พอใจเท่ากับปฏิฆะหรือโทสะ)

    ๒. “อย่าทิ้งอนิจจาวะตะสังขารา”
    (อย่าทิ้งไตรลักษณ์และมรณานุสสติ ซึ่งสามารถระงับกิเลสได้อย่างฉับพลัน และฆ่ากิเลสทุกชนิดได้ในที่สุด)

    ๓. “หากร่างกายไม่ดี ให้คลายจิตจากงานทางโลกทั้งปวง”
    (เพราะหากจิตเกาะกายก็คือเกาะทุกข์ ผลยิ่งทุกข์มากขึ้นให้ปฏิบัติตามข้อ ๑๕ และ ๑๖)

    ๔. “สภาพจิตใกล้สิ่งไหนเกาะสิ่งนั้น รับสัมผัสสิ่งดีก็ยึดดี รับสัมผัสสิ่งเลวก็ยึดเลว”
    (จุดนี้สำคัญมากตอนใกล้จะตายจิตเกาะบุญหรือความดีก็ไปสวรรค์ จิตเกาะบาปหรือความชั่วก็ไปนรก ผู้ไม่ประมาทจึงซ้อมตาย และพร้อมตายอยู่เสมอ)

    ๕. “อย่าฝืนกายเพราะยิ่งฝืนยิ่งทุกข์”
    (จุดนี้คืออริยสัจ ซึ่งเป็นปัญญาสูงสุดในพุทธศาสนา เพราะทุกข์กายหรือทุกขสัจ ทรงให้กำหนดรู้ว่าธรรมดาของมันเป็นอย่างนี้แหละ ไม่มีใครแก้ไขให้เป็นอย่างอื่นได้ สิ่งที่ต้องฝืนคือสมุทัย ต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ต่างหาก)

    ๖. “ทุกข์ใดเกิดต้องพยายามหาเหตุให้พบ แล้วปลดเสียให้ได้”
    (ใช้หลักอริยสัจเป็นหลักสำคัญในการแก้ปัญหา ทั้งทางโลกและทางธรรม)

    ๗. “อย่ามัวหลงศพเดินได้อยู่”
    (อย่าหลงส้วมเคลื่อนที่หรือหนังหุ้มขี้) เท่ากับจงอย่าหลงอย่าติดในร่างกายของเราและของผู้อื่น หากตัดได้ก็เท่ากับตัดสักกายทิฏฐิ จบกิจในพระพุทธศาสนาก็จบที่จุดนี้

    ๘. “ตัดความกังวล ตัดความกลัวตายด้วยการพิจารณา”
    (การพิจารณาทำให้เกิดปัญญา ให้พิจารณาหาความจริงที่กายเรา และจิตเราเป็นสำคัญ เมื่อพบแล้วให้ยอมรับความจริงนั้นๆ จนกว่าจิตจักวางความกังวลใจลงได้ จึงจักเข้าถึงอริยสัจอย่างแท้จริง)

    ๙. “หากวางขันธ์ ๕ ได้อย่างเดียวก็วางทุกสิ่งได้หมด”
    (คนฉลาดพระองค์สอนสั้นๆ เพียงแค่นี้ก็จบกิจในพุทธศาสนาได้แล้ว เพราะสิ่งที่เรารักและหวง-ห่วงมากที่สุด ก็คือ ร่างกายที่เราอาศัยอยู่นี่แหละ)

    ๑๐. “อย่าเพ่งโทษผู้อื่น อย่าสนใจจริยาของผู้อื่น”
    (เพราะเป็นอุปกิเลสหรือสะเก็ดความดีในพุทธศาสนามีย่อๆ ๕ ข้อ คืออย่าเสือก-อย่าซ่า-อย่าหลง-อย่าเป็นตำรวจ และอย่าเป็นผู้แทน)

    ๑๑. “ตั้งอารมณ์ให้ถูกให้เป็นสัมมาทิฏฐิ”
    (เพราะหากตั้งอารมณ์ผิด ผลที่ได้จะผิดตลอด หากตั้งอารมณ์ถูก ผลที่ได้ก็จะถูกตลอด)

    ๑๒. “อย่าทิ้งธาตุ ๔, อาการ ๓๒, อสุภกรรมฐาน, มรณานุสสติ, ไตรลักษณญาณและอานาปานุสสติ เท่าอนุสสติ สุดท้ายคือ กายคตานุสสติ, มรณานุสสติ และอุปสมานุสสติ

    ๑๓. “อย่าให้จิตว่างจากพระกรรมฐาน”
    (เพราะจิตมีสภาพเกาะ หากให้จิตเกาะความดีความชั่วก็เข้าไม่ได้ หรือเกาะบุญดีกว่าเกาะบาป)

    ๑๔. “หนีภัยทุกชนิดหนีไม่พ้นหรอก เพราะเป็นกฎของกรรม ซึ่งเที่ยงเสมอและให้ผลไม่ผิดตัวด้วย” (ทรงเน้นสัทธรรมทั้ง ๕ คือ ทุกข์ภัยจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ และมีความปรารถนาไม่สมหวัง)

    ๑๕. “ซ้อมวางภาระของขันธ์ ๕ ไว้เสมอ หรือซ้อมตายและพร้อมที่จะตายอยู่เสมอ” (นี่คืออนุสสติสุดท้ายสำหรับผู้ไม่ประมาท ในความตาย จิตมีความพร้อมที่จะเข้าสู่พระนิพพานอยู่เสมอ)

    ๑๖. “เห็นทุกข์-เห็นโทษ-เห็นภัยจากการมีร่างกายไว้เสมอ”
    (จะมีผลทำให้เกิดนิพพิทาญาณ คือ เบื่อกาย เบื่อเกิด เพราะไม่อยากเกิดมาพบกับทุกข์ในโลกนี้อีก จิตจะมั่นคงในความไม่เกิด คือ นิพพานจุดเดียว)

    ๑๗. “ให้หยุดอารมณ์ท่องเที่ยวเสีย”
    (เพราะอารมณ์ท่องเที่ยว คือ อารมณ์เกาะโลกหรือเกาะทุกข์ จึงยากที่จะพ้นทุกข์)

    ๑๘. “หากชีวิตยังอยู่ อย่าทิ้งการทำบุญ และการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าและออก หรืออานาปานัสสติ”

    ๑๙. “อย่าต่อกรรมให้ตัดกรรม” (หากหวังจะไปพระนิพพานชาตินี้)

    ๒๐. “ยังเอาดีไม่ได้เพราะขาดสัจจะบารมี”
    (หากขาดหรืออ่อนในบารมีใด มีผลทำให้อีก ๙ บารมีอ่อนตาม)

    ๒๑. “ธรรมทานภายนอกกับธรรมทานภายใน มีผลแตกต่างกันมาก” เท่ากับ
    (สร้างพระภายนอกกับสร้างพระภายในมีผลแตกต่างกันสุดประมาณ พระภายนอกเราสร้างกันมานับไม่ถ้วนองค์ สร้างเท่าไหร่ก็พังหมดเท่านั้น เพราะตกอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ แต่พระภายในตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ใครสร้างได้แล้วจะเที่ยงไม่เสื่อมไม่พังอีก เพราะพ้นอำนาจ พระไตรลักษณ์ได้อย่างถาวร คือ ไม่มีวันที่จะตกนรกหรืออบายภูมิ ๔ อีกต่อไปตลอดกาล

    ดังนั้น พวกเราจงเพียรพยายามเร่งสร้างพระภายในกันเถิด อย่ามัวหลงติดพระภายนอกกันจนขาดปัญญาบารมี เลยถึงพระนิพพาน ได้ช้าหรือยาก)

    ๒๒. หลักปรมัตถทาน ๓ ข้อ
    ก) ต้องไม่เสียดายในทานที่ทำ
    ข) ต้องไม่หวังผลตอบแทนใดๆทั้งสิ้น
    ค) ต้องไม่อธิษฐานขออะไรทั้งสิ้น นอกจากพระนิพพาน


    จุดมุ่งหมาย

    ขั้นแรก เพื่อให้ผู้อ่านเกิดปัญญา โดยถือหลักว่าเห็น หรืออ่าน หรือฟัง แล้วให้จำให้ได้เป็นประการแรก

    ขั้นสอง นำธรรมนั้นมาคิด - พิจารณาด้วยสติ-ปัญญาของตนเองจนเข้าใจในธรรมนั้นๆ

    ขั้นสาม นำธรรมนั้นๆ ไปปฏิบัติที่กายและจิตของตนอย่าไปยุ่งกับกายและจิตของผู้อื่น
    จนเกิดปัญญา หรือตัวรู้ขึ้นด้วยตนเอง คือ รู้วิธีกำจัดกิเลส - ตัณหา - อุปาทานและอกุศลกรรม
    ให้หมดไปจากจิตของตน ให้จำย่อ ๆ ๔ คำว่า
    ...เห็น - จำ - คิด - รู้...
    ...อ่าน - จำ - คิด - รู้...
    ...ฟัง - จำ - คิด - รู้...



    (พระราชพรหมยานมหาเถระ หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง)
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน


    เครดิต...FB กายนี้ไม่มีในเรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2013
  17. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    นึกถึงท่านมือสั่นน้ำตาไหลเลยครับ ที่ได้นึกถึงพระเมตตาของท่านพ่อ หลวงพ่อฤาษี หลวงปู่ปานรู้สึกอารมณ์มันอิ่มไปหมด อารมณ์มันยอมท่านทั้งกาย และใจเลย ตอนจะมาพิจารณาอสุภะนี่มันเกิดปัญหามันไม่ยอมจะพิจารณา พอดีนึกขึ้นได้ว่ามีสมุดภาพพิจารณาสังขารเอามาเปิดยขู่ลงไปว่ายังอยากเกิดอีกหรือไม่เหนื่อไม่เบื่อบ้างหรือไงพิจารณามันก็รู้สึกเฉยๆ กับภาพซากศพ ผมเลยเขายูทูบเพือหาภาพมาพิจารณาอีก มันก็ยังเฉยๆ อีก ผมเล แล้วผมก็ลงไปอาบน้ำ ตอนอาบน้ำก็พิจารณาความสกปรกของร่างกายไปด้วย แล้วก็รู้สึกเห็นหน้าตัวเองเป็นเนื้อแดงๆ ขนลุกซู่เลยครับ ขึ้นมาก็มาเปิดยูทูบเป็นอสุภะกรรมฐาน หลวงปู่สมชายดูแล้วพิจารณาไปด้วยสักพักน้ำตาซึมเลยครับ(สงสัยบ่อน้ำตาจะตื้นครับครู) รู้สึกขึ้นมาว่าแค่นี้เองนะหรือร่างกายเรา

    ภาพพระเมื่อวันเริ่มวิปัสสาผมเห็นเพียงแสงสว่างขาวๆ ครับ แต่วันนี้ตอนฟังพระสวดช่วงเย็นพอนึกถึงผมเห็นท่านพ่อเป็นแก้วใสนั่งอยู่กลางดวงแสงครับ ตอนนี้แค่นึกภาพก็ปรากฏทันทีเลยครับ แต่ภาพระลอยขึ้นมาเองยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ครับภาพท่านพ่อผมจับเป็นระยะๆ บางช่วงหลังพิจารณาผมจะอยู่กับท่านพ่อให้นานบ้าง..... บางครั้งตอนกำลังพิจารณาก็มีภาพพระขึ้นมาคั้นเป็นช่วงๆ ก็มีครับ

    เกียรติ

    ขออนุโมทนาสาธุ กับคุณเกียรติ ที่ท่านได้ปฏิบัติจนเห็นความปลื้มปิติ เกิดขึ้นแล้ว ท่านได้ตกถึงกระแสแห่งความเมตตาของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระอรัหันต์สาวกที่ท่านมีเมตตาต่อสัพสัตว์ทั้งหลาย และต่อพวกเราผู้ที่เดินตามท่าน ผู้เห็นธรรมจะเป็นคนจิตใจอ่อนโยน และนํ้าตาก็จะไหลออกมาโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ เพราะพลังความปลื้มปิติ ที่เรามีความศรัทธาต่อท่าน และได้เห็นความไม่เที่ยงแท้ ของสังขารร่างกายที่มีอยู่ และมีแต่จะเป็นภาระอันหนักน่วงต่อเรา เพราะมีแต่จะเจ็บ จะแก่ และก็จะตาย คือไม่มีใครหนีพ้นสักรายเดียว ผู้เห็นได้อย่างนี้จะเป็นคนที่มีจิตใจที่มีแต่ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และต่อสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาแล้วก็ต้องตายจะช้าหรือเร็วเท่านั้น...สาธุค่ะ ขอให้ท่านจงเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2013
  18. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    - ถาม - คือว่าธรรมชอบมีปัญหาให้คิดสองแง่สองมุม?

    -ตอบ - คิดนั่นแหละดี ใช้ปัญญานั่นแหละดี คิดให้ดี คิดเพื่อหาหลักเกณฑ์หาที่ยุติ

    ...อย่าคิดแบบเตลิดเปิดเปิงไปก็แล้วกัน...ถ้าคิดเตลิดเปิดเปิงมันก็ลอยลม ใช้ไม่ได้...

    ...คิดหาหลักเทียบเคียงหาเหตุหาผลเพื่อยุติ...ถ้าถูกต้องแล้วยุติ...

    ...ถาม-ตอบปัญหาธรรม พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี.

    น้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ.
     
  19. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    สาธุค่ะ ครูแนทที่นำธรรมะของท่านพ่อฤาษีลิงดำ มาให้ได้ศึกษา อ่านธรรมะ

    ของท่านแล้ว ทุกถ้อยคำที่ท่านสอนนั้น ท่านเป็นห่วงลูกหลานของท่านจริงๆ ท่าน

    จึงสรรหาคำสอนที่เข้าใจได้ง่าย อ่านไป มององค์ท่านไป ท่านทำให้คิดไปว่าทำ

    ไม่ผู้เขียนไปอยู่เสียที่ไหนทำไม ไม่ได้ไปกราบท่านตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่

    ก็ให้คำตอบกับตนเองว่า ไม่เป็นไร ถึงเราจะไม่เคยได้พบท่าน แต่มีความรู้สึก

    ว่าถึงแม้ว่าเราจะไม่เคยพบท่าน แต่ท่านก็ยังเมตตาให้เราได้เป็นลูกเป็นหลาน

    ของท่าน ถึงแม้ว่าจะไม่เคยได้พบท่าน เพียงแต่อ่านธรรมะ แล้วทำตัวให้เป็น

    คนดีมีศีลธรรมปฏิบัติตนตามคำสั่งสอนขององค์ท่าน ท่านก็เมตตาแล้วนะ...

    .ลูกขอน้อมรับพระธรรมคำสั่งสอนขององค์ท่าน และจะปฏิบัติตามที่องค์ได้เมตตาฝากธรรมะ

    ไว้ให้ลูกได้ศึกษาเพื่อนำมาปฏิบัติ. ขออนุโมทนาค่ะครูแนทที่นำธรรมะดีๆมาเป็นธรรมทาน

    ...ขอน้อมกราบท่านพ่อฤาษีลิงดำด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะ.กราบ กราบ กราบ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2013
  20. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ประกาศรับสมัครครูผู้ช่วยสอนค่ะ


    จิตบุญท่านใด....ที่มีความประสงค์อยากจะฝึกสอนจิตเกาะพระ....เชิญเข้ามาร่วมสร้างบุญบารมีกับครูเกษได้เลยน่ะค่ะ

    ปล.คุณก้องเกียรติเสื้อเขียวในรูป สนใจมั้ยค่ะ พอจะมีเวลามั้ยเอ่ย...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 มิถุนายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...