ผม...พระ...และ...สาระยุคก่อน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย modpong, 8 พฤษภาคม 2010.

  1. กำธร นครปฐม

    กำธร นครปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,756
    ค่าพลัง:
    +7,202
    สอบถามพี่ modpong ครับ พี่คิดว่าสมเด็จวัดระฆัง นั้น มีปลอมมาตั้งแต่สมัยไหนครับ เห็นพวกเซียนพระในสนามบอกว่า ในสมัยก่อนจริง ๆ แล้วก็ปลอมกัน โดยไปขอดูองค์จริง แล้วนำพระปลอมที่ทำไว้ไปคืน ให้กับเจ้าของพระ โดยที่เจ้าของพระนั้นไม่รู้ และพระปลอมองค์นั้นก็ได้ตกทอดมาหลายชั่วอายุคน เป็นที่มาของคำว่าพระองค์นี้เป็นสมบัติตกทอด ของตระกูล เป็นของปู่ ของปู่อีก ครับ ไม่ทราบว่าพี่มีความเห็นเรื่องนี้ว่าอย่างไร
     
  2. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ...กำธรน้องรัก...นี่แสดงว่า..เราอ่านเรื่องที่พี่เขียน..ไม่ละเอียด..หรือตกหล่นไม่ครบ..เรื่องนี้..พี่เขียนไปแล้ว...และเพิ่ง..มาเขียนอีกครั้ง..ตอนกลับมาเขียนคราวที่แล้ว..เมื่อต้นปี..อีกที..จนหลานลินน์แซวพี่ว่า..สงสัยพี่เรียนวิชาปลอมพระมา..ถึง..ได้รู้เรื่องกรรมวิธีเยอะ..แต่พี่ก็จำไม่ได้..ว่าอยู่ตรงไหนขี้เกียจ..ไล่หา...
    ..ถ้ามีเวลาลองไปรื้อดูอีกที....
    ..........เอาเรื่องปลอมมาตั้งแต่..สมัยไหนก่อน..เรื่องนี้..มันจะอยู่ใน
    ..เรื่องที่พี่จะเขียน..อยู่แล้ว..ถ้าเล่าตอนนี้..มันก็ไม่ละเอียด..เอาคร่าวๆ
    แล้วกัน..คนรุ่นเก่าหลายคนที่พี่สอบถาม..ก็ยืนยัน..แถมพี่มีข้อยืนยัน..
    ส่วนตัวจะ..บอกทีหลังอีกที...เริ่มปลอม..สมัยรัชกาลที่๕....
    ...........รออ่านในตอนต่อๆไป..ใจเย็นๆ...............
    ...........เรื่องที่ ๒ พี่ก็เขียนไปแล้วอีก..เกี่ยวกับเรื่อง..ให้ระวังพระเก็เก่า..เนื้อผง..มันก็จูงมาจากเรื่องแรก..ที่ถาม..ดังนั้น..มันมีทั้งสองอย่าง..คือ..
    ๑. แบบที่กำธร..ว่ามา...ตัวอย่างแบบนี้เยอะแยะ..แล้วมาด่าให้พวกเซียนดูพระว่า..ดูไม่เป็น..แค่นจะมาเป็นเซียน..จริงๆคือ..ไอ้ที่เอามาเปลี่ยนแทน..นะมันแย่ขนาดไม่ต้องเข้าแว่น..ก็ดูออกแล้ว....
    ๒. ไอ้ที่ปู่มันได้มา..ตั้งแต่แรก..ต่อให้ปู่มันเป็น..พระยา..ก็เหอะ..เก๊ตั้งแต่แรกแล้ว...ทำไมเรอะ...ก็ต้องอดใจค่อยๆอ่านเรื่องของพี่ต่อไป..

    ...แล้วอีกอย่าง..ไอ้ที่เราเล่ามานะ..พี่เห็นหลายคนแล้วที่ออกทำนองนี้
    ...พอบอกว่า..แค่รุ่นทวด..มันดูไม่น่าเชื่อถือ..ก็เลยใส่ไข่..เพี่มรุ่นเข้าไปอีก..กลายเป็น..ปู่ของปู่...เรื่องมันนานขนาดนั้น..มีหลักฐานอะไรยืนยัน..ส่วนใหญที่พี่เจอ..มันก็แค่..พ่อบอกว่าของปู่..สร้างความน่าเชื่อถือ..
    ก็ไม่มีอะไร..เพราะคนสังคมเรา..ไม่ได้ตัดสินที่ลมปาก..พิสูจน์กันที่
    หลักฐานวัตถุ...เมื่อสรุปมาว่า..เก๊..ก็จบ..ไม่ต้องเล่าต่อเรื่องประวัติ..
    เพราะไม่มีความหมาย....
     
  3. กำธร นครปฐม

    กำธร นครปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,756
    ค่าพลัง:
    +7,202
    ขอบคุณครับพี่ จะรออ่านรายละเอียดอีกครั้งนะครับ
     
  4. MasterTest

    MasterTest เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +1,031
    ^
    ^
    ชอบครับ ^__^

    _/\_ สวัสดีครับคุณครู ติดตามอ่านอยู่ตลอดนะครับ ^__^
     
  5. teera-chang

    teera-chang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +1,529
    น้ามีเรื่องหนุกๆมาเล่าให้ฟังอีกแล้ว งานนี้พวกเสี้ยนพระคงต้องต้มน้ำใบบัวบกกินกันอีกนาน
     
  6. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    .........
    ....หวัดดี..ธีระ..หายไปนานเลย..
    ....ไอ้คนพวกนี้..มันมี ๒ ประเภท มาแต่ไหน..แต่ไร
    ..เป็นคนอยู่ในตระกูลเก่าที่คนส่วนใหญ่รู้จักจริง..
    ....แต่มันแตกแยกประเภท..คือ...
    ๑. จริงใจ แต่ดื้อรั้น..เวลาเขาให้เหตุผล..แล้วยอมรับไม่ได้..หัวชนฝา...กลายเป็นว่า..ไอ้พวกนี้..มาดูถูก

    ๒. ตั้งใจมาหลอก..แต่แรก..โดยอาศัยเครดิต..ของตระกูล..เอาของเก๊มา..แล้วปั้นเรื่อง...แล้วพอเขาจับได้..ก็..ออกอาการแบบๆที่ ๑ แต่..เป็นการแสดง ละคร..
    ............................
    ...ไอ้พวกที่ ๒ นี่..มีข้อสังเกตง่าย..พอมันเริ่ม..เล่าเรื่อง..ความยิ่งใหญ่ของตระกูล..มัน..เอานามบัตร..บัตรประชาชนมาโชว์...ก็เดินหนีได้เลย..เพราะ ๙ ใน ๑๐ ของเก๊..แน่นอน....ที่ให้ระวังนี่..เพราะมัน..ไม่ได้เร่ไปขายในสนาม..อย่างเดียว..มันยังคอยสังเกตคนที่มาที่สนาม..ด้วย..ดูว่า..ใครท่าทางตั๋ง..เข้าไปด้อมๆ..ชวนคุย..ชวนกินกาแฟแถวๆนั้น..แต่ไม่ได้อยู่ใกล้สนาม..โฆษณาตัวเอง..แล้วก็อ้างความจำเป็น..ที่เอาพระมาขาย..เหยื่อ..อยู่คนเดียว...ลังเล..และ..หลงในตระกูลเก่า..ว่าน่าเชื่อถือ..บวกโลภ..กลัวเขาไปขายคนอื่น..ก็เสร็จ..

    ...ผมทราบเพราะอะไร..เคยไปยืนฟังพวกนี้..มาทั้งสองประเภท...แล้วไอ้เหยื่อของประเภทที่ ๒ นี่รู้จักกับผม..แล้วเอาพระที่ได้มาให้ผมดู..ก็อีกหลายราย....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2013
  7. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ........
    .....ต่อจากตอนที่แล้ว.....
    .............................
    ...............................................................
    ....คนเรุ่นเก่า..เล่ากันตรงหลายคนว่า....ตอนแรกๆที่เริ่มการเจาะ..เข้าไปที่กรุวัดบางขุนพรหม
    นั้น...ไม่มีใครรู้เลย..เป็นเวลานาน..ความจริงอาจก่อนหน้านั้น..หลังสมเด็จโตเสียใหม่ๆก็เป็นได้
    ....เพราะ..ตำแหน่งที่เจาะเล็ก..และถูกปกปิดไว้..พระในวัดก็ไม่รู้เรื่อง...เมื่อหลังเกิดเหตุการณ์
    ใหม่ๆ..ก็ยังไม่มีใครทราบ...เพราะปกปิกไว้มิดชิด..ที่เป็นอย่างนั้นได้...ก็เพราะขนาดรูเจาะ..
    เล็ก...เรียกว่า..เอาแผ่นหินยกมาปิดได้.....ที่ผมว่า..น่าสังเกต..จากข้อมูลนี้..เมื่อ..ทำการวิเคราะห์
    แล้ว...ว่า..ทำไม..เจาะได้แม่นตำแหน่งมาก..(..เรื่องรูเจาะนี่..เพื่อการตก(เบ็ด)พระออกมา.....
    วิธีการ..ผมจะไม่พูดถึง..เพราะเคยพูดอย่างละเอียดไปแล้ว..กลับไปอ่านเอา...แต่จะบอกว่า..
    ...ไม่ได้มีคน..ลงไปเอาพระในกรุ)...ทิศทางของเรื่อง...มันน่าจะมาลง..คนที่อยู่ในพิธี..ที่นำพระ
    ลง..บรรจุกรุ...หรือ..คนสังเกตการณ์เห็นสภาพในกรุอย่างชัดเจน..หรือ..ช่างที่สร้างเจดีย์..
    บรรจุกรุ.....เพราะอะไรหรือครับ..ใช่ว่า..กรุที่จะสร้างใหญ่ขนาดไหน...ขอบเขต..ริมกรุ..อยู่
    ตรงไหน...กรุลึกขนาดไหน...รู้ได้ยังไงว่า..กรุอยู่ลึกมาก..การจะลงไปลำบาก...พระวางอยู่แบบ
    ไหน...แล้วรู้ได้ยังไงว่า..ถ้าแค่เอาคินเหนียว..แค่หย่อนลงไปแปะ..พระก็จะติดออกมาได้ง่าย....
    .....อย่าลืมว่า..ถึงแม้..ดึกๆ..การจุดคบ(..ยุคนั้นไม่มีไฟฉายนะครับ)..เพื่อจะส่องลงไปดูสภาพ
    ในกรุนั้น..เสี่ยงมาก..เพราะ..ยุคนั้น..พอดึก..มันก็มืดสนิท..ไม่มีไฟส่องส่วาง...แค่เห็นแสงไฟมา
    อยู่ใกล้ๆเจดีย์..ก็..ผิดสังเกตได้..นี่มันวัดในเมือง...ไม่ใช่..วัดร้าง....
    ......ดังนั้น..ทุกอย่างมันมาลง..ในกลุ่มบุคคล..ดังกล่าว..ที่ผมกล่าวมาแล้ว..ข้างต้น....
    ...ผมว่า...มันคงมีหลายคน...ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น..แล้วก็คง..อยากได้ไว้คุ้มครองตน.....
    .......พอวิกฤตการณ์เกิดขึ้นมา...ความอยากก็มาถึงที่สุด..ต้องมีการวางแผน..และ..คิดการณ์
    ไว้อย่างดีก่อน....การขุดเจาะ..และ..การตกพระ..ก็น่าจะทำภายใต้..แสงจันทร์เท่านั้น..จึง
    จะปลอดภัย............เนื่องจากรู้ตำแหน่ง..แน่นอน..ว่าตกได้แน่..ก็ไม่จำเป็นให้รูขุดมันใหญ่
    ไปทำไม....แล้วอีกอย่าง..ที่สนับสนุนเรื่องนี้..ก็คือ..คนที่มาตกต้องรู้ว่า..พระมีปริมาณมาก..
    และวางซ้อนกัน..มากพอสมควร..จึงคิดว่าแค่นี้..ก็น่าจะพอ...เท่าที่ทราบว่า..ในยุคนั้นน่าจะ
    มีมากกว่า ๑ รูแล้ว..เพราะ..ต้องมีคนคิดอย่างเดียวกัน..พอมาเห็นพรรคพวก..ตกกันอยู่..ก็
    เลยเอามั่ง.....
    ......แต่พอเริ่มมีข่าวแพร่..ไปในหมู่เพื่อนฝูงญาติสนิทมิตรสหายที่ได้แบ่งไป...ก็ไปเขาหู..
    คนมีฐานะ..แต่ยังไม่มีพระท่าน...มันก็เกิดธุรกิจ..เหมือนตามแบบหัวเมือง.....
    ..แต่..อย่างที่บอก..ว่ามันเมืองหลวง...มันทำอะไรเอิกเกริกไม่ได้...พระจึงเริ่มออกจากกรุไป..
    ไม่มากนัก...ในช่วงวิกฤตการณ์...พอหลังจากช่วงนี้...ก็คงซาไปบ้าง...อาจมาเอาเฉพาะที่มี
    ใบสั่งจริงๆ...คือ..จ้างมา..ต้องได้เงิน..ถึงจะมา..การเอาพระไปเร่ขาย(แบบลาวตกรถ)..เป็นไป
    ไม่ได้...เพราะอาจเข้าคุกได้..เพราะไปทำลายศาสนสถาน..และ..อีกอย่าง..ทางวัดก็อาจจะเริ่ม
    ทราบแล้ว..มาปิดรูเดิม..มีการเฝ้ากันบ้าง...ทำบ่อยๆไม่ได้..เวลาจะทำก็ต้องเปิดรูใหม่อีก...
    ..................พอเข้าช่วง..ปลายสมัยรัชกาลที่ ๕...สังคมพระก็ชัดเจนขึ้น..แต่ก็ยังคง..เป็นคนชั้น
    บนอยู่ดี..หรือพวกที่มีฐานะหน่อย...คราวนี้เป็นเรื่องเป็นราวขึ้น...เพราะเริ่มมีพระให้เล่น..
    มากขึ้น..หลายแบบ..หลายเนื้อขึ้น..ด้วยผลพวงที่ได้จาก..วิกฤติการณ์ร.ศ. ๑๑๒ นั่นเอง...
    .............................ต่อตอนหน้าครับ...............

     
  8. MasterTest

    MasterTest เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +1,031
    "ตกพระใต้แสงจันทร์"
    ฟังดูโรแมนติกมากครับคุณครู ^__^'

    แต่ถ้ามีเสียงหมาหอนเป็น sound effect ล่ะก็ บรรยากาศจะเปลี่ยนไปทันที งานนี้ตัวใครตัวมันครับ >__<
     
  9. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ....หวัดดีMastertest...
    ...........................
    ...ต่อจากตอนที่แล้ว....
    ...........................
    ......................................................................
    .......เมื่อถึงตอนนี้..ทุกอย่างเริ่มมีรูปร่างขึ้น...พระพุทธรูป..นะ..ความนิยมไม่ลดลงหรอกครับ
    ...มีแต่คนจะเล่นมากขึ้น..แต่ที่..ผิดหูผิดตาและเป็นรูปเป็นร่างคือ..พระเครื่อง...คนเมืองหลวง
    ก็รู้จัก..พระกรุ..จากภาคต่างๆมากขึ้น.....(เริ่มจากวิกฤติ ร.ศ.๑๑๒ ที่ผมกล่าวมาตอนก่อนหน้า
    นั้นนั่นเอง)..การสื่อสาร..ก็ยังเป็น..ปากต่อปาก..อยูีดี.....
    ..........พระท่ามะปรางค์..พิษณุโลก....หรือที่เรียกกันว่า..พระเงี้ยวทิ้งปืน..เพราะยิงยังไงก็ไม่เข้า
    ...ชื่อเสียงระบือไปทั่ว..แถมเหล่าทหารหลังกลับมาจากปราบเงี้ยว..ก็ช่วยเป็นสื่อ..ทำให้มีความ
    นิยมสูง...ทั่วภาคเหนือ..ภาคกลาง...
    ..........พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่า...ฟันกัน..จน..หัวโน..ไปหมด..(เพราะต่างฝ่ายต่างมี)
    ..........พระสรรค์..จะยืน..นั่ง..ไหล่ยก..ไหล่ไม่ยก..เหนียวเหมือนกันหมด....
    ...........กริ่งคลองตะเคียน...เจ้าแห่งความเหนียว..อมตะ.....
    ..........................เป็นต้น.....................................
    .....แต่สำหรับเมืองหลวง..แล้ว..พระยอดนิยม..ที่สังคมพระ..ถือให้เป็นอันดับ๑ ก็ไม่เปลี่ยนแปลง
    อยู่ดี...นั่นคือ..สมเด็จวัดระฆัง....เพราะคนที่เป็นผุ้ใหญ่มีอายุหน่อย..จะทันท่าน...
    ...........ผมเล่าไปเรื่อง...การแจกพระ..ของท่าน...ที่บอกชัดเจน..คนระดับบนนะ..มีน้อยกว่า...
    ชาวบ้าน..ที่ใส่บาตร..หรือ..ทำบุญกับท่านที่วัด...........
    ...................ตอนนั้น...พระบางขุนพรหมที่ออกมาจาก..กรุ..ยังมีไม่มาก..น้อยกว่า..วัดระฆัง..
    ก็ท่าน..ทำไปเรื่อยๆ..แจกไปเรื่อยๆ...แล้วส่วนใหญ่..ยังไม่รู้ว่า..มีพระบางขุนพรหมออกมาแล้ว
    ...แต่พอเห็น..ก็นึกว่า..เป็นวัดระฆังกันหมด...เพราะอะไรหรือครับ.......
    ................ก็..พระอยู่ในกรุ..ไม่เกิน ๒ ปี...แล้ว..จะเอาคราบกรุที่ไหนมา.......
    ....ดังนั้น..คงไขข้อข้องใจ..ของแฟนพันธุ์แท้พระสมเด็จบางคนที่ได้อ่าน...ได้บ้าง...
    ....เคยไปเห็นรูปบางขุนพรหมกรุเก่า...บางองค์ที่เช้งๆ..แล้วแปลกใจ..ไม่มีคราบอะไรเลย
    ........สมัยนั้น...เขาไม่ได้เล่นกันเป็นบ้าเป็นบอ..อย่างหลัง๒๕ พุทธศตวรรษลงมานี่.....
    ...........แว่นขยายแบบหมอดู...มีสักกี่อันในเมืองหลวง.....พอมองปั๊บเข้าไป..ก็อ๋อ..พระสมเด็จ
    ..เหมือนกันหมด..ไม่ได้มาแยกพิมพ์กันละเอียดยิบ..ก็แยกแค่..พอหยาบๆ..อย่างที่เห็นได้ชัด
    (ขนาดเด็กยุคนี้..เริ่มเข้ามาศึกษาใหม่ๆหลายคน..ยังแยกพิมพ์..วัดระฆัง..บางขุนพรหม...
    ...ไม่ออกเลย..แล้วนับประสาอะไร...)
    .........เมื่อ..demand..มากกว่า supply..มากขึ้นมาก...ก็อย่านึกว่า..คุณอยู่สังคมชั้นบน...
    ...ใช้ลูกน้อง..ให้ไปหาพระสมเด็จ..แล้วจะหาได้ง่าย...เปล่าเลยครับ...หายาก...เพราะยุคนั้น
    เงินถ้าไม่มหาศาลจริงๆ...มาแลกกับ..ของที่มีคุณค่าทางจิตใจ..ของชาวบ้านไม่ได้........
    .................คนเดี๋ยวนี้..เข้าใจกันผิดว่า...ตระกูลพวกพระยา..ตระกูลคุณพระ..ที่ดังๆทั้งหลาย..
    ต้องมี..พระสมเด็จกันหลายองค์แน่..และ..ของพวกนี้..แท้ด้วย...เปล่าเลยครับ..ไม่จำเป็นเสมอไป
    .....ผมบอกไปแล้วว่า...จำนวนชาวบ้าน..ที่ได้พระสมเด็จนะมากกว่า..พวกข้าราชการ..หรือเจ้านาย
    ชั้นปลายๆ..ซะอีก...แถม...ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้แค่องค์เดียว..สำหรับ..พวกที่อยู่ในเส้นทางบิณฑบาต
    ของท่าน...เพราะใครก็ทราบว่า..ท่านไปเรื่อยๆ..แล้วก็ทยอยเอามาแจกชาวบ้านไปเรื่อยๆ...
    ..คนที่ปักหลัก..อยู่ตรงนั้นไม่ได้ย้าย..หรือ..ไปทำงานหัวเมือง..ก็พลอยได้พระท่านไปเรื่อยด้วย...
    ......ฉะนั้นไอ้พวกอยู่สังคมชั้นบน..ที่ไม่ได้ไปสัมผัสกับท่านโดยตรง..แล้วก็ไม่มีของท่านนี่แหละ
    ....ก็ต้องมาหาพระจากชาวบ้าน..เหล่านี้................
    .......คนรุ่นเก่าที่อยู่ทันยุคปลายของ ร. ๕ แต่ก็รู้เรื่องดี..และโตแล้ว..ก็บอกว่า..ยุคกลาง ของ ร.๕
    ก็แทบไม่แตกต่างกัน....คนดั้งเดิมของเมืองหลวง..ที่อยู่ริมเจ้าพระยา..หรือ..อยู่ตามคลองอย่าง
    ..คลองโอ่งอ่าง(คลองบางลำภู..ทางผ่านบิณฑบาทของท่าน)....เขามีชีวิต..เรียบง่าย..และไม่เดือด
    ร้อนอะไร..หากินไปวันๆ...เรียกว่า..พอมีพอกิน...ความจริงชีวิต..คนชั้นสูงหน่อย(พวกข้าราชการ)
    ที่ตำแหน่ง..อะไรนี่...ก็ไม่ได้มีดีไปกว่าพวกชาวบ้านนี้..อาจจะเหนือกว่าตรง..มีเมียได้หลายคน..
    มีข้าทาส..ก็แค่นั้น...เพราะยุคนั้น..มันไม่มีเทคโนโลยีใด....ชาวบ้านริมคลองด้วยกัน..ก็ไม่ได้อิจฉา
    กัน..เพราะ..มีเหมือนๆกัน...และเขาก็ไม่ได้อิจฉาพวกสังคมชั้นบนด้วย....
    .....ผู้อ่านลองคิดดู...ไฟฟ้า..ไม่มีตามบ้าน(คนธรรมดา)..มีแต่ที่ในวัง..และ..ถนนบางสาย....
    ......ดังนั้น....ทีวี..ก็..ไม่มีเหมือนๆกัน..วิทยุ..ก็..ไม่มีเหมือนๆกัน..โทรศัพท์..ก็..ไม่มีเหมือนๆกัน..
    ตู้เย็นใช้น้ำมันก๊าด..ก็ยังไม่ได้เข้ามาขาย(ผลิต..หรือยังผมก็ไม่รู้)...ก็ไม่มีเหมือนๆกัน...
    ...รถยนต์..มอเตอร์ไซค์..ก็ไม่มีเหมือนๆกัน(..อาจมีแต่ของในหลวง..เจ้าฟ้า..หรือข้าราชการระดับสูง
    มาก..บางคน)...................
    ...............ที่ผมบอกไป...ชีวิต..ทุกคนก็มีความสุข..ตามอัตภาพ..ไม่ต้องขวนขวายอะไร...
    ..พอมีคนไปเสนอเงิน..หรือ..ทอง(น้อยๆ)..หรือ..ของบางอย่าง..เพื่อแลก..กับ..พระสมเด็จที่เขา
    รับ..มาจากมือ..หลวงพ่อที่เขานับถือ..(....ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า..ยุคนั้น..ไม่ใช่ยุคนี้....
    พระสมเด็จ..ไม่ได้มีราคามหาศาล..แค่มีราคาเฉยๆ..)..เงินหรือ..ของที่เสนอมา..มันไม่คุ้ม..กับ
    ของที่มีคุณค่ากับจิตใจ...
    ..........ส่วนใหญ่..ก็คือ..ไปแลกซื้อมา..ไม่ค่อยได้..ยกเว้นบางคน..ที่มีหลายองค์มาก..ถึงจะแบ่ง
    ไปได้บ้าง...
    ..............เมื่อdemand..มันมากกว่า..supplyเยอะ..มันก็ถึง..เริ่มเกิด..อาชีพใหม่...นั่นก็คือ...
    ..........................อาชีพทำพระปลอม................
    ....................................ต่อตอนหน้า.............................
     
  10. bearkery

    bearkery เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,668
    ค่าพลัง:
    +6,383
    กำลังมันส์อีกแล้ว
    รอต่อตอนหน้าครับคุณลุง
     
  11. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ......
    ..หวัดดี Bearkery....
    ..............................
    ..ต่อจากตอนที่แล้ว...
    ...................
    ......................................................................................
    ........ก่อนอื่น..ที่จะพูดถึง..การทำพระปลอม..ก็คงต้องพูดถึง..บรรยากาศ...ในช่วง
    นั้น..ตามที่คนเก่าเล่ามา....พระกรุ..ในเมืองหลวงเอง..ที่เริ่มมี..การกระเส็นกระสายเข้ามา
    ..ให้คนรู้จักกัน...ในตอนนั้น..นอกเหนือ..จากกรุบางขุนพรหม..ก็เริ่มมีกันบ้างทั้งจาก..
    เหตุวิกฤติ ร.ศ. ๑๑๒ และ..เมื่อบางคนสังเกตว่า..ของเหล่านี้..มีราคา..ก็เริ่มมีการทยอยขุด
    กัน..หลายวัด..แต่ที่ดังๆ..กว่าเขาหน่อย..แต่ยังมีไม่มากนัก..และ..ชาวบ้านรู้จักกันดี..
    ..ก็คือ..กรุวัดท้ายตลาด...เป็นต้น..ซึ่งยังมีของวัดอื่นด้วย..แต่ผมจะไม่กล่าวถึง..เพราะไม่
    ชัดเจน...ส่วนพระนอกเมืองหลวง..ก็ทยอยเข้า..มาสู่สังคมชั้นบน..ที่นิยมพระกัน..มากขึ้น
    (อย่าลืมนะครับ..สังคมชั้นกลาง..ชั้นล่าง..ยุคนั้น...ถ้าได้มาก็เก็บ..เป็นส่วนใหญ่...น้อยราย
    ที่จะสะสม..หรือ..หามาเพิ่มเติม..เพราะเขาไม่ค่อยมีเวลาว่างมาก..อย่างคนชั้นบน...)
    .........การได้มา...นั้น...ส่วนใหญ่..ก็คือ..ของฟรี...ของกำนัล...ทั้งจาก..ข้าราชการชั้นสูง..
    (..รวมระดับเจ้า..หลายท่านที่ทรงกรมฯทำงานรับราชการ)....ไปแถวนั้น..แล้วได้รับมอบ
    หรือ..ถวายมา...รวมถึง...ข้าราชการหัวเมือง..ที่เดินทางมาราชการที่เมืองหลวง..แล้วก็นำ
    พระ..มาเป็นของกำนัลด้วย..ทั้งผู้ใหญ่..ผู้บังคับบัญชา..เพื่อนฝูง.....
    .............และเช่นเดียวกับพ่อค้าใหญ่ๆ...ที่มีการติดต่อไปมา..กับเมืองหลวง.......
    .....และในพระกรุ..ต่างของนอกเมืองหลวง..ทั้งจาก..ลพบุรี..อยุธยา..สุพรรณ..พิจิตร..สุโขทัย
    กำแพงเพชร..ลำพูน..เชียงใหม่..พิษณุโลก..เป็น..พระดังๆ..ในปัจจุบันนี้..ที่มีการขโมยขุดกัน
    บ้างแล้ว..แต่ยังไม่แตกกรุครั้งใหญ่...หรือมีการเปิดเกรุเป็นทางการ......
    ............มีจังหวัดที่ต้องพูดถึง....ที่นี่..ความจริง..แตกมาก่อน..วิกฤต ๑๑๒ อีก..แต่เป็นการแตก..
    เพราะอุบัติเหตุ..หรือ..ความบังเอิญ...เพียงแต่พระที่..ออกมาในครั้งนั้น..แค่บางส่วน..ส่วนหนึ่ง
    ..ก็อยู่ในชาวบ้านในพ้นที่..อีกส่วน..ผู้รับผิดชอบ..ก็นำกลับ..เข้ามาที่เมืองหลวงด้วย..เพื่อ..ถวาย
    ..และ..มอบให้ผุ้เคารพนับถือ..เพื่อนฝูง..และ..ญาติๆ....เพราะผู้สร้างเป็นท่านที่เคารพของ...
    ....คนเมืองหลวงทั้งหลาย....ที่เพิ่งสิ้นไปไม่นานนัก.........
    ..........นั่นคือ...พระสมเด็จวัดเกษไชโย..ของ..สมเด็จโต.....
    ............ในปี ๒๔๓๐...ก่อนวิกฤต ๑๑๒ ประมาณ ๕-๖ ปี
    ....เพราะ ร.๕ ทรงสั่งการให้..ทางมหาดไทย..รับผิดชอบในการบูรณะ..และ..สร้างวิหารครอบ
    ..หลวงพ่อโต(พระพุทธรูปนั่ง..ที่สมเด็จโต..สร้างไว้)..และระหว่าง..การก่อสร้าง..ก็เกิดอุบัติเหตุ
    ..ทำให้องค์พระ..แตกร้าว...และ..พระเครื่องที่ท่านสร้างไว้..ก็หลุดร่วงออกมาด้วย....ความจริง..
    พระบางส่วนในตอนนั้น..ก็เริ่ม..นำเข้ามาสู่เมืองหลวงแล้วโดยทางมหาดไทย..ที่รับผิดชอบ...
    ..บางส่วน..ช่าง..หรือ..คนงานที่อยู่ที่นั่น..ก็คงได้แอบเก็บไปบางส่วนด้วย...แต่ไม่มาก..เพราะ
    ผู้รับผิดชอบ..งานนี้เป็นถึง..เจ้าพระยา..อยู่มหาดไทย..ไปทำงานตามรับสั่ง..ผู้คนชาวบ้าน..ก็
    ต้องหวาดกลัวอยู่แล้ว.....พระส่วนใหญ่ทางมหาดไทยที่อยู่ที่หน้างาน..ก็ต้องเก็บรักษาไว้....
    ...รอทำ..หลวงพ่อโตองค์ใหม่ให้เสร็จ...จะได้บรรจุกลับไป..ในองค์พระ...อีกครั้ง....
    .....ซึ่ง..คนรุ่นเก่า..และ..ผมเอง..ก็เห็นเหมือนกัน..ว่า...ตอนที่บรรจุพระ..กลับเข้าไปใหม่...ก็น่า
    จะมีการกัน..ไว้บางส่วน...ที่จะนำเข้ามาเมืองหลวง...เพื่อนำถวาย..หรือ..แจกจ่ายกันด้วย...
    เพราะ..พระมีจำนวนมาก..ตามประวัติการสร้าง..ก็ ๘๔,๐๐๐ องค์..เหมือน..วัดบางขุนพรหมเช่น
    กัน.....เอาพระ..ออกไปซะ..พันองค์..ก็คงไม่ลดจากเดิม..ไปเท่าไหร่...
    (..เรื่องเอาพระ..จากวัดระฆัง..ไปรวมใส่เพิ่มเติม..หรือ..การแตกอีกครั้ง..อะไร..ไปหาอ่าน
    เอาเอง...)...
    .........พระวัดเกษฯนี่ยิ่งสะอาดเข้าไปใหญ่..เพราะ..พระถูกบรรจุในที่สูง..และ..แห้ง(ในองค์พระ)
    ...และ..ปีที่แตกออกมาครั้งแรก...นั้น..พระก็เพิ่งมีอายุไม่นานมาก...ทำให้ท่านทั้งหลาย..จะมอง
    ไม่เห็นคราบกรุ..กัน..(หลายท่านสมัยก่อน..แปลกใจ..เรียกพระกรุ..แต่ทำไมไม่มีคราบกรุ..ก็
    เพราะ..สาเหตุนี้ละครับ...)
    ........................ต่อตอนหน้า.........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2013
  12. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    .......
    ....อันนี้ขอแทรก..เรื่องเป็นข้อพึงระวัง..อันสืบเนื่อง...
    มาจากบทความที่ผ่านมา....
    ..เป็นเหตุการณ์ในอนาคตที่เกิดขึ้นแน่...เพียงแต่เมื่อไหร่
    เท่านั้น.....
    ............เรื่อง..พระสมเด็จที่บรรจุอยู่ในพระนอน วัดสะตือ อยุธยา....
    ...โดยทั้วไปจะทราบ..อยู่แล้วว่า..พระนอนวัดสะตือ..นั้นสร้างโดย
    .สมเด็จโต..ที่อยู่ในชุด..ยืน(วัดอินทร์)..นั่ง(วัดเกษไชโย)..นอน(วัดสะตือ)..
    ...สมเด็จจะบรรจุ..พระของท่านไว้..โดยที่..วัดอินทร์..อยู่ที่เศียร..จากการพบ..แตกหักชำรุดเป็นส่วนใหญ่..และ..ท่านพระครูอินทสมาจาร..หรือ..หลวงพ่อเงิน วัดอินทร์..เอามาบดรวมกัน..แล้ว..ผสมขึ้นใหม่..เป้น..สมเด็จวัดอินทร์ปี ๒๔๙๕..ที่ทุกท่านรู้จักกันดี..ในนาม..สมเด็จเผ่า...
    ....ส่วนวัดเกษฯ..ก็..บอกไปแล้ว...อย่างที่ทราบ......
    .........นักเลงพระรุ่นเก่า..คนรุ่นเก่า..พิจารณาจากเหตุผล..ความน่าจะเป็นทั้งมวล..เห็นพ้องกันว่า..(รวมทั้งผมด้วย)..เมื่อสมเด็จ..ใส่พระของท่าน..ในพระพุทธรูป..๒ องค์ที่ท่านสร้าง..ดังนั้น..แน่นอน..จะต้องมีพระสมเด็จที่..บรรจุอยู่ในองค์พระนอน..ที่วัดสะตือแน่...และแม้แต่ทางวัดก็ทราบ..ก็จะมีการเฝ้า..เป็นประจำ..แม้ยามค่ำคืน...
    มาเป็นเวลาช้านาน..แล้ว...โดยองค์ยังไม่เคยได้มีการปฎิสังขรณ์ขนาดใหญ่...ซึ่งปัจจุบัน..หลังจากน้ำท่วมใหญ่เมื่อ ๒ ปีที่แล้ว..ในภาพข่าวทีวี..ได้มีรายงาน..ว่า..องค์มีรอยร้าวเพิ่มขึ้น..หลายแห่ง..เนื่องจากองค์พระนอนคงทรุด...
    ..........ก่อนหน้ามาตั้งนานมากกว่า ๔๐ ปีแล้ว..ไม่ว่าเซียนเจ้าถิ่น..พวกวิ่งพระ..มีการ..ติดต่อกับ..ชาวบ้านที่อยู่ติด..หรือใกล้วัด..รวมถึง..พระลูกวัด..ในวัดสะตือเอง...
    ให้ช่วยรีบติดต่อ..ถ้ามีการลักลอบขุด..หรือ..องค์พระร้าว..และพระหลุดออกมา...เรียกว่า..ทุกคนนั่งรอกัน....
    ......ความจริงก่อนหน้าหลายปีแล้ว..เคยมีการลือว่า..พระสมเด็จ..ได้แตกกรุออกมาจากองค์พระนอน..บางส่วน...และ..เคยจะมีการหลอกขายกันมาแล้ว..
    ..แต่ซักพัก..ก็เงียบไป............
    ..........ที่ผมมาเตือนนี่คือ..ในอนาคตอีกไม่นาน..พระนอนต้องชำรุดใหญ่..แล้วก็จะเกิดเหตุการณ์ที่ว่า ๑. ชาวบ้านได้พระไปก่อนจำนวนหนึ่ง...แล้ววัดทราบ..แล้วต้องบูรณะใหญ่..องค์พระ
    ๒. พระยังไม่ออกมาจริง..แต่ต้องมีการรื้อ..และนำพระออกมาไว้ก่อน..เพื่อทำการซ่อม..ในลักษณะเดียวกัน..กับการบูรณะหลวงพ่อโต วัดเกษฯ......
    ..............
    ........สื่งที่ตามมาคือ...พระที่จะโผล่เข้ามา..ในวงการ..พร้อมข่าวที่สับสน..
    ..ว่า...เป็นแบบ..กรณีที่ ๑ หรือ กรณีที่ ๒.....
    ........แต่เนื่องจากความสำคัญของ..พระ..และ..จะเป็น..พระกรุที่ทำสถิติ..พระกรุแตกใหม่..ที่แพงที่สุดเท่าที่เคยมีมา..............
    .....ขอให้ท่าน..ฟัง..หู..ไว้หู...หาข้อมูลให้ได้แน่ชัด..ซะก่อน..อย่าเพิ่งกระโจนเข้าไปในทันที....เท่านั้นแหละครับ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2013
  13. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ...............
    ....ต่อจากตอนที่แล้ว..........
    .............................
    ..........................................................................
    ..............นี่แหละครับ...ที่สังคมพระของคนชั้นบน...มีพระของท่านมากกว่า...คนชั้นกลาง..และ
    ล่าง..ในเขต..เมืองหลวง..แต่ยังไง...พระสมเด็จวัดระฆัง...ก็สร้างชื่อมาก่อน..และพุทธคุณ..ก็
    เป็นที่ประจักษ์..แถม...พุทธคุณที่ว่า..นั้นเหมาะสำหรับ..คนชั้นบน..เพราะ..มีทั้งเมตตา..แคล้วคลาด
    ...มหานิยม..เป็นที่รักใคร่..ของ..ลูกน้อง..และ..ผู้บังคับบัญชา...แถมด้วย..บารมี..และ..มั่งคั่ง...
    ......ดังนั้น..สำหรับ..ผู้ใหญ่..ระดับบริหารทั้งหลาย...ก็..ไม่ค่อยสน..พระเหนียว..พระมหาอุตม์
    ...ยกเว้น..ผู้ใหญ่ที่เป็นทหาร..ก็ต้อง...เผื่อพระ..พวกนี้ไว้ด้วย..ตามสายอาชีพที่ทำ......
    .......ยิ่งพวกเจ้าสัว..พ่อค้า..คหบดี..ต่างๆ..พระวัดระฆัง...ก็...ยิ่งเป็นที่ต้องการมาก..เพราะตรงเป๋ง
    ..ตามพุทธคุณ......
    ............คนชั้นกลาง...ก็ปนเป..กันไป..ถ้าเป็นทหาร พลตระเวน(ตำรวจ)..ก็เน้น..คงกระพันมหาอุตม์
    ...........................จะเห็นได้ว่า..ความต้องการมากขึ้น...ของน้อยลง...บางคนที่กว้างขวาง..รู้จักพระ
    เยอะ..คนเยอะ..ก็ได้ดี..จากการจัดหา..พระตามต้องการมาให้...ลูกน้องที่เจ้านาย..ให้มาหาพระให้
    ..ก็จะมาหา..คนเหล่านี้...ตอนหลังก็เริ่ม..ขาดแคลน...รายได้ที่เคยมี..ก็หดหายไป....ก็เลยมีพวก
    หัวใส..ที่คิดทำพระปลอม...เอามาทดแทน..จัดหาให้คนเหล่านี้...ตอนแรกก็..คงมีทั้งไม่รู้กัน....
    หลังๆก็อาจจะรู้กัน..ไอ้พวกลูกน้องผู้ใหญ่วิ่งมาหาพระ..คราวนี้..ก็สมประสงค์..แต่มันก็คงไม่รู้
    ว่า..ได้พระปลอมไป....พอไปถึง..เจ้านาย..ใครจะไปคิดได้ละยุคนั้น...เพราะดูไปก็ตาเปล่า..แล้ว
    ก็เหมือนๆ..ของเพื่อนเขา..ก็ไม่แปลกใจอะไร....
    .............พอเริ่มก็ประสพผลสำเร็จดี..รายได้ดี..ก็คงมีทั้งขยายกำลังการผลิต....พอมีลูกน้องเยอะเข้า
    ไอ้ลูกน้องที่มีหัวก้าวหน้า..ก็ออกไปเองมั่งเพราะรู้วิธีมาแล้ว..ทำส่งเองบ้าง.........และก็แน่นอน
    พระอันดับหนึ่ง...ก็ต้องสมเด็จวัดระฆัง..ที่ความต้องการสูง..และราคาดีกว่าเขา.............
    ................อย่างที่ผมบอก..กำธรน้องรักผมไปว่า...ผมเองมีข้อมูลส่วนตัว..ในการยืนยันเรื่องนี้ว่า
    ...พระปลอม..เริ่มทำกันมาตั้งแต่...รัชกาลที่ ๕ นั้น...เคยเล่าไปแล้ว..แต่เพื่อ..ให้บทความนี้สมบูรณ์
    ..ก็ขอมา..เล่าให้ฟังอีกครั้ง..รายละเอียดปลีกย่อยอาจไม่เหมือนเดิม..แต่Mainเรื่อง..เหมือนเดิม...
    ..........เรื่องนี้...มาจากแม่ผมเอง...(ท่านเสียไปแล้ว)....แม่ผมบอกว่า..แม่มีผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เคารพ
    ...แม่เรียกว่า..ตา-(ขอสงวนชื่อไว้)...ผมขอเรียกว่า..ตา๑แล้วกัน....ท่านเองเข้าใจว่าเป็นญาติห่างๆของ
    แม่ผม...ท่านไปหากินอยู่เมืองหลวง..นานๆจะลงมาพังงาซะที..มาทีก็จะซื้อไอ้โน่นไอ้นี่..จาก
    เมืองกรุง..มาฝากหลานๆ..โดยเฉพาะ..แม่ผม..ที่ท่านรักมากกว่าใคร..เพราะนิสัยและพฤติกรรม
    เป็นนักเลง..และ..เป็นคนใจถึง..พูดจริงทำจริงแต่เด็ก..(..แม่ผมนั้นสมัย..เรียนชั้นประถม..ทำหน้าที่
    เป็น..ผู้คุ้มครอง..พี่ชาย..และ..น้องชาย..ไม่ให้ใครมารังแก...ถ้า..ใครจะแอบ..หรือ..ไม่แอบมารังแก
    ..พี่ชายและน้องชาย..จะโดนแม่ผมไปไล่ชก(เด็กผู้ชาย)..จนหมอบ..ถึงจะเลิก...เรียกว่า..โหดของแท้
    ..โดนกันไป..๕-๖ ราย..ตอนหลังไม่มีใครกล้ามาตอแยอีกเลย..เรื่องนี้..พ่อผมเล่าให้ฟัง..แต่ผมไม่
    มั่นใจ..ก็เลยไปถาม..ทั้งน้องชาย..และพี่ชายของแม่อีกที..ทั้งสองคนก็ยืนยันว่า..เป็นเรื่องจริง...
    ...พ่อผม..พบกับ..แม่ครั้งแรก..แม่พกรีวอลเวอร์เสียบเข็มขัดคาดเอวเอาไว้).....ท่านเป็นคนที่ให้พระ
    ที่แม่รักที่สุดที่มีองค์เดียว..ใส่มาตั้งแต่เด็ก..แต่ตา๑แก..ไม่ได้บอกว่า..พระอะไร..บอกเก็บไว้กับ
    ตัว..รักษาไว้ให้ดี(พระองค์นี้..ปัจจุบันอยู่กับพี่ชายคนโตผม).....ผมรู้เรื่องนี้..เพราะผมเห็นพระแม่
    ที่แม่คล้ององค์เดียว..ตั้งแต่..ผม..จำความได้..จนผมทำงานแล้ว.ถามแม่ว่า..พระอะไร..ใครให้....
    ...ถามไปถามก็เลยถามต่อไปว่า..แล้วตา๑แกอยู่ที่กรุงเทพ..แกทำมาหากิน..อะไรละแม่...
    .......แม่ผมก็บอกว่า..............แกทำพระปลอม...แกทำมาตั้งแต่เป็นหนุ่ม..............
    ........(..เพราะ..แม่เคยถามแก...แกก็เล่าให้ฟัง..แบบเฉยๆ..ไม่รู้สึกอะไรผิดแปลก...และเวลา
    แม่ผม..เล่าให้ผมฟัง...แม่ก็เล่าอย่างธรรมดาเช่นกัน...และไม่รู้สึกอะไรผิดแปลก..)
    .........................ต่อตอนหน้า.............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2013
  14. punthai

    punthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +320
    บทความน่าติดตามเหมือนเดิม ขอนั่งรอฟังด้วยคนครับ....:cool:
     
  15. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    .......
    ..ขอบคุณครับ..คุณPunthai...
    ....................................
    ...ต่อจากตอนที่แล้ว.....
    ...................................
    ...........................................................................
    ...อย่างที่ผมเคยเล่าไป..เด็กผู้ชายสมัย..ร.๕ นั้น อายุ ๑๕ ก็เริ่มเป็นหนุ่ม..อายุ ๑๖ ก็เป็นหนุ่มเต็มที่
    ออกจากบ้านจะไปทำงาน..หาอนาคตกัน..เพราะชาวบ้าน..ส่วนใหญ่จะเรียนหนังสือน้อย..
    แค่อ่านออกเขียนได้..ก็พอ...๑๗..ก็มีเมีย....
    ....แม่บอกผมว่า..ตา๑..นี่ขึ้นเหนือเข้ากรุง..ตั้งแต่หนุ่มๆเลย..ก็คิดว่า..ประมาณนั้นแหละ..๑๖-๑๗
    (ตนใต้..นะครับอย่าแปลกใจ)...แล้วก็อยู่โน่น(ในกรุง)..มาตลอด....ตอนที่..แกให้พระแม่ผม..แม่
    ก็..ประมาณ ๑๐-๑๑ ขวบ...ผมก็เคยถามแม่ว่า..แกแก่รึยัง...แม่ก็บอกว่า..เลยกลางคนแล้ว.....
    ....ตอนนี้..เรามาประเมินว่า..แกเกิดเมื่อไหร่กัน.....
    .....แม่ผม..ถ้ายังอยู่..ปีนี้..ก็ ๘๕ (แม่ผมอ่อนกว่าพ่อเยอะ)...จากที่แม่ผมพูดก็ประเมิน..คร่าวๆได้
    ในตอนนั้น..ว่า..แกน่าจะใกล้ ๖๐ ปีแล้ว...ก็ตีซะว่า..แกแก่กว่าแม่ผมซัก ๔๕ .....
    ..ดังนั้น..ก็จึงได้ว่า..ถ้าแกอยู่ถึงปัจจุบัน...อายุแก..ก้น่าจะประมาณ ๑๓๐ ปี...เอาไปลบพ.ศ.
    ปัจจุบัน..๒๕๕๖..ก็จะได้ว่า..แกน่าจะเกิดประมาณปี...๒๔๒๖...ก็ถึงว่าอยู่ในช่วงต้นของ
    รัชกาลที่ ๕ .....เข้ากรุงมา..ให้อายุซัก ๑๗ ก็ต้องปากกัดตีนถีบ..พอควร..ทำหลายอย่าง...
    ...แม่ผมบอกว่า..แกทำอาชีพนี้..มาตั้งแต่หนุ่ม(สมัย ร.๕...เลย ๒๕ เขาก็ถือว่า..เกินหนุ่มแล้ว)
    ....ผมเอาซะประมาณ ๒๒ ...ดังนั้น..แกก็จะเริ่มทำอาชีพนี้(..ผมเข้าใจว่า..เริ่มต้นก็คงต้องไป
    เป็นลูกมือ..หรือ..ผู้ช่วยเขาก่อนแน่...)...ก็จะเป็นประมาณปี..๒๔๔๘...ร.๕ สิ้นพระชนม์
    ๒๔๕๓....นี่แหละครับ..หลักฐานยืนยันของผม...ว่าที่คนรุ่นเก่าเขาพูดมานั้น..เรื่องจริง...
    .......คือก็ไม่รู้ว่า..แกจับพลัดจับผลูยังไง..ถึงไปทำอาชีพนี้ได้...แต่ก็แสดงว่า..ตอนที่แกเริ่มนั้น
    ..ธุรกิจใต้ดินนี้..ต้องมีมาก่อนหน้าแล้ว..หลายปี..และ..มีรายได้เข้าตลอด...ปริมาณ..และ..
    ประเภทของพระหลากหลาย...จนจากจุดเริ่ม..น่าจะเป็นแค่ ๑-๒ คน..จนตอนหลังต้องจ้าง
    ลูกมือช่วย....................
    ........................................................
    ..........ยิ่งเวลาผ่านไป..พระแตกรุออกมามากขึ้น....พระจากหัวเมือง..ก็เข้ามา..แถมพวกหัวเมือง
    ใหญ่ๆ...ที่มีความเจริญ..มีสังคมชั้นบน..ขยายตัวกัน....อยากได้พระต่างภูมิภาคกัน..ก็ต้องอาศัย
    เมืองกรุงเป็นศูนย์กลาง...พระปลอมก็พลอยมีโอกสศกระจายไปที่อื่นด้วย...
    ........สื่อ...เกือบทั้งหมดตอนนี้..ก็ยังเป้นปากอยู่ดี..หนังสือพิมพ์...มีแค่เมืองกรุง..มีแค่ ฉบับ สองฉบับ
    ...แล้ว..เค้าก็ไม่มาลงเรื่องพระ..กันหรอก.....เพียงแต่ตอนนี้..การติดต่อสื่อสาร..ของผู้คนดีขึ้น..
    ทั้งจาก..เหนือ..อีสาน..ใต้ตอนบน...อาศัย..รถไฟ...เมื่องคนไปมาหาสู่ติดต่อธุรกิจ..และ..มีการอพยพ
    ย้ายถิ่นฐานกัน..คนที่ทำงานประจำอยู่ที่หนึ่ง..แต่ถิ่นฐานอยู่ที่หนึง....ต้องกลับไปเยี่ยมบ้านกันมั่ง
    ..เวลา..ไปถึง.งก็ไปรับรู้เรื่องราวมา..พอเดินทางกลับไป..ที่ทำงาน..ก็ผลัดกันเอาไปเล่าให้เพื่อนฟัง
    ..อะไรทำนองนี้.............
    ............ทั้งหลายทั้งมวล...ก็ทำให้ความรู้ข่าวสาร..กระจายไปไกล...รวมถึง..เรื่องพระด้วย...
    กอรปกับ..ในยุครัชกาลที่ ๖ พระแตกกรุออกมาเป็นจำนวนมาก..แทบทุกที่...จนบางแห่งต้อง
    มีการเปิดกรุกันเป็นทางการ.....เทคโนโลยี..เริ่มเข้ามาบ้าง...กรมกองมากขึ้น..การค้าขยาย....
    ข้าราชการก็มากขึ้นด้วย..ก็เกิดคนชั้นกลางขึ้นมา...และคนชั้นกลางเหล่านี้...โดยเฉพาะที่เป็น
    ข้าราชการ..และ..นายทหาร...ที่เขามีสังคมของเขาเอง...ตลอดจนพ่อค้า..รายย่อยๆ..ที่พอมีฐานะ
    มีมากขึ้น....เหล่านี้..ก็เริ่มกลายเป้นกลไก..ที่ทำให้สังคมพระ..กว้างขึ้น..มีการแลกเปลี่ยน..ซื้อขาย
    กันมากขึ้นด้วย....และด้วยเทคโนโลยีที่เข้ามาบ้านเรา..ตั้งแต่กลางยุค ร. ๕ ต่อเข้าสู่ ร.๖. ก็ทำให้มี
    การพัฒนา..การสร้างพระ..รูปแบบใหม่ขึ้นมา....นั่นคือ...เหรียญ....
    ......................................ต่อตอนหน้าครับ............................
     
  16. punthai

    punthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +320
    ขอบคุณมากครับ ที่นำประสบการณ์ มาถ่ายทอดให้คนรุ่นหลัง ได้เรียนรู้
     
  17. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ......
    ..หวัดดี...Punthai ......
    .................................
    ...ต่อจากตอนที่แล้ว.........
    ..............................
    ......................................................................................
    .....ในช่วงรัชกาลที่ ๕ เราเริ่มมีโรงกษาปณ์..เป้นของตัวเอง..และมีการผลิตเหรียญ..ที่..ใช้เป็น
    เงินซื้อขายของกัน...ขณะเดียวกันก็ทำหน้าผลิต..เหรียญที่ระลึกในวาระต่างๆด้วย...ในส่วนนี้
    ..ก็มีการทำเหรียญที่ระลึกที่เกี่ยวข้องกับ..พระพุทธศาสนา...อย่างในวาระ..การฉลองพระ
    สุพรรณบัตร..ของ..กรมพระยาปวเรศฯ(..ผู้สร้าง..กริ่งปวเรศ)..อันมาเป็น..เหรียญสะสมที่มีราคา
    แพงมากในปัจจุบัน...อย่างเหรียญบาตรน้ำมนต์(จากคาถาที่ลงด้านหน้านั้น..ผมคนนึงที่เชื่อแน่ว่า
    ท่านต้องปลุกเสกด้วยแน่...)...หรือ..เหรียญจับโป๊ยล้อหั่น(สิบแปดอรหันต์)..รวมถึง...เหรียญมือ..
    (..เหรียญนี้..กับ..เหรียญสิบแปดอรหันต์นั้น...ของจริง..ไม่มีห่วงนะครับ...แต่คนสมัยยุคหลัง..อยาก
    จะห้อย..แต่เนื่องจากเหรียญมีขนาดใหญ่..และหนา..มีน้ำหนักมาก...ทำให้ต้องเชื่อมห่วงถึง..
    ๒ ด้าน...เมื่อห้อยแล้วห่วงถึงไม่ขาดออกจากองค์พระ..เหรียญเหล่านี้..เจตนาเป็นเหรียญที่ระลึก
    ครับ..เขาจึงไม่ทำห่วงไว้....ที่ผมมาบอกเพราะ..เคยมีน้องๆมาถามผม..แล้วงงว่า..ทำไมมีตั้ง ๒ ห่วง)
    ...เหรียญ..ทั้ง ๓ เหรียญนี้..ถ้าจำไม่ผิด..สร้างในปี ๒๔๓๔...ส่วน ในปี ๒๔๓๕ มีเหรียญนึง..ที่
    สร้าง..แล้วมีห่วงด้วย..แต่เจตนาเขาทำไว้..เพื่อ..ให้ร้อยเข็มกลัด..แล้วกลัดติด..หน้าอก..ไม่ได้มี
    ห่วงไว้..สำหรับห้อยคอ..ซึ่งมีคนเข้าใจผิดเป็นจำนวนมาก..นั่นคือ..เหรียญพระบาทเกาะสีชัง
    ...ที่..สมเด็จเจ้ามา วัดสามปลิ้ม..เป็นผู้ดำเนินการ..เป็นเหรียญสำหรับแจกให้ผู้สมทบทุนสร้าง
    พระบาทที่เกาะสีชัง...เหรียญนี้..แน่นอนครับ..ปลุกเสกโดยท่านเจ้ามาเอง.........
    .....พอมาปี ๒๔๔๐ ก็มีอีกเหรียญ..ที่เป็นประวัติศาสตร์คือ..มีรูปพระพุทธปรากฏขึ้นเป็นครั้ง
    แรก..ของ..วงการเหรียญ ก็คือ..เหรียญพระพุทธชินสีห์ สมโภชการเสด็จกลับจากยุโรปครั้ง
    แรก...เหรียญนี้ก็เป็นเหรียญที่ระลึกเช่นกัน...ไม่มีห่วงครับ(ผมไม่แน่ใจ..ว่ามีการปลุกเสกหรือ
    ไม่..แต่ดูตามความน่าจะเป็น..ก็คงมี..เมื่อมีรูปพระพุทธชินสีห์..ของ..วัดบวรฯ ก็น่าจะทำพิธี
    ที่นั่น..).....แล้วถ้าใคร..สงสัยว่า..ทำไม ร.๕ จึงเลือก พระพุทธชินสีห์..ผมว่าน่าจะมีความเป็น
    ไปได้สูงคือ...สมัยที่พระองค์ท่าน..ทรงผนวชที่วัดบวรฯ...ทุกวันเวลาลงโบสถ์ทำวัตร...พระองค์ท่าน
    ก็ต้อง..กราบอยู่เป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว..ก็คงถือว่า..เป็นพระพุทธรูปในดวงใจพระองค์ท่าน..ไปด้วย
    (ความเห็นส่วนตัวนะครับ)..
    ........ความจริงแล้ว...ยังมีอีกเหรียญ..ที่สร้างในวาระ..เดียวกัน..หลายท่านคงทราบ....
    ...และเหรียญนี้..พิเศษคือ..ทำไว้เพื่อห้อย..และ..มีเนื้อเดียวเท่านั้นคือ....เนื้อเงิน......
    ........เราเรียกกันว่า..."เหรียญแจกเด็ก".....เป้นเหรียญทรงเสมา..ด้านหน้าเป็นพระปรมาภิไทย..
    เขียนบอกว่า..หลังพระนามของท่านว่า"..........พระราชทาน"....ด้านบนเหรียญจะเป็นปลอก
    ตามแนวยาว..เอาไว้สำหรับ..ร้อยเชือก..หรือสร้อย..ในประวัติ..มีระบุชัดเจนว่า..ทรงพระราช
    ทานให้กับเด็ก....และผมว่า..คงมีน้อยคน..ที่จะสังเกต...ถ้าเผื่อไปเห็นรูป..พระบรมวงศานุวงศ์
    ...ที่ทรงฉายรูปตอนเป็นเด็กๆ...ในสมัยนั้น..หลายพระองค์..และ..หลายรูป...ก็จะห้อยเหรียญนี้
    อยู่ด้วย(..ลองไปหาดูได้ครับ..แต่อาจหายากหน่อย)...เหรียญนี้ผมก็เชื่อว่า..คงมีการปลุกเสก..
    ไม่งั้นพระองค์ท่าน..คงไม่สร้างไว้..ให้เด็ก..เอาไปคล้องเล่นๆ..เป็นแน่....(..ส่วนตัวผมเอง..
    ก็ห้อยติดตัว..มามากกว่าสิบปีแล้วจนทุกวันนี้...ความจริงได้มา..สี่สิบกว่าปีแล้ว..แต่พึ่งมา
    คิดห้อย...)
    ....พอมาถึงยุคต้น..ของ รัชกาลที่ ๖ เริ่มมีโรงงานปั๊มพ์เหรียญกัน...คราวนี้...ก็ทั้ง...พระพุทธรูป
    สำคัญ..ตามที่ต่างๆ..และ..หลวงพ่อต่างๆ..ก็เริ่มทยอย..กันผลิตออกมา....
    ...............นอกจาก..เหรียญแล้ว....ก็มีพระอย่างหนึ่ง...ที่เป็นโลหะ..ได้รับความนิยมของนัก
    สะสม..กันพอควร..ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่๕..นั่นก็คือ....พระกริ่ง....
    .............................ต่อตอนหน้าครับ.................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2013
  18. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    เนื้อหาสาระอัดแน่นเช่นเคยค่ะ มาปูเสื่อรออ่านทุกวันค่ะ
     
  19. bearkery

    bearkery เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,668
    ค่าพลัง:
    +6,383
    รออ่านตอนหน้าเช่นกันครับ
     
  20. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ........
    ...หวัดดี น้องณี..และ...Bearkery....
    ..................................................
    .....ต่อจากตอนที่แล้ว....
    ...............................
    ..............................................................................
    .......ในยุคนั้น..พวกที่ชอบนิยมสะสม..แนวคิดไม่เชิงคิดเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่าไหร่...คิดเป็นเชิง
    ของเก่า..ซะมากกว่า...เพราะ..พระกริ่งที่เล่นๆกัน..ยุคนั้น..เป็นกริ่งนอก..ก็คือ..พระกริ่งที่ไม่ได้
    สร้างในไทย...และ..พระกริ่งจากลัทธิมหายาน..ซะเกือบทั้งหมด....เพราะ...ที่มา..มาจาก ๒ แหล่ง
    ..คือ..เมืองจีน..กับ..เขมร.......
    ........จะว่าไปแล้ว..กริ่งจีนจริงๆ..น่าจะเป็นกริ่งที่เรียกว่า..กริ่งหนองแส..ซึ่งได้รับ..อิทธิพลมาจาก
    ...ธิเบต..ซึ่งเราเรียกกันว่า..กริ่งจีน..หรือ..กริ่งใหญ่......ที่มาน่าจะมากพ่อค้าจีนนี่แหละ...ที่เห็นบ้าน
    เรา..นิยมพระพุทธรูปกัน...มันก็เลยนำมาขายด้วย..เพราะเท่าที่ทราบ..พระพุทธรูปขนาดพระบูชา
    ..ก็มีบ้างแต่น้อยมาก....
    ........ส่วนกริ่งเขมร..นั่นไม่แปลก..เพราะตอนนั้น...ก่อนเข้าช่วงยุคปลาย..ของรัชกาลที่ ๕ พระตะบอง
    ..เสียมราฐ..และ..ศรีโสภณ..ก็ยังเป็นของเราอยู่....ของก็มาจากทางชายแดน...แบ่งเป็น ๓ อย่าง
    หลักๆ..คือ
    ๑. กริ่งบาเก็ง..หรือ..กริ่งอุบาเก็ง...(ที่สายวัดสุทัศน์..นำรูปแบบไปใช้)...ชื่อ..บาเก็ง..นี้ก็น่า
    จะมาจาก..แหล่งที่มาช่วงแรก..คือ..มาจากแถบ..เขาพนมบาเก็ง..ของเขมร....มั้งผมว่านะ..เพราะ
    ชื่อ..เดียวกันเลย...ส่วนอีกกริ่งที่มี..การสะสมกัน..และถือว่าอยู่ในกลุ่มนี้..ก็คือ..กริ่งปทุมสุริยวงศ์
    ..ที่ว่ากันว่า..เป็นต้นแบบ..ของกริ่งปวเรศ...กริ่งเหล่านี้กำเนิดก่อนไทย..นานมาก..และมีอิทธิพล
    กับ..กริ่งไทยด้วย....ส่วนที่มานั้น..ก็..มีอิทธิพล..ของกริ่งจีน..หรือ..กริ่งธิเบตอยู่ด้วยเช่นกัน
    ๒. กริ่งเขมร..แบบที่เราชอบเรียกกันว่า..กริ่งเขมรถือดอกบัว..ซึ่ง..จะมีรูปแบบทำนองเดียว
    กับ..กริ่งตั๊กแตน...ที่คนไทยมองแล้ว...เห็นหน้าพระกริ่ง..เหมือนตั๊กแตน.....
    ๓. พระอุปคุต ก็ถือดอกบัวเหมือนกัน..อยู่ในหอยบ้าง..อยู่ในใบบัวบ้าง..แล้วแต่....
    ............ข้อสังเกตคือ..ใน..ข้อ ๑ ผมว่า..น่าจะทำมาจากทาง..ลัทธิมหายาน..เช่นกัน..เพราะพระ
    ถือ..หม้อน้ำมนต์..ทำนองเดียวกับ..กริ่งจีน...แต่ ๒ กับ ๓ นี่น่าจะเป็น..หินยาน..แล้วแต่..
    ..รูปแบบเป็นเอกลักษณ์..อย่าง..เขมร..(ดูจากหน้าตาองค์พระ..เห็นได้ชัด)......
    ..........กริ่งของเขมร...รวมถึง..พระอุปคุต..นี้...เป็นสัมฤทธิ์สีเข้ม..ทั้งหมด..สวยงาม.....
    ..............................................
    ....อย่างนึง..ที่เราไม่ได้เล่นพระกริ่งของเรา..เองในยุคนั้น..เพราะ
    ๑. เราถือว่า..พระกริ่ง..เป็นพระชั้นสูง...แต่ละคนที่ได้มา..ก็หวงแหน...ส่วนใหญ่..จะเก็บไว้
    ในขัน...เพราะเป็นตามเจตนา..คือ..เอาไว้ทำน้ำมนต์...ไม่มีใครเขาเอามาห้อยกัน..แบบสมัยนี้นะครับ
    ๒. มีจำนวนน้อยมาก..เป็นของหายาก..เจ้านายระดับสูง...หรือ..ข้าราชการชั้นสูงถึง..จะมี..
    .........ก็ดูจาก..กริ่งปวเรศ ของวัดบวรฯ..ก่อน..นี่ก็มี..แค่หลักสิบ....
    ..................กริ่งธรรมโกษาจารย์ (สังฆราชแพ) วัดสุทัศน์...นี่ก็ หลักสิบ.....
    .........มาถึงต้น ร. ๖ กริ่งพรหมมุณี(สังฆราชแพ) วัดสุทัศน์ นี่ก็ หลักสิบ..เช่นกัน...
    ..................นั่นแหละครับ...จึงไม่มีใคร..ให้ใครแลก..หรือ..คนอื่นมาขอแลกกับของอย่างอื่น...
    ...ก็ไม่มีใครแลกด้วย....
    ..................................................
    ....................ตั้งแต่ปลายยุค ร.๕ มาต่อ ต้น ร.๖.....ความเปลี่ยนแปลง..ก็เข้ามาสู่..พระอาจารย์ที่
    เรืองวิทยาคมทั้งหลายมากขึ้น....คือ..ตั้งแต่เดิม..ทำกันแต่..ตะกรุด..ลูกอม...ผ้ายันต์..กันเป็นส่วน
    ใหญ่...ก็เริ่มเปลี่ยนแนว..มาทำ..พระเครื่องกัน..มากขึ้น...ผมเข้าว่า..อาจมีส่วนมาจาก..การเห็น
    พระกรุต่างๆ..ที่..ทยอยปรากฏออกมา...ด้วย...
    ...............ต่อตอนหน้าครับ.......................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...