บาปไหม ค้าขาย โกหกลูกค้า

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย chaokhun, 9 สิงหาคม 2013.

  1. เมธาวี1

    เมธาวี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    692
    ค่าพลัง:
    +1,051
    เรื่องแค่นี้เอง!!!!
     
  2. rukmac

    rukmac เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +377
    ถ้าโกหกเกี่ยวกับตัวสินค้า,สเป็ก,ที่มา,แหล่งผลิต ก็เข้าข่ายหลอกลวงนะครับผมว่าผิดข้อ4 เต็มๆ แต่ถ้าเรื่องราคาเลี่ยงไปพูดว่า "ขายได้ราคานี้เท่านั้น" คงจะไม่ผิดศิลนะครับ แต่ใครมาถามเรื่องราคาต้นทุนละก็เชิญเขาเดินไปข้างหน้าอย่างสุภาพแล้วกันครับ ผิดจรรยาบรรณลูกค้าครับ
     
  3. palati

    palati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +432

    ก็น่าเห็นใจนะครับที่ท่านอาจจะเจอแบบนั้น แต่มีอีกวิธีครับ นั่นก็คือเราก็เป็นคนที่จริงใจซื่อสัตย์เสียเองสิครับ เพราะในเมื่ออย่างน้อยไม่มีใคร ก็ยังมีตัวคุณเองนี่ไงที่เป็นคนที่จริงใจและซื่อสัตย์อยู่อีกหนึ่งคน
     
  4. palati

    palati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +432
    ผมเองก็ค้าขายเช่นกัน และเห็นด้วยกับการที่ใช้คำว่า "ขายได้ราคานี้เท่านั้น" หมายถึง ราคานี้สำหรับคุณเท่านั้น หลังจากนั้นก็ต่อรองราคากัน หากยังได้คำตอบเดิม ก็อยู่ที่ลูกค้าจะตกลงซื้อหรือเปล่า เพราะสุดท้ายก็ไม่มีใครบังคับคุณให้ซื้อหรือไม่ให้ซื้อ
     
  5. palati

    palati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +432
    ผมเห็นด้วยครับ และก็ถือว่าเป็นคุณสมบัติของพ่อค้าที่ฉลาดแต่ไม่โกงและมีศีลธรรมจรรยาบรรณแต่ก็ไม่อดตาย
     
  6. palati

    palati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +432
    ใช่ครับ ใบBOQหรือใบประเมินราคาของสินค้าทั้งหมดที่จะใช้ในโครงการนั้นๆ เขาประเมินราคามาเผื่อให้ลูกค้าต่อรองกันอยู่แล้วเพื่อให้หาจุดที่จะตกลงซื้อได้ทั้งสองฝ่าย บางทีอาจมีการปรับราคากันหลายรอบเพื่อที่จะให้ตกลงกันได้ มีน้อยคนครับที่จะตัดสินใจซื้อจากการได้เห็นใบ BOQ เป็นครั้งแรก

    ราคามีไว้ต่อรอง จะได้หรือไม่ได้ก็อีกเรื่องหนึ่งครับ
     
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    นี่แหละเขาเรียกว่า การค้าเสรี

    ผมขออธิบายให้ทราบว่า การค้าขายหรือธุระกิจใดๆ หากมีเจตนาไม่ดีหลอกลวงก็เป็นบาปกรรมทั้งสิ้นครับ

    อนึ่งที่เป็นบาปกรรมมากอีกอย่างคือ การค้าขายที่ละโมบโลภมาก เอากำไรเกินควร จนไปเบียดเบียนผู้อื่น เป็นบาบกรรมมาก ยิ่งเป็นการขูดรีดแบบมีระบบมีหลักการก็ตาม

    ในระบบการค้าเสรีจึงเป็นไปตาม demand & supply
    การกำหนดราคาจึงเป็นเรื่องของ
    1 กลไกลทางการตลาดและเศรษฐกิจโดยรวม
    2 ต้นทุนและปัจจัยพื้นฐาน
    3 กลุ่มนายทุนผู้มีกำลังมากในการควบคุมราคา
    4 นักการเมือง ที่มีส่วนในการผลักดันส่งเสริมหรือเกี่ยวข้องในการถือหุ้น
    5 ภาวะภัยธรรมชาติหรือปัจจัยนอกเหนือการควบคุม

    ดังนั้นกระบวนการทำบาปกรรมเหล่านี้จึงเกิดขึ้นไม่จบสิ้น
    เราไม่ได้มีกฏหมายชัดเจาว่า สินค้า บริโภค อุปโภค แต่ละกลุ่มนั้น มาตรฐานของการกำหนดราคา และการควบคุมไม่ให้มีการตั้งราคาที่เอากำไรเกินควร ทุกวันนี้เปิดเสรีมาก
    ไม่ได้มีกฏหมายออกมาควบคุมว่า
    เช่นสินค้ากลุ่มพลังงานเช่นน้ำมัน กำไรต้องไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ของต้นทุน
    ทำไมคนไทยต้องใช้น้ำมันแพงมากๆแพงกว่าเกือบทุกประเทศในโลก
    ความจริงรัฐบาล ควรออกกฏหมายควบคุมสินค้าแต่ละกลุ่มได้เพื่อความเหมาะสมและดูแลผู้บริโภคหรือประชาชนให้มากกว่านี้
    แต่ก็อย่างที่เข้าใจ ก็กลุ่มบริษัททั้งหลาย ก็มีความดีต่อพรรคการเมือง ในการสนับสนุนด้านการเงิน นอกจากนี้นักการเมืองและเครือญาติเกือบทั้งหมด ถือหุ้นหรือมีส่วนได้เสียกับธุรกิจเกือบทุกชนิด

    สุดท้ายก็ต้องเชื่อและเดินตามท่านพ่อ คือท่านในหลวงที่เคารพรัก คือการอยู่อย่างพอเพียง อยู่อย่างประหยัด อนาคต คนไทย80เปอร์เซ้นต์จะจนลง ปัญหาสังคมจะมากขึ้น
    คนที่รวยอยู่แล้วจากเดิมมีประมาณ30%จะลดลงและในนี้จะรวยเพิ่มขึ้น แต่จะเหลือเพียง20เปอร์เซ้นต์ ตามหลักพาเรโต้

    จนกว่า วิบากกรรมไม่ดีให้ผลในบั้นปลายนั้นแหละ ชีวิตคนเหล่านี้ จึงตกอยู่ในสภาพตายทั้งเป็นและไม่มีความสุข จนตายไปในที่สุด

    สุดท้ายก็อย่าไปตำหนิใครหรือโทษใคร ทุกอย่างอยู่ที่ตัวใจเราเองครับ ขอให้มีสติปัญญาเลือกทำแต่ในสิ่งที่ดีๆให้มากๆนะครับ สาธุ
     
  8. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    อีกนิดครับ ไหนๆก็พูดแล้ว

    เพราะการแปรรูปธุระกิจ ไปเป็นของเอกชน ความจริงรัฐบาลสามารถออกกฏหมายมากควบคุมธุระกิจ บางกลุ่มได้ ถึงแม้จะแปรรูปไปแล้วก็ตาม แต่ก็สามารถออกกฏหมายควบคุมได้ เช่นกลุมพลังงานทั้งหมด หรือกลุ่มที่ต้องใช้ทรัพยากรณ์ธรรมชาติของประเทศไทย แม้กระทั่งการไฟฟ้า การสื่อสารก็ตาม เช่น
    1 การควบคุม กำไร ต้องแบ่งปันผลให้รัฐบาลด้วยส่วนหนึ่ง เพราะธุระกิจเหล่านั้นอาศัยทรัพยากรณ์ของชาติ หรืออาจไปเพิ่มในการเก็บภาษีก็ได้หรืออื่นๆมีหลายช่องทางสามารถทำได้ครับ
    2 การควบคุม เรื่องราคาขายภายในประเทศที่เหมาะสม และการเพิ่มราคาขายกรณีการส่งออก
    3 การควบคุมเรื่องการถือหุ้น สัดส่วนที่ดี ระหว่างคนไทย คนต่างชาติ และปริมาณหุ้นต่อคน เป็นต้น เพื่อบริหารและถ่วงดุลย์สร้างสมดุลย์ในการบริหารและการปันผลกำไรเงินจะได้ไม่รั่วไหลไปต่างประเทศ
    4อื่นๆอีกมากมาย

    สุดท้ายได้แต่คิดแต่ทำไม่ได้เพราะ กฏหมายเกิดได้เพราะนักการเมือง
    แต่นักการเมืองมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ตามที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น สุดท้าย มันแก้อะไรไม่ได้ ก็เหมือนที่ต่างประเทศเขาดูถูกเรา เพราะคนไม่ดีมีมาก ประเทศชาติจึงเป็นแบบนี้ครับ จึงปล่อยวางและรอเวลาเท่านั้นครับ ไม่นานมากหรอกครับ ทุกอย่างจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครับ คนที่ทำบาบไว้มากๆ ทำให้คนอื่นๆหรือประเทศชาติเดือดร้อนมากๆใกล้เวลาที่เขาจะได้รับผลกรรมนั้นแล้วครับ และสิ่งสำคัญคือต้องคอยระวังและมีสติปัญญาเตือนตน อย่าไปหลงเชื่อไหลไปตามกลุ่มคนชั่วนะครับ พยายามหนักแน่นในการทำความดีให้มากๆมั่นคงนะครับ สาธุ
     
  9. palati

    palati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +432
    เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
     
  10. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    การโกหกทุกรูปแบบเป็นบาปคะ แต่บางคนพูดมากในสิ่งที่ไม่ควรพูดก็บาปเช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2013
  11. ปรมัตถนาม

    ปรมัตถนาม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +70
    บาปหรือไม่ขึ้นอยู่ที่
    1. เจตนา ไม่บริสุทธิ์ทั้งรู้แก่ใจก็บาป

    2. ผลของการกระทำ ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เสียใจ เป็นทุกข์ทางกายก็ดี ทางใจก็ดี ก็บาป
     
  12. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946

    ฟังดูดี มีมารยาท มีเหตุผลมีหลักการ เป็นการโกหกที่ดูแนบเนียนขึ้น
    แต่ถึงอย่างไรมันก็คือการโกหก ทำมากๆ ก็ทำให้จิตใจผิดเพี้ยน บิดเบี้ยว ยากที่จะมองอะไรให้ตรงกับความเป็นจริง
    ไม่เฉพาะแต่วงการค้าขาย การโกหกแบบนี้มีในทุกวงการ โดยเฉพาะในการเมือง ราชการหรือแม้แต่วิชาการ
     
  13. พงพัน

    พงพัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +478
    มันจะไม่เป็นการตึงมากเกินไปหรอกหรือพ่อคุณ ค้าขายแบบมนุษย์ปุถุชนยังต้องกินต้องใช้อยู่นะขอรับท่าน ไม่ใช่วัวควายกินหญ้าได้ที่ไหนกันอย่าว่าแต่หญ้าตอนนี้จะได้เที่ยวไล่ต้อนไปกินฟรีๆในที่ๆของใครก็ยังไม่ได้เลย การไม่ได้บอกหรือบอกเลี่ยงไปเสียอีกทางนึง หรือแม้แต่พระสงฆ์เองก็เถอะ ยกตัวอย่างเช่นมีพระสงฆ์รูปนึงเห็นโจรวิ่งหนีตำรวจต่อหน้าต่อตาหายไปทางตลาด สักพักต่อมามีชาวบ้านพร้อมตำรวจติดตามมาเจอะเจอก็แต่พระรูปนั้น ตำรวจนายนึงเข้าไปนมัสการเรียนถามกับท่าน"พระคุณเจ้าอยู่ตรงนี้เห็นโจรมันวิ่งผ่านมาบ้างมั้ย"พระรูปนั้นนิ่งไปพักนึงพร้อมกับก้าวเท้าจากที่เดิมก้าวนึง แล้วไปยืนอยู่ยังอีกที่นึง พร้อมกับตอบว่า"อาตมาที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่เห็นใครๆที่โยมถามมา"แล้วท่านก็เดินจากไป การพูดเลี่ยงไปการไม่ได้ตอบคล้ายๆกันอย่างนี้ไม่ได้ไปสร้างความเสียหายต่อใครๆ เราต้องอยู่ต้องปฏิบัติแบบ"สายกลาง"ที่พอดีๆ เออถ้าไปสร้างความเดือดร้อนเสียหายจากการหลงจากการเข้าใจผิดๆอย่างที่ตัวคนพูดจั่วหัว,พูดป่าวประกาศ อันนี้ซิครบองค์ประกอบความผิด การไม่ได้พูดไม่ได้บอกในบางเรื่องหรือหลายๆเรื่องนั้นผมไม่เห็นว่าจะเป็นความผิดอะไร คนเราไม่จำเป็นต้องรู้ไปเสียทุกเรื่อง คนถามก็สมควรถามในเรื่องที่ควร,ราคารับได้มั้ย,คุณภาพ,การใช้งานเป็นอย่างไร ไปเที่ยวล้วงความลับเรื่องไม่ควรทำไปทำไม
     
  14. thitarat

    thitarat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +203
    ก๊อปปี้มาฝากค่ะ หลวงพ่อฤาษีลิงดำตอบปัญหาค่ะ
    เรื่องศีลข้อมุสาวาท

    ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อเจ้าคุณที่เคารพอย่างสูง...

    หลวงพ่อ เอ๊ะ! วันนี้เป็นเจ้าคุณ ฉันขาดหลวงปู่ไปตำแหน่งนะนี่ หลวงตามาแล้ว ขาดหลวงปู่...หลวงทวด

    ผู้ถาม ลูกมีปัญหากลุ้มใจนิดเดียว เกี่ยวกับเรื่องศีลของหลวงพ่อ คือ ลูกเป็นแม่ค้าก็จำเป็นที่จะต้องโกหกอยู่เสมอ ไม่งั้นจะไม่ค่อยมีกำไร ลูกพยายามทุกอย่างแล้ว ธรรมะของหลวงพ่อทำครบหมด แต่ข้อนี้ทำไม่ได้ จึงขอบารมีหลวงพ่ออโหสิกรรมให้ลูกด้วยเถิดเจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ เอาอย่างนี้ซิ...ฟังให้ดีนะ จุดธูปตอนเช้า วันนี้ขอลาศีลมุสาวาทชั่วคราว...(หัวเราะ) เอาอย่างนี้ซิ...วิธีพูดน่ะ เราซื้อของมาถูก ต้องขายแพงตามท้องตลาดใช่ไหมล่ะ ก็บอกต้นทุนมันแพง ลดจากนี้ไม่ได้หรอกจ๊ะ เท่านี้หมดเรื่องกันไป ไม่โกหก อย่าไปบอกซื้อมาบาทนี่ขาย ๑๐ บาท นี่ซื้อมา ๙๙.๙๐ บาท โธ่...ได้กำไร ๑๐ สตางค์ กลัวศีลขาด บอกต้นทุนมันแพง ลดจากนี้ไม่ได้น่ะ นี่มันมีความจำเป็น ถ้าต้นทุนถูกลดจากนี้ได้มาเยอะแยะ แค่นี้ไม่ผิด

    ผู้ถาม หลวงพ่อคะ บางครั้งเราก็ไม่เจตนาไอ้เรื่องโกหกนี่มันอยู่ในสังคม บางครั้งอย่างนี้นะ เขาจะมาเบียดเบียนเราน่ะ เราโกหกเขาว่าเราไม่มี

    หลวงพ่อ อันนี้ต้องรู้คำว่า มุสา นี่ ต้องทำลายผลประโยชน์เขาไอ้ตัวนี้ไม่ใช่โกหก ไม่ใช่มุสา

    ผู้ถาม บางครั้งก็ไม่เข้าใจนะคะ

    หลวงพ่อ ดี...ถามอย่างนี้นะดี ทีนี้คำว่า “มุสา” นี่ต้องทำลายผลประโยชน์เขา แต่นี่เราทำเพื่อรักษาผลประโยชน์เรา ใช่ไหม...ยังไม่อยู่ในเกณฑ์มุสา อย่างนี้เขาไม่ถือว่าขาดศีล ๕

    ผู้ถาม บางครั้งพูดแล้วมันเสียดใจ มันตรงเกินไป

    หลวงพ่อ ก็ใช่ แต่เปล่า...ก็ต้องบอกเรารู้นี่ว่า ไอ้หมดนี่ถ้าหากมาขอยืมทีไร มันไม่ใช้ให้ทันที ใช่ไหม...นี่เราขืนให้ไปเราก็ไม่ได้ มีอยู่เหลือเฟือนี่ ไอ้เงินน่ะเรามี แต่เงินที่เราจะให้ยืมมันไม่มี เราก็บอกไม่มี เราก็บอกไม่มีเฉย ๆ ว่ายืมไม่ได้ ความจริงเรามีแต่เราจะต้องใช้นี่ ใช่ไหม...ถ้าเขาเอาไปเขาไม่เอามาส่งคืนเราก็ลำบาก ถ้าเรามีเหลือเฟือนี่มันไม่เป็นไร อันนี้เราถือว่าเรารักษาผลประโยชน์เรา เขาไม่ถือว่าเป็นมุสานะ
    อย่างพวกค้าขายนี่ก็เหมือนกันละ ลงทุนมาบาทเดียวแต่ขาย ๑๐ บาท เราขายตามราคาท้องตลาดเขาขอลดเราบอกลดไม่ได้หรอก ต้นทุนมันแพง มันแพงเท่าไรนี่เราไม่ได้บอก เราอย่าไปบอก ๙ บาท ๕๐ สตางค์ซิ เราบอกแพงเฉย ๆ ตามความนิยมของท้องตลาด อันนี้มันไม่เป็นไรนะ ไม่ถือว่าเป็นมุสาวาท อันนี้เข้าใจนะโยม ข้อนี้มีคนข้องใจกันมาก
    แต่ว่าถ้าเราพูดไปเพื่อรักษาประโยชน์ของเรา เพราะอะไร...เพราะว่าถ้าเราไม่รักษาประโยชน์เราให้ไป มันก็ไม่คืนซักที ทีนี้เราก็พังละซิใช่ไหม...อย่างนี้ยังไม่ถือว่าเป็นมุสาวาท มุสาวาทมันต้องเป็นอย่างนี้ คือประโยชน์ของเขาที่จะพึงมีอยู่ด้วยเหตุนั้น เราไปบอกนี่แกอย่าไปทำเลยแบบนั้น ขาดทุนตาย แต่ว่าเราจะเอาซะเอง
    ก็เหมือนกับผู้ใหญ่เลี้ยงเด็ก ไอ้เด็กเกินไปชานบ้าน ถ้าขืนปล่อยไป เดี๋ยวมันหล่นใต้ถุนตายใช่ไหม...บอกไอ้หนูอย่าไป เดี๋ยวหล่นใต้ถุน เด็กมันไม่เชื่อ แต่เด็กมันกลัวงู ก็บอกแก บอกอย่าไปนะไอ้งูมันมี ตุ๊กแกมันมี เด็กก็กลัว อันนี้เรารักษาประโยชน์ของเด็ก ไม่เป็นมุสาวาท มันเป็นเมตตา แต่ว่าถ้าเราพูดตรงไปตรงมาเด็กเขาไม่เชื่ออาจจะหล่นใต้ถุนบาดเจ็บหรือตาย ถ้าเราบอกแบบนั้นก็เป็นการรักษาอวัยวะ หรือรักษาชีวิตของเขาใช่ไหม...อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นมุสาวาทนะ เป็นเมตตาจิต มันเป็นคุณ ไม่ใช่โทษ แล้วยังไงล่ะ?

    ผู้ถาม พอพูดแล้ว มันไม่สบายใจค่ะ

    หลวงพ่อ นี่ทีหลังเอาใหม่ซิ บอกว่าข้าไม่พูด ๆ ๆ

    มันไม่ได้ล่ะค่ะ

    หลวงพ่อ ทำไมล่ะ?

    ผู้ถาม มันต้องพูดกันอยู่นะคะ

    หลวงพ่อ ถ้าพูดกันอยู่ก็บอกว่า ไม่ได้หรอก สตางค์ที่ให้แกยืมน่ะ ไม่มีล่ะเว้ย ข้ามีเหมือนกันละ มีแค่จะซื้อข้าวสารกินหรือซื้อกับข้าวกิน ใช่ไหม ข้ามีอยู่เล็กน้อยแบ่งไม่ได้ เราต้องบอกมีเล็กน้อย เราก็ไม่มีมากใช่ไหม มันมีอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ความจำเป็นมันมีอยู่สำหรับเราก็ถือว่า มีเล็กน้อย ใช่ไหม ไม่ใช่มีมาก ถ้ามีมากเราต้องมีจนเหลือเฟือ ถ้าเขาถามมีไหม...บอกว่าจะว่าไม่มีเลยก็ไม่ใช่ มันมีเหมือนกัน แต่จะซื้อกับข้าวตอนเย็นนี่นะ แล้วไอ้ภาพกิจอื่นมันมีมันไม่ไหว ถ้าคุณเอาไปเสีย ฉันก็ให้ไม่ได้
    หรือบางทีเราก็ต้องบอกไปเลย บอกเงินให้ยืมไม่มีละ ฉันไม่มีแล้ว ใช่ไหม เราตัดไปจุดนั้นเลย ตัดไปจุดตะรางที่ว่า “ให้ยืมไม่มีไอ้คนตื๊อนี่ บอกมีเล็กน้อยเดี๋ยวมันเอานะ เราก็ต้องตัดไปว่า เงินให้ยืม นั้นไม่มีจริง ๆ ฉันไม่มีหรอกใช่ไหม อันนี้เราพูดถึงเงินให้ยืมใช่ไหม ไอ้เงินที่เรามีอยู่มันจำจะต้องใช้ อันนี้ก็ไม่ถือเป็นมุสาวาทนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...