นั่งสมาธิแล้วได้อะไร(ประสบการณ์ตรงจากการบวชพระ1พรรษา)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย tsukino2012, 7 มิถุนายน 2013.

  1. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    นั่งสมาธิแล้ว ใด้อะไร

    นั่งสมาธิแล้ว ก็ย่อมได้ ความสงบใจ หมายถึง ไม่คิด ไม่ฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อ ว่าเห็นนั่นเห็นนี้ เห็นโน่น เพราะการเห็น คือ สภาวะแห่ง วิตก วิจารณ์ และ เกิดปีติ สุข อุเบกขา จาก วิตก วิจารณ์นั้นๆ

    นั่งสมาธิ แล้ว ย่อมได้ ความมี สติ สัมปชัญญะ ที่มั่นคงยิ่งขึ้น เพราะจะเป็นผลให้เกิดการรู้จัก ใช้ " อานาปานัสสติ" เมื่อได้รับการสัมผัสที่ไม่พึงประสงค์ โดยอัตโนมัติ

    นั่งสมาธิ แล้ว ย่อมได้ การรู้จัก ควบคุม ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก อันเป็นผลต่อเนื่องจาก การมี สติ สัมปชัญญะ และ การรู้จักใช้ "อานาปานัสสติ"นั้นแล
     
  2. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    บางท่านที่ฝึกฝนอบรมสมาธิมาดีแล้วในอดีตชาตินั้น อาจไม่ต้องเน้นหนักในเรื่องสมาธิเลย
    เพราะว่าใจได้ความสงบเป็นพื้นฐานมาดีแล้ว
    จึงพร้อมที่รู้และพิจารณาธรรมทั้งหลายได้ทุกเมื่อด้วยการอบรมปัญญาต่อไป...
    โมทนา.... ​
     
  3. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ทำไมคนรุ่นใหม่ จึงชอบมุ่งไปทางนี้ กันนัก?

    ขออนุญาตครับ

    ทำไมคนรุ่นใหม่ จึงชอบมุ่งไปทางนี้ กันนัก?

    ปฏิบัติไปไม่ทันไร ก็ "ส่งจิตออกนอก" กันแล้ว

    แล้วจะเห็น "ธรรม" ได้อย่างไร

    เพราะที่ผมปฏิบัติมานั้น มีลำดับ ตามนี้

    ๑ สะสมกำลังสติ กำลังสมาธิ ให้เต็ม จนล้นก่อน
    ๒ อะไร ผ่านเข้ามา ปล่อยทิ้งทั้งหมด มุ่งสะสมกำลังสติ กำลังสมาธิ ให้เต็ม จนล้น เพียงอย่างเดียว
    ๓ กำหนดสติ "รู้ตัวทุกอิริยาบถ" แต่เพียงอย่างเดียว
    (ของผมง่ายหน่อย พอกำลังสติ กำลังสมาธิ เต็มจนล้นแล้ว ล้นอีก)
    (จิตสว่างทะลุ ออกมา แล้วรู้ตัวทุกอิริยาบถ เลย โดยไม่ต้องไปสะสมทีละเล็กทีละน้อย)
    ๔ เมื่อมีสติ "รู้ตัวทุกอิริยาบถ" แล้ว "การเห็นจิตของตน" ก็จะเห็นได้ง่าย
    ๕ เมื่อเห็น "จิตของตน" แล้ว "จิตคิดอะไร" ก็ "ตามรู้ไปๆ" แต่เพียงอย่างเดียว
    (ของผมพิเศษหน่อย เห็น"จิตของตน" ได้ไม่นาน ก็ "เห็นจิตคนรอบข้างด้วย")
    ๖ เมื่อเห็น "จิตของตน" แล้ว "ตามรู้ไปๆ" มากเข้าๆ ก็จะ "เห็น ธรรม"
    ที่ว่า "เห็น ธรรม" ก็คือ "เมื่อมีคำถามผุดขึ้นมาในจิต" แล้วก็จะมี "คำตอบที่ถูกต้อง" ผุดขึ้นตามมา
    "รอบแล้ว รอบเล่า ต่อเนื่องกันไปไป็น ลูกโซ่ๆๆ"

    ทั้งๆที่ผมปฏิบัติได้เพียงแค่ ๙ ปีแรกเท่านั้น ผมเคยสงสัยว่า

    ปฏิบัติแค่นี้ "รู้ธรรม เห็น ธรรม" ได้อย่างไร?

    ปฏิบัติแค่นี้ "เห็นจิต ของผู้อื่น" ได้อย่างไร?

    ไม่มีครู ไม่มีอาจารย์ ปฏิบัติเอง จนรู้ธรรมได้อย่างไร?

    เมื่อ พิจารณาแล้ว จึงได้ทราบว่า

    "เพราะผมชอบ เฝ้ามอง เฝ้าสังเกตุ ผู้คนรอบตัวเราว่า"
    "พวกเขา กำลังคิดอะไรอยู่?"
    "เมื่อเป็นอย่างนี้ เขากำลังคิดอะไร เขาจะทำอะไร? เขาจะทำอย่างไร?"

    หรือแม้แต่ "เมื่อเห็นผู้คน พูดคุยกัน เมื่อคนหนึ่งถามอะไรขึ้นมา"
    ผมก็พิจารณาว่า "คนอื่นๆ จะตอบว่า อย่างไร"
    ไล่เรียงไปเรื่อยๆ ตามดู ตามรู้ ตามพิจารณา ไปเรื่อยๆ
    ชีวิตผม "เพลิดเพลิน" กับสิ่งเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา

    เห็นหลายๆท่าน ต่างก็ชื่นชม ผู้ที่มีพลังจิตสัมผัส หลายๆ รูปแบบ
    นั้นเพราะท่าน ยังไม่เคยเจอกับ ผู้ที่เป็นเลิศ ในด้านต่างๆ
    นั้นเพราะท่าน ยังไม่เคยเจอกับ ผู้ที่เป็นที่สุด ของที่สุด ต่างหาก

    บอกให้ก็ได้ว่า จุดที่ท่านต้องมองหาคืออะไร
    เพราะที่ผมเห็นมานั้น อย่างน้อยท่านเหล่านั้นจะมี

    ๑ เหล็กไหลบารมีประจำตน
    ๒ ลูกแก้ว สารพัดนึก
    ๓ ลูกแก้วญานบารมี ขององค์อัมรินทร์
    ๔ ลูกแก้วญานบารมี ขององค์ศิวะเทพ
    ครูบาอาจารย์บางท่านมีมากจนบรรยายไม่หมด

    ที่สำคัญ ต้องมี "บุญบารมี" ของตนสูงส่งพอ จึงจะสามารถ ใช้สิ่งเหล่านี้ได้

    เห็นบางท่าน แม้มีแล้ว ก็ไม่รู้ว่า อะไร เป็น อะไร

    เห็นบางท่าน แม้มีแล้ว ก็ไม่รู้ว่า จะใช้งานกัน อย่างไร

    สรุป

    เพราะเรา "ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เป็น ในสิ่งที่ดีกว่า"
    เราจึงเข้าใจว่า "เรารู้ เราเห็น เราเป็น ในสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว"

    เพราะเรามี บุญบารมี "ที่จะรู้ ที่จะเห็น ที่จะเป็น" ได้เพียงแค่นี้
    "เราจึงรู้ เราจึงเห็น เราจึงเป็น" ได้เพียงแค่นี้

    แล้วทีนี้ เข้าใจหรือยังล่ะว่า สิ่งที่ต้องเพียรพยายามแสาะหา ก็คือ

    "บุญ บารมี" นี้นี่เอง

    แล้วทีนี้ เข้าใจหรือยังล่ะว่า "บุญ บารมี" นี้ ทำอย่างไร ถึงจะได้มันมา

    แล้วทีนี้ เข้าใจหรือยังล่ะว่า "บุญ บารมี" นี้ มันคือ อะไรกันแน่

    แล้วทีนี้ เข้าใจหรือยังล่ะว่า ครูบาอาจารย์ ที่ท่านมี "บุญ บารมี" สูงที่สุด ต้องเป็นอย่างไร

    แล้วทีนี้ เข้าใจหรือยังล่ะว่า ครูบาอาจารย์ ที่ท่านมี "บุญ บารมี" สูงที่สุด ต้องทำอะไร

    แล้วทีนี้ เข้าใจหรือยังล่ะว่า พระบรมศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นผู้มี บุญ บารมี สูงที่สุด ในแต่ละ พุทธันดร

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ

    ลุงมหา


     
  4. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ต่างคนต่างก็มีปฏิบัติจริตของตนเองน่ะครับ
    ผมเป็นคนไม่เชื่อไม่ยึดถือไม่ศรัทธาอะไรโดยง่าย
    ไม่เชื่อเรื่องผี ไม่เชื่อเรื่ององค์เทพ
    ไม่ศรัทธา ไม่ชอบกราบไหว้สิ่งใดๆ
    จึงต้องลองมาปฏิบัติด้วยวิธีการของตน
    แสวงหาสิ่งใหม่ๆที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น
    จากที่โพสไปข้างต้น
    เป็นช่วงเริ่มเสาะหาความแปลกใหม่
    เป็นช่วงที่ผมเริ่มส่งจิตออกนอก
    ตามค้นหาสิ่งที่ไร้สาระ
    ซึ่งกว่าจะรู้ตัวและแยกระหว่างธรรมะกับความหลง
    ก็ฝึกอย่างนั้นไปปีกว่าแล้ว
    ณ ปัจจุบัน ผมเลิกแสวงหา เลิกไปสนใจภายนอก
    และมองแต่ในตัวเอง ปฏิบัติอยู่กับตนเอง
    พิธีการงานไหว้ครู สำหรับผมไปแล้วก็งั้นๆ
    ไหว้จิตวิญญาณ ขอให้คนอื่นช่วย
    ตัวเราไม่ช่วยเหลือไม่พึ่งพาตนเอง
    คงจะยากที่จะบรรลุธรรมได้
    ส่วนเรื่องขององค์เทพ
    เมื่อตอนนั้น ก็สงสัยอยู่ว่ามันยังไง
    เป็นองค์เทพจริง หรือเป็นผี
    แล้วพระศิวะ พระนารายณ์ พระพรหมณ์เอย
    หรือจะพระคเณศก็ดี นั้นมีอยู่จริงไหม
    คนมีหัวเป็นช้างเนี่ยนะ ก็สงสัยมาเรื่อย
    ปัจจุบันเลิกสงสัยและเลิกไปสนใจแล้ว
    เน้นแต่การปฏิบัติด้วยอริยมรรคเท่านั้น
    สมถะ กับ วิปัสสนา จริงๆ อย่างอื่นไม่เอาแล้ว
    ที่ผ่านๆมายอมรับว่าแสวงหาความเป็นทิพย์
    อยากเห็นอยากรู้อยากดูดวงตรวจกรรมได้
    อยากช่วยคนได้ (หรืออยากจะมีชื่อเสียงกันแน่ก็ไม่รู้)
    หลงนั่นเอง
    ตอนนี้ไม่สนใจเรื่องนั้นแล้ว ไม่อยากได้
    เมื่ออยู่กับธรรมะและได้เข้าใจด้วยผลของการฝึกปฏิบัติ
    จึงทำให้เข้าใจว่า จริงๆแล้วเราควรทำอย่างไร
    เกิดมาเพื่ออะไร

    ขอบคุณคุณลุงมหา๑ครับที่ชี้แนะ
    แต่ผมคงไม่สนพวกเหล็กไหลหรือลูกแก้ว
    เพราะไม่ว่าจะจำเป็น(สำหรับผม)
    ผมมีลูกแก้วพระธรรมอยู่ในใจอยู่แล้ว
    ลูกแก้วองค์นั้นองค์นี้ ไม่มีค่าสำหรับผม
    ผมไม่ศรัทธา จะเป็นเทพองค์ใดก็ตาม
    มนุษย์มีกาย สร้างบุญได้เอง
    เหตุใดจะต้องไปพึ่งจิตวิญญาณที่ไร้รูปกาย
    พวกเขาทั้งหลายก็หาได้หลุดพ้นไม่
    แถมยังไม่อยากจะกลับมาเกิด
    ถึงมาร่วมสร้างบุญกับเราๆ
    ผู้ที่คิดจะหนีทุกข์อย่างนี้
    จะเป็นที่พึ่งให้กับเราได้อย่างไร
    พวกเขาไปได้แค่สวรรค์
    เราพึ่งพวกเขา
    เราก็ไปได้แค่สวรรค์นั้นแหละ
    การบวงสรวงเทพเทวาก็เช่นกัน
    สำหรับผมกับคิดว่างมงาย
    เราไม่มีทางพิสูจน์ความจริงได้
    และไม่สามารถพิจารณาให้เป็นเหตุเป็นผลได้
    พุทธองค์สอนให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
    ตัวผมปฏิบัตตามแนวศาสนาพุทธ
    ไม่ปฏิบัติตามศาสนาพราหมณ์
    แต่ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ
    เพราะมันมีแต่ศรัทธา
    ไม่มีเหตุผล
    ผมปฏิบัติตามอริยมรรค
    ศีล สมาธิ ปัญญา
    และให้ทาน ตามอัตภาพ ตามวาระที่เข้ามา
    ไม่เจาะจงว่าจะเป็นใครเมื่อไรเท่าใด
    ไม่เน้นที่พระ ไม่ยึดที่คณะสงฆ์
    จะทำกับใครก็ได้ ที่คิดว่าเป็นคนดี
    และยังประโยชน์ให้กับเขาได้
    จะเป็นคนเดียว หรือหมู่ชนก็ได้ทั้งนั้น
    ผมไม่ยึดติดเรื่องบารมี
    จะมีมากมีน้อยไม่เห็นจะต้องไปใส่ใจ
    จะมีมากก็เป็นคนดี จะมีน้อยก็เป็นคนดี
    เพราะของแบบนี้ไม้ได้แข่งกันสะสม
    ไม่ได้ขุดมาวัดกัน
    มันดูที่ความสว่างของจิต
    อยู่ที่ความเมตตา กรุณาที่มี

    ต่างคนต่างก็มีวิธีการของตน

    ก็ขอบคุณที่ชี้แนะครับ ขอโมทนา
     
  5. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    จะได้เพลิดเพลินในวัฏฏะสงสารไปอีกนานครับ
     
  6. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    กำลังกินข้าวอยู่เลยเปิดมากระทู้นี้เจอศพพอดี เลยได้หยุดกินและรู้สึกว่าอาหารในปากก็คือศพ
     
  7. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    มันจะเป็นศพ หรือ ไม่ใช่ศพ ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่เราจะไปยึดติด
    เพราะเรากินเข้าไปเพื่อยังอัตภาพร่างกายนี้ ให้ทำงานต่อไปได้ ทำประโยชน์กับโลกต่อไปได้
    สิ่งที่เข้าปากไป จะเป็นศพ หรือไม่เป็นศพ ไม่ใช่สาระสำคัญเลย สำหรับผู้ที่อยู่ในโลกนี้ เพื่อทำหน้าที่
    สิ่งที่เข้าปากไป จะเป็นศพหรือไม่ เป็นสาระสำคัญแค่เฉพาะกับผู้ที่อยู่ในโลกนี้ เพื่อการท่องเที่ยวเพลิดเพลินไปในการเสพทิฎฐิ อุปาทาน ความคิด เท่านั้นเอง
     
  8. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    นานาจิตตัง ต่างคนก็ต่างมีจุดยืน มีหลักปฏิบัติที่แตกต่างกัน แต่จุดหมายนั้นเหมือนกัน
    อยู่ที่ว่า ทางของใครจะเป็นทางลัดหรือทางอ้้อม
    ปฏิบัติได้ถูกทางก็ถึงเร็วหลุดพ้นและเข้าถึงฝั่งนิพพานได้เร็ว ...
    โมทนา...​
     
  9. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    เรื่องราวในกระทู้นี้ เป็นช่วงเวลาที่ผมเริ่มมีความสนใจในการปฏิบัติ
    เพราะอยากรู้อยากลอง ยังไม่ได้ปรารถนาจะบรรลุธรรมอันใดเลยครับ
    แต่พอเรามามั่วๆอยู่กับทางพวกนี้ไป ถึงจุดๆนึง จะเริ่มรู้สึกแรงขึ้นเรื่อยๆ
    ว่า มันใช่แน่หรือ มันงมงายไปรึเปล่า ใช่ทางที่พระพุทธเจ้าสอนรึเปล่า
    สุดท้ายเมื่อศึกษาธรรมมากเข้า ปฏิบัติมากเข้า ก็ถอยออกมาจาก
    เรื่องราวของความเชื่อ เรื่องผีๆสางๆ เรื่องการบูชากราบไหว้เทพ
    หันมาปฏิบัติตามธรรมที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นแต่เพียงอย่างเดียว
    เพียงแต่ว่า บทความต่อไปต้องเก็บรวบรวมให้ได้เวลาสักปี
    เพื่อจะได้มีเนื้อหาสาระประสบการณ์ที่เหมาะสม แล้วก็จะโพสขึ้นใหม่
    บทความหน้าจะเป็นอะไรที่มีสาระไม่มีเรื่องของสิ่งที่มองไม่เห็นครับ
     
  10. Thumma117

    Thumma117 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2013
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +89
    เป็นบทความที่ทําให้ผมมี กําลังใจฝึกเพิ่มขึ้นครับ

    อ้อ ผมอยากถามว่า ทําไมคุณถึง เอาการนับเลข ผนวกเข้ากับการภาวนา พุทโธๆ หล่ะครับ
    จะมีผลเสียอะไรไหม. เมื่อก่อนผมก้อหัดทําเอง นั่งนับ ลมหายใจ 1-600 เพราะคิดเอาว่าทําให้ใจสงบ แต่พอโตขึ้นมา ไปฟังคลิป ธรรมมะในยูทูป. พระท่านบอกไม่ควรนับเลข.อ่ะครับบ
     
  11. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    การนับเลขมันมีทั้งข้อดีข้อเสีย
    ข้อดีคือ ทำให้จิตใจผู้ที่ว้าวุ่นมีงานเบาๆให้ทำ
    คือนากจากภาวนาแล้ว ยังต้องนับเลข และจดจำว่านับถึงไหนแล้ว
    ทำให้จิตผู้ฟุ้งซ่านเบาบางลง มาจดจ่ออยู่กับการภาวนาและนับเลข
    หลายๆคนที่ไม่เคยฝึกสมาธิ ลำพังแค่ภาวนาพุทโธเอาไม่อยู่หรอกครับ
    ความฟุ้งซ่านมันจะเกิด เมื่อจิตมันเพ้อเ้จ้อพาลให้หมดอารมณ์ปฏิบัติ
    นับเลขนั้นช่วยได้มาก แต่ไม่ควรนับเลขในจำนวนที่มากเกินไป
    เพราะจะทำให้อึดอัด แทนที่จะได้ผลเป็นธรรมชาติ
    พอเกร็งเกินไป ใช้สมองจดจำมากไป ก็เลยฟุ้งซ่านอีก
    ดังนั้น สำหรับผมไม่ใช่นับแค่ถึงสิบ แต่นับถึงร้อย แต่ไม่เกินร้อย
    แล้วจึงวนมานับเริ่มต้นใหม่

    แรกๆจะฝึกจิตเพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่นๆเท่านั้น
    เมื่อครบกำหนด เราสามารถนับได้ครบร้อย นับไม่ผิด ไม่หลงไม่ลืม
    ถือว่าจิตเราเริ่มลดความฟุ้งซ่่านไปกับมโนภาพที่ไร้สาระได้บ้างแล้ว

    ฝึกใหม่ๆจะนับถึงร้อยได้ยาก เพราะจิตจะฟุ้งซ่าน เห็นภาพต่างๆ
    ทำให้เราหลุดจากการนับ แต่ไปจดจ่ออยู่กับภาพแห่งความฝันแทน
    พอลืม ก็ต้องมาเริ่มนับใหม่ จะเป็นอย่างนี้สักพัก

    ฝึกได้ประมาณหนึ่ง จิตเริ่มลดความฟุ้งซ่าน สามารถนับครบจำนวนได้สบายๆ
    ไม่หลงไม่ลืม แต่ก็ยังไม่ได้สมาธิอะไรมาก

    ต่อมาเมื่อจิตเริ่มชินกับการนับ ๑ ถึง ๑๐๐ จนรู้สึกเป็นปรกติ
    จิตจะภาวนาแบบกึ่งอัตโนมัติ ไม่อึดอัด ไม่เกร็ง และเข้าสมาธิได้
    จิตจะนิ่งๆ และหยุดภาวนาหยุดนับเลขไปเอง แต่จะต่างจากตอนฝึกใหม่ๆ
    ตอนฝึกใหม่ หยุดภาวนาหยุดนับเลข เพราะไปสนใจอยู่กับความฟุ้งซ่าน
    แต่คราวนี้ จิตละเอียดรู้วึกสบาย และหยุดภาวนาไปเอง โดยที่ไม่ได้ฟุ้งซ่าน
    ไม่ได้เห็นภาพอะไร คือนิ่งเฉยๆสบายๆ
    ผู้มาถึงระดับนี้ จะไม่สามารถนับให้ร้อยได้อีกแล้ว
    เพราะจิตจะเข้าสู้สมาธิได้ไว ถ้ามาถึงขึ้นนี้แล้ว ทำให้ชิน
    การนับเลขก็จะไม่จำเป็นอีกต่อไป


    ที่หลวงพ่อนู่นนี่นั่นไม่แนะนำ ก็เพราะ อาจมีบางคนติดใจกับการนับ
    ปฏิบัติไปจนแล้วจนรอด ก็ไม่เอาสมาธิ แต่เป็นพวกชอบนับ
    ก็นับอยู่อย่างนั้นทั้งชาติ เพราะ
    ๑.อาจจะนับเลขเพียวไม่ผสมอย่างอื่น(ก็เลยเมา)
    ถึงผมจะนับเลข แต่ผมกำหนดลมหายใจเข้าออกร่วมด้วยเสมอ
    ก็ด้วยการภาวนาพุทกับโธนั่นแหละ
    ๒.ผู้ปฏิบัติแทนที่จะภาวนาตามลมหายใจ แต่กลับเอาลมหายใจมาตามภาวนา
    ก็เจ๊งเหมือนกัน ไปไม่รอดครับ เพราะจิตมันจะไม่ละเอียด


    ส่วนตัวผมคือใช้วิธีนี้แล้วผมสงบ เข้าฌานได้ ผมก็เอามาบอก
    หลายๆคนลองแล้วอาจไม่เวิค มันก็แล้วแต่จริตของแต่ละคนเท่านั้น
    การปฏิบัติต่างๆ อย่าเพิ่งตัดสินใจหรือเชื่อคนอื่นว่าดีหรือไม่ดี
    ต้องลองเองก่อนถึงจะรู้ครับ
     
  12. Thumma117

    Thumma117 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2013
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +89
    ขอบคุณครับ.
    คําแนะนําของคุณช่วยผมได้เยอะ เลยครับ.
     
  13. torelax9

    torelax9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +527
    เรียนคุณ tsukino2012 ในรูปนี้ ไม่ใช่ ฤาษี เกตุแก้ว หรือครับ ผมเคยได้พบเจอท่านฤาษีเกตุแก้ว ตามงาน บางงานที่ผมเคยไป หน้าตาคล้ายกันมาก
     
  14. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    อาจจะดูคล้าย ด้วยอัตลักษณ์ของฤาษี
    ทั้งการไว้หนวด ไว้เครา ประจวบกับโครงหน้า
    แต่ไม่ใช่ครับ เป็นคนละคนกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...