อัลบั้มพระ ประวัติ และวัตถุมงคล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ปู ท่าพระ, 26 ธันวาคม 2013.

  1. ddd445

    ddd445 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2013
    โพสต์:
    7,468
    ค่าพลัง:
    +38,819
    เรียบร้อยตั้งแต่ 6โมงเย็นแล้ว เพราะต้องกินยาหลังอาหารครับ
     
  2. sellcat

    sellcat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +6,706
    พระเนื้อเก่าๆยังหาที่มาไม่ได้
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  3. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,090
    ค่าพลัง:
    +53,094
    ประสบการณ์อภินิหารของหลวงปู่ขาวต่อในหลวงและพระราชินี

    เจ้าประคุณท่านพระอาจารย์ขาว อนาลโย หรือที่เป็นที่เคารพสักการะเลื่อมใสกันในนามสั้นๆ ว่า “หลวงปู่ขาว” แห่งวัดถ้ำกลองเพล ตำบลโนนทัน อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู เป็นพระมหาเถระผู้ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ อรัญญวาสี สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ ท่านเป็นชาวอุบลราชธานีโดยกำเนิดเช่นเดียวกับอาจารย์ของท่าน เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2431 อุปสมบทแล้วตั้งใจปฏิบัติฝ่ายสมถวิปัสสนาอย่างเดียว จนถึงเวลามรณภาพ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2526 สิริชนมายุ 96 พรรษา

    ชีวประวัติของท่านระหว่างดำรงชนมายุ ถ้าใช้สำนวนของนักเขียนก็ต้องกล่าวว่า เป็นประวัติที่โลดโผน “มีรส” ที่สุดประวัติหนึ่งในทางโลก…ช่วงจังหวะที่ทำให้ชีวิตของท่านหักเหออกจากเพศฆราวาสออกบวชก็เป็นชีวิตที่ “มีรส” ส่วนในทางธรรม เมื่อท่านออกบวชแล้ว การปฏิบัติธรรมของท่านก็ดำเนินไปอย่างเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว พอใจออกท่องเที่ยวธุดงค์เพลิดเพลินอยู่แต่ในป่าลึก พักปฏิบัติบำเพ็ญความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ เฉพาะตามถ้ำตามเงื้อมหิน บนเขาสูงอันสงัดเงียบอยู่ตลอดเวลา เหมือนพญาช้างสารที่พอใจละโขลงบริวารออกท่องเที่ยวไปอย่างเดียวดายในไพรพฤกษ์ ทำให้ท่านได้เห็นธรรมอย่างแท้จริง พร้อมทั้งประสบพบเห็นสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ อย่างมากมาย สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้ชีวประวัติของท่าน เป็นชีวิตที่โลดโผน “มีรส” เหลือจะพรรณนา ชวนให้เคารพเลื่อมใสศรัทธา เป็น “เนติ” แบบอย่างให้บรรดาศิษย์ปรารถนาจะเจริญรอยตามท่านเป็นอย่างดี

    ท่านผู้สนใจใคร่จะศึกษา อาจจะหาอ่านได้โดยละเอียดจากจากประวัติของท่าน ที่มีท่านผู้รู้ได้เขียนเอาไว้หลายสำนวน โดยเฉพาะที่ “เจ้าพระคุณท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน” เป็นผู้เขียน ทั้งในหนังสือ “ประวัติอนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ” ของท่าน และในหนังสือ “ปฏิปทาของพระธุดงค์สายพระอาจารย์มั่น” หรืออีกสำนวนหนึ่งของนายแพทย์อวย เกตุสิงห์ ในหนังสือ “อนาลโยวาท”

    ข้อเขียน “อนาลโยคุโณ” ชิ้นนี้ ไม่ใช่ประวัติของท่าน เป็นเพียงบันทึกของผู้ที่เป็นประหนึ่งผงธุลีชิ้นเล็กๆ ที่มีโอกาสถูกลมพัดพาให้ได้ปลิวไปใกล้ท่านบ้างเป็นบางขณะ ได้กราบนมัสการ ได้เห็น ได้เข้าไป ได้นั่งใกล้ ได้ฟังธรรมที่ท่านเมตตาสั่งสอน ก็ใคร่ที่จะบันทึกเหตุการณ์ที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้สึก ได้พบเห็นด้วยตาตนเองไว้เท่านั้น อย่างน้อยก็เพื่อเป็นดังหนึ่งดอกไม้ป่าช่อเล็กๆ ที่ขอกราบวางไว้แทบเท้า เป็นเครื่องสักการบูชาพระสงฆ์พระสาวกของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ปฏิบัติดีแล้ว ปฏิบัติตรงแล้ว ปฏิบัติถูกต้องแล้ว ปฏิบัติชอบแล้ว เป็นผู้ทรงคุณควรบูชา ควรกระทำอัญชุลี หากการเขียนครั้งนี้เป็นการผิดพลาด เป็นความเขลา เป็นความหลง ที่ทำให้กระทบกระเทือนเมตตาธิคุณ กรุณาธิคุณ และบริสุทธิ์คุณของหลวงปู่ขาว อนาลโย แต่ประการใด แม้เพียงภัสมธุลี ผู้เขียนก็ใคร่ขอกราบขอขมา ขอประทานอภัย ไว้ ณ ที่นี้

    ผู้เขียนเพิ่งมีโอกาสได้กราบนมัสการหลวงปู่ เมื่อไม่นานมานี้ในช่วงเวลาเพียง 6-7 ปี หลังนี้เอง (เมื่อเขียนอนาลโยคุโณ พ.ศ.2527) แต่ยังโชคดีอยู่บ้าง ที่ได้มีโอกาสติดตามหลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่หลุย จันทสาโร ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ไปวัดถ้ำกลองเพล นับครั้งไม่ถ้วน จึงมีโชคได้เห็นท่านแสดงคารวธรรม สนทนาธรรม แสดงธรรมสากัจฉาซึ่งกันและกันอย่างรื่นเริง ทำให้นึกถึงความในมงคลสูตรอยู่เสมอในบทหนึ่งที่ว่า

    “สมาณานญฺจ ทสฺสนํ กาเลน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ”
    ความหมายคือ การเห็นสมณะทั้งหลาย 1 การเจรจาธรรมโดยกาล 1 ข้อนี้เป็นมงคลสูงสุด

    ยิ้มของหลวงปู่สว่างนัก สว่างเจิดจ้าเข้าไปในหัวใจของผู้ที่พบเห็น ทำให้เรารู้สึกสงบ สบายใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งได้ฟังท่านเล่าหรือปรารภกันถึงเรื่องที่ท่านเคยธุดงค์ผ่านกันมาอย่างโชกโชน เรื่องเสือ เรื่องช้าง เรื่องงู เรื่องพญานาค เรื่องยักษ์ ฯลฯ เราก็จะพลอยตาโต ลืมวันเวลาที่จะต้องกราบลาท่านหมดสิ้น ไม่ประหลาดใจที่ทำไมเวลาเราจะกราบลาท่านแต่ละครั้ง จะต้องกราบเป็นครั้งที่ 4 ที่ 5 จึงจะตัดใจกราบลาท่านได้จริงๆ

    การพูดถึงสิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรม อย่างเสือ ช้าง หรืองู ผู้อ่านคงจะผ่านเลยไป แต่เมื่อเอ่ยถึงพญานาค หรือจิตที่จะหยั่งรู้ใจคน บางท่านอาจจะหัวเราะ แต่ผู้เขียนก็ใคร่ขอร้องที่จะให้หยุดระลึกกันก่อน สิ่งที่เราไม่ได้เห็นเอง รู้เองนั้น ไม่ใช่ว่าจะไม่มีจริงในโลกนี้ เราจะเชื่อว่ามีจริงเฉพาะสิ่งที่เราเห็นเท่านั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นท่านที่ยังไม่เคยเห็นขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ หรือโลกพระจันทร์ ก็ยังไม่ควรเชื่อว่า มีขั้วโลกเหนือ มีขั้วโลกใต้ มีโลกพระจันทร์จริง (เพราะเรายังไม่เห็นด้วยตาของตนเอง)

    ในการนำเสนอบทความคราวนี้ ได้นำคาถาบทที่หลวงปู่ได้มาจากในคราวที่ท่านถอดจิตไปเที่ยวเมืองพญานาคมารวมนำเสนอไว้ด้วย ท่านเล่าว่า เมืองพญานาคสวยงามมาก คราวนั้นท่านได้พบลูกสาวพญานาคด้วย นางได้มาคารวะ และกล่าวบทคาถาว่า

    “อะหันนะเม นะเมนะวะ ชาตินะวะ” คาถานี้ไม่มีในบาลี ท่านกำหนดจิตถามก็ได้ความแปลว่า “ชาติใหม่ของเราไม่มี” อันหมายความว่า นางได้มากล่าวยืนยันถึงชาติใหม่ของหลวงปู่ไว้ว่า ท่านจะไม่มีชาติใหม่อีก ภพชาติของท่านสิ้นแล้ว (คาถานี้ป้องกันภูตผีปีศาจได้ด้วย)

    เรื่องการที่ท่านผู้ทรงศีลวิสุทธิ์ ทรงคุณธรรม จะสามารถถอดจิตไปเที่ยวสวรรค์ นาคพิภพ พรหมโลก ได้จริงหรือไม่ประการใดนั้น ใคร่ขอยกไว้ก่อน และถ้าจะวิจารณ์สงสัยต่อไป ผู้เขียนก็ใคร่ขอเล่าเหตุการณ์อันได้ประสบมา ไว้ ณ ที่นี้

    เจดีย์พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ณ วัดป่าอุดมสมพร (ในปัจจุบัน)

    วันนั้นเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไปในงานทรงบรรจุอัฐิ และทรงเปิดเจดีย์พิพิธภัณฑ์ท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ณ วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร จำได้ว่าเป็นวันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ.2525

    หลังจากทรงบรรจุอัฐิ และทรงเปิดเจดีย์พิพิธภัณฑ์แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงกราบนมัสการสมเด็จพระสังฆราช และครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ฝ่ายกรรมฐานในปะรำพิธี สมเด็จพระนางเจ้าฯ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ประทับบนพื้นสนามห่างออกมานอกปะรำพิธี โดยมีพวกเราเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ใกล้ๆ ระหว่างนั้นคณะผู้ตามเสด็จ และพวกเราต่างได้กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกลิ่นบุหงาร่ำโชยมาตลอดเวลา ปรารภกันและคิดว่าคงจะเป็นกลิ่นดอกไม้ในพวงมาลัยบุหงาที่ทูลเกล้าฯ ถวายเมื่อรับเสด็จตอนเสด็จพระราชดำเนินมาถึง ขณะนั้นเราประหลาดใจกันแต่ว่า ผู้เชิญพวงมาลัยบุหงานั้นอยู่ไกลอีกฝากหนึ่งของสนาม กลิ่นหอมทำไมโชยมาไกลนัก…แต่เราก็ไม่ได้นึกอะไรมากนัก จนกระทั่งถึงเวลาจะเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฏรที่มาเฝ้าเรียงรายในบริเวณวัด ขณะเสด็จผ่านพระเจดีย์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ ผินพระพักตร์กลับมาหาผู้เขียน และรับสั่งว่า

    “หลวงปู่ขาวก็มาด้วย”

    พระราชอาญาไม่พ้นเกล้าฯ พระสุรเสียงนั้นดูเหมือนทรงปลื้มปีติจนทอดพระกรมาทรงจับมือผู้เขียนไว้ด้วย แม้รับพระราชกระแสนั้นไว้เหนือเกล้าแล้ว แต่ผู้เขียนก็ยังงงๆ อยู่ กราบบังคมทูลถามไปว่า “หลวงปู่มาหรือเพคะ ข้าพระพุทธเจ้าไม่เห็นท่าน หลวงปู่ท่านนั่งอยู่ตรงไหนเพคะ”

    พระองค์ทรงรับสั่งว่า “ได้กลิ่นชานหมากของท่าน”

    ผู้เขียนขนลุกซู่ นึกถึงกลิ่นหอมคล้ายบุหงาที่พวกเราคุยถึงกันอยู่ตลอดเวลาเมื่อสักครู่นี้ ชานหมากของหลวงปู่ขาวนั้น ในบรรดาหมู่ลูกศิษย์ทราบกันดีว่าหอมอย่างไร ผู้จัดถวายจะจัดใบเนียม พิมเสน ฯลฯ สารพัดใส่ไปในหมากด้วย กำลังกราบหลวงปู่เราจะได้กลิ่นหอมของเหล่านี้ ซึ่งคล้ายกับกลิ่นบุหงาโชยอยู่ตลอดเวลา และเราเองหลายต่อหลายครั้งที่หากนึกถึงหลวงปู่ นึกห่วงใย จะได้กลิ่นหอมของพิมเสน ใบเนียม ชานหมากของท่านอยู่เสมอๆ เลยกราบบังคมทูลว่า พวกเราและหลายท่านในคณะตามเสด็จ ก็ได้กลิ่นหอมกันทั้งนั้น รวมทั้งสมเด็จพระเทพฯ ก็ยังทรงออกพระโอษฐ์ด้วย เพียงแต่มิใดมีใครนึกเฉลียวใจเท่านั้น ว่าเป็นกลิ่นชานหมากของหลวงปู่

    เช้าวันรุ่งขึ้นได้มีโอกาสนำหนังสือ “อาจาราภิวาท” ที่พวกเราจัดพิมพ์แจกในงานนั้น ไปกราบคารวะ ท่านพระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี ที่วัดหินหมากเป้ง จังหวัดหนองคาย ท่านก็ถามถึงเรื่องเสด็จพระราชดำเนินและงานเปิดเจดีย์พิพิธภัณฑ์ ผู้เขียนเล่าถวายเรื่องเหตุการณ์โดยทั่วไป และขณะกำลังคิดว่าควรจะเล่าถวายเรื่องที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ มีรับสั่งเรื่องกลิ่นชานหมากของหลวงปู่ขาวดีไหมหนอ เดี๋ยวท่านพระอาจารย์ก็จะดุว่าเราสนใจแต่เรื่อง “ฤทธิ์” มากเกินไป สมควรเล่าหรือไม่หนอ…? กำลังคิดอยู่ขณะนั้นเอง ก็กลับได้กลิ่นหอมตลบขึ้นมา เป็นกลิ่นชานหมากอันหอมกรุ่นของหลวงปู่นั้นเอง

    ผู้เขียนคิดว่า ท่าน (หลวงปู่ขาว) เห็นว่าสมควรแน่แล้ว จึงกล้าเล่าเรื่องถวาย รวมทั้งเรื่องกลิ่นหอมที่บังเกิดใหม่ในขณะกำลังคิดลังเลว่า สมควรจะเล่าถวาย ท่านพระอาจารย์เทสก์ ดีหรือไม่ดีด้วย ท่านพระอาจารย์แห่งวัดหินหมากเป้ง ยิ้มอย่างเมตตา และรับว่ากลิ่นหอมเช่นนี้เป็นได้เมื่อจิตของผู้รับ “เข้าถึง” ท่านบอกว่า นี่เป็นนิมิตอย่างหนึ่ง นิมิตมีทั้งภาพ ทั้งเสียง และทั้งกลิ่นหอม จิตของสมเด็จพระนางเจ้าฯ “เข้าถึง” และ “รับ” หลวงปู่ขาว ได้อย่างสนิทใจ

    บ่ายวันนั้น ผู้เขียนก็ได้เดินทางมากราบหลวงปู่ขาว ที่วัดถ้ำกลองเพล ได้มีโอกาสก็กราบเรียนรายงานท่านว่า เราเพิ่งกลับมาจากการรับเสด็จฯ ที่วัดป่าอุดมสมพร และไปกราบท่านพระอาจารย์เทสก์ มาด้วย

    หลวงปู่ท่านก็ว่า…ดี

    กราบเรียนท่านต่อไปถึงเรื่องแม่เจ้าทรงรับสั่ง

    งานหลวงปู่ฝั้น อาจาโร วานนี้ หลวงปู่ไปด้วยหรือเปล่าเจ้าคะ

    ท่านบอกว่า ไป…ไปหลายคนเนาะ

    เอ๊ะ ! หลวงปู่อยู่นี่ หลวงปู่ไปได้อย่างไงเจ้าคะ

    ไปด้วยนี่…ไปด้วยจิต ท่านตอบ พลางเอามือชี้ไปที่ตรงอกของท่าน

    คงมีเทพมามากใช่ไหมเจ้าคะ ตอนพ่อเจ้าทรงชักโกศบรรจุอัฐิของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร จะให้ขึ้นไปบรรจุบนยอดเจดีย์ มีแสงรัศมีปรากฏงามมากเจ้าคะ งานนี้คงมีเทพมาอนุโมทนามากเหมือนกันใช่ไหมเจ้าคะ

    ท่านว่า มาก…หลาย…เต็มไปหมด ถือพานดอกไม้มาบูชา…อนุโมทนา

    เรื่องนี้เคยเล่าถวาย สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ก่อน แห่งวัดราชบพิธ ท่านรับสั่งว่า ผู้เขียนควรจะบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ มิฉะนั้นนานไปจะลืม คนสมัยใหม่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพรรค์นี้ จะได้รู้จักกันไว้บ้าง

    หลวงปู่ท่านเทศน์เสมอถึงอานิสงส์ของการเดินจงกรม ซึ่งข้อหนึ่งมีอยู่ว่า เทพยดาจะถือพานดอกไม้มาอนุโมทนา…สาธุ รวมทั้งเล่าด้วยว่า ระหว่างท่านเดินจงกรมจะมีกลิ่นหอม…หอมหลาย กราบเรียนถามว่า หอมอย่างไร…หอมเหมือนดอกอะไร

    ท่านจะว่าหอมอีหยัง มันหอมบ่เหมือนดอกไม้บ้านเรา มันแม่นเทพยดาท่านมาอนุโมทนา ถือพานดอกไม้มาอนุโมทนา…สาธุ

    ใครฟังแล้ว จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อย่างไรผู้เขียนไม่สนใจ แต่ผู้เขียนเชื่อและศรัทธาอย่างสนิทใจ และเต็มหัวใจ ก็อย่าว่าแต่เทพยดาจะมาอนุโมทนาให้หลวงปู่ผู้ทรงศีลวิสุทธิ์ได้กลิ่นหอมเลย แม้อย่างปุถุชนคนธรรมดาผู้เต็มไปด้วยกิเลสหนาปัญญาหยาบอย่างเรา บางครั้งก็ยังได้สัมผัสกลิ่นหอมของดอกไม้ประหลาดบ่อยๆ เลย

    ถ้าเมื่อใดจิตใจเต็มตื้นด้วยศรัทธา และความปรารถนาดี จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดถวายครูบาอาจารย์ ก็มักจะมีกลิ่นหอมเกิดขึ้นให้เราชื่นหัวใจ

    บางทีสงสัยว่า กลิ่นดอกอะไรหนอ ไม่เคยได้กลิ่น ไม่ใช่มะลิ ไม่ใช่พุทธชาด ไม่ใช่จำปีหรือจำปา จะมีเสียงตอบชัดแจ้ง แจ่มแจ้ง เข้าไปในใจว่า ดอกไม้นั้นไม่มีในโลกนี้ บางทีกำลังคุยกันถึงเรื่องกลิ่นหอมที่เกิดขึ้นนี้ ถ้าในเวลานั้นมีดอกไม้อะไรอยู่ “กลิ่นพิเศษ” ที่เกิดขึ้น จะเป็นกลิ่นดอกไม้อีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีใน ณ ที่นั้น…ให้อัศจรรย์เล่นเช่นนั้นแหละ

    วันหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในรถยนต์บนถนนแถวๆ จังหวัดสกลนคร มีบางคนในรถที่ได้ข่าวเรื่องนิมิตดอกไม้หอมนี้ อยากทราบรายละเอียดก็ถามผู้เขียนขึ้นมา ขณะกำลังเล่ามาถึงว่า ถ้าเรามีดอกมะลิก็จะไปหอมดอกจำปี ถ้ามีดอกจำปีก็จะไปหอมจำปา และถ้ามีดอกจำปาก็จะไปหอมดอกกุหลาบ ขาดคำว่าดอกกุหลาบ ทั้งรถก็หอมตลบอบอวนด้วยกลิ่นดอกกุหลาบไปหมด ได้กลิ่นกันทุกคนในรถยนต์ รวมทั้งพระคุณเจ้าพระภิกษุ 3 รูป ที่นั่งมาในรถด้วย อย่าว่าแต่ดอกกุหลาบเลย แม้แต่ดอกไม้อื่นดอกเดียวก็ไม่มี และสองข้างทางก็เป็นทุ่งนา ไม่มีต้นไม้ใหญ่อยู่เลย

    ตอบเมื่อ: 06 ส.ค. 2007, 4:40 pm

    ในหลวงทรงถวายโอสถแด่หลวงปู่ขาว อนาลโย

    ประสบการณ์อภินิหารของหลวงปู่ขาวต่อในหลวงและพระราชินี

    เจ้าประคุณท่านพระอาจารย์ขาว อนาลโย หรือที่เป็นที่เคารพสักการะเลื่อมใสกันในนามสั้นๆ ว่า “หลวงปู่ขาว” แห่งวัดถ้ำกลองเพล ตำบลโนนทัน อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู เป็นพระมหาเถระผู้ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ อรัญญวาสี สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ ท่านเป็นชาวอุบลราชธานีโดยกำเนิดเช่นเดียวกับอาจารย์ของท่าน เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2431 อุปสมบทแล้วตั้งใจปฏิบัติฝ่ายสมถวิปัสสนาอย่างเดียว จนถึงเวลามรณภาพ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2526 สิริชนมายุ 96 พรรษา

    ชีวประวัติของท่านระหว่างดำรงชนมายุ ถ้าใช้สำนวนของนักเขียนก็ต้องกล่าวว่า เป็นประวัติที่โลดโผน “มีรส” ที่สุดประวัติหนึ่งในทางโลก…ช่วงจังหวะที่ทำให้ชีวิตของท่านหักเหออกจากเพศฆราวาสออกบวชก็เป็นชีวิตที่ “มีรส” ส่วนในทางธรรม เมื่อท่านออกบวชแล้ว การปฏิบัติธรรมของท่านก็ดำเนินไปอย่างเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว พอใจออกท่องเที่ยวธุดงค์เพลิดเพลินอยู่แต่ในป่าลึก พักปฏิบัติบำเพ็ญความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ เฉพาะตามถ้ำตามเงื้อมหิน บนเขาสูงอันสงัดเงียบอยู่ตลอดเวลา เหมือนพญาช้างสารที่พอใจละโขลงบริวารออกท่องเที่ยวไปอย่างเดียวดายในไพรพฤกษ์ ทำให้ท่านได้เห็นธรรมอย่างแท้จริง พร้อมทั้งประสบพบเห็นสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ อย่างมากมาย สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้ชีวประวัติของท่าน เป็นชีวิตที่โลดโผน “มีรส” เหลือจะพรรณนา ชวนให้เคารพเลื่อมใสศรัทธา เป็น “เนติ” แบบอย่างให้บรรดาศิษย์ปรารถนาจะเจริญรอยตามท่านเป็นอย่างดี

    ท่านผู้สนใจใคร่จะศึกษา อาจจะหาอ่านได้โดยละเอียดจากจากประวัติของท่าน ที่มีท่านผู้รู้ได้เขียนเอาไว้หลายสำนวน โดยเฉพาะที่ “เจ้าพระคุณท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน” เป็นผู้เขียน ทั้งในหนังสือ “ประวัติอนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ” ของท่าน และในหนังสือ “ปฏิปทาของพระธุดงค์สายพระอาจารย์มั่น” หรืออีกสำนวนหนึ่งของนายแพทย์อวย เกตุสิงห์ ในหนังสือ “อนาลโยวาท”

    ข้อเขียน “อนาลโยคุโณ” ชิ้นนี้ ไม่ใช่ประวัติของท่าน เป็นเพียงบันทึกของผู้ที่เป็นประหนึ่งผงธุลีชิ้นเล็กๆ ที่มีโอกาสถูกลมพัดพาให้ได้ปลิวไปใกล้ท่านบ้างเป็นบางขณะ ได้กราบนมัสการ ได้เห็น ได้เข้าไป ได้นั่งใกล้ ได้ฟังธรรมที่ท่านเมตตาสั่งสอน ก็ใคร่ที่จะบันทึกเหตุการณ์ที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้สึก ได้พบเห็นด้วยตาตนเองไว้เท่านั้น อย่างน้อยก็เพื่อเป็นดังหนึ่งดอกไม้ป่าช่อเล็กๆ ที่ขอกราบวางไว้แทบเท้า เป็นเครื่องสักการบูชาพระสงฆ์พระสาวกของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ปฏิบัติดีแล้ว ปฏิบัติตรงแล้ว ปฏิบัติถูกต้องแล้ว ปฏิบัติชอบแล้ว เป็นผู้ทรงคุณควรบูชา ควรกระทำอัญชุลี หากการเขียนครั้งนี้เป็นการผิดพลาด เป็นความเขลา เป็นความหลง ที่ทำให้กระทบกระเทือนเมตตาธิคุณ กรุณาธิคุณ และบริสุทธิ์คุณของหลวงปู่ขาว อนาลโย แต่ประการใด แม้เพียงภัสมธุลี ผู้เขียนก็ใคร่ขอกราบขอขมา ขอประทานอภัย ไว้ ณ ที่นี้

    ผู้เขียนเพิ่งมีโอกาสได้กราบนมัสการหลวงปู่ เมื่อไม่นานมานี้ในช่วงเวลาเพียง 6-7 ปี หลังนี้เอง (เมื่อเขียนอนาลโยคุโณ พ.ศ.2527) แต่ยังโชคดีอยู่บ้าง ที่ได้มีโอกาสติดตามหลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่หลุย จันทสาโร ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ไปวัดถ้ำกลองเพล นับครั้งไม่ถ้วน จึงมีโชคได้เห็นท่านแสดงคารวธรรม สนทนาธรรม แสดงธรรมสากัจฉาซึ่งกันและกันอย่างรื่นเริง ทำให้นึกถึงความในมงคลสูตรอยู่เสมอในบทหนึ่งที่ว่า

    “สมาณานญฺจ ทสฺสนํ กาเลน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ”
    ความหมายคือ การเห็นสมณะทั้งหลาย 1 การเจรจาธรรมโดยกาล 1 ข้อนี้เป็นมงคลสูงสุด

    ยิ้มของหลวงปู่สว่างนัก สว่างเจิดจ้าเข้าไปในหัวใจของผู้ที่พบเห็น ทำให้เรารู้สึกสงบ สบายใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งได้ฟังท่านเล่าหรือปรารภกันถึงเรื่องที่ท่านเคยธุดงค์ผ่านกันมาอย่างโชกโชน เรื่องเสือ เรื่องช้าง เรื่องงู เรื่องพญานาค เรื่องยักษ์ ฯลฯ เราก็จะพลอยตาโต ลืมวันเวลาที่จะต้องกราบลาท่านหมดสิ้น ไม่ประหลาดใจที่ทำไมเวลาเราจะกราบลาท่านแต่ละครั้ง จะต้องกราบเป็นครั้งที่ 4 ที่ 5 จึงจะตัดใจกราบลาท่านได้จริงๆ

    การพูดถึงสิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรม อย่างเสือ ช้าง หรืองู ผู้อ่านคงจะผ่านเลยไป แต่เมื่อเอ่ยถึงพญานาค หรือจิตที่จะหยั่งรู้ใจคน บางท่านอาจจะหัวเราะ แต่ผู้เขียนก็ใคร่ขอร้องที่จะให้หยุดระลึกกันก่อน สิ่งที่เราไม่ได้เห็นเอง รู้เองนั้น ไม่ใช่ว่าจะไม่มีจริงในโลกนี้ เราจะเชื่อว่ามีจริงเฉพาะสิ่งที่เราเห็นเท่านั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นท่านที่ยังไม่เคยเห็นขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ หรือโลกพระจันทร์ ก็ยังไม่ควรเชื่อว่า มีขั้วโลกเหนือ มีขั้วโลกใต้ มีโลกพระจันทร์จริง (เพราะเรายังไม่เห็นด้วยตาของตนเอง)

    ในการนำเสนอบทความคราวนี้ ได้นำคาถาบทที่หลวงปู่ได้มาจากในคราวที่ท่านถอดจิตไปเที่ยวเมืองพญานาคมารวมนำเสนอไว้ด้วย ท่านเล่าว่า เมืองพญานาคสวยงามมาก คราวนั้นท่านได้พบลูกสาวพญานาคด้วย นางได้มาคารวะ และกล่าวบทคาถาว่า

    “อะหันนะเม นะเมนะวะ ชาตินะวะ” คาถานี้ไม่มีในบาลี ท่านกำหนดจิตถามก็ได้ความแปลว่า “ชาติใหม่ของเราไม่มี” อันหมายความว่า นางได้มากล่าวยืนยันถึงชาติใหม่ของหลวงปู่ไว้ว่า ท่านจะไม่มีชาติใหม่อีก ภพชาติของท่านสิ้นแล้ว (คาถานี้ป้องกันภูตผีปีศาจได้ด้วย)

    เรื่องการที่ท่านผู้ทรงศีลวิสุทธิ์ ทรงคุณธรรม จะสามารถถอดจิตไปเที่ยวสวรรค์ นาคพิภพ พรหมโลก ได้จริงหรือไม่ประการใดนั้น ใคร่ขอยกไว้ก่อน และถ้าจะวิจารณ์สงสัยต่อไป ผู้เขียนก็ใคร่ขอเล่าเหตุการณ์อันได้ประสบมา ไว้ ณ ที่นี้

    เจดีย์พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ณ วัดป่าอุดมสมพร (ในปัจจุบัน)

    วันนั้นเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไปในงานทรงบรรจุอัฐิ และทรงเปิดเจดีย์พิพิธภัณฑ์ท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ณ วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร จำได้ว่าเป็นวันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ.2525

    หลังจากทรงบรรจุอัฐิ และทรงเปิดเจดีย์พิพิธภัณฑ์แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงกราบนมัสการสมเด็จพระสังฆราช และครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ฝ่ายกรรมฐานในปะรำพิธี สมเด็จพระนางเจ้าฯ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ประทับบนพื้นสนามห่างออกมานอกปะรำพิธี โดยมีพวกเราเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ใกล้ๆ ระหว่างนั้นคณะผู้ตามเสด็จ และพวกเราต่างได้กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกลิ่นบุหงาร่ำโชยมาตลอดเวลา ปรารภกันและคิดว่าคงจะเป็นกลิ่นดอกไม้ในพวงมาลัยบุหงาที่ทูลเกล้าฯ ถวายเมื่อรับเสด็จตอนเสด็จพระราชดำเนินมาถึง ขณะนั้นเราประหลาดใจกันแต่ว่า ผู้เชิญพวงมาลัยบุหงานั้นอยู่ไกลอีกฝากหนึ่งของสนาม กลิ่นหอมทำไมโชยมาไกลนัก…แต่เราก็ไม่ได้นึกอะไรมากนัก จนกระทั่งถึงเวลาจะเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฏรที่มาเฝ้าเรียงรายในบริเวณวัด ขณะเสด็จผ่านพระเจดีย์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ ผินพระพักตร์กลับมาหาผู้เขียน และรับสั่งว่า

    “หลวงปู่ขาวก็มาด้วย”

    พระราชอาญาไม่พ้นเกล้าฯ พระสุรเสียงนั้นดูเหมือนทรงปลื้มปีติจนทอดพระกรมาทรงจับมือผู้เขียนไว้ด้วย แม้รับพระราชกระแสนั้นไว้เหนือเกล้าแล้ว แต่ผู้เขียนก็ยังงงๆ อยู่ กราบบังคมทูลถามไปว่า “หลวงปู่มาหรือเพคะ ข้าพระพุทธเจ้าไม่เห็นท่าน หลวงปู่ท่านนั่งอยู่ตรงไหนเพคะ”

    พระองค์ทรงรับสั่งว่า “ได้กลิ่นชานหมากของท่าน”

    ผู้เขียนขนลุกซู่ นึกถึงกลิ่นหอมคล้ายบุหงาที่พวกเราคุยถึงกันอยู่ตลอดเวลาเมื่อสักครู่นี้ ชานหมากของหลวงปู่ขาวนั้น ในบรรดาหมู่ลูกศิษย์ทราบกันดีว่าหอมอย่างไร ผู้จัดถวายจะจัดใบเนียม พิมเสน ฯลฯ สารพัดใส่ไปในหมากด้วย กำลังกราบหลวงปู่เราจะได้กลิ่นหอมของเหล่านี้ ซึ่งคล้ายกับกลิ่นบุหงาโชยอยู่ตลอดเวลา และเราเองหลายต่อหลายครั้งที่หากนึกถึงหลวงปู่ นึกห่วงใย จะได้กลิ่นหอมของพิมเสน ใบเนียม ชานหมากของท่านอยู่เสมอๆ เลยกราบบังคมทูลว่า พวกเราและหลายท่านในคณะตามเสด็จ ก็ได้กลิ่นหอมกันทั้งนั้น รวมทั้งสมเด็จพระเทพฯ ก็ยังทรงออกพระโอษฐ์ด้วย เพียงแต่มิใดมีใครนึกเฉลียวใจเท่านั้น ว่าเป็นกลิ่นชานหมากของหลวงปู่

    เช้าวันรุ่งขึ้นได้มีโอกาสนำหนังสือ “อาจาราภิวาท” ที่พวกเราจัดพิมพ์แจกในงานนั้น ไปกราบคารวะ ท่านพระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี ที่วัดหินหมากเป้ง จังหวัดหนองคาย ท่านก็ถามถึงเรื่องเสด็จพระราชดำเนินและงานเปิดเจดีย์พิพิธภัณฑ์ ผู้เขียนเล่าถวายเรื่องเหตุการณ์โดยทั่วไป และขณะกำลังคิดว่าควรจะเล่าถวายเรื่องที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ มีรับสั่งเรื่องกลิ่นชานหมากของหลวงปู่ขาวดีไหมหนอ เดี๋ยวท่านพระอาจารย์ก็จะดุว่าเราสนใจแต่เรื่อง “ฤทธิ์” มากเกินไป สมควรเล่าหรือไม่หนอ…? กำลังคิดอยู่ขณะนั้นเอง ก็กลับได้กลิ่นหอมตลบขึ้นมา เป็นกลิ่นชานหมากอันหอมกรุ่นของหลวงปู่นั้นเอง

    ผู้เขียนคิดว่า ท่าน (หลวงปู่ขาว) เห็นว่าสมควรแน่แล้ว จึงกล้าเล่าเรื่องถวาย รวมทั้งเรื่องกลิ่นหอมที่บังเกิดใหม่ในขณะกำลังคิดลังเลว่า สมควรจะเล่าถวาย ท่านพระอาจารย์เทสก์ ดีหรือไม่ดีด้วย ท่านพระอาจารย์แห่งวัดหินหมากเป้ง ยิ้มอย่างเมตตา และรับว่ากลิ่นหอมเช่นนี้เป็นได้เมื่อจิตของผู้รับ “เข้าถึง” ท่านบอกว่า นี่เป็นนิมิตอย่างหนึ่ง นิมิตมีทั้งภาพ ทั้งเสียง และทั้งกลิ่นหอม จิตของสมเด็จพระนางเจ้าฯ “เข้าถึง” และ “รับ” หลวงปู่ขาว ได้อย่างสนิทใจ

    บ่ายวันนั้น ผู้เขียนก็ได้เดินทางมากราบหลวงปู่ขาว ที่วัดถ้ำกลองเพล ได้มีโอกาสก็กราบเรียนรายงานท่านว่า เราเพิ่งกลับมาจากการรับเสด็จฯ ที่วัดป่าอุดมสมพร และไปกราบท่านพระอาจารย์เทสก์ มาด้วย

    หลวงปู่ท่านก็ว่า…ดี

    กราบเรียนท่านต่อไปถึงเรื่องแม่เจ้าทรงรับสั่ง

    งานหลวงปู่ฝั้น อาจาโร วานนี้ หลวงปู่ไปด้วยหรือเปล่าเจ้าคะ

    ท่านบอกว่า ไป…ไปหลายคนเนาะ

    เอ๊ะ ! หลวงปู่อยู่นี่ หลวงปู่ไปได้อย่างไงเจ้าคะ

    ไปด้วยนี่…ไปด้วยจิต ท่านตอบ พลางเอามือชี้ไปที่ตรงอกของท่าน

    คงมีเทพมามากใช่ไหมเจ้าคะ ตอนพ่อเจ้าทรงชักโกศบรรจุอัฐิของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร จะให้ขึ้นไปบรรจุบนยอดเจดีย์ มีแสงรัศมีปรากฏงามมากเจ้าคะ งานนี้คงมีเทพมาอนุโมทนามากเหมือนกันใช่ไหมเจ้าคะ

    ท่านว่า มาก…หลาย…เต็มไปหมด ถือพานดอกไม้มาบูชา…อนุโมทนา

    เรื่องนี้เคยเล่าถวาย สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ก่อน แห่งวัดราชบพิธ ท่านรับสั่งว่า ผู้เขียนควรจะบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ มิฉะนั้นนานไปจะลืม คนสมัยใหม่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพรรค์นี้ จะได้รู้จักกันไว้บ้าง

    หลวงปู่ท่านเทศน์เสมอถึงอานิสงส์ของการเดินจงกรม ซึ่งข้อหนึ่งมีอยู่ว่า เทพยดาจะถือพานดอกไม้มาอนุโมทนา…สาธุ รวมทั้งเล่าด้วยว่า ระหว่างท่านเดินจงกรมจะมีกลิ่นหอม…หอมหลาย กราบเรียนถามว่า หอมอย่างไร…หอมเหมือนดอกอะไร

    ท่านจะว่าหอมอีหยัง มันหอมบ่เหมือนดอกไม้บ้านเรา มันแม่นเทพยดาท่านมาอนุโมทนา ถือพานดอกไม้มาอนุโมทนา…สาธุ

    ใครฟังแล้ว จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อย่างไรผู้เขียนไม่สนใจ แต่ผู้เขียนเชื่อและศรัทธาอย่างสนิทใจ และเต็มหัวใจ ก็อย่าว่าแต่เทพยดาจะมาอนุโมทนาให้หลวงปู่ผู้ทรงศีลวิสุทธิ์ได้กลิ่นหอมเลย แม้อย่างปุถุชนคนธรรมดาผู้เต็มไปด้วยกิเลสหนาปัญญาหยาบอย่างเรา บางครั้งก็ยังได้สัมผัสกลิ่นหอมของดอกไม้ประหลาดบ่อยๆ เลย

    ถ้าเมื่อใดจิตใจเต็มตื้นด้วยศรัทธา และความปรารถนาดี จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดถวายครูบาอาจารย์ ก็มักจะมีกลิ่นหอมเกิดขึ้นให้เราชื่นหัวใจ

    บางทีสงสัยว่า กลิ่นดอกอะไรหนอ ไม่เคยได้กลิ่น ไม่ใช่มะลิ ไม่ใช่พุทธชาด ไม่ใช่จำปีหรือจำปา จะมีเสียงตอบชัดแจ้ง แจ่มแจ้ง เข้าไปในใจว่า ดอกไม้นั้นไม่มีในโลกนี้ บางทีกำลังคุยกันถึงเรื่องกลิ่นหอมที่เกิดขึ้นนี้ ถ้าในเวลานั้นมีดอกไม้อะไรอยู่ “กลิ่นพิเศษ” ที่เกิดขึ้น จะเป็นกลิ่นดอกไม้อีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีใน ณ ที่นั้น…ให้อัศจรรย์เล่นเช่นนั้นแหละ

    วันหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในรถยนต์บนถนนแถวๆ จังหวัดสกลนคร มีบางคนในรถที่ได้ข่าวเรื่องนิมิตดอกไม้หอมนี้ อยากทราบรายละเอียดก็ถามผู้เขียนขึ้นมา ขณะกำลังเล่ามาถึงว่า ถ้าเรามีดอกมะลิก็จะไปหอมดอกจำปี ถ้ามีดอกจำปีก็จะไปหอมจำปา และถ้ามีดอกจำปาก็จะไปหอมดอกกุหลาบ ขาดคำว่าดอกกุหลาบ ทั้งรถก็หอมตลบอบอวนด้วยกลิ่นดอกกุหลาบไปหมด ได้กลิ่นกันทุกคนในรถยนต์ รวมทั้งพระคุณเจ้าพระภิกษุ 3 รูป ที่นั่งมาในรถด้วย อย่าว่าแต่ดอกกุหลาบเลย แม้แต่ดอกไม้อื่นดอกเดียวก็ไม่มี และสองข้างทางก็เป็นทุ่งนา ไม่มีต้นไม้ใหญ่อยู่เลย

    บ่อยครั้ง เมื่อเตรียมจะไปกราบหลวงปู่ขาว พอรถเราแล่นออกจากเมืองอุดรธานี ขึ้นไปวิ่งบนถนนสายอุดร-เลย อันเป็นทางมุ่งไปยังวัดถ้ำกลองเพล จะได้กลิ่นดอกไม้พิเศษหอมปรากฏขึ้น ครั้งแรกๆ พอได้กราบท่าน ก็เล่าถวายเรื่องกลิ่นดอกไม้ที่ปรากฏในรถ ท่านบอกว่า ตั้งใจดี ตั้งใจมาทำบุญ เทวดาเขาก็รัก เขาก็ไปต้อนรับพวกหนู

    เป็นปรกติวิสัยมากขึ้น ครั้งหลังๆ เราก็ไม่ค่อยกราบเรียนท่านนัก และบางทีกำลังเล่าเรื่องกลิ่นหอมในรถระหว่างจะมากราบหลวงปู่ ที่ในห้องที่หลวงปู่นั่งอยู่นั้นเอง จะมีกลิ่นหอมเช่นเดียวกับที่ปรากฏในรถยนต์เกิดขึ้นอีก เป็นพยานการได้กลิ่นของพวกเรา ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

    “แน่ะหอมอีกแล้ว หลวงปู่เจ้าคะ กำลังหอมเดี๋ยวนี้แหล่ะ”

    ท่านจะ “หวัว” ยิ้มอย่างสว่าง เปิดโลกทั้งโลกให้แจ่มใส เบิกบานด้วยความสุขความสงบ

    “เทพยดาเขากำลังถือพานดอกไม้ มาสาธุ…บูชาอยู่” ท่านบอก

    “เดี๋ยวนี้หรือเจ้าคะ” ผู้เขียนกราบเรียนถาม

    ท่านพยักหน้า และยิ้ม ชี้มือมาข้างพวกเรา “มื้อนี่แหล่ะ”

    เราอดนึกนึกรำพึงในใจไม่ได้ โอ้…อย่าว่าแต่มนุษย์จะมากราบบูชาหลวงปู่เลย แม้เทพเจ้าก็ยังปรารถนามาคารวบูชาท่าน ด้วยถือเป็นมงคลอันสูงสุด เป็นนาบุญอันประเสริฐ ยากจะหานาบุญใดมาเทียบได้ เราช่างมีบุญจริงหนอ ที่ได้มีโอกาสมากราบนมัสการ ได้เห็น ได้เข้าใกล้ ได้ฟังธรรมจากคำสั่งสอนของท่าน ได้สัมผัสจิตอันเปี่ยมล้นด้วยเมตตาธรรมของท่าน

    เรื่องของการที่ท่านจะ “รู้ใจ” พวกเรานั้น อันที่จริงก็เป็นเรื่อง “หญ้าปากคอก” ของครูบาอาจารย์เกือบทุกรูป ผู้เขียนถูกทรมานมาเสียนักต่อนักแล้ว แรกๆ ก็ลังเลบ้าง อัศจรรย์ใจบ้าง แต่ระยะหลังก็มีศรัทธาโดยแน่นแฟ้น โดยเฉพาะการรู้ใจของหลวงปู่นั้น อยู่เหนือการสงสัยใดๆ ของผู้เขียน
     
  4. ddd445

    ddd445 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2013
    โพสต์:
    7,468
    ค่าพลัง:
    +38,819
    เอามาลงอีกนะ ครับ คุณเอ็ม (f) (f) (f)
     
  5. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,090
    ค่าพลัง:
    +53,094
    เหรียญกลมหลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกองเพล ปี 2511

    เหรียญกลมหลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกองเพล ปี 2511 พิธีหายอาพาธ พ่อแม่ครูอาจารย์ร่วมพิธีมากมาย เหรียญนี้เป็นบล็อกนิยม สระอี ซ้อน อีกหนึ่งในเหรียญดีพิธีไม่ธรรมดา ของหลวงปู่ขาว อริยะเจ้าแห่งวัดถ้ำกองเพล ครับ เหรียญรุ่น 2 หลังเจดีย์ หลวงปู่ขาว อนาลโย ปี 11 พิมพ์นิยม ( สระอี ซ้อน ) เป็นเหรียญท่หายากและมีประสบการณ์ เล่าขานกันไม่จบ รุ่นนี้ครูบาอาจารย์ท่านมางานหายอาพาธของหลวงปู่ขาว ได้เมตตาอธิฐานจิต พระ เครื่องมากประสบการณ์ ของหลวงปู่ขาว อนาลโย ปัจจุบันพระเครื่องของ สายกัมมัฏฐานเริ่มหายากและมีราคาแพงขึ้น เริ่มต้นจาก… ของหลวงปู่ ฝั้น… ตามมาด้วย หลวงปู่แหวน… และหลวงพ่อชา… หลวงปู่เทสก์… ฯลฯ หลวง ปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล ก็แพงแบบเงียบๆ ไม่แพ้ท่านอื่นๆ เช่นเดียวกัน… ในบรรดาพระเครื่องของหลวงปู่ขาวที่มีประสบการณ์มากๆ ก็คือ เหรียญรุ่นสอง… มูลเหตุในการสร้างเหรียญรุ่น ๒ สืบเนื่องมาจากการหายป่วยหนักของหลวงปู่ขาว ชนิดที่ว่าไม่น่ารอด ลูกศิษย์ลูกหารวมทั้งครูบาอาจารย์ทุกรูปที่ร่วมสมัยท่าน เช่น หลวงปู่ ฝั้น หลวงปู่บัว หลวงปู่ชอบ หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่หลุย หลวงตามหาบัว… และ อีกหลายท่าน ได้พากันมาชุมนุมจัดงานพิธีสมโภชกรณีหายป่วยของท่าน… พร้อม จัดสร้างพระเครื่องเป็นที่ระลึก.. ดังนี้…

    ๑. รูปเหมือนลอยองค์ (นับเป็นรูปเหมือนรุ่นแรก)

    ๒. เหรียญรูปไข่ พิมพ์ใหญ่กับพิมพ์เล็ก

    ๓. เหรียญกลมหลังเจดีย์

    ๔. อื่นๆ เช่น เหรียญรูปเหมือนหลวงปู่บัว สิริปุณโณ วัดป่าหนองแซง (รุ่นแรกและรุ่นสุดท้าย รุ่นเดียวของท่าน)

    พิธี ปลุกเสกจัดขึ้นในถ้ำกลองเพล วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๑๑ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของ หลวงปู่ขาว เป็นการฉลองหายป่วย และเป็นการฉลองเจดีย์วัดถ้ำกลองเพลไปพร้อมๆ กัน หลวงปู่ขาวจุดเทียนชัย เล่มหนึ่ง หลวงตามหาบัวจุดอีกเล่มหนึ่ง จากนั้นเสกกันทั้งคืนยังรุ่งเช้า… หลวง ปู่ขาวประเดิมเสกก่อนเพื่อนจากนั้นครูบาอาจารย์องค์อื่นๆ ก็ร่วมเสกจนครบทุกองค์… จึงนับว่าเป็นพิธีหมู่ของพระกัมมัฏฐานล้วนๆ … เหรียญรุ่นนี้ถูกแจกออกไปตามกองทหารและตำรวจเป็นส่วนใหญ่ จึงปรากฏประสบการณ์มากมาย เพราะสมัยก่อนแถบอุดรธานี พื้นที่ป่าเขาทั่วๆ ไป เป็นเขตผู้ก่อการร้าย เรียกว่า เป็นพื้นที่สีแดง หากไปแจกให้กับพ่อ ค้าประชาชน คงจะเงียบเชียบไม่มีเรื่องโลดโผนอะไร ประสบการณ์เด่นๆ จึงเป็นเรื่องการปะทะกับผู้ก่อการร้าย เรื่องยิงไม่เข้า คงกระพัน เป็นหลัก เรื่อง โด่งดังที่สุด ได้แก่

    เรื่องของ รท.ทหารลาว ริเป็นโจรออกปล้นร้านทองในเขตจ.หนองคาย ตำรวจได้นำกำลังและรถกระบะไล่ยิง โจรลาวที่ควบมอเตอร์ไซด์หนี ตำรวจในรถมีปืนรวมกัน ถึง ๕-๖ กระบอก ทั้ง ปืนเอ็ม ๑๖ ลูกซอง และปืนพก ทุกคนยิงไล่หลังโจรลาวเป็นร้อยๆ นัด แต่ไม่ ถูกโจรเลย จนเมื่อตัดสินใจเอารถกระบะพุ่งชนมอเตอร์ไซด์ล้มลง คนซ้อนท้ายตาย แต่ รท.ลาว วิ่งหนีไป ตำรวจยิงตามก็ยังไม่ถูกเช่นเดิม ต่อมา รท.ลาว ได้ก่อเหตุปล้นร้านทอง ในเขตจ.กาฬสินธุ์ อีก ตำรวจนำเฮลิคอปเตอร์ไล่จับจนได้ จึงทราบความจริงว่า รท.ลาว อมเหรียญรุ่น ๒ หลังเจดีย์ ไว้ในปาก

    อีกเรื่อง อาสาสมัคร ใน อ.น้ำโสม แขวนรูปเหมือนลอยองค์รุ่นแรก ถูก ผกค. ยิงด้วยปืนอาร์ก้า แต่ไม่เข้า เสื้อพรุนด้วยรูกระสุนที่หน้าอก ต้องนอนโรงพยาบาลหลายวัน เพราะช้ำใน นอก จากนี้ยังมีชาวบ้านแถบบริเวณวัด เข้ามากราบหลวงปู่ขาว แล้วเล่าเรื่องถวายหลวงปู่ว่า ตนเองออกไปยิงหมูป่ากับเพื่อน แต่เพื่อนเห็นพุ่มไม้ไหวๆ คิดว่าเป็นหมูป่า จึงเหนี่ยวไก ลูกซองลูกโดด ถูกหน้าผากเต็มๆ หน้าผากบวมเป่ง…

    คนอุดรฯ จึงให้เครดิต พระเครื่องรุ่น ๒ โดยเฉพาะเหรียญกลมหลังเจดีย์ และรูปเหมือน ลอยองค์ เป็นที่ ๑ สนนราคาเหรียญบล็อคนิยมอยู่ราวๆ ๒๐๐๐ กว่าบาท ส่วนรูปหล่อราวๆ ๑๗-๑๘๐๐ บาท (ราคาเมื่อ ปี ๒๕๓๙ สิบปีก่อน) รูปเหมือนลอยองค์ดูแล้วไม่ค่อย สวยสร้างประมาณ ๑๐,๐๐๐ องค์ ส่วนเหรียญกลมหลังเจดีย์ ครูชาลี ตุละวรรณ สร้างถวายจำนวน ๑๕,๐๐๐ เหรียญ ลักษณะเป็นเหรียญกลมเท่าเหรียญเงินบาท รูปเอียงครึ่งตัว สร้างไล่เลี่ยกัน แต่มี ๔ บล็อก บล็อกนิยม เรียกว่า บล็อกหน้านูน มีประสบการณ์มากกว่าทุกบล็อก เนื่องจากสร้างจำนวนมากกว่าทุกบล็อก และส่วนมากแจกออกไปยังกลุ่มทหาร ตำรวจ…

    ขอนำเสนอเหรียญกลมรุ่นสองหลังเจดีย์ ซึ่งผมถือว่าเป็นรุ่นปราบเซียนก็ว่าได้ เพราะเหรียญรุ่นนี้มีเสริมมาตั้งนานแล้ว หลายท่านสงสัยว่าเหรียญเก๊กับเหรียญแท้ต่างกันอย่างไร ผมก็เลยใช้ความรู้เท่าหางอึ่งที่มีรวบรวมข้อมูลมาให้เพื่อนสมาชิกศึกษาดู และก็ตามสไตล์ของผมก็จะขออนุญาตินำรูปที่หาได้ตามเว็บมาโชว์ให้เพื่อนสมาชิกดูเป็นตัวอย่าง อย่าถือสานะครับ เข้าเรื่องครับ เหรียญรุ่นสองกลมหลังเจดีย์ ไม่ขอเล่าประวัติ เหรียญรุ่นนี้แบ่งเป็น 2 บล็อค คือ บล็อคนิยมกับบล็อคธรรมดา บล็อคนิยม คือ บล็อคที่สระอีคำว่าอุดรธานีบริเวณใต้ฐานเจดีย์จะมีเส้นซ้อน ทำให้ไม่เห็นสระอีปรากฏ ส่วนบล็อคธรรมดาคำว่าอุดรธานี จะเห็นสระอีปรกติ ไม่มีเส้นซ้อน หลังจากแบ่งแยกบล็อคนิยมกับไม่นิยมแล้ว มาเข้าสู่ประเด็นเหรียญไหนแท้เหรียญไหนเก๊ พื้นฐานของการดูเหรียญรุ่นนี้ 1.ด้านหน้าฉายาของหลวงปู่ต้องเป็น ฉายา อนาลโย เท่านั้น และบล็อคนิยม สระอาจะติดหรือเกือบติดกับหางนอหนู ส่วนธรรมดาไม่ติด 2.ด้านหน้าบริเวณองค์หลวงปู่จะต้องมีเส้นสายชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณซอกคอ 3.ด้านหลังตุ๊กตาหลังเจดีย์ต้องไม่ชัดเจน 4.ขอบเหรียญด้านหลังและด้านหน้าจะต้องมีลักษณะขอบซ้อน 2 ชั้น 5.ความเก่าของเหรียญไม่เป็นประเด็นในการตัดสินว่าเป็นเหรียญเก๊หรือเหรียญแท้ เพราะเหรียญเก๊มีมานานแล้ว หลังจากอ่านข้อมูลพื้นฐานแล้ว ก็มาดูเหรียญเลยครับ ก็จะมีทั้งเหรียญแท้และเหรียญเก๊มาแสดงให้ดู ที่มาเนื่องมาจากหลวงปู่ขาวท่านอาพาธใหญ่ในช่วงนั้นปีพ.ศ. 2511 ศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ ศิษย์รับใช้ใกล้ชิดของหลวงปู่ได้อธิฐานของให้หลวงปู่ขาวหายอาพาธแล้วจะเเกะ สลักพระที่หน้าผาหินนี้ ด้วยความตั้งใจจริงพระที่แกะสลักก็เสร็จที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ที่วัดถ้ำกลองเพล…และสร้างเหรียญพระพุทธบัณฑรนิมิต ไว้เป็นที่ระลึก โดยพระชุดนี้สร้างแจกในปี 2511 ในคราวฉลองเจดีย์วัด ถ้ำกองเพล และพิธีหายอาพาธใหญ่ ของหลวงปู่ขาวครับ พร้อมๆ กับรูปหล่อรุ่นแรกและเหรียญรุ่น ๒ รูปแบบต่างๆ ของหลวงปู่ครับ รายนามคณาจารย์ที่มาร่วมงานคร่าวๆ ดังนี้ครับ

    ๑. หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล

    ๒. หลวงปู่บัว สิริปุณโญ วัดป่าหนองแซง

    ๓. หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร

    ๔. หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโรโครธาราม

    ๕. หลวงปู่บุญมา ฐิปเปโม วัดสิริสาละวัน

    ๖. หลวงปู่เทสก์ เทศน์รังสี วัดหินหมากเป้ง

    ๗. พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด

    พิธีนี้พิธีใหญ่ คณาจารย์สายพระป่ามาร่วมงานกันเพียบครับ เนื่องจากหลวงปู่ขาว ท่านเป็นพระอาวุโสของสายกัมมัฏฐานองค์หนึ่งซึ่งเป็นที่เคารพรักท่านครับ ถือว่าเป็นวัตถุมงคลในชุดของหลวงปู่ขาว ที่หายากเหรียญหนึ่งครับ
     
  6. MrCHAN

    MrCHAN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    5,812
    ค่าพลัง:
    +97,448

    จัดมื้อดึกเป็นมะละกอสุกกับน้ำฝรั่งตรา Malee เรียบร้อยครับคุณเอ๊ะ!





    [​IMG]
     
  7. MrCHAN

    MrCHAN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    5,812
    ค่าพลัง:
    +97,448
    ขอบคุณคุณเอ็มที่นำเรื่องของหลวงปู่ขาวมาให้อ่านครับ


    [​IMG]



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2014
  8. jumbo_a44

    jumbo_a44 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    6,518
    ค่าพลัง:
    +68,124

    เห็นเส้นสายคมชัดมากๆ...ชัดด้วยมาลีหรือเปล่า?
     
  9. ddd445

    ddd445 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2013
    โพสต์:
    7,468
    ค่าพลัง:
    +38,819
    (good)(good)
     
  10. MrCHAN

    MrCHAN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    5,812
    ค่าพลัง:
    +97,448
    ภาพสว่าง ๆ ต้องห้ามใช้ Malee ครับ <a href="http://www.yenta4.com/cutie/view_img.php?d_id=1945&cate_id=1" target="_blank"><img src="http://www.yenta4.com/cutie/upload/945/1945/50126e90d4081.gif" border="0" alt="รูปสวย น่ารัก glitter emoticon www.yenta4.com" title="รูปสวย น่ารัก glitter emoticon www.yenta4.com"></a><br />


    [​IMG]
     
  11. MrCHAN

    MrCHAN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    5,812
    ค่าพลัง:
    +97,448

    ยังไม่นอนเหรอครับพี่ตี๋
    :cool::cool::cool:
     
  12. ddd445

    ddd445 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2013
    โพสต์:
    7,468
    ค่าพลัง:
    +38,819
    ใกล้แล้วครับ
     
  13. ddd445

    ddd445 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2013
    โพสต์:
    7,468
    ค่าพลัง:
    +38,819
    สมเด็จ เนื้อ นุม ฉ่ำ หนึก มาฝากครับ

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  14. jumbo_a44

    jumbo_a44 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    6,518
    ค่าพลัง:
    +68,124

    พระสมเด็จที่ไหนครับพี่ตี๋?
     
  15. jumbo_a44

    jumbo_a44 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    6,518
    ค่าพลัง:
    +68,124

    ขอบคุณครับ...
     
  16. ddd445

    ddd445 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2013
    โพสต์:
    7,468
    ค่าพลัง:
    +38,819
    วัดระฆังยุคแรก จากฝีมือชาวบ้านครับ
     
  17. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326
    [​IMG]

    สวัสดียามเช้าครับพี่วรรณ พี่เอ๊ะ พี่กูน พี่ตี๋ พี่โญ พี่ชาญ พี่รัก พี่ช้าง พี่รุ่ง พี่อ้วน คุณบอย น้องโอ๊ต น้องเอ็ม น้องเขี้ยว คุณหนุ่ม น้องเอ๋ คุณวุฒิ น้องนิก คุณตั้น คุณกันตปัญโญ คุณหมอ คุณhmoomoo คุณsellcat คุณjamitcom คุณEYEOFVENUS คุณwawa22 น้องกานต์ คุณpp2 น้องแพน น้องนายและพี่ๆน้องทุกท่าน ขอบคุณทุกภาพสวยๆและเรื่องราวดีๆจากทุกท่านครับ
     
  18. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326
    [​IMG]

    น้อมส่งหลวงปู่เสริฐสู่แดนพระนิพพาน -/\-
    นับเป็นวาสนาของชาวแก็งค์อัลบั้มพระที่มีโอกาสได้กราบหลวงปู่และท่านได้เมตตาอธิษฐานจิตพระสมเด็จรวยสมปรารถนาให้ ภาพของหลวงปู่ที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงมือของหลวงปู่ที่วางแตะอยู่บนพานพระและปากที่บริกรรมคาถาอยู่ยังคงตราตรึงอยู่ในใจ ทำให้รู้ว่าหลวงปู่รับรู้และตั้งใจทำให้ยิ่งนัก นับเป็นเมตตาของหลวงปู่อันประทับใจแก็งค์อัลบั้มพระทุกคน น้อมกราบแทบเท้าหลวงปู่

     
  19. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326
    น้อมกราบหลวงปู่คร่ำ -/\-

    ในสมัยนั้นภาคตะวันออกชื่อเสียงหลวงปู่ดังควบคู่กันกับหลวงปู่ม่น วัดเนินตามากคร๊าบบ
     
  20. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326
    โชดคีที่จองก๊าาาบ ไม่ได้จองเหรียญ รอด :p:p:p
     

แชร์หน้านี้

Loading...