อัลบั้มพระ ประวัติ และวัตถุมงคล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ปู ท่าพระ, 26 ธันวาคม 2013.

  1. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326
    รูปหล่อดูงดงามคลาสสิคดีคร๊าบบ คุณกันต์
     
  2. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,090
    ค่าพลัง:
    +53,094
    ปาฏิหาริย์ในการขอถ่ายรูปหลวงปู่มั่น

    พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

    รูปท่านพระอาจารย์ที่เราเห็นนั้น จะเป็นรูปที่ท่านตั้งใจให้ถ่ายทั้งหมด ถ้าท่านไม่ให้ ก็ไม่มีใครถ่ายติด นี่เป็นเรื่องจริง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขุนศรีปทุมวงศ์

    มาอุปัฏฐากท่านพระอาจารย์ เที่ยวไปฟังเทศน์ไปอุปการะด้วยปัจจัย 4 เมื่อท่านฯ อาพาธ ขุนศรีฯ ก็ส่งหมอไป หมอฉีดยาให้ท่าน 2 เข็ม และให้ยาไว้ฉันด้วย หมอของขุนศรีฯ พักอยู่ที่นั่นถึง 3 วัน อาการดีขึ้น

    ท่านก็บอกว่า “พอแล้วนะ ไม่ต้องมาฉีดอีก อาการหายแล้ว”
    พอขึ้นไปครั้งที่สอง

    หมอเอาช่างถ่ายภาพไปด้วย กราบนมัสการท่านว่า “พวกกระผมขออนุญาตถ่ายภาพท่านอาจารย์ไว้เป็นที่เคารพบูชา”

    ท่านฯ ว่า “ไม่ได้ดอกโยมหมอ อาตมาไม่ให้ เพราะโยมหมอถ่ายภาพของอาตมาไป เพื่อจะทำการซื้อขาย หาอยู่หากิน กลัวโยมจะเป็นบาป อาตมาไม่ให้”
    เขาก็กราบอ้อนวอน ท่านฯ บอกว่า “เราเป็นคน รู้จักภาษา ไม่ให้ ไม่ให้ เข้าใจไหมล่ะ ” เขาก็เลยเลิกไม่อ้อนวอนอีก

    พอเช้ามา ท่านไปบิณฑบาต เขาก็ไปตั้งกล้องในที่ลับ กล้องขาหยั่งสามขา ถ่ายเสร็จก็เอาม้วนนี้ออกไป หลังจากท่านบิณฑบาต ท่านนั่งให้พร ถ่ายม้วนที่สองไปอีก มาม้วนที่สาม ม้วนที่สี่ จนสี่ม้วนแล้วก็ไปอีก นี่ครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สองเอาอีกสี่ท่า ครั้งที่สามเอาอีกสี่ท่า กลับไปล้างอยู่ที่พังโคน ไม่มีอะไรติดเลย
    สิ่งที่จะปรากฏไปแล้วอุจาดตา ท่านเจ็บป่วย
    ท่านล้มหายตายจากก็ดี มารยาทของความล้มหายตายจากก็ถ่ายไม่ติด(ขณะที่หลวงปู่มั่นกำลังจะมรณภาพและหลังมรณภาพ มีภิกษุบางรูปใช้กล้องถ่ายภาพท่านไว้ แต่ไม่ติดเลยสักรูป -ภิเนษกรมณ์)

    ทำไมท่านจึงไม่ให้ติด เพราะว่าการเห็นรูปภาพเช่นนั้น จิตของบุคคลผู้ที่เห็นอาจจะเป็นกุศลหรืออกุศล และเพื่อรักษาจิตผู้พบเห็น ไม่ให้เป็นอกุศล ท่านจึงอธิษฐานไว้ไม่ให้ติด

    อย่างรูปยืนที่เราเห็นนั้น คงจะเป็นรูปที่ท่านต้องการให้ถ่าย จึงห่มให้เป็นกิจลักษณะ คล้ายกำลังเดินจงกรม ปกติเวลาท่านเดินจงกรม ถ้าเป็นฤดูหนาว ก็จะคลุมผ้ากันหนาว ถ้าเป็นฤดูร้อน ท่านก็จะใส่แต่ผ้าอังสะ ทำแบบสบายๆ จังหวะในการเดินก็ปกติ ไม่เร็ว ไม่ช้า ให้เป็นปกติ ก้าวปกติก้าวขนาดไหน
    ก็ให้ก้าวขนาดนั้นพอประชิดทางจงกรม จะหมุนกลับจากซ้ายไปขวา ทิศที่จะเดินจงกรม มีอยู่ 2 ทิศ คือ ตะวันตกกับตะวันออก หรืออีสานกับหรดี
    (คือ ตะวันออกเฉียงเหนือกับตะวันตกเฉียงใต้-ภิเนษกรมณ์)

    นอกนั้นเดินขวางตะวัน ถ้าใครทำ ท่านฯ จะดุ ท่านว่า มันไม่ถูก เดินไปจนตาย จะให้จิตรวม มันก็ไม่รวมหรอก
     
  3. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,090
    ค่าพลัง:
    +53,094
    [​IMG]

    สวัสดียามเช้าทุกๆท่านด้วยครับผม
     
  4. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,090
    ค่าพลัง:
    +53,094
    ปฏิหาริย์ ชีวประวัติ คำสอน หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ…ยอดอริยเจ้า
    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ … ยอดอริยเจ้าของชาวไทย

    …. ไสยเวทวิทยาคม ….

    พระอาจารย์สิงห์ ขนุตยาคโม
    … ก่อนอื่นขอกล่าวถึง พระอาจารย์สิงห์ ขนตยาคโม สักเล็กน้อย … พระอาจารย์สิงห์ เป็นชาวอุบลฯโดยกำเนิด เกิดที่บ้านหนองขอน หัวตะพาน
    … ท่านเป็นพระอาจารย์องค์แรกที่ได้ปวารณาตัวเข้าเป็นสิษย์พระอาจารย์มั่น เป็นศิษย์ก้นกุฏิอยู่ถึง 12 ปี เป็นศิษย์เอกสูงสุดเปรียบได้กับแขนซ้ายและขวาของพระอาจารย์มั่นในการเผยแพร่ พระสัทธรรมให้แพร่หลายกว้างขวางในสมัยนั้น … พระอาจารย์มั่นท่านสมถะชอบธุดงควัตรสัญจรร่อนเร่ไปตามป่าตามเขาแต่โดดเดี่ยว ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับพระและฆราวาสชาวบ้านเท่าไหร่นัก
    ช้างเผือกในป่า
    … พระอาจารย์สิงห์ ขนุตยาคโม กำลังจะสรงน้ำในตอนเย็นที่วัดสร้างถ่อ อำเภอเกษมสีมา จังหวัดอุบลราชธานี … ก็เหลือบเห็นพระภิษุรูปหนึ่งกำลังเดินมากับสามเณรน้อยรูปหนึ่ง พระอาจารย์สิงห์จึงหยุดดูด้วยความสนใจ … เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในตอนเย็นวันนั้น ในปีพุทธศักราช 2445 ที่ล่วงมาแล้ว
    … พระอาจารย์สิงห์ได้เห็น ” นิมิต ” ปรากฏที่ร่างของสามาณรน้อยรูปนั้น เป็นแสงโอภาสออกจากกายคล้ายรัศมีของผู้มีบุญญาอภินิหาร ก็รู้สึกประหลาดใจก็เอามือขยี้ตาตนเองเข้าใจไปว่าตาฝ่าดไปอันเกิดจากแสงแดด หลอนนัยตา เมื่อขยี้ตาแล้วก็ยังมองเห็นกระแสรัศมีนั้นปรากฏอยู่ที่ร่างสามเณรน้อยที่ กำลังเดินฝ่าเปลวแดดเข้ามาในวัด … ประมาณอึดใจใหญ่ๆ รัศมีนั้นก็พลันหายไป … พระอาจารย์สิงห์ก็ล่วงรู้ได้ด้วยอำนาจญาณทันทีว่า สามเณรน้อยผู้นี้เป็นผู้มีบุญญาบารมีมาเกิด .. ท่านจึงเปลี่ยนใจไม่สรงน้ำรีบคว้าจีวรมานุ่งเรียบร้อยแล้วนั่งรออยู่บนกุฏิ … พระภิกษุและสามเณรน้อยรูปนั้น ขึ้นกุฏิมากราบนมัสการ พระอาจารย์สิงห์ แล้วแนะนำตัวเองว่าชื่อพระภิษุกอ้วนมาจากวัดโพธิชัย บ้านนาโป่ง ริมฝั่งแม่น้ำฮวย เมืองเลย พระภิษุกอ้วนมีศักดิ์เป็นอาของสามเณรน้อยที่พามาด้วย

    พระภิกษุอ้วน เป็นจ้าวอาวาสวัดโพธิชัย สมัยหลวงปู่แหวนยังเป็นสามเณร
    … สามเณรน้อยผู้นี้มีชื่อว่า ” ยาน ” แต่เมื่อบรรพชาเป็นสามเณรแล้วได้เปลี่ยนชื่อให้เป็นคนใหม่ชื่อ ” แหวน ” … ” อ้อ..ชื่อแหวนเหร๋อ ” พระอาจารย์สิงห์อุทานอย่างชื่นชมยินดี สามเษรน้อยนามว่าแหวน ก้มกราบอีกครั้ง พนมมือตอบแบบอายๆ ว่า เป็นชื่อที่ย่าตั้งให้ … ” ชื่อแหวนนี่ดี แหวนเป็นเครื่องประดับกายของมนุษย์ ย่อมที่จะประดับในนิ้วมือ คนไม่มีมือ คือ คนมือด้วน มือจึงเป็นของสำคัญพอๆ กับสติปัญญาของมนุษย์
    … ต่อมาพระอาจารย์สิงห์ได้สักถามพระภิกษุอ้วนถึงประวัติความเป็นมา … พระภิกษุอ้วนเล่าว่า สามเณรแหวนซึ่งเป็นหลานรักได้บวชเรียนมาสองพรรษาแล้วที่วัดโพธิชัย บ้านนาโป่ง จังหวัดเลย เวลานี้อายุได้ 14 ปี บิดาชื่อนายสาย มารดาชื่อนางแก้ว มีพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกันสองคน คือ นางเบ็ง พี่สาว .. บิดาไปมีภรรยาใหม่มีน้องต่างมารดาอีกคนชื่อ โสภา ( ต่อมาโสภาได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้วย้ายไปอยู่วัดอื่นไม่รู้ข่าวคราวและสาปสูญ ไปจนกระทั่งทุกวันนี้ ) … อาชีพของบิดา คือ ทำนา สืบเชื้อสายมาจากชาวหลวงพระบาง อาชีพอีกอย่างหนึ่งของนายสาย คือ ช่างตีเหล็กมีความชำนาณในการหลอมเหล็กดีมากเป็นที่เลื่องลือ … ที่พาสามเณรแหวนมานี่เพื่อนำตัวมาฝากกับพระอาจารย์สิงห์เพื่อขอศึกาบาลี นักธรรม
    … ด้วยว่าสำนักแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง มีพระเณรจากหัวเมืองต่างๆในอีสานเดินทางมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์มากมาย … พระอาจารย์สิงห์ได้ทราบความประสงค์แล้วก็มีความยินดี มองพินิจพิจารณาสามเณรน้อยรูปร่างผิวพรรณเกลี้ยงเกลาขาวสะอาด นัยน์ตาสุกใสบริสุทธิ์ท่าทางสมถะสำรวมมีสง่าราศี อย่างประหลาด
    ” นี่คือ ช้างเผือกแก้วเกิดในป่าแน่แล้ว ” … จตากนั้นจึงพาไปที่กุฏิเจ้าอาวาส คือ พระอาจารย์หลี นมัสการแนะนำตัวให้รู้จักไว้ตามธรรมเนียม … พระอาจารย์หลีมีความยินดี อนุยาติให้พระอาจารย์สิงห์รับสามเณรแหวนไว้ ขณะนั้นมีสามเณรที่เข้ามาศึกาเป็นจำนวน 70 องคื โดยมีพระอาจารย์สิงหืเป็นพระอาจารย์ใหญ่ … แต่ตอนนั้นพระอาจารย์สิงห์ยังไม่ได้เข้ายัติปวารณาตัวเข้าเป็นศิย์ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แต่อย่างใด
    … จัวน้อยกรรมฐาน …
    … ปฏิปทาจริยาวัตรสามเณรแหวนจัดเป็นผู้ถือเคร่งในพระธรรมวินัย พูดน้อยใช้ความคิดเงียบขรึมรักสงบในที่สงัดวิเวก ไม่ชอบอยู่รวมกับหมู่คณะมักจะหาโอกาสแยกตนออกไปนั่งในที่สงัดนอกวัดเสมอ … จนพระอาจารย์สิงห์ออกปากกับเจ้าอาวาสหลีว่า สามเณรน้อยผู้นี้กล้ากาญมากมีจิตใจองอาจไม่กลัวอะไรเลย เป็นมหานิกายที่เคร่งเหมือนธรรมยุติ … อาหารก็ฉันมื้อเดียว ชอบฉันข้าวกับเกลือ พริก และผัก ไม่ยอมฉันอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และตื่นตี 3-4 เป็นประจำ ถ้าคืนไหนไม่ได้ออกไปนั่งสมาธิในป่าช้า ก็จะลงไปเดินจงกรมใกล้กุฏิประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วกลับขึ้นกุฏินั่งสมาธิ
    … หลังจากฉันอาหารเช้าวันหนึ่ง พระอาจารย์สิงห์มีเมตตาไตร่ถามสามเณรแหวนว่า ชอบกรรมฐานมากหรือจัวน้อย ( จัว น้อยเป็นคำอีสานหมายถึงสามเณร ) สามเณรแหวนยกมือพนมแล้วตอบว่า กระผมชอบความเงียบสงัด ชอบพิจารณาต้นไม้ใบหญ้าแล้วคิดเปรียบเทียบกับชีวิตและสัตว์ แล้วเห็นว่าธรรมชาติต้นไม่ใบหญ้านี้คล้ายกับชีวิตของคนเรา มีกาดเกิด มีดับ หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้เลย … พระอาจาร์สิงห์ได้ฟังแล้วก็อัศจรรย์ อุทานในใจว่า เณรน้อยผู้นี้มีอารมณ์วิปัสสนาทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้สอนเลย เป็นปัญญาเห็นแจ้งซึ่งสภาวะธรรมชาติโดยธรรมชาติ คือ เห็นชาติ ชรา มรณะ ผู้เห็นแจ้งดังนี้ที่เรียกว่าเริ่มเห็นมรรค ผล นิพพาน ได้รำไร
    … 60 กว่าปี …
    … ต่อมาเมื่อสามเณรแหวนอายุครบอุปสมบท พระอาจารย์สิงห์ และพระอาจารย์หลี ( เจ้าอาวาส ) ได้เป็นผู้บวชพระให้ ….. ที่วัดสร้างถ่อ อำเภอเกษมสีมา ( ต่อมาเปลี่ยนเป็นอำเภอม่วงสามสิบ ) ประมาณปี 2452 มีสามเณรแว่น ( พระอาจารย์แว่น ) เป็นคู่บวชด้วยในครั้งนั้น … พระอาจารย์แว่น ต่อมาเป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังองค์หนึ่งแห่งอีสานในสายศิษย์หลวง ปู่มั่น
    … พระภิกษุแหวน บวชได้ไม่นาน พระภิกษุอ้วนผู้เป็นอาก็ได้เดินทางมารับพระภิกษุแหวนเดินทางกลับไปอยู่ที่ วัดโพธิชัยบ้านนาโป่ง ซึ่งเป็นบ้านเกิดริใฝ่งแม่น้ำฮวย จังหวัดเลย … แต่เมื่อพระภิกษุแหวนไปถึงไม่ยอมเข้าอยู่ที่วัดเพียงแต่ได้เข้าไปกราบพระ อุปัชฌาย์เจ้าอาวาสที่เคยบรรพชาให้เมื่อครั้งยังเป็นสามเณร คือ หลวงปู่คำมา ขณะนั้นแล้วเลยเข้าไปกราบพระประธานในโบสถ์ … จากนั้นก็ได้ไปยึดเอาโคนต้นไม้ในป่าช้าใกล้หมู่บ้านเป็นที่พัก
    … ตอนนี้พระภิกษุแหวนมีอารมณ์จิตใฝ่กรรมฐานเต็มที่พร้อมแล้วที่จะออกธุดงค์แต่ ลำพังผู้เดียว ทั้งๆที่พระอาจารย์สิงห์ไม่ได้สินกรรมฐานให้แต่อย่างไรจะมีก็แต่เพียงแนะนำ หลักกว้างๆ ให้เท่านั้น พระอาจารย์สิงหืท่านสอนหนักไปในทางปริยัติมากกว่า …. และพระอาจารย์สิงห์มีภาระยุ่งอยู่กับการค้นคว้าตำรับตำราคัมภีร์ธรรมต่างๆ เพื่อเตรียมไว้สอนศิษย์ หาเวลาว่างจะอบรมกรรมฐานไม่ค่อยได้
    … ป่าช้าบ้านเกิด …
    … พระภิกษุแหวน พักอยู่ที่ป่าช้าบ้านนาโป่งไม่นานก็รู้สึกรำคาญใจ เพราะญาติพี่น้อง และชาวบ้านไปมาหาสู่รบกวนใจจนไม่ค่อยจะมีเวลาทำสมาธิสงบใจได้สะดวกทำให้มี ห่วงพะวักพะวน … ท่านรำพึงว่า .. อันตัวเรานี้ก็ได้เลือกทางดำเนืนเพศสมณะเจริญรอยตามพระสัมมาสัมพทธเจ้าโดย สมบูรณ์แล้ว … กระทำตนเป็นอนาคาริก คือ การไม่มีบ้านเรือนอยู่อาศัย ไม่อยู่วัดอาราม อาศัยอยู่ตามโคนต้นไม้ ถึงเวลาแล้วที่จะตัดขาดจากญาติโยมชาวบ้านให้เด็ดขาดเพื่อออกแสวงหาวิมุติสุข ทางหลุดพ้นจากกองทุกข์

    … เมื่อคิดแล้วเช่นนี้ พระภิกษุแหวนก็ออกลาญาติโยมชาวบ้านและหลวงอาอ้วน เพื่อจะออกธุดงค์กรรมฐานไปตามทางของตน แต่ญาติโยมทั้งหลายไม่เห้นดีเห็นงามด้วยเพราะเห็นว่า เป็นพระธุดงค์มีแต่ความยากลำบาก อด ๆ อยากๆ … แต่พระภิกษุแหวนไม่ยอม ได้ชี้แจงเหตุผลต่างๆ นาๆ จนญาติโยมและชาวบ้านเกิดใจอ่อนยินยอมอนุโมธนาสาธุด้วย
    … พระภิกษุแหวนจึงได้เริ่มออกธุดงค์ตั้งแต่บัดนั้น ประมาณปลายปี พ.ศ. 2452 … เป็นการพลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนอันเงียบสงบริมฝั่งแม่น้ำฮวย จังหวัดเลย … และไม่ได้กลับไปอีกเลยเหมือนสูญหายตายจาก ไม่มีใครได้ข่าวคราวตลอดระยะเวลาอันยาวนานถึง 60 กว่าปี … เพิ่งจะมาได้ข่าวคราวพระภิกษุแหวนกันเอาประมาณปลายปี 2516 เมื่อหนังสือพิมพืนำประวัติ และอภินิหารหลวงปู้แหวนออกมาตีพิมพ์เผยแพร่ว่า เป็นพระอาจารย์สมถวิปัศสนาผู้เฒ่า แห่งสำนักสงฆ์ ร ดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่
    … เป็นที่เคารพรักและศรัทธาเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนชาวเหนืออย่างกว้างขวาง … เอวังก็มีด้วยประกาลฉะนี้

    เครดิต เวป หลวงปู่แหวน สุจิณโณ…ยอดอริยเจ้า จากบล็อก โอเคเนชั่น oknation.net
     
  5. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,090
    ค่าพลัง:
    +53,094


    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)

    เกร็ดประวัติบางส่วนของ…. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)

    บวชมาตั้งแต่เป็นเณร เจ้าประคุณสมเด็จฯ ชอบพูดถ้อยคำไพเราะระรื่นหูคน
    และก็ออกจะแผลงๆ เช่น ท่านไปพบสุนัขนอนขวางทางอยู่
    ท่านพูดกับสุนัขนั้นว่า
    “โยมจ๋า ขอฉันไปทีเถิดจ๊ะ” แล้วก็ก้มกายหลีกทางไป

    มีผู้ถามท่านว่า ทำไมท่านจึงทำเช่นนั้น ท่านตอบว่า
    “ฉันไม่รู้ได้ว่า สุนัขนี้จะเคยเป็นพระโพธิสัตว์หรือไม่”

    ท่านเป็นโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
    แต่ไม่เป็นที่เปิดเผย ท่านจึงอยู่ในฐานะกำพร้าบิดาตั้งแต่เกิดมา
    ข้อยืนยันนี้มีปรากฎใน จดหมายเหตุบัญชีน้ำฝน ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ว่า…..

    “วันเสาร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๘ (ต้น) ปีวอก จศ. ๑๒๓๔ เวลา ๒ ยาม สมเด็จพระพุฒาจารย์ ถึงชีพพิตักษัย” คำว่าชีพพิตักษัย ส่อว่าท่านเป็นเชื้อพระวงศ์


    สมัยเมื่อท่านเป็นสามเณรอยู่นั้นปรากฏว่า สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
    เมื่อยังดำรงพระยศเป็น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร โปรดปรานมาก
    ทรงรับไว้ในราชูปถัมภ์ และพระราชทานเรือกันยาหลังคากระแชง
    ให้ท่านขี่ไปเทศน์และไปในกิจอื่นๆ

    อันเรือกันยาหลังคากระแชงนี้ เป็นเรือประจำยศเจ้านายชั้นพระองค์เจ้า
    และเมื่ออายุครบอุปสมบทเมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๕๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
    ให้บวชเป็นนาคหลวง ที่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

    นี่ก็พอจะมองเห็นความเร้นลับในประวัติส่วนตัวของท่าน
    ซึ่งเกี่ยวพันกับพระราชวงศ์อย่างลับๆ
    และก็เป็นที่เปิดเผยโดยพฤตินัยอันเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้ว

    ท่านเป็นคนครึกครื้นมองโลกในแง่ดีและมีอารมณ์ขันเกิดขึ้นเสมอ
    ท่านสามารถเทศน์ให้คนฮากันตึงอยู่บ่อยๆ นับว่ามีวาทะศิลป์อย่างเลศ

    ครั้งหนึ่งมีการเทศน์ปุจฉาวิสัชนาในพระบรมมหาราชวัง
    โปรดเกล้าให้อาราธนาเจ้าประคุณสมเด็จฯวัดระฆัง
    กับ พระธรรมอุดมวัดพระเชตุพนเป็นผู้แสดงธรรม
    ทรงติดเทียนประจำกัณฑ์เทศน์เป็นเงินสลึงเฟื้อง
    เจ้าประคุณสมเด็จฯชวนเทศน์ออกนอกเรื่อง
    ถามเจ้าคุณธรรมอุดมว่า

    “ท่านทราบไหมว่า ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
    พระราชทานเราทั้งสอง สลึงเฟื้องนั้นอย่างไร”

    เจ้าคุณธรรมอุดมตอบว่า “ไม่ทราบ”
    สมเด็จฯจึงว่า “อ้าวท่านหัวล้าน ข้าพเจ้าหัวเหลือง
    ก็หัวละเฟื้องสองไพ ๒ หัวก็เป็นสลึงเฟื้องนะสิ”

    ผู้ฟังต่างหัวเราะกันฮาใหญ่ แม้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ
    ก็ทรงกลั้นพระสรวลมิได้ แล้วพระราชทานเงินติดเทียนถวายอีก

    เจ้าประคุณสมเด็จฯเป็นคนไม่มีบ้าน
    ท่านต้องร่อนเร่พเนจรมากับมารดาตลอด ท่านเกิดที่อยุธยา
    ต่อมามารดาของท่านพามาอยู่ ณ ตำบลบางขุนพรหม จังหวัดพระนคร
    ต่อมาท่านได้สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่เป็นอนุสรณ์ที่ตำบลนั้น

    แม้เมื่อสมัยท่านเป็นสมภารวัดระฆังแล้ว ท่านก็อยู่ไม่ติดที่
    ไม่มีเวลาว่าง เนื่องจากไปในกิจนิมนต์บ้าง
    ไปดูแลควบคุมการก่อสร้างต่างจังหวัดบ้าง
    หรือบางทีก็ไปธุดงค์เนืองๆ

    ด้วยเหตุนี้ท่านจึงมอบการวัดให้พระครูปลัดปกครองดูแลแทน
    และท่านได้กำชับกำชาพระในวัดว่า หากมีกิจไปนอกวัด
    ให้บอกลาท่านพระครูปลัดก่อน แม้ตัวท่านเองจะไปไหนมาไหน
    ก็บอกลาท่านพระครูปลัดเหมือนกัน

    ครั้งหนึ่งท่านไม่ทันในงานพระราชพิธี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ
    ดำรัสถาม ท่านถวายพระพรว่า เพราะต้องคอยลาท่านพระครูปลัด
    ซึ่งจำวัดยังไม่ตื่น ก็เลยช้าไป……………..

    เจ้าประคุณสมเด็จฯมีอุปนิสัยทางศิลปและรักการก่อสร้าง
    ท่านได้สร้างถาวรวัตถุไว้หลายแห่ง สร้างพระและปฏิสังขรณ์-
    วัดวาอารามไว้มากมาย จัดเป็นงานใหญ่แทบทุกวัด
    แม้เมื่อชราภาพมากแล้วท่านไปสร้างวัดวาอารามไกลๆไม่ไหว
    ท่านก็จะสร้างพระเครื่องไว้มากมายหลายรุ่น และปลุกเสกด้วย-
    อาคมขลัง ซึ่งกิตติคุณ “พระสมเด็จฯ” นั้นเป็นที่ทราบร่ำลือกันดีอยู่แล้ว

    เจ้าประคุณสมเด็จฯเป็นคนกล้าพูดกล้าทำโดยไม่เกรงกลัวผู้ใด
    เป็นนักปราชญ์สนใจทางธรรม มีอุปนิสัยรักความยุติธรรมยิ่ง
    และเป็นบรมครูทางด้านโหราศาสตร์แด่นักโหราศาสตร์ทั่วๆไป
    และทรงแตกฉานในพระคัมภีร์โหราศาสตร์ไทยมาอย่างที่ยากจะหาตัวจับ

    ท่านเป็นคนเพียบพร้อมทุกๆด้าน แต่ก็ไม่ค่อยชอบแสดงตัว-
    แสดงอำนาจราชศักดิ์แก่ใคร ชอบทำการพื้นๆจนคนมองเห็นเป็นแผลง
    และนี่เองคือบุคลิกของสมเด็จพระราชาคณะผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ต่อมา

    เจ้าประคุณสมเด็จฯไม่โปรดยศศักดิ์ แม้เรียนรู้พระปริยัตธรรมก็ไม่เข้าแปลเปรียญ
    และไม่รับฐานานุกรมในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงแต่งตั้ง
    ให้เป็นพระราชาคณะครั้งใด ท่านก็บ่ายเบี่ยงปฏิเสธเสีย
    และมักจะหลบไปพักแรมต่างจังหวัดเนืองๆ
    ท่านเพิ่งจะมายอมรับสมณศักดิ์ในสมัยรัชกาลที่ ๔ นี่เอง

    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงมีพระราชดำรัสถามว่า
    “เมื่อรัชกาลก่อนทำไมท่านจึงไม่ยอมรับยศศักดิ์ ที่นี้ทำไมจึงยอมรับ-
    ไม่คิดหนีอีก”
    สมเด็จฯถวายพระพรว่า “ในหลวงรัชกาลที่ ๓ ไม่ได้เป็นเจ้าฟ้า
    เป็นแต่เจ้าแผ่นดินเท่านั้นท่านจึงหนีได้ ส่วนมหาบพิตรพระราชสมภารเจ้า
    เป็นทั้งเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านจะหนีไปไหนพ้น”
    คำตอบอันนี้ทำเอาทรงพระสรวลออกมาได้

    ความไม่ถือตนของเจ้าประคุณสมเด็จฯนั้น มีเรื่องเล่ากันมาก
    เช่น คราวหนึ่งท่านถูกนิมนต์ไปเทศน์ เรือติดโคลนในคลอง-
    ท่านก็ลงไปเข็นเรือเอง บางครั้งท่านไปธุระท่านเห็นศิษย์แจวเรือระยะทางไกล
    เหนื่อยมากก็ให้นั่งเสีย แล้วท่านไปแจวแทน

    ครั้งหนึ่งพระในวัดระฆังกำลังสวดตลกคะนอง
    ท่านจึงแวะเข้าไป นั่งยองๆ ประนมมือกล่าว
    “สาธุๆๆ” แล้วลุกเดินหลีกไป

    อีกคราวหนึ่งพระในวัดระฆังสององค์ทุ่มเถียงกัน
    องค์หนึ่งว่า “พ่อไม่กลัว”
    อีกองค์หนึ่งว่า “พ่อก็ไม่กลัว”

    การเถียงชักรุนแรงขึ้น เจ้าพระคุณสมเด็จฯได้ยินเข้า
    จึงเอาดอกไม้ธุปเทียนเข้าไปหาพระที่ทุ่มเถียงกันนั้น
    นั่งประนมมือพูดว่า “พ่อเจ้าประคุณฉันขอฝากตัวกับพ่อด้วย-
    ฉันเห็นแล้วว่าพ่อเจ้าประคุณเก่งนัก นึกว่าเอ็นดูต่อฉันเถิดพ่อคุณ”

    พระสององค์ได้ฟังดังนั้นก็เลิกทะเลาะกลับกุฏิ…….

    สมเด็จพระพุฒาจารย์สิ้นพระชนม์เมื่อคืนวันศุกร์
    โดยเป็นวันใหม่ของวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ เวลา ๐๒.๒๐ น.

    ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว การสอบเปรียญจะต้องสอบกันต่อหน้าพระที่นั่งในอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ จะเสด็จมาเป็นองค์ประธานการสอบ

    มหาทองเป็นมหาเปรียญที่เก่งที่สุด บวชมาตั้งแต่เป็นเณร พอได้มหาเปรียญกลับสึกออกมาครองเรือน แต่กลับมาก่อกรรมทำชั่วหลังจากที่ออกมาครองเรือนแล้ว เพราะความละโมบโลภโมโทสันในทรัพย์ของหลานเมีย โดยปลอมแปลงเอกสารมาให้หลานเซนต์ บอกว่าแบ่งสมบัติกัน แต่จริงๆแล้วความมาปรากฏภายหลังว่าเป็นสัญญาเงินกู้และใบยินยอมยกที่สวนให้เป็นการใช้หนี้
    พอมหาทองสึกก็ยังคงระลึกถึงท่านอยู่ ครั้นมหาทองอายุครบ ๕๐ ก็คิดจะทำบุญฉลองวันเกิด จึงนิมนต์สมเด็จฯเป็นองค์ประธานและนิมนต์ท่านเทศน์ด้วย
    สมัยเมื่อบวชอยู่นั้น มหาทองสนิทสนมกับสมเด็จฯเป็นอย่างดี ถึงขนาดเคยเจรจาโต้ตอบกันเป็นภาษาบาลี จะเรียกว่าเป็นคู่แข่งกันก็คงจะได้ เพราะสมเด็จฯท่านเก่งภาษาบาลี มหาทองก็เก่งบาลี

    มหาทองก็ไม่คิดว่าท่านจะเทศน์อย่างนั้น ด้วยสมเด็จฯท่านทราบความเป็นมาของมหาทองเป็นอย่างดีทั้งที่ไม่ได้มีผู้ใดเล่าถวายมาก่อน

    พอขึ้นธรรมาสน์ สมเด็จฯท่านขึ้นนะโม ๓ จบเสร็จแล้ว จึงว่า
    " ตาทองนะตาทอง เสียดายที่สอบได้เปรียญต่อหน้าพระที่นั่งในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แต่พอสึกออกมากลับมาทำชั่ว มัวเมาในอบายมุข
    แกจะต้องได้รับกรรมเพราะโกงที่สวนของหลานเมีย"
    พอท่านเทศน์อย่างนั้นทุกคนพากันตกตลึง ด้วยไม่คาดคิดมาก่อนว่าท่านจะกล้าดึงหน้ากากของมหาทองออกมาต่อหน้าผู้คน
    มหาทองโกรธมาก ขู่ว่าให้เทศน์ใหม่มิฉะนั้นจะไม่ถวายกัณฑ์เทศน์
    สมเด็จฯก็ตำหนิมหาทองว่าติดสินบนท่าน มหาทองโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงลุกขึ้นได้ก็ลงเรือนไป

    ญาติโยมท่านอื่นต้องมากราบขอโทษสมเด็จฯและนิมนต์ให้เทศน์ต่อ

    ท่านก็เทศน์เรื่องบาปบุญคุณโทษ สอนญาติโยมไม่ให้เอาเยี่ยงอย่างมหาทอง

    ท่านกำมือทั้งสองตั้งเหนือท้อง มือขวาอยู่ข้างบนมือซ้าย(ดังรูปหล่อสมเด็จฯที่รู้จักกันดี) แล้วสอนว่า….
    คนเรามีสองกำ คือกำปากกับกำท้อง เพราะ ๒ กำนี้ทำให้มนุษย์ทำกรรม บางคนทำกรรมชั่วเพื่อปากท้อง แต่บางคนทำกรรมดีแม้ท้องจะหิวปานใดก็ไม่ยอมที่จะทำชั่ว กรรมจึงมี ๒ คือกรรมดี-กรรมชั่ว
    และกรรมนั้นมีผลวิบาก เพราะหลังจากนั้นมาอีก ๗ วัน มหาทองก็เป็นลมตายอยู่ในท้องร่องสวนที่แกโกงจากหลานเมียนั่นเอง….

    เรื่องที่จะเล่านี่ อ่านมาจากหนังสือเรื่อง สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ของสุทัสสา อ่อนค้อม
    เนื้อหามีดังนี้ค่ะ

    สมเด็จฯสอนกรรมฐานให้แม่นาค

    ในสมัยที่สมเด็จฯท่านเป็นเจ้าอาวาสที่วัดระฆังใหม่ๆ ตอนนั้นท่านดำรงสมณะเป็นเจ้าคุณธัมมกิตติ ยังไม่ได้เป็นสมเด็จฯ

    ท่านบอกว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้ความจริงคิดว่าแม่นาคเป็นผีดุ ความจริงแล้วแม่นาคไม่ใช่ผีดุ แต่คนไปทำให้แกดุ

    ตอนแม่นาคตายใหม่ๆ แม่นาคไม่เคยหลอกใคร แต่คนที่เดินผ่านไปผ่านมานั่นแหละที่ชอบหลอกกันเองว่า ผีแม่นาคมาโว้ย แล้วก็พากันวิ่ง แม่นาครำคาญที่คนเอาแกมาล้อเล่น ก็เลยลุกขึ้นมาหลอกจริงๆซะเลย

    พอแม่นาคออกอาละวาดหนักเข้า คนก็หาหมอผีมาปราบ แต่กี่หมอกี่หมอก็ปราบไม่สำเร็จ แถมยังถูกแม่นาคปราบเสียอีก ผู้คนก็ขวัญหนีดีฝ่อ นิมนต์พระวัดไหนไปปราบก็ไม่สำเร็จ ในที่สุดจึงมานิมนต์สมเด็จฯท่านไปปราบ

    สมเด็จฯท่านไม่ได้ไป แต่ก็รับปากว่าจะปราบให้ ท่านไม่ได้ไปที่วัดมหาบุศย์หรอก ท่านบอกว่าพอตกกลางคืนท่านก็นั่งสมาธิแล้วแผ่เมตตาไปเรียกแม่นาค คาถาที่ท่านใช้เรียกแม่นาคคือ "เมตตาคุณนัง อรหัง เมตตา"

    พอท่านแผ่เมตตาไป ผีแม่นาคก็มา เป็นผู้หญิงสวย รูปร่างงดงามผมยาว ท่านก็ต่อว่าแม่นาคที่ไปก่อกรรมทำเข็ญ และถามว่าทำไมถึงได้ไปทำเช่นนั้น

    แม่นาคจึงกราบเรียนท่านว่า แรกๆแกไม่ได้เป็นผีดุ แต่คนมาหลอกกันบ่อยๆโดยเอาชื่อแกไปอ้าง แกก็เลยรำคาญ แกยกตัวอย่างเปรียบเทียบว่าผีก็เหมือนสุนัข ที่สุนัขดุก็เพราะคนไปแกล้งไปแหย่มัน เลยทำให้มันนิสัยเสียกลายเป็นสุนัขดุไป จากไม่เคยกัดก็กัดไม่เลือกหน้า ผีก็เหมือนกันไม่ชอบให้ใครเอาชื่อไปล้อเล่น ก็เลยกลายเป็นผีดุ

    เจ้าคุณธัมมกิตติ(สมเด็จฯ) ท่านก็อบรมสั่งสอนแม่นาคแล้วก็ขอบิณฑบาตไม่ให้แม่นาคหลอกหลอนใครอีก แม่นาคก็ให้สัญญา และขอให้ท่านสอนกรรมฐานให้เพื่อจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี ท่านก็สอนให้ทุกคืนจนกระทั่งเกิดเรื่อง…………

    คือมีพระเณรกลุ่มหนึ่งที่มีจิตริษยาเจ้าคุณธัมมกิตติ และต้องการให้ท่านสึก ด้วยหวังจะได้ตำแหน่งสมภารวัดระฆังมาให้กับพวกตน จึงถือโอกาสใส่ร้ายป้ายสีว่า ท่านเอาผู้หญิงมาไว้ในกุฏิ แล้วพากันแอบดูอยู่ใต้ถุน

    วันหนึ่งจึงพร้อมใจกันล้อมกุฏิ เพื่อจะจับให้ได้คาหนังคาเขา เจ้าคุณธัมมกิตติท่านทราบแต่ไม่ว่ากระไร พระเณรเหล่านั้นได้ใจจึงพากันตะโกน "สมภารปาราชิก"

    เจ้าคุณฯจึงบอกแม่นาคให้จัดการ แม่นาคกราบเรียนว่า ดิฉันทำไม่ได้เพราะท่านเจ้าคุณสอนดิฉันให้มีเมตตาและดิฉันก็ตั้งใจแล้วว่าจะเลิกก่อกรรมทำเข็ญ

    เจ้าคุณธัมมกิตติจึงอธิบายว่า คนพวกนี้เป็นคนชั่ว ตั้งใจจะทำลายพระพุทธศาสนา จึงเป็นหน้าที่ของสาธุชนที่จะต้องปราบให้ราบคาบ

    แม่นาคจึงเอื้อมมือยาวๆลงไปตามร่องกระดาน ไปจับหัวเณรรูปหนึ่ง จับแล้วก็ปล่อย แล้วไปจับหัวเณรอีกองค์ ทั้งพระทั้งเณรพากันหนีกระเจิดกระเจิง

    แต่นั้นมาก็ไม่มีผู้ใดกล้ามาลองดีกับท่านอีก หลังจากนั้นไม่นาน ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ แต่คนนิยมเรียกท่านว่า สมเด็จโต พรหมรังสี

    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รั๙กาลที่ ๔ ทรงเรียกสมเด็จว่า "ขรัวโต" และก็ดูเหมือนว่าท่านชอบให้เรียกอย่างนี้ เวลาคนไม่รู้จักท่าน ท่านก็จะแนะนำตัวเองว่าท่านคือ ขรัวโต เพราะความไม่ถือตัวของท่านนั่นเอง

    พระสมเด็จฯ

    พระสมเด็จฯที่เล่าลือกันว่าขลังนัก ท่านเล่าเอาไว้ว่า…..
    เวลาท่านบิณฑบาต คนถวายดอกไม้ธูปเทียนมา ท่านจะนำมาบูชา โดยเฉพาะดอกไม้ท่านจะไม่ทิ้ง ท่านจะนำมาตากแห้งแล้วโขลกให้เป็นผง เวลาลูกศิษย์ลูกหาจะสร้างพระก็จะมาขอผงจากสมเด็จฯ

    มีอยู่รายหนึ่งคือ "ยายแฟง" ท่านเล่าถึงยายแฟงว่า ยายแฟงแกขายใส่บาตรสมเด็จฯทุกวันจนรู้จักกันดี ยายแฟงมีอาชีพขายผักอยู่ในตลาด

    วันหนึ่งแกก็บ่นให้สมเด็จฯฟังว่าขายไม่ใคร่ดี อยากขอพระสมเด็จฯสักองค์เผื่อจะขายของดีขึ้น สมเด็จฯท่านก็บอกว่า " อยากร่ำรวยก็ต้องทำต้องสร้างขึ้นมาเอง ไม่ใช่เที่ยวไปขอคนอื่น"

    คือท่านต้องการสอนยายแฟงให้สร้างความเพียรพยายามด้วยตนเอง แต่ยายแฟงไปเข้าใจว่า สมเด็จฯให้แกไปสร้างพระเอง ก็เลยขอผงไปจากท่าน ท่านก็ให้ไป ยายแฟงก็เอาไปทำโดยใช้ส่วนผสมต่างๆตามที่สมเด็จฯบอกว่ามีอะไรบ้าง

    แต่ความที่แกแก่แล้วก็เลยโขลกไม่ละเอียดแล้วก็ปั้นบูดๆเบี้ยวๆ พอตากแห้งแล้วก็นำมาถวายสมเด็จฯจำนวนหนึ่ง ที่เหลือแกก็เก็บไว้บูชาและแจกลูกหลานไปบ้าง ผลปรากฏว่าพระบูดๆเบี้ยวๆของยายแฟงกลับขลัง ใครได้ไปบูชาเขาพากันร่ำรวยทันตาเห็น โดยเฉพาะยายแฟงที่เป็นคนสร้าง จากขายของไม่ดีกลายเป็นขายดิบขายดี

    ต่อมาแกเลิกขายผักมาเปิดร้านเสริมสวย ร้านเสริมสวยของแกก็คือสำนักนางคณิกา แกก็รวยขึ้นๆ จนกระทั่งเก็บเงินสร้างวัดได้วัดหนึ่ง ซึ่งสมเด็จท่านประทานชื่อว่า "วัดคณิกาผล" เพราะได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของเหล่านางคณิกา

    วันทำบุญฉลองวัด ยายแฟงก็นิมนต์สมเด็จฯไปเทศน์ สมเด็จท่านก็รับนิมนต์
    พอขึ้นธรรมาน์ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วเทศน์ว่า
    "ยายแฟงเอ๋ยยายแฟง
    ขายผักขายแตงอยู่ในตลาด
    ต่อมาก็มาทำร้านเสริมสวยร่ำรวยเงินทอง
    กระทั่งสร้างวัดคณิกาผลขึ้น
    อานิสงฆ์ที่ยายแฟงได้ในครั้งนี้คิดเป็นเงินสลึงเฟื้อง…"

    ยายแฟงได้ฟังก็ค้านสมเด็จฯว่า แกสร้างวัดหมดเงินไปหลายร้อยชั่ง
    ทำไมได้บุญแค่สลึงเฟื้อง

    สมเด็จตอบว่า "ก็แกเป็นแม่เล้า เอาเปรียบคนอื่น หากินด้วยเรี่ยวแรงคนอื่น เมื่อแกเอาเงินนั้นมาทำบุญ ก็เลยเป็นบุญของคนอื่น ส่วนแกได้แค่ค่านายหน้าราคาสลึงเฟื้อง…"

    ยายแฟงได้ฟังก็โกรธ สมเด็จฯเห็นยายแฟงโกรธก็หัวเราะชอบใจ เพราะคุ้นเคยกันมาตั้งแต่แกเป็นแม่ค้าขายผัก…..

    หลวงปู่นาค….เล่าถึงสมเด็จฯโต
    หลวงปู่นาคเล่าว่า ท่านมาอยู่วัดระฆังตั้งแต่อายุ ๙ ขวบ
    มาเป็นลูกศิษย์รับใช้สมเด็จโต และเมื่อสมเด็จฯมรณภาพ
    ท่านก็ได้บวชเป็นเณรอยู่ที่วัดนี้
    และได้เก็บรักษาเครื่องอัฐบริขารของสมเด็จฯไว้

    นอกจากนี้ท่านยังได้ "มรดก" จากสมเด็จเป็นสร้อยลูกประคำ ๙ สี
    มี ๑๐๘ เม็ด
    แต่ละเม็ดแกะสลักเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ
    หลวงปู่บอกว่า ลูกประคำเหล่านี้ สมเด็จฯท่านแกะสลักจากกิ่งโพธิ์
    ที่หล่นอยู่เกลื่อนลานวัด แกะแล้วท่านก็นำไปย้อมสีก่อนจะร้อยเป็นสาย

    เคยมีผู้ถามว่าทำไมจึงมี ๙ สี ท่านตอบว่า ท่านย้อมสีตามสีของแต่ละวัน
    และเพิ่มสีขาวและดำ อันเป็นสีแทนข้างขึ้นและข้างแรม

    นอกจากนี้ยังมี ผงสมเด็จฯ อีกหลายโถ เวลาทำท่านจะสวดคาถาชินบัญชรซึ่งท่านเป็นผู้รจนาขึ้นเพื่อบูชาพระอรหันต์
    เมื่อสวดชินบัญชรแล้วท่านจะสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และพาหุงมหาการุณิโก แล้วจบด้วยคาถาชินบัญชรอีกครั้งเป็นลำดับสุดท้าย

    ผงที่โขลกจากดอกไม้แห้ง พวงมาลัยแห้ง หลวงปู่นาคจะมีหน้าที่โขลกให้ท่าน
    นอกจากนั้นยังมีแผ่นกระดาษสีทอง ที่มีตัวอักษรขยุกขยิก ซึ่งก็คืออักษรภาษาสิงหล ที่สมเด็จท่านพูด อ่าน เขียนได้เป็นอย่างดี และได้สอนหลวงปู่นาคด้วย
    ในกระดาษแผ่นนั้นท่านเขียนเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น คล้ายกับบันทึกประจำวัน ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง…………

    ขอขอบคุณ :
    <!--–more–
     
  6. ddd445

    ddd445 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2013
    โพสต์:
    7,468
    ค่าพลัง:
    +38,819
    สวัสดียามเช้า คุณปู คุณเอ็ม คุณเอ๊ะ อ.โญ คุณชาญ คุณกันต์ คุณวุฒิ คุณโอ๊ต คุณอ้วน คุณกูล คุณเหน่ง คุณวรรณ คุณบอย คุณรุ่ง คุณแพน119 คุณจายา คุณบุศรินทร์ คุณอาณัติและทุกๆท่านครับ
    วันอาทิตย์ ขอให้จิตใจแจ่มใส สบายกายกันนะครับ
     
  7. ddd445

    ddd445 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2013
    โพสต์:
    7,468
    ค่าพลัง:
    +38,819
    ขอบคุณคุณเอ็ม กับบทความที่เกี่ยวกับครูบาอาจารย์นำมาให้อ่านเพิ่มพูนความรู้ ติดตามต่อครับ
     
  8. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,090
    ค่าพลัง:
    +53,094

    สวัสดียามเช้าครับพี่ตี๋
     
  9. ddd445

    ddd445 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2013
    โพสต์:
    7,468
    ค่าพลัง:
    +38,819
    วันนี้วันพักผ่อน มีแผนไปไหว้พระที่ไหนครับ คุณเอ็ม
     
  10. ddd445

    ddd445 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2013
    โพสต์:
    7,468
    ค่าพลัง:
    +38,819
    ลป.พรมมา เขมจาโร อุบลฯ

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,813
    กระทู้เรื่องเด่น:
    83
    ค่าพลัง:
    +225,538
    งานวัดในสมัยหลวงพ่อจะมีพระพุทธเจ้าองค์ต่างๆเสด็จมาสงเคราะห์อยู่ทุกครั้ง ในสมัยหลวงพี่นันต์ผมเข้าใจว่าแบบนั้นเช่นกัน มีอยู่หลายครั้งเวลามีงานวัดมีหลายท่านสังเกตุเห็นสีผิวท่านรูปร่างท่านเปลี่ยนไปเช่นกัน งานครั้งต่อๆไปมาลองสังเกตุกันดูบ้างนะครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ เดือนกรกฏาคม 2531 หน้า 5 - 12)
     
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,813
    กระทู้เรื่องเด่น:
    83
    ค่าพลัง:
    +225,538
    [​IMG]


    สวัสดียามเช้าวันหยุดครับคุณปู คุณโญ พี่ตี๋ใหญ่ พี่รุ่ง พี่อ้วน คุณเอ๊ะ คุณกันต์ คุณกูน คุณชาญ คุณวุฒิ คุณแจม คุณบอย คุณตุ้ม คุณเอ็ม น้องเอ๋ น้องกานต์ คุณนาย คุณเคี้ยว คุณโอ๊ต และทุกๆท่านครับ
     
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,813
    กระทู้เรื่องเด่น:
    83
    ค่าพลัง:
    +225,538
    [​IMG]
    [​IMG]


    พระรอดหลังยันต์นะปัดตลอด หลวงปู่สี ปี 2517 มวลสารเหมือนพระปิดตาข้าวต้มมัด(พระปิดตาคลุกฝุ่น)


     
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,813
    กระทู้เรื่องเด่น:
    83
    ค่าพลัง:
    +225,538
    [​IMG]
    [​IMG]

    พระปิดตาคลุกฝุ่น(พระปิดตาข้าวต้มมัด) ปี 2516 มวลสารเหมือนพระรอดทุกประการ
     
  15. ddd445

    ddd445 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2013
    โพสต์:
    7,468
    ค่าพลัง:
    +38,819
    สวัสดีครับคุณวรรณ
    (f) (f) (f)
     
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,813
    กระทู้เรื่องเด่น:
    83
    ค่าพลัง:
    +225,538
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,813
    กระทู้เรื่องเด่น:
    83
    ค่าพลัง:
    +225,538
    สวัสดีครับพี่ตี๊ใหญ่

    ฝนตกบ่อยดูแลสุขภาพด้วยนะครับ



    [​IMG]
     
  18. jumbo_a44

    jumbo_a44 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    6,518
    ค่าพลัง:
    +68,124
    สวัสดีวันหยุดครับ สมช."อัลบั้มพระ" ทุกท่าน
     
  19. jumbo_a44

    jumbo_a44 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    6,518
    ค่าพลัง:
    +68,124
    สวัสดีครับพี่ตี๋....รับพรครับพี่ตี๋
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2014
  20. jumbo_a44

    jumbo_a44 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    6,518
    ค่าพลัง:
    +68,124


    สวัสดีครับพี่วรรณ คุณปู และทุกท่านครับ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...