สังเกตุไหม เดี๋ยวนี้เว๊ปพลังจิตทะเลาะกันเยอะขึ้น รุนแรงขึ้น เพราะเรื่องธรรมะ

ขนาดพระพุทธองค์ยังมีพวกนอกศาสนามาคอยเถียงเลย นับประสาอะไรกับสาวก...

 

ปัญหาไม่มี บารมีไม่เกิด

 

ผู้แอบอ้าง หากินโดยใช้ศาสนาและทำให้ คนงมงาย นั่นแหละ...อย่าปล่อยให้คนแบบนี้ลอยนวล

 

บัวสี่เหล่าที่พระพุทธองค์ตรัสคุณควรรู้ก่อนที่จะมาเสวนาธรรม ถ้าคุณจะเสวนาธรรมกับคนอื่น คุณควรรู้ในเบื้องต้นก่อนครับ ว่าบุคคลนี้ควรสนทนาธรรมในระดับใด ควรหยุดเมื่อไร แบบคนที่มีธรรมในใจจริงๆมิใช่แค่ปริยัติ แต่รวมถึงการปฏิบัติอย่างควบคู่ไปด้วย

ถ้าคุณยังทำไม่ได้ คุณกลับไปปฏิบัติให้มากขึ้น ให้เข้าถึงธรรมให้มากขึ้น ในทาน ศีล ภาวนา เพราะสิ่งที่คุณควรทำมากกว่าที่คุณจะไปจัดการคนอื่น คือกิเลสของคุณเองที่จะทำให้จิตคุณท่องเที่ยวไปใน 31 ภพภูมิ ตกนรกบ้าง ขึ้นสวรรค์บ้าง นั้นแหละครับ สาธุ

 

ผมเห็นด้วยกับคุณ kanate tatip และ คุณ December คือรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะเฉย เมื่อไรควรจะตี การเฉยไปซะทุกเรื่องหมายความว่ายอมรับ คนที่ชักนำไปทางไม่ถูก หรือพวกป่วนห้อง จะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม การชักนำไปในทางที่ผิดหลักธรรมคำสอน เราก็ช่วนกันดูแลแก้ไข เช่น พวกอ้างตัวเป็นผู้วิเศษจะเฉยเหรอ หรือบิดเบือนคำสอนจะเฉยหรือ หรือพวกที่เจตนาเข้ามาป่วนเข้ามาป่วน เราก็ต้องมีวิธีการที่จะโต้ตอบ แล้วแต่บุคคล

จะเห็นว่ามีบางคนที่เจตนาเข้ามาป่วนโดยเฉพาะก็มี เช่น คนที่พูดถึงนิพพานสัตว์ มีตั้งหลายกระทู้ ทางเว็บเขาลบไปแล้ว ไอ้คนตั้งมันบ้า มันจะไปนรก ให้เฉยเหรอ มนุษย์จัดว่าเลิศทางกายทางใจขนาดไหนยังไปไม่ถึงไหน มันจะสอนสัตว์ให้พิพพาน อย่างนี้เป็นต้น บ้าแล้ว ถ้าไม่บ้าก็เดียรถีย์มารนอกศาสนา คงมีคนจ้างให้มันเข้ามาป่วน

อย่ามองเห็นว่าเป็นการทะเละ ถือว่าการถกปัญหากัน ถ้าไม่มีการตอบโต้ โต้แย้งโต้เถียง เชื่อตาม ๆ กันไปหมดก็เท่ากับเป็นการไม่ใช่ปัญญาของตนเองที่มี

ถ้าเป็นการโต้แย้งด้วยเหตุผลก็ดี ใครที่คิดป่วนเว็บนี้ผมว่าคิดผิดนะ นอกจากไม่พัฒนาจิตใจแล้วยังจะขุ่นออกไปอีก เช่น หัตถ์พระเจ้า มาดีก็มา ถ้ามาไม่ดีเชิญไปข้างหน้า

 

เพราะ ต่างคน ก็ ต่าง อยาก อวด ความรู้ กัน

แล้วก็มาพูด ว่าคน นู้น คนนี้ พูด ผิด พูด ไม่ถูก ไรแบบเนี่ย อ่ะ

เลย ทะเลาะกัน

 

ขออนุญาตแจมหน่อยนะครับ อดทนรนฟังมานานแล้ว..... (ฉายซ้ำ เพราะกินใจดี)

 

ถามเพราะสงสัย ปัญญาจึงจะเกิด
ถามเพราะจับผิด จะเกิดแต่ปัญหา

 

เรียนท่านทั้งหลาย

เมื่อท่านมาประชุมล้อมวงกันแสดงความคิดเห็น ก็อย่าได้เอา

ชื่อของกระผมเข้าไปเกี่ยวโยงเลยขอรับ กระผมไม่ชอบ ท่านจะถกจะเถียงกัน

อย่างไรมันเรื่องของพวกท่าน กระผมไม่ได้ทะเลาะกับใคร และไม่ได้มีเจตนามา

ทะเลาะ กระผมจะพิจารณาโทษตัวเองหากกระผมทำผิด ไม่จำเป็นต้องมีใครมา

เชิญ เพราะเชิญให้ตายผมก็ไม่ไปถ้ากระผมอยากอยู่ เพราะฉนั้นกระผมย่อมมี

สิทธิ์ของผม คนที่จะให้ผมไปจากที่นี่ได้คือตัวกระผมเองและผู้คุมกฎเว็ปนี้ หาก

จะเอ่ยพาดพิงถึงใคร กรุณาใช้หัวสมองคิดบ้างนะขอรับ โตๆกันแล้ว

 

ส่วนใหญ่คนบอร์ดอภิญญากะบอร์ดวิทยาศาสตร์จะเเย้งกันนิดหน่อย

 

การวิวาทะในที่นี้ เป็นการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น เพื่อความเข้าใจถูกต้องตรงกัน นำมาซึ่งปัญญา แล้วนำมาคิดตามความเป็นจริงไม่ใช่หลับหูหลับตาศรัทรา เขาว่าอะไรก็ว่าตามเชื่อตาม เขาให้ไหว้ก็ไหว้ตามๆกันไป อย่างนี้ไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้พูด และผู้ฟังแน่

ธรรมะอยู่ตรงนี้ ถ้าการวิวาทะในที่นี้เต็มไปด้วยคำด่า เหน็บแนม หาสาระไม่ได้
มีอานิสงค์ 2 อย่าง กล่าวคือ

ให้ผู้พูดตามดูจิต ว่าเราด่าหรือแน็บแนม ตามล้างเขา เพราะเขาพูดไม่เข้าหู เ
ห็นไม่ตรงกัน ทิฐิมันเกิดรึเปล่า ดูการเกิด ดับของอารมณ์ไป ใครเห็นก็ได้บุญ

ผู้ฟัง ล้วนมีความเชื่อในพุทธศาสนาตามภูมิความรู้ของตัว การที่เข้ามาอ่านเป็นการเพิ่มพูนความรู้ สำหรับข้อโต้แย้งนั้น ผู้ฟังต้องใช้สติและเปิดใจรับข้อมูลในการพิจราณาตามความถูกต้อง เหมาะสม ไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับข้อความนั้นๆ
ถ้าทำได้ดังนี้ ปัญญาเกิด...

เข้าใจว่า ต่างคนต่างที่มา นับถือพุทธตามอัตธยาศัย หมายความว่า ศรัทรามากกว่าปัญญาบ้าง บ้างก็ปัญญามากกว่าศรัทราบ้าง แต่ไม่ว่าอะไรจะมากกว่าหรืออ่อนกว่ากัน ทุกคนในที่นี้เป็นชาวพุทธ ล้วนมีจิตใจงาม ปราถนาให้พระพุทธศาสนารุ่งเรืองชั่วลูกชั่วหลานมิใช่หรือ...

 

อดทนเหมือนอูฐ
ไม่พูดเหมือนปลา
ซื่อสัตว์เหมือนหมา
โง่บางเวลาเหมือนควาย

( ก็ดีเหมือนกันนะคนเราเนี๊ย กราบขออภัยครับทุกท่านเลย บางคำอาจไม่สุภาพ)

 

การสนทนาธรรม คุยกันด้วยเหตุด้วยผล และยอมรับในความเป็นจริง ก็จะเป็นการพอกพูนสติปัญญา และความเข้าใจในหลักธรรมและสิ่งต่างๆได้ถูกต้องมากขึ้นเช่นกันนะครับ

 

ถูกต้องนะครับ และนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุด้วยครับ

 

การถกเถียงกันด้วยธรรม พุทธบัญญัติ พุทธประวัติ เทวประวัติ ถูกงัดมากล่าวจาก จุดเริ่มต้น ของเรื่อง "เทพ" กับประโยคไม่กี่ข้อ
1. เทพมีจริง
2. เทพไม่มีจริง
3. ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้น
4. ไม่ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้น
5. มีองค์
ุุ6. ไม่มีองค์
7. เกิดประโยชน์จากการรับขันธ์
8. ไม่เกิดประโยชน์จากการรับขันธ์

เพียงไม่กี่ข้อก็สามารถทำให้เกิดคำถามและเกิดข้อถกเถียงมากมาย จริงแล้วถ้าคิดในแง่ดีก็ให้นึกซะว่า ไม่มีกระทู้นี้ หลักการ หลักธรรม
ต่าง ๆ ย่อมไม่เกิด ดั่งกับกระแสน้ำหลั่งไหลออกมาอาจจะมีสิ่งเจือ
ปนมากับมันด้วย ต้องใช้สติปัญญากลั่นกรอง ก่อนที่จะนำมาดื่มอีก
รอบจึงจะเกิดประโยชน์ ความรุนแรงก็เหมือนกับน้ำที่ร้อน ก่อนที่เรา
จะกินน้ำที่ร้อนหรือปรุงแต่งใด ๆ ลงไป อาจจะไม่เป็นผลดี...สู้เรารอ
ให้มันเย็นลงเสียก่อนดีกว่าแล้วค่อย กรอง และ ดื่มมันเข้าไป

ขันติและสันติ ลดความร้อนของน้ำนั้นลงได้ครับ

 

ผมเคยบอก แล้ว ไง

วิทยาศาสตร์ จะ มาอยู่กับ พุทธศาสนา ได้ไง

แล้วจะมาบอก ว่า วิทยาศาสตร์ทางจิต-ลึกลับ

พอเข้ามากลายเป็น ห้องธรรมมะ ไปซะงั้น

 

เรื่อง มันคือ คนไม่ยอมรับ ในความคิดของคนอื่น มันก็เท่านั้น
พอมีการสนทนากันในเรื่องธรรม ก็มาเหน็บแนม มันก็เท่านั้น
ส่วนมีการสนทนากันในเรื่องเทพ ผมก็ไปให้ข้อเท็จจริง มันก็เท่านั้น

ก็ดูสิว่า มันเกิดจากอะไร

ส่วนเรื่อง วิทยาศาสตร์ทางจิต ก็ตอบว่าถูกแล้ว ที่จะเอาพระพุทธศาสนามาพูด
เพราะว่า จิตนี้มีอะไร ตรวจสอบตรวจดู แล้วพบข้อเท็จจริง มันก็คือ วิทยาศาสตร์ แต่ ถ้าเอาเรื่องเทพ เรื่องอะไรมา มันไม่ได้พิสูจน์ อะไร นี่มันไสยศาสตร์

ยอมรับกันด้วยเหตุผลหน่อย

 

คนส่วนใหญ่ไม่มีใครเขาเข้ามาอวดตัว อวดรู้ อะไรกันหรอก ผมว่าเสียเวลาพิมพ์ ไปอ่านของชาวบ้านเอาความรู้ไม่ดีกว่าเหรอ ข้อเขียนทั้งที่ดี ที่น่าศึกษา ทั้งไม่น่าอ่านก็มี เราอ่านแล้วคิดให้ได้ประโยชน์ทั้งนั้น

ผมไม่อยากให้คุณ Oo คิดอย่างนั้น
หลายๆ คนเขาเขียน เขา comment ก็เพราะหวังดีกับคนส่วนใหญ่ที่เขาเข้ามาอ่าน ไม่อยากให้อะไรที่ออกนอกลู่นอกทาง แล้วคนอื่นเข้ามาอ่านแล้วเข้าใจผิด
หรือพวกอวดฤธิ์เดชหลอกคน พากันเฉยเหรอ เขาก็จะว่าโง่กันทั้งบอร์หรอกเข้ามาตุ๋นคนยังไม่มีใครรู้ทันสักคน


ผมเคยบอก แล้ว ไง

วิทยาศาสตร์ จะ มาอยู่กับ พุทธศาสนา ได้ไง

แล้วจะมาบอก ว่า วิทยาศาสตร์ทางจิต-ลึกลับ

พอเข้ามากลายเป็น ห้องธรรมมะ ไปซะงั้น Qouite จากคุณ Oo

ในความคิดเห็นของผม ธรรมะของศาสนาพุทธเข้าได้กับวิทยาศาสตร์

ธรรมมะคือธรรมชาติของสรรพสิ่ง แต่ท่านสอนเน้นที่ธรรมชาติของกาย(รูป)และจิต แต่วิทยาศาสตร์เน้นที่ธรรมชาติของวัตถุ (รูป) แต่อ่อนเรื่องจิต ถ้าแน่เรื่องจิตคงจะมีตำราวิทยาศาสตร์สักเล่มอธิบายสภาวะจิตหลุดพ้นได้

ทั้งสองอย่างเป็นธรรมชาติ คือสัจธรรมความเป็นจริงทั้งคู่จึงเข้ากันได้ แต่ต้องดูให้ดีด้วยว่าแง่มุมไหน จะเหมาะหรือไม่ก็อีกเรื่อง

เช่น ไตรลักษณะ นั่นคือ วงจรการเกิดการตายของพืชสัตว์ทุกและทุกสิ่งมีชีวิตในโลก อสุภกรรมฐานการเสื่อมสลายของซากศพ มันวิทยาศาสตร์ใช่ไหม

แต่ตระหนักไว้อย่างหนึ่งว่า การรู้แบบวิทยาศาสตร์ รู้มากยากนาน ทำเหมือนนำเต็มตุ่ม เติมอะไรก็ไม่รับไม่ลง

แก้วพร่องน้ำจะรับได้มาก

 

น่าสนใจนะ คิดว่าเป็นเพราะคนเยอะขึ้นหรือเปล่า?? การที่คนทะเลาะกันมันก็เป็นเพราะมาร มารมันอยู่ในใจเรา ในที่นี้ก็คือกิเลสมาร ซึ่งมากันหลายตัว พอเห็นคนอื่นเข้าเข้าใจไม่ตรงกับเรา มารมันทำงานปุ๊บ คันไม้คันมือรีบตอบกระทู้ไปทันที บางทีคนเราก็ลืมดูใจตนเองปล่อยให้มารมันชักนำอยู่ได้ พอตอบๆ ไป อารมภ์มันก็ขึ้น ทั้งอารมภ์ดี ไม่ดี หลากหลาย เมามันกันใหญ่ คนมันก็มากตอบกันคนละอันสองอัน ก็เหมือนไม้อันเล็ก ๆ รวมกันมันเผาโรงงานได้ทั้งโรงเลยนะ

มองในแง่ดี มันก็เป็นการฝึกฝนตัวเราไปด้วย ดูใจของตัวเองทุกครั้งเวลาตอบ ที่สำคัญเวลาอ่านด้วย ตอนที่คนมาด่าเราใจเราเป็นอย่างไร ตอนที่คนมาชมเราใจเราเป็นอย่างไร รู้จักละวางต่อคำติคำชมเหล่านั้นได้ไหม คนโบราณบอกว่า "มารบ่มี บารมีบ่เกิด" เรื่องนี้มันจริงเอามาก ๆ พระพุทธเจ้าสอนให้เราดูตัวเอง แต่เราก็จะโดนมารมันหลอกให้เราลืมดูตัวเองอยู่เสมอ ถ้าเอาชนะมารพวกนี้ได้ เราก็ไปอีกขั้นหนึ่ง