เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    เยี่ยมครับวาดออกมาคล้ายมากแล้วล่ะครับ
    เหมือนอนุตรจารย์ชิงไห่จังครับ คุณ Year Of The Cat
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2008
  2. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ผมคิดคนละอย่างนะครับ ผมคิดว่าอาจจะดิ้นจนแขนไปกระแทกอะไรก็ได้

    ส่วนเรื่องโคลนนิ่งแล้วจิตวิญญาณมาจากไหน ผมคิดว่ามันก็มีจิตวิญญาณของมันอยู่แล้ว เหมือนดิน หินที่มีจิตวิญญาณเหมือนกัน

    อืม.. แต่ถ้าให้แน่ให้พี่นักเขียนมาตอบดีกว่า

    คุณ year of the cat วาดภาพออกมาดีมากๆ เลย
     
  3. Year of the Cat

    Year of the Cat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +236
    หวัดดีค่ะทุกๆ คน กำลังง่วนอยู่กับการวาดภาพอยู่หรือเปล่าคะ มีความฝันจะมาเล่าให้ฟังค่ะ

    เมื่ออาทิตย์ที่แล้วฝันว่าพี่นักเขียนกลับมาที่เมืองไทย แล้วก็กลับไปที่บ้านเกิดที่จ.อุดร (จะเป็นไปได้ไหมเนี่ย??!!) ดิฉันก็เลยชวนเพื่อนในห้องนี้ 1 คนและพี่อีกคนหนึ่งที่รู้จักกันขับรถไปหาพี่นักเขียนกันที่จ.อุดร ในความฝันบ้านพี่นักเขียนเป็นบ้านไม้แบบแถบอีสานที่มีใต้ถุนสูงๆ และมีชานยื่นออกมาตัวบ้านซึ่งมีการแบ่งเป็นระดับ 3 ชั้น คล้ายๆ เรือนไทย และที่จำได้ก็มีคนทำขนมถ้วยมาเป็นถาดใหญ่ๆ มาให้ทาน ในความฝันรู้สึกว่าพวกเราที่ไปเยี่ยมจะเตรียมทำอาหารกันด้วย แต่ยังไม่ได้เจอพี่นักเขียนเลยเพราะว่าจำอะไรต่อไม่ได้แล้ว......
     
  4. ประสงค์.

    ประสงค์. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +793
    ขอส่งการบ้านครับ

    รูปที่วาดแก้ไขหลายครั้งก็ยังเหมือนคนไทยไม่ใช่ฝรั่งแบบในรูปอายุก็มากกว่ารูปต้นแบบสงสัย จะเป็นร่วมรูปแต่ต่างจิตวิญญาณเลยออกมาเป็นแบบนี้ครับ [​IMG][​IMG][​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 100_0174.jpg
      100_0174.jpg
      ขนาดไฟล์:
      416.4 KB
      เปิดดู:
      62
  5. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    Cloning


    เรื่องของ Cloning นี่น่าสนในมากค่ะ พี่นักเขียนเองก็มีคำถามมากมายที่ได้เคยพยายามค้นหาคำตอบจากท่านอาจารย์อนาลัยเหมือนกัน ในที่นี้ต้องขอออกตัวว่า ไม่มีความรู้ทางชีววิทยาพอ อาจใช้คำไม่ถูกต้อง แต่จะพยายามถ่ายทอดตามความเข้าใจนะคะ พวกนักวิทยาศาสตร์ช่วยด้วยแล้วกันค่ะ
    เท่าที่ทราบ Cloning มี 3 ชนิดด้วยกันคือ :

    1. Recombinant DNA Technology or DNA Cloning หรือ บางทีเรียกว่า "DNA cloning," "molecular cloning,"or "gene cloning" แต่ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไร ก็หมายถึงกระบวนการเดียวกันคือ Recombinant DNA Technology ซึ่งเป็นการตัดเอาส่วนหนึ่งของ DNA แยกอออกจาก chromosomal DNA โดยใช้สาร enzymes แล้วจากนั้นนำมารวมกับ plasmid ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ DNA ที่สามารถรับ DNA อื่นๆได้ถึง 20,000 หน่วย กระบวนการนี้เป็นการตัดชิ้นส่วนจาก chromosome ของผู้บริจาค แล้วนำไปต่อกับ chromosome ของผู้รับบริจาค ซึ่งถูกตัดแหว่งไว้คอยการต่อ

    เท่าที่พี่นักเขียนเข้าใจ การ cloning ชนิดนี้มีมาตั้งแต่ปี 1970 ใช้เพื่อ clone เชื้อ virus, bacteria ฯลฯ ใน Lab ที่ทำการทดลองเกี่ยวกับชีวภาพของโมเลกุล

    เป้าหมายของ cloning ชนิดนี้คือการควบคุมคุณลักษณะทางด้านอุตสาหกรรมในการผลิตพีชพันธุ์ที่เป็นอาหาร

    2. Reproductive Cloning
    เป็นกระบวนการที่ถ่ายทอดพันธุกรรมจาก nucleus ของไข่ของสัตว์ผู้บริจาค ไปใส่ใน nucleus ของไข่ของสัตว์ผู้รับบริจาค โดยที่ nucleus ของไข่ของสัตว์ผู้รับบริจาคจะต้องถูกตัดออกไปเสียก่อน
    จากนั้นเขาจะใช้วิธีกระตุ้นด้วยสารเคมี หรือประจุไฟฟ้า เพื่อทำให้ nucleus ของไข่เกิดการแบ่งตัวและสร้าง cell ขึ้นใหม่ พอแบ่งตัวไปจนถึงภาวะที่มันจะเติบโตต่อไปได้ด้วยตนเอง มันก็จะถูกนำไปใส่ในท้องแม่สัตว์ตัวที่จะรับบริจาค

    แม่สัตว์ผู้รับบริจาคก็จะตั้งท้องไปจนครบกำหนด โดยจะมีลูกที่มีลักษณะพันธุกรรมของสัตว์ผู้บริจาค

    แม้ลักษณะของลูกสัตว์ที่มาเกิดในท้องแม่ผู้รับบริจาค จะเหมือนกับแม่สัตว์ตัวที่เป็นเจ้าของ nucleus แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยอมรับว่า มันไม่ได้เหมือนกันอย่างหาที่ติมิได้ มันเพียงแต่ทำให้ได้อวัยวะต่างๆที่มีลักษณะคล้ายคลึงเท่านั้น เพราะกระบวนการดังกล่าวเป็นการ program ให้ cell แบ่งตัวและสร้าง cell ใหม่ที่มีลักษณะเหมือน cell ที่ถูกรับมาจากผู้บริจาค แต่มันกลับมีอายุสั้นกว่า อ่อนแอกว่า มีโอกาสผิดรูปผิดร่างไปจากต้นแบบ หรือพิกลพิกาลได้

    แม้เราจะเห็นว่า สัตว์ที่เกิดจากการ cloning มีลักษณะเหมือนกับสัตว์ตัวที่เป็นต้นแบบของมัน แต่ความแตกต่างที่แท้จริงยังมีอีกมากมาย

    เป้าหมายของ cloning ชนิดที่สองคือการรักษาพันธุ์สัตว์ที่จะสูญพันธุ์ไปจากโลก

    3. Therapeutic Cloning หรือ "embryo cloning" เป็นการ clone ตัวอ่อน หรือไข่ ในมนุษย์ ซึ่งเป็นไปเพื่อการค้นคว้าและยังไม่ผ่านกฏหมายให้มีผลบังคับกับการ clone มนุษย์จริงๆ เป้าหมายของกระบวนการนี้ไม่ได้ทำเพื่อจะ clone มนุษย์ แต่ต้องการสร้าง cell ที่เรียกว่า Stem cell อันได้แก่ cell ที่สามารถแปลงสภาพเป็น cell อะไรก็ได้ เพื่อนำทดแทน cell ส่วนที่ผิดปกติ

    กระบวนการชนิดที่สามนี้ เป็นการนำเอาไข่จากรังไข่ของสตรีผู้บริจาคมา แล้วนำเอาลักษณะทางพันธุกรรมออกไปจาก nucleus โดยใช้เข็มที่มีขนาดเล็กมาก 2/10,000 นิ้ว จากนั้นเขาจะเอา skin cell ใส่เข้าไปแทน ซึ่งจะกลายเป็น nucleus ใหม่ของไข่เหล่านั้น

    ไข่ที่ได้รับ nucleus ใหม่เหล่านั้นจะถูกกระตุ้นด้วยสารเคมีที่เรียกว่า ionomycin เพื่อให้ทำการแบ่งตัว มันก็จะกลายเป็น cell ที่มีลักษณะเหมือนกับ skin cell ที่มันรับมา

    cloning ชนิดที่สามนี้มีผลจำกัด โดยจะมีไข่เพียง 3 ฟองจากทุกๆ 8 ฟองเท่านั้นที่แบ่งตัว และเพียง 1 ใน 3 ของไข่ที่แบ่งตัวเท่านั้นที่จะสามารถแบ่งตัวออกได้เป็น 6 ก่อนที่จะหยุดแบ่งตัว

    เป้าหมายหลักของ cloning ชนิดนี้คือการสร้าง cell ใหม่เพื่อรักษาโรค หรือทดแทนอวัยวะที่เสียหาย เช่น ใช้ทดแทน cell หัวใจ รักษาโรคหัวใจ มะเร็ง Alzheimer's ฯลฯ
    [​IMG]
    สรุปได้ว่าการ clone มนุษย์ยังไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นจริงในโลกทางกายภาพที่เรารู้จัก อย่างที่หนังวิทยาศาสตร์สร้างออกมา และมีการโต้แย้งทางด้านคุณธรรม และทางด้านจรรยาบรรณมากมายระหว่างนักวิทยาศาสตร์ด้วยกัน นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่สามารถ clone สัตว์ให้มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนต้นแบบออกมาได้จริง เท่าที่เป็นไปในขณะนี้เป็นเพียงการได้ลูกสัตว์ที่แลดูคล้าย แต่อ่อนแอกว่า มีลักษณะด้อยกว่า ป่วยง่าย แก่เร็ว อายุสั้น

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า จิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังมีการแปลงสภาพสองส่วนด้วยกัน โดยแปลงสภาพเป็นร่างกายเนื้อหนังส่วนหนึ่ง (อันได้แก่ Gene และ Chromosome) และแปลงสภาพเป็นอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนที่สองนี้นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้นับเอาว่าเป็นสิ่งที่จับต้องได้ มองเห็นได้ และเสมือนว่าไม่มีอยู่ แต่กลายเป็นเพียงส่วนที่พ่วงมากับลักษณะทางพันธุกรรมอื่นๆที่เขาวัดได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์

    หากเราให้ความสำคัญกับอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด เท่ากับร่างกายเนื้อหนังหรือลัษณะพันธุกรรมทางกายภาพ เราแทบจะกล่าวได้ว่า วิทยาศาสตร์ให้ความรู้เราเพียงครึ่งเดียว หรือเกินครึ่งไปหน่อยเดียวเกี่ยวกับการเป็นบุคคลตัวตนของเรา เพราะนักวิทยาศาสตร์วินิจฉัยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเราจากภาวะทางกายภาพของสมองและระบบประสาทที่เขารู้เห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าเท่านั้น

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า จิตวิญญาณปราศจากหน่วยนับ จิตวิญญาณไม่ได้อพยพออกจากร่างหนึ่งร่าง ไปสู่ร่างใหม่เพื่อจะดำเนินชิีวิตต่อไป หากแต่จิตวิญญาณสามารถแตกตัวออกไปได้ และถ่ายทอดไปสู่รูปกายได้เสมอ และเป็นไปอยู่ตลอดวันเวลาเสมือนอากาศที่เราหายใจร่วมกัน ปราศจากขอบเขต ปราศจากเจ้าของ การถ่ายทอดของจิตวิญญาณ คือ การถ่ายทอดข้อมูล-ความรู้ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด

    หากเราเข้าใจความหมายของคำว่าจิตวิญญาณได้อย่างแท้จริง เราจะตระหนักว่า รูปกายในวันนี้ หรือรูปกายที่เกิดจากการ cloning ไม่ใช่หีบห่อสำหรับจิตวิญญาณ จิตวิญญาณมีอยู่ในทุกอนูของสรรพสิ่ง จิตวิญญาณมีอยู่ในทุกอะตอม จิตวิญญาณมีอยู่ในทุกนิวเคลียส จิตวิญญาณมีอยู่ในทุกทุกเซลล์ จิตวิญญาณมีอยู่ในทุกโมเลกุล

    ความเป็นจิตวิญญาณของตัวเรา เป็นผลรวมที่ยิ่งใหญ่กว่าผลรวมของจิตวิญญาณของเซลล์นับล้านเซลล์รวมกัน และความเป็นจิตวิญญาณรวมของตัวตนรวม เป็นผลรวมที่ยิ่งใหญ่กว่าผลรวมของจิตวิญญาณของบุคคลย่อยๆรวมกัน

    พี่นักเขียนเข้าใจว่า หาก technology เกี่ยวกับ cloning สามารถไปถึงจุดที่ clone มนุษย์ขึ้นได้ใหม่อีกหลายตัวตนที่เสมอเหมือนกันหมดทุกตัวตน โลกทางกายภาพจะก้าวไปสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่นหรือมิติอื่น ที่จิตวิญญาณสามารถมาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังได้มากกว่าหนึ่งร่าง เช่นที่ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ในโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติว่า มิติอื่นๆ บุคคล 4 คนต่างบุคลิกภาพมีจิตวิญญาณประสานกันเป็นหนึ่งตัวตน หากเขาแนะนำตัว เขาจะบอกว่า ฉันคิือ เด็กชาย ก.-นาย ข.-นาง ค. และ นาย ง. ทุกตัวตนรู้เห็นตัวตนอีก 3 ตน และรับเอาเป็นตัวตนของเขาทั้งหมด

    โลกทางกายภาพที่เรารู้จัก ณ วันนี้ เป็นภพภูมิหรือมิติที่มีความเป็นเอกลักษณ์ด้วยการมีบุคคลตัวตนอันเป็นเอกลักษณ์ ตัวตนละหนึ่งคน แม้ฝาแฝดก็มีความแตกต่างกันไม่มากก็น้อย โลกนี้คงจะเป็นมิติที่เป็นลักษณะนี้ต่อไป จนกว่าจิตวิญญาณจะวิวัฒนาการไปสู่ภาวะที่การเป็นบุคคลตัวตนขยายตัวออกไป ครอบคลุมบุคลิกภาพตัวตนได้มากกว่าหนึ่งร่าง-หนึ่งตัวตนอย่างพร้อมมูล

    หากเราหันมาพิจารณาธรรมชาติความเป็นจริงข้อที่ว่า อดึต-ปัจจัุบัน-อนาคต มีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน โลกที่จิตวิญญาณถือกำเนิดเป็นหลายบุคคลตัวตนเหมือนๆกัน เช่น มนุษย์ที่ถูก clone ซึ่งดูเสมือนว่าเป็นอนาคตของโลกเรา ย่อมเป็นโลกที่กำลังมีอยู่เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกับโลกของเราอยู่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ผู้ทำการทดลองค้นค้วาเหล่านี้ ย่อมเป็นผู้ที่ได้รับถ่ายทอดข้อมูลความรู้เหล่านี้มาจากบุคคลตัวตนที่เป็นจิตวิญญาณเสมือนร่วมร่างแต่ต่างมิติในอดีต-และอนาคตของเขา

    สิ่งที่เป็นเพียงความฝัน และดูเสมือนว่าไม่มีวันเป็นจริง หรือไม่มีวันเป็นผลสำเร็จในโลก ณ ปัจจุบันนี้ แม้เราจะคิดว่ามันอาจจะกลายเป็นความเป็นจริง หรือเป็นผลสำเร็จได้ในอนาคต แต่ตามธรรมชาติที่ปราศจากช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา ทุกอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด คือภาวะที่จิตวิญญาณกำลังถ่ายทอดข้อมูลความรู้ ไปสู่มิติหนึ่งๆ โลกหนึ่งๆ ช่องว่างและกาลเวลาหนึ่งๆ และแปลงสภาวะเป็นบุคคล ตัวตน ประสบการณ์ และปรากฏการณ์ทั้งหลายในโลกนั้น มิตินั้น(rose)
     
  6. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    เรื่องการโคลนนิ่ง ตอนนั้นที่โคลนนิ่งแกะได้ที่ชื่อดอลลี่ รู้สึกว่าอายุมันจะสั้นกว่าแกะทั่วไป เพราะว่า(ถ้าจำไม่ผิด) ใน dna จะมีส่วนที่ควบคุมอายุของเซลอยู่ เมื่อเซลถูกแบ่งไปเรื่อยๆ dna ตรงส่วนนี้จะสั้นลงเรื่อยๆ การนำ dna จากสิ่งๆ นึงมาโคลนนิ่ง dna ตรงส่วนนี้ก็จะสั้นเหมือนกับต้นแบบ ดังนั้นอายุของสิ่งที่สร้างขึ้นมาจากการโคลนนิ่งจึงเหมือนนับอายุต่อจากต้นแบบ

    ส่วนร่างกายที่เกิดจากการโคลนนิ่งนั้นจะมีจิตวิญญาณดวงเดียวกันกับต้นแบบหรือเปล่านั้น ถ้าการเป็นฝาแฝดไข่ใบเดียวกัน ถือว่าเป็นการที่จิตวิญญาณมาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังมากกว่าหนึ่งร่าง การโคลนนิ่งก็น่าจะเป็นอย่างเดียวกัน เพราะการเกิดฝาแฝดจากไข่ใบเดียวกัน ผมถือว่าเป็นการโคลนนิ่งโดยธรรมชาติครับ(ผมถือนะครับ ไม่รู้ว่านักวิทยาศาสตร์เค้าถือหรือเปล่า) เพราะว่ามันก็เกิดจาก dna ชุดเดียวกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2008
  7. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ขอบคุณนะครับพี่นักเขียน วันนี้ได้ความรู้มากมายเลยครับ
    สรุปว่าสัตว์ที่ถูก Cloning แม้จะดูภายนอกว่าดูเหมือนกันก็ตาม แต่ก็มีความแตกต่างซ่อนอยู่ เช่นอายุสั้น อ่อนแอ มีความเสี่ยงต่อการพิกลพิการอยู่เหมือนกัน
    ขึ้นอยู่ที่เป้าหมายว่าทำไปเพื่ออะไรด้วยถ้าหากนำไปใช้ในแง่บวก เพื่อสร้างผลผลิตทางอุตสาหกรรม การรักษาพันธุ์สัตว์ที่จะสูญพันธุ์ การทดแทนอวัยวะที่สูญเสียและการรักษาโรคด้วยเทคนิค Stem cell ก็ถือเป็นเรื่องดีๆที่มนุษย์พยายามทำกันอยู่ ในอนาคตหากสามารถพัฒนาไปถึงจุดหนึ่งได้ กลับนำไปใช้ทางด้านที่ไม่เหมาะสมเช่น Cloning มนุษย์ไปทำกองทหาร หรือเลียนแบบบุคคลหน้าตาเหมือนผู้นำ หรือปลอมตัวไปโจรกรรมข้อมูลโลกคงยุ่งแน่ครับ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงโลกคงเปลื่ยนเส้นทางไปไกล เขื่อว่าไม่เกิดขึ้นแบบนั้นครับ

    ส่วนเรื่องจิตวิญญาณท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า..
    จิตวิญญาณปราศจากหน่วยนับ จิตวิญญาณไม่ได้อพยพออกจากร่างหนึ่งร่าง ไปสู่ร่างใหม่เพื่อจะดำเนินชิีวิตต่อไป หากแต่จิตวิญญาณสามารถแตกตัวออกไปได้ และถ่ายทอดไปสู่รูปกายได้เสมอ และเป็นไปอยู่ตลอดวันเวลาเสมือนอากาศที่เราหายใจร่วมกัน ปราศจากขอบเขต ปราศจากเจ้าของ การถ่ายทอดของจิตวิญญาณ คือ การถ่ายทอดข้อมูล-ความรู้ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด

    รูปกายในวันนี้ หรือรูปกายที่เกิดจากการ cloning ไม่ใช่หีบห่อสำหรับจิตวิญญาณ จิตวิญญาณมีอยู่ในทุกอนูของสรรพสิ่ง จิตวิญญาณมีอยู่ในทุกอะตอม จิตวิญญาณมีอยู่ในทุกนิวเคลียส จิตวิญญาณมีอยู่ในทุกทุกเซลล์ จิตวิญญาณมีอยู่ในทุกโมเลกุล

    ก็พ้องกับที่คุณซิปฯ บอกมา..คล้ายๆกับการดึงเอาส่วนขยายของจิตวิญญาณเดิมออกมาใช้ หรือแบ่งคลื่นความถี่ขึ้นมาใหม่โดยมีคุณสมบัติเทียบเท่าจิตวิญญาณเดิม หรือเอาเซลล์ตัวตนในขณะนั้นมาใช้ทำส่วนขยายของร่างกายใหม่ จึงเป็นไปได้ว่าอาจมีอายุสั้น และไม่แข็งแรงเท่าที่ควร พอเห็นภาพแล้วล่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2008
  8. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ผมว่าการโคลนนิ่งมันน่าจะเหมือนกับที่คุณ mead ว่าคือการเอาตัวตนในขณะนั้นมาใช้ทำส่วนขยายของร่างกายใหม่นะ

    ส่วนขยายใหม่นั้นจิตวิญญาณมันน่าจะมีอยู่แล้วล่ะ เพราะจากความเข้าใจของผม จิตวิญญาณมันก็เป็นโครงสร้างพื้นฐานซึ่งก่อให้เกิดอะตอม เพียงแต่ว่าจะมีเอ่อ... ใช้คำพูดไม่ถูก ถ้าจะให้พอเข้าใจก็คือวิญญาณ แต่ไม่ก็ไม่เชิงวิญญาณในมุมมองที่อ.อนาลัยสอน แต่เป็นวิญญาณที่เราเข้าใจกันล่ะกันว่าเป็นวิญญาณที่ออกมาจากร่างหลังจากตายแล้ว เพียงแต่ว่าจะมีวิญญาณจากไหนเข้าไปอยู่ วิญญาณเดิมจากร่างกายต้นแบบ?? ซึ่งก็คงไม่ได้เพราะอย่างที่พี่นักเขียนบอกว่า "โลกทางกายภาพที่เรารู้จัก ณ วันนี้ เป็นภพภูมิหรือมิติที่มีความเป็นเอกลักษณ์ด้วยการมีบุคคลตัวตนอันเป็นเอกลักษณ์ ตัวตนละหนึ่งคน" ดังนั้นก็น่าจะเป็นวิญญาณที่ยังไม่มีร่างกายกายเนื้อมาอยู่ หรือนอกจากคนนั้นจะสามารถมีตัวตนได้มากกว่าหนึ่ง
     
  9. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ไหนๆวันนี้ก็พูดกันเรื่องโคลนนิ่งแล้ว เอาอีกเรื่องนึงแล้วกันนะครับ
    เรื่องน่าสนใจอีกเรื่องเกี่ยวกับการค่ากำหนดค่าอายุขัยของมนุษย์เรา ซึ่งมีรหัสเส้นใยเกลียวแม่เหล็กที่แฝงเร้นอยู่ในนิวคลิโอไทด์ของ DNA ครับ แต่อาจจะหมดอายุก่อนกำหนดก็ได้ถ้าเราไม่ดูแลร่างกายจิตใจให้ดี..
    นำเรื่องนี้มาให้ศึกษากันครับ อาจารย์ปริญญา ตันสกุล บอกไว้ว่า อายุขัยของมนุษย์ถูกกำกับไว้อุปกรณ์ที่เรียกว่า Digitalis ที่เร้นอยู่ในเซลล์ร่างกายมนุษย์ (ตามรูปตัวอย่าง) นักวิทยาศาสตร์จะค้นพบในอนาคต อาจารย์เค้าว่าอย่างนั้น

    [​IMG]

    Digitalis นี่มีอยู่ในทุกๆเซลล์โดยในแต่ละเซลล์จะมีอยู่ 12 แท่งเรียงต่อกัน
    เป็นแท่งที่ทำจากสารโปรตีน DNA ข้างหนึ่งจะเป็นบวก(+) อีกข้างจะเป็นลบ (- )
    มีเส้นใย RNA พันรอบแท่ง DNA ตามเข็มนาฬิกา
    กำหนดอายุขัยของมนุษย์เฉลี่ย 100 ปี
    เส้นใย RNA พันรอบแท่ง DNA ข้างละ 50 รอบ
    ขั้วต่างทางไฟฟ้าถูกกำกับไว้ด้วยสนามแม่เหล็ก มีการป้อนรหัสข้อมูลเป็นประจุไฟฟ้าบวก (+) และลบ (-) สามารถรับรู้ข้อมูลต่างๆจากภายนอก-ภายในและสัมพันธ์กับสนามแม่เหล็กโลกอยู่ทุกขณะตลอดเวลาแม้ยามหลับ

    อาจารย์ย้ำว่าเรื่องอายุยืน-อายุสั้น ของเครื่องยนต์แห่งกรรมนี้เป็นเรื่องของมายา ไม่ใช่แก่นแท้ ในอนาคตมนุษย์จะมีอายุยืนยาวขึ้นตามรหัสใหม่ของสนามแม่เหล็กโลกที่กำกับโดยแท่ง Digitalis ซึ่งครั้งหนึ่งเหมือนที่ผู้นำแอตแลนตีส ที่รู้จักวิธีเข้าไปแก้ไขเส้นใย RNA ทำให้มีอายุยืนได้คราวละ 7 ปี
    อาจารย์เอาความลับมาบอกก่อนเพราะรหัสเก่านี้กำลังจะถูกยกเลิกแล้ว
    เรื่องราวน่าสนใจดีนะครับ :cool:
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    [​IMG]

    เห็นคุณประสงค์ส่งรูปเข้ามา..
    นานๆจะเข้ามาพูดคุยทีเพราะพิมพ์ไม่เก่ง แต่ฝีมือวาดรูปไม่เบาเลยนะครับ
    จัดว่าสัดส่วนและภาพรวมดีที่เดียวครับผ้ม..เดี๋ยวพรุ่งนี้วาดต่อดีกว่า เอาใครดี?

    (good)(good)(good)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2008
  11. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    วันนี้หัวหน้าห้องพาพวกเราเข้าสู่บทเรียนทางวิทยาศาสตร์เลยเน๊อะ.. ดีค่ะ ถ้าหากมนุษย์โลกมีความสามารถเลียนแบบธรรมชาติได้ขนาดนั้น สงสัยพวกเราคงเข้ายุคของการปรับความสมดุลย์ธรรมชาติครั้งยิ่งใหญ่แน่เลยค่ะ อาจจะเหมือนยุคแอตแลนตีสรึอาจจะหนักกว่านั้นก็เป็นได้ แล้วยังงี้พวกเราจะทำงัยกันดีคะคุณ Mead อิอิ..
    (one-eye)
     
  12. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    คุณ Mead ลองวาดนางแบบของพี่นักเขียนให้เป็นชาวต่างชาติให้ดูหน่อยจิ เนี่ยเมื่อคืนขจรวรรณก็กลับไปวาดมาอีกครั้ง คราวนี้เป็นผู้หญิงแล้วล่ะ แต่เป็นคนไทยเหมือนคุณประสงค์เลยค่ะ..:cool:
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2008
  13. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    [​IMG][​IMG]

    วาดให้เป็นฝรั่งเหรอครับ...ลองมาเทียบกันดู อิอิ
    [​IMG]

    รูปนี้เหมือนฝรั่งมั๊ยครับ... คุณขจรวรรณ :cool:
    ที่วาดมาเหมือนแล้วนะ..ใส่ตาสีฟ้าๆ ผมสีน้ำตาลล่ะก็ใช้ได้เลยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 25213.jpg
      25213.jpg
      ขนาดไฟล์:
      19.7 KB
      เปิดดู:
      637
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2008
  14. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    วาดกันสนุกจังเลย ช่วงนี้ยุ่งมาก เมื่อวานก็ไปประชุมที่ศรีราชา นี่ไม่รู้ว่าต้องไปทุกวันพฤหัสหรือเปล่า แง่วเลย
    คอมที่บ้านก็เจ๊งอีกแล้ว แต่ช่วงนี้ไม่มีอารมณ์จะจัดการมันก็เลยทิ้งเอาไว้ก่อน
    วันก่อนนู้นลองวาดรูปกลับหัว รู้สึกว่ากว่าจะวาดให้มันจบ หงุดหงิดมาก เหมือนไม่ได้ดั่งใจซะที เป็นอะไรที่รู้สึกฝืนใจมากเวลามานั่งวาดรูป
    อารมณ์ผิดกับครั้งแรกที่วาดรูปเหมือนตัวเองเลย หรือเพราะช่วงนี้เครียด ๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้ เลยไม่อยากวาด ยิ่งวาดยิ่งหงุดหงิด

    เลยอยากถามพี่นักเขียนว่าการที่เราไม่ชอบวาดรูปนี่เป็นเพราะอารมณ์เราไม่ปกติหรือเปล่าค่ะ แต่รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ทำแล้วไม่ใช่ตัวเองเลย
    ทั้ง ๆ ที่เคยฝันนะว่าตัวเองวาดรูปเหมือนออกมาได้เหมือนมาก เครียดจังวันนี้กลับไปร้องคาราโอเกะดีกว่า
     
  15. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    สงสัยช่วงนี้น้องนกยังค่อยไม่จดจ่อกับการวาด
    ต้องไว้วาดตอนที่อยากวาดสิครับ รับรองวางดินสอไม่ลงแน่
    เออแต่ขาด น้องลูกเกด [wp-ivory] ไปคนนะเนี่ย รายนี้ชอบวาดรูปมากๆ
    ไม่รู้ช่วงนี้หายไปไหนซะแล้ว..พวกเรามาช่วยกันตามหน่อยครับ
    เจอเวปที่เค้าวาดรูปกันลองไปดูกันครับ
    http://www.stars-portraits.com/en/gallery.php
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2008
  16. ประสงค์.

    ประสงค์. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +793
    ขอบคุณครับ คุณ Mead ผมไม่วาดรูปมานานแล้วครับ ตั้งแต่จบ มศ.5 ปี2516 ไม่เคยคิดว่าจะวาดรูปคนได้เลย พอทำตามพี่นักเขียนสอนรู้สึกสนุกกับการวาดรูปมากขึ้นครับ
     
  17. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    โลกภายใน vs โลกภายนอก

    สมองซีกซ้ายใช้สัญญลักษณ์ทดแทนทุกสิ่งทุกอย่างที่มันรู้เห็น สมองซีกซ้ายวาดภาพตามที่มัน-คิดว่าเห็น

    สมองซึกขวาไม่ใช้สัญญลักษณ์ทดแทนทุกสิ่งทุกอย่างที่มันรู้เห็น สมองซีกขวาวาดภาพตามที่มัน-เห็น

    สมองซีกซ้ายเป็นซีกที่มีอิทธิพลสูงในโลกทางกายภาพ เนื่องจากสมองซีกซ้ายทำหน้าที่รู้เห็นโลกภายนอก หรือโลกทางกายภาพ ผ่านประสาทสัมผัสภายนอกหรือประสาทสัมผัสทั้งห้า สมองซีกซ้ายยึดติดกับความเชื่อในช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา ยึดติดกับความเชื่อในภาวะทางกายภาพและแรงดึงดูดของโลก ยึดติดกับการเป็นบุคคลตัวตนอันจำกัด-เพียงร่างเดียว ตัวตนเดียว สมองเดียว ความจำชุดเดียว จนกระทั่งมันไม่สามารถรู้เห็นส่ิงที่อยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์อันจำกัดของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาและภาวะอื่นๆนอกเหนือภาวะทางกายภาพได้

    สมองซีกขวาเป็นซีกที่มีอิทธิพลต่ำในโลกทางกายภาพ เนื่องจากสมองซีกขวาทำหน้าที่รู้เห็นโลกภายใน หรือโลกทางจินตภาพผ่านประสาทสัมผัสที่หก หรือประสาทสัมผัสภายใน สมองซีกขวาอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา อยู่นอกเหนือภาวะทางกายภาพและแรงดึงดูดของโลก สมองซึกขวาจึงรู้เห็นส่ิงที่อยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์อันจำกัดของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาและภาวะอื่นๆนอกเหนือภาวะทางกายภาพได้ ตลอดจนรู้เห็นการเป็นบุคคลตัวตนหลายร่าง หลายสมอง หลายความจำ หรือหลายมิติ

    สมองซึกซ้าย คืออวัยวะส่วนที่แสดงออกถึงภาวะของสติสัมปชัญญะของตัวตนภายนอก

    สมองซึกขวา
    คืออวัยวะส่วนที่แสดงออกถึงภาวะของสติสัมปชัญญะของตัวตนภายใน

    --------------------------------

    การที่น้องนกรู้สึกอึดอัดกับการวาดภาพ เกิดจากการที่สมองซีกซ้ายพยายามควบคุมตามวิถีทางที่มันคุ้นเคยต่อโลกภายนอก สมองซีกซ้ายพยายามที่จะมีอิทธิพลเหนือสมองซีกขวาเสมอ ด้วยความเชื่อที่มันมีต่อโลกภายนอกว่า เป็นโลกเพียงโลกเดียวที่มีอยู่ มันจึงข่มสมองซีกขวาซึ่งเงียบ ปราศจากคำพูด ปราศจากวิตกวิจารณ์และปราศจากการต่อต้านทั้งปวง

    สติสัมปชัญญะของตัวตนภายนอกหรือสมองซีกซ้ายจะอ่อนอิทธิพลลง ก็ต่อเมื่อมันเผชิญกับสถานการณ์ที่มันไม่อาจจะรับมือต่อไปได้ด้วยความเชื่อในทิศทางของมัน และเมื่อเผชิญกับกิจกรรมที่มันปราศจากความรู้ อันได้แก่กิจกรรมวาดภาพ ซึ่งต้องใช้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมที่ปราศจากคำพูด ปราศจากลำดับตามเส้นทางแห่งกาลเวลา ซึ่งสมองซีกขวาปราศจากความรู้ความสามารถและทักษะ

    พี่นักเขียนนำกิจกรรมวาดภาพมาให้พวกเราทดลองทำกัน โดยหวังว่าจะทำให้พวกเราสามารถปิดการทำงานของสมองซีกซ้าย หรือปิดการทำงานของสติสัมปชัญญะของตัวตนภายนอกได้ไม่มากก็น้อย และเรียนรู้ที่จะใช้งานสมองซีกขวา หรือเปิดการทำงานของสติสัมปชัญญะของตัวตนภายในได้

    --------------------------------

    พวกเราพยายามวาดภาพเหมือนจากบุคคลต้นฉบับเดียวกัน แต่สิ่งที่เราค้นพบคือ เราแต่ละคนไม่อาจวาดภาพเหมือนจากต้นฉบับได้เหมือนกันหมด ภาพวาดของเราแต่ละคนสะท้อนให้เห็นอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดอันเป็นเอกลักษณ์จำเพาะของแต่ละคน

    นอกจากนี้ผู้ที่วาดภาพจากต้นฉบับเดิมซ้ำสองครั้งหรือมากกว่านั้น ยังพบอีกว่า เราไม่สามารถวาดภาพเหมือนจากต้นฉบับเดียวกันได้ซ้ำสอง ทำไมภาพเหมือนแต่ละภาพที่เราวาดเองแท้ๆ จึงแตกต่างกันไปอีก ? มันได้แตกต่างเพียงงเพราะเราพยายามที่จะวาดให้ได้ดีขึ้น หรือเหมือนมากขึ้นเท่านั้น หากแต่ว่าทุกครั้งที่เรามองเห็นภาพถ่ายต้นฉบับ แม้จะมองเห็นภาพเดิม แต่เราก็มองเห็นบางสิ่งบางอย่างลแตกต่างไปทุกครั้ง ทำให้เราเก็บรายละเอียดได้แตกต่างไป

    หากเราพิจารณาถึงภาวะของสมองซีกขวา หรือสติสัมปชัญญะของตัวตนภายใน ที่รู้เห็นโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ อันเป็นภาวะจิตของเรา สมองซีกขวามีข้อมูลความรู้และความทรงจำที่ครอบคลุมการเป็นบุคคลตัวตนของเรา มากกว่าหนึ่งร่าง มากกว่าหนึ่งบุคคลตัวตน กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า สมองซีกขวามีข้อมูลความรู้และความทรงจำที่ครอบคลุมทุกชาติภพ ซึ่งหมายถึง-ทุกเส้นทางแห่งความเป็นไปได้

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ในหนังสือ โนวา อนาลัยขยายความ ธรรมชาติของชาติภพ และหนังสือ โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติว่า ร่างกายตัวตนของเราไม่ได้อยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ตลอดวันเวลา หากแต่กะพริบ-เกิด-ดับ-อยู่ทุกขณะจิต โดยกะพริบดับที่โลกนี้-มิตินี้ แล้วไปกะพริบเกิดที่โลกอื่น-มิติอื่น เสมือนไฟประดับดวงเล็กๆที่รวมกันหลายร้อยหลายพันดวง กะพริบดับ ณ จุดหนึ่ง ก็ไปกะพริบสว่าง ณ อีกจุดหนึ่ง เพราะจิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสู่โลกอื่น มิติอื่น ภพภูมิอื่น หรือชาติภพอื่น พร้อมกันหมดทุกแห่งหนตลอดวันเวลา ไม่เคยหยุด

    เราจะพบว่า ณ ขณะจิตหนึ่ง เรามองดูภาพถ่ายต้นฉบับ เราวาดภาพออกมาด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของการเป็นบุคคลตัวตน ณ ขณะจิตนั้น และภาพวาดของเราก็จะสะท้้อนให้เห็นบุคลิกภาพหรือภาวะจิตของจิตวิญญาณ ที่เราเป็นบุคคลตัวตนนั้นๆ

    หากเราวาดภาพจากต้นฉบับภาพถ่ายเดิมอีกครั้ง ไม่ว่าจะวาดในเวลาใกล้ๆกัน หรือห่างกันหลายวันก็ตาม เราจะวาดภาพออกมาด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของการเป็นบุคคลตัวตน ณ อีกขณะจิตหนึ่ง และภาพวาดของเราก็จะสะท้้อนให้เห็นบุคลิกภาพหรือภาวะจิตของจิตวิญญาณ ที่เราเป็นบุคคลอีกตัวตนหนึ่ง

    ภาพวาดสองภาพ หรือมากกว่านั้นของเราจึงไม่อาจจะเหมือนกันได้อีกเลย เพราะสติสัมปชัญญะของการเป็นบุคคลตัวตน ณ ขณะจิตหนึ่งๆ เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาตามการเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณ ที่รวดเร็วกว่าความเร็วของแสง

    ------------------------------------

    คุณ VeggieGuy และคุณน้องขจรวรรณพบว่า ตนเองไม่สามารถวาดภาพเหมือนจากต้นแบบที่เป็นภาพถ่ายฝรั่ง ให้ดูเหมือนฝรั่งได้ ส่วนพี่นักเขียนมักจะมีปัญหาวาดภาพเหมือนจากต้นแบบที่เป็นภาพถ่ายคนไทยให้เหมือนคนไทยไม่ค่อยจะได้ แม้จะวาดการ์ตูน คุณ zip ก็ทักว่าพี่นักเขียนวาดออก Style ฝรั่ง และตั้งขอสังเกตว่า style เหล่านี้มาจากไหน? เช่น มาจากอิทธิพลของสื่อ หรือมาจากความนิยมของผู้วาด

    พี่นักเขียนเติบโตในเมืองไทย กว่าจะย้ายมาอยู่อเมริกาก็เรียนจบปริญญาตรีแล้ว แต่หากย้อนกลับไปดูภาพวาดสมัยเด็กๆของตนเอง ซึ่งแม้จะชอบอ่านการ์ตูนหนูจ๋า และชอบการ์ตูนของคุณประยูร จรรยาวงศ์ ก็พบว่าไม่เคยวาดภาพ style ไทยได้เลยแม้จะพยายามวาดตามศิลปินไทยเหล่านั้น

    หลายปีมาแล้ว ก่อนหน้าที่พี่นักเขียนจะหันมายึดอาชีพศิลปินและวาดภาพระบายสี พี่นักเขียนวาดภาพระบายสีิไม่เป็นเลย แต่อยากจะเป็นมาก ทดลองวาดไปได้เพียงภาพเดียว ก็ต้องแอบเอาไปเก็บในลิ้นชักทันทีที่สีแห้ง วาดบนผ้าไบเสียด้วยสิคะ จะฉีกทิ้งก็ฉีกไม่ได้ จะทำลายก็รู้สึกเสียของ จะทิ้งถังขยะก็ยังอายว่า คนเก็บขณะอาจจะเห็นเลยค่ะ

    คืนหนึ่งฝันว่าไปพบอาจารย์ผู้หญิงท่านหนึ่งในที่ประชุม ที่มีผู้คนมาชุมนุมหนาแน่นเพื่อชมงานภาพวาด อาจารย์ท่านนั้นเดินตรงมาชี้หน้าพี่นักเขียนและพูดว่า เธอคือศิลปินชาวกรีก ชื่อ ลาบูร์ พอได้ยินดังนั้น สติสัมปชัญญะยามตื่นซึ่งจดจ่ออยากจะวาดภาพระบายสีรู้สึกตื่นเต้นดีใจ เลยถามในใจว่า ฉันเป็นศิลปินในชาติภพใด ขอรู้เห็นความสามารถของฉันในตัวตนนั้น ขอรู้เห็นว่า ลาบูร์ วาดภาพอะไร และใช้สีอะไรวาด

    ในความฝันเมื่อตั้งคำถามดังกล่าวออกไป พี่นักเขียนพบว่า ตนเองถือพู่กันรูปร่างประหลาดด้วยมือขวา และมือซ้ายก็มีสีน้ำตาลไหม้ที่เหนียวเหมือนโคลนเปื้อนอยู่ และเห็นภาพวาดมากมายวางเกลื่่อนกลาดไปหมด และตระหนักว่าเป็นผลงานของตนเอง หรือตัวตนอีกตัวตนของพี่นักเขียนที่ชื่อ ลาบูร์

    ตื่นขึ้นมาตอนเช้า พี่นักเขียนจดจำภาพวาดในความฝันได้แม่นยำราวกับเคยวาด เคยเห็นจนเจนตา แต่จนแล้วจนรอดก็วาดภาพไม่ได้ เพราะสี Acrylic ที่ใช้มันไม่เหมือนความรู้สึกในฝัน พู่กันที่ใช้ก็ไม่ถนัดมือ ตกบ่ายเผลอเอามือไปเท้าลงบนกาแฟ espresso ที่หยดอยู่บนโต๊ะมาตั้งแต่เช้าจนเกือบแห้ง รู้สึกถึงความเหนียวที่สัมผัสในความฝัน และระลึกถึงรายละเอียดอื่นๆมากมายในความฝัน ตั้งแต่พู่กันรูปร่างประหลาดและภาพวาดทั้งหมด

    พี่นักเขียนรีบวิ่งแจ้นไปเอาพู่กันที่มีอยู่ด้ามหนึ่งมา แล้วเอากรรไกรตัดให้เหมือนรูปร่างในความฝัน เสี่ยงมากเลยค่ะ เพราะเป็นพู่กันทำด้วย Sable แพงน่าดู วาดภาพยังไม่ยักกะเป็น ซื้อพู่กันแพงแล้วยังเอากรรไกรมาตัดเสียอีก... อย่าเพิ่งทำตามนะคะ

    จากนั้นพี่นักเขียนเลยเอากาแฟ espresso ไปกลั่นจนเข้มข้น-เหนียวเหมือนน้ำมัน แล้วนำมาทดลองใช้วาดภาพแทนสี Acrylic แล้วก็ใช้พู่กันรูปร่างประหลาดที่ตัดเอง ลงมือวาดภาพตามความฝัน ปรากฏว่ารู้สึกถนัดมืออย่างประหลาด ภาพแรกที่วาดทันทีที่กาแฟหายร้อน เป็นภาพอาจารย์ผู้หญิงที่มาเข้าฝัน และเรียกพี่นักเขียนว่า ลาบูร์
    [​IMG]

    พี่นักเขียนเคย search internet แล้วพบว่ามีหมอสอนศาสนาชาวกรีกเป็นศิลปินที่มีชีวิตอยู่ในสมัยศตวรรษที่ 14 ชื่อ La Beau แต่ไม่มีผลงานให้เห็นค่ะ เลยไม่สามารถจะพิสูจน์ข้อมูลได้มากไปกว่าที่ฝัน

    หลังจากนั้น 2 เดือนพี่นักเขียนผลิตผลงานออกมากว่า 40 ชิ้น วางตากเต็มบ้านเลยค่ะ วันหนึ่งมีเพื่อนซึ่งเป็น Professor สอนคณะ Fine Arts มาเยี่ยมที่บ้าน เขาเห็นภาพวาดเหล่านั้นแล้วทักว่า ไปเอามาจากไหนมากมาย? พี่นักเขียนบอกว่าวาดเอง เขาร้องทักว่า ตายจริง นึกว่าเป็นภาพ Raphaelite เสียอีก

    พี่นักเขียนไม่รู้จักหรอกค่ะว่า Raphaelite คืออะไร จนเพื่อนต้องอธิบายให้ฟังว่า เป็น style การวาดภาพของศิลปินชื่อ Raphael ซึ่งเป็นศิลปินชาวอิตาเลียนและเป็นสถาปนิกด้วย เขามีชีวิตอยู่ในสมัย High Renaissance หรือสมัยที่ศิลปะยุคเรเนซองกำลังเฟื่องฟู ซึ่งเป็นสมัยศตวรรษที่ 14 - สมัยเดียวกับ La Beau

    ภาพ Portrait วาดโดย Raphael
    [​IMG]

    เพิื่อนของพี่นักเขียนคะยั้นคะยอให้พี่นักเขียนนำผลงานออกแสดง โดยติดต่อ Gallery แห่งหนึ่งในเมือง Lawrence ให้ หลังจากผ่านการคัดเลือกติชมของคณะกรรมการ ในที่สุดพี่นักเขียนก็เลยได้มีโอกาสนำผลงานออกแสดงต่อสาธารณะชนเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2005

    ณ วันนี้ พี่นักเขียนหันมายึดอาชีพวาดภาพระบายสีิ และรับวาดภาพเหมือน
    พี่นักเขียนเต็มใจที่จะแชร์กับพวกเราเกี่ยวกับการวาดภาพ ไม่ใช่เพียงเพราะว่า การวาดภาพเป็นงานที่สนุกและให้ผลตอบแทนสูง แต่เป็นเพราะว่า ภาวะของสติสัมปชัญญะที่เราจิตวิญญาณเปลี่่ยนวิถีไปจดจ่อ ในขณะวาดภาพนั้น เป็นภาวะเดียวกันกับที่ทำให้พี่นักเขียนสามารถรู้เห็นโลกภายใน และรับข้อมูลความรู้ หรือติดต่อสื่อสารกับองค์ความรู้ที่พี่นักเขียนเรียกว่า ท่านอาจารย์อนาลัยได้


    หวังว่าพวกเราคงจะสนุกกับการวาดภาพต่อไป
    ขอเอาใจช่วยน้องนก อย่าเพิ่งท้อแท้กับสมองซีกซ้ายที่กำลังต่อสู่เอาอิทธิพลของมันคืนไปจากสมองซีกขวานะคะ
    ลองฝันขอย้ายฐานจอมบู๊ผู้พิทักษ์-จากสมองซีกซ้าย-ไปขวา น่าจะได้ผลค่ะน้องนก (rose)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. VeggieGuy

    VeggieGuy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    3,942
    ค่าพลัง:
    +4,262
    drawing book

    เรื่องราวความเป็นมาของความเป็นศิลปินของพี่นักเขียน
    อ่านไปก็ตื่นเต้นไปครับ
    หันมาดูตัวเอง ที่จริงแล้วก็มีแววศิลปินตั้งแต่เด็กเลยนะครับ
    ตอนอยู่ชั้นมัธยมต้นก็เคยถูกส่งเป็นตัวแทนของโรงเรียนประกวดวาดภาพระดับจังหวัด (แต่ก็ไม่ได้รางวัล) และผลงานวาดรูปวิชาศิลปะก็เคยถูกเอาไปติดโชว์ที่บอร์ดของโรงเรียนครับ แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ฝึกฝนต่อ
    มันเป็นเหมือนแค่ความสามารถส่วนหนึ่งของคนที่มีความสามารถหลากหลาย (ไม่ได้หลงตัวเองนะครับ)
    แต่ว่าตอนนี้จะเริ่มฝึกแล้วครับ
    หลายวันก่อนไปร้านหนังสือ เจอหนังสือสอนวาดภาพเหมือน เลยซื้อมา 2 เล่ม
    อย่างน้อยน่าจะปูพื้นฐาน (ที่ขาดหาย) ได้บ้าง ประกอบกับคำแนะนำของพี่นักเขียน
    เอามาอวดให้ดู 1 เล่มก่อนครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2008
  19. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    อารมณ์นี้ของจินตวดีต้องบอกว่าสุดยอดค่ะ ประวัติคุณวิกกี้กาย คล้าย ๆ ของ จินตวดี ตอนประถมเกือบถูกส่งไปเป็นตัวแทนของโรงเรียนวาดภาพเหมือนกัน แต่คุณพ่อปฏิเสธไป ท่านไม่อยากให้เรากลับเย็น (ต้องฝึก) หลังจากนั้นก็ไม่ได้ฝึกต่อเช่นกัน ตอนนี้ก็เริ่มฝึกใหม่ เมื่อหลายวันก่อนดิฉันก็ได้ไปร้านหนังสือเจอหนังสือวาดภาพเหมือน 2 เล่ม (เล่มเดียวกับของคุณเลย) อยากซื้อมาก แต่ในใจบอกว่า "ไม่จำเป็น เธอฝึกเองได้" (จริง ๆ) เลยโดดไปซื้อ หนังสือของคุณริชชี่แทน
    แปลกจริง ๆ หลายครั้ง ที่ดิฉันเห็นสี แผ่นเฟรมผ้าใบ พู่กัน และภาพวาด หลายครั้งที่จินตวดีบอกกับตัวเองว่า "นี่ต่างหากที่เป็นตัวตนของฉัน" และรู้สึกเหมือนตัวเองวาดภาพเก่งมาก (โดยเฉพาะภาพธรรมชาติ) แต่พอเริ่มลงมือวาด กลับดูไม่ได้ ลงสีไม่ได้ ต้องทิ้งไปทุกครั้ง เมื่อวันเด็กที่ผ่านมา จินตวดีได้เพ้นกระถาง เป็นภาพน้ำตก ดูแล้วรู้สึกพัฒนาฝีมือขี้นบ้าง แต่ไม่ถูกใจ จนคืนเมื่อวานกลับฝันว่าได้ไปยืนดูภาพวาดบนฝาผนังภาพหนึ่ง เป็นภาพน้ำตก สวยมาก ในฝันมองเห็นถึงการใช้สี และเส้นสายน้ำตกอย่างชัดเจน ในขณะนั้น จินตวดีบอกตัวเองว่า เธอต้องวาดเป็นเสกลอย่างนี้ ใช้สีอย่างนี้นะ มันคมชัดมาก ตอนนี้เลยกำลังคิดจะวาดภาพน้ำตกในฝันก่อน (กลัวลืม)
    ส่วนภาพเหมือนขอเวลาอีก 1 - 2 วันค่ะ ช่วงนี้ทำทัวร์ทุกวัน พอกลับถึงบ้านกว่าจะเลี้ยงสุนัขครบ 5 ตัว แทนจะหลับคาโซฟาเลยค่ะ(eek)
     
  20. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    พวกเราเหมือนจิ๊กซอว์เลยนะคะ คนหนึ่งเป็นอีกส่วน (ความคล้าย) ของอีกคนหนึ่ง ต่อ ๆ กันไป สนุกดีจัง
     

แชร์หน้านี้

Loading...