จิตวิปลาส

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย จิตสิงห์, 29 ธันวาคม 2014.

  1. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    มหาวรรค วิปัลลาสกถา
    นิทานบริบูรณ์

    [๕๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส ๔ ประการ
    นี้ ๔ ประการเป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสำคัญผิด (แปรปรวน) ความคิดผิด ความเห็นผิด ในสภาพที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ในสภาพที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ในสภาพที่มิใช่ตัวตนว่าตัวตน ในสภาพที่ไม่งามว่างาม ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส ๔ ประการนี้แล ฯ

    [๕๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิป-
    *ลาส ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสำคัญไม่ผิด
    ความคิดไม่ผิด ความเห็นไม่ผิด ในสภาพที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง ในสภาพที่เป็น
    ทุกข์ว่าเป็นทุกข์ ในสภาพที่มิใช่ตัวตนว่ามิใช่ตัวตน ในสภาพที่ไม่งามว่าไม่งาม
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ๔ ประการ
    นี้แล ฯ

    วิปลาสแต่ละลักษณะ มีทั้งสิ้น 4 ประเภท คือ

    วิปลาสในสิ่งที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง

    วิปลาสในสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข

    วิปลาสในสิ่งที่ไม่เป็นตัวตน ว่าเป็นตัวตน

    วิปลาสในสิ่งที่ไม่งาม ว่างาม ดังคำว่าของเหม็นบางชนิดออกฤทธิ์เป็นของหอม โลกนี้วิจิตรสวยงามดุจราชรถ
     
  2. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    วิปลาส ๑๒ อย่าง คือ

    ๑. สัญญาวิปลาส จำผิดว่ารูปเป็นของงาม พระอนาคามีจึงละได้

    ๒. สัญญาวิปลาส จำผิดว่าเวทนาเป็นสุข พระอรหันต์จึงละได้

    ๓. สัญญาวิปลาส จำผิดว่าจิตเที่ยง พระโสดาบันจึงละได้

    ๔. สัญญาวิปลาส จำผิดว่าธรรมเป็นตัวตน พระโสดาบันจึงละได้

    ๕. จิตตวิปลาส คิดผิดว่ารูปเป็นของงาม พระอนาคามีจึงละได้

    ๖. จิตตวิปลาส คิดผิดว่าเวทนาเป็นสุข พระอรหันต์จึงละได้

    ๗. จิตตวิปลาส คิดผิดว่าจิตเที่ยง พระโสดาบันจึงละได้

    ๘. จิตตวิปลาส คิดผิดว่าธรรมเป็นตัวตน พระโสดาบันละได้

    ๙. ทิฏฐิวิปลาส เห็นผิดว่ารูปเป็นงาม พระโสดาบันละได้

    ๑๐. ทิฏฐิวิปลาส เห็นผิดว่าเวทนาเป็นสุข พระโสดาบันละได้

    ๑๑. ทิฏฐิวิปลาส เห็นผิดว่าจิตเที่ยง พระโสดาบันละได้

    ๑๒. ทิฏฐิวิปลาส เห็นผิดว่าธรรมเป็นตัวตน พระโสดาบันละได้
     
  3. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    นมัสการหลวงพี่สิงห์

    เคยได้ยินใครว่า พระอรหันต์ไม่ฝันแล้ว
    ไปอ่านเจอคำสอน มีจริงด้วย พระอเสขะไม่ฝันเพราะละวิปลาสได้หมด

    แต่จริงหรือเปล่าไม่รู้
     
  4. bschaisiri

    bschaisiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +106
    ถามที่ครับ จิตวิปราสนี้มันเกี่ยวกับใจด้วยใหมครับ

    ข้ามมันไปได้ แล้วมันจะมีอาไรต่อไปอีกครับ

    ดูท่าคนอยากจะมีความสุขนี้มันยากนะครับ
     
  5. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    ใจในที่นี้หมายถึง อารมณ์ที่จิตรู้รึเปล่า เป็นฝ่ายนาม

    ถ้าใช่ก็เป็น เจตสิก มีธรรมชาติไม่เที่ยงเช่นกัน

    ย่อมคลายความเห็นผิด


    ความสุขมี ๒ อย่าง

    สุขจากกามคุณ และ สุขไม่อิงกามคุณ

    ส่วนนิพพานไม่มีสุข จึงเป็นสุขอย่างยิ่ง
     
  6. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    จริง.
     
  7. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    สาธุครับ

    การนำเอาพระพุทธพจน์มาสอนนี้สิ เรียกว่าของจริง น่าสรรเสริญครับ อยากให้พุทธศาสนิกชน ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆาราวาส เมื่่อจะกล่าวธรรมะก็ควรเอา คำสอนที่เป็นพุทธพจน์มาขึ้นก่อน ส่วนจะขยายความอย่างไรค่อยว่ากัน

    ครับ สาธุ
     
  8. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    เรื่องการขยายพุทธพจน์ก็ต้องระมัดระวัง ควรศึกษาอรรถกถาควบคู่กันไปด้วย

    จะได้ไม่ตีความคลาดเคลื่อนผิดพุทธประสงค์ หรือตีความเข้าทิฏฐิตน อันจะเป็นสัทธรรมปฏิรูปได้
     
  9. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...................คิดว่า ศาสนา พุทธ ไม่ได้ปิดกั้นการ ไต่ถาม สอบถาม ทบทวน เรียนรู้ ศึกษา แจกแจง อรรถ ถามผู้รู้ แสดงความเห็น ว่า อรรถ นี้ หมายความว่าอย่างไร? ควรปฎิบัติ อย่างไร? :cool:
     
  10. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    ถูกแล้ว พุทธศาสนามิได้ปิดกั้น

    แต่พุทธพจน์นั้น การจะตีความให้เข้าใจตรงตามพุทธประสงค์ นั้น

    อาจไม่ใช่ภูมิปุถุชนจะอธิบายโดยง่าย ต้องศึกษาและเข้าใจสภาวะธรรมพอสมควร

    ซึ่งอรรถกถาจารย์ได้ขยายไว้คู่กันมากับพุทธพจน์ ตั้งแต่พุทธกาล
     
  11. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    ทีนี้ ถ้าตีความผิด อาจทำให้โต้เถียง เอาทิฏฐิตนเป็นที่ตั้ง เสี่ยงสัทธัมปฏิรูปได้

    ถามนะ ที่จริงแล้ว จิตเที่ยง หรือ จิตวิปลาส หนอ
     
  12. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    มาซ้อม มาซ้อม อึ๊ดดดดดชึ !

     
  13. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ซ้อมแล้ว มา ดู อัดถูกถลา
    [ คำพระ หน่าคร้าบ พระ กับ พระ คงไม่ใช่ปัญหา ....ถ้าเห็น คำ พระ แล้ว
    สัญญาคลาดเคลื่อนเห็นเป็น คนอื่น ก็ไม่รู้และ ]

    อ้างอิง ถ้าฝันไม่ใช่อรหันต์?


    ปล.ลิง แก้ไขเพิ่มเติม ตรงบุพพสิกขา ค้นอากู๋แล้ว เจอที่ใกล้เคียง ก็เลย ทำลิง ไว้
    โปรดใช้ ญาณวิจรนา โต้ย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2014
  14. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    เรื่องโสดาบันดื่มน้ำเมาได้ ที่ตีความกันผิดๆจนเป็นข่าวเผยแพร่นั้น

    ต้องทำความเข้าใจให้ดีๆ ในกรณีของเจ้าสรกานิศากยะ ท่านมีสติระลึกได้ถึงก่อนตาย

    ขณะนั้นสติปัฏฐานเกิด โสดาปัตติมรรค เผล็ดผลเป็น โสดาปัตติผลทันทีก่อนหมดลม

    คงไม่ใช่เรื่องเป็นโสดาบันแล้วดื่มน้ำเมาได้ อย่างที่เข้าใจ



    "อาตมภาพก็พึงพยากรณ์ต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ว่า เป็นพระโสดาบัน ... จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า จะป่วย
    กล่าวไปไยถึงเจ้าสรกานิศากยะ เจ้าสรกานิศากยะ สมาทานสิกขาในเวลาสิ้นพระชนม์ ขอถวาย
    พระพร."
     
  15. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    ลองไปค้นเรื่องพระมหาเทว สมัยสังคยานาครั้งที่๒ หรือ ๓ ไม่แน่ใจ

    มหาเทว นี้ทำอนันตริยกรรม ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ และอวดอุตริด้วย

    บอกว่าอรหันต์ฝันได้ อรหันต์มีน้ำกามได้

    เวลาบรรลุต้องมีอาจารย์พยากรณ์ และ ผู้บรรลุต้องเปล่างวาจาว่าทุกข์หนอ ทุกข์หนอ

    คือท่านเป็นคนมีปัญญาตีความมั่ว แต่ก็ยังมีสาวกเชื่อ
     
  16. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    อีกข้อนึง

    เจ้าสรกานิศากยะนั้น มีอุปนิสัยเป็นพระโสดาบัน

    เหมือนสันติอำมาต หรือ หลายๆท่านในพุทธกาลที่ล่วงศีล๕ แล้วยังสติกลับมาระลึกได้

    แต่ก็เป็นส่วนน้อย ไม่ใช่ทุกคนเป็นเหมือนกันหมด

    ไม่งั้น สีลวิสุทธิคงขัดกัน
     
  17. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805

    ***
    ประวัติพระพุทธศาสนาตอนที่ ๔

    แก้ไข

    พระพุทธศาสนาสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒ ต่อ


    พระพุทธศาสนาสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒
    การสังคายนาพระไตรปิฎกในครั้งที่ ๒ สืบเนื่องมาจากความคลาดเคลื่อนของพระพุทธวจนะและคัมภีร์ที่บรรดาพระภิกษุชาวเมืองวัชชีได้ยินได้ฟังมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ในสมัยที่เกิดการขาดแคลนอาหารซึ่งทำให้ภิกษุได้รับความเดือดร้อนและพระพุทธองค์ได้ตรัสอนุโลมให้ภิกษุวัชชีบุตรปฏิบัติตามวัตถุ ๑๐ ประการเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จนกระทั่งหลังการสังคายนาครั้งที่ ๑ ผ่านไป ภิกษุชาววัชชีก็ยังประพฤติปฏิบัติตามวัตถุ ๑๐ ประการดังกล่าวอยู่จึงเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งในการประพฤติพระธรรมวินัยอันเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การเกิดการสังคายนาครั้ง ๒ และการแยกนิกายของสงฆ์ในพระพุทธศาสนาขึ้น

    ๓.๑ สาเหตุของการสังคายนาครั้งที่ ๒
    สาเหตุแห่งการเกิดขึ้นของการสังคายนาครั้งที่ ๒ นี้ มีอยู่ ๒ มติ ทั้งฝ่ายเถรวาท และมหายาน โดยฝ่ายเถรวาทมีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกภาษาบาลีเล่มที่ ๗ ส่วนมติฝ่ายมหายานได้กล่าวไว้ในคัมภีร์ธรรมเภทจักรศาสตร์ของพระวสุมิตร และอรรถกถาแห่งคัมภีร์นั้น เพื่อให้นักศึกษาได้รู้อย่างกว้างขวางและรอบด้านจึงควรนำมากล่าว ณ ที่นี่ ดังต่อไปนี้
    ๓.๑.๑ หลักฐานฝ่ายเถรวาท
    หลังจากพระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปได้ ๑๐๐ ปี ความวุ่นวายเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติของคณะสงฆ์ในชมพูทวีปก็เกิดความรุนแรงมากขึ้น นั่นคือได้มีภิกษุที่อยู่จำพรรษาอยู่ในเมืองเวสาลี ได้แตกออกเป็น ๒ ฝ่าย อันเนื่องมาจากการประพฤติผิดพระวินัยบัญญัติ โดยมีความเห็นที่ขัดแย้งกันในเรื่อง วัตถุ ๑๐ ประการ โดยพวกหนึ่งเห็นว่า วัตถุ ๑๐ ประการนี้ ชอบด้วยพระธรรมวินัย อีกพวกหนึ่งเห็นว่า ไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัย อันเป็นสาเหตุนำไปสู่การโต้เถียงกันอย่างรุนแรง จนเกิดการแตกแยกออกเป็น ๒ ฝ่าย และกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการแตกแยกกันมาจนถึงทุกวันนี้ อันที่จริงวัตถุ ๑๐ ประการนี้ พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติไว้แล้วในธรรมวินัย แต่ภายหลังต่อมาพวกภิกษุวัชชีบุตรได้พยายามตีความหมายให้ผิดไปจากของเดิมวัตถุ ๑๐ ประการนั้น คือ<SUP><SUP>[1]</SUP></SUP>
    ๑) สังคิโลณกัปปะ ภิกษุเก็บเกลือไว้ในเขนง (เขาสัตว์, กลักหรือกระบอกเขาควายที่นิยมใช้บรรจุดินปืน หรือสิ่งของอื่น บางทีใช้เป่าบอกอาณัติสัญญาณ) แล้วนำไปฉันกับอาหารได้ ไม่เป็นอาบัติ ซึ่งผิดกับพุทธบัญญัติในวินัยข้อปาจิตตีย์ที่ ๓๘ ซึ่งทรงห้ามมิให้ภิกษุสั่งสมอาหาร ความว่าอนึ่ง ภิกษุใดเคี้ยวก็ดี ฉันก็ดี ซึ่งของเคี้ยวก็ดี ซึ่งของฉันก็ดี ที่ทำการสั่งสม เป็นปาจิตตีย์<SUP><SUP>[2]</SUP></SUP>
    ๒) ทวังคุลกัปปะ ภิกษุฉันอาหารในเวลาตะวันบ่ายล่วงไปแล้ว ๒ องคุลีได้ ไม่เป็นอาบัติ ซึ่งขัดกับพุทธบัญญัติในวินัยปาจิตตีย์ ข้อที่ ๓๗ ซึ่งทรงห้ามมิให้ภิกษุฉันอาหารในเวลาวิกาลตั้งแต่เที่ยงวันไปแล้ว ความว่า อนึ่ง ภิกษุใด เคี้ยวก็ดี ฉันก็ดี ซึ่งของเคี้ยวก็ดี ซึ่งของฉันก็ดี ในเวลาวิกาล เป็นปาจิตตีย์<SUP><SUP>[3]</SUP></SUP>
    ๓) คามันตรกัปปะ ภิกษุฉันอาหารในวัดแล้วเข้าไปในบ้านเขาถวายอาหารให้ฉันอีกในวันเดียวกัน ภิกษุมิได้ทำวินัยกรรมมาก่อนก็ฉันได้ไม่เป็นอาบัติ ซึ่งขัดกับพุทธบัญญัติในวินัยข้อปาจิตตีย์ที่ ๓๕ ซึ่งทรงห้ามมิให้ฉันอาหารที่เป็นอดิเรก ความว่า อนึ่ง ภิกษุใด ฉันเสร็จ ห้ามภัตแล้ว เคี้ยวก็ดีฉันก็ดี ซึ่งของเคี้ยวก็ดี ซึ่งของฉันก็ดีเป็นปาจิตตีย์<SUP><SUP>[4]</SUP></SUP>
    ๔) อาวาสกัปปะ อาวาสใหญ่ กำหนดสีมาอันเดียวกัน จะทำอุโบสถในที่ต่างๆ กัน เป็นอาบัติ แต่ภิกษุวัชชีแสดงว่าไม่เป็นอาบัติ
    ๕) อนุมติกัปปะ ถ้ามีภิกษุที่ควรนำฉันทะมามีอยู่ แต่มิได้นำมา จะทำอุโบสถกรรมเสียก่อนไม่ควร แต่ภิกษุชาววัชชีว่า ควร
    ๖) อาจิณณกัปปะ ข้อปฏิบัติอันใดที่เคยประพฤติตามกันมาแต่พระอุปัชฌาย์อาจารย์ แม้จะประพฤติผิด ก็ควรจะประพฤติตามท่านได้ ไม่ผิดวินัย
    ๗) อามัตถิตกัปปะ ภิกษุฉันอาหารแล้ว ยังมิได้ทำวินัยกรรมก่อน ฉันนมสดที่ยังมิได้แปรเป็นนมส้มก่อนไม่ควร ภิกษุชาววัชชีว่าควรฉันได้ ไม่ผิดวินัย
    ๘) ชโลคิง ปาตุง ภิกษุชาววัชชีเห็นว่า ภิกษุฉันเหล้าอ่อนๆ ที่ยังมิได้เป็นน้ำสุราเมา ได้ ข้อนี้ขัดกับพุทธบัญญัติปาจิตตีย์ ข้อที่ ๕๑ ซึ่งทรงห้ามมิให้ภิกษุดื่มน้ำสุราเมรัย
    ๙) อทสกัง นิสีทนัง ภิกษุชาววัชชีแสดงว่า ภิกษุใช้ผ้านิสีทนะที่ไม่มีชายก็ควรไม่ผิดวินัย
    ๑๐) ชาตรูปรชตัง ภิกษุชาววัชชีแสดงว่า ภิกษุจะรับเงินและทองก็ได้ ซึ่งข้อนี้ขัดกับพุทธบัญญัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ ข้อที่ ๑๘ ซึ่งทรงห้ามมิให้ภิกษุรับเงินและทอง
    ๓.๑.๒ หลักฐานฝ่ายมหายาน
    จากคัมภีร์พระพุทธศาสนามหายานชื่อ ธรรมเภทจักรศาสตร์ ของพระวสุมิตร และอรรถกถาแห่งคัมภีร์นั้น ซึ่งแต่งโดยพระคันถรจนาจารย์ กุยกี่<SUP><SUP>[5]</SUP></SUP> ในราชวงศ์ถังของจีน บอกว่าการแตกแยกคราวนั้นเกิดขึ้นจากความวิบัติแห่งทิฏฐิ ซึ่งแสดงโดยพระมหาเทวะ ๕ ประการ คือ
    ๑) พระอรหันต์อาจถูกมารยั่วยวนจนอสุจิเคลื่อนในเวลาหลับได้
    ๒) พระอรหันต์อาจมีอัญญาณคือความไม่รู้ในบางสิ่งได้
    ๓) พระอรหันต์อาจมีกังขา คือความลังเลสงสัยในบางสิ่งได้
    ๔) ผู้จะรู้ว่าตนได้บรรลุมรรคผลชั้นใด จำต้องอาศัยการพยากรณ์จากคนอื่น
    ๕) อริยมรรคอริยผลจะปรากฏเมื่อบุคคลเปล่งวาจาว่า “อโห ทุกฺขํ อโห ทุกฺขํ”
    โดยท่านได้เล่าประวัติของพระมหาเทวะและทิฏฐิของท่านว่า พระมหาเทวะเป็นบุตรของพ่อค้าของหอมเมืองมถุรา เป็นชายหนุ่มผู้มีรูปงามเป็นที่ถูกเนื้อต้องตาของเพศตรงข้ามเป็นอย่างมาก ต่อมาเมื่อบิดาไปค้าขายยังต่างถิ่น มหาเทวะลักลอบได้เสียกับมารดาของตน เมื่อบิดากลับมาเขากลัวความลับจะถูกเปิดเผยจึงวางแผนร่วมกับมารดาของตนฆ่าบิดาของเขาตายเสีย จากนั้นก็พามารดาหนีไปอยู่ ณ เมืองปาฏลีบุตร บังเอิญวันหนึ่งมหาเทวะพบพระอรหันต์ชาวมถุรารูปหนึ่ง ซึ่งตนเคยทำบุญแต่ครั้งอยู่มถุรา ก็เกิดระแวงจึงลอบประหารพระอรหันต์รูปนั้นเสีย หลังจากนั้นมารดาที่เป็นภรรยาด้วยนั้น ได้ลักลอบเป็นชู้กับชายอื่น เขาจับได้และโกรธมากจึงฆ่ามารดาทิ้งเสีย เป็นอันว่ามหาเทวะกระทำอนันตริยกรรมถึง ๓ ครั้ง คือ ปิตุฆาต อรหันตฆาต และมาตุฆาต หลังจากได้ทำบาปกรรมมามากแล้วเกิดความสลดใจ จึงเดินทางไปกุกกุฎารามเพื่อขอบรรพชาอุปสมบทกับสงฆ์โดยปกปิดกรรมของตน ได้ฉายาใหม่ตามชื่อ พระมหาเทวะเป็นคนฉลาด บวชแล้วตั้งใจเรียนพระธรรมวินัยจนมีความรู้แตกฉาน เทศนาไพเราะ เป็นที่เลื่องลือไปทั่วกรุงปาฏลีบุตร จนพระเจ้ากาฬาโศกราชรับเป็นผู้อุปถัมภ์ แต่พระมหาเทวะก็ยังไม่ละทิ้งนิสัยเดิม คิดหวังจะให้คนมายกย่องยิ่งกว่านั้นขึ้นไปอีก จึงกล่าวอวดอ้างว่าตนบรรลุอรหัตผลแก่เพื่อนสหธรรมิกและสานุศิษย์ ทำให้คนเป็นจำนวนมากพากันเคารพนับถือและได้ลาภสักการะเพิ่มขึ้น และเพื่อเอาใจศิษย์ของตนจึงได้พยากรณ์ว่าคนนั้นเป็นโสดาบัน คนนี้เป็นพระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ เป็นต้น
    ต่อมา ท่านนอนหลับฝันอสุจิเคลื่อน เมื่อลูกศิษย์นำผ้าไปซักเห็นเข้าจึงถามว่า “อาจารย์บอกว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ทำไมพระอรหันต์จึงยังนอนฝันอสุจิเคลื่อนเล่า”
    “พระอรหันต์ทั้งหลายอาจถูกมารยั่วยวน จนอสุจิเคลื่อนได้ในเวลาหลับ” พระมหาเทวะตอบ
    ศิษย์ที่ท่านบอกว่าตนเป็นพระอริยบุคคลนั้น มีความรู้สึกว่าท่านเองไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเอามากๆ แต่ทำไมอาจารย์จึงบอกว่าตนเป็นพระอริยบุคคล จึงเข้าไปเรียนถามว่า
    “ท่านอาจารย์บอกกระผมว่า เป็นพระอรหันต์ แต่ทำไมผมไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ทั้งๆ ที่ผู้เป็นพระอรหันต์น่าจะรู้ทุกสิ่งตามความเป็นจริงมิใช่หรือ?”
    “พระอรหันต์อาจมีอัญญาณ คือความไม่รู้ในบางสิ่งได้” พระมหาเทวะชี้แจง
    “ในเมื่ออาจารย์บอกว่าเป็นพระอรหันต์ แต่ทำไมกระผมจึงยังมีความสงสัยอยู่เล่า?”
    “พระอรหันต์อาจมีกังขา คือความสงสัยในบางสิ่งได้” พระมหาเทวะกล่าว
    “ตามธรรมดาท่านที่จะเป็นพระอรหันต์ จะต้องเกิดญาณรู้ด้วยตนเองมิใช่หรือว่าตนเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ทำไมผมจึงไม่มีความรู้เช่นนั้น ยังต้องอาศัยการพยากรณ์จากอาจารย์อยู่เล่า?” ศิษย์ถาม
    “ผู้ที่จะรู้ว่าตนเป็นพระอรหันต์ ต้องอาศัยการพยากรณ์จากคนอื่น” พระมหาเทวะตอบ
    หลังจากทำเรื่องนอกรีตนอกรอยหลายอย่างเข้า พระมหาเทวะเกิดความไม่สบายใจ รู้สึกว่า จะอยู่ในอิริยาบถใดก็มีแต่ความเร่าร้อน คืนหนึ่งรู้สึกเร่าร้อนใจมากจนนอนไม่หลับ จึงอุทานว่า อโห ทุกฺขํ อโห ทุกฺขํ แปลว่า ทุกข์หนอๆ เมื่อศิษย์ของท่านได้ยินเข้าจึงถามว่า
    “อาจารย์บอกว่า ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ทำไมจึงยังบ่นอยู่ว่า อโห ทุกฺขํ อโห ทุกฺขํ อยู่เล่า พระอรหันต์ยังมีทุกข์อยู่อีกหรือ?”
    “อริยมรรคอริยผลจะปรากฏเมื่อบุคคลเปล่งวาจาว่า อโห ทุกฺขํ อโห ทุกฺขํ” พระมหาเทวะกล่าวตอบ
    พระมหาเทวะได้ตั้งทิฏฐิ ๕ ประการของตนขึ้นแล้ว และได้พยายามหาพวกให้สนับสนุนความเห็นของตนเมื่อเห็นว่าได้มากสมพอควร จึงได้เสนอความคิดทั้ง ๕ นี้ในท่ามกลางสงฆ์ที่กุกกุฏาราม เพื่อให้สงฆ์ทั้งปวงยอมรับว่า ทิฏฐิของท่านเป็นธรรม แต่พระเถระที่เป็นพระอรหันต์และยึดมั่นในธรรมทั้งปวงปฏิเสธ พระมหาเทวะจึงขอให้ลงมติด้วยเยภุยยสิกา คือการถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณเนื่องจากท่านได้เตรียมบุคคลไว้มากก่อนแล้ว จึงชนะในการลงมติ ส่วนพระเถระที่ยึดมั่นในพระธรรมเห็นว่า ขืนอยู่ต่อไปก็คงขาดความสุขทั้งไม่อาจแก้ไขเรื่องนี้ได้ จึงหนีออกจากเมืองปาฏลีบุตรเพื่อไปจำพรรษาที่เมืองอื่น
    พระเจ้ากาฬาโศกราชเมื่อทรงทราบ จึงขอร้องไม่ให้พระเหล่านั้นไป แต่พระเถระทั้งหลายไม่ยินยอม ทำให้พระเจ้ากาฬาโศกราชทรงกริ้ว เพราะเข้าใจผิด จึงทรงรับสั่งให้ปล่อยพระเหล่านั้นในเรือแตกกลางแม่น้ำคงคา พระเถระทั้งหลายใช้อิทธาภิสังขารลอยขึ้นไปบนอากาศลงไปสู่แคว้นกาศมีระ พระเจ้ากาฬาโศกราชทรงทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ทรงทราบว่าพระองค์หลงผิดจนถึงกับทำอันตรายต่อพระอริยะเจ้า จึงส่งคนไปขอขมาและอาราธนาให้ท่านเหล่านั้นกลับเมื่อพระเถระเหล่านั้นไม่ยอมกลับจึงโปรดให้สร้างอารามถวายที่แคว้นกาศมีระ


    <HR SIZE=1 width="33%">[1] วิ.จูง(ไทย),๗/๔๔๖/๓๙๓

    [2] วิ.ม.(ไทย),๒/๔๑๖/๕๑๒

    [3] วิ.ม.(ไทย),๔/๔๑๒/๕๐๘

    [4] วิ.ม.(ไทย),๔/๓๙๙/๔๙๙

    [5] สุชาติ หงษา,(ดร.). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา จากอดีต สู่ ปัจจุบัน.พิมพ์ครั้งที่ ๑, (กรุงเทพฯ : ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรมศูนย์หนังสือพระพุทธศาสนาจัดพิมพ์), ๒๕๔๙

    https://www.gotoknow.org/posts/445890
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 ธันวาคม 2014
  18. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...........จากพระสูตร บริษัท ที่ดื้อด้าน ก็ คือ บริษัท ที่ไม่ ศึกษา ไม่ไต่ถาม ไม่เรียนรู้ ให้รู้ จริง....ส่วน บริษัทที่ไม่ดื้อด้าน ที่ พระท่านยกย่องให้เป็นเลิส ก็ คือ บริษัท ที่ สอบทาน เรียนรู้ ศึกษา ไต่ถาม นั่นเอง:cool:
     
  19. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ดัง พระวจนะที่ว่า" ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่ประกอบ ด้วยองคุณ 11 ประการ แล้ว ย่อมเหมาะสมถึงความเจริญ งอกงามไพบูลย์ ในธรรมวินัย นี้ได้ ฉันนั้น (ตามเหมือนการเลี้ยงโค) องคุณ11ประการ อย่างไรบ้างเล่า 11ประการคือ ภิกษุในกรณีนี้เป็นผู้รู้จักรูป เป็นผู้ฉลาดในลักษณะ เป็นผู้คอยเขี่ยไข่ขาง เป็นผู้ปิดแผล เป็นผู้สุมควัน เป็นผู้รู้จักท่าที่ควรไป เป็นผู้รู้จักน้ำที่ควรดื่ม เป็นผู้รู้จักทางที่ควรเดิน เป็นผู้ฉลาดในที่ที่ควรไป เป็นผู้รู้จักรีดนมโค ให้มีส่วนเหลือไว้บ้าง เป็นผู้บูชาอย่างยิ่งในภิกษุทั้งหลาย ผู้เถระ มีพรรษายุกาล บวชนานเป็นบิดาสงฆ์ เป็นผู้นำสงฆ์ ด้วยการบูชาเป็นพิเศษ---------------------:cool: ภิกษุาผู้สุมควันเป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในกรณ๊นี้ เป็นผู้แสดงธรรม ตามที่ได้ฟังได้เรียนมาแล้ว แก่ผู้อื่นโดยพิสดาร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้สุมควัน เป็นอย่างนี้แล...............ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรู้จักท่าที่ควรไป เป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในกรร๊นี้ เมื่อเข้าไปหาพวกภิกษุผู้พหูสูตร คล่องแคล่วในหลักพระพุทธวจนะ ทรงธรรมทรงวินัย ทรงมาติกา ก็ไต่ถาม โดยทำนองนี้ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย พระพุทธวจนะนี้เป็นอย่างไรเล่า ความหมายแห่งพระพุทธวจนะนี้เป็นอย่างไรเล่า ดังนี้เป็นต้น ตามเวลาอันสมควร ตามพหูสูตรเหล่านั้น จึงทำข้อความที่ยังลี้ลับให้เปิดเผย ทำข้อความลึกซึ้งให้ตื้นและบรรเทา ถ่ายถอนความสงสัยในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยนานาประการให้แก่ภิกาุนั้นได้ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรู้จักท่าที่ควรไป เป็นอย่างนี้แล...................ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุป็นผู้รู้จักน้ำที่ควรดื่ม เป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในกรณีนี้ เมื่อ ธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศ ไว้แล้ว อันผู้หนึ่งผู้ใดแสดงอยู่ เธอก็ได้ความรู้อรรถ ความรู้ธรรม และได้ความปราโมทย์อันอาศัยธรรม ภิืกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้รู้จักน้ำที่ควรดื่ม เป็นอย่างนี้แล:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2014
  20. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .................คิดว่า นะครับหลวงพี่...ถ้าตั้งจิตไว้ว่าเป็นการศึกษา ร่วมกัน สอบทานร่วมกัน หาความรู้โดยการถามตอบ คงได้ ชื่อ ว่าเป็น บริษัทไม่ดื้อด้าน บริษัทชั้นเลิส....พวกเราคงไม่ใช่ผู้ประกาศ แต่เป้นเพีงผู้เดินตามเท่านั้น:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...