การได้ทำบุญปับพระอริยสงฆ์เจ้าและพระสมมุติสงฆ์และพระทุศีลผลบุญแตกต่างกันอย่างใด

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย VERAJAK, 8 มีนาคม 2015.

  1. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ตามหัวข้อเลยครับแสดงความคิดเห็นเต็มที่เลยครับ. สาธุ
     
  2. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    แล้วกรณีที่รู้ว่าเป็นพระทุศีล ทีรู้เพราะเห็นพฤติกรรมอยู่
    แต่ก็ตักบาตร เพราะไม่มีวัดอื่น พระอื่นแถวนั้น
    แต่เราทำความตั้งใจขณะทำบุญว่า ขอถวายทานนี้เป็นสังฆทานให้แก่สงฆ์ทั้งหลาย
    บุญนี้จะมีอานิสงส์ เป็นอย่างไร จะมากหรือน้อยกว่าทำบุญกับพระอริยเจ้า

    อีกกรณีหนึ่ง ปัจจุบันการทำบุญทางอินเตอร์เนตเป็นที่นิยม
    ทำให้มิจฉาชีพอาศัยช่องทางนี้หลอกเอาเงินจากผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา
    เช่นว่า มีคนเรี่ยไรเงินเพื่อไปทำบุญสร้างพระไตรปิฏก แต่จริงๆ เอาไปใช้จ่ายส่วนตัว
    แต่คนที่ทำบุญไปไม่รู้
    อยากรู้ว่าเค้าจะได้บุญ เหมือนกับที่เงินนั้นถูกนำไปสร้างพระไตรปิฏกจริงๆ เผื่อเผยแพร่พระศาสนาต่อไปหรือไม่
    ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะไม่ได้ก่อเกิดพระไตรปิฏกจริงๆ ขึ้นมา
     
  3. (-*-)

    (-*-) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +1,060
    ถามได้ดีครับ..
    เด๋วผมขอเป็นคนฟังบ้างคับ .. ขอปูเสื่อรอแล้วกัน [​IMG]


     
  4. J47

    J47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +3,405
    สาธุ กราบอนุโมทนาบุญด้วยนะครับ
    COPY มาให้อ่านครับ

    การทำบุญมีองค์ประกอบหลักอยู่ 2 อย่าง คือ

    1.วัตถุทานต้องได้มาโดยชอบ ไม่ได้มาโดยเบียดเบียนผู้อื่น ถือเป็นวัตถุทานที่บริสุทธิ์

    2.เจตนาในการทำบุญต้องบริสุทธิ์ คือมีเจตนาทานด้วยจิตยินดี เป็นกุศล ไม่กังวล ไม่มัวหมอง

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า แม้วัตถุทานจะบริสุทธิ์ดี เจตนาในการทำทานจะบริสุทธิ์ดี จะทำให้ทานนั้นมีผลมากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับเนื้อนาบุญเป็นลำดับต่อไปนี้คือ

    1. ทำทานแก่สัตว์เดรัจฉานได้บุญ 100 เท่า แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่มนุษย์ แม้จะเป็นมนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมเลยก็ตาม ทั้งนี้เพราะสัตว์ย่อมมีบุญวาสนาบารมีน้อยกว่ามนุษย์และสัตว์ไม่ใช่เนื่อนาบุญที่ดี

    2. ให้ทานแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีลได้บุญ 1,000 เท่า ไม่มีธรรมวินัย แม้จะให้มากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล 5 แม้จะให้เพียงครั้งเดียว

    3. ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล 5ได้บุญ 10.000 เท่า แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล 8 แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

    4. ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล 8 ได้บุญ 100,000 เท่าขึ้นไป แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานแก่ผู้ที่มีศีล 10 คือสามเณรในพระพุทธศาสนา แม้จะได้ถวายทายเพียงครั้งเดียวก็ตาม(ทำทานให้กับมนุษย์ที่รักษาศีลอุโบสถ ได้บุญ 100,000 เท่า)

    5. ถวายทานแก่สามเณรซึ่งมีศีล 10 แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานดังกล่าวแก่พระสมมุติสงฆ์ ซึ่งมีศีลปาฎิโมกข์สังวร 227 ข้อ

    พระด้วยกันก็มีคุณธรรมแตกต่างกัน จึงเป็นเนื้อนาบุญที่ต่างกัน บุคคลที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนามีศีลปาฎิโมกข์สังวร 227 ข้อนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสเรียกว่าเป็น "พระ" แต่เป็นเพียง "พระสมมุติ" เท่านั้น เรียกกันว่า "สมมุติสงฆ์" พระที่แท้จริงนั้น หมายถึงบุคคลที่บรรลุธรรม ตั้งแต่พระโสดาปัตติผลเป็นพระโสดาบันเป็นต้นไป ไม่ว่าท่านผู้นั้นจะได้บวชหรือเป็นฆราวาสก็ตาม นับว่าเป็น "พระ" ทั้งสิ้น และพระด้วยกันก็มีคุณธรรมต่างกันหลายระดับชั้น จากน้อยไปหามากดังนี้ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและย้อมเป็นเนื้อนาบุญที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้

    6. ถวายทานแก่พระสมมุติสงฆ์ที่มีศีลครบ 227 ข้อได้บุญอย่างน้อย 1 ล้านเท่า เป็นอย่างน้อย
    แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้รับบุญน้อยกว่าถวายทานแก่พระโสดาบัน แม้จะได้ถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม(ความจริงยังมีการแยกเป็น พระโสดาปัตติมรรคและพระโสดาปัตติผล ฯลฯ เป็นลำดับไปจนถึงพระอรหันตผล แต่ในที่นี้จะกล่าวแต่เพียงย่นย่อพอให้ได้ความเท่านั้น)

    7. ถวายทานแก่พระโสดาบันได้บุญอย่างน้อย 10 ล้านเท่าเป้นอย่างน้อย แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานแก่พระสกิทาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวแม้เพียงครั้งเดียว

    8. ถวายทานแก่พระสกิทาคามีได้บุญอย่างน้อย 100 ล้านเท่าเป็นอย่างน้อย แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานแก่พระอนาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวแม้เพียงครั้งเดียว

    9. ถวายทานแก่พระอนาคามีได้บุญอย่างน้อย 1,000 ล้านเท่าเป็นอย่างน้อย แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานแก่พระอรหันต์ แม้จะถวายทานดังกล่าวแม้เพียงครั้งเดียว

    10. ถวายทานแก่พระอรหันต์ได้บุญอย่างน้อย 10,000 ล้านเท่า แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวแม้เพียงครั้งเดียว

    11. ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าได้บุญอย่างน้อย 100,000 ล้านเท่าเป็นอย่างน้อย แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวแม้เพียงครั้งเดียว

    12. ถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บุญอย่างน้อย 1,000,000 ล้านเท่าเป็นอย่างน้อย แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายสังฆทานคณะสงฆ์ที่มี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นประธาน แม้จะได้ถวายสังฆทานดังกล่าวแม้เพียงครั้งเดียว

    13. การถวายสังฆทานที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่า การถวายวิหารทาน แม้จะได้กระทำแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม วิหารทาน ได้แก่การสร้างหรือร่วมสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ศาลาโรงธรรม ศาลาท่าน้ำ ศาลาที่พักอาศัยคนเดินทาง อันเป็นสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน อนึ่ง การสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์หรือสิ่งที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน แม้จะไม่เกี่ยวเนื่องกับกิจในพระพุทธศาสนา เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน บ่อน้ำ แท็งก์น้ำ ศาลาป้ายรถยนต์โดยสารประจำทาง สุสาน เมรุเผาศพ ก็ได้บุญมากในทำนองเดียวกัน

    14. การถวายวิหารทาน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง(100 หลัง) ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ธรรมทาน แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม การให้ธรรมทานก็คือการเทศน์ การสอนธรรมะแก่ผู้อื่นที่ยังไม่รู้ให้ได้รู้ ที่รู้อยู่แล้วให้รู้ยิ่งขึ้นไป ให้ได้เข้าใจในมรรค ผล นิพพาน ให้ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฐิได้กลับใจเป็นสัมมาทิฐิ ชักจูงผู้คนให้เข้าปฏิบัติธรรม รวมตลอดถึงการพิมพ์การแจกหนังสือธรรมะ (อานิสงส์การให้ธรรมเป็นทาน..พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าแม้ให้พระพุทธเจ้าพระ ปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกนั่งเรียงกันจากโลกมนุษย์ไปจนถึงพรมโลก แล้วถวายผ้าไตรครบทุกองค์ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ธรรมทาน)
     
  5. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    ตั้งใจถวายเป็นสังฆทานแก่พระสงฆ์(บุรุษ 4 คู่ นับเรียงได้ 8 บุรุษ)ทั้งหลายใน
    พระพุทธศาสนา มีผลอานิสงส์เป็นสังฆทาน 100% ถึงแม้แต่จะให้แก่พระรูป
    เดียวก็ตาม ส่วนท่านที่รับจะเอาไปฉันเองหรือฉันเป็นคณะหรือไม่ฉันเป็นเรื่อง
    ของท่าน เราได้ส่วนของเราไปแล้ว

    บุญอยู่ที่เจตนาและกำลังใจที่ดี ถ้าตั้งกำลังใจดีและเต็มใส่ซองผ้าป่าเพื่อบริจาค
    เป็นสังฆทานและวิหารทาน แก่วัดแก่พระพุทธศาสนาแล้ว บุญย่อมมีผลแก่เรา
    100% ส่วนคนที่มาเรี่ยไรจะเอาไปเข้ากระเป๋าตนเองเพราะอยากซวยนั้นมัน
    เรื่องของเขา ส่วนเราสบายใจหายห่วงได้บุญไปแล้ว

    (ถ้าให้ทานไปแล้วอย่านึกคิดกังวลหรือเสียดายทีหลังเป็นพอ ให้แล้วถือว่าตัดขาดไปเลย)
    บุญเราได้เต็ม 100% แน่นอนครับ

    การให้ทานที่มีผลมากที่สุด คือต้องให้เพื่อละเพื่อทำลายความโลภกิเลสในใจให้หมด
    สิ้นไป ไม่ใช่ให้เพื่อหวังผลบุญกุศลจะมาตอบแทนให้ร่ำให้รวยในภายหลังนะครับ สาธุ
     
  6. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    จริงๆ คำถามนี้ ต้องการมุ่งประเด็นถึงผลจากจากทำบุญ

    ซึ่งผู้ตอบไม่น่าจะตัดสินผู้ถามว่าคุณคิดอย่างโน้นอย่างนี้
    ผู้ตอบจะรู้ได้อย่างไรว่าขณะทำบุญผู้ถามคิดได้อย่างไร
    หวังผลอะไรจากการทำบุญ

    คำว่าร่ำรวย สำหรับหลายคนอาจนิยามไม่เหมือนกัน
    บางคนอาจหมายถึงมีทรัพย์สินทางวัตถุเยอะๆ

    บางคนอาจหมายถึงร่ำรวยทางสติปัญญา มีปัญญาเจริญขึ้นทั้งทางโลกและทางธรรม
    สามารถบริหารจัดการชีวิตให้มีความสุข ความสะดวก คล่องตัว ได้ด้วยตัวเอง
    ไม่ได้ต้องการมีทรัพย์สมบัติเยอะๆ

    เพราะบางคนแม้มีทรัพย์เยอะ ก็ไม่ให้ใช้สอยทรัพย์นั้นได้อย่างเต็มประโยชน์
    และสร้างคุณค่าให้ตัวเองและสังคมที่อยู่ได้
    อย่างนั้นเรียกว่ารวยจริงเหรอ?

    เพราะงั้นการทำบุญแล้วหวังผล มันไม่ดีตรงไหน
    พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านก็ทำบุญแล้วอธิษฐานให้บุญเกิดในทางที่ท่านต้องการทั้งนั้น
    สมัยพุทธกาลเองก็มีตัวอย่าง
    เศรษฐีที่พลาดมรรคผลต่างๆ เพราะทำบุญแล้วไม่หวังผล เลยไม่อธิษฐาน
     
  7. supatk

    supatk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +200
    ให้ทานพระทุศีลที่เรารู้คงได้บุญเท่าคนทุศีลแน่ เพราะเหมือนเราส่งเสริมโจรมาทำร้ายศาสนา เรายังเสื่อมศรัทธา คนอื่นที่ยังไม่รู้ใจก็okเป็นบุญ พอรู้จิตตกด้วยทานที่ทำไปเป็นบาปแทนบุญ ขนาดพุทธกาลชาวบ้านเป็นพระโสดาบัน ยังไม่ใส่บาตรพระทุศีลเลย
     
  8. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    อย่าให้อารมณ์ขุ่นมัวมากัดกินใจของคุณจากการอ่านความเห็นของผมเลยครับ
    ที่ผมตอบผมตอบตามความเป็นจริงเป็นสาธาณะประโยชน์ โดยแค่ขอยกคำถาม
    คุณมาอ้างอิงเฉยๆ ไม่ได้คิดหรือเจตนาจะพาดพิงไปถึงคุณแม้แต่น้อยนิดเลย
    อย่าได้กังวลไปเลย

    การอธิษฐานบารมีนั้นเป็นความดีที่ควรทำเวลาทำบุญ แต่การอธิษฐานจะได้ผล
    ดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับจิตของผู้ที่อธิษฐานเวลานั้นว่าจะอธิษฐานเพื่อดับกิเลส
    ความโลภหรืออธิษฐานเพราะตามใจกิเลสความโลภต่างหากล่ะครับ ซึ่งผมไม่
    ได้บอกว่าการอธิษฐานว่าไม่ดีครับ ต้องเข้าใจถึงเจตนาให้ลึกซึ้งด้วยครับ

    การอ่านและพิจารณาธรรมควรมองเหตุผลกว้างๆและใจเย็นๆจะดีที่สุดครับ สาธุ
     
  9. (-*-)

    (-*-) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +1,060
    หวังว่าคงไม่ได้พยายามจะเข้าเรื่องวัดจานบินนะคับ
     
  10. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ขออนุโมทนาคำถามครับ ผมขอตอบตามปัญญาที่รู้นะครับถูกผิดแก้ไขได้ครับเพื่อเป็นวิทยาทานต่อไปครับ
    ขอยกอุปมาอุปมัยขึ้นกล่าวนะครับ
    1พระอริยสงฆ์เจ้าคือตั้งแต่พระโสดาบันหรือสูงกว่านั้นขึ้นไป. เปรียบเสมือนดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำและสารอาหารครบถ้วนสมบูรณ์ เมื่อเราว่านเมล็ดข้าวลงไป เป็นอันพึ่งหวังได้เลยว่าเมล็ดข้าวจะเจริญงอกงามผลิดอกออกรวงได้สมประสงค์ดังตั้งจิตแน่นอนเมื่อกรวดน้ำให้เหล่าสัพภเวสีทั้งหลายพวกเค้าได้รับแน่นอนเป็นที่พึ่งหวังได้ครับ. แต่ถ้าท่านว่านเมล็ดพริกลงไปก็พึ่งหวังได้ว่าเมล็ดพริกที่ท่านว่านจะเจริญเติบโตกลายมาเป็นผลอันเผ็ดร้อนให้ท่านได้เสวยอย่างแน่นอน. นั้นหมายความว่าท่านได้ไปปรามาสพระอริยสงฆ์เจ้าเข้า เพราะฉะน้้นถ้าเราไม่รู้ไม่แน่ใจอย่าได้คิดว่าท่านจะเป็นอะไรเด็ดขาดจนกว่าจะได้อยู่ด้วยเเละเห็นข้อวัฏปฏิบัติของท่านจนแน่ใจครับ.
    2. พระสมมุติสงฆ์ เปรียบเสมือน ดินที่มีน้ำท่าบริบูรณ์ขาดแต่ปุ๋ยที่จะบำรุงพืชผลเท่านั้น. ถ้าเราว่านเมล็ดข้าวลงไปก็พึ่งหวังได้ว่าจะเกิดผลแน่นอนแต่จะช้าหน่อยก็เท่าน้้นเนื่องจากขาดปุ๋ยทีจะทำให้โตเร็วๆก็เท่าน้้นแต่มีน้ำมีสารอาหารตามธรรมชาติก็สามารถโตได้อยู่แล้วและเมื่อเราอุทิศผลบุญให้เหล่าส้พภเวสีก็พึ่งหวังได้ว่าพวกเค้าได้รับแน่นอนครับ
    3. พระทุศีล เปรียญเสมือนดินที่ขาดน้ำขาดปุ๋ยเป็นดินแตกระแหงถ้าท่านว่านเมล็ดข้าวลงไป. เมล็ดข้าวนั้นจะเจริญเติบโตเป็นอันพึ่งหวังมิได้เหตุเพราะขาดท้้งน้ำทั้งปุ๋ย มีแต่จะเป็นอาหารให้นกกามาจิกกินเท่าน้้นไม่สามารถปลูกสิ่งใดๆให้บังเกิดผลได้เด็ดขาด เมื่อท่านอุทิศผลบุญให้เหล่าสัพภเวสีพวกเค้าจะไม่ได้รับอย่างเด็ดขาดแล้วพวกเค้าก็จะร่ำร้องตะโกนว่าฉันถูกปล้น ฉันถูกปล้น เหตุเพราะพวกเค้าจะไม่ได้รับผลบุญที่ท่านอุทิศให้เลยทำให้เค้าไม่สามารถสะสมผลบุญเพื่อเป็นปัจจัยในการเกิดเป็นมนุษย์ได้ จึงถูกปล้นมนุษย์สมบัติ และถ้าเค้าได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วได้ทำกุศลผลบุญเค้าก็สามารถไปจุติเป็นเทวดาได้ แต่เค้าไม่ได้เกิดจึงเปรียญเสมือนถูกปล้นสวรรค์สมบัติ และถ้าเค้าได้เกิดเป็นมนุษย์และสามารถทำนิพานให้แจ้งได้ก็สามารถเข้าสู่พระนิพานได้ พวกเค้าจึงถูกปล้นนิพานสมบัติไปด้วย ท่านลองคิดดูนะครับว่าการทำบุญก้บพระทุศีลแล้วได้บุญหรือไม่
    ส่วนอีกคำถามถ้าท่านไม่รู้และมีจิตตั้งมั่นในการทำผมว่าท่านได้บุญไปแล้วครับ ส่วนคนที่นำเงินท่านไปนั้นถ้าเค้าไม่นำไปทำตามที่บอกคือไปใช้ผิดวัตถุประสงฆ์ของผู้บริจาค เค้าก็จะรับผลของกรรมไปเองเราไม่เกี่ยวครับ เพียงแต่ระวังนะครับเวลาทำบุญหลวงปู่มักถามว่าเสียดายบ่อ ถ้าเสียดายเอากลับไปเด๋อกูไม่เอา 555. เหตุเพราะถ้าเสียดายท่านจะไม่ได้อะไรเลยนะครับ. สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2015
  11. (-*-)

    (-*-) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +1,060
    สำหรับคนที่ไม่ได้มีเป้าหมายอื่นที่สูงกว่าพระสาวก
    การอธิษฐานตั้งปรารถนาถึงพระนิพพาน คือทางตรงที่สุดครับ ขออนุโมทนา
     
  12. (-*-)

    (-*-) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +1,060
    คือเรื่องอานิสงส์ทำบุญกับพระดี พระไม่ดี
    ถ้าถามความรู้พื้นๆ ผมว่าในนี้รู้กันเกือบทุกคนแล้วล่ะครับ

    แต่สิ่งที่ประเสริฐกว่า คือ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความเป็นจริง
    หรือ สิ่งที่สามารถจับต้องได้ ปฏิบัติถึงได้ เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน..
    สิ่งนั้นประเสริฐกว่า
     
  13. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    อยากได้บุญมากก็ถวายสังฆทานเดินละครั้ง
    ใส่บาตรน่ะ ใส่ไปเถอะ พระจะศีลครบหรือไม่ครบก็ต้องกินข้าว
    จะให้โกนหัวปุ๊บบรรลุธรรมกันหมดเลยหรือไร
     
  14. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ขอโทษนะครับผมแยกแยะและยกเหตุผลที่ถูกที่ควรขึ้นกล่าวแล้วนะครับ พระศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญาครับและเป็นศาสนาแห่งความจริง ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธต้องใช้ปัญญาในการวิเคราะห์ ในการคิด มิใช่ศาสนาที่ให้เชื่ออย่างเดียว. เพราะฉะนั้นผู้ที่นับถือศาสนาพุทธแท้ๆจึงมีปัญญาในการพิจารณา มิใช่ทำๆไปเถอะโดยไม่ใช่ปัญญาแยกแยะผิดชอบชั่วดี ถ้าทำอย่างนั้นก็เสมือนผู้มืดบอดมีตาแต่ไม่เลือกสิ่งที่ดูเห็นสิ่งปฏิกูลก็ดูไปไม่คิดเก็บกวาดทำความสะอาด มีปัญญาก็ไม่ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นกลับทำๆไปใครจะเป็นยังไงช่างเค้าพระศาสนาจะเสื่อมก็แล้วแต่ยังงั้นรึครับ. สาธุ
     
  15. (-*-)

    (-*-) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +1,060

    ตอบได้ดีครับ .. ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา

    แต่ปัญหาคือ คำว่าปัญญานี่ล่ะ .. อิงเหตุผลตามอารมณ์ความรู้สึกตัวเองกันล้วนๆ .. สรุปแล้วเรียกว่าปัญญาหรือป่าว

    แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ถ้าพอมีเหตุผลก็ยังดีอยู่บ้างครับ ..
    แต่ถ้าเป็นผู้ใช้ปัญญาอย่างแท้จริงแล้ว ย่อมต้องอยากฟังเหตุผลอื่นๆ ที่ตนเองยังไม่ได้คิดพิจารณา
    และยอมรับเหตุผลที่ถูกต้องและดีกว่าได้ .. ถูกไหมครับ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2015
  16. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ขออนุโมทนาสาธุครับ ผมยินดีและพร้อมจะรับฟังสิ่งที่ดีกว่าเหนือกว่าสิ่งที่ผมรู้และเข้าใจหากใช้ทั้งเหตุและผล ชี้ด้วยพฤติกรรมพร้อมกล่าวอ้างพุทธวจนะหรือข้อวัตรในพระไตรปิฏกขึ้นกล่าวด้วยเจตนาเพื่อเป็นวิทยาทานเป็นประโยชน์ต่อมวลมหาชนทั้งหลายด้วยจิตที่มีธรรม มิใช่การไม่เห็นด้วยแต่ไม่สามารถยกสิ่งที่ดีกว่าเหนือกว่าถูกต้องกว่าขึ้นกล่าวได้ หรือไม่เห็นด้วยเหตุเพราะอารมณ์ตนอันมีมิจฉาทิฏฐิเพื่อความสะใจของตน โดยมิได้ใช้ปัญญาในการไตร่ตรองว่าผู้อื่นจะมีความเข้าใจและจะเกิดประโยชน์หรือไม่ ท่านว่าจริงใหมครับ สาธุ
     
  17. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    ใส่บาตรแล้วศาสนาเสื่อมเลยเหรอ ๕๕๕๕๕
     
  18. (-*-)

    (-*-) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +1,060
    ถ้าท่านเปิดใจ .. ผมจะขอกล่าวเพิ่มเติม ในเรื่องที่ผมมักไม่ค่อยอยากพูดเท่าไร
    เพราะคงหาคนอยากฟังยาก

    พระท่านว่า ตอนใส่บาตร ให้นึกถวายพระพุทธเจ้าไปเลย ได้บุญไม่น้อย
    ส่วนพระที่ท่านรับ ท่านจะดีไม่ดี เป็นเรื่องของท่าน .. ไม่เกี่ยวกันครับ

    เคยได้ยินมาก่อนไหมครับ?
     
  19. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    จริงๆ แล้ว เรื่องนี้ ชาวพุทธทั่วไปก็เค้าก็รู้กัน
    ไม่มีใครคาดหวังอยู่แล้วว่าพระบวชปั๊บจะต้องบรรลุธรรมทุกองค์
    สิ่งที่ชาวพุทธคาดหวังก็คือ บวชเข้ามาแล้วก็ควรประพฤติตัวตามแนวทางสงฆ์ที่ถูกต้อง
    เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาเท่านั้น
    ถ้าบวชเพื่อ อาศัยพระศาสนาเลี้ยงตัวเอง
    จะบวชมาเป็นภาระพระศาสนาทำไม ก็ใช้ชีวิตแบบฆราวาสไปซิ
    ใครเค้าบังคับให้บวชกัน
    บวชมาแล้ว จะพลาดพลั้งผิดไปบ้าง ก็คงไม่มีใครถือสาเอาความ
    ถ้าไม่หลุดกรอบจนเกินไป
    ถ้าไม่ใช่ตั้งใจละเลย ทำเป็นประจำ
    เพราะเห็นว่าทำไมก็ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น
    ไม่มีใครขวาง ตักเตือน เอาผิดตนได้ จนเป็นอันตรายต่อพระศาสนา

    จะว่าไปการตอบแบบนี้
    เป็นคำตอบที่ไม่ได้เป็นประโยชน์ใดๆ ต่อผู้อ่านเลย
    ไม่กระตุ้นเซลล์สมอง
    แต่คนตอบคงปลื้มปลิ่มมาก ว่าตอบได้ฉลาดเหลือเกิน
     
  20. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    อนุโมทนาสาธุครับ. ประโยคนี้เคยได้ยินและฟังมาจากพระสงฆ์บ่อยมากครับ และผมเคยถามพระสงฆ์ว่าเมื่อท่านรับแล้วได้ถวายแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่าครับ หรือท่านฉันฑ์เองครับ เหตุเพราะเจตนาผู้ที่ใส่บาตรแล้วถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่สนใจผู้รับว่าเป็นใครผู้รับนั้นจะนำของนั้นมาฉันฑ์ไม่ได้นะครับ ผิดเจตนาผู้ให้ อุปมาอุปมัยผมถวายเงินพระสงฆ์เพื่อเจตนาสร้างโบสถ์แต่พระสงฆ์องค์นั้นกลับนำเงินไปใช้ส่วนตัวท่านว่าพระนั้นมีกรรมหนักใหมครับ. ผิดเจตนาของผู้ถวาย เช่นเดียวกับการใส่บาตรพระสงฆ์แล้วตั้งจิตเจตนาถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธแล้วพระสงฆ์องค์นั้นไม่ทำตามเจตนาถวายพระพุทธเจ้ากลับนำมาฉันฑ์เสียเองอย่างนี้ท่านก็บาปแย่ซิครับ. ผลปรากฏว่าพระองค์นั้นไล่ผมลงกุฏิแทบไม่ทัน. ผมจึงไปแจ้งต่อเจ้าอาวาสวัดนั้นและนำเรื่องยกขึ้นกล่าวเจ้าอาวาสได้ตำหนิพระรูปนั้นและให้ปลงอาบัติครับ ผมได้ยกพุทธวจนะขึ้นกล่าวคือ. การใส่บาตรทำบุญของอุบาสก อุบาสิกานั้นด้วยจิตเจตนาทำนุบำรุงพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติตามทางพ้นทุกข์ตามคำสั่งสอนแห่งองค์พระชิณสีห์ ให้สังขารท่านคือกายนี้อยู่ได้ด้วยปัจจัย4เพื่อให้ท่านได้ทำทุกข์ให้แจ้งโดยมิต้องพะวงต่อการดำรงอยู่ของข้นธุ์ธาตุ ไม่ต้องมัวแต่ต้องหาเลี้ยงชีพจนไม่ได้ทำในกิจที่ต้องทำ. เหล่าฆราวาสทั้งหลายจึงช่วยกันทำบุญใส่บาตรให้พระสงฆ์ด้วยเจตนาส่งเสริมให้ท่านได้ทำกิจที่ต้องทำให้สำเร็จคือทำทุกข์ให้แจ้งแก่ตน. เมื่อท่านทำได้สำเร็จสามารถนำตนให้พ้นทุกข์ได้แล้วนำสิ่งที่ท่านรู้มาเผยแพร่เพื่อดำรงพุทธศาสนาต่อไปและช่วยอุบาสก อุบาสิกาได้มีดวงตาเห็นธรรมตามกำลังความสามารถของแต่ละคน พระพุทธองค์จึงตรัสเสมอๆว่าเมื่อถือครองเพศพรรณชิกแล้วอย่าได้ฉันฑ์บิณฑบาตรของชาวบ้านที่ถวายให้สูญเปล่า. จงเร่งความเพียรหมั่นเจริญภาวนาทำทุกข์ให้แจ้งเถอญ.
    ท่านเคยได้ยินสิ่งเหล่านี้ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้รึเปล่าครับ. สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...