{พิเศษ} พระอุปคุต ลป. หา สุภโร กรรมฐานแพง etc

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย โอสถ, 13 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. โอสถ

    โอสถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,545
    ค่าพลัง:
    +12,113
    ถือศีล 8 แต่งหน้าเข้าสังคมได้ไหม?

    ถือศีล 8 แต่งหน้าเข้าสังคมได้ไหม?

    โยม ; หลวงปู่เจ้าขา ในพรรษานี้ลูกอยากมาถือศีลแปดทุกวันพระ ติดที่ว่าลูกต้องไปทำงานทุกวัน มาถือศีลไม่ได้เจ้าค่ะควรทำอย่างไรเจ้าค่ะ

    หลวงปู่ ; ศีลของคุณอยู่ไหนหล่ะ ถ้าคุณถือศีลที่วัดคุณก็ไม่ต้องมา ถ้าคุณถือศีลที่ใจปฏิบัติส่วนตัวเองคุณก็มาถือสิ

    โยม ; ศีลโยมถือที่ใจเจ้าค่ะ

    หลวงปู่ ; เออ คุณถือที่ใจ ใครๆก็ถือที่ใจ ถ้าคุณถือศีลที่วัดคุณก็ต้องอยู่วัด ถ้าคุณถือศีลที่ใจจะไปไหนๆคุณก็ไม่ต้องห่วงจะไม่มีศีล มันเป็นเรื่องของใครของมัน เป็นกิจภายในเราจะต้องห่วงอะไร คุณก็เอาศีลไปทำงานด้วยสิ

    โยม ; แต่ถ้าโยมถือศีลแปดแล้วไปทำงานโยมก็แต่งตัว ทาแป้ง ทาลิปไม่ได้นี่สิเจ้าค่ะ

    หลวงปู่ ; บ่ะ ไหนคุณว่าคุณถือศีลที่ใจเด้ คุณเอ้ย ศีล๕ ศีล๘ ศีล ๒๗๗ ศีล๓๑๑ ศีลแปดโกฏิสี่กือ ไม่มีดอก ศีลมีข้อเดียว คือข้อใจข้อเจตนา ศาสนานี้เอาเจตนาเป็นใหญ่ ส่วนจำนวนพวกนั้นเป็นชื่อของความเลว เป็นชื่อของความชั่ว พระพุทธเจ้าเอาเจตนาเป็นใหญ่ ถ้าเจตนาอย่างไรผลก็ไปตามนั้น เจตนาเป็นตัวชี้กรรมชี้วิบาก คุณเอ้ย คนมีธรรมคือคนเข้าใจธรรมชาติ คนที่ผิดธรรมชาติ กระทำผิดธรรมชาติอันนั้นไม่เรียกว่าธรรม ทาโลดทาลิป ทาแป้งนั้นทาโลด คุณทาเพื่อเข้าสังคมทำตัวให้เป็นปกติในสังคม วันดีคืนดี มาเข้าวัดจำศีลไปทำงาน หน้าดำปากขาว ปานผีหลอก คนเห็นเข้าจะว่าคุณบ้า เขาจะว่าผีหลอก เขาจะตำหนิว่าคนเข้าวัดบ้าๆบอๆ ให้ฉลาดนะ คนปฏิบัติธรรมให้ฉลาดนะ เราแต่งหน้าถือศีลแปด เรารู้ว่าเราแต่งตัวเพื่อไม่แปลกสังคม ไม่ได้ทาเพื่อยึดเพื่อติด เพื่อสวยเพื่องาม เอาใจเอาเจตนาเป็นสำคัญนะ ทำใจแบบนี้คุณจะถือศีลแปดไปทำงานได้หรือไม่หล่ะ

    โยม ; รักษาศีลแปดก็ไปทำงานได้เจ้าค่ะ

    หลวงปู่ ; เออ คนมีธรรมอย่าโง่นะ อย่าแปลกสังคม ธรรมมะคืออยู่กับสังคมไม่แปลกสังคม

    ที่มา : คติธรรม คำสอน โดย หลวงปู่หา สุภโร
    .....
    ..................
     
  2. โอสถ

    โอสถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,545
    ค่าพลัง:
    +12,113
    ปิดรายการ

    รายการที่ 38 พระกริ่งบางพรหม วัดเงิน บางพรหม ( วัด ล.พ.ชาญณรงค์ อภิชิโต )

    พระกริ่งบางพรหม วัดเงิน บางพรหม

    เป็นพระดี ที่หายาก ค่านิยมทะลุหลักหมื่น ... ใครมีต่างเก็บเงียบเข้ากรุ ไม่นำออกมาโดยง่าย

    "พระกริ่งบางพรหมจินดามณี" หล่อโบราณนวโลหะเต็มสูตร เสก ๒ ปี ๓ พิธีจันทร์เพ็ญ ท่านพระครูปลัดมานิตย์ วัดเงิน ตลิ่งชัน กทม.

    * ชนวนหล่อพระเนื้อนวโลหะท่านพระอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโตภิกขุ

    * พระกริ่งรุ่นนี้ใส่แผ่นยันต์ 108 และ นะ 14 ตามตำราการสร้างพระกริ่งอย่างครบถ้วน และยังมีแผ่นยันต์จินดามณี อีก 9 แผ่น

    * แท่งชนวนสร้างเหรียญพระไภสัชคุรุพุทธเจ้า ซึ่งรวบรวมชนวนและแผ่นยันต์มาจากทั่วประเทศกว่า 2000 ชิ้น เช่น

    -แร่โคตรเศรษฐี คุณแม่ประทุม
    -แผ่นจารลายมือหลวงปู่ฝั้น
    -ปรอททะเล หลวงพ่อภัทร วัดโคกสูง
    -ชนวนหล่อพระวิสาขะ หลวงปู่ทรง วัดศาลาดิน
    -ชนวนหล่อพระหลวงพ่อองคืตื้อ จ.หนองคาย อายุเป็น ร้อยปี
    -ชนวนพระหลวงพ่อกุ่ม วัดฝาง จ.อ่างทอง
    -ฆ้องเนื้อทองโบราณ
    -ชนวนหล่อพระหลวงปู่หงษ์ จ.สุรินทร์
    -ชนวนพระหลวงพ่อฤษีลิงดำ วัดท่าซุง
    -ชนวนพระปิดตาหลวงปู่อั๊บ วัดท้องไทร
    -ฯลฯ

    ชนวนเนื้อเงินแท้ น้ำหนัก 1 กิโลกรัม ที่นำมาหลอมเทพระกริ่งบางพรหมจินดามณี

    -แหวนเงิน หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จ.อยุธยา
    -พระเนื้อเงินหลวงปู่ใจ วัดเสด็จ จ.สมุทรสงคราม
    -ตะกรุดมหาปราบเนื้อเงินหลวงพ่อพระอธิการใจ วัดพระยาญาติ จ.สมุทรสงคราม
    -ตะกรุดมหาระงับเนื้อเงินหลวงพ่อพระอธิการใจ วัดพระยาญาติ จ.สมุทรสงคราม
    -ตะกรุดลูกอมโลกธาตุเนื้อเงินหลวงพ่อพระอธิการใจ วัดพระยาญาติ จ.สมุทรสงคราม
    -ตะกรุดเนื้อเงินพระครูปลัดมานิตย์ วัดเงิน ตลิ่งชัน กรุงเทพฯ
    -ตะกรุดนะหน้าทองเนื้อเงินหลวงปู่ดี
    -ตะกรุดมหาจักรพรรดิ์ฯ เนื้อเงินหลวงปู่เสียน วัดมะนาวหวาน จ.อ่างทอง
    -เหรียญหล่อเนื้อเงินหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ จ.นครปฐม
    -เหรียญหล่อองค์พ่อจตุคามฯ รุ่นศิริสมบัติ เนื้อเงิน
    -เหรียญสิบสองราศีหลังแผนผังพลังจักรวาลเนื้อเงิน
    -เหรียญเงินเนื้อเงินแท้สมัยรัชการที่ ๕
    -เงินพดด้วงโบราณ
    -แหวนยันต์เนื้อเงิน วัดประดู่ทรงธรรม จ.อยุธยา
    -เหรียญพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเนื้อเงิน
    -กำไลเงิน ตลับใส่สตางค์เนื้อเงิน ทัพพีเนื้อเงิน สร้อยเงิน แหวนเงิน ที่ล้วนแต่มีความหมายที่ดีและผ่านการอธิฐานมาแล้ว

    รวมน้ำหนัก 1 กิโลกรัม

    ชนวนหล่อพระกริ่งบางพรหม ส่วนที่เหลือ ที่ไม่ใช่เนิ้อเงินแท้

    -แผ่นยันต์ 108 และนะ 14 และยันต์จินดามณีอีก 9 แผ่น
    -เนื้อระฆังสัมฤทธิ์โบราณ
    -ชนวนทองล้นเบ้าหล่อพระสีวลี สำนักคุณแม่ปทุม โคราช
    -ชนวนหล่อพระชัยวัฒน์ วัดสุทัศน์ฯ กรุงเทพฯ
    -แหวนพิรอดยุคต้น หลวงพ่อสาย วัดท้องคุ้ง จ.อ่างทอง
    -ชนวนหล่อพระเนื้อนวโลหะท่านพระอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโตภิกขุ ( รับมอบ
    มาจากลุงผูใหญ่หนุน ลูกศิษย์ท่านอาจารย์)
    -เหรียญหล่อหลวงปู่พลอย วัดเงิน ตลิ่งชัน
    -ชนวนหล่อรูปหล่อโบราณ หลวงปู่ทรง วัดศาลาดิน จ.อ่างทอง
    -ชนวนทองล้นเบ้าหล่อพระประธาน
    -แหวนปลอกมีดเนื้อนาก
    -กำไรสัมฤทธิ์ขอมโบราณ
    -ชนวนหล่อพระกริ่งเนื้อนวโลหะในสายหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ช่างขุนร่วมบุญชนวนมาครับ
    -ชนวนหล่อพระกริ่งเนื้อนวโลหะหลวงปูบัว วัดศรีบูรพาราม จ.ตราด ช่างขุนร่วมบุญชนวนมาครับ
    -ตะกรุดเนื้อทองแดงอีกจำนวนมาก

    พระกริ่ง อธิษฐานสองปี

    พระกริ่งบางพรหมเมื่อเทหล่อเสร็จ ได้บรรจุในครอบน้ำมนต์ ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2553
    เพื่อจะอธิษฐานตลอด สองปีเต็ม

    และได้นำเข้าพิธีพุทธาพิเศษใหญ่ สองครั้ง เพื่อให้สมศักดิ์ศรีพระกริ่ง อันเป็นการสร้างวัตถุมงคลชั้นสูง โดยแต่ละพิธีที่นำเข้านั้น ล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกับ สายวิชาและครูอาจารย์ ของวัดท่านทั้งนั้น

    พิธีแรก พิธีเหรียญหล่อย้อนยุคหลวงปู่พลอย วัดเงิน จัดที่วัดประสาท ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่พลอยท่านเคยอยู่ก่อนจะมาวัดเงิน

    พิธีที่สอง พิธีหล่อรูปเหมือนหลวงปู่รอด วัดนายโรง และเบี้ยแก้ย้อนยุคตำรับ หลวงปู่รอด
    หลวงปู่ภู่ อดีตเจ้าอาวาสองค์ที่สองของวัดเงิน ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่รอด วัดนายโรงครับ จึงมีสายวิชาสัมพันธ์กัน และในพิธีนี้มีผู้มาร่วมงาน เห็นมีแสงสีขาวสว่าง พุ่งจากฟ้า ลงมาในพิธีด้วยครับ

    วิชาที่ท่านใช้ในการอธิษฐานเป็นวิชาจินดามณีทั้งหมดที่ท่านเรียนมา รวมทั้งวิชาต่างๆ อีกมาก เพื่อให้มีพุทธคุณเด่นทางเมตตาโภคทรัพย์ และอธิษฐานใช้ได้ครอบจักรวาลครับ



    *************************************************
    อ้างอิงจากเว็บ g-pra.com

    ท่านพระครูปลัดมานิต วัดเงินบางพรหม ท่านได้สร้างพระกริ่งบางพรหม เป็นพระกริ่งที่น่าจับตามอง ชนวนมวลสารพิธีนั้นยอดเยี่ยม เสกด้วยมนต์จินดามณี เล่นหากันทะลุหมื่นแล้ว

    *************************************************

    อ้างอิงจากเว็บ thaprachan.com

    พระกริ่งบางพรหม เป้นพระกริ่งที่น่าจับตามองครับ ..............โชว์อย่างเดียวห้ามถามราคา ชนวนมวลสารพิธีนั้นยอดเยี่ยมสำหรับสายนี้ เสกด้วยมนต์จินดามณี และตามสายวิชาของท่านพระครูปลัดมานิต วัดเงินบางพรหม พระอาจารย์อีกท่านที่ผมเคารพ การสร้างทำแบบไม่ห่วงทุนจริงๆ สุดๆ คอพระเก่าอย่างผมยังต้องอาราธนาติดตัว คงไม่ต้องถามว่าคนเล่นพระเก่าจะห้อยพระยุคไหม่จะต้องพิจารณาอะไรบ้าง ถ้ารู้อะไรลึกๆแล้ว คอพระเก่าหลายท่านผมว่า ไม่พลาด ครูบาอาจารย์ที่ท่านปลุกเสกท่านก็ปฏิบัติดี ผมเองให้ความเคารพท่านมาก ไม่เล่ามาก ที่สำคัญ ใครมีใครก็หวงครับ

    ************************************************

    * พระกริ่งองค์นี้ หล่อเต็มสมบูรณ์ มีจารที่ฐาน และ จารใต้องค์พระ ใต้องค์พระเห็นผิวเนื้อทองคำกระจายทั่วชัดเจนมาก

    * พระมีจำนวนสร้างที่น้อย เสกดี มวลสารดี เห็นแร่ทองคำกระจายในองค์พระสวยงาม และการหล่อโบราณ ทำให้พระที่หล่อเต็มสมบูรณ์ยิ่งหายาก ต่อไปคงเหลือเพียงตำนานและภาพถ่าย

    แบ่งให้บูชา ... 1X,XXX บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2016
  3. โอสถ

    โอสถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,545
    ค่าพลัง:
    +12,113
    ปัญหาเกี่ยวกับพุทโธ

    ปัญหาเกี่ยวกับพุทโธ

    โยม : หลวงปู่ครับผมได้ยิน พระบางรูปหรืออาจารย์บางท่าน สอนว่าพุทโธพาเราไปได้แค่พรหมไม่สามารถพาเราไปนิพพานได้นี่ถูกต้องไหมครับ

    หลวงปู่ : คุณดูนั้น (ท่านชี้มือไปที่ต้นสะเดาข้างอุโบสถ) คุณว่าต้นมะขามที่ขึ้นอยู่ข้างต้นสะเดา มันจะกลายเป็นต้นสะเดาได้ไหมหล่ะ

    โยม : ไม่ได้ครับหลวงปู่

    หลวงปู่ : หือ ไม่ได้เหรอ เอาใหม่นะ ถ้าต้นมะขามออกใบ ออกดอก ออกผล แล้วร่วงหล่นลงมาที่โคนของต้นสะเดา ย่อยสลายกลายเป็นธาตุอาหารในดิน รากของต้นสะเดาก็ดูดเอา ปุ๋ยนั้นไปหล่อเลี้ยงลำต้น ออกเป็นใบสะเดา ดอกสะเดา ผลสะเดา ผลสะเดาก็ตกลงมาเป็นต้นสะเดาเล็กๆ หลวงปู่ถามคุณอีกครั้งว่า มะขามกลายเป็นสะเดาได้ไหม

    โยม : ได้ครับผมหลวงปู่

    หลวงปู่ : เออ พุทโธ ที่คุณว่า ไม่พาคุณไปนิพพานเหรอ แต่คุณต้องอาศัยพุทโธพาคุณไปนิพพาน นิพพานหน่ะประตูไม่กว้างนะและก็ไม่แคบ พอดีตัวคุณเลยหล่ะ

    คุณจะเอาอย่างอื่นเข้าไปด้วยไม่ได้ บุญก็เข้าไม่ได้ บาปก็เข้าไม่ได้ ศีลก็เข้าไม่ได้ ธรรมก็เข้าไม่ได้ พุทโธก็เข้าไม่ได้ คุณต้องทิ้งหมด ทั้งดีทั้งชั่ว เข้าไปแค่ตัวคุณคนเดียว

    พุทโธ เป็นบาทเป็นฐาน เป็นสมถะที่เข้าสู่วิปัสสนา วิปัสสนาตัวปัญญานั้นถึงจะพาคุณตัดกิเลสได้ แต่วิปัสนาของคุณต้องอาศัยพุทโธ อาศัยสมถะ วิปัสนาเป็นรถ สมถะเป็นน้ำมัน รถที่ขาดน้ำมัน มันจะวิ่งไหมหล่ะ

    พองหนอ ยุบหนอก็ดี นะ มะ พะ ธะ ก็ดี สัมมาอรหังก็ดี ล้วนแต่เป็นปุ๋ยให้พระนิพพานเหมือนกันหมด เหมือนต้นมะขามที่กลายเป็นสะเดานั้นไง เข้าใจนะ...

    ที่มา : คติธรรม คำสอน โดย หลวงปู่หา สุภโร
     
  4. โอสถ

    โอสถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,545
    ค่าพลัง:
    +12,113
    พระพุทธรูปคอหัก

    พระพุทธรูปคอหัก

    บ่ายวันหนึ่งขณะที่หลวงปู่กำลังนั่งรถเข็ญออกตรวจบริเวณวัด พบชาย ๒-๓ คนกำลังก้มๆเงยๆ อยู่โคนต้นไม้หลังอุโบสถ

    หลวงปู่ : ทำอะไร โยม

    โยม : พวกกระผมเอาพระพุทธรูปมาปล่อย(ทิ้ง)ครับ

    หลวงปู่ : ทำไมเอาพระพุทธรูปมาปล่อยซะหล่ะ

    โยม : พระพุทธรูปสององค์นี้คอหักครับ พ่อว่าไม่ดีเลยให้เอามาปล่อย

    หลวงปู่ : อ้อ พระพุทธรูปคอหักไม่ดี เลยเอามาปล่อยวัด อะไรไม่ดีก็เอามาปล่อยวัด หมากัดเป็ดกัดไก่ ไก่ ๔ ขา หมา ๔ หู ต้นไม้ประหลาด
    ลูกบอกไม่ได้สอนไม่เอาก็ให้มาบวช แต่เวลาขอของดีต้องมาขอกับพระ มาหาพระมาหาของดี ที่ไม่ดีก็เอามาทิ้งวัด มาทิ้งให้เป็นภาระพระ
    พระพุทธรูปคอหักคุณว่าไม่ดี เพราะคุณเข้าใจว่าไม่ดี ตอนไปบูชามาเสียเงินเสียทอง เอามากราบไว้บูชา ถือว่าดีว่าขลัง
    พอตกแตกคอหักคุณก็ว่าเป็นของอัปมงคล คนเราอยู่ด้วยกันรักกันชอบกัน พออีกคนตายหมดลมหายใจก็กลัวกัน สมมุติกันว่าเป็นผีก็พาลกลัวกันซะอีก คุณเอ้ย
    ความเป็นพระไม่ได้อยู่ที่ก้อนอิฐก้อนดินดอกนะ ความเป็นคนก็ไม่ได้อยู่กับร่างกายสังขารดอกนะ ความเป็นพระอยู่ที่คุณงามความดีของพระองค์
    ความเป็นคนก็อยู่ที่คุณงามความดีของเขา คุณสมมติว่าพระคอหักคือพระตายก็กลัวพระคอหัก คุณสมมติว่าคนหมดลมหายใจก็เป็นผีก็กลัวผี
    ถ้าความเป็นพระอยู่ที่ใจเรา พระนั้นถึงจะแตกจะหักก็น่ากราบน่าไหว้ ถ้าความเป็นคนอยู่ที่ความรักความผูกพันธ์ อยู่ในความดีของกันและกัน
    ถึงเขาหมดลมก็ยังน่าคิดถึงน่านับถือ ไม่น่ากลัว แต่คุณคิดว่าเมื่อเสกพระพุทธรูปแล้วท่านมีชีวิต มีความขลัง พอท่านคอหักก็คือท่านตาย
    ท่านหมดความขลังความศักดิ์สิทธิ์ ให้เข้าใจเสียใหม่ พระก็คือพระจะคอหักจะแตกจะบิ่นความเป็นพระก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย
    เพราะพระก็คือพระ ความดีเป็นพระ ความที่พระองค์ทรงสั่งทรงสอนเป็นพระ ไม่ใช่ความเป็นอิฐเป็นดินเป็นพระ
    ถ้ามีความเชื่อความศรัทธาอย่างนี้ พระจะแตกจะหักเราก็ยังเก็บไว้ได้ ยังกราบได้ เข้าใจนะ

    โยม : แล้วจะให้พวกผมทำอย่างกับพระพุทธรูปคอหักนี้ครับ

    หลวงปู่ : ที่บ้านมีกาวไหม มีก็ทาติดให้เหมือนเดิมซะ

    โยม ...................................

    คติธรรม คำสอน โดย หลวงปู่หา สุภโร
     
  5. โอสถ

    โอสถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,545
    ค่าพลัง:
    +12,113
    กินเจเว้นกรรม

    กินเจเว้นกรรม

    เหตุเกิดเมื่อปีที่แล้ว ณ วัดสักกะวันเมื่อมีโยมคณะหนึ่งไปกราบหลวงปู่

    โยม :หลวงปู่เจ้าขา โยมกับเพื่อนอธิษฐานว่าปีนี้ตลอดพรรษาจะกินเจกันและกินมาได้หนึ่งเดือนแล้วเจ้าค่ะ

    หลวงปู่: อือ ดีแล้ว กินเจได้ คนฆ่าสัตว์ก็ลดลง

    โยม: นั้นสิเจ้าค่ะหลวงปู่ คนกินเจ งดฆ่าสัตว์ ได้บุญ ไม่รู้ทำไมนะ คนชอบกินสัตว์ กินแล้วก็ฆ่าเขา ถึงตัวเองไม่ได้ฆ่าไปซื้อเขาก็เท่ากับ สนับสนุนคนอื่นเขาฆ่าตัวเองก็บาปด้วย โยมคิดว่าคนกินเนื้อสัตว์ต้องตกนรกแน่นอน นี่ไงโยมถึงว่าคนกินเนื้อเหมือนเปรตเหมือนผี

    หลวงปู่: คุณ!! คุณงดการฆ่าได้เป็นเรื่องน่าอนุโมทนา คุณไม่กินเนื้อได้ก็น่าอนุโมทนาเพราะคุณลดการเบียดเบียนทางปาก แต่การที่ส่งใจไปคิดไม่ดีกับคนอื่น การนินทาว่าร้าย การเห็นว่าเขาเลว นั้นก็การเบียดเบียนคนอื่นเขาด้วย

    คุณกินเจด้วยใจเป็นบุญเป็นกุศลนั้นยอดความดี แต่เมื่อกินแล้วกลับไปกล่าวร้ายว่าร้ายคนอื่นคุณก็ยังเบียดเบียนคนอื่นอยู่ดีนั้นหล่ะ ปากหน่ะเป็นบ่อเกิดบุญก็ได้ เป็นบ่อเกิดบาปก็ได้ เราทำดีนั่นเป็นส่วนดีของเรา แต่อย่าเที่ยวไปว่าคนอื่นเขา ศีลมีไว้พัฒนาตนเองไม่ใช่มีไว้จับผิดคนอื่น คนที่กินผักกินเจแล้วเที่ยวไปว่าคนอื่นก็หนีไม่พ้นการเบียดเบียนอยู่ดี จงทำตนให้ดีแต่อย่าไปเที่ยวว่าใครเห็นว่าตนดีกว่าเขา คุณก็ทุกข์เท่าความดีที่คุณมีนั่นหล่ะ ทำความดีหน่ะมันดี แต่หลงในความดีหรือหลงในสิ่งที่ตนคิดว่าดี ความดีนั่นกำลังทำร้ายเรานะ

    ทำดีแทนที่จะมีสุขกลับทุกข์เพราะความดีที่ตนทำ จำไว้ความดีความบริสุทธิ์เป็นเรื่องส่วนบุคคลอย่าเอาตนเป็นบรรทัดฐาน กินเจกินผัก ต้องเว้นการเบียนเบียนทางกายทางวาจาทางใจด้วย ถ้ากินเจแล้วเที่ยวไปจับผิดคนอื่น อย่ากินเลยจะดีกว่า
     
  6. โอสถ

    โอสถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,545
    ค่าพลัง:
    +12,113
    หัวใจทุกดวงก็ล้วนมุ่งสู่พระนิพพาน

    ถนนทุกสายล้วนมุ่งสู่เมืองหลวง หัวใจทุกดวงก็ล้วนมุ่งสู่พระนิพพาน

    ด้วยเรื่องการปฏิบัติธรรมของเมืองไทยมีอยู่หลายสำนัก หลายวัด ทำให้ผู้คนเริ่มสับสนไม่รู้ว่าควร ปฏิบัติตามแนวทางใด สำนักใดจึงจะถูกต้อง วันนี้ก็เช่นกัน หลังฉันเช้าเสร็จก็มีโยมเข้ามากราบและเรียนถามปัญหาคาใจกับหลวงปู่

    โยม ; หลวงปู่เจ้าขา โยมเป็นคนชอบปฏิบัติธรรม ชอบกราบชอบไหว้...ครูบาอาจารย์ เจ้าค่ะ

    หลวงปู่ ; อนุโมทนานะคุณนะ

    โยม ; โยมไปปฏิบัติมาหลายสำนัก แต่งงที่ยังไม่ก้าวหน้ามาหลังเลยเจ้าค่ะ เวลาภาวนาพุทโธ บางที่พอง-ยุบก็เข้ามาแทรก ครั้นพอเอาสติมาจับพอง-ยุบ สัมมาอรหังก็โผล่มา ไม่รู้โยมจะทำอย่างไร จับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว ไม่ทราบว่าสายไหนดี สายไหนไม่ดีเจ้าค่ะ

    หลวงปู่ ; เหอะ เหอะ คุณรู้จักเป็ดไหม

    โยม ; รู้จักเจ้าค่ะ ทำไมเจ้าค่ะ

    หลวงปู่ ; เออ เป็ดหน่ะ มันบินเป็น ว่ายน้ำเป็น เดินก็เป็น มุดน้ำก็เป็น แต่มันเป็นแบบไม่เก่ง ไม่สวย เดินมันก็เดินไม่สวยเหมือนไก่ ว่ายน้ำมันก็ว่ายเป็นแต่ไม่เก่งเหมือนปลา บินมันก็บินเป็นแต่ไม่เก่งเหมือนนก สำนักปฏิบัติธรรมมีมากมายหลายหลาก ต่างแบบก็ต่างทำ ต่างวิธีการ ล้วนแต่ทำตามความถนัด ทำตามจริตของตนเอง ของครูบาอาจารย์ แต่ทุกสำนักทุกสายก็รวมลงที่ความสงบ รวมลงที่ปัญญา รวมลงที่การรู้ธรรมเห็นธรรม ตามแบบตามแผนที่ครูบาอาจารย์ท่านสั่งท่านสอน ถนนทุกสายล้วนมุ่งสู่เมืองหลวง หัวใจทุกดวงก็ล้วนมุ่งสู่พระนิพพาน ให้เดินถนนสายเดียวนะ จะเข้ากรุงเทพ ออกไปจากการสินธุ์ ไปถึงขอนแก่นก็เปลี่ยนใจวิ่งไปทางเมืองเลย ไปถึงเมืองเลยก็วิ่งเข้าพิษณุโลก ออกจากพิษณุโลกก็เปลี่ยนใจไปกาญจนบุรี แล้วเมื่อไหร่จะถึงกรุงเทพ ทั้งๆที่ถนนทุกสายก็มุ่งสู่กรุงเทพ ก็เพราะเปลี่ยนใจ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา หาถนนเส้นนั้น เปลี่ยนถนนเส้นนี้ ก็เนิ่นช้าเท่านั้น คุณเอ้ย ถ้ากรรมฐานยังจัดเข้าใน สมถะ ๔๐ วิปัสนา ๒ อย่างอยู่ กรรมฐานนั้น การปฏิบัติของสำนักนั้นก็ถือว่าถูกต้อง อย่าเลือกว่าสายใดแบบไหน อย่ามีสาย อย่าไปสังกัดสายนั้นสายนี้ ให้มันเป็นอัตตา ให้มันมีตัวมีตน เราปฏิบัติเพื่อทิ้งตัวทิ้งตน มีสายก็มีตน มีตนก็มีเรา มีเราก็มีพวกเขาพวกเรา เห็นว่าเราดีกว่าเขา เขาเลวกว่าเรา ถ้าคุณภาวนาพุทโธแล้วเที่ยวไปเหยียดหยาม พองหนอ - ยุบหนอ ไปเหยียดหยามสัมมาอรหัง ไปเหยียดหยามนะมะพะธะ ว่าเป็นของเลวเป็นของไม่ดี ในเมื่อคุณยังไม่เคยปฏิบัติคุณรู้หรือว่าไม่ดี คุณไม่รู้จักดี ไม่รู้อย่างลึกซึ้ง ไปยังไม่ถึงที่สุด จะเป็นการไม่ให้ความเป็นธรรมแก่สำนักเหล่านั้นหรือ ธรรมมะของพระบรมครูตรัสไว้มากมาย ตรัสให้คนต่างคน ต่างโอกาสฟัง คุณไม่ต้องทำตามเสียทุกอย่างนี่ เลือกเอาที่ตรงใจเรา ตรงจริตเรา เหมาะสมกับเราแล้วปฏิบัติ เดินทางเดียวอย่าเดินหลายทาง มันช้า เข้าใจนะ

    โยม ; เจ้าค่ะ แต่โยมจะแก้อาการที่พบอยู่อย่างไรเจ้าคะ

    หลวงปู่ ; ตั้งผู้รู้ขึ้นนะ ตั้งสตินะ รู้กับเดี๋ยวนี้ รู้กับขณะนี้ แล้วดูความเปลี่ยนแปลงในใจ ดูคำบริกรรม อย่าทิ้งบริกรรม ตั้งสติดูคำบริกรรม เมื่อมันขาดสติไปหาคำอื่นๆตั้งสติแล้วดึงกลับมา เลิกเป็นกรรมฐานเป็ด เลิกเป็นกรรมลอย ลอยไปหาคำนั้น ลอยไปหาวิธีนี้ ให้มั่นใจในเส้นทางที่ครูบาอาจารย์นำพาพวกเราเดิน เข้าใจนะ อย่าเป็นกรรมฐานเป็ดนะ

    คติธรรม คำสอน โดย หลวงปู่หา สุภโร
     
  7. โอสถ

    โอสถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,545
    ค่าพลัง:
    +12,113
  8. chartphet

    chartphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2012
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +2,460
    ขอจองรายการที่ 36 พระนาคปรก มงคลมหาลาภ พิมพ์ใหญ่ หลังยันต์ ปี2499
    ตามที่แจ้งไว้ทาง PM
     
  9. โอสถ

    โอสถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,545
    ค่าพลัง:
    +12,113
    วันนี้มีโยมมาเที่ยวพิพิธภัณฑ์สิรินธร เลยขึ้นมานมัสการองค์หลวงปู่ที่ศาลาหลวงพ่อบันดาลฤทธิผลจึงกราบเรียนถามปัญหาคาใจ

    โยม : หลวงปู่ครับพระพุทธเจ้ามีจริงหรือเปล่าครับ

    หลวงปู่ : มีจริงสิ ทำไมจะไม่มี

    โยม : เราจะพิสูจน์ยังไงครับว่าพระพุทธเจ้ามีจริงและคำสอนที่อยู่ในพระไตรปิฏกเป็นของจริง อาจเป็นพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งเขียนขึ้นมาเองก็ได้

    หลวงปู่ : ไดโนเสาร์มีจริงไหมคุณ

    โยม : มีสิครับผม

    หลวงปู่ : อ้าวคุณรู้ได้ไงว่าไดโนเสาร์มีอาจเป็นใครคนใดคนหนึ่ง เอาอะไรมาหล่อเป็นโครงกระดูกแล้วแต่งเรื่องหลอกพวกคุณก็ได้

    โยม : ก็มีฟอสซิล มีโครงกระดูก มีนักวิชาการรับรองว่าไดโนเสาร์มีจริงเป็นสัตว์ที่เคยมีชีวิตอยู่ในโลกนี่ครับ มีการพิสูจน์มีเอกสารรับรอง

    หลวงปู่ : ถ้าคุณว่าอย่างนั้นพระพุทธเจ้าก็ทรงมีจริง พระธาตุหรือกระดูกของพระองค์ยังอยู่ พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงก็ยังอยู่ พระอรหันต์พระอริยะเจ้าที่ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ก็ยังพ้นทุกข์อยู่ ท่านเหล่านั้นก็ยืนยันว่าพระธรรมของพระองค์ปฏิบัติได้จริงและพิสูจน์แล้วเห็นผลจริง พวกเราผู้เกิดไม่ทันก็อาศัยพระธรรมคำสั่งสอนนั้น ปฏิบัติตามและก็เห็นผลตามนั้น ถ้ามีครูบาอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่งแต่งพระไตรปิฏกมาหลวงปู่ก็ถือว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าเพราะภูมิธรรมในชั้นพระไตรปิฏกเป็นธรรมชั้นพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทรงแสดงได้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้เป็นพระอรหันต์พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ผู้ประพฤติปฏิบัติตาม ล้วนแต่เคารพในพระพุทธเจ้าและพระธรรมคำสั่งสอนนั้น พระพุทธเจ้ามีจริง พระธรรมปฏิบัติได้จริงเห็นผลจริง พระพุทธเจ้าไม่ได้หลอกเรา พ่อแม่ครูบาอาจารย์ก้ไม่หลอกเรา เพราะพระไตรปิฏกนั้นก็เป็นเครื่องรับรองความมีอยู่ของพระพุทธเจ้านั้นไงเล่า

    โยม : อย่างนั้นผมจะเคารพต่อครูบาอาจารย์และปฏิบัติตามพระไตรปิฏกจะสามารถพ้นทุกข์และเข้าสู่พระนิพพานเป็นพระอริยะเจ้าได้ใช่ไหมครับหลวงปู่

    หลวงปู่ : ไม่ได้ บางคนหลงหนังสือหลงพระไตรปิฏกจนลืมพระธรรม บางคนหลงครูบาอาจารย์เที่ยวกราบเที่ยวเฝ้าเที่ยวแหนครูบาอาจารย์ จนลืมการปฏิบัติ อะไรที่สอนเราได้ที่เราพิจารณาเพื่อลดความอยากละกิเลสตัณหาได้ อันนั้นก็พระธรรม เราอาศัยพระไตรปิฏกและครูบาอาจารย์เป็นแนวทางเป็นหลักยึดเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน แต่การหลงยึดหลงติดในพระไตรปิฏกหลงติดในครูบาอาจารย์ก็เป็นเครื่องขวางกั้นพระนิพพานได้เหมือนกัน หลงมันก็คือหลง จะให้เดินตามทางที่ถูกต้องไม่หลง เข้าใจนะ

    คติธรรม คำสอน โดย หลวงปู่หา สุภโร
     
  10. โอสถ

    โอสถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,545
    ค่าพลัง:
    +12,113
    พระแท้ ยังมีอยู่ในพระศาสนา

    โยม: หลวงปู่ครับผมจะขอนับถือแค่พระพุทธกับพระธรรมครับเพราะพระสงฆ์ทุกวันนี้มีแต่เรื่องเสื่อมเสีย ผมว่าพระแท้ๆหมดแล้วจากพระศาสนา

    หลวงปู่: ฮ้วย แสดงว่าบ่นับถืออาตมานำตั้วนี่

    โยม: เปล่าๆ ครับหลวงปู่ ผมยังเคารพศัทธาหลวงปู่เหมือนเดิม

    หลวงปู่: เอ้าไสว่าไม่นับถือพระสงฆ์เด้

    โยม: เว้นหลวงปู่สิครับผม

    หลวงปู่: บ่ะ เว้นหลวงปู่ก็แสดงว่าหลวงปู่ก็ไม่ใช่พระสงฆ์สิ

    โยม: (ทำหน้าเหมือนคิดหนัก).........

    หลวงปู่: บักหล่าเอ้ย เวลาเขาเอาทองคำนั้นเขาไปหามาจากที่ไหน

    โยม: ไปขุดดินแล้วร่อนเอาทองมาครับ

    หลวงปู่: ดินมากหรือทองมาก

    โยม: ดินมากครับผม ร่อนทองจากดินมากแล้วจะได้ทองนิดเดียว

    หลวงปู่: มันก็เหมือนพระสงฆ์นั้นหล่ะ พระสงฆ์ก็ร่อนมาจากลูกชาวบ้าน ลูกสมมติสงฆ์ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์แล้วมาบวชเมื่อไหร่ มันก็มีบ้างเสียบ้าง จะให้ดีหมดมันก็ทำไม่ได้ จะให้มันเสียหมดก็ทำไม่ได้ ส่วนที่มันเป็นดินก็อย่าเอา เอาส่วนที่มันเป็นทองสิ ถ้าเชื่อหลวงปู่ถ้าเคารพหลวงปู่ ก็จงเชื่อว่าพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมีมากมาย อย่าเหมาว่าไม่ดีทั้งหมด ขนาดคุณยังมีข้อเสีย จะให้ดีทั้งหมดทั้งโลกก็ไม่ได้ พระรัตนตรัยเหมือนไม้สามลำค้ำกันไว้ เอาออกอันหนึ่งมันก็ล้ม จำไว้พระก็คือนักเรียน ผู้เป็นอริยะคือผู้สอบผ่าน ผู้เป็นข่าวคือผู้สอบตก ให้สงสารคนสอบตก อย่าไปเกลียดคนสอบตก เพราะไม่มีใครอยากจะสอบตก เข้าใจนะ

    คติธรรม คำสอน โดย หลวงปู่หา สุภโร
     
  11. โอสถ

    โอสถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,545
    ค่าพลัง:
    +12,113
    ยศถาบรรดาศักดิ์

    ยศถาบรรดาศักดิ์


    หลวงปู่มีศิษย์เป็นข้าราชการทหารเรือหลายท่าน ตั้งแต่ผู้พัน ผู้การ ตลอดจนถึงนายสิบนายจ่า บางนายเป็นศิษย์เพราะธรรม บางนายเป็นศิษย์เพราะวัตถุมงคล บางนายเป็นศิษย์เพราะหลวงปู่ไปโปรดเอาในฝัน บางนายหลวงปู่ช่วยชีวิตจากกระสุนจากระเบิด หลวงปู่จึงเป็นที่เคารพศรัทธาของเหล่าทหารเรืออย่างยิ่ง ทุกนายเมื่อมีปัญหาทุกข์เนื้อร้อนใจก็มักจะกราบเรียนท่านอยู่เสมอ เช่นท่านผู้การ(พลเรือโท(พิเศษ)) เป็นศิษย์คนโปรดองค์หลวงปู่เพราะท่านจะมาร่วมงาน มาปฏิบัติกับท่านไม่ได้ขาด หลวงปู่ชอบชมผู้การท่านนี้ให้พระ-เณร ฟังเสมอ เมื่อท่านเกษียนประมาณปลายปีที่แล้ว ก็เข้ามากราบองค์หลวงปู่

    ผู้การ: กราบนมัสการปู่ครับผม

    หลวงปู่: อือ ผู้การมายังไง

    ผู้การ: กระผมตั้งใจมากราบครูบาอาจารย์ ผมจะมาลาบวชสัก ๒-๓ เดือน บวชให้เจ้ากรรมนายเวร

    หลวงปู่: อือ สาธุ ดีแล้วๆ

    ผู้การ: แต่หลวงปู่ครับผม มันน่าใจหาย ทั้งๆที่ผมก็เตรียมใจไว้แล้ว แต่ก่อนมีลูกน้อง มีคนดูแล มาบวชแล้วจะต้องทำตัวอย่างไร มันเหมือนมีอะไรหายๆไป คิดแล้วก็น่าใจหาย

    หลวงปู่: เหอ โอ้ปฏิบัติมาจนป่านนี้ยังตัดห่วงไม่ขาดเหรอ เป็นพระแล้วไม่มีพระพลโท พระพลเอกนะ มีแต่พระ มีแต่ผู้ปฏิบัติ ตั้งแต่เราเกิดมาเราก็ไม่ได้เป็นพลเอก พลโทมาด้วยนะ เมื่อเราคิดได้อย่างนี้ความยึดความติดมันจะลดลง แท้จริงแล้วเราไม่ได้เป็นอะไรและอย่าเป็นอะไร เพราะเราเป็นอะไรเราก็ทุกข์เพราะเราเป็น ทุกข์เท่าที่เราเป็นนั้นหล่ะ อย่าเป็นมันเป็นแล้วมันทุกข์ หลวงปู่ ไม่เป็นเจ้าคุณ ไม่เป็นพระอริยะ ไม่เป็นไดโนเสาร์ ไม่เป็นผู้วิเศษ คุณก็เหมือนกันนะ เป็นนายพลก็ทุกข์เท่านายพล เป็นนายพันก็ทุกข์เท่านายพัน เป็นพลทหารก็ทุกข์เท่าพลทหาร อย่าเป็นมันทุกข์นะ ยศที่ได้มาคือหน้าที่ ที่เราต้องรับผิดชอบ เมื่อหมดหน้าที่แล้วก็หมดยศด้วย แต่เรายังเหลือยศอันเดียวกันยศเท่ากัน นั้นคือยศคน เราเป็นคน ยศที่คุณหมดไป อันนั้นเป็นยศดีกรี แต่พระพุทธเจ้าท่านมียศดีจริงให้นะ ยศดีจริงคือ ยกระดับใจเราจากคนเป็นมนุษย์ จากมนุษย์เป็นพระ จากพระเป็นอริยะ คุณละยศดีกรีเสียแล้วมาเอายศดีจริง ยศดีกรีเมื่อคุณละโลกนี้ไปแล้วเกิดมาใหม่ต้องมาหาอีกนะ แต่ยศดีจริงแม้คุณจะละโลกนี้ไปยศนั้นจะตามคุณไปด้วย เกิดชาติหน้าไม่ต้องหาใหม่ มันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ละวางยศดีกรีซะ ปล่อยซะวางซะ แล้วเพียรพยายามทำยศดีจริงให้มันเกิดขึ้น เข้าใจนะ

    คติธรรม คำสอน โดย หลวงปู่หา สุภโร
     
  12. โอสถ

    โอสถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,545
    ค่าพลัง:
    +12,113
    คนเราหน่ะไม่เคยมีใครไม่เคยผ่านนรก แต่มันพากันลืมชาติ บางคนขึ้นมาจากนรกมาเป็นคน บางคนลงมาจากสวรรค์มาเป็นคน คนมาจากนรกแล้วขึ้นสวรรค์ก็มี ขึ้นมาจากนรกกลับลงไปนรกก็มี ลงมาจากสวรรค์ลงไปนรกก็มี ลงมาจากสวรรค์กลับขึ้นสวรรค์ก็มี อย่าพากันลืมชาติ พากันมาสบายบนโลกมนุษย์ ลืมความทุกข์ความร้อนในนรก พากันทำความชั่วก็ลงนรกอย่างเก่า

    พระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่ผู้สร้างโลก ไม่ใช่ผู้สร้างนรก ไม่ใช่ผู้สร้างสวรรค์ ท่านเป็นโลกะวิทู เป็นผู้รู้โลก รู้นรก รู้สวรรค์ รู้นิพพาน และรู้วิธีไปสู่ที่นั้นๆ ให้พากันเชื่อพระพุทธเจ้า อย่าฝืนคำท่าน ท่านบอก ท่านสอน ท่านเอ็นดูเมตตาโลก

    เสียดายบางคนเป็นเทวดามาเป็นคนก็มาหลงคนหลงโลกทำความชั่วลงนรกไป ตั้งใจจากสวรรค์ว่าจะมาทำความดี จะมาทำบุญ ก็มาหลงโลก ทำชั่วแล้วลงนรก คุณเอ้ยเรายังไม่ถึงพระโสดา ก็ยังไม่พ้นนรก นรกไม่ใช่ของเล่น มันทุกข์มันยาก มันแสบมันร้อน ร้อนในโลกเท่าไหร่ก็ไม่ได้สักเสี้ยวของร้อนในนรก

    พระญาณวิสาลเถร (หา สุภโร)
    เจ้าอาวาสวัดสักกะวัน (ภูกุ้มข้าว)
    ต.โนนบุรี อ.สหัสขันธุ์ จ.กาฬสินธุ์
     
  13. โอสถ

    โอสถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,545
    ค่าพลัง:
    +12,113
  14. โอสถ

    โอสถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,545
    ค่าพลัง:
    +12,113
    เวทนาที่สะโพก ไม่ได้ปวดที่ปาก ไม่ได้ปวดที่ใจ

    เวทนาที่สะโพก ไม่ได้ปวดที่ปาก ไม่ได้ปวดที่ใจ

    เมื่อหลวงปู่เผชิญเวทนา

    ดังที่ได้ทราบกันว่าเมื่อต้นเดือนกรกฏาคม ขณะที่องค์หลวงปู่กำลังเดินจงกรมท่านได้ลื่นล้ม จนกระดูกที่บริเวณสะโพก(สลักเพชร)แตก แต่หลวงปู่ใช้ขันติธรรมประคองตัวนั่งอยู่ จนคณะโยมอุปฐากไปพบ จึงได้ประคองหลวงปู่เข้าที่พัก

    แต่ท่านก็ไม่ได้บอกว่าท่านล้มเพียงแต่ปรารภว่า ท่านมีเวทนาที่สะโพกอย่างแรง
    วันต่อมาท่านมีอาการไข้และลุกขึ้นทำกิจไม่ได้ จนคุณมงคล คงสุขจิระและคณะอุปฐากจากกรุงเทพได้นำรถตู้ไปรับมารักษาที่กรุงเทพ คณะพระภิกษุสามเณรจึงได้เข้าไปกราบเยี่ยมอาการป่วย

    คุณหมอแจ้งคณะอุปฐากจากกรุงเทพว่า องค์หลวงปู่มีการกระดูกสะโพกแตก ต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วน

    แต่ปัญหาคือว่า เวลาคุณหมอถามว่า ท่านปวดหรือไม่ท่านจะตอบว่า ไม่ปวดดอก
    ซึ่งคณะแพทย์ขอให้คณะพระเณรอุปฐากกราบเรียนท่านว่าให้บอกคุณหมอตามอาการ
    คณะอุปฐากจึงเข้ากราบเรียนถามอาการ

    พระ : ขอโอกาสพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ทราบข่าวว่า พ่อแม่กระดูกแตก พ่อแม่ปวดไหมครับผม

    หลวงปู่ : ปวดอยู่

    พระ : ขอโอกาส ปวดมากไหมครับผม

    หลวงปู่ : ปวดเท่าที่มันปวด นั้นหล่ะ ถ้าจะถามถึงว่าแค่ไหน ปวดจนแทบทนไม่ไหว ปางตายนั้นหล่ะ

    พระ : ขอโอกาส ปวดมากทำไมองค์พ่อแม่ ไม่แสดงอาการปวดเลย หน้าตายังสดใสเหมือนคนไม่ป่วย

    หลวงปู่ : ฮ้วย!!! ถ้าผมบ่นว่าเจ็บว่าปวดและมันหายเจ็บหายปวดผมก็จะบ่น แต่นี่บ่นแล้วไม่ก็ไม่หาย

    ไม่รู้ผมจะบ่นไปทำไม เวทนามันกล้าที่สะโพก มันปวดที่สะโพก มันไม่ได้ปวดที่ปากไม่ได้ปวดที่ใจ


    ถ้าเที่ยวร้องครวญครางให้คนเขารู้ว่าเราเจ็บเราปวดมีดีขึ้นผมก็จะทำ คุณเอ้ย ผมปวดที่สะโพก มันก็สะโพกผมปวด ถ้าผมบ่นว่าปวดแสดงว่ามันปวดที่ปากปวดที่ใจ

    ทำออกไปแสดงออกไปแทนที่มันจะดีมันกลับเสีย เป็นคนเสียสติ ให้เอาเจ็บเอาปวดสอนเรานะ

    มันเจ็บมันปวดที่สะโพกแต่ผมไม่ได้เจ็บได้ปวดด้วย สะโพกมันมีหน้าที่ปวดแต่ผมมีหน้าที่ดูใจดูพุทโธ

    ไม่มีเวลาว่างไปดูสะโพกดอก คุณเอ้ยเห็นคนอื่นเขาป่วยให้เอามาสอนเราว่าสักวันเราก็ต้องเจ็บเราก็ต้องป่วย

    เราหนีไม่พ้น เห็นเขาเป็นให้เอามาสอนเรา น้อมเข้ามาใส่เรา
    อย่าพากันหลงว่าเราจะไม่เจ็บไม่ป่วย
    สักวันมันต้องเป็นทีเรา
    ทีเขาประคับประคองใจได้หรือไม่ ทีเราประคับประคองใจเราได้หรือไม่
    อย่าพากันบ่นว่าเจ็บว่าปวด หันกลับมาดูใจเจ้าของ ไม่จะได้ไม่ปวดใจ เข้าใจนะ
     
  15. โอสถ

    โอสถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,545
    ค่าพลัง:
    +12,113
    พระมงคลมหาลาภ

    ข้อมูลเกี่ยวกับพระมงคลมหาลาภ เป็นพระนาคปรกสี่เหลี่ยม เนื้อผงขาว (และส่วนผสมดังกล่าวแล้ว) ด้านหลังเป็นยันต์เฑาะดอกบัว อะอุมะ พิมพ์ใหญ่กลางเล็ก จำนวน ๘๔,๐๐๐ องค์ ซึ่ง “พระรัชชมงคลมุนี” (พระมหารัชชมังคลาจารย์) อดีตเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ได้มอบให้ “พระชอบ สัมมาจารี” วัดอาวุธวิกสิตาราม กรุงเทพ ฯ สร้าง เพื่อนำมาแจกในงานสมโภชพระประธาน โดยส่ง “ผงอิทธิเจ ผงพุทธคุณต่าง ๆ เป็นแท่ง ๆ ประทับตรา “วัดสัมพันธวงศ์” ให้นำมาผสม โดยเรียก “พระนาคปรก” นี้ว่า “พระมงคลมหาลาภ” ซึ่งมีชื่อของท่านคือ “พระรัชชมงคลมุนี” อยู่ในชื่อพระด้วย ในพิธีนี้แม่ชีบุญเรือนได้อธิษฐานจิตร่วมอยู่ในพิธีด้วย

    หลวงพ่อลี วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ องค์ประสานงานพิธีพุทธาภิเษกครั้งนี้ ได้บอกศิษย์ว่า “พระผงนี้ดีมาก มีรังสี สีขาว และเหลือกระจายออกสว่างไสว” นอกนั้น ท่านยังได้ขอพระผงมงคลมหาลาภที่ชำรุดประมาณ ๑ บาตรพระ นำไปบดใส่ “พระใบโพธิ์เนื้อดิน พ.ศ. ๒๕๐๐“ ของท่านด้วย

    “ เฮ็ดหยังแรงจังซี่” เป็นคำอุทานที่ท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ อุทานเมื่อครั้งยังเป็นเพียงผง และท่านได้ขอพระหักไปสร้างพระโพธิจักรฉลอง 25 ศตวรรษที่วัดอโศการาม 1 บาตร ) “สมัยแรกที่ได้เอาพระมงคลมหาลาภบรรจุไว้ได้ฐานพระในกุฏิ เห็นมีรัศมีสีเขียวพุ่งออกมาเป็นวาเลย “เขียวมาเชียวน๊ะ” (พระมหารัชชมังคลาจารย์(เทศ นิเทสโก) วัดสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร) “พระองค์หนึ่ง เท่ากับพระธาตุองค์หนึ่ง เมื่อนำมาไหว้พระสวดมนต์ สามารถสื่อกับเทพพรหมได้ ทุกสวรรค์ชั้นฟ้าจรดบาดาลเลยทีเดียว” (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ทักหลานคุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำที่ห้อยพระมงคลมหาลาภไปทำบุญกับท่านครั้งหนึ่ง) “พระนี้ แรงยิ่งกว่าพระกรุทุกกรุเท่าที่หลวงปู่เคยสัมผัสพลังมา แม้พระรอดมหาวันก็ไม่สู้” (คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ แม่ชีอรหันต์แห่งคำชะอี ที่หลวงปู่ชอบรับรองว่า สามารถเหาะไปสวรรค์ได้ทั้งกายเนื้อ) “พระมงคลมหาลาภนี้ มีรัศมีสีเขียว ดีทางแคล้วคลาดยอดเยี่ยมที่สุด ไม่ต้องไปหาพระรอดมหาวันให้เหนื่อยยากเลยทีเดียว” (หลวงปู่คำพันธุ์ โฆษปัญโญ วัดธาตุมหาชัย นครพนม กล่าวยกย่องพระมงคลมหาลาภอย่างยิ่ง รวมถึงอาจารย์ปถม อาจสาครเอง ก็ได้เอาผงพระ “มงคลมหาลาภ” หักๆนี้ไปทำพระผงรุ่น “โสฬสมหาพรหม” 2505 ของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่จนดังระเบิดในเวลาต่อมาด้วย สมกับท่านอาจารย์ ปถมบันทึกไว้เองว่า “รวบรวมผงหักป่นไว้ได้สักโหลใหญ่ พระที่ผมสร้างจึงขลัง “เพราะได้ผงหลักจาก” พระมงคลมหาลาภ นี่เอง

    ขนาดขององค์พระ พิมพ์ใหญ่ ฐานกว้างประมาณ ๒.๕ – ๓.๘ ซม. หนา ๐.๕ ซม. พิมพ์เล็ก ฐานกว้างประมาณ ๒.๒ – ๒.๕ ซม. หนา ๐.๕ ซม ด้านหลัง มีตราวัดสัมพันธวงศ์ “เฑาะรัศมีดอกบัว อ.อุ.ม. ประทับลงในเนื้อเป็นตรารูปไข่ ขนาดของความหนาไม่แน่นอน หนาบ้าง บางเฉียบบ้าง แล้วแต่ขนาด

    พิธีพุทธาภิเษกที่วัดสัมพันธวงศ์ นั้นในวันที่ 3 มีนาคม 2499 มีพระอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคมมานั่งปรกจำนวนมากเช่น หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อลีวัดอโศการามพระอาจารย์นอ วัดกลางท่าเรือ อยุธยา หลวงพ่อสด วัดโพธิ์แดงใต้ พระอาจารย์แฉ่ง วัดบางพัง นนทบุรี พระครูวินัยธร เฟื่อง พระอาจารย์สะอาด วัดสัมพันธวงศ์ หลวงพ่อเฮี้ยง วัดอรัญญิกาวาส ชลบุรี ฯลฯ

    พิธีพุทธาภิเษกที่วัดสารนาถธรรมาราม นั้นพระราชรัชมงคลโกวิท เจ้าอาวาสวัดสารนาถธรรมารามจ.ระยอง เคยไว้เล่าว่า พิธีพุทธาภิเษกครั้งนี้ พระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่นภูริทตโต กว่าร้อยรูป มี พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พระอาจารย์วัน อุตตโม พระอาจารย์ลีวัดอโศการาม เป็นต้น ทำพิธีนั่งปรกพุทธาภิเษกพระประธาน และพระเครื่องต่าง ๆมีพระมงคลมหาลาภ พระพุทโธน้อย เป็นต้น โดยทำพิธี 18 วัน 18 คืนท่านเล่าต่ออีกว่าในชีวิตที่ท่านเกิดมา ยังไม่เคยเห็นพิธีพุทธาภิเษกที่ไหนใหญ่โตเท่าครั้งนี้อีกเลยในพิธีนี้แม่ชี บุญเรืยนได้อธิษฐานจิตร่วมอยู่ในพิธีด้วย

    เกร็ดพิเศษ พระมงคลมหาลาภ(เพิ่มเติม)
    1.สร้างจากผง"โสฬสมหาพรหม" ล้วนๆ (ผง"กูโบ๊ส" หรือที่บางคนเรียกว่า"ผงโสฬสมหาพรหม" ได้ทำขึ้นเพื่อพระชุดนี้เป็นการเฉพาะ ที่แม้แต่ท่านพ่อลี วัดอโศการามสัมผัสดูถึงกับสะดุ้ง ร้องว่า"เฮ็ดหยังแรงจั่งซี่" และขอผงพระหัก 1 บาตรไปผสมสร้างพระใบโพธิ์ วัดอโศการาม ,อาจารย์ปถม อาจสาคร เอาพระหักรุ่นนี้ไปสร้างชุด"บินเดี่ยว" หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่จนดังระเบิด)
    2.ผงวิเศษ รวมจากสุดยอดพระคณาจารย์ในยุค 2500 มากมาย
    3.พิธีพุทธาภิเษกครั้งแรก ที่วัดสัมพันธวงศ์ นอกจากจะทำพิธีเสกแบบ"พรหมศาสตร์" เหมือนตอนทำผง"โสฬสมหาพรหม" (เสกก็นิมนต์พรหมชั้นโสฬสลงมาเสกด้วย)แล้ว ก็ยังได้นิมนต์สุดยอดพระคณาจารย์ในยุคนั้นอย่างมหาศาล น้องๆพระ 25 ศตวรรษ มีหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี,หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เป็นต้นฯลฯ
    4. และยังเสกเบิ้ลที่วัดสารนาถธรรมาราม ระยอง อีกถึง 18 วัน 18 คืน ด้วยพระสายระยอง (มีหลวงพ่อโต วัดเขาบ่อทอง, หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ เป็นอาทิ) พร้อมสายกรรมฐาน ศิษย์พระอาจารย์มั่นอีก 100 กว่าองค์ นำทีมโดยพระอาจารย์สิงห์ ขันตยคโม,หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, ท่านพ่อลี ธัมมธโร ฯลฯ ในพิธีสมโภช"พระพุทโธภาสชินราชจอมมุนี" หรือ"พระพุทโธใหญ่" ที่คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นประธานจัดสร้างและคุมงานเอง
    หมายเหตุ ...พูดง่ายๆก็คือ พระพิธีนี้ เป็นการผนึกกำลังของพระสาย"เกจิ"และ"อริยะ" ระดับสุดยอดมากเป็นประวัติการณ์ ยิ่งกว่า"พระ 25 ศตวรรษ"เสียด้วยซ้ำ (พระ 25 ศตวรรษจะมีสายวิทยาคมเสียโดยมาก แต่สายกรรมฐานมีน้อยกว่า และเสกกันเพียง 3 วัน และครั้งเดียวที่วัดสุทัศน์เท่านั้น) อีกทั้งยังเป็นพิธีที่เหมือนจะเป็นการ"ประลองฤทธิ์"กันสุดๆระหว่าง "ท่านพ่อลี วัดอโศการาม" พระอริยเถระผู้ยิ่งด้วยบุญฤทธิ์ เป็น"เจ้าพิธีฝ่ายบรรพชิต" กับ"คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม" ยอดหญิงอริยะผู้ยิ่งด้วยอิทธิฤทธิ์เป็น"เจ้าพิธีฝ่ายฆราวาส" (โอย..แค่คิดก็"มันส์หยด"แล้ว....อยากมีตาทิพย์จัง จะได้ย้อนไปดูเหตุการณ์ในวันนั้น ว่างานนั้นท่านใช้ฌาณฤทธิ์ระดับสุดยอดสู้กันเปรี๊ยะๆเปรี้ยงๆปร้างๆฟ้าถล่ม แผ่นดินทลาย เพื่อสร้างความขลังกันสุดฤทธิ์สุดเดชถึงขนาดไหนนะเนี่ย???)
    5. สร้างจำนวนเพียง 84,000 องค์
    6.เรื่องของประสพการณ์ไม่ต้องพูด คนระยอง,จันทรบุรีรู้ซึ้งถึงเยื่อในกระดูกดี มีคนรอดตายจากพายุ เพราะมีพระนี้ห้อยคออยู่องค์เดียวโดดๆก็มีมาแล้ว
    7.พระชุดนี้ ขลังขนาดเปล่งรัศมีสีเขียวยาวเป็นวาให้พระในสมัยนั้น เห็นด้วย"ตาเนื้อ"กันจะๆได้
    8.บูชาแทน "พระผงโสฬส หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่" ที่"แพงจัด"และ"ปลอมระเบิด"ได้อย่างสบายๆ เพราะนี่คือ"ต้นธาตุ"แห่ง"พระผงโสฬส" แถมยังได้นิมนต์หลวงปู่ทิม ตอนอายุ 70 กว่าๆมานั่งปรกด้วย
    9.อ.ปถม อาจสาคร หลังจากที่"ลุย"มาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ถึงกับต้องยกนิ้วการันตีแบบสุดตัวว่า พระมงคลมหาลาภนี้ "แคล้วคลาดสุดยอด" ชนิด "ไม่ต้องหาพระรอดมหาวัน"ให้เหนื่อยยากเลยทีเดียว.....!!!!!

    สมเด็จพระมงคลมหาลาภ สร้างเป็นที่ระลึกในงานสมโภชพระพุทโธภาสชินราชจอมมุนี ซึ่งสร้างที่วัดสัมพันธวงศ์ พระนครแล้วเชิญไปประดิษฐานเป็นพระธาน ณ วัดสารนาถธรรมราม อำเภอแกลง จังหวัดระยอง พร้อมด้วยพระอัครสาวกซ้ายขวา เมื่อวันที่ ๕-๓๑ มีนาคม พ.ศ.๒๔๙๙ นั้น บางท่านยังไปทราบประวัติที่ควรทราบ ซึ่งเป็นเหตุจะจงใให้เกิดความเลื่อมใสสัทธา เพื่อได้เคารพบูชาให้แน่บแน่นสมกับเป็นปูชนียวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นมงคลเหตุเครื่องเจริญอายุ วรรณะ สุขะ พละ แลลาภยศ สรรเสริญ สมบัติเกียรติศักดิ์ แลคุณธรรม คือเป็นสือสำคัญที่จะให้ใจเข้าถึงอิฐผลนั้นๆ อันนับว่าเป็นกำลังอันยิ่งใหญ่สำหรับชีวิต สามารถให้ถึงภาวะอันเป็นอิสสระเต็มที่ มีความเกษมนิรันดร

    เมื่อสร้างแจ้งให้ทราบแต่การประกอบพิธีบันจุพุทธมนต์เป็นพิเศษที่ยิ่งใหญ่ โดยสังเขป ซึ่งยังไม่เคยเห็นทำที่ไหน คือจัดที่บูชาพร้อมเครื่องสังเวยต่างๆ มีเทียนธูป ข้าวตอก ดอกไม้ ๗ สี แลอาหารผลไม้ถึงอย่างละ ๓๗๕ ที่มีเบญจา มีเสวตฉัตร ๙ ชั้น สูง ๖ ศอก ๘ ต้น บายศรีเงิน บายศรีทอง ๙ ชั้น สูง ๖ ศอก อย่างละ ๘ ต้น บันจุพระพุทธมนต์ลงไปในน้ำ และผงที่จะสร้างพระนั้น โดยนิมนต์อาจารย์ผู้มีชื่อเสียงหลายวัดทำพิธีประจุมนต์ เข้าพิธีปลุกเศกมี

    พระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ) วัดบวรนิเวศวิหาร
    พระวรเวทย์คุณาจารจย์ (เมี้ยน ปภสสโร) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
    พระมหารัชชมังคลาจารย์
    พระครูวินัยธรเฟื่อง (ญาณปปทีโป)
    พระสอาด อภิวฒฒโน วัดสัมพันธวงศ์
    พระครูนอ วัดกลางท่าเรือ อยุธยา
    พระอาจารย์บุ่ง วัดใหม่ทองเสน
    พระชอบ สัมมาจารี วัดอาวุธวิกสิตาราม ธนบุรี
    เป็นต้น

    พร้อมด้วยบันจุ เทพมนต์พรหมมนต์ โดยเชิญเทพแลพรหมผู้มีชื่อเสียงเก่าๆ มาเข้าทรงประกอบพิธีอธิษฐานบันจุมนต์ลงด้วย และบันจุมนต์โยคีโดยโยคีฮาเร็บ (อาจารย์ชื่น จันทรเพ็ชร) ผู้มีชื่อเสียงและ พ.ต.อ.ชะลอ อุทกภาชน์ ผู้เป็นศิษย์เป็นผู้ทำพิธีบรรจุ เสร็จพิธีแล้ว จึงได้ใช้ผงประสมทำเป็นองค์พระได้มงคลฤกษ์ จึงได้ทำพิธีปลุกเศกพระเครื่องนั้นอีกครั้งหนึ่ง

    พระเครื่องที่จะทำพิธีปลุกเศกนั้น ห่อด้วยผ้าขาว ๗ ชั้น ผ้าเขียว ๗ ชั้น พิธีนอกนั้นเหมือนเมื่อบันจุมนต์ลงในผงแลน้ำที่จะสร้างพระ ตั้งน้ำมนต์สำหรับแจกผู้ต้องการซึ่งมาร่วมพิธี ๔๐ ตุ่ม แต่ไม่ได้กล่าวถิ่นผงที่นำมาประสมสร้างพระนั้นว่ามีอะไรบ้าง มีผู้สนใจต้องการทราบอยู่เป็นจำนวนมา จึงสมควรเขียนประวัติ เนื่องด้วยผงที่นำมาประสมสร้างพระเครื่องนั้น ให้ท่านทราบไว้ด้วย ดังต่อไปนี้

    ๑. ผงขอจากพระอาจารย์ต่างๆ ที่ท่านทำและรวบรวมไว้หลายวัด เช่นวัดพระเชตุพน วัดตรีทศเทพ วัดสัมพันธวงศ์ ฯลฯ ผงแป้งที่ทำแลผงจากพระของเก่าบ้าง
    ๒.ผงพระที่ทำด้วยว่านต่างๆ ที่นิยมว่าเป็นมงคลศักดิ์สิทธิ์ ๑๐๘ อย่าง ทำจากดอกไม้บูชาพระต่างๆ ๑๐๘ อย่าง
    ๓. ผงที่ทำด้วยดินจากท่าน้ำ ๗ ท่า และจากสระน้ำ ๗ สระ
    ๔. ผงที่ทำด้วยเอาคัมภีร์เก่าๆ ทั้งใบลานแลสมุดข่อยมาเผาบด ตั้งแต่หมายเลข ๑ ถึง ๕ นี้ประสมสร้างพระผงรุ่นก่อน แล้วเอาบดผสมเข้ากัน กับผงใหม่ที่นำมาเข้าพิธีนี้ด้วย
    ๕. ผงที่ได้จากดินที่สังเวชนียสถาน แห่งในอินเดียคือ ๑ ดินที่ลุมพินีระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์และเทวทหะ ซึ่งเป็นที่ประสูดของพระพุทธเจ้า ๒ ดินที่มหาโพธิพุทธคยาที่ตรัสรู้ ๓ ดินทีสารนาถ มฤคทายวัน เมื่องพาราณสี ซึ่งเป็นที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจักร ๔ ดินที่กุสินนาราซึ่งเป็นที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน
    ๖. ดินจากสถานที่สำคัญอีก ๙ แห่ง คือดินจากสถานที่พระพุทธเจ้าเสด็จเสวยวิมัติสุข ๗ แห่ง ปริเวณพุทธคยา มีที่รัตนะจงกลม แลที่สระมุจลินเป็นต้น แลดินที่พระคัณธกุฏีที่ประทับของพระพุทธเจ้าบนเขาคิชกูฏ (เมืองราชคฤห์) ๑ ดินที่พระคันธกุฏีที่ประทับในเมืองสาวัตถี ๓ ซึ่งพระครูสุภารพินิจ (โทน สุขพโล) วัดสัมพันธวงศ์ ได้ไปนมัสการปูชนียสถานนั้นๆ และได้นำมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๗ ผู้ที่มีพระเครื่องแบบพุทธมงคลมหาลาภ พระแบบสมเด็จพระพุฒาจารย์ เป็นต้นไว้บูชา เป็นอันได้ระฃึกถึงแลบูชา สังเวชนัยสถานด้วย
    ๗. ผงปูนขาวหินราชบุรี
    ๘. ผงปูนซิเมนต์ขาว และนอกจากนี้ ก็ยังมีดินเหนียวอย่างดี สีเหลือง แลน้ำอ้อยเป็นต้น

    ผงเหล่านี้นั้น ประสมกันมากบ้างน้อยบ้าง แล้วบดให้ละเอียดแร่งกรองด้วยผ้าป่าน สำเร็จเป็นผงที่จะสร้างพระเครื่อง ใช้น้ำมนต์ที่ทำไว้นั้นประสมกับของที่จะทำพระให้พระมีคุณภาพดี สวยงามทนทาน ศักดิ์สิทธิ์ต่อไป ประสมผงพิมพ์เป็นรูป พระพุทธมงคลมหาลาภ บ้างสมเด็จบ้าง

    ส่วนพระเครื่องอื่นสร้างด้วยดินประสมผงเผาแล้วนำมา เข้าพิธีปลุกเศกในคราวเดียวกันกับพระพุทธมงคลมหาลาภเสร็จพิธีแล้วแจกจ่ายใน งานสมโภชพระพุทโธภาสชินราชจอมมุนี พร้อมด้วยพระอัครสาวก ในการต่อมา พระเครื่องเหล่านี้ เมื่อแจกจ่ายแก่ผู้จำนงในงานผูกพัทธสีมา อุโบสถวัดสารนาถธรรมารามแล้ว ก็จะได้จัดการทำพิธีบันจุในอุโบสถ หรือเจดีย์ตามควร เพื่อเป็นมิ่งขวัญแก่วัดสารนาถธรรมาราม อันเป็นมหาปูชนียสถานในกาลต่อไปฯ

    จากบันทึกของพระมหารัชชมังคลาจารย์(เทศ นิเทสโก) ดังกล่าวข้างต้น อาจที่จะสรุป เพื่อความเข้าใจง่ายที่สุดก็คือ

    1. พระผงมงคลมหาลาภนี้ สร้างในงานฉลอง"พระพุทโธภาสชินราชจอมมุนี" หรือ"พระพุทโธใหญ่"ที่คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมสร้างถวายเป็นพระประธานประจำพระอุโบสถ วัดสารนาถธรรมาราม อ.แกลง จ.ระยอง ของท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ในสมัยนั้น ท่ามกลางเหตุปาฏิหาริย์มากมาย(จะได้กล่าวต่อไปในภายหลัง)

    2.ผงโสฬสมหาพรหมที่นำมาสร้างพระผงมงคลมหาลาภนี้ เกิดจากการใช้วิชาพรหมศาสตร์อัญเชิญพรหมอริยะชั้นโสฬส(สุทธาวาส) และพระผู้เป็นเจ้าของทั้ง 3 ศาสนา(พราหมณ์,คริสต์,อิสลาม) ซึ่งพระอริยคุณาธาร(ปุสโส เส็ง) และท่านผู้รู้ต่างๆกล่าวตรงกันว่า แท้จริงแล้ว "พระเจ้า"หรือ"พระผู้เป็นเจ้า"เหล่านี้ ก็เป็น"พระเถระ"ของ"พุทธ" ที่เดินทางไปเผยแพร่ศาสนาตามสถานที่ต่างๆ แล้วคนรุ่นต่อมามาตีความดัดแปลงไปตามความเชื่อส่วนตัวของศาสดานั้นๆ จนเคลื่อนจากหลักเดิมไป

    3. ผง"โสฬสมหาพรหม" (ความจริงน่าเรียกว่า ผง"มหาพรหมอริยะโพธิสัตว์ผู้เป็นเจ้า" จะตรงและครอบคลุมกว่า) ไม่ได้เป็นการลบผงทีละกระดาน (ไม่ทันกิน) เลยเล่นเอาผงปูนมาเสกทีละเป็นกระสอบๆ โดยเชิญ"พระเบื้องบน"ลงประทับทำ ซึ่งก็ได้ผลเป็นที่น่าอัศจรรย์ ที่แม้แต่ท่านพ่อลี วัดอโศการามเมื่อสัมผัสผงนี้แล้ว ก็ถึงกับสะดุ้งออกวาจาอุทานว่า "เฮ็ดหยังแรงจังซี่" ( อะไรจะพลังแรงได้ขนาดนี้??) ก่อนที่จะขอผงพระมงคลมหาลาภหักๆไปผสมทำพระใบโพธิ์ 25 ศตวรรษที่วัดอโศการามในเวลาต่อมา รวมถึงอาจารย์ปถม อาจสาครเอง ก็ได้เอาผงพระ"มงคลมหาลาภ"หักๆนี้ไปทำพระผงรุ่น"โสฬสมหาพรหม" 2505 ของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่จนดังระเบิดในเวลาต่อมาด้วย สมกับท่านอาจารย์ปถมบันทึกไว้เองว่า " รวมรวมผงหักป่นไว้ได้สักโหลใหญ่ พระที่ผมสร้างจึงขลัง"เพราะได้ผงหลักจาก"พระมงคลมหาลาภ"นี่เอง (ใครไม่มีพระผงโสฬสมหาพรหมของหลวงปู่ทิมที่หายากและแพงจัด หากมีพระผงมงคลมหาลาภนี้ไว้ ก็คง"นอนหลับฝันหวาน"ไป 3 วัน 7 วันได้แล้วนะครับ.....

    4.และเมื่อเอาผง"โสฬสมหาพรหม"หรือผง"มหาพรหมอริยะโพธิสัตว์ผู้เป็นเจ้า"มากด พิมพ์สร้างพระ"มงคลมหาลาภ"แล้ว ก็ได้ประกอบพิธีทางพรหมศาสตร์อัญเชิญ"พรหมโสฬส"และ"พระผู้เป็นเจ้า" ลงเสกซ้ำอีกครั้ง พร้อมด้วยพระเกจิคณาจารย์ชื่อดังยุค 2500 อย่างมหาศาล (มีหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี, หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ,หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอมฯลฯ )ที่วัดสัมพันธวงศ์เป็นประเดิมก่อน แล้วจึงอัญเชิญไปประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษกพร้อมกับ"พระพุทโธภาสชินราชจอม มุนี"(พระพุทโธใหญ่) ที่วัดสารนาถธรรมาราม ระยองอีก 18 วัน 18 คืน โดยพระคณาจารย์สายหลวงปู่มั่น 100 กว่าองค์ (มีพระอาจารย์สิงห์ ขันยาคโม,หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯเป็นอาทิ) พร้อมกันนี้ ก็ยังได้นิมนต์พระสายตะวันออก,ระยองมาร่วมนั่งปรกด้วย (มี หลวงพ่อโต วัดเขาบ่อทอง, หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ เป็นต้น ฯลฯ) โดยมี"ท่านพ่อลี วัดอโศการาม" เป็น"เจ้าพิธี"ฝ่ายสงฆ์ และมี "คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม" วัดอาวุธฯ เป็นทั้ง"เจ้าพิธี"และ"ประธานดำเนินการสร้าง/เสก" ทุกขั้นตอนเอง
     
  16. โอสถ

    โอสถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,545
    ค่าพลัง:
    +12,113
    พระมงคลมหาลาภ นาคปรก เนื้อเหลืองน้ำตาล พิมพ์กลาง กรุวัดสารนาถ

    รายการ show พระมงคลมหาลาภ นาคปรก เนื้อเหลืองน้ำตาล พิมพ์กลาง กรุวัดสารนาถ ปี 2499

    พระสวย พิมพ์นาคปรก หลังยันต์ ขนาด 2 X 3.2 ซ.ม.

    เนื้อสีเหลืองออกน้ำตาลอ่อน เนื้อแกร่ง ผิวเรียบมัน มีคราบแป้งขาวๆที่ผิว

    เป็นพระสภาพลงกรุ ของวัดสารนาถ ปี 2499

    พระเนื้อสวย สีสวย สภาพโดยรวมถือว่าสมบูรณ์มากสำหรับพระลงกรุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2016
  17. โอสถ

    โอสถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,545
    ค่าพลัง:
    +12,113
    รายการที่รับจองได้

    รายการที่ 1 พระปิดตาอรหัง หล่อโบราณ นวะเทดินไทย แจกกรรมการ ลป.พวง วัดน้ำพุสามัคคี ... หน้าที่ 2 .... 3,900 บาท

    [​IMG] [​IMG]

    รายการที่ 2 ล็อคเก๊ต รุ่นแรก ฉากซีเปีย แจกกรรมการ ลป.พวง วัดน้ำพุสามัคคี ... หน้าที่ 2 .... 2,200 บาท

    [​IMG] [​IMG]

    รายการที่ 4 รูปเหมือนหลวงปู่ดู่ พิมพ์เสมา พระธาตุเม็ดใหญ่ ... หน้าที่ 2 ..... 2,900 บาท
    [​IMG] [​IMG]

    รายการที่ 5 ปรกโพธิ์พลิกแผ่นดิน เนื้อสีน้ำตาล หลวงพ่อทรง วัดศาลาดิน ... หน้าที่ 2 ....... 2,500 บาท
    [​IMG] [​IMG]

    รายการที่ 6 พระกริ่งอุดผงเศรษฐี + พระชัย หลวงพ่อทอง วัดลำกระดาน ... หน้าที่ 2 ..... 1,600 บาท
    [​IMG] [​IMG]

    รายการที่ 7 พระสะหลี๋เวียงแก้ว ครูบากฤษดา + ยันต์มหาลาภ ... หน้าที่ 2 ..... 3,000 บาท
    [​IMG] [​IMG]

    รายการที่ 8 พระยอดขุนพลเพชรกลับ ครูบากฤษดา + ยันต์มหาลาภ ... หน้าที่ 2 .. 2,000 บาท
    [​IMG] [​IMG]

    รายการที่ 26 พระกริ่งพรหมรังสี เนื้อนวะก้นเงิน หลวงปู่นาม วัดน้อยชมภู่ หน้าที่ 4 ... 3,500 บาท

    [​IMG] [​IMG]

    รายการที่ 27 พระกริ่งกาฬนาค ลป.พรหมา เนื้อเหรียญสตางค์ ( มหาโภคทรัพย์) หน้าที่ 4 .... 2,900 บาท

    [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2015
  18. โอสถ

    โอสถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,545
    ค่าพลัง:
    +12,113
    ปล่อยวาง ปล่อยวาง จงปล่อยวาง

    ปล่อยวาง ปล่อยวาง จงปล่อยวาง

    โยม : หลวงปู่ครับ ทำไมไปที่ไหนๆ
    พระท่านก็สอนแต่ให้ปล่อยวาง ปล่อยวาง
    ถ้าทุกคนปล่อยวางหมด ถ้าอะไร อะไรก็ปล่อยวาง
    แล้วประเทศชาติจะพัฒนาเหรอครับ

    หลวงปู่ : หือ คุณเข้าใจคำว่าปล่อยวางแค่ไหน

    โยม : ก็.... ผมคิดว่าการปล่อยวาง คือการละทิ้งทุกอย่าง
    ไม่สนใจอะไรเลย ไม่ยึดไม่ติด เอาตัวเองรอดอย่างเดียว

    หลวงปู่ ; นั้นคุณกำลังยึดติด

    โยม ;อ้าว ผมยึดติดยังไงครับหลวงปู่
    ก็ในเมื่อผมวางทุกอย่าง ไม่สนใจอะไร ไม่สนใจใคร

    หลวงปู่ ; นั้นหล่ะยึดติด ยึดติดในความคิดของคุณไง
    ยึดติดในความเห็นผิดไง การปล่อยวางแบบที่คุณว่าเป็นการปล่อยปละละเลย
    ไม่ใช่การปล่อยวาง บ้านสกปรก คุณไม่กวาดคุณก็บอกว่าปล่อยวาง
    ลูกทำตัวไม่ดีคุณก็ไม่ยอมบอกเตือน ไม่ยอมสอน

    คุณบอกว่าปล่อยวาง หนักๆเข้า อะไรมากระทบกายกระทบใจก็ปล่อยไป
    ปัญหาเข้ามาสุมหัวมากมาย ก็ไม่แก้ไข เพราะคุณปล่อยวาง

    แบบนี้ไม่เรียกปล่อยวาง เรียกว่าปล่อยปละละเลย
    ปล่อยวางอย่างนี้หลวงปู่ยังไม่เชื่อว่าคุณปล่อยวาง

    คุณขี้เกียจกวาดบ้านก็บอกว่าปล่อยวาง
    จะให้หลวงปู่เชื่อคุณต้องมานอนกลางลานดินอันนี้หลวงปู่ถึงจะเชื่อ
    แต่การปล่อยแบบคุณ มันจะมีแต่ปัญหา
    หลวงปู่จึงเรียกว่าการยึดติด ติดกับความคิดที่ผิดของคุณ เข้าใจนะ

    โยม ;ครับผมหลวงปู่ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
    คำว่าปล่อยวางกับปล่อยปละละเลยที่หลวงปู่ว่ามันต่างกันยังไง

    หลวงปู่ ; คุณเคยเห็นว่าวไหม ว่าวมันลอยอยู่บนฟ้าลอยไป
    ลอยมาอย่างอิสระ จะขึ้นจะลงก็อิสระ
    ที่ว่าวมันลอยอยู่ได้เพราะมีเชือกดึง ถ้าไม่มีเชือกว่าก็ลอยขึ้นฟ้าไม่ได้
    เมื่อว่าวมันลอยขึ้นไปแล้วมันก็อาศัยเชือกยึดมันไว้ให้ลอยอยู่บนฟ้าได้

    ถ้าว่าวขาดเชือก มันก็จะหลุดลอยตกลงมาบนพื้นดิน
    การปล่อยวางของคุณให้ทำให้ได้อย่างว่าว
    เอาความถูกต้องยึด ไม่ใช่ปล่อยไปตามความถูกใจ
    เอาความเหมาะสมยึดไม่ใช่ปล่อยไปตามความเหลวไหล
    เอาทางสายหลาย ความพอดียึด ไม่ใช่เอามิจฉาทิฏฐิ

    ความเห็นผิดยึด เอาศีลเอาธรรมยึด
    ยึดไว้แล้วปฏิบัติกายปฏิบัติใจดูแลรักษาสิ่งนั้นๆให้พอดี
    อย่าเอาใจไปเกาะจนทุกข์แต่อย่าละเลยจนขี้เกียจ
    อย่าเอาธรรมไปเข้าข้างตนเองในเมื่อตนขี้เกียจ
    ขี้เกียจกับปล่อยวางต่างกันฟ้ากับดิน ไม่ใช่ขี้เกียจแล้วอะไร อะไร
    ก็ปล่อยวางไปหมด
    เหมือนว่าวขาดเชือก สุดท้ายมันก็หล่นลงดิน
    ปล่อยวางได้แต่ต้องดูความเหมาะสมด้วย

    การเข้าใจการปล่อยวาง จะรักษากายของคุณให้ปลอดภัย
    รักษาใจของคุณให้เป็นสุข แต่ถ้าทำแล้วมันเกิดทุกข์
    มันไม่ใช่การปล่อยวาง เข้าใจนะ

    คติธรรม คำสอน โดย หลวงปู่หา สุภโร
     
  19. โอสถ

    โอสถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,545
    ค่าพลัง:
    +12,113
    ผ้าวางตัก(ผ้ากันเปื้อน)

    เหตุเกิดที่หอฉัน เมื่อหลวงปู่เดินลงมาเพื่อฉันเช้าที่หอ
    ก็มีคณะครูบาอุปัฏฐากเดินประคองหลวงปู่ลงมา
    เมื่อหลวงปู่กราบพระเสร็จก็นั่งบนอาสนะ
    โยมก็ทำท่าจะประเคนบาตร หลวงปู่จึงถามหาผ้าวางตัก
    เป็นผ้ากันอาหารเปื้อนจีวรซึ่งทุกครั้งครูบาอุปัฏฐาก
    ต้องนำมาวางที่ตักหลวงปู่ก่อนโยมจะประเคนบาตร หลวงปู่ท่านจึงถามหา

    ครูบาอุปัฏฐาก ; ขอโอกาส พ่อแม่ครูอาจารย์
    เมื่อวานเกล้าเอาผ้าวางตักไปซักแล้วตากไว้ตอนกลางคืน
    แต่เมื่อคืนฝนตก เมื่อเช้าไปดูปรากฏว่าผ้าหล่นลงมากองอยู่กับดิน
    ผ้าไม่แห้งเกล้าจึงเอาผ้ามาเปลี่ยน ครับผม

    หลวงปู่ ; เอ้า นี้ผ้าใคร

    ครูบาอุปัฏฐาก ; ขอโกาส ผ้าเกล้าเอง
    แต่เป็นผ้าใหม่ที่เกล้ายังไม่ได้ใช้ครับผม

    หลวงปู่ ; ผ้าใหม่เหรอ ไปเอาปากกามา

    ครูบาอุปัฏฐาก ; ขอโอกาสครับผม กุฏิอยู่ไกล
    เกล้ากลัวกลับมาไม่ทันเวลาฉัน ฉันเสร็จค่อยพินธุ
    (การทำเครื่องหมายแสดงความเป็นเจ้าของ)ได้ไหมครับผม

    หลวงปู่ ; ฮ้วย นรกกินหัวผมสิ
    พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ว่านะ ฉันเสร็จค่อยพินธุ
    ท่านว่าใช้ผ้าไม่ได้พินธุไม่ได้อธิษฐานเป็นอาบัติ

    อย่าพากันเก่งเกินธรรม อย่าพากันคิดเอาเอง
    ธรรมะคือธรรมะ คิดเอาเองไม่ได้ ไม่อนุโลมปฏิโลม

    อย่าพากันทำเกินคำสั่งคำสอน พระองค์ท่านสอนไว้แล้ว
    คนที่ว่าตนมีธรรม มีธรรม เอาธรรมเป็นใหญ่ ไม่มีศีลไม่มีวินัย
    ไม่เคารพศีลไม่เคารพวินัย แทนที่มันจะเป็นคุณมันกลับเป็นโทษ

    โทษที่เข้าข้างตนเอง เรียนมามาก ฟังมามาก
    ก็เอาธรรมไปเข้าข้างตนเองทำชั่ว ทำชั่วแบบมีข้ออ้าง
    อ้างว่าถูก อ้างว่าควร แต่แท้จริงกำลังเอาของดีไปสนับสนุนตัวเองทำชั่ว

    ขึ้นชื่อว่าอาวุธ อยู่กับคนดีก็เป็นคุณอนันต์
    แต่อยู่กับคนชั่วก็เป็นโทษมหันต์ เป็นโทษต่อตนเอง เป็นโทษต่อผู้อื่น
    รู้ธรรม เรียนธรรม อย่าเอาธรรมเข้าข้างคนชั่ว
    เรารู้ธรรมรู้วินัย ต้องรักษาพระธรรมพระวินัย ไม่ใช่ทำลายพระธรรมวินัย

    เมื่อเราทำลายพระธรรมวินัยเสียแล้ว
    พระธรรมวินัยที่ไหนจะมาช่วยเรา อย่าทำเกินคำสอน
    อย่าทำตัวเองเก่งกว่าพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านสอนไว้ดีแล้ว
    อย่าเป็นคนความรู้ท่วมหัวแล้วเอาตัวไม่รอด

    พระองค์สอนให้ทำ พระองค์นำปฏิบัติ นั้นหล่ะทางรอด
    ให้เอาศีลเป็นใหญ่ เอาวินัยเป็นใหญ่ ศีลดี วินัยดี ธรรมก็ดี
    เป็นแบบเป็นแผน พระองค์สอนไว้ดีแล้ว สอนไว้แจ่มแจ้งแล้ว เข้าใจนะ

    (ตกลงครูบาก็ต้องเดินขึ้นเขาไปที่กุฏิ
    เพื่อเอาปากกาด้ามเดียว
    มาให้หลวงปู่ทำพินธุกรรมและอธิษฐานกรรมท่านจึงยอมฉัน)

    คติธรรม คำสอน โดย หลวงปู่หา สุภโร
     
  20. โอสถ

    โอสถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,545
    ค่าพลัง:
    +12,113

แชร์หน้านี้

Loading...