ซูกระแท้ว....แซวกระทู้....

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 14 เมษายน 2014.

  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,158
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
    "กรรม" เจ้าชายวิฑูฑภะชำระแค้นฆ่าล้างศากยตระกูล






    ---------------------------------------------

    พระพุทธภาษิต

    ปุปผานิเหว ปจินนฺตํ
    พฺยาสตฺตมนสํ นรํ

    สุตฺตํ คามํ มโหโฆว
    มจฺจุ อาทาย คจฺฉติ

    คำแปล

    มัจจุคือความตาย ย่อมพัดพาเอาบุคคลผู้มีใจข้องในอารมณ์ต่าง ๆ
    ผู้เลือกเก็บดอกไม้คือกามคุณ 5 อยู่เหมือนห้วงน้ำใหญ่ไหลหลาก
    พัดพาเอาชาวบ้านผู้หลับอยู่ ฉะนั้น

    อธิบายความ

    ดอกไม้ในพระคาถานี้ ทรงหมายเอากามคุณ 5 มีรูป เป็นต้น เพราะยั่วยวนให้ภมรกล่าวคือ มนุษย์หลงใหลวนเวียนอยู่ คนที่รู้โทษของกามคุณแล้วอยากออก แต่มีเครื่องจองจำบางอย่าง เช่น บุตรคอยมัดมือ และเท้าไว้มิให้ออกไปได้

    ส่วนคนใหม่ยังไม่รู้รส ถูกแรงกระตุ้นทั้งภายใน และภายนอกคอยกระตุ้นเร่งเร้าให้อยากเข้าไป ในที่สุดก็ตกอยู่ในภาวะอย่างเดียวกัน คือ ถูกจองจำ และมีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เป็นต้น

    ที่ว่าเลือกเก็บดอกไม้คือกามคุณอยู่นั้น หมายความว่า เมื่อได้กาม มีรูปเป็นต้นแล้ว ก็หาพอใจในรูปนั้นไปนานสักเท่าไรไม่ ใจซัดส่ายไปในรูปใหม่ต่อไปอีก เห็นรูปนั้นก็น่าได้ นี่ก็น่าได้ น่าเป็นของเรา เหมือนคนเข้าสวนดอกไม้ เห็นดอกไม้สะพรั่ง ดอกนั่นก็น่าเก็บ ดอกนี้ก็น่าเก็บ น่าดอมดมชมเชยไปเสียหมด ชื่อว่าเป็นผู้หลงใหลอยู่ในสวนดอกไม้นั้น

    นอกจากนั้น ใจยังข้องในอารมณ์ต่าง ๆ อีก เช่น ความคิดข้องในสมบัติต่าง ๆ มี ช้าง ม้า วัว ควาย นา สวน บ้านเรือน เป็นต้น บรรพชิตก็ติดข้องในปริขารมีบาตร และจีวร หรือเสนาสนะอันสวยงาม เป็นต้น รวมทั้งติดข้องในอาวาส และความเป็นใหญ่ ชื่อเสียง ลาภ และบริวาร เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่าผู้มีใจข้องในอารมณ์ต่างๆ

    มัจจุ คือ ความตายย่อมพัดพาบุคคลเช่นนี้ไปสู่ห้วงน้ำลึกคือ อบาย 4 เหมือนห้วงน้ำธรรมดาพัดพาเอาชาวบ้านผู้หลับอยู่ ให้จมลงในแม่น้ำพัดพาออกสู่ทะเลลึก ต้องเป็นเหยื่อของสัตว์น้ำมีปลา เป็นต้น

    พระศาสดาตรัสพระพุทธภาษิตนี้ที่เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเจ้าวิฑูฑภะ พร้อมทั้งบริวารซึ่งถูกน้ำท่วมสวรรคต

    ------- เรื่องพระเจ้าวิฑูฑภะ --------

    พระเจ้าวิฑูฑภะเป็นพระโอรสในพระเจ้าปเสนทิโกศล กับพระนางวาสภขัตติยาราชธิดาของท้าวมหานามแห่งศากยวงศ์ แต่พระนางประสูติจากพระมารดาซึ่งเป็นทาสี รวมความว่าเป็นลูกของหญิงทาส แต่มีพ่อเป็นเจ้าในศากยวงศ์

    เรื่องพระเจ้าวิฑูฑภะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการล้างแค้นที่ศากยวงศ์ทำความเจ็บช้ำแก่พระองค์ เรื่องที่พระเจ้าปเสนทิโกศลได้พระนางวาสภขัตติยามาเป็นพระมเหสีก็เป็นเรื่องน่ารู้ ขอนำมากล่าวไว้ในที่นี้แต่โดยย่อ

    วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลแห่งสาวัตถีประทับยืนที่ปราสาทชั้นบนทอดพระเนตรไปที่ถนน เห็นภิกษุหลายพันรูปกำลังเดินไปเพื่อฉันอาหารที่บ้านของอนาถปิณทิกเศรษฐีบ้าง บ้านของจูฬอนาถปิณทิกเศรษฐีบ้าง บ้านของนางวิสาขาและนางสุปปวาสบ้าง เมื่อพระราชาทรงทราบก็มีพระประสงค์จะเลี้ยงพระบ้าง จึงเสด็จไปเฝ้าพระศาสดาทูลนิมนต์พระพุทธองค์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสวยพระกระยาหารที่พระราชนิเวศน์ 7 วัน ในวันที่ 7 ทูลพระศาสดาว่า

    "ข้าแต่พระองค์! ขอพระองค์และพระสงฆ์สาวกจงรับภิกษา (อาหาร) ในวังเป็นนิตย์เถิด"

    พระศาสดาตรัสว่า "มหาบพิตร! ธรรมดาพระพุทธเจ้าย่อมไม่รับอาหารประจำในที่แห่งเดียวเพราะประชาชนเป็นอันมากหวังการมาของพระพุทธเจ้า (คือต้องการให้พระพุทธเจ้าไปเสวยที่บ้านของตนบ้าง)

    พระราชาขอให้ส่งภิกษุรูปหนึ่งเป็นหัวหน้ามาแทนพระพุทธองค์ พระศาสดาทรงมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของพระอานนท์

    พระราชาทรงอังคาส (เลี้ยง) พระสงฆ์ด้วยพระองค์เอง มิได้ทรงมอบหมายให้ใครเป็นเจ้าหน้าที่แทนพระองค์ ทรงกระทำติดต่อมาอีก 7 วัน พอวันที่ 8 ทรงลืม เนื่องจากมิได้ทรงมอบหมายเจ้าหน้าที่ไว้ จึงไม่มีใครกล้าทำอะไร กว่าพระองค์จะทรงระลึกได้ก็เป็นเวลานาน ภิกษุกลับไปเสียหลายรูป

    ในวันต่อมาก็ทรงลืมอีก ภิกษุส่วนมากคอยไม่ไหวจึงกลับไปเสีย เหลืออยู่จำนวนน้อย ต่อมาอีกวันหนึ่งทรงลืมอีก ภิกษุกลับไปหมดเหลือแต่พระอานนท์รูปเดียว เมื่อพระราชาทรงระลึกได้ก็เสด็จมา ทอดพระเนตรเห็น แต่พระอานนท์เท่านั้นอยู่เพื่อรักษาความเลื่อมใสของตระกูล ทรงเห็นอาหารวางเรียงรายอยู่มากมาย แต่ไม่มีพระอยู่ฉัน วันนั้นได้ทรงอังคาสพระอานนท์เพียงรูปเดียว ทรงน้อยพระทัยว่า ภิกษุสาวกของพระพุทธเจ้ามิได้เอื้อเฟื้อ มิได้ทรงรักษาพระราชศรัทธาเลย เมื่ออังคาสพระอานนท์เสร็จแล้วเสด็จไปเฝ้าพระศาสดาทูลว่า

    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ข้าพระองค์จัดแจงอาหารไว้สำหรับภิกษุ 500 รูป แต่มีพระอานนท์รูปเดียวเท่านั้น อยู่ฉัน นอกนั้นมิได้อยู่ทำให้ของเหลือมากมาย ภิกษุสงฆ์มิได้เอื้อเฟื้อ มิได้รักษาศรัทธาของข้าพระองค์เลย"

    พระศาสดามิได้ตรัสโทษภิกษุสงฆ์แต่ประการใด เพราะทรงรู้ ทรงเข้าพระทัย ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ตรัสกับพระราชาว่า "มหาบพิตร! พระสงฆ์คงจักไม่คุ้นเคยกับราชสกุล จึงได้กระทำดังนั้น"

    พระราชามีพระประสงค์จะให้ภิกษุสงฆ์คุ้นเคยในราชสกุล ทรงหาอุบายว่าควรกระทำอย่างไรดีหนอ? ทรงดำริว่า หากพระองค์เป็นพระญาติของพระพุทธเจ้า ภิกษุคงจักคุ้นเคย ควรจักขอเจ้าหญิงแห่งศากยวงศ์มาเป็นพระมเหสีสักองค์หนึ่ง จึงทรงแต่งทูตถือพระราชสาส์นไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ ขอเจ้าหญิงองค์ใดองค์หนึ่งมาเป็นพระมเหสี ฝ่ายทางศากยวงศ์ ถือตนว่าสกุลสูงกว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล แต่เวลานั้น แคว้นโกศลเป็นรัฐมหาอำนาจอยู่ ดูเหมือนว่าแคว้นสักกะของศากยวงศ์จะขึ้นกับแคว้นโกศลด้วยซ้ำไป ดังนั้น เรื่องพระเจ้าปเสนทิทูลของเจ้าหญิง จึงทำความลำบากพระทัยให้แก่พวกศากยะไม่น้อย ครั้นจะไม่ถวายก็เกรงพระราชอำนาจแห่งพระเจ้าโกศล ครั้นจะถวายก็เกรงสกุลของพวกตนจะไปปะปน
    กับเลือดแห่งสกุลอื่น อันถือว่าต่ำกว่าพวกตน

    เมื่อประชุมปรึกษาเรื่องนี้กันนานพอควรนั้น ท้าวมหานามจึงเสนอที่ประชุมว่า
    "หม่อมฉันมีธิดาอยู่คนหนึ่ง ชื่อวาสภขัตติยาเป็นลูกของทาสี เธอมีความงามเป็นเลิศ พวกเราสมควรให้นางแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล"

    ที่ประชุมเห็นชอบจึงจัดแจงส่งพระนางวาสก ขัตติยาไปถวายพระเจ้าปเสนทิไม่ทรงทราบจึงโปรดปรานมาก พระราชทานสตรี 500 ให้เป็นบริวาร ต่อมาพระนางประสูติพระโอรส พระนามว่า วิฑูฑภะ

    ความจริงก่อนให้ทูตรับพระนางมา พระเจ้าปเสนทิก็ทรงป้องกันการถูกหลอกเหมือนกัน แต่ไม่วายถูกหลอกคือทรงกำชับราชทูตไปว่า จะต้องเป็นพระราชธิดาที่เสวยร่วมกับกษัตริย์เช่น ท้าวมหานาม ท้าวมหานามไม่ขัดข้อง ทรงทำทีเป็นเสวยร่วมกับพระนางวาสภขัตติยาให้ราชทูตดู แต่มิได้เสวยจริง คงจะมีแผนให้เกิดเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งจนเสวยไม่ได้ ต้องเลิกในทันทีทันใด สมมติว่ามีแผนให้มหาดเล็กวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาทูลว่าไฟไหม้พระราชวัง ซึ่งจะต้องเลิกเสวยในทันที เพื่อไปดูแลดับไฟ

    แม้พระนามวิฑูฑภะนั้นก็ได้มาโดยฟังมาผิด คือ เมื่อพระกุมารประสูติแล้ว พระเจ้าปเสนทิทรงส่งราชทูตไปทูลขอพระนามแห่งพระกุมารใหม่จากพระอัยยิกา (ยาย) พระเจ้ายาย พระราชทานว่า "วัลลภ" แปลว่า "เป็นที่โปรดปราน" แต่ราชทูตหูตึง ฟังเป็นวิฑูฑภะ

    พระเจ้าปเสนทิก็ทรงพอพระทัยต่อพระนามนั้น ต่อมาเมื่อพระชนมายุได้ 16 วิฑูฑภกุมารเสด็จเยี่ยมกรุงกบิลพัสดุ์ ความจริงพระมารดาพยายามทัดทานหลายครั้ง เพราะทรงเกรงพระราชโอรสจะไปทรงทราบเรื่องราวเข้า แต่พระกุมารทรงยืนยันว่าจะเฝ้าอัยยิกาให้ได้ พระนางจึงรีบส่งสาส์นล่วงหน้าไปก่อน เพื่อให้พระญาติปฏิบัติต่อวิฑูฑภะอย่างเหมาะสม แต่พระนางก็ต้องผิดหวัง เพราะทิฏฐิมานะของพวกศากยะมากเหลือเกิน และเป็นเหตุให้เกิดเรื่องใหญ่ฆ่าฟันกันตายมากมาย

    เมื่อทราบข่าวว่า วิฑูฑภกุมารจะเสด็จเยี่ยมกรุงกบิลพัสดุ์ ทางศากยวงศ์ก็ประชุมกันว่าจะต้อนรับอย่างไร พวกเขาไม่ลืมว่าพระมารดาของวิฑูฑภะนั้นเป็นธิดาของนางทาสี ตัววิฑูฑภะเอง แม้จะเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าปเสนทิก็จริง แต่ฝ่ายมารดาวรรณะต่ำ วิฑูฑภะจึงมิได้เป็นอุภโตสุชาต พวกเขาไม่สามารถให้เกียรติอย่างลูกกษัตริย์ได้ จึงจัดแจงส่งพระราชกุมารศากยะ ที่พระชนมายุน้อยกว่าวิฑูฑภะ ออกไปชนบทหมดเป็นการชั่วคราว ทั้งนี้เพื่อมิให้ต้องทำความเคารพบุตรแห่งทาสี

    เมื่อวิฑูฑภะเสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์ก็ต้อนรับดีพอสมควร พระราชกุมารเที่ยวไหว้คนนั้นคนนี้ ซึ่งได้รับการแนะนำว่าเป็น ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา และพี่ เป็นต้น แต่ไม่มีใครสักคนเดียวที่ไหว้พระราชกุมารก่อน เมื่อวิฑูฑภะถามผู้ใหญ่ก็บอกว่าพระราชกุมารรุ่นน้อง ๆ ได้ไปตากอากาศในชนบทกันหมดไม่มีใครอยู่เลย วิฑูฑภะเก็บเอาความสงสัยไว้ในใจ พระองค์ประทับอยู่เพียง 2-3 วันก็เสด็จกลับ พกเอาความสงสัยติดพระทัยไปด้วยว่า เหตุไฉนพระองค์จึงได้รับการต้อนรับอย่างชาเย็นเหลือเกิน

    ขณะที่เสด็จออกจากวังแล้วนั้น บังเอิญนายทหารคนหนึ่งลืมอาวุธไว้จึงวิ่งกลับไปเอา ได้เห็นหญิงรับใช้คนหนึ่งกำลังเอาน้ำเจือน้ำนมล้างแผ่นกระดานที่วิฑูฑภะประทับ ปากก็พร่ำด่าว่า "นี่คือแผ่นกระดานที่วิฑูฑภะบุตรของนางทาสีนั่ง" นายทหารผู้นั้นเข้าไปถาม ทราบเรื่องโดยตลอด เมื่อกลับมาถึงกองทัพก็กระซิบบอกเพื่อน ๆ เสียงกระซิบกระซาบแผ่วงกว้างออกไปจนรู้กันหมดทั้งกองทัพ พระราชกุมารก็ทรงทราบด้วย เป็นครั้งแรกที่ทรงทราบกำเนิดอันแท้จริงของพระองค์ว่าสืบสายมาอย่างไร

    ทรงพิโรธมาก อาฆาตพวกศากยะไว้ว่า เวลานี้ขอให้พวกศากยะล้างแผ่นกระดานที่ประทับนั่ง ด้วยน้ำที่เจือด้วยน้ำนมก่อน แต่เมื่อใดทรงได้ราชสมบัติในแคว้นโกศล เมื่อนั้นจะเสด็จกลับไปล้างแค้น โดยเอาเลือดในลำคอของพวกศากยะล้างแผ่นกระดานนั้น พระเจ้าวิฑูฑภะทรงพิโรธ อาฆาตพวกศากยะ เพราะถูกดูหมิ่นว่าพระองค์เป็นบุตรของนางทาสี

    เมื่อถึงสาวัตถี พวกอำมาตย์ได้กราบทูลเรื่องทั้งปวงให้พระเจ้าปเสนทิทรงทราบ ทรงพิโรธมาก รับสั่งให้ถอดพระนางวาสภขัตติยา และวิฑูฑภะออกจากตำแหน่งพระมเหสีและราชกุมารตามลำดับ ทรงให้ริบเครื่องบริวาร และเครื่องเกียรติยศทั้งปวง พระราชทานให้เพียงสิ่งของที่ทาส และทาสีควรจะใช้เท่านั้น

    ต่อมาอีก 2-3 วัน พระศาสดาเสด็จมายังพระราชนิเวศน์ พระเจ้าปเสนทิทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ พระศาสดาตรัสปลอบว่า

    "มหาบพิตร! พวกศากยะกระทำไม่สมควรเลย, เมื่อจะถวายก็ควรจะถวายพระราชธิดาที่มีชาติเสมอกันจึงจะควร"

    ครู่หนึ่งผ่านไป พระศาสดาจึงตรัสอีกว่า

    "แต่อาตมาภาพใคร่ถวายพระพรว่า พระนางวาสภขัตติยานั้นเป็นธิดาของขัตติยราช ได้รับการอภิเษกในพระราชมณเฑียรของขัตติยราช ฝ่ายวิฑูฑภะกุมารเล่าก็ได้อาศัยขัตติยราชนั้นแลประสูติแล้ว มหาบพิตร! ตระกูลฝ่ายมารดาไม่สู้จะสำคัญนัก สำคัญที่ฝ่ายบิดา แม้บัณฑิตแต่โบราณก็เคยพระราชทานตำแหน่งอัครมเหสีแก่หญิงยากจนหาบฟืนขาย และพระราชกุมารอันประสูติจากครรภ์ของสตรีนั้นก็ได้เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ในนครพาราณสี พระนามว่า กัฏฐวาหนราช"

    พระราชาทรงสดับกถาของพระศาสดาแล้วทรงเชื่อ จึงรับสั่งให้พระราชทานเครื่องบริวาร เครื่องเกียรติยศแก่พระนางวาสภขัตติยา และวิฑูฑภกุมารดังเดิม

    ต่อมาวิฑูฑภกุมารได้ราชสมบัติ โดยการช่วยเหลือของทีฆการายนะเสนาบดี ฑีฆการายณะนั้น เป็นหลานของพันธุลเสนาบดี ซึ่งพระเจ้าปเสนทิวางอุบายให้คนของพระองค์ฆ่าเสีย โดยที่พันธุละมิได้มีความผิด แต่มีบางพวกยุยงว่าพันธุละต้องการแย่งราชสมบัติในนครสาวัตถี พระเจ้าปเสนทิทรงเชื่อ เมื่อพันธุละพร้อมด้วยบุตร 32 คนตายแล้ว พระราชาทรงทราบความจริงในภายหลัง ทรงโทมนัสมาก ไม่สบายพระทัย ไม่มีความสุขในรัชสมบัติ ทรงประทานตำแหน่งเสนาบดีให้แก่ฑีฆการายนะผู้เป็นหลานของพันธุละ เพื่อทดแทนความผิดที่พระองค์ทรงกระทำไป

    ฑีฆการายนะยังผูกใจเจ็บในพระราชาว่าเป็นผู้ฆ่าลุงของตน คอยหาโอกาสแก้แค้นอยู่เสมอ วันหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิเสด็จไปเฝ้าพระศาสดาที่นิคมชื่อ เมทฬุปะของพวกศากยะ ทรงให้พักพลไว้ใกล้พระอาราม เสด็จเข้าไปเฝ้าพระศาสดา
    แต่พระองค์เดียว ฑีฆการายนะได้โอกาสจึงมอบเครื่องราช กกุธภัณฑ์อิสริยยศของกษัตริย์ ให้วิฑูฑภะแล้วนำพลกลับพระนครสาวัตถี มอบราชสมบัติให้วิฑูฑภะครอง รวมความว่าฑีฆการายนะกับวิฑูฑภะ ร่วมกันแย่งราชสมบัติ ฝ่ายวิฑูฑภะก็พอพระทัย เพราะต้องการมีอำนาจสมบูรณ์ เพื่อล้างแค้นศากยะได้เร็วขึ้น

    แต่ปีนั้นก็เป็นปีที่พระเจ้าปเสนทิมีพระชนมายุถึง 80 แล้วนับว่าอยู่ในวัยที่ชรามาก พระเจ้าปเสนทิเสด็จกลับจากการเฝ้าพระศาสดาไม่ทรงเห็นไพร่พล มีแต่ม้าตัวหนึ่งกับหญิงรับใช้คนหนึ่งอยู่ที่นั่น ทรงทราบความแล้วเสด็จไปยังเมืองราชคฤห์เพื่อขอกำลังของพระเจ้าอชาตศัตรูมาปราบวิฑูฑภะ และการายนะ แต่เสด็จไปถึงหน้าเมืองราชคฤห์ในค่ำวันหนึ่ง ประตูเมืองปิดเสียแล้ว ไม่อาจเสด็จเข้าเมืองได้ จึงทรงพักที่ศาลาหน้าเมือง และสิ้นพระชนม์ในคืนนั้น เพราะความหนาว 1 ทรงเหน็ดเหนื่อยในการเดินทาง 1 และเพราะทรงพระชรามาก 1 ตอนเช้า เมื่อประตูเปิดแล้ว ประชาชนชาวราชคฤห์ได้เห็นพระศพ และฟังเสียงหญิงรับใช้คร่ำครวญว่า ราชาผู้เป็นจอมแห่งชาวโกศล จึงนำความนั้นกราบทูลพระเจ้าอชาตศัตรู ๆ ให้รับพระศพเข้าไปถวายพระเพลิงอย่างสมพระเกียรติยศ

    ฝ่ายพระเจ้าวิฑูฑภะได้ราชสมบัติเป็นกษัตริย์แล้ว อันความแค้นกระตุ้นเตือนอยู่เสมอ มิอาจทรงยับยั้งได้ จึงเตรียมกรีธาทัพไปย่ำยีพวกศากยะ

    พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรวจดูสัตวโลกเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นความพินาศ จะมาถึงหมู่พระญาติ มีพระพุทธประสงค์จะทรงบำเพ็ญญาตัตถจริยา คือการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อพระญาติ จึงเสด็จไปประทับ ณ พรมแดนระหว่างโกศลกับศากยะ ประทับ ณใต้ต้นไม้มีใบ้น้อยต้นหนึ่งทางแดนศากยะ ถัดมาอีกเล็กน้อยเป็นเขตแดนแคว้นโกศลมีต้นไทรใหญ่ใบหนาร่มครึ้มขึ้นอยู่ พระเจ้าวิฑูฑภะยกกองทัพผ่านมาทางนั้น ทอดพระเนตรเห็นพระศาสดาจึงเสด็จเข้าไปเฝ้า ถวายบังคมแล้วทูลว่า

    "พระองค์ผู้เจริญ! เพราะเหตุไร จึงประทับใต้ต้นไม้อันมีใบน้อยในเวลาร้อนถึงปานนี้ ขอพระองค์โปรดประทับนั่ง ณ โคนต้นไทรอันมีร่มครึ้ม มีเงาเย็นสนิทดีทางแดนโกศลเถิด"

    "ขอถวายพระพร มหาบพิตร! ร่มเงาของพระญาติเย็นดี"

    พระเจ้าวิฑูฑภะ ทรงทราบทันทีว่า พระศาสดาเสด็จมาป้องกันพระญาติ อนึ่งพระเจ้าวิฑูฑภะทรงระลึกได้อยู่ว่า การได้รับตำแหน่งมเหสีของพระมารดา และตำแหน่งราชโอรสของพระองค์เองคืนมานั้น เพราะการช่วยเหลือของพระบรมศาสดา พระคุณนั้นยังฝังอยู่ในพระทัย คนที่มีความพยาบาทมาก มักเป็นคนมีความกตัญญูด้วยเหมือนกัน คือ จำได้ทั้งความร้ายและความดีที่ผู้อื่นกระทำแก่ตน ด้วยประการฉะนี้ พระเจ้าวิฑูฑภะจึงยกทัพกลับเมืองสาวัตถี แต่ความแค้นในพระทัยยังคงคุกรุ่นอยู่ พระองค์จึงทรงกรีธาทัพไปอีก 2 ครั้ง ได้พบพระศาสดาในที่เดียวกัน และเสด็จกลับเหมือนครั้งก่อน

    พอถึงครั้งที่ 4 พระศาสดาทรงพิจารณาเห็นบุพกรรมของพวกศากยะ ที่เคยเอายาพิษโปรยลงในแม่น้ำ ทำให้สัตว์น้ำตายหมู่เป็นอันมาก กรรมนั้นกำลังจะมาให้ผล พระองค์ไม่สามารถต้านทานขัดขวางได้ จึงมิได้เสด็จไปในครั้งที่ 4พระเจ้าวิฑูฑภะเสด็จมาถึงพรมแดนนั้น ไม่ทอดพระเนตรเห็นพระศาสดาจึงเสด็จเข้ากบิลพัสดุ์ จับพวกศากยะฆ่าเสียมากมายไม่เว้นแม้แต่เด็กที่กำลังดื่มนม ยังธารโลหิตให้หลั่งไหลแล้ว รับสั่งให้เอาโลหิตในลำคอของพวกศากยะล้างแผ่นกระดานที่เคยประทับนั่ง แล้วเสด็จกลับสาวัตถี เสด็จมาถึงฝั่งแม่น้ำอจิรวดีในเวลาค่ำ จึงให้ตั้งค่ายพัก ณ ที่นั้น

    ไพร่พลของพระองค์เลือกนอนได้ตามใจชอบ บางพวกนอนที่หาดทรายในแม่น้ำ (น้ำลง หาดทรายในแม่น้ำนอนได้สบาย แม่น้ำคงคาก็เหมือนกัน) บางพวกก็นอนบนบกเหนือริมฝั่งขึ้นไป พอตกดึก น้ำจะท่วมหลาก พวกที่นอนบนบกแต่ได้ทำกรรมไว้ร่วมกันมาก็ถูกมดแดงกัดลงไปนอนที่ชายหาด ส่วนพวกนอนที่ชายหาดก็ถูกมดแดงกัด จึงเปลี่ยนที่นอนขึ้นไปนอนข้างบน มหาเมฆตั้งเค้าทางเหนือน้ำ ฝนตกใหญ่ น้ำหลากอย่างรวดเร็วพัดพาเอาพระเจ้าวิฑูฑภะและบริวารบางพวก ลงสู่มหาสมุทรตายกันหมด

    ในวันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภาเรื่องพระเจ้าวิฑูฑภะว่า เมื่อความปรารถนาของพระองค์ไม่ถึงที่สุด ก็สิ้นพระชนม์พร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก คือสิ้นพระชนม์ในขณะที่ยังมีความปรารถนาอื่น ๆ อยู่อีกมาก

    พระศาสดาเสด็จมาสู่ธรรมสภา ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เมื่อมโนรถของสัตว์ทั้งหลาย ยังไม่ถึงที่สุดนั่นเองมัจจุราชก็เข้ามาตัดชีวิตอินทรีย์แล้วให้จมลงในสมุทรคืออบาย 4 ดุจห้วงน้ำใหญ่หลากมาท่วมชาวบ้านผู้หลับอยู่ฉะนั้น" ดังนี้แล้วตรัสพระคาถาว่า

    "ปุปฺผานิเหว ปจินนฺตํ" เป็นอาทิ มีนัยดังได้พรรณนามาแล้วแต่ต้น



    ***********************************************************************



    ผม ยกเรื่องนี้ มากล่าว


    ...เพื่อสกิดให้บัณฑิต ทั้งหลาย ได้ตระหนัก ถึงเหตุ และปัจจัย บางประการ

    ที่มีช่องผันแปร



    .เมื่อ เข้าใจ ในตัวอย่างนี้



    อัน ...เจตนานั้นแลคือตัวกรรม

    ดังนั้น หากใครกระทำด้วยบริสุทธิ์ใจ ด้วยเมตตา แต่ผิดพลาดด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่าง ถ้าเราทั้งหลาย มีเมตตา มีพรหมวิหาร มีปัญญาพอ คงไม่ก่อกรรมเลวซ้อนเข้าไป ให้เป็นภัยต่อตนและคนอื่นที่เห็นพ้องร่วมกระทำกรรมดำ โดยเจตนาไม่ดีนั้น ...อนาคตังสญาณ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น ย่อมเหนือกว่าพระอรหันตสาวกทุกองค์


    ...แต่ทำไม พระองค์จะไม่ทราบว่า การห้ามทัพที่จะไปฆาล้างตระกูลศากยนั้น ไม่สำเร็จ แล้ว ไม่ต้องไปถึงสามครั้ง


    ...แต่ก็ทรงพยายามเปลี่ยนแปลง ถึงสามครั้ง...


    ............นี่คือ ประเด็นหลักที่ต้องการให้ทุกคนพิจารณาว่า วิบากกกรรมบางอย่าง แม้เริ่มเห็นเค้าลางว่าจะเกิด แต่ ยังคงมีช่องว่างที่พอจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ......ขึ้นอยู่กับว่า มีแรงพอที่จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ มีปัจจัยที่มองไม่เห็นจะทำให้เปลี่ยนได้หรือไม่



    ..............ตามหลักปัจจัยยการ สิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด ถ้า ในช่วงที่ผลยังไม่เกิดเต็มที่

    แสดงว่า ถ้ามีเหตุใหม่ที่มากพอ แรงพอ ย่อมอาจก่อผลใหม่ที่อาจเปลี่ยนแปลงบางสิ่งได้

    การที่ทรงพยายามห้ามทัพถึง 3 วาระ เป็นไปได้หรือไม่ว่า เป็นการให้โอกาสทัพของพระเจ้าวิฑูฑภะ ได้กลับใจไม่ทำกรรมเลวครั้งนี้ และให้โอกาสฝ่ายศากยะที่จะแก้ไข ป้องกันตน


    แต่เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่ทำกรรมใหม่ที่มีแรงพอที่จะเปลี่ยนอะไรได้ เมื่อวิบากอกุศลกรรมมาถึงครั้งที่สี่แล้ว

    จึงทรงปล่อยไปตามวาระ





    .....หวังว่า คงมีคนมองเห็นอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น...
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,158
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
    สิ่งทีคุณกล่าวอันเป็นคำทำนาย และการติติงว่าท่านเป็นอย่างงั้น อย่างนี้ นอกครูบ้าง ฯลฯ ไม่ใช่ท่านไม่ทราบ ท่านทราบ แต่ท่าน
    ยกจิตไว้เหนือโลกธรรมที่คุณไปกล่าวหาท่าน และมุ่งมั่น สอนคนให้เร่งทำกรรมดี และไม่ประมาท และ ทำอะไรอีกมากมาย ไม่เหมือนกับที่คุณมากล่าวหาและพาคนก่อกรรมไม่ดีกับท่านเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 พฤศจิกายน 2015
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,158
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430

    ที่ผมถามคุณ แต่คุณไม่ตอบตรงๆกับคำถาม แต่เอาตอบอย่างอื่นมากมาย


    ที่ผมถามว่า คุณทราบหรือไม่ว่าใึครคือต้นทาง( หรือแหล่งพลังงานของพระคาถามหาจักรพรรดิหรนือคาถาบูชาพระ) ถ้าคุณตอบตรงนี้ตรงๆ ก็จะสาวไปตามหตุผลได้ ไม่ต้องยกอะไรมาร่ายจนยาว ตามที่คุณเล่ามา ไม่ว่าสิื่งที่คุณเห็นจะเห็นจริง แต่จะจริงหรือไม่ก็ตาม

    กลายเป็นการพูดว่า ผมไม่เคยเรียนไสยศาสตร์ไม่รู้อะไรบ้าง หลวงตาม้าและหลวงพี่เล็กสอนนอกคำสอนครูเดิมๆบ้าง หลวงตาสอนผิดให้ยึดเอาแต่จักรพรรดิบ้าง หาว่าผมหรือใครหลงยึดว่าจะต้องทำเพื่อมาเกิดเป็นจักรพรรดิ เมาบุญ หลงบุญ ฯลฯ กล่าวถึงบุคคลที่สามโดยที่เค้าไม่มีโอกาสมาชี้แจงอะไร
    แล้วพากันโมทนา นี่เป็นการก่อมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม ต่อพระผู้ปฏิบัติดีหรือไม่

    เพียงแค่นี้ ยังไม่ทราบถึงจิตใจ ที่ต้องการถาม ต้องการสื่อสาร ต้องการคุยถึงเนื้อหา แล้วประสาอะไร ที่คุณบอกว่า ต้องเรียนเจโตฯ เพื่อรู้ความคิดของจีน ของ...กี้ ของ.....ฯลฯ แล้วอนาคตต้องเป็น ฯลฯ


     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,158
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430



    เฉพาะที่ผมตัดทอน คำพูดของคุณมาตรงนี้ คือ สิ่งที่ครูบาอาจารย์ และผมพยายามพูด


    ไม่ใช่จะบอกให้เปลียนกรรมอดีต( มันทำเสร็จไปแล้วเปลียนไม่ได้)

    แต่ ให้ใช้เวลาทำกรรมดีในปัจจุบันมากๆ เพราะ แม้คำทำนายของคุณ

    ต่อพื้นที่สาธารณะบนโลกออนไลน์นี้ จะไม่เกิด คนเราก็ต้องตายด้วยสารพัด

    เหตุอยู่ดี


    แต่คุณกลับร่ายอะไรเสียยาว ตำหนิ กล่าวหา ครูบาอาจารย์สารพัด ซึ่งไม่เป็นความจริง ตามที่คุณกล่าวหาท่าน

    แล้วพาคนอื่นให้โมทนาตาม


    ผมจึงต้องมาโพสในกระทู้คุณด้วยเหตุนี้

    ( ผมได้ลิ๊งค์และสำเนา ข้อความที่คุณโพสให้ท่านเห็นบางส่วนไปแล้ว

    แต่ท่านวางเฉย แต่ ผมจำเป็นต้องอธิบาย ด้วยเหตุผล ตามที่ควรจะ

    อธิบาย ไม่ใช่จะมาหาเรื่อง เถียงหัวชนฝา กับคำกล่าวหาของคุณที่เขียนออกมา)



     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 พฤศจิกายน 2015
  5. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ต้นทางพลังงานของพระคาถาจักรพรรดิ...มาจากพระศรีอริยเมตตรัยครับ
    มีหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ อยู่ด้วยครับ...
    จะพูดกันเรื่องกระแสพลังงานก็ได้ครับ ว่าแผ่ปกคลุมออกมาสว่างไสวขนาดไหน...
    แล้วเวลาคนจำนวนมากสวดพร้อมกัน ก็มีกระแสพลังงานแผ่ออกไปจากแต่ละคน...

    กระแสจากพระศรีอริยเมตตรัย หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ท่านแผ่ลงมายังผู้ที่สวดทุกคนและทุกคนสวด กระแสนี้ก็จะมีผลส่งออกไปพร้อมๆกับพลังงานที่ได้รับมาจากพระศรีอริยเมตตรัย หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ไปพร้อมๆกัน...
    จะมีเส้นสายพลังงาน สีต่างๆ แผ่ออกจากแต่ละคนรวมเป็นกลุ่มก้อนออกไปเหมือนคลื่นเป็นระลอกเวลาสวด...

    ผมก็เห็นแบบนี้ครับ...และผมว่าใครๆก็เห็นแบบนี้เหมือนกัน...
    แล้วที่ท่านดาบหักเห็น เป็นแบบไหนครับ?
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,158
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430

    เฮ้อ ได้คำตอบซะที


    นอกจากองค์พระศรีฯบรมโพธิสัตว์ท่าน


    ก็มีกำลังของพระรัตนตรัย ทั้งสามกาล เป็นหลักใหญอยู่ฉากหลังอีกทีครับ

    ( และมีกำลังของธรรมภาคขาว คือ รวมกำลังของความดีทั้งมวลเช่นผู้ัรักษา
    พระศาสนา ผู้บำเพ็ญบารมีเข้มข้นเพื่อช่วยสัตว์โลก ฯลฯ ทั้งที่ลับที่แจ้ง เหล่าพระโพธิสัตว์ )


    และ ตรงนี้ จะเป็นเหตุ-ผล ที่จะกล่าวเสวนาธรรมกันขั้นต่อไปว่า

    ไม่ใช่สวดด้วยพระคาถานี้แล้วจะเป็นเหตุให้ผลกรรมไม่ดี จากการ

    สร้างพระรูปพระมหาจักรพรรดิ ปางคล้ายศิลปะขอม เป็นเภทภัยต่อ

    คนส่วนรวม


    หมายเหตุ ไม่ต้องเรียกผมว่าท่านหรอกครับ ผมแค่คนธรรมดา
    ที่กิเลสหนา ปัญญาน้อย เรียกคุณ หรือชื่อเฉยๆก็ได้ แต่ควรใช้
    คำว่าท่านกับครูบาอาจารย์ที่ท่านทำดีเพื่อมวลชน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 พฤศจิกายน 2015
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,158
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430

    พระอรหันต์ อย่างพระโมคคัลลานะ ท่านจะเข้าพระนิพพานแบบเต็มตัว

    จึงต้องชำระหนี้เก่า เพราะ เจ้าหนี้ตามทัน


    ท่านจึงต้องปิดเกม โดนให้โจรทุบ



    แต่ครูบาอาจารย์ แม้แต่หลวงพ่อฤาษีฯท่านก็สอนให้ทุกคนหนีกรรมชั่วไว้ก่อน

    คือเร่งทำกรรมดี ก่อ่นที่ผลกรรมชั่วจะมาถึงตัว เหมือนหนีสุนัขไล่เนื้อ

    เอาเวลาที่ยังมีก่อนเค้าตามทัน มาทำไตรสิกขา เพื่อพาตนให้พ้นทุกข์ได้
    ตามกำลัง


    ผมไม่ได้หมายความว่า ต้องแก้กรรมอดีต ต้องทำความเข้าใจตรงนี้
     
  8. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    กรรมนั่นถูกกำหนดไว้แต่ต้นแล้ว...
    แม้กระทั่งการที่กลุ่มคนทั้งหลาย มานั่งประชุมรวมตัวกันเพื่อสวดมนต์ เพื่อเปลี่ยนสิ่งร้ายให้กลายเป็นดี การกระทำนี้ ก็มีผลกรรมในอดีตได้กำหนดเอาไว้แล้วเช่นกัน ไม่ได้เกิดขึ้นเองอย่างที่พวกเราคิดกันหรอกครับ....

    และผลกรรมที่เกิดจากการนั่งสวดมนต์ร่วมกันนี้ ก็จะไปมีผลต่อการบรรลุธรรมหรือเข้าถึงธรรมในภายภาคหน้าด้วย และมีผลต่อการได้สร้างภพสร้างชาติสร้างบารมีในภายภาคหน้าด้วย...

    เรื่องกฎของกรรม จึงเป็นเรื่องนึงที่บอกว่าเป็นอจินไตย เพราะอธิบายไป คนทั้งหลายก็สงสัยถกเถียงกันไม่สิ้นสุด....
    เมื่อรู้กฎของกรรมแล้วจะหาทางเลี่ยงบ้าง...ทั้งที่วิธีการเลี่ยงนี้ก็ถูกกฎของกรรมกำหนดมาแล้ว ว่าถึงเวลานี้ จะมีคนๆนี้ จะมาทำวิธีการนี้ เพื่อจะเลี่ยงกรรมแบบนี้ แล้วผลของการกระทำนี้จะได้พบกับสิ่งใด...
    ที่เรียกกันว่า กรรมซ้อนกรรม...แต่ เรื่องกฎของกรรม ซับซ้อนกว่านี้มาก และโยงใยเกี่ยวเนื่องกับบุคคลทั้งหลาย มากมายกว่าใยแมงมุม กว่ากลุ่มด้ายที่พันกัน...
    ไม่ใช่วิสัยของสาวกภูมิจะรู้เห็นได้...จึงไม่มีอธิบายโดยทั่วไป...เพียงแต่ผู้ที่ฝึกไปจนรู้เห็นแล้ว ก็คุยกันเฉพาะบุคคลเท่านั้น....

    เอาแบบนี้ครับ ... เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์...ปีหน้าครึ่งปีหลัง เรามาดูกันครับ...
    ถ้าไม่เกิดตามที่ผมเล่ามา...ผมยอมรับผิดทุกประการ...
    กรรมใดที่ผมทำไว้ ผมรับเอง...
    ถ้าเกิดตามที่ผมเล่ามา...ไม่ต้องมาถามผมว่าจะแก้ยังไง จะกันยังไง จะทำไงต่อไปดี...
    อะไรที่ท่านเห็นว่าดี...ก็ทำกันไปนะครับ...
     
  9. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ถามจริงๆเถอะครับ...ที่คุณโอมพิมพ์ๆมานี่...เคยเห็นพลังงานเหล่านี้ และท่านที่ดูแลพระคาถาจักรพรรดิ์ไหมครับ...หรือว่าฟังๆกันมา...
    เพราะแม้ผมจะเห็นเองได้...ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ผมยังไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าทำไม????
    แต่ผมก็สงสัยว่า...คุณโอม เห็นได้อย่างที่พิมพ์มาหรือยัง?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2015
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,158
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
    .......คนกิเลสหนาปัญญาน้อยอย่างผมคงไม่เก่งที่จะเห็นได้ชัดแจ๋วทุกเรื่องเหมือนหลายท่านที่กล้าโพสในสิ่งที่ตนเล่า แต่ถ้าบางสิ่งบางประการจะทำให้คนกิเลสหนาอย่างผมเห็นหรือทราบอะไร ตามวาระนั่นก็อีกเรื่อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 พฤศจิกายน 2015
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,158
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430

    ใช่ครับ อจินไตย

    การโพสออกสื่อออนไลน์จึงล่อแหลม แม้ด้วยเจตนาดี

    แต่ก็สามารถขยายให้เกิดการก่อกรรมสาม ( กาย วาจา ใจ )กับหมู่ชนได้

    โน้มน้าว เป็นเหตุให้คนหมุ่มาก ก่อกรรม และ เกิดวิบากกรรมใหม่ได้


    ตรงนี้คือ ประเด็น และเหตุผลที่ผมต้องเข้ามาคุยมากแบบนี้






    .....ไม่ใช่ด้วยเหตุ-ผลตื้นๆ ที่ทำด้วยอารมณ์รัก หลง ศรัทธา
    ใครแตะต้องคนที่ตนศรัทธาไม่ได้

    ไม่ใช่เพราะ ใครไม่เห็นด้วยกับความคิดตน ก็ตามราวีตามค้าน

    ไม่ใช่เพราะ ความรุ้สึกแบบโลกๆ


    แต่ ทำด้วยเห็นละเอียดไปอีกว่า จะเกิดกรรมใหม่อะไรอีก

    และ ผมจะทำอะไรได้บ้างเพื่อเบี่ยงเบนการเกิดกรรมใหม่ที่ไม่ดี


    และทำให้คน กลับมายืนในหลักธรรมได้อย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 พฤศจิกายน 2015
  12. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    หลวงพ่อท่านสอนวิชามา เพื่อให้ใช้พิสูจน์ตามคำสอนของท่านครับ...
    วิชาพื้นฐานของทิพยจักขุญาณนี้ ไม่ใช่ของยาก ถ้ามีความจริงใจในการฝึก เพียงเดือนเดียวก็ต้องทำได้ เพราะอาศัยเพียงอารมณ์อุปจารสมาธิเท่านั้น...
    หรืออย่างเลวที่สุด 3 เดือนก็ควรจะทำได้...
    ไม่ใช่ของยากอะไรนัก...เว้นเสียแต่ว่าไม่มีความจริงใจในการฝึกฝน...

    การที่หยิบยกมาพูดโดยรู้เองไม่ได้เห็นเองไม่ได้ สมควรหรือไม่ครับ?
    หลวงปู่ดู่สอนเอาไว้แล้ว หลวงพ่อฤษีสอนเอาไว้เช่นกัน...แต่ไม่ฝึกไม่ทำ...

    มีน้องผู้หญิงคนนึง เป็นเด็กบ้านนอก มีลูกต้องดูแล มีงานต้องช่วยสามี มีเวลาสวดมนต์ภาวนาไม่มากนัก แต่เธอผู้นี้ทำทุกวัน คำแนะนำที่ผมบอกไปเธอทำตาม ซึ่งทั้งหมดนั้นก็เป็นคำสอนของหลวงปู่ดู่ หลวงพ่อฤษี ทั้งนั้น ผมเพียงเอามาบอก มาเล่า ให้เธอฟังอีกทอดหนึ่ง...

    ในเวลาไม่ถึง 3 เดือน เธอสามารถสัมผัสพลังต่างๆ อย่างที่ผมเล่าไปนั่นได้...ทิพยจักขุญานก็เกิดมีขึ้น สมาธิเริ่มทรงตัวได้ แม้ในการทำงานระหว่างวัน เธอรู้ได้เห็นได้ ในระดับหนึ่งทีเดียวครับ...

    ผู้หญิงคนนี้ทั้งราคุและครูติง รู้จักและรับรู้เรื่องราวของเธอไปด้วยเท่าๆกันกับผม...
    คนเหล่านี้จะเป็นตัวอย่าง เพื่อพิสูจน์ธรรมะปฏิบัติของครูบาอาจารย์ว่า เป็นของจริง พิสูจน์ได้จริง ไม่ใช่ฟังเอามาแล้วมาเชื่อ โดยไม่มีการพิสูจน์ แล้วถ้าจะบอกว่าไม่สามารถรู้ได้เห็นได้ อย่างที่ผมเล่ามาเรื่องพลังงานเหล่านี้นั้น ผมไม่อยากบอกเลยว่า คุณกระจอกมาก มันเหมือนคำด่า ที่ผมก็เคยโดนด่ามาสมัยรุ่นๆ หนึ่งเดือนให้หลังผมก็ทำได้ตามครูบาอาจารย์สั่งสอนครับ...ไม่เก่งหรอกครับ คนอื่นเขา ไม่ถึงวันก็ทำได้แล้ว... ถ้าเปรียบไปแล้วกับน้องผู้หญิงคนนี้ คุณมีโอกาสมากกว่าเยอะ มีเวลามากกว่า มีฐานะ ความพร้อมต่างๆมากกว่า...แต่ว่าความสามารถเพียงเล็กๆน้อยๆแบบนี้ ยังทำไม่ได้ แล้วคุณจะมาพูดเรื่องกรรม เรื่องกฎของกรรม ... ผมบรรยายต่อไม่ถูกครับ...ได้แต่คิดว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม...

     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,158
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430

    อ้อ เหรอครับ นี่่หรือครับเหตุผล และ วาจา ของคนที่ปฏิบัติธรรม


     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 พฤศจิกายน 2015
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,158
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430

    [​IMG]
     
  15. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    สำหรับเรื่องของพุทธภูมิ...พระโพธิสัตย์ ผู้ปรารถนาในการบรรลุธรรมแล้วนำสัตว์ทั้งหลาย ให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงนั้น...
    จะขอกล่าวเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายตรงนี้
    จะก็อปไปกราบเรียนหลวงตาม้าก็ได้ครับ
    ...........
    ปฏิปทาของ พระโพธิสัตย์นั้น พื้นฐาน คือการบำเพ็ญบารมีทั้ง 30 ทัศน์ เป็นเรื่องปกติ
    แต่สิ่งสำคัญที่พระโพธิสัตย์ต้องทำให้มาก
    คือ กรรมฐานทั้ง 40 กอง มหาสติปัฏฐาน 4 มีวิปัสสนาญาณทั้ง 9 ที่ต้องฝึกให้มาก ฝึกจนแตกฉานทั้งหมดนี้ นับอสงไขยกัล์ป...
    และนำพาหมู่คณะ ฝึกฝนไปด้วยกัน นับชาติไม่ถ้วน
    ระหว่างทางจึงมีหมู่คณะที่บรรลุไปก่อนแล้ว เป็นจำนวนมาก ในระหว่างที่ยังบำเพ็ญบารมีอยู่...

    ถ้ากรรมฐาน40 ไม่เอา สติปัฎฐาน4 ก็ไม่ฝึกฝน วิปัสสนาญาณ9 ไม่รับรู้ แล้วจะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า โดยอาศัยว่าการทำทานเพียงอย่างเดียวจะช่วยให้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นไปไม่ได้นะครับ....พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ บรรลุธรรม ด้วยการทำความเพียรในการปฏิบัติธรรมด้วยกันทั้งสิ้น...

    สัมมาสัมโพธิญาณนี้ ได้ด้วยการบำเพ็ญเพียร ในการเจริญภาวนา จนคล่องในกรรมฐานทุกกอง ทุกแง่ทุกมุม เข้าถึงสภาวะธรรมทุกๆอย่าง แต่เบื้องต้น ไปจนที่สุดคืออารมณ์พระอรหัตผล ต้องแจ้งทั้งหมดครับ...ไม่เช่นนั้น จะเอาอะไรไปสอนพระสาวกเล่าครับ...

    ดังนั้นถ้าคิดว่าปรารถนาโพธิสัตว์แล้ว วันๆไม่ต้องทำอะไร กรรมฐานไม่ฝึก วิปัสสนาญาณไม่สน อ้างว่ายังมีเวลาอีกเยอะ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลานั้น....ก็คิดเอาเองนะครับว่า แท้ที่จริงแล้ว ความปรารถนาเช่นนั้น จะมีผลอย่างไรได้บ้าง...

    พูดไปมากจะกลายเป็นว่าไปทำลายกำลังใจของผู้คนจำนวนมากที่ปรารถนาการบรรลุธรรมเพื่อจะรื้อขนสัตว์ ก็ขอบอกว่า นี่เป็นความเห็นส่วนตัว จากที่ฝึกฝนมา จากครูบาอาจารย์ ได้เห็นปฏิปทาของท่าน พอให้เป็นแนวทาง แง่คิดสะกิดใจของตัวผมเอง...

    โดยส่วนตัวผมแล้ว ไม่ได้โกรธใคร อาฆาตใคร ในนี้เลย...
    หลวงตาม้า ผมก็กราบท่าน และเคารพท่านเช่นกัน ท่านเป็นพระที่ใจดี มีเมตตา...
    คนในเวปทั้งหลาย ไม่ว่าจะชมหรือด่า สำหรับผมแล้ว ผมรู้สึกเสมอกัน ไม่ได้รังเกียจ ยินดี หรือยินร้าย ใดๆ...ดังนั้นแล้ว ท่านที่จะด่าผม จะชมผม จะชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ก็ขอให้ทราบว่า กรรมที่ทำกับผมไว้นั้น ไม่มี... ผมไม่คิดร้ายใดๆกับพวกท่านทั้งหลาย ส่วนผลร้ายใดๆที่เกิดจากการโพสต์ของผมในวาระต่างๆกันนี้ ขอให้ทราบว่า พวกท่านทั้งหลายไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพียงรับรู้รับทราบแล้วก็ผ่านๆมันไป...ขออย่าได้ใส่ใจ...กรรมใดที่ผมทำไว้ ผมย่อมรับของผมเอง ไม่ต้องเป็นห่วงไป...

    สุดท้ายนี้ ก็ขอแนะนำท่านทั้งหลายว่า เมื่อเกิดความสับสนไม่แน่ใจ จิตตก หวั่นไหว หาทางออกไม่ได้ ขอให้ยึดเอา ไตรสรณคมน์ คือ คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม และคุณพระอริยสงฆ์ เป็นที่ตั้ง ทั้งสามหลักนี้มีความสำคัญ ผู้ยึดไว้ดีแล้ว ด้วยการปฏิบัติตามแล้ว จะได้พบสิ่งที่เวไนยสัตว์ พบได้ด้วยยาก...


    วันนี้เป็นวันสุดท้าย โพสต์นี้ เป็นโพสต์สุดท้าย....
    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และบุญกุศลทั้งหลาย ได้อำนวยให้ทุกท่านโชคดี มีความสุข ความปรารถนาใดที่เป็นกุศล ขอจงสำเร็จทุกประการ. สวัสดี.
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,158
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
    ....................................


    สำหรับผมไม่มีอคติ หรือ เจตนาอกุศลใดๆกับท่านเช่นกันครับ

    เจตนาที่กระทำ ได้โพสบอกไปแล้ว

    พยายามประคองกาย วาจา ใจ ไม่ให้พลาดออกจากมรรคมีองค์แปด
    ขณะที่มีปฏิสัมพันธ์แล้ว

    ขอให้ท่านสำเร็จในสิ่งดีทุกสิ่งที่ท่านปรารถนาและได้กระทำบำเพ็ญมาดีแล้วทุกประการ มีพระนิพพานเป็นที่สุด

    อนุโมทนาในกุศล คุณความดี อันเทียงตรงต่อพระนิพพานที่ท่านได้กระทำ
    แลเข้าถึงครับ

     
  17. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้ให้ความรู้แก่ข้าพเจ้าในกระทู้นี้ ศาสนาพุทธใช้เหตุผล เป็นปรัชญาจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ผู้ที่มองเห็น โดยส่วนตัวนับถือครูบาอาจารย์ทุกท่าน พระพุทธรูปที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงก็ไม่ได้เกี่ยวกับพระอาจารย์ท่านใด เป็นพระพุทธรูปที่เขาต้องการทุนดำเนินงานหนึ่งออกแบบโดยศิลปินแห่งชาติ เพียงแต่แปลกใจในลักษณะแค่นั้นเขาอาจจะทำให้โดดเด่นเพื่อให้คนจำได้หรือต้องการบูชาเพราะอาจจะเห็นว่าสวยเหมาะสมหรือแบบนี้มีน้อยก็ได้ ถ้าพิจารณาตามเจตนาก็ต้องคิดว่าดี คนเรามีกรรมสัมพันธ์กันก็เกิดมารับกรรมร่วมกัน โดยส่วนตัวแล้วก็เชื่อในเรื่องของอนิจจัง(กฎของไตรลักษณ์) แต่ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่นี้เราก็ต้องเลือกทางที่คิดว่าดีและทำได้ อุดมการณ์สืบทอดพระศาสนาแม้จะเป็นจุดเล็กๆก็จะทำ สมาธิภาวนาแม้จะไปได้ช้ากว่าเขาก็จะฝึก "แม้จะไปไม่ถึงจุดหมายก็ขอไปให้ใกล้ที่สุด"
     
  18. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เทวรูปเนี่ยนา ที่ว่าเรื่องไม่ใหญ่!!
    กล้วยแมวว่าไม่น่าโต้แย้งอะไรกัน
    หรอกระหว่างมดงานด้วยกัน...
    เรื่องใหญ่ขนาดนี้มดงานตัวน้อยมองว่าเป็นการเพลี่ยงพล้ำ
    ของระหว่างอำนาจของฝ่ายศาสนจักรต่ออาณาจักรมากว่า.....

    เป็นไปได้ยากที่พระอริยะที่เลื่อมในพระพุทธองค์
    อย่างเต็มจิตเต็มใจจะเทวรูปแนวขอมมาลงพุทธมนต์
    ศักดิ์สิทธิ์ นอกเสียจากเป็นการใช้อำนาจฝ่าฝืน
    เจตนารมย์กัน
    พระพุทธรูปคือสิ่งที่สื่อถึงพระรัตนตรัยคือพระพุทธ
    พระธรรม พระสงฆ์

    เทวรูปแบบขอม มีค่าเทียบเท่าและสื่อถึงพระรัตนตรัย
    ด้วยหรือฮะ
    เป็นเรื่องของอำนาจฝ่ายรัฐ และฝ่ายมนต์ดำ
    สมคบคิดหรือเปล่ามดงานอยากได้คำตอบ
    ไม่ต้องการคำโต้แย้ง...เพราะฟ้งแล้วใจไม่สว่าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2015
  19. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เมื่ออำนาจอาณาจักรอยู่ใต้อำนาจเงิน
    และอำนาจศาสนจักรก็นอบน้อมให้แก่อำนาจเงิน
    การแทรกแซงในเรื่องไม่บัวควรย่อมเกิดขึ้นได้ใน
    บางกรณี.....และมดงานเข้าไม่ถึง...ตรวจสอบไม่ได้
    เพราะไร้อำนาจจริงมิจริงครับ
     
  20. Superwoman1

    Superwoman1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +244
    ศิลปะไทยสวยๆมีตั้งเยอะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...