ฝึก"สมาธิ"แล้วเกิดอาการแบบนี้ ถูกหรือไม่ คืออาการอะไรครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Dewmaytung, 19 มิถุนายน 2016.

  1. Dewmaytung

    Dewmaytung สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2015
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +20
    ในการบวชครั้งแรกของผมเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ที่วัดป่าแห่งหนึ่งที่โคราช เป็นระยะเวลา 2 เดือน พระอาจารย์ท่านสอนให้ภาวนาโดยใช้ พุทธ-โธ โดยท่านได้ส่งผมไปอยู่ในป่าบนเขาไม่มีไฟฟ้าใช้ วันๆไม่ทำอะไรได้แต่นั่งสมาธิวันละ 6-8 ชั่วโมง สลับกับเดินจงกรม สมาธิสงบขึ้นเรื่อยๆ และสงบนานและเร็วขึ้นเรื่อยๆ อาการที่เกิดขึ้นครั้งนั้น จิตสงบลงลึก คำภาวนา พุทธ-โธ หายไป ตามด้วยตัวตรงไม้บรรทัดเองจิตสงบลึก สุดท้ายลมหายใจดับสนิท แล้วปรากฏดวงขาว สว่างมาก ขึ้นที่กลางหน้าผาก ตอนนั้นเอาจิตไปวางไว้เฉยๆ นั่งมองดูเฉยๆ ที่ดวงขาวๆ ประมาณ 2 ชั่วโมง ดวงขาวก็หายไปลมหายใจปรากฏขึ้นอีกครั้ง ตอนนั้นรู้สึกจิตมีพลังมาก ผมลองนึกถึงพระเพื่อนที่อยู่ด้วยกัน ท่านอยู่อีกที่หนึ่งของป่า ปรากฏเสียงพูดและเสียงเดินท่านดังจนแสบแก้วหู ผมจึงกำหนดที่หัวใจตนเองได้ยินเสียงหัวใจเต้นตุบๆๆ ดังมากๆ หลังจากนั้นนั่ง พุทธ-โธทีไรจะเกิดอาการตุ๊บๆ ที่หน้าผากกลางหว่างคิ้วเหมือนชีพจรเต้น ตลอดระยะเวลา 7 ปี
    เมื่อเร็วๆนี้ ผมเพิ่งมีโอกาสไปบวชครั้งที่ 2 ที่วัดป่าแห่งหนึ่งที่จังหวัดอุดร เป็นระยะเวลาสองเดือน ผมนั่งสมาธิจะเกิดอาการ ตุ๊บๆๆๆ ที่หน้าผากกลางหว่างคิ้ว หากเพ่งจะเกิดอาการรวมเป็นวงขาวนวลที่หน้าฝาก อาการปวดตามตัวจะหายหมด ผมจึงตัดสินใจไปเรียนถามพระอาจารย์ว่าควรเอาจิตไปเพ่งที่หน้าผากตรงที่ตุ๊บๆ กลางหว่างคิ้วนั่น หรือภาวนาพุทธ-โธ ดี ยังไม่ทันได้อ้าปากถาม ท่านเหมือนรู้วาระจิต ตอบว่า "จะถามทำไม พุทธ-โธ นั่นแหละ หัดปล่อยวางเสียบ้าง อย่ายึดติดให้มาก" แถมด้วยเรื่องหนังสือที่ผมแอบเอามาอ่านอีกยกใหญ่ท่านรู้ทุกอย่างที่ผมทำและฝึกอยู่ คืนวันนั้น ผมจึงตัดสินใจ ภาวนา พุทธ-โธ ตามลมหายใจอีกครั้ง นั่งภาวนาไปสักพักเมื่อจิตสงบเกิดอาการตุ๊บๆ ที่หว่างคิ้ว และดวงขาวๆอีกแล้วผมกลับมาที่ภาวนา พุทธ-โธ ไม่สนใจมัน ยิ่งภาวนาดวงขาวยิ่งรวมใหญ่แน่นขึ้นเรื่อยๆ แน่นจนทนไม่ไหวผมฝืนภาวนาพุทธ-โธต่อไปเรื่อยๆ จนดวงขาวรวมใหญ่และแน่นมากๆ สุดท้ายแตกดังเพร้ง แล้วอาการตุ๊บๆก็หายไปเลย ดับสนิท แต่ทุกขเวทนาปวดตามข้อจากการนั่งสมาธินานเข้ามาแทนเหมือนตอนเพิ่งหัดนั่งสมาธิใหม่ๆเลย ผมประหลาดใจอาการปวดเมื่อยตามตัวมันหายไปเมื่อ 7 ปีที่แล้วไม่เคยเกิดขึ้นกับผมหลังจากที่เกิดดวงขาว แต่ตอนนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ผมก็ฝืนนั่งต่อไป โดยตั้งจิตว่าวันนี้จะอยู่กับ พุทธ-โธ จะไม่ทิ้งเด็ดขาด ผมฝืนนั่งต่อไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมง ปวดเมื่อยตามตัวมาก คิดถึงพระพุทธเจ้าท่านนั่งบำเพ็ญบารมีในชาติ เตมีย์ใบ้ถึง
    16 ปีท่านยังนั่งได้ เรานั่งแค่นี้ทำไมนั่งไม่ได้ ฝืนนั่งพุทธ-โธ ไปอีกสักพักใหญ่ มันเกิดอาการจิตทิ้งพุทธ-โธ เองตัวตั้งตรงเหมือนไม้บรรทัดเอง โดยเกิดขึ้นเร็วมาก แล้วเกิดเหมือนจิตวูบลงลึกไปในห้วงความมืดสนิท เหมือนอยู่ในอีกมิติหนึ่ง มืดสนิทมากๆ ไม่มีทิศ ไม่มีทาง ไม่มีกาย ไม่มีลมหายใจ ไม่มีความรู้สึกใดๆทั้งสุขและทุกข์ มีแต่จิตใสสว่างตั้งอยู่กลางห้วงมืดสนิทนั้น ความคิดเข้ามาในห้วงนี้ไม่ได้ ได้แต่สักแต่ว่ารู้อยู่กับดวงสว่างกลางห้วงนั่น ตอนนั้นไม่มีกาย ไม่มีลมหายใจ ไม่มีทิศทาง อยู่กับดวงนั่นไปเรื่อย สักพักลมหายใจเริ่มปรากฏ ความรู้สึกของลมหายใจเหมือน น้ำหลากพังทลายเขื่อนเข้ามาในห้วงสงบนี้ ตามมาด้วยความคิด แล้วความสุข ความสดชื่นก็ซัดเข้ามา เมื่อคิดได้ผมแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์
    อยากสอบถามว่าอาการที่เกิดขึ้นกับผมขณะทำสมาธิ คืออะไรครับ
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    สิงที่ควร ตระหนักรู้ คือ ปฏิบัติอย่างไร ผลอันเปนสามัญก็เกิดอย่างนี้ๆ

    ถ้าวางจิตแบบนี้ จิตจะใส่ใจกับ บริกรรม(กัมมัฏฐาน)ที่ใช้

    ไม่ใช่ไปไล่ถาม เอาส่วนผล ว่าเกิดอะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2016
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ลอง พินาดูนะ ความร่าเริง อาจหาญ เกิด เพราะเรา
    รู้ของเรา ว่า เราทำอะไรมาอย่างไร ด้วยปลีแข้งของตน
    อย่างไร ผลอันวิจิตร มันจะต้านทาน ปิดบังเราไม่ได้
    ถ้าเรา ยังเพียรอยู่ด้วย กรรมฐานใด ได้นิสัยการภาวนา
    นี้มาอย่างไร

    ไม่ใช่ไปสาระวน ยกส่วนผล ซึ่งมันจะแตกต่างกันไป
    เพราะสัญญาย่อมต่างกัน ความพอใจต่างกัน

    หากไปสาระวนกล่าวส่วนผล ร้อยละร้อย จะทะเลาะ
    กันด้วยเรื่องไม่เปนเรื่อง เพราะย่อมเหนไม่เหมือนกัน
    ความสามารถต่างกัน สุดท้ายไป งง อยู่กับการสำคัญผิด
    ด้วนอาการสังโยชน์ข้อมานะ เลย อัดกันไปมา มะอึงอวดกอ
    สระอู มะอึงข่มกอสระอู เดี๋ยวกอสระอู ไปฝ้องศาล จด
    บันทึกประจำวัน

    แต่ถ้าทวนกลับไป ใช้กรรมฐานอะไร ความสามัคคีจะเกิด
    เพราะ กรรมฐานเดียวกัน มรรคเพื่อนิพพาน ไม่มีทางต่างกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2016
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เคย เหน พระที่ภาวนาเก่งๆ ที่ท่านประกาศ นิพพาน มีจริงๆ ไหม

    ร้อยละร้อย ท่านจะใช้แค่ เชื่อว่า ท่านโน้นท่านนี้ สำเร็จธรรม

    แต่เอาเข้าจริงๆ พระพุทธองค์ชี้ไว้ว่า ไม่มีใครตัดสินใครได้

    ดังนั้น พระที่ ภาวนาเก่งๆ บางทีก็สอน ย้อนแย้งกัน

    แต่ถ้า เจ้าของกระทู้ ทบทวน กรรมฐาน ที่ตนใช้

    ผลจะแตกต่างอย่างไร การย้อนแย้งคำสอนกันและกัน
    จะดุเดือดเพียงไร

    ความสามัคคีของสงฆ์ ยัง มีเหมือนเดิม เพราะ มรรค
    การเพียร มีเหมือนกัน เปน หนึ่งเดียว
     
  5. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ผมแนะให้ลองเพ่งที่จุดกลึ่งกลางระหว่างคิ้วดูที่จุดดั้งจมูกหัก ห้ามเพ่งเลยคิ้ว ไม่ต้องภาวนาอะไร เพ่งนิ่งแล้วสังเกตุดูอาการที่เกิดกับกายเป็นระยะๆไปเรื่อยๆ หากมีอะไรแล้วก็กลับมาเพ่งที่จุดเดิมให้นิ่งที่สุด
    ที่คุณพบมันก็แค่นิมิตร
    การเพ่งเมื่อหากว่าไม่มีอะไร ก็เพ่งออกห่างบ้าง หรือเข้าชิดบ้าง หนักบ้าง ผ่อนบ้าง
    การเพ่งเมื่อร่างกายหายไป สังเกตุว่าที่จุดเพ่งก็มีรู้สึกอยู่ ก็ให้เพ่งที่เดิมต่อไป
    ถ้าเพ่งแล้วทุกอย่างหายไปหมด สังเกตุได้ว่ามีนิมิตรอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เป็นนิมิตรเหมือนจริงและเราก็เข้าไปปรากฏในนิมิตรนั้น อย่างนี้ให้เพ่งที่ตัวนิมิตรตัวนิมิตรจะหายไป หรือมีสติระลึกรู้ได้เองว่าเรากำลังนั่งปฏิบัติตัวนิมิตรจะหายไป
    ขั้นสูงขึ้น ตัวนิตรจะเกิด-ดับเร็ว ถี่ขึ้น
    แล้วคุณจะรู้คำตอบได้เอง ว่าพระพุทธเจ้าปฏิบัติอย่างไร แล้วตรัสรู้ได้อย่างไร
    อาจจะมีผู้มาว่าวิธีนี้ไม่ถูกต้อง ก็ไม่ต้องกังวลเพราะการปฏิบัตินั้นจะตอบเราเอง
    เจริญในธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2016
  6. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ดวงแสงขาว ปรากฎตรงหน้าผาก หลังขึ้นถึงฌาณ ๔ ผมไม่คิดว่าจะ เป็นดวงกสิณแสงสว่าง แต่น่าจะเป็นสภาวะที่เห็นภายในยามหลับตา ตามปกติที่มันวิจิตร ตามระดับฌาณ ท่านบอกว่า ดวงแสงขาวหายไปมีลมหายใจ

    แปลว่า เห็นดวงแสงขาวเฉพาะตอนฌาณ ๔ พอหล่นมาฌาณ ๓ ก็หายไป

    แต่ดวงกสิณ อาจเห็นได้แต่อุปจารแล้ว และอาจประคองจนถึงฌาณ ๔ โดยไม่หาย

    ดวงแสงขาว จึงน่าจะเป็นการเห็นภายในในสภาวะที่จิตเป็นเอกัคคตา ซึ่งลักษณะการเห็นภายในย่อมแตกต่างกันแล้วแต่สภาวะจิต

    การที่ได้ยินเสียง ด้วยการกำหนดจิตนั้น แม้อุปจารก็ทำได้ ไม่ต้องถึงขั้นฌาณ ๔ แต่ก่อนจะกำหนดจิต หากจิตเข้าฌาณขั้นอัปปนา สักเล็กน้อย ก่อน แต่มันจะแว่บเดียว

    ในภายหลัง ที่ท่านเล่ามา ท่านไปสนใจจนจะกลายเป็นดวงกสิณแสงสว่าง แต่ท่านไม่ได้ทำกสิณแสงสว่าง ท่านบริกรรมอานาปานสติ พร้อมบริกรรมพุทโธ ซึ่งเมื่อท่านไปตั้งใจเพ่ง เหมือนไปเอาใจใส่สนใจจนกลายเป็นเพ่ง เมื่อฌาณไม่ได้ระดับ แต่ตั้งใจโฟกัสมาก กลายเป็นเลือดไปเลี้ยงที่จุดตาสามหรือหน้าผาก มันจึงอึดอัด เมื่อจิตมันคลายไปเพราะจิตมันทนยึดหรือโฟกัสไม่ได้ ประกอบกับได้ฌาณขั้นสูง ถึงระดับฌาณ ๔ ขึ้น สภาวะทางร่างกายที่เลือดมาคั่งจุดหนึ่ง ก็คลายตัวโดยผลของฌาณ ๔ แต่ท่านเล่าประหนึ่งถึง อรูปฌาณ แต่ว่า น่าจะแค่ฌาณ ๔ แว่บหนึ่ง แล้วจิตตกภวังค์เท่านั่น

    เพราะท่านบอกว่า เมื่อลมหายใจกลับมา ความสุข ความสดชื่นกลับมา

    ซึ่งถ้าท่านเข้าฌาณ ๔ หรืออรูปฌาณ ความสุขสงบสะอาดสว่างมันเกินบรรยาย แม้ไม่มีลมหายใจ ไม่ต้องรอลมหายใจกลับมาแล้วจึงสุข สดชื่น

    ดังนั้น เห็นว่า ท่าน จขกท ต้องทบทวนการฝึกครับ ถ้าฝึกอานาปานสติ ก็ควรเรียนในระดับสูงกับคนที่ฝึกสายอานาปานสติ การไปเพ่งแสงขาว กลายเป็นการฝึกฝนกสิณทางอ้อม ซึ่งถ้าใจร้อน ก็จะเป็นอย่างที่ท่านเป็น คือ ไปเค้นมันให้เกิด ร่างกายก็เป็นทุกข์ไปป่าวๆ พระท่านให้ปล่อยวางนั้นถูกแล้ว ความจริงคือ ถ้าฝึกอานาปานสติ ควรเพิกเฉยกับนิมิตอื่น เพราะจะออกนอกทางที่ฝึกมา

    การเข้าฌาณ๔ หรืออรูปฌาณ ไม่ต้องมีนิมิตหรือภาพอะไรก็ได้นะครับ ภาพภายในจะเป็นอย่างไรก็แค่รู้ๆ ก็พอ ไม่ต้องสนใจโฟกัส

    หรือถ้าท่านจะเอาดีทางกสิณแสงสว่าง ก็ต้องใจเย็นกว่านี้ครับ อย่าไปยึดติดกับดวงแสงมากนัก มันไม่เที่ยง ไม่ได้ดั่งใจ แต่ก็เพียรไป แต่ไม่ต้องตั้งใจมากเกินไป ตั้งใจแบบพอดีๆ

    ความจริง ระดับที่ฟังเสียงที่ไกลได้ ก็เหยียบน้องหูทิพย์ จิตเข้าถึงอุปจาร แกว่งถึงอัปปนา พอแก่การภาวนาแล้วครับ คือ วิปัสสนา ตั้งใจฝึกอานาปานสติ ไม่ต้องลึกถึงฌาณ ๔ ก็ฝึกอานาปานสติ เห็นความเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง อนัตตา ของสิ่งที่ภาวนารู้อยู่ ถ้าจะเน้นไปที่เจ้าฌาณ ๔ อย่างเดียว มันจะให้น้ำหนักด้านสมถะ มากไป นะครับ

    เป็นความเห็นนะครับ ส่วนท่านจะฝึกฝนสายอานาปานสติให้ลึกซึ้ง หรือจะไปทางกสิณ แล้วแต่ท่าน แต่ข้อสำคัญ ให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยครับ
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ดูจากกิริยาทางจิต ของ คุณ Dewmaytung แล้วกิริยาที่เกิด
    ยังไม่ถึงระดับฌานที่ ๔ นะครับ..แสงสว่างที่สว่างๆมากๆนั้นให้เรา
    สังเกตุดูได้ว่า แม้มันสว่างมากแต่ว่าแสงมันจะไม่เย็นครับ...
    และพอผ่านกิริยานั้นแล้ว ร่างกายเป็นปกติก็เป็นกิริยา
    ของสมาธิในระดับปฐมฌาน เพียงแต่ว่าจิตมีความ
    สามารถทำงานได้ ร่างกายเลยไม่รู้สึกอะไรครับ
    และถ้าสามารถกำหนดไปตรงที่ร่างกายเคยพร่อง
    แต่ว่าทำได้บ่อยๆ ร่างกายส่วนนั้นมันก็จะหายได้เอง
    นี่ก็เป็นเรื่องปกติครับ กิริยา
    ตรงนี้ต้องระวังให้ดีๆนะครับอย่าเข้าใจผิดไม่งั้นจะหลง
    ตัวเองได้ครับ ถ้าเป็นสภาวะระดับฌาน ๔ ตัวจิตจะไม่ใช่
    ลักษณะกำหนดไปตรงโน้นนี่นั้นแล้วได้ยินอะไรชัดเจนอย่างนั้นครับ...
    แต่กำลังฌาน ๔ ตัวจิตมันจะไปเลย เหมือนๆตัวเรากำลังไปลอยมองดูหัวใจ
    ของเรามันเต้นตุ๊บๆอยู่เลยครับ หรือเหมือนเราย่อส่วนวิ่งไปตามเส้นเลือด
    เราเลยครับ นี่ครับถึงเป็นกำลังสมาธิระดับฌาน ๔ ครับ..
    และถ้าร่างกายเราตรงไหนมันเคยพร่อง หรือเป็นเรื้อรังมานาน
    ไม่หายซักที ถ้าเป็นกำลังระดับฌาน ๔ พอจิตเราวิ่งไปถึง
    มันจะเกิดเสียงดังกึกก้องกัมปนาท เหมือนเสียงระเบิดเลยครับ
    เป็นแสงสีขาว ดังมากน้องๆฟ้าฝ่าครับ..และแค่ครั้งเดียว
    อวัยวะที่เราเคยพร่องเคยเป็นเรื้อรังมันจะหายเป็นปลิดทิ้งทันทีครับ
    ย้ำว่าแค่ครั้งเดียวนะครับ..นี่คือ กำลังฌาน ๔ ครับ


    แต่ของคุณมีข้อดีตรงที่ว่า ตัวจิตสามารถทำงานได้
    แม้ว่าสมาธิไม่มาก แต่ก็ใช้งานได้แล้ว หรือพูดง่ายๆว่ามีความสามารถ
    พิเศษได้ ในลักษณะที่เรียกว่า แสงนำทางครับ..ปกติตัวจิตจะทำงานได้
    จะมี ๒ แบบคือ แสงนำทาง หรือ เส้นสายพลังงานนำทางครับ
    หรือบางคน ก็จะทำงานได้ทั้งแบบแสงนำทางและเส้นสายนำทางครับ..
    ถ้าเกิดกิริยาอย่างนี้ ต้องปล่อยวางอย่างเดียวเลยครับ
    คืออย่าไปสนใจว่ามันจะเป็นอะไร ช่างมันเลยครับ..
    เหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นกับเราบนโลกนี้ครับ
    ถึงจะยกพัฒนาระดับสมาธิตนเองได้
    แบบไม่ก้าวกระโดด(คือสติ
    ไม่ทันตอนที่มันอยู่ในสภาวะมืดๆ
    คือไม่รู้ว่ามันไปตอนไหนเพราะเร็วมากนั่นหละครับ
    เรียกว่าก้าวกระโดดเข้าใจนะครับ)


    แล้วให้มาเพิ่มการเจริญสติในชีวิตประจำวันให้มากขึ้น
    ให้มันต่อเนื่องครับ โดยเฉพาะช่วงที่เรามักทำบ่อยๆจน
    ลืมเจริญสติครับ เช่น เดินไปทานข้าว หรือทำธุระส่วนตัวครับ..
    เพราะไม่งั้นแล้ว เนื่องจากที่ต้นทุนเดิมที่จิตมันทำงานได้แบบ
    แสงนำทาง มันจะทำให้สมาธิเราก้าวกระโดดไปเข้าสู่โหมดอรูปฌาน
    อย่างที่คุณเจอ ในสภาวะที่มันมืดๆนั้นหละครับ..
    คือ สมาธิมันข้ามขั้นก้าวกระโดด เนื่องจากตัวจิตคุ้นในการทำงานได้
    แต่ว่า กำลังสติทางธรรมและกำลังสมาธิสะสมเรามันไม่พอครับ
    ในสภาวะนั้น เราจึงเหมือนคิดอะไรไม่ออก เหมือนทำอะไรไม่ได้เลย..

    จริงๆแล้วในสภาวะนั้น ถ้าเรามีกำลังสติทางธรรมมากพอ
    และกำลังสมาธิสะสมเพียงพอ เราจะสามารถที่ระลึกเรื่องขึ้น
    มาพิจารณาในสภาวะนั้นได้ครับ(สภาวะที่มืดๆ).แต่ต้องรู้จัก
    วางอารมย์ไว้ก่อน คือ ในระหว่างวันนึกๆไว้ว่า จะพิจารณาเรื่อง
    อะไร ไม่ว่าอากาศ วิญญาน ความว่าง หรือกิเลสตัวไหน
    ก็ตามที่เรายังพร่องอยู่ แล้วก็ลืมๆไป ไม่สนใจมันซะ..
    นี่คือการวางอารมย์ครับ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ แล้วไประลึกขึ้น
    ได้ในสภาวะนั้น ร่างกายจะค่อยๆรวมกับจิต
    กับเข้าสู่สภาวะปกติ จะส่งผลให้ไม่เกิดประโยชน์อะไร
    ไม่ว่าเรื่องปัญญาทางธรรมและเรื่องความสามารถ
    ทำอะไรพิเศษๆได้แม้ขณะที่ลืมตาใช้ชีวิตปกติครับ


    ถ้าเจริญสติให้ต่อเนื่องแล้ว
    บวกกับเพิ่มการนั่งสมาธิแบบเอาแค่สงบในระหว่างวัน
    ครั้งละ ไม่กี่นาทีแต่แค่สงบก็พอ..
    พอเรากลับไปนั่งสมาธิแบบพิธีการแล้ว
    กลับเข้าสภาวะนั้นอีก ตัวจิตมันถึงจะระลึก
    เรื่องที่เราวางอารมย์ไว้ โดยไม่หลุดกลับมา
    สู่สภาวะปกติแบบลืมตาบนโลกได้ครับ

    จำเอาไว้อย่างหนึ่งนะครับว่า
    เมื่อเกิดแสงสว่างมากๆ แม้กระทั่ง
    เรานั่งอยู่ในที่มืดๆก็ตามก็จะมองเห็นได้ชัด
    ให้คุณอย่าสนใจอะไรใดๆทั้งสิ้นนะครับ
    แม้จะมีความคิดผุดมาก็อย่าสนใจครับ
    ปล่อยวางไปเลย แล้วนั่งต่อไปเรื่อยๆครับ
    แสงมันจะค่อยๆมืดลงไปเรื่อยๆ..แล้วก็มืดลงไปเรื่อยๆ
    หลังจากนั้นมันก็จะค่อยๆเริ่มสว่างๆขึ้นมาเรื่อยๆ
    ได้ของมันเองครับ..ถ้าตรงนี้ปล่อยวางไม่ได้
    มันจะพรวดพลาดไปอรูปฌานแบบไร้ประโยชน์
    ซึ่งสภาวะไร้ประโยชน์ แม้คนไม่ฝึกสมาธิมาก็ทำได้ครับ
    บางคนนอนๆอยู่ก็เข้าไปได้ครับ
    แต่ถ้าค่อยๆเข้าไปสู่สภาวะนั้นแบบตามลำดับ
    หาคนทำได้จริงๆยากครับ

    หลายๆคน เผลอคิดว่า มันเป็นระดับฌานสูง
    ทำให้หลงตัวเองได้อย่างคาดไม่ถึงครับ..
    ทั้งที่ไม่มีความสามารถรับรู้ ทำอะไรได้ เกี่ยวกับแสง
    หรือพลังงานภายนอก ก็จะหลงตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อครับ
    หรือหลงเข้าใจผิดระดับฌานของตัวเองได้อย่างคาดไม่ถึงครับ
    เพราะฉนั้นระวังตรงนี้ให้ดีๆด้วยนะครับ


    ผ่านอย่างที่เล่าให้ฟังมา
    แล้วสามารถพิจารณาได้..
    เราถึงจะได้ทั้งกำลังสมาธิใช้งานได้ ได้ทั้งปัญญาทางธรรม
    และสิ่งที่จะเกิดขึ้นมาอีกก็คือ..
    คุณจะมีความสามารถในการทำอะไร
    ได้ในลักษณะที่มีแสงนำทาง
    ภายในเวลาไม่กี่วินาทีแม้ว่า
    คุณจะลืมตาและใช้ชีวิตปกติอยู่
    โดยไม่ต้องเข้าสมาธิอะไรเลยครับ
    ใช้ตรงนี้เป็นตัวตรวจสอบนะครับ
    เพราะแม้ว่าจะไม่อยากไม่อะไร
    มันก็จะเกิดของมันได้เป็นปกติครับ
    แต่ดีที่สุดให้เน้นการพิจารณาตัดกิเลส
    นะครับ เพื่อส่งเสริมทางด้านปัญญา
    ทางธรรม ซึ่งเป็นหลักสำคัญของ
    พระพุทธศาสนาครับ.

    ปล.ประมาณนี้ครับ (^_^)
     
  8. Dewmaytung

    Dewmaytung สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2015
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +20
    ต้องขอบพระคุณและอนุโมทนาบุญกับทุกท่านมากๆครับ ที่มาตอบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติครับ ผมขอยอมรับว่าตั้งแต่สึกกลับมาเป็นฆราวาสไม่สามารถปฏิบัติจนถึงสภาวะที่ประสบเหมือนตอนเป็นพระได้ อาจเป็นเพราะงานที่ทำอยู่ต้องคิดตลอดเวลา ทุกวันนี้ พยายามรักษาศิล 5 ให้บริบูรณ์ โดยเฉพาะไม่ดื่มสุราโดยเด็ดขาด และหาเวลานั่งสมาธิวันละ 30 นาที- 1 ชั่วโมงทุกวัน แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ครับ
     
  9. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    ถ้าเราไม่มีคนสอนมันจะเห็นอะไรไปอยู่ตรงไหนเราก็ไม่อาจรู้เพราะมันเป็นธรรมชาติของมันมันสร้างสรรค์สิ่งต่างๆทั้งยังจับต้องไม่ได้...พอรู้พอทราบว่าการควบคุมต้องทำยังไงดีขึ้นหน่อยเพราะผลที่ได้ไม่ใช่เพื่อเลิศหรูกว่าใครๆ
     
  10. เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา

    เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา เพื่อมวลมนุษย์แลสรรพสัตว์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    872
    ค่าพลัง:
    +1,936
    โดยมากสายพระป่า เจ้าอาวาสจะรู้ความเป็นไปของศิษย์ ถ้าไม่หนักหนาก็ปล่อยให้หาประสบการณ์ วินิจฉัยแก้ไขเอง
     
  11. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    ฌานสี่จตุตถฌานเลยเหรอเก่งจัง...เว่อร์ไปอะป่าว
     

แชร์หน้านี้

Loading...