อาเทสนาปาฏิหาริย์ และอนุสาสนีปาฏิหาริย์. พระบรมศาสดา และเหล่าผู้พระสาวก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 11 ตุลาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสั่งสอนปกิณกะธรรมไว้
    มีความสำคัญดังนี้



    "บุคคลใดเจริญพระกรรมฐาน โดยไม่จับเอาให้ตนกับจริตของตนเองก็ดี หรือจับเอาทุกกองเพียงฉาบฉวยก็ดี มักจักหาความบรรลุมรรคผลได้ยาก ให้สังเกตว่า บุคคลผู้รู้กรรมฐานหลายกองโดยสัญญา มักจักมีความทะเยอทะยานอวดอ้างคุณวิเศษของตน เป็นที่ให้ผู้อื่นสรรเสริญยกย่อง-เยินยอ จงประมาณตนเองเอาไว้ให้ดี ให้ดูท่านพระเรวัตเป็นหลัก หรือพระอรหันต์ต่าง ๆ ในพระสูตร พระอริยเจ้าจักมีแต่ความถ่อมตน ไม่ยกตนข่มท่าน อยู่อย่างเป็นสุข ไม่เดือดร้อนด้วยประการใด ๆ ทั้งปวง เนื่องจากกิเลสในจิตของท่านทุเลาเบาบางลง หรือหายไป ไม่มีอำนาจมาทำให้จิตใจของท่านต้องเดือดร้อนอีก"



    คัดลอกจาก ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๑๒
    พระราชพรหมยานมหาเถระ หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง
    รวบรวมโดย พล.ต.ท นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน




    [​IMG]



    https://www.facebook.com/yonokmedit...1611749639429/823208964479704/?type=3&theater
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    ‪การสละแล้วของหลวงพ่อเกษม‬ เขมโก

    [​IMG]









    ในวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 ในตอนรุ่งเช้า หลวงพ่อเกษมท่านได้เขียนจดหมายทิ้งไว้ มีข้อความดังนี้ " การเป็นเจ้าอาวาสเปรียบเสมือนหัวหน้าครอบครัว จึงไม่เหมาะกับเรา เราเป็นพระกรรมฐานที่ต้องการความสงบ เราไม่ขอกลับมาอีก อย่าได้ติดตามเราไป ทุกอย่างเราสอนดีแล้ว จงประพฤติไปเถิดจะเกิดผล " ท่านออกจากวัดโดยมิได้มีอะไรติดตัวไปเลย มีเพียงบาตรและจีวรเท่านั้น สถานที่ที่ท่านเดินทางไปอยู่แห่งแรกคือ ป่าช้าศาลาวังทาน แม้ท่านจะไปอยู่ที่แห่งไหน ก็ไม่พ้นความวุ่นวาย ผู้ที่เคารพศรัทธาท่านก็ติดตามไปทุกที่ ท่านได้เพียรพยายามหาเวลานั่งกรรมฐานชนิดไม่มีเวลาหยุดพัก แม้กระทั่งมีญาติโยมที่นำของไปถวายท่าน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมีค่ามากเท่าใด ท่านก็ต้องให้ทานไปต่อทุกครั้ง ท่านแสดงให้เห็นถึงการตัดสิ้นแล้วซึ่งกิเลส แม้ผ้าไตรดีๆเช่นผ้าไตรแพร มีคนเอามาถวายท่าน ท่านก็ต้องออกปากชมว่าสวยดี และมักจะได้ยินท่านบอกว่า " เฮาเป๋นพระป่าบ่เปิง หื้อพระอยู่วัดใจ้ดีกว่า " แปล เราเป็นพระอยู่ป่า ไม่เหมาะสมจะใช้ ให้พระอยู่วัดใช้ดีกว่า " ขาดเย็บได้ไม่เห็นเดือดร้อน ดีเสียอีกที่ไม่ต้องระวังว่ามันจะเปื้อน " แม้กระทั่งการฉันของท่านเอาแน่ไม่ได้ บางทีสามวันฉันครั้งบ้างเจ็ดวันฉันครั้ง บ้างฉันติดกันทุกวัน แต่ที่แน่ที่สุดคือ ‪#‎อาหารที่ท่านฉันทุกอย่างจะต้องปล่อยให้บูด‬ อย่างน้อยสามวันเจ็ดวัน ท่านเคยอดอาหารครั้งหนึ่งมีกำหนด 49 วัน ฉันแต่น้ำเท่านั้น จนกระทั่งวันที่ 48 ลูกศิษย์เห็ท่านมีอาการโผเผอ่อนลง จึงเป็นห่วงขอนิมนต์ท่าน ถึงไม่ฉันอาหารก็ให้ท่านฉันผลไม้บ้าง ท่านก็ยอม ลูกศิษย์จัดแจงหาผลไม้ ขณะนั้นมีคนสามคนไปพบท่าน คุยกับท่านเกือบสองชั่วโมง จนลูกศิษย์เป็นห่วงและได้พูดกับทั้งสามคนว่า " ขอประทานโทษคุณครับ ขอเวลาให้ท่านฉันผลไม้สักครู่น่ะครับ " ทั้งสามคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า " ท่านไม่หิวหรอก " เท่านั้นเองหลวงพ่อเกษม ก็เอาผลไม้ที่ปอกไว้ให้ทั้งสามคนกินจนหมด จากนั้นทั้งสามคนจึงขอตัวกลับ ลูกศิษย์จึงถามหลวงพ่อว่า ทำไมหลวงพ่อไม่ฉัน ท่านกลับตอบว่า " เขามาลองดี เขามาสอบไล่เรา " การกระทำของท่านนั้น เป็นเพียงการฝึกจิตให้แข็งกล้า เรื่องการปฏิบัติขั้นอุกกฤษ์ของหลวงพ่อเกษม เคยมีลูกศิษย์สอบถาม หลวงปู่บุดดา ถาวโร ท่านได้เล่าเปรียบเทียบถึงพระอริยสงฆ์บางองค์ ที่สำเร็จโดยการบำเพ็ญเพียรด้วยการทรมานกายนั้น เนื่องจากอดีตชาติท่านได้เกิดเป็น ฤาษีที่บำเพ็ญปฏิบัติด้วยการทรมานตนเอง หลายภพหลายชาติจนเกิดความเคยชินเรียกว่า จริตของบุคคลนั้น สำหรับหลวงพ่อเกษมนั้น หมดภพหมดชาติแล้ว จะไม่มีการกับมาจุติอีกต่อไป

    ( ขอนอบน้อม ด้วยกาย ด้วยจิต ด้วยความศรัทธา )
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    "...ใครก็ตามที่พูดและกระทำไม่ถูกต้องตามอรรถตามธรรม อย่าถือมาเป็นอารมณ์ให้เป็นเครื่องก่อกวนใจโดยไม่เกิดประโยชน์อะไร นอกจากเกิดโทษขึ้นมากับตัวเอง เพราะความคิดไปพูดไปกับอารมณ์ไม่เป็นประโยชน์นั้น
    ผู้ใดจะเป็นสรณะของเรา
    ผู้ใดจะเป็นที่พึ่งที่ยึดที่เหนี่ยวของเรา
    เป็นคติเครื่องสอนใจเรา
    ในขณะที่เราได้เห็นได้ยินได้ฟัง
    ผู้นั้นแล คือ 'กัลยาณมิตร'
    ถ้าเป็นเพื่อนด้วยกัน
    นับแต่พระสงฆ์ลงมาโดยลำดับ
    จะเป็นเด็กก็ตาม ธรรมนั้นไม่ใช่เด็ก
    คติอันดีงามนั้น
    ยึดได้ทุกแห่งทุกหนทุกบุคคล
    ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย ไม่ว่าเด็กว่าผู้ใหญ่ ยึดได้
    แม้แต่กับสัตว์เดรัจฉาน ตัวใดมีอัธยาศัยใจคอดี
    ก็น่ายึดเอามาเทียบเคียง ถือเอาประโยชน์จากเขาได้
    ผู้ที่เป็นคนรกโลก
    อย่านำเข้ามาคิดให้รกรุงรังภายในจิตใจเลย
    รกโลกให้มันรกอยู่เฉพาะเขา
    โลกของเขาเอง รกในหัวใจของเขาเอง
    อย่าไปนำอารมณ์ของเขามารกโลก คือหัวใจเรา
    นั้นเป็นความโง่ ไม่ใช่ความฉลาด
    เราสร้างความฉลาดทุกวัน
    พยายามเสาะแสวงหาความฉลาด
    ทำไมเราจะไปโง่กับอารมณ์เหล่านี้
    ปฏิบัติไป อย่ามีความหวั่นไหวต่อสิ่งใด
    ไม่มีใครรับผิดชอบเรา ยิ่งกว่าเราจะรับผิดชอบตัวเองในขณะนี้โดยธรรม จนถึงวาระสุดท้ายปลายแดนแห่งชีวิตของเราหาไม่
    เราจะต้องรับผิดชอบตัวเราเองอยู่ตลอดสาย
    จะเป็นภพหน้าหรือภพไหนก็ตาม
    ความรับผิดชอบตนนี้จะต้องติดแนบไปกับตัว
    แล้วเราจะสร้างอะไรไว้
    เพื่อสนองความรับผิดชอบของเรา
    ให้เป็นที่พึงพอใจ
    นอกจากคุณงามความดีนี้ ไม่มี! "




    -:- องค์พระหลวงตา มหาบัว -:-
    เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล
    เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙




    [​IMG]
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    ดวงชาตาราศี

    คำว่า ดวงชาตาราศี ก็คือดวงของกรรม ลายมือ ก็คือลายของกรรมนั่นแล ที่เขาดูลายมือถูก ดูดวงถูก ผูกดวงถูก เขาก็เรียนหลักวิชามาผูก หลักวิชาที่เขาเรียนมาก็ออกมาจากตัวของคนนี้แหละ ซึ่งมีกรรมดีชั่วเป็นรากฐานอยู่แล้ว ถ้าเรามีความฉลาดสามารถเรียนผูกดวง หรือเรียนดูลายมือให้รู้ตามความเป็นจริงแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องมาดูลายมือเท่านั้น จะสามารถเข้าใจจนกระทั่งลายเท้า ดูข้างหลังก็เข้าใจ ดูข้างหน้าก็เข้าใจเพราะร่างกายเราทุกส่วนมันเป็นตัวกรรม เป็นรูปลักษณะของกรรมดีชั่วบอกไว้รอบตัว และเป็นผลของกรรมแสดงออกมาด้วยกันทั้งนั้น แต่เราไม่สามารถรู้ได้ตลอดทั่วถึงตามความเป็นจริงของร่างกายส่วนต่างๆ เท่านั้น รู้เพียงงูๆ ปลาๆ จับต้นชนปลายก็ไม่ถูกแต่ก็ชอบดูกัน เพราะมนุษย์มีนิสัยชอบโกหก ไม่ชอบของจริง ถ้าเรื่องโกหกแล้วเพลิดเพลินจนลืมเวล่ำเวลา ลืมหมดลืมยัง เงินเกลี้ยงกระเป๋า ใจก็ไม่เศร้าโศก เพราะความชอบความเพลินพาให้เป็นไป
    ส่วนมากก็มารู้เพียงฝ่ามือ ดูลายมือ ดูดวงเกิดวันนั้น เดือนนี้ ปีนั้นเท่านั้น ก็ยังพอเป็นแบบเป็นฉบับพอทายกันให้เพลินๆ ผู้ที่เชื่อก็พอเชื่อให้เพลิน บางทีก็ถูก บางทีก็ผิด ถ้าจะดูให้ถูกจริงๆ ก็ดูตัวของเรานี้แหละเป็นสิ่งที่เหมาะที่สุด คือดูความเคลื่อนไหวทางกาย วาจา ใจของเราเองว่า มันเคลื่อนไหวไปในทางดีหรือทางชั่ว ก็รู้ว่าดวงเราตัวเราดีและไม่ดีไปตามการกระทำของตนนั่นแล
    คนที่เชื่อกรรมก็ทำตัวให้ถูกต้องดีงามอยู่โดยสม่ำเสมอ จัดว่าเป็นผู้ที่มีดวงดี ดีอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าระยะนั้นดวงมันขึ้นมันลง เราพาขึ้นดวงก็ขึ้น เราพาลงดวงก็ลง เพราะดวงมันอยู่กับเรา เราพาดีมันก็ดี พาชั่วมันก็ชั่ว ดูไม่ดูมันก็ดีกับชั่วของมันอยู่นั้นแล เราหากไปดูเวลานั้นมันดียังงั้น มันชั่วยังงี้นะ ความจริงมันก็ดีกับชั่วเป็นประจำอยู่แล้ว จากการกระทำดีและชั่วของเรา จากตัวของเรา ซึ่งเป็นตัวดวงหรือเป็นตัวลายของลายมือ ดูตรงนี้เป็นเหมาะที่สุดสำหรับชาวพุทธเรา อย่าพากันคันมืออยู่ไม่เป็นสุขล้วงแต่กระเป๋า นักล้วงไม่หยุดไม่ถอย ไม่เข็ดไม่หลาบ เงินในกระเป๋าไม่เหมือนน้ำในท้องมหาสมุทรก็มีทางหมดไปได้ เพราะมือใหญ่ก็ล้วงมาก มือน้อยก็ล้วงน้อย ย่อมหมดไปได้เหมือนกันจะเอาอะไรมาทน



    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๙
    "ศาสนธรรมคู่เคียงใจ"



    [​IMG]
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    จิตเกิดความฟุ้งซ่านนั้นแหละดี
    จะทำให้เราได้ภาวนา
    ยิ่งฟุ้งซ่านมาก ก็ยิ่งภาวนามาก
    ภาวนาเพื่อเรียนรู้ความฟุ้งซ่านนั้น
    เมื่อรู้แล้วก็ละวางมัน
    อย่าไปวิ่งตามมัน
    อย่าไปสุข ไปทุกข์ กับมัน


    หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม




    [​IMG]
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    [​IMG]
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    [​IMG]
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    เรื่อง "ใบลานเปล่า"
    "ผู้มีปัญญา" อบรมด้วยจิตที่ถูกต้อง แม้จะไม่ต้องจับ "พระไตรปิฎก" แต่ก็น้อมเอาสิ่งต่างๆมาเป็น "ธรรม" เป็น "ยอดพระไตรปิฎก" ได้
    (คติธรรม หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
    ••••••••••••••••••••••••••
    พระพุทธศาสนาเน้นให้ "สร้างใจ" เป็นหลักใหญ่ใจความสำคัญ
    (ธรรมะจากความทรงจำข้าพเจ้า เล่าสู่กันฟัง)
    อย่ามัวงมเงามุ่งเอาแต่ "สัญญาอารมณ์" คือ ความจำได้หมายรู้ในตำรา การให้ความสำคัญแต่เพียง "พระไตรปิฎกนอก" โดยที่ไม่ได้ลงมือ "ปฏิบัติเพียรภาวนา" จนได้ชื่อว่า "ใบลานเปล่า" ดังเรื่องของ "พระโปฐิลเถระ" ผู้ที่เรียนจบพระไตรปิฎก เป็นพระธรรมกถึก มีความชำนาญเชี่ยวชาญสามารถจดจำพระไตรปิฎกได้ทั้งหมด แต่ด้วยทิฏฐิมานะความทรนงตนว่า "ตนเก่งกล้าสามารถด้วยอัตตา" ซึ่งจิตท่านยังดำรงอยู่เพียงขั้น "ปุถุชน" ไม่ได้ทรงคุณธรรมในพระอริยบุคคลชั้นใดๆ เพราะท่านสำคัญตนผิดว่า "ความรู้ในสัญญาอารมณ์ เป็นสาระ เป็นแก่นแท้" พระพุทธเจ้าทรงเรียกท่านว่า "ใบลานเปล่า" หลักใหญ่ใจความสำคัญนั้นพระพุทธเจ้าท่านทรงให้สร้าง "ธรรม" ขึ้นในจิตด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา(อริยมรรค) อย่ามัวงมเงาเพียงพระไตรปิฎกภายนอกอันเป็นเพียงสัญญาอารมณ์ ซึ่งยังไม่ใช่แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา จึงยังไม่ใช่สาระอันแท้จริง เพราะยังไม่สามารถทำให้เราพ้นนรกอบายภูมิได้ พระพุทธศาสนาเน้นให้ "สร้างใจ" เป็นหลักใหญ่ใจความสำคัญ ครับ สาธุ
    • "พระไตรปิฎกนอก"
    เข้าถึงเพียงความรู้ในขั้นหยาบๆ คือ สัญญาอารมณ์ ความจำได้หมายรู้
    • "พระไตรปิฎกใน"
    เข้าถึง วิสุทธิธรรม วิสุทธิมรรค วิสุทธิจิต เข้าถึงมรรคผลนิพพาน




    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    อารมณ์วางเฉย

    อารมณ์วางเฉยมี 3 อย่าง

    1. วางเฉยแบบหยาบ คือ อารมณ์ปุถุชนที่เฉยๆ ไม่คิดดี ไม่คิดชั่ว ซึ่งมีเป็นครั้งคราวเท่านั้น

    2. วางเฉยแบบกลาง มีในผู้ปฏิบัติสมาธิภาวนา มีความรู้ตัว มีความสงบของจิต วางอารมณ์จากความดี ความชั่ว สุข ทุกข์ ใดๆในโลกีย์วิสัย เฉยบ่อยมากขึ้น

    3. วางเฉยแบบละเอียด คือ อารมณ์ของพระอริยเจ้า พระอรหันต์ ซึ่งไม่มีอารมณ์สุขหรือทุกข์ ดีหรือชั่ว ดีใจปนเสียใจ วิตกกังวลฟุ้งซ่านรำคาญใจ ไม่มี ไม่คิดปรุงแต่งไปในอดีต ปัจจุบัน อนาคต มีความวางเฉยในร่างกายของท่านเอง จะเจ็บปวดทรมาน จิตท่านนิ่งเฉยอยู่ในจิตของท่านว่าจิตส่วนจิต กายเป็นเพียงของสมมุติของชั่วคราว ตายเมื่อไรท่านก็พร้อมที่จะทิ้งรูปนามขันธ์ เสวยวิมุติสุขแดนอมตะทิพย์นิพพานติดตามองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า




    [​IMG]
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    [​IMG]
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    ....ความเพลิดเพลิน....

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    [​IMG]






    เรื่องศพที่ท่านพระอาจารย์มั่นพาปฏิบัติ

    ครั้งหนึ่งมีเหตุเด็กผู้ชายป่วยไข้ตายลง ชื่อเด็กชาย นงค์ นามสกุล จันทะวงษา อายุประมาณ ๖ ขวบ เป็นไข้ตาย อยู่ที่กระท่อมเถียงนา เพราะเป็นหน้ากำลังดำนากัน ตามปกติพ่อแม่ในชนบทบ้านนอกทางภาคอีสานสมัยนั้น เมื่อถึงหน้าฤดู ทำนาก็ต้องหอบลูกจูงหลานไปนาด้วย แม้ลูกหลานจะป่วยไข้แต่พอเอาไปก็ต้องเอาไป เผื่อจะได้เยียวยารักษากันไป พร้อมกับทำนาไปด้วยเพื่อจะเร่งงานนาให้เสร็จทันกับฤดูกาล แต่วันนั้นบังเอิญเด็กมีไข้ขึ้นสูง เยียวยาไม่ทันในที่สุดก็ตาย ทำให้พ่อแม่พี่น้องมีความเศร้าโศกเสียใจมาก

    เมื่อตายแล้วพ่อแม่ญาติพี่น้องต้องการจะให้นำศพเด็กเข้าไปทำบุญที่บ้าน แต่มาขัดข้อเรื่องของ ความคิดเห็นตามประเพณีโบราณว่า คนที่ตายในทุ่งในป่าห้ามไม่ให้เอาผ่านเข้าบ้านโบราณท่านถือ และอีกอย่างคนตายโหง หรือตายอย่างกระทันหัน เช่น ตายจากอุบัติเหตุ ผูกคอตาย ฆ่ากันตาย ยิงกันตาย เหล่านี้เป็นต้น โบราณท่านไม่ให้หาม ผ่านเข้าบ้านและห้ามเผาให้ฝังครบสามปีแล้วจึงขุดเอากระดูกขึ้นมาเผาได้ เลยทำให้ชาวบ้านหนองผือสมัยนั้นถกเถียงกันไป ถกเถียงกันมา ในที่สุดญาติโยมจึงนำปัญหานี้ไปปรึกษาสอบถามกับท่านพระอาจารย์มั่น

    ท่านได้แก้ความสงสัยนี้ให้แก่ญาติโยมบ้านหนองผือด้วยเหตุผลง่ายๆว่า " พวกหมูป่า อีเก้ง กวางที่ยิงตาย ในป่า ยังเอามาเข้าบ้านเรือนได้ นี่มันคนตายแท้ๆ ทำไมจะเอาเข้าบ้านเข้าเรือนไม่ได้ " ดังนั้นญาติโยมชาวบ้านจึงนิ่งเงียบไป ทำให้หูตาสว่างขึ้นมา สุดท้ายก็นำเอาศพเด็กชายคนนั้นเข้าไปทำบุญที่บ้าน และเผาเหมือนกันกับศพของคนตายตามปกติ ธรรมดาทุกอย่าง ภายหลังต่อมาชาวบ้านหนองผือจึงไม่ค่อยถือในเรื่องนี้เป็นสำคัญ คนตายทุกประเภทจึงทำเหมือนกันหมด

    สมัยที่ท่านพระอาจารย์มั่นพำนักอยู่สำนักวัดป่าบ้านหนองผือ ช่วงระยะ ๕ พรรษานั้นมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น คือ มีพระที่จำพรรษาอยู่ด้วยท่านมรณภาพลง ๒ รูป คือ พระอาจารย์สอกับพระอาจารย์เนียม แต่มรณภาพลงคนละเดือน โดยเฉพาะพระอาจารย์เนียม มรณภาพเมื่อตอนเช้าด้วยอาการสงบ ท่านพระอาจารย์มั่นก็ทราบเรื่องทุกอย่าง พอตอนเช้า ท่านพระอาจารย์มั่นก็พาพระเณรไปบิณฑบาตรภายในหมู่บ้านตามปกติ ในขณะที่ท่านกำลังบิณฑบาตรอยู่นั้น ท่านพูดขึ้นเป็น สำเนียงอีสานว่า " ท่านเนียมฮู้แล้วน้อ พ่อออกแม่ออก ท่านเนียมฮู้แล้วน้อ " ท่านพูดอย่างนั้นไปเรื่อยๆ กับกลุ่มญาติโยม ที่รอใส่บาตรทุกกลุ่มจนสุดสายบิณฑบาตร คำพูดของท่านนั้นหมายความว่า พระอาจารย์เนียมอยู่กับที่แล้วไม่กระดุกกระดิก แล้วหรือตายแล้ว ซึ่งญาติโยมตอนนั้นบางคนก็เข้าใจบางคนก็ไม่เข้าใจความหมาย ภายหลังจึงเข้าใจชัดว่า พระอาจารย์เนียม มรณภาพแล้วเมื่อเช้านี้ เมื่อญาติโยมทั้งหลายได้ทราบอย่างนั้นแล้วจึงบอกต่อๆ กันไป แล้วพากันเตรียมตัวไปที่วัดในเช้าวันนั้น

    สำหรับท่านพระอาจารย์มั่นพร้อมทั้งพระเณรบิณฑบาตรเสร็จแล้วกลับถึงวัด ล้างเท้าขึ้นบนศาลาหอฉัน วางบาตร บนเชิงบาตร ลดผ้าห่ม คลี่ผ้าสังฆาฏิที่ซ้อนออก ห่มเฉพาะจีวรเฉวียงบ่าเรียบร้อยแล้วพับเก็บผ้าสังฆาฏิ จึงเข้าประจำที่ฉัน เตรียมจัดแจงอาหารลงบาตร เพราะมีโยมตามส่งอาหารที่วัดด้วย เสร็จแล้วอนุโมทนายถาสัพพีตามปกติ จึงพร้อมกันลงมือฉัน

    ฝ่ายพวกชาวบ้านญาติโยมภายในหมู่บ้าน ที่จะมาวัดในเช้าวันนั้นก็กำลังบอกล่าวป่าวร้องให้ผู้คนประชาชนไปที่วัด เพื่อจะได้จัดเตรียมเอาเครืองใช้ไม้สอยและอุปกรณ์จำเป็นในการที่จะทำงานฌาปณกิจศพตามประเพณี ทั้งคนเฒ่าคนแก่ หนุ่มๆ แข็งแรงก็ให้ไปด้วย ผู้มีมีดพร้า ขวาน จอบ เสียม ก็ให้เอาไปด้วยเช่นกัน เพื่อจะได้ไปปราบพื้นที่ที่จะทำเป็นที่เผาศพชั่วคราว สำหรับพวกที่มีพร้ามีขวานให้ไปตัดไม่ที่มีขนาดใหญ่หน่อย ยาวประมาณ ๒ วากว่าๆ มาทำเป็นไม้ข่มเหงหรือไม้ข่มหีบศพที่อยู่ บนกองฟอน ไม่ไห้ตกลงมาจากกองฟอนขณะไฟกำลังลุกไหม้อยู่ส่วนคนเฒ่าคนแก่รู้หลักในการที่จะทำเกี่ยวกับศพก็เตรียมฝ้าย พื้นบ้านพร้อมด้ายสายสิญจน์ เพื่อนำไปมัดตราสัง ภูไท เรียกว่ามัดสามย่าน ( คือห่อศพด้วยเสื่อแล้วมัดเป็นสามเปลาะ โดยมัด ตรงคอ ตรงกลาง และตรงข้อเท้า) นอกจากนั้นก็มีธูปเทียนดอกไม้ กะบองขี้ไต้ น้ำมันก๊าด พร้อมทั้งหม้อดินสำหรับใส่กระดูก หลังจาเผาเสร็จ เป็นต้น

    ส่วนท่านพระอาจารย์มั่นนั้น เมื่อฉันจังหันเสร็จและทำสรีรกิจส่วนตัวเรียบร้อยแล้วได้ลุกจากอาสนะที่นั่ง เดินลง จากศาลาหอฉันไปที่กุฏิศพพระอาจารย์เนียม พระเณรทั้งหลายก็ติดตามท่านไปด้วย ไปถึงท่านก็สั่งการต่างๆ ตามที่ท่านคิดไว้แล้ว คือคล้ายๆกับว่าท่านจะเอาศพของพระอาจารย์เนียมเป็นเครื่องสอนคนรุ่นหลังหรือทอดสะพาน ให้คนรุ่นหลังๆ ทั้งพระเณร พร้อมทั้งญาติโยมชาวบ้านหนองผือเอาเป็นคติตัวอย่าง ท่านจึงไปยืนทางด้านบนศรีษะของศพแล้วก้มลงใช้มือทั้งสองจับมุมเสื่อ ทั้งสองข้างของศพ ทำท่าทางจะยกศพขึ้นอย่างขึงขังจริงจังพระเณรทั้งหลายเห็นกิริยาอาการของท่านอย่างนั้นแล้ว จึงเข้าใจ ความหมายว่า ท่านต้องการจะให้ยกศพหามไปที่กองฟอนเดี๋ยวนั้น โดยไม่ต้องตกแต่งศพหรือทำโลงใส่เลย

    ดังนั้น พระเณรทั้งหลายจึงพากันกรูเข้าไปช่วยยกศพนั้นจากมือท่าน หามไปที่กองฟอนซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของวัด เมื่อท่านพระอาจารย์มั่นเห็นว่าพระเณรทั้งหลายเข้ามาช่วยหามมากแล้ว ท่านจึงปล่อยให้จัดการหามกันเอง ท่านเพียงแต่ คอยสั่งการตามหลังเท่านั้น แล้วท่านก็เดินตามหลังขบวนหามศพนั้นไป ในตอนนี้พวกญาติโยมชาวบ้านกำลังทยอยเข้ามาที่บริเวณวัด ขณะที่พระอาจารย์มั่นกำลังเดินไปอยู่นั้น ได้มีโยมผู้ชายคนหนึ่งเดินถือฝ้ายพื้นบ้านเข้ามาหาท่านท่านเห็นจึงหยุดเดินและถามขึ้นว่า " พ่อออก ฝ้ายนั้นสิเอามาเฮ็ดอีหยัง..?" (หมายความว่า โยมจะเอาฝ้ายนั้นมาทำอะไร) โยมนั้นก็ตอบท่านว่า " เอามามัดสามย่านแหล่ว ข้าน้อย " ( มัดตราสัง ) ท่านพูดขึ้นทันทีว่า " ผูกมัดมัน เฮ็ดอีหยัง มันสิดิ้นรนไปไส มันฮู้พอแฮงแล้ว ให้เก็บฝ้ายนั้นไว้ใช้ อย่างอื่น สิยังมีประโยชน์กว่าเอามาเผาไฟทิ่มซะซือ " ( หมายความว่า ผูกมัดทำไม ศพมันจะดิ้นไปไหนเพราะตายแล้ว ให้เก็บฝ้ายนั้นไว้ใช้ อย่างอื่นยังจะมีประโยชน์กว่าเอามาเผาไฟทิ้งเสียเปล่าๆ ) โยมคนนั้นก็เลยหมดท่าพูดจาอะไรไม่ออก เก็บฝ้ายนั้นแล้วเดินตามหลัง ท่านพระอาจารย์มั่นเข้าไปยังที่ที่เผาศพพระอาจารย์เนียม

    เมื่อท่านพระอาจารย์มั่นเดินไปถึงที่เผาศพแล้ว มีโยมหนุ่มๆ แข็งแรงกำลังแบกหามท่อนไม้ใหญ่พอประมาณยาว ๒ วากว่าๆ ( ทางนี้เรียกว่าไม้ข่มเหง ) มาที่กองฟอน ท่านพระอาจารย์มั่นเหลือบไปเห็นจึงพูดขึ้นทันทีว่า " แบกมาทำเฮ็ดหยังไม้นั่น..?" ( หมายความว่า แบกมาทำไมไม้ท่อนนั้น ) พวกโยมก็ตอบว่า " มาข่มเหงแหล่วข้าน้อย " ( หมายความว่า เอาไม้นั้นมาข่มศพบนกองฟอน เพื่อไม่ให้ศพตกออกจากกองไฟ ) ท่านจึงพูดขึ้นอีกว่า " สิข่มเหงมันเฮ็ดอิหยังอีก ตายพอแฮงแล้วย่านมันดิ้นหนีไปไส " (หมายความว่า จะไปข่มเหงทำไมอีกเพราะตายแล้ว กลัวศพจะดิ้นหนีไปไหน ) พวกโยมได้ฟังเช่นนั้นก็เลยวางท่อนไม้เหล่านั้นทิ้งไว้ที่พุ่มไม้ข้างๆ นั้นเอง แล้วมานั่งลงคอยสังเกตการณ์ต่อไป

    ก่อนเผานั้นท่านพระอาจารย์มั่นสั่งให้พลิกศพตะแคงขวา แล้วตรวจดูบริขารในศพโดยที่ไม่ได้แต่งศพแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงมีจีวรของศพปกปิดอยู่เท่านั้น แล้วท่านก็เหลือบไปเห็นสายรัดประคดเอวของศพ จึงดึงออกมาโยนไปให้พระที่อยู่ใกล้ๆ พร้อมกับพูดว่า " นี่ประคดไหม ใครไม่มีก็เอาไปใช้เสีย " แล้วท่านก็พาพระเณรสวดมาติกาบังสุกุลจนจบลง แล้วจึงให้ตาปะขาวจุด ไฟใส่กะบองแล้วยื่นให้ท่าน เมื่อท่านรับแล้วพิจารณาครู่หนึ่งจึงไปวางไฟลงใต้ฟืนในกองฟอน ไม่นานไฟก็ติดลุกไหม้ขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นเปลวโพลงสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว ในที่สุดไฟเริ่มไหม้ทั้งฟืนทั้งศพ ทำให้ศพที่ถูกไฟไหม้อยู่นั้นมีน้ำมันหยดหยาดย้อยถูก เปลวไฟเป็นประกายวูบวาบพร้อมกับเสียงดังพรึบๆ พรับๆ ไปทั่ว จนที่สุดคงเหลือแต่เถ้าถ่านกับกองกระดูกเท่านั้นเอง

    ส่วนท่านพระอาจารย์มั่นเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงหันหน้าเดินออกมาข้างนอก ปล่อยให้ญาติโยมดูแลเอง ในขณะที่ท่านกำลังเดินออกมาท่านเหลือบไปเห็นโยมผู้ชายคนหนึ่งถือหม้อดินใหม่ขนาดกลางเดินเข้ามาหาท่าน ท่านจึงถามโยมคนนั้น ทันทีว่า " พ่อออกเอาหม้อนั้นมาเฮ็ดหยัง " ( หมายความว่า โยมเอาหม้อดินนั้นมาทำอะไร ) โยมคนนั้นตอบท่านว่า " เอามาใส่กระดูกแหล่วข้าน้อย " ( หมายความว่าเอามาใส่กระดูกขอรับ ) ท่านจึงชี้นิ้วลงบนพื้นดินพร้อมกับถามโยมคนนั้นว่า " อันนี้แม่นหยัง " ( หมายความว่า อันนี้คืออะไร ) โยมตอบท่านว่า " ดินขอรับ " ท่านจึงชี้นิ้วไปที่หม้อดินที่โยมถืออยู่พร้อมกับถามอีกว่า " นั่นแด้..เขาเอาอีหยังเฮ็ด " ( หมายความว่า นั้นเขาทำด้วยอะไร ) โยมตอบท่านว่า "ดินข้าน้อย" ท่านจึงสรุปลงพร้อมกับชี้นิ้วทำท่าทางให้ดูว่า " นั่นก็ดิน นี่ก็ดิน ขุดลงนี่แล้ว จึงกวาด..ลงนี่ มันสิบ่ดีกว่าหรือ " ( หมายความว่า หม้อใบนั้นก็ทำด้วยดิน ตรงพื้นนี้ก็ดิน ขุดเป็นหลุมแล้วให้กวาดกระดูกและเถ้าถ่าน ต่างๆ ลงด้วยกัน จะไม่ดีกว่าหรือ ) ท่านจึงบอกโยมนั้นเอาหม้อไปเก็บไว้ใช้ โดยบอกว่า " ให้เอาหม้อใบนั้นไปใช้ต้มแกงอย่างอื่นยังจะมี ประโยชน์กว่าที่จะเอามาใส่กระดูก " เมื่อโยมได้ฟังเช่นนั้นจึงนำหม้อดินไปเก็บไว้ใช้ประโยชน์อย่างอื่นต่อไป


    https://www.facebook.com/1101236199...236199896160/1201916076494838/?type=3&theater
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    [​IMG]



    เรื่อง "โลกุตรภูมิ ย่อมไม่มีในคนนอกพระพุทธศาสนา"

    (โอวาทธรรม หลวงปู่แหวน สุจิณโณ)

    "กสิณฌาน" กํามือจนเล็บมือผด (ทะลุ) หลังมือไม่รู้ตัว อันนั้นก็ยังไม่มีใครแก้ได้หนา ไม่ยอมใครทีเดียว แต่ไม่ใช่ถึง เป็นแค่ฌานโลกีย์ทั้ง ๕ ปีติอันนี้ แต่อาจเป็นอยู่ในกามโลกอันนี้ บางคนก็ขี้หินป่งหู้ม (งอกปิด) รอบ ๆ ตัว บางคนก็ไปนั่งริมเก๊าไม้ (ต้นไม้) ป่งหุ้ม ได้สองหมื่นปีก็มี สามหมื่นปีก็มี เวลาจะออกก็กสิณนั้นละ เพิ่งกสิณให้แตกกระจาย พวกนี้ครั้งตายจากกามโลก ก็ไป "พรหมโลก" ไปดูเขาแล้วพวกนี้ เขาเป็นนักผนึกบารมีหนา ทานบารมี ทานภายนอก ทานภายใน เขาก็ละได้ภายในตัวอกุศล ตัวอกุศลาธัมมา นี้ละ เมาหลง เมาโกรธ เมาราคะ กิเลสตัณหานี่ละ มันเป็นกก เป็นเค้าเป็นเหง้า เป็นงูน กิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ไปจากนี้ละ เขาละได้จริง ๆ หนาเขาอดได้แต่ไปแก้ไม่ไหวหรอก อันที่ปีติตัวนี้ แต่ถอนได้เหมือนกันนั้นละ เวลาตายจากกามโลกนี้ ก็ไป "พรหมโลก" พวกนี้ไม่ตกต่ำ แต่ได้กลับมาเกิดอยู่ แต่พวกเพ่งพวกนั้น ยังสําคัญว่าตนได้ "สําเร็จพระนิพพาน" หนา แต่มันไม่เป็นปัญญาวิมุตติ โลกุตรวิมุตติ ต้องแก้ไขอยู่เรื่อยๆ จนกิเลสอาสวักขยญาณไปรู้กิเลสของตน กิเลสของกาย สิ้นไปหมด กิเลสของใจ เรามีกามฉันท์งอกขึ้น ดับไปแล้ว กำลังศรัทธา กำลังความเพียร กำลังสติ กำลังสมาธิ กำลังโลกุตรปัญญา วิมุตติผู้แจ้งชัชวาล ตลอดจนถึงขันธปรินิพพาน ไตรวัฏมีเท่านี้แล้ว

    หมายเหตุ : ปัญญาวิมุตติ โลกุตรวิมุตติ มรรคองค์ ๘ อริยสัจ ๔ ธรรมเหล่านี้มีในเฉพาะคำสอนพระพุทธศาสนาเท่านั้น ศาสนาอื่นๆนั้นไม่มี ด้วยเหตุนี้ "โลกุตรภูมิ" อันหมายถึง "พระอริยบุคคล" ทั้ง ๔ ประเภท จึงไม่ปรากฏในนักปฏิบัตินอกพระพุทธศาสนาเลย



    https://www.facebook.com/1101236199...236199896160/1201842956502150/?type=3&theater
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    [​IMG]




    ครั้งหนึ่ง

    มีอุบาสกได้กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ครับ ที่ว่าธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม ธรรมในที่นี้หมายถึงอะไรครับ"
    หลวงปู่ตอบสั้นๆ ในทันทีว่า "กายสุจริต วาจาสุจริต มโนสุจริต"
    หลวงปู่ท่านไม่ได้ขยายความ เพราะรู้ว่านิสัยของนักศึกษาพวกนี้คงไปค้นคว้าเอาเองได้ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น
    กายสุจริตก็คือ การกระทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ไม่ไปประพฤติผิดศีลข้อ ๑ ๒ และ ๓ คือ ไม่ไปละเมิดหรือเบียดเบียนในชีวิต ในทรัพย์ ในบุคคลที่เขาหวงแหน (หมายถึงประพฤติผิดในกาม)
    วาจาสุจริตก็คือ การพูดจาถูกต้องดีงาม ไม่ไปประพฤติผิดศีลข้อ ๔ ได้แก่ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดหยาบคาย ไม่พูดยุแหย่ให้แตกแยก และไม่พูดเพ้อเจ้อ เลื่อนลอย ไร้เหตุผล
    มโนสุจริตซึ่งสำคัญที่สุด คือไม่ละโมบคิดเอาแต่จะได้ ไม่คิดร้ายมุ่งเบียดเบียนหรือเพ่งมองในแง่ที่จะทำลาย รวมทั้งการมีความเห็นถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ)
    อานิสงส์แห่งการมีกายสุจริต วาจาสุจริต และมโนสุจริต นี้เองที่จะมาคุ้มครองเรา ซึ่งแต่ก่อนก็คิดแบบเด็กๆ ว่าก็คุ้มครองเราให้แคล้วคลาดปลอดภัยยังไงล่ะ ซึ่งก็คงจะถูกระดับหนึ่ง แต่พอศึกษาธรรมและมีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น จึงรู้ว่าหมายถึงสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น นั่นก็คือคุ้มครองเราให้สามารถรักษากายใจให้เป็นปรกติสงบเย็นอยู่ได้ แม้ในท่ามกลางโลกธรรมที่เข้ามากระทบนั่นเอง
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...