พลังอำนาจแห่งความรัก

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย jityim, 30 มิถุนายน 2016.

  1. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    (rose)(rose)(rose)
     
  2. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ***ถ้าคุณรักใคร แล้วไม่ยินดีกับความสุขของเขา
    แปลว่าคุณเห็นแก่ตัว และดีแต่พูดเท่านั้น

    ***ถ้าต่างฝ่ายต่างจ้องจะให้เปล่าด้วยกันทั้งคู่
    คู่รักนั้นย่อมกล่าวว่า ความรักคือ "ความเอื้ออาทร"
    ต่างฝ่ายต่างเอื้ออาทรกันนั่นแหละ คือ ความรู้สึกรักแท้!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images (8).jpg
      images (8).jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.2 KB
      เปิดดู:
      49
    • images (9).jpg
      images (9).jpg
      ขนาดไฟล์:
      6 KB
      เปิดดู:
      57
  3. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ***รักที่ตายได้คือ รักแต่จะเอา
    ส่วนรักอมตะ คือ รากสละความเห็นแก่ตัว



    ***จาคะคือสิ่งที่เปิดจิตให้กว้างขวาง
    อย่างที่เรียกกันว่า"ใจกว้าง"
    ยิ่งมีจาคะมากเท่าไร
    ใจยิ่งกว้างมากเท่านั้น
    สังเกตุเถิดว่าคนใจแคบ
    จะไปด้วยกันกับคนใจกว้างไม่ได้
    ถึงแม้จะจับพลัดจับพลู
    ต้องทนอยู่ร่วมกัน
    จะไม่มีความสุขเลย


    ***คนใจกว้างเหมาะกับพื้นที่กว้าง สุขสบายไม่อึดอัด
    ขณะที่คนใจแคบย่อมเหมาะกับพื้นที่แคบ ทุกข์ทนไม่มีดี
    ถ้าคนหนึ่งตายลงอย่างใจกว้าง อีกคนตายอย่างใจแคบ
    แนวโน้มจะไม่ได้เจอกันในชาติถัดไป ....
    เพราะใจสอดคล้องกับลักษณะภพที่ต่างกันเกินไป
    ก็ยากที่จะมาอยู่ร่วมกันโดยง่าย


    ***ผู้ที่อยู่ร่วมกันต่างฝ่ายต่างมีน้ำใจมาก
    ย่อมไม่มีวันหิวกระหายตลอดเส้นทาง
    ส่่วนการเดินทางไปกับผู้ตระหนี่ถี่เหนียวไร้น้ำใจ
    ย่อมรู้สึกฝืดคอ เหมือนรอบตัวแห้งแล้ง น่าหน่ายหนีเหลือเกิน



    ***เมื่อมีน้ำใจไม่หยิ่งหย่อนไปกว่ากัน...เป็นที่พึ่งให้แก่กันและกันได้
    กระทั่งอาจกระตือรือร้นมากพอจะแผ่เผื่อเจือจานไปสังคมรอบข้าง
    ถึงตรงนั้นพวกคุณจะเริ่มเป็นสองแรงแข็งขัน....ร่วมกันช่วยคนอื่นได้
    ดุจเดียวกับงานอดิเรกที่น่ารื่นเริง ความรื่นเริงที่จะช่วยสังคมร่วมกันนั่นแหละ
    คือ ความที่มาของการอยู่ร่วมกันด้วยความหฤหรรษ์สุดยอด
    ไม่ว่าตายแล้วเกิดเกิดชาติไหน ภพไหน คุณจะไม่พบใครที่อยู่ด้วยแล้ว
    บันเทิงเท่าคนรักที่เคยมีน้ำใจต่อสังคมเสมอกันเลย



    ***ความคิดยกให้ ความคิดบริจาค และความคิดช่วยเหลือ
    เราร่วมเรียกว่า "จาคะ" จึงหมายถึง การสละออก
    นับแต่การแบ่งปันสิ่งของ การออกแรงงานช่วยงานกับผู้สมควรได้รับการช่วยเหลือ
    จาคะยังรวมไปถึงการสละสิ่งที่เป็นโทษ เพื่อเอาสิ่งใหม่ที่เป็นประโยชน์มาแทน
    เช่น การให้อภัยเป็นทานที่ยกความแค้นออกไป เพื่อเอาไมตรีคืนมา
    โลกนี้เต็มไปด้วยเรื่องที่น่าถือสา ถ้าคุณวางเสียได้ไม่ถือสา
    ก็จะไม่เป็นคนหงุดหงิดกระแสจิตของคุณจะเย็น
    ถ้าพวกคุณเย็นด้วยกันทั้งคู่ ต่อให้วิ่งผ่านทะเลทราย
    ก็จะเย็นฉ่ำข้างในดุจเป็นแอร์ให้แก่กันและกันตลอดเส้นทางไกล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ***รักแท้ไม่ได้อยู่ข้างการกระทำลวก ๆ ที่ขาดพิธีรีตรอง
    รักแท้เป็นอะไรที่ต้องมีฐาน มีราก ไม่น้อยหน้าน้อยตา
    ไม่หลบ ๆ ซ่อน ๆ จึงจะต้องอยู่ได้อย่างมั่นคง...


    ***การตั้งใจงดเว้นเด็ดขาดจากศีล
    ธรรมดาของผู้ตั้งใจรักษาศีล 5 ด้วยกันนั้น
    ย่อมไว้ใจกัน และ อบอุ่น ซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่เป็นภัยต่อกัน
    การตั้งจิตงดเว้นฤติกรรมผิด ๆ ก็คือ การสร้างความสบายใจขั้นพื้นฐานให้ชีวิตคู่นั่นเอง
    พอศีลสะอาดใจก็ถึงใจมากขึ้น ถ้าตัวอยู่ห่างกันแล้วยังรู้สึกอบอุ่นไว้ใจได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images (6).jpg
      images (6).jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.4 KB
      เปิดดู:
      52
    • images (5).jpg
      images (5).jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.2 KB
      เปิดดู:
      45
  5. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    คนที่ใช่ต้องพร้อมทำเรื่องดี ๆ ร่วมกับคุณ
    ตัวตนที่เข้ากันได้คือ คือ ตัวตนแบบเดียวกัน
    ร่างกายที่เคลื่อนไหว และจิตใจที่แช่มชื่น
    เป็นสิ่งที่รักแท้ชอบ เพราะถือว่าสามารถทำอะไรเป็นสุขร่วมกันได้แล้ว


    กิจกรรมที่ดีสุดในโลก คือ การทำบุญด้วยความเลื่อมใสบริสุทธิ์
    คือ การเพิ่มความสุขให้จิตใจโดยตรง
    จิตมีคุณภาพ คือ ผลบุญอันเป็นปัจจุบันแห่งบุญ
    บุญเป็นเครื่องชี้วัดได้ว่าพอจะไปกันได้่ไหม
    ทำบุญด้วยกันแล้วเป็นสุขทั้งคู่ เรียกว่า "ไปกันได้"


    การทำบุญเป็นสิ่งที่มีอาถรรพณ์
    หากร่วมบุญกันไว้มากกว่าร่วมบาป
    บุญเก่าจะพยายายามรักษาเส้นทางเดิมของตนไว้
    โดยสนับสนุนให้รู้สึกดี
    ตลอดจนช่วยปัดเป่าอุปสรรค
    ทั้งมวลในวันทำบุญออกไป
    เมื่อทำสำเร็จได้ตามความตังใจ
    จึงบังเกิดความเบิกบานกันอย่างเต็มที่
    เป็นกำลังใจให้รู้สึกว่าดีอยากร่วมกันทำอย่างนี้
    คู่ที่ทำบุญขึ้น...จะมีจิตสว่างสดใสไปด้วยกันยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
    ปูพื้ันยืนของรักแท้ให้เป็นปึกแผ่นไปทุกที
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images (7).jpg
      images (7).jpg
      ขนาดไฟล์:
      12 KB
      เปิดดู:
      43
    • images (8).jpg
      images (8).jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.1 KB
      เปิดดู:
      44
  6. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ***ความคิดสามารถยกระดับจิตได้ เมื่อจิตถูกยกระดับแล้ว วิธีการคิดก็เปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง

    ***ความคิดที่ดีที่สุดไม่ใช่การคิดพยายามเปลี่ยนโลกทั้งใบให้ดีพร้อม แต่เป็นการยอมคิดเปลี่ยนแปลงตัวเองจากร้ายให้กลายเป็นดีต่างหาก

    ***และเมื่อความคิดของคุณยืนพื้นอยู่บนความไม่อยากเบียดเบียนใครอย่างถาวร แต่ละคลื่นความคิดที่ส่งออกมาเป็นห้วง ๆ จะกระทบใจคนอยู่ใกล้ให้พลอยรู้สึกดีตาม
     
  7. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ความมีเสน่ห์ มี 3 วิธี เสนห์ทางกาย เสน์ห์ทางวาจา และ เสน่ห์ทางกระแสจิต

    เสนห์ทางกระแสจิต เป็นเสน่ห์ชนิดที่มีพลังชโลมได้มากว่าอย่างอื่น เช่น แค่เข้าใกล้รัศมีใครบางคนคุณก็รู้สึกเยือกเย็น หรือ กระทั่งเกิดความเงียบสงัดไร้ความคิดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

    กระแสจิตของบางคนอาจเปี่ยมด้วยอิทธิพลแห่งพลังดึงดูดและพลังประทับได้ยิ่งกว่าเสน่ห์ทางกายและวาจารวมกันเสียอีก

    หากคุณเคยมีประสบการณ์ผ่านพบใครบางคน ที่คุณอยู่ใกล้ ๆ แล้วเกิดความอยากอยู่ใกล้ เมื่อห่างไปก็ถวิลถึง แม้รูปร่างหน้าตาของเขาไม่จัดเลอเลิศ กับถ้อยคำเจรจาก็งั้น ๆ นั่นแหละ...คือ ตัวอย่างของคนมีเสน่ห์ทางกระแสจิตขั้นรุนแรง

    เสน่ห์กระแสจิต เป็นสิ่งที่ไม่ได้เห็นด้วยตา จับต้องไม่ได้ด้วยมือ ทว่าง่ายที่จะสัมผัสด้วยใจ จิตมนุษย์ที่กระจายออกมาให้สัมผัสได้นั้น มีกระแสพลังกระแสจิตอย่างไรขึ้นอยู่กับวิธีการมีตัวตนของแต่ละคน

    "วิธีคิดอันเป็นต้นตอเสน่ห์ทางกระแสจิต"

    เพราะเสน่ห์กระแสจิตของมนุษย์ธรรมดาจะเป็นไปตามวิธีคิด สายความคิดของมนุย์ทั่วไปจะไม่ค่อยขาดสาย จึงปรุงแต่งให้จิตเป็นไปต่างๆ นานาได้มากกว่าปัจจัยอื่นวิธีคิดหลัก ๆ ที่ก่อรัศมีจิตอันเป็นเสน่ห์ มีดังนี้...

    1.ความคิดที่เป็นเส้นตรงไม่หมกมุ่นวุ่นวาย คือ มีเป้าหมายปลายทางการคิดชัดเจน มีลำดับที่จะไปถึงจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจน เป็นเสน่ห์พลังชโลมใจ คนที่สัมผัสได้จะเกิดความรู้สึกราบรื่นไม่วกวน และอยู่ใกล้คุณนาน ๆ อาจพลอยเกิดคลื่นความคิดเป็นระเบียบตามไปด้วย

    2.ความคิดที่เบากริบหรือเงียบเชียบ คือ คิดเท่าที่จำเป็น สามารถว่างเว้นความคิดเพราะรู้จักเสพสุขกับสิ่งอื่น เช่นภาพแมกไม้ เสียงน้ำตก หรือกระทั่งเฝ้าสังเกตุสายลมหายใจตนเองเข้าออกอย่างเรียบง่าย ความคิดแบบนี้จะเกิดเสน่ห์ให้คนที่สัมผัสเกิดความรู้สึกผ่อนคลาย

    3.ความคิดมองโลกในแง่ดี คือมีมุมมองของความหวังด้านบวกเสมอ จึงเชี่ยวชาญในการสร้างทางออก ขณะที่คนทั้งโลกเชี่ยวชาญในการพาตัวไปสู่ทางตัน การก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดนี้ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกสว่างไสว ไม่มืดมน และอยู่ใกล้คุณเกิดพลอยแรงบันดาลใจความหวังใหม่ ๆ ไปด้วย

    4.ความคิดเผื่อแผ่พร้อมจะเสียสละ คือ มีความอยากให้มากกว่าอยากเอา สามารถเป็นผู้ริเริ่มการให้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เสน่ห์ชนิดนี้ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ

    5.ความมีใจเอ็นดูไม่คิดประทุษร้าย คือ ไม่แม้แต่จะแอบด่า แอบสาปแช่งคนหรือสัตว์ที่ตนเกลียด แ่มีเหตุผลบอกตนเองเสมอว่าทำไมจึงควรให้อภัย หากคุณมีความคิดชนิดนี้ เสน่ห์นี้คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่หวาดระแวงและบังเกิดความปราถนาดีต่อคุณ

    6.ความคิดมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวไม่ท้อแท้ คือแม้พบอุปสรรคก็ไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็น เพราะคิดหาทางรุกคืบไปข้างหน้าเข้าหาเส้นชัยหรือทางออกของปัญหา ทำอะไรทำจริงพูดอะไรแล้วทำอย่างที่พูด ตั้งใจอะไรแล้วไม่ล้มเลิกง่าย ๆ หากคุณมีความคิดชนิดนี้ เป็นเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังประทับใจ คนที่สัมผัสจะเกิดถึงความรู้สึกพละกำลัง ความเข้มแข็งไม่อ่อนแอ ความคมคายไม่ทื่อมะลื่อ เต็มไปด้วยความก้าวหน้าพัฒนาสู่ความสำเร็จ

    7.ความคิดยับยั้งชั่งใจ คือแม้พบสิ่งยั่วยุให้ละโมบโลภมาก ก็ระงับความทะยานอยากเสียได้ เสน่ห์ชนิดนี้ คนที่สัมผัสได้จะรู้สึกถึงความขันติ ความอดทนทางใจ

    8.ความคิดไม่เข้าข้างตัวเอง คือ ไม่หลงตัวเอง ไม่ปกป้องตัวเอง เป็นคนดีจริงด้วยการรู้ตัวว่ายังมีจุดบอดหรือข้อเสียอันใดอยู่บ้าง ข้าไม่ทำอะไรผิดสักอย่าง ไม่คิดเข้าข้างตัวเองแม้ผิดพลาด มีระดับมโนธรรมสูงพอที่จะสำนึกผิดด้วยตนเอง เสน่ห์ชนิดนี้ คนที่สัมผัสได้จะเกิดความรู้สึกถึงสำนึกอันดีงามของมนุษย์ กระแสความสำนึกผิดและการรับผิดชอบอย่างอาจหาญจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นกล้าที่จะสำนึกผิดแล้วก็ไม่ต้องขัดแย้งกับตนเอง ไม่ต้องเกลียดตนเองด้วยกำแพงปกป้องตนเองอันน่ารังเกียจ

    9.ความคิดที่รื่นรมย์เบาสมอง คือ ความสามารถมองแง่ร้ายให้กลายเป็นตลกได้ เสน่ห์ชนิดนี้ชนิดเปล่งพลังดึงดูดใจ คนที่สัมผัสได้จะเกิดความรู้สึกอารมณ์ขัน นึกสนุก ไม่เคร่งเครียดเต็มไปด้วยความรื่นเริงบันเทิงใจตามไปด้วย

    10.ความคิดแบบชนะที่มีน้ำใจนักกีฬาและความปรานี ไม่มีใครอยากยืนอยู่ข้างคนแพ้ ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครอยากอยู่ใต้อำนาจคนชนะที่เหลิงหลงและหมิ่นศักดิ์ศรีผู้อื่น ผู้ชนะอาจอยู่ในเกมกีฬา หรือ เกมกิเลส คือ ถ้าเอาชนะกิเลสยาก ๆ ของตนเองได้ก็จัดเป็นผู้ชนะได้เหมือนกัน เสน่ห์ชนิดนี้เป็นชนิดเปล่งพลังดึงดูดใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกหลงไหลมนต์เสน่ห์อันโดดเด่นจับตาจับใจได้ง่าย

    วิธีคิดแบบอันเป็นตรงกันข้าม จะบั่นทอนเสน่ห์ คือ การะแสความคิดจะเป็นแบบผลักใสให้ออกห่าง ตรงข้ามกับพลังดึงดูดใจ หรือแบบไม่ประทับลงในความทรงจำ ตรงกันกันข้ามกับพลังประทับใจ หรือ แบบระคายเคือง ตรงกันข้ามกับพลังชโลมใจ ต่อให้มีเสน่ห์ทางกายและวาจา แต่ถ้าคิดฟุ้งซ้านมาก ๆ เป็นนิตย์ก็จะก่อคลื่นรบกวนคนใกล้ชิดให้ปั่นป่วนตาม อึดอัดที่จะต้องอยู่ใกล้ชิดนาน ๆ เป็นต้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2016
  8. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ***ความคิดความอ่านได้ไม่น้อยหน้ากัน
    หมายถึง ใจที่ "เข้าถึงคำตอบ" หรือ
    "เห็นทางออก" ได้ทันกัน จะช่วยเป็น
    กำลังทางความคิดเสริมกันและกัน


    ***ลึกไปยิ่งกว่านั้น ...
    ถ้าอีกฝ่ายเห็นชัดตามความจริงว่า
    อะไร ๆ ไม่เที่ยง กายใจก็ไม่เที่ยง
    กระทั่งความยึดมั่นถือมั่นเหลือน้อย
    แต่...อีกฝ่ายหนึ่ง ..แค่เรื่องเล็กน้อย
    ก็ยึดมั่นถือมั่นมาก..เหตุเล็กนิดเดียว
    แต่ขยายให้เป็นผลใหญ่โต
    อย่างนี้...คงนึกเอือมระอา
    และหมั่นใส้กันและกันอย่างยิ่ง


    ***ปัญญาเชิงพุทธจะออกไปในทางคิดเป็น
    ปัญญาทางธรรมนั้น จะมุ่งเอาความสามารถ
    ในการเห็นว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดเป็นโทษ
    เห็นตามจริง...แสงหาเหตุผลต้นปลาย
    ระบบความคิดที่ถูกฝึกมาให้แก้ปัญหาร่วมกัน
    จะทำให้ปัญญาใกล้กัน....


    ***เมื่อปัญญาที่เสมอกันย่อม....
    สร้างความร่าเริงในการสนทนา
    และย่อมเป็นความอุ่นใจ....
    ไม่พรั่นพรึงที่่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคร่วมกัน
    จึงย่อมเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ
    ที่จะทำให้อยู่ร่วมกันตลอดไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2016
  9. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ***การรู้ใจตัวเองดีขึ้น...จะช่วยให้คุณ
    อ่านความคิดคนอื่นได้อย่างรวดเร็ว
    เพราะการฝึกรู้ใจนั่นแหละ...
    จะทำให้คุณเกิดนิสัย
    "เอาใจเขามาใส่ใจเรา"
    ตัวการสำคัญที่จะทำให้
    ความสัมพันธ์ระหว่าง..
    คุณกับคนรักแนบแน่นขึ้น


    ***ถ้าหากคุณรักแสนรักใครสักคน
    จนรู้สึกราวจะควักหัวใจมาให้เขากำเล่นได้
    แบบนั้น..จะมีสิ่งใดเล่าที่คุณไม่ยอมให้เขารู้ได้อีก
    ยิ่งเขารู้ทะลุทะลวงสิ้นใส้สิ้นพุงเพียงใด
    ก็ยิ่งทำให้คุณดีใจ ที่เขารู้จักคุณมากเท่านั้น
    เพราะมนุษย์ต้องการฝังให้เร้นที่สุดก็คือ ความคิด
    ตราบเท่าที่ยังรู้สึกว่าความคิดนั้น....
    เทียบเท่ากับแผลอุปลักษณ์อุจาดตา
    ก็คงไม่มีใครอยากให้ความคิดหลุดรอดไปสู่การรับรู้ของผู้อื่น


    พอไม่ตื่นเต้นกับการรู้ใจกันและกันนั่นแหละ
    ****แปลว่าสนิทยิ่งกว่าสนิท....****
    มีความแน่นแฟ้นเหนือคู่รักคู่อื่นอย่างเทียบไม่ติด
    ลองคิดดูว่าคนเราถ้าได้เปิดเผยใจกันอย่างเต็มร้อย
    ไม่กลัวอีกฝ่ายหนึ่งจะดูแคลน หรือ เกลียดกลัว
    สามารถปรึกษาได้อย่างตรงไปตรงมา...
    แบบคิดอย่างไรพูดไปอย่างนั้น
    ราวว่าคุยกับตัวเอง ...มันจะวิเศษขนาดไหน
    เมื่อต่างฝ่ายต่าง"เห็นใจ" กันจริง ๆ
    คุณก็คงไม่ต้องการความเห็นใจจากใครทั้งโลก


    อันที่จริงก็ไม่น่าตื่นกลัวอะไรมากหรอกนะ
    เพราะที่จะให้เข้าไปล่วงรู้ละเอียดเป็นคำ ๆ นั้น
    ใช่หาคนทำได้ง่าย..คนที่ทำได้ยากจะใช้ชีวิตคู่
    เนื่องจากต้องไม่ฝักใฝ่กามารมย์
    ต้องไม่มีอคติหยาบๆ
    ต้องเป็นศีลสะอาดระดับสูง
    ต้องปราศจากความฟุ้งซ่านสัดส่าย
    จิตจึงเสถียรพอที่จะอยู่ภาวะใหญ่สงัดเงียบผ่องใส
    สามารถรับคลื่นความคิดของใครต่อใครได้แบบเป็นคำ ๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ***จิตที่ประณีตเสมอกันด้วยบุญ....
    คือมีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาเสมอกัน
    คลื่นจิตโดยรวมจะมีความใกล้เคียงกันมาก
    ยิ่งหากฝึกรู้ใจกันและกันเข้าไปอีก
    พวกคุณจะพบด้วยความอัศจรรย์ใจว่า
    ความลึกลับในหัวของคนเรา
    อาจถูกรู้กันได้ง่าย ๆ แค่นี้เอง
    ความเพลินในกันและกัน
    จะมีรสหลากหลาย..ทั้งกายและใจ
    แม้กายอยู่ห่างกัน..แต่ก็เหมือน...
    ใจสัมผัสกันได้คล้ายอยู่ใกล้กัน


    ***คู่ที่เสมอกันทุกด้าน
    จะอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน
    เสมือนเป็นคนเดียวกัน
    ที่แบ่งภาคชายและภาคหญิง
    นี่เป็นคำตอบให้กับหลายคำถามที่น่าปวดหัว
    ทำไมคู่รักในอุดมคติจึงหายาก
    คู่รักส่วนใหญ่จึงไม่รู้สึก
    ตั้งแต่ต้นว่าเป็นพวกเดียวกัน
    นั่นก็เพราะ...อย่างเก่งก็แค่..
    เต็มใจปรับตัวเขาหากัน
    แต่จะปรับ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา
    ให้เสมอกันนั้น...พวกคุณจะต้อง...
    มีกำลังใจมหาศาลจากรักแท้กันเสียก่อน


    ***สรุป...
    การปรับจิตวิญญาณให้เสมอกัน
    ทำให้ได้เสวยภพเดียวกัน..
    ทั้งภพปัจจุบันและภพในอนาคต
    ฟังง่าย ทำยาก(ง่าย) แต่บรรลุผลจริง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2016
  11. ไอ้นอกโลก

    ไอ้นอกโลก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    572
    ค่าพลัง:
    +72
    ชอบโพสนี้มากเลย
    อ่านแล้วอมยิ้ม:cool:
     
  12. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ดีใจที่ชอบ..แสดงว่าเจอรักแท้แล้วใช่ไหมค่ะ
     
  13. ไอ้นอกโลก

    ไอ้นอกโลก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    572
    ค่าพลัง:
    +72
    รักที่ไม่ดับสนิท
    ไม่มีทางเป็นรักแท้ได้หรอก
    :cool:
     
  14. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ถ้าอยากจะเข้าไปนั่งในหัวใจใคร
    การมีใบเบิกทางย่อมง่ายกว่า
    การพยายามออกแรงง้างเป็นไหน ๆ

    เสน์ห์ "แม่เหล็กดึงดูดความรัก"

    แรงดึงดูดให้ติดใจ หรือ เครื่องเร้าใจให้หลงรัก เราเรียกกันว่า "เสน่ห์"

    "เสน่ห์" สิ่งที่ปรุงแต่งให้รูปกายดูดีมีเสน่ห์คือ "บุญ"

    บุญเก่าก็เป็นยิ่งกว่าเวทมนตร์ เพราะเวทมนตร์เนรมิตรูปลวงตาได้เพียงชั่วครู่
    แต่..บุญเก่าบันดาลรูปจริงเป็นหน้าตาคุณได้ทั้งชาติ

    มนุษย์เป็นสิ่งที่มีชีวิตบ้ารูป บ้าเสียง บ้ากลิ่น บ้ารส บ้าสัมผัส
    ดั่งนั้นความมีรูปงามและเนื้อหอมจึงเป็นข้อได้เปรียบ นี่เป็นสิ่งที่รู้ ๆ กัน
    แต่ที่ไม่รู้เลยคือสิ่งใดเป็นกำหนดให้คนเราต่างกันดั่งเช่นที่เห็นอยู่

    บุญเก่าทำงานอย่างไร?

    ก็ปรุงแต่งของน่ารักน่าใคร่ให้เกิดขึ้นในคุณไง

    สัดส่วนที่ลงตัวรูปพรรณสัณฐานจะเตะตาให้ "อยากมอง"
    แก้วเสียงที่นุ่มนวลกระจ่างชัดจะสะดุดหูให้"อยากฟัง"
    ความน่ามองน่าฟังจะดึงดูดให้ใหลหลง
    ก็แสดงว่าเสน่ห์จากบุญเก่าของคุณแรงไม่เบา
    ยิ่งจำนวนคนอยากเป็นเจ้าของของคุณมากขึ้นเท่าไร
    ก็พิสูจน์ว่าเสน่ห์จากบุญเก่าของคุณไม่ธรรมดายิ่งขึ้นเท่านั้น

    ถ้าใครมีหน้าตาเป็นอาวุธ ขอให้จำไว้ว่า.....

    " เราไม่ได้เต็มใจถือมันมาแต่แรก แต่เราสามารถยกระดับมันขึ้นมาเป็นใบเบิกทางได้ด้วย ขอให้รู้วิธีเถอะ!"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images (6).jpg
      images (6).jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.3 KB
      เปิดดู:
      41
    • images (5).jpg
      images (5).jpg
      ขนาดไฟล์:
      6 KB
      เปิดดู:
      33
  15. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ต่อให้คุณมีใบเบิกบางระดับเฟิร์สคลาสในมือ
    แต่ดันมีอากัปกิริยา นัยน์ตา และน้ำเสียงเป็นใบสละสิทธิ์
    เท่ากับตัดอายุใบเบิกทางลง ...วิธีการเพิ่มเสน่ห์ในทางลัดผลทันใจ
    ไม่ต้องเดินทางไปยังศูนย์พัฒนาบุคลิกภาพแห่งใดในโลก คือ..

    อากัปกิริยา

    อากัปกิริยาที่เป็นเสน่ห์ ไม่ใช่การพยายามดัดจริตเคลื่อนไหวให้โก้เก๋
    แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่แสดงถึงความรู้สึกตัว รู้จักจังหวะจะโคน
    ฉับไวในเวลาที่ควรฉับไว แช่มช้าในเวลาที่ควรแช่มช้า
    และที่สำคัญคือมีความนิ่มนวลสง่างามในที
    แบบที่ทำให้คนมองพลอยเกิดแรงบันดาลใจจะมีสติรู้สึกตัวตาม

    บุญที่ทำให้เป็นผู้มีอากัปกิริยาท่าทีสง่างามและและต็มไปด้วยความรู้สึกตัว
    คือ การเป็นผู้รู้จักสำรวมในกาละเทศะอันควร เฉพาะกับบุคคลและสถานที่อันเป็นมงคล
    ทำความเคารพพระปฏิมาบนโต๊ะหมู่บูชาด้วยกิริยาประณีต
    หรือ เดินเข้าไปในวัดวาอารามด้วยความสำรวมกาย สำรวมใจ

    สำรวมไม่ได้แปลว่าเกร็งนะครับ (สำนวนผู้เขียนค่ะ...ดังตฤณ)

    แต่หมายถึงตามสบายอย่างมีสติรู้ทุกการเคลื่อนไหว
    ไม่กระเปิ๊บกะป๋าบด้วยความฟุ้งซ่านกระเจิดกระเจิง

    ใจนั่นเองเป็นผู้ปรุงแต่งกายให้เกิดความประณีตและสำรวมใจถ้าคุณเคารพสิ่งศักดิ์จริง

    เครื่อวัดว่าเป็นบุญติดแน่แน่เล้ว
    คือ..เข้าสภาวะสำรวมอัตโนมัติ
    เมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งมีความสม่ำเสมอ
    อยู่ในสภาวะนั้นได้นานโดยไม่กระสับกระส่าย
    ตั้งแต่เริ่มตั้งแต่สวดมนต์จนจบไม่แกว่งเลย
    ยังคงความนิ่งทางใจไว้ได้สม่ำเสมอ
    ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือบุคคลควรนับถือ
    ผู้ทรงศีลในจีวร ตลอดจนบุพาการีญาติผู้ใหญ่
    บุญจะปรุงแต่งให้ทุกอริยาบถของคุณงามขึ้นมาเกิด
    คือ....เกิดสัญชาตญาณในการเคลื่อนไหวใหม่ ๆ
    ในแบบที่ทราบได้จากข้างในว่าน่าดู น่ามอง


    ถึงจุดหนึ่งคุณจะรู้เองว่า...

    ความเคลื่อนไหวของกายมนุษย์เป็นเครื่องล่อตาชนิดหนึ่ง เป็นแม่เหล็กดึงดูดสายตาคนได้

    และ ถ้าเนิบนิ่งก็จูงจิตคนเห็นให้นิ่งตามได้..

    แต่ถ้าคุณลอกแลกหลุกหลิกอยู่ตลอดเวลา
    จะเคลื่อนไหวแต่ละทีกระโดกกระเดกไร้สติ
    อันเป็นแรงผลักดันให้คู่สนทนาอยากเบือนหน้าหนี
    เพราะผู้มีจิตฟุ้งซ่านยุ่งเหยิงอยู่แล้ว......
    จึงไม่อยากรักภาพกระทบตาที่ชวนให้ปั่นป่วนหนักเข้าไปอีก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images (9).jpg
      images (9).jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.5 KB
      เปิดดู:
      39
    • images (8).jpg
      images (8).jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.2 KB
      เปิดดู:
      38
  16. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    นัยน์ตา

    บุญที่ทำให้เป็นผู้มีประกายตาเป็นเงางาม
    คือ การรู้จักมองผู้อื่นด้วยความเมตตาเอ็นดู
    หรือเล็งแลดูสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเลื่อมใสบูชา

    ระหว่างในชีวิตประจำวัน พยายามมองผู้คนแบบ
    คนความดีงามของพวกเขา อยากมอบความรู้สึกดีดีใก้กับพวกเขา
    อย่าไปจดจ้องอะไรที่แย่ ๆ หรือ คุณสมบัติที่เป็นโทษ
    เพราะนัยน์ตาคุณจะขุ่น ใจคุณจะเจือโทสะยามมอง


    การสบตาเปรียบเสมือนการเชื่อมกระสื่อสารระหว่างจิต
    การสื่อสารจะราบรื่นถ้ากระแสตาราบเรียบ
    แต่จะสะดุดเมื่อคุณลอกแลกอยู่ตลอดเวลา


    การสบตาคู่สนทนา

    คุณต้องฝึกความนิ่งในการมอง
    ยิ่งนัยน์ตาคุณนิ่งอยู่กับคู่สนทนาเท่าไร
    ฝ่ายหนึ่งจะรู้สึกว่าคุณให้ค่า ให้ความสำคัญกับเขา

    การสบตามีส่วนสำคัญที่ระลึกตรึงใจภายหลังว่าคุยอะไรกัน
    ยิ่งเมื่อต้องชักชวนหรือโน้มน้าวให้ใครคล้อยตามเหตุผลของคุณ

    ผู้มีเสน่ห์ทางตาน้อย คือ ผู้ที่ไม่ยอมสบตาคู่สนทนา
    บางทีก็แม้สบตา แต่..ก็ขาด ๆ เกิน ๆ บางทีก็...
    สู้ตาแบบไม่กลัว มองแนวคุกคามข่มขวัญ
    บางทีก็มองแบบเสียไม่ได้ หรือ บางทีก็..
    มองแบบฝืน ๆ ไม่ให้เกียรติอีกฝ่าย

    การสบตาที่ดีสุด คือ มองธรรมดาที่สุด แต่ให้นิ่งนาน
    ถ้าออกแรงน้อยเกินไปเหมือนครึ่งกล้าครึ่งแหย
    หรือว่า..ออกแรงมากเกินไปเหมือนเพ่งให้อึดอัดกัน

    โฟกัสที่ดีที่สุด...มองตรงแล้วเห็นใบหน้าทั้งหมด

    แววตาที่อ่อนโยลงคือหลักฐานว่าใจคุณยิ้มจริง

    การทำให้ตายิ้ม เหมือนมียิ้มอยู่ในตา
    เป็นลักษณะอ่อนโยประนีประนอม
    มองด้วยความเต็มใจ ลมหายใจจะยาว
    และนุ่มนวลราบรื่น บ่งบอกกระแสชมชอบชื่นใจ
    จะถึงดูดให้เขาพลอยรู้สึกชอบใจตามไปด้วย

    ถ้าคุณสามารถถ่ายทอดความรู้ใด ๆ ให้คนอื่นเข้าใจได้
    ทั้งยังสบตาตลอด คุณจะพบว่า..สติในการเรียบเรียงคำพูดแข็งแรงขึ้นทุกที
    และมีคนอยากฟังคำอธิบายจากคุณมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย....
    นั่นเป็นเพราะ...จิตของคุณสื่อออกมาจากจิตที่อยู่ในสภาวะแจ่มชัดที่สุด
    ตัวตนทั้งหมดของคุณยังเข้าไปประทับอยู่ในความทรงจำของผู้คน
    คล้ายมีมนต์เรียกให้อยากกลับมาฟังคุณพูดใหม่อีก

    เสน่ห์ทางตาที่อิ่มตัว ทำให้มั่นใจว่า มีมนต์สะกดให้ทุกคนรู้สึกดี สงบเย็นลง
    แน่นอนว่าบุญใหม่ไม่อาจตกแต่งนัยน์ตาของคุณให้เงางามน่ามองที่สุด
    แต่..อย่างน้อยบุญใหม่ก็ฉายรังสีที่น่าดูที่สุดเท่าที่แก้วตาจะเปล่งประกายออกมาได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    น้ำเสียง

    น้ำเสียงที่มีเสน่ห์ ..ควรมีความแจ่มชัดเป็นกังวานนุ่มนวล
    ดีที่สุดมีชีวิตชีวา สูงต่ำขึ้นลงมีจังหวะจะโคนตามธรรมชาติ

    บุญที่ทำให้เป็นผู้มีเสียงกังวานน่าฟัง คือ..
    การมีใจเป็นสุขกับการพูดจาด้วยถ้อยคำที่เป็นจริง
    ไพเราะสุภาพ ประสานสัมพันธ์ ฟังแล้วเกิดสติทั้งเขาและเรา

    ตลอดจนการมีปิติกับการสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญ

    "ผู้สรรเสริญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยใจ"
    อานิสงค์ของการสวดมนต์...คือ
    คือประกายแก้วเสียงที่สดในเสนาะโสตขึ้นกว่าเดิม
    อย่างเห็นได้ชัดทันทีที่สวดจบ นี่คือ คาถาเปลี่ยนเสียง
    ก็ไม่น่าเกินจริงนัก ขอเงื่อนไขเพียงต้องท่องคาถา
    ด้วยใจโสมนัส..ไม่ใช่ท่องแบบนกแก้วนกขุนทอง

    เสียงที่ไพเราะที่สุด...เกิดขึ้นเมื่อคุณมีความสุขที่จะพูดให้เต็มเสียง
    โดยถ้อยคำพรั่งพรุออกมาจากหัวใจที่เบิกบาน


    บะญอันเกิดจากการใช้เสียงสรรเสริญพระรัตนตรัย
    จะช่วยให้คุณเกิดสัญชาตญาณในการพูดให้น่าฟังไปเอง

    สวดจนรู้จักความสงบสุขจากการเปล่งเสียง
    ฟังเสียงสวดตนเองแล้วใจเย็นลง มีความสงบอบอุ่นผาสุก
    คล้ายปากกำลังยิ้มอยู่น้อย ๆ
    เวลาสวด ..
    นั่นแหละสัญชาตญาณเวลาคุย (ความเห็นตัวเองค่ะ)

    บางคนขาดความมั่นใจในการคุย
    แค่เริ่มต้นก็หงอแล้ว ทำท่าเหมือนพะอืดพะอม
    ต่อให้แก้วเสียงล้ำเลิศเพียงใดก็เปล่าประโยชน์

    คล็บลับการเพิ่มความมั่นใจในการคุย
    คือ "ทักทาย" ให้มีพลัง
    ......คือ
    ทำให้คู่สนทนารู้สึกว่าคุณดีใจเมื่อเห็นเขา
    และเต็มใจที่จะเปล่งเสียงขานชื่อของเขา
    การทักทายคนให้ได้สำเร็จ...
    จะนำมาซึ่งความเชื่อมั่นในการคุยออกรสไปเอง

    ยิ่งการพูดคุยอย่างคนมีสติ มีเจตนาดี
    พูดแต่คำที่เป็นจริง พูดแต่คำที่มีประโยชน์

    คุณจะเห็นผลอันน่าอัศจรรย์....
    แม้บุญเก่าไม่อาจตกแต่งเสียงคุณให้เพราะพริ้งที่สุดในโลก
    แต่อย่างน้อยบุญใหม่ก็จะขับเสียงที่ไพเราะที่สุด...
    เท่าที่แก้วเสียงคุณจะเปล่งมันออกมา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.png
      images.png
      ขนาดไฟล์:
      7.2 KB
      เปิดดู:
      51
    • images (17).jpg
      images (17).jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.1 KB
      เปิดดู:
      42
    • images (18).jpg
      images (18).jpg
      ขนาดไฟล์:
      7 KB
      เปิดดู:
      41
  18. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เห็นไหมค่ะ...พลังอำนาจแห่งความรัก...

    แค่เราอยากเป็นที่รัก หรือ ปราถนาที่เป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป

    เราก็ต้องเริ่มต้น..ด้วยการอยากคิดดี พูดดี ทำดี กันแล้วใช่ไหมค่ะ

    แล้วพลังอำนาจภายในที่แท้จริงของตนเองแล้ว...

    ที่จริงมันมาจากไหนกันแน่....สิ่งหนึ่งทุกคนไม่สามารถปฏิเสธได้ก็คือ

    ตัวตนที่แท้จริงของทุกคน..คือ..ตัวตนแห่งความรัก...

    แต่จะเป็นความรักแบบไหน...สัพเพ สัตตา .....

    เมตตอัปมัญญา..ทำไม...เดี๋ยวมีคำตอบมาให้ค่ะ
     
  19. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    ถ้าอยากเข้าไปนั่งในใจใคร
    ต้องรู้ใจตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก
    ไม่งั้นมีปัญหาแน่นอน.
    ปล.พูดจากประสบการณ์ตรง..:cool:
     
  20. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ต่อเรื่องนี้อีกนิดนะคะ.....

    เสน่ห์อย่างชาย เสน่ห์อย่างหญิง แท้จริงต้องทำอย่างไร?

    เสน่ห์อย่างชาย...รากฐานความเป็นวีรบุรุษ

    ***๑.ความเป็นที่พึ่ง เป็นภาวะที่สุดคล้องกับเพศชาย เพราะธรรมชาติให้ความแข็งแกร่งกับร่างกายมากกว่าเพศหญิง หมายความว่า ถ้ามองที่ร่างกาย ยิ่งใครสูงใหญ่ล่ำสันและสง่างามเท่าไร ก็ยิ่งดูเป็นที่เกาะที่พึ่งมากเท่านั้น แต่ถ้ามองกันที่จิต ก็ต้องดูกันตรงความหนักแน่นมั่นคงเป็นหลัก เพราะความหนักแน่นมั่นคง คือ ลักษณะคนที่เอาตัวรอดได้ แก้ปัญาหาได้ ตลอดจนพร้อมช่วยเหลือคนอื่นได้

    ภาวะร่มโพธิ์ร่มไทรอย่างแท้จริง นั้นคือ เสน่ห์จับใจอย่างถาวร

    ***๒.ความเป็นผู้นำ พัฒนาต่อยอดมาจากภาวะที่เป็นที่พึ่ง ถ้าคุณยังเป็นที่พึ่งให้แก่ตนเองและผู้อื่นไม่ได้ ก็ยากมากหรือเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะเป็นผู้นำ ดูกันที่จิต ตรงความมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวเป็นหลัก คือ คนลักษณะของคนที่คิดเองได้ รู้ผิดรู้ชอบเองได้ ไม่ตามคนอื่นด้วยเหตุผลทางอารมณ์ ตลอดไม่เอาใจตนเองด้วยอัตตามานะ

    การตั้งใจเดินทางไปเปลี่ยนชีวิตคนอื่นให้ดีขึ้น โดยไม่มีใครขอ โดยไม่มีใครชักชวนนั่นแหละ เป็นจุดเริ่มต้นของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ แค่หัดเริ่มชักชวนคนใกล้ตัวให้เห็นดีเห็นงามตามคุณในทางที่ชอบที่ควร ก็นับเป็นบุญที่จุดชนวนภาวะผู้นำขึ้นมาด้แล้ว


    เสน่ห์อย่างหญิง

    ***๑.ความเป็นที่ฝากใจ ถ้ามองกันที่จิตต้องดูกันตรงความอ่อนโยนเป็นหลัก เพราะความนิ่มนวลอ่อนโยน คือ ลักษณะของคนที่เป็นสุขกับตัวเองได้ เผื่อแผ่ความสุขให้คนอื่นได้ ตลอดจนปลอบใจให้ใคร ๆ หายว้าวุ่นได้

    ความอ่อนโยจะทำให้สีหน้าของผู้หญิงสงบเยือกเย็นลง ธรรมชาติออกแบบให้ผู้หญิงดูดีที่สุดเมื่ออ่อนโยน อยู่ใกล้แล้วสบายใจ เมื่อใดอยากเข้าหาศาลาพักใจ ใบหน้าของเธอจะลอยเด่นมาก่อนใครเพื่อน เพื่อสร้างความเป็นที่ฝากใจ ต้องหัดอภัยให้เป็น อย่าเก็บเรื่องที่แล้วมาคิดมาก แล้วที่สำคัญอย่าหาเรื่องก่อน ผู้หญิงคนไหนทำตัวเป็นเขตปลอดภัยไร้พิษสง หรือ ดีกว่านั้น คือ เป็นเขตอภัยทานสำหรับเขา เขาก็จะรู้สึกถึงเสน่ห์น่าเข้าใกล้ ร้อนเมื่อใดเป้นต้องนึกอยากมาหาความเย็นอย่างคุณเมื่อนั้น

    ***๒.ความเป็นผู้ดูแล ถ้าใจคุณแคร์คนน้อย ก็ยากมากหรือเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นผู้ดูแล ถ้ามองกันที่กายใครมีเนื้อหนังอิ่มเต็มมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งเหมือนผู้ดูแลมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้ามองกันที่จิต ก็ต้องดูกันตรงความมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวเป็นหลัก เพราะว่าเป็นลักษณะของคนที่มีจิตสำนึกเอาใจใส่ผู้คนและสิ่งรอบข้างได้อย่างถูกจังหวะ ถูกเวลา กับทั้งมีความรอบคอบ ไม่ดูดาย ไม่ละเลย ความเป็นผู้ดูแลไม่ได้ตั้งต้นแค่เป็นแม่คน โดยที่แท้แล้ว ความเป็นผู้ดูแลตั้งต้นจากการเป็นผู้มีใจเมตตาการุณย์ ปราถานาการให้อนุเคราะห์แก่คนและสัตว์อย่างจริงใจ ความมีแก่ใจเป็นผู้ห่วงใย เต็มใจดูแลคนรอบข้าง ผู้ชายจะรู้สึกดีเมื่อผู้หญิงดูแลเขาได้ เป็นพลังผลักดันให้เข้าพุ่งไปข้างหน้าได้

    ***๓.เสน่ห์แห่งความคิด ไม่มีใครที่ไม่คิด แต่คิดแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง นั่นแหละที่ไม่รู้กัน เกือบร้อยทั้งร้อยเข้าใจว่าแค่คิดคงไม่เป็นไร เพราะมันอยู่ในหัวเราไม่รบกวนใคร

    แท้จริงแล้วผิดถนัด! แค่คุณคิดฟุ้งซ่าน ก็มีคลื่นความปั่นป่วนกระจายออกมาแล้ว แค่คุณคิดอาฆาตพยาบาท ก็มีคลื่นความร้อนผะผ่าวออกมาแล้ว ความปั่นป่วนและความร้อนล้วนเป็นคลื่นรบกวนคนรอบข้างทั้งสิ้น

    เคยไหม! เห็นใครเดินเข้ามาแล้วคุณนึกรำคาญทันที ทั้งที่เขายังไม่ทันพูดจารบกวนสักคำ?

    นั่นแหละอาจเป็นตัวอย่างของพวกฟุ้งซ่านจัด เขาพาคลื่นรบกวนติดตัวไปด้วยทุกหนทุกแห่ง และทันทีที่คุณมอง แค่นั้นก็เป็นความระคายพอจะทำให้คุณเกิดความกระวนกระวายขึ้นมาได้

    ทุกคนอยากหลีกหนีออกห่างความฟุ้งซ่านและความเร่าร้อนไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับใจตนเอง และไม่อยากอยู่ใกล้คนที่ปล่อยคลื่นแย่ ๆ อย่างนี้ออกมา

    ความฟุ้งซ่านมาจากไหน คือ "มันมาจากความไม่สงบใจ"

    แน่นอน! สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือคลื่นรบกวนที่กระจายออกมาอย่างเข้มข้น และยิ่งคุณเสพติดนิสัยคิดมาก เอาแต่จ้องริษยาคนอื่น ความปั่นป่วนร้อน ๆ ก็จะยิ่งทวีตัวหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่ผ่านไป เพียงแค่เฉียดเดินคนที่คุณปิ๊ง เขาก็อยากเบือนหน้าหนี "ของร้อน" แล้วจริงไหม

    ต่อให้คุณคบใครอยู่ความอิจฉาริษยาและความไม่พอใจในสิ่งที่คุณมี ก็จะทำให้คุณติดกับดักในวังวนของการรอคอยไม่รู้จบสิ้น พูดง่าย ๆ คือ ทั้งชีวิตของคุณจะไม่รู้รสแห่งความรัก มีอยู่รสเดียวที่รู้จักดีคือ การรอคอยที่ไม่สมหวัง!

    เพียงแค่คุณตั้งความคิดไว้ในทิศทางปราถนาดีกับคนอื่นอย่างจริงใจ คุณก็อยู่กับความรักเดี๋ยวนั้นแล้ว

    คำคม : ศัตรูของคุณไม่ใช่คนอื่นที่คิดร้ายกับคุณ แต่เป็นความคิดร้ายของคุณเองที่มีต่อคนอื่นต่างหาก!

    โรคความโกรธ ความเกลียด ความหมั่นใส้ ....

    เมื่อเป็นโรคนี้จะรักษาอย่าไงให้หายขาด เช่นความโกรธ ถ้าอยากพูดด่าหรืออยากลงมือทำร้ายใคร ตอนนั้นความโกรธมีไว้ห้าม ไม่ใช่มีไว้ดู แต่ถ้าแค่หงุดหงิดไม่ดีกับใคร ตอนนี้ ความโกรธมีไว้ดู ไม่ใช่มีไว้ห้าม

    ตรงจุดของการเห็นเช่นนี้แหละ..ที่จิตจะมีพลังเหตุผลมากพอที่จะวางลงได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...