เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. VeggieGuy

    VeggieGuy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    3,942
    ค่าพลัง:
    +4,262
    ...

    ถ้าอย่างนั้นก็เยี่ยมไปเลยนะครับ
    อยากคิดได้แบบคุณจัง
    นี่ยังต้องต่อสู้กับความคิดตัวเองอยู่มาก
    ทั้งๆ ที่อ่านมาก รู้มาก
     
  2. Year of the Cat

    Year of the Cat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +236
    ฟังแล้วค่ะน้องนก เสียงน่ารักมากเลย ร้องเพราะด้วย แถมเป็นเพลงที่พี่ชอบอีกต่างหาก ถ้าน้องนกประกวดจริงจะส่งใจไปเชียร์เยอะเลย

    ไม่ทราบน้องนกเคยดูคลิปที่หนูน้อย connie ประกวดร้องเพลงมั้ยคะ ดีมากๆ เลย รู้สึกพี่นักเขียนเคยโพสไปแล้ว อยากให้น้องนกดูอีกทีค่ะ ดูแล้วจะได้มีลูกฮึดเยอะๆ

    http://www.youtube.com/watch?v=hkcE6Vy-e6c

    อีกเพลงค่ะ ในอัลบั้มของตัวเอง

    http://www.youtube.com/watch?v=I7j8NhBtnpw&feature=related
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • connie.jpg
      connie.jpg
      ขนาดไฟล์:
      27.5 KB
      เปิดดู:
      221
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2008
  3. Year of the Cat

    Year of the Cat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +236
    ส่งรูปมาให้ดูผลงานค่ะ ได้ส่งไปให้พี่นักเขียนดูบ้างแล้ว เพราะตอนแรกกะว่าจะไม่ส่งมาในบอร์ดแล้วมันจะเยอะไปเดี๋ยวจะมีแต่ของตัวเองคนเดียว แต่พี่นักเขียนก็แนะนำว่าให้ส่งมาเลย เดี๋ยวพี่นักเขียนจะตามมาคุยด้วย และจะสอนเทคนิคการใช้สี และอื่นๆ อีก (ไชโย) เชิญรับชมค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2008
  4. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะพี่ หนูน้อยconnieน่ารักมาก เค้าร้องเพลงด้วยใจจริง ๆ มันเป็นความสุขที่เค้าได้ร้องเพลงเลย นกจะพยายามมั่งสู้ ๆ
     
  5. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    วาดเก่งจังเลยค่ะ (||)
     
  6. VeggieGuy

    VeggieGuy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    3,942
    ค่าพลัง:
    +4,262
    ฟังเพลงแล้ว

    ได้มีโอกาสฟังเพลงที่คุณนกร้องแล้ว
    เสียงดีนะครับ แต่รู้สึกว่าดนตรีมันท่วมเสียงร้องไปนิด
    ลองปรับดูอีกทีนะครับ
    ว่าแต่จะขึ้นเวทีวันไหนครับ จะได้ตามเชียร์
     
  7. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    พี่นักเขียนคะยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว เพราะเกิดความขัดแย้งความเชื่อเกี่ยวกับอิสระแห่งความปรารถนา ที่ว่าเราสามารถมีได้ -ทำได้หรือเป็นได้ดังใจปรารถนา ถ้าเกิดว่าเราปรารถนาที่จะเป็นเศรษฐี, มหาเศรษฐี เป็นผู้มีอำนาจหรือรวยทางลัดเช่น ถูกล๊อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งหรือปรารถนาอะไรที่เว่อ ๆ ประมาณนี้ แล้วตามหลักศาสนาพุทธหรือสังคมไทยส่วนใหญ่แล้วเราจะเชื่อว่า ควรจะใช้ชีวิตแบบพอมี, พอดี, พอกินหรือพอเพียง เพราะหากเราไม่รู้จักพอแล้วจะทำให้จิตใจของเราเป็นทุกข์จากการแสวงหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แล้วอย่างนี้เราจะทำยังงัยดีคะเนี่ย?
    (cry) (cry) (cry)
     
  8. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    สงสัยคุณขจรวรรณอ่านหนังสือ The Secret เข้าไปเลยขัดแย้งในใจนิดๆใช่ป่ะครับ
    ใจนึงก็ขอหลุดพ้นจากโลกซะที.. ไม่แสวงหาไม่ยึดติด แบบพอดี-พอควร
    อีกใจนึงก็อยากจะใช้ชิวิตบนโลกให้เป็นสุขที่สุด...แบบว่าขอเป็นเศรษฐีสักหน่อย อิอิ

    ดูเหมือนคิดไปก็สับสบอยู่นะครับ..แต่ที่สำคัญการแสวงหาสิ่งใดๆนั้นควรอยู่ระหว่างความสุข-ความทุกข์ คือไม่ติดสุข-ไม่ติดทุกข์เป็นดีที่สุดครับ..ส่วนจะลำบาก ยากจน หรือร่ำรวยน่าจะเป็นบทเรียนที่ดีทั้งสองด้าน..ปรารถนาได้แต่อย่าทุกข์ครับ ดึงดูดเข้าด้วยความสุข..พระพุทธเจ้าเองท่านก็ใช้หลักแห่งการดึงดูดเหมือนกัน ดึงดูดเอาความรู้จากองค์ความรู้สากลมาให้พวกเราเป็นตัวอย่างนะครับ
    ป.ล.ขอบคุณคุณขจรวรรณมากครับที่ส่ง vcd The Secret มาให้ผม กำลังหาอยู่เลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2008
  9. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    [​IMG]

    ห้องวิทย์เราสร้างศิลปินให้เกิดขึ้นเป็นแถวเลยนะครับ ทั้งวาดรูป ทั้งร้องเพลง เก่งๆแบบนี้เปิดค่ายซะเลยดีมั๊ยเนี่ย..ขอชมจากใจครับยอดเยี่ยมทุกท่านครับ แล้วจะตามไปฟังเพลงเพราะๆนะครับน้องนก..

    ได้พบกับพระท่านนึง..ท่านเป็นศิลปินแห่งชาติแต่ตอนนี้ไปบวชพระอยู่ที่ วัดผาซ่อนแก้ว จ. เพชรบูรณ์ครับ ท่านสอนได้น่าฟังครับ..เกี่ยวกับฆราวาสและนักบวช ท่านบอกว่า..พวกเรา (ฆราวาส) นักปฎิบัติทางจิตทั้งหลายเหมือนศิลปินที่กำลังใช้ภู่กันจุ่มสี..เพื่อจะไประบายในเฟรมผ้าใบที่ขึงตึง ..ต่างคนก็ระบาบถูกบ้าง-ผิดบ้าง-นอกกรอบบ้าง..แต่มีเจตนาและเป้าหมายที่ดี...

    ส่วนนักบวชก็คือผู้อยู่ในเฟรมผ้าใบอยู่แล้ว..ถึงจะเข้าใจและระบายสีได้ดีกว่าก็จริง หากทำสีร่วงหล่นลงพื้นไป..ต่อให้เก็บสีขึ้นมาก็ยังเปื้อนดินอยู่ดี..ไม่มีทางลบล้างออกได้ง่ายๆ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2008
  10. VeggieGuy

    VeggieGuy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    3,942
    ค่าพลัง:
    +4,262
    เจตจำนงเสรี

    ระหว่างรอคำตอบพี่นักเขียน ลองอ่านอันนี้ไปพลางๆ ก่อนนะครับ
    อาจจะไม่ตรงประเด็นร้อยเปอร์เซ็นแต่ก็คงเลียบๆ เคียงๆ ครับ

    เจตจำนงเสรีกับเจตจำนงของพระเจ้า: สนทนากับอาจารย์ชิงไห่

    ถ: เนื่องจากพระเจ้ามอบเจตจำนงเสรีให้กับเรา และเราทำอะไรก็ได้ แม้กระทั่งเปลี่ยนดวงชะตาของเรา แล้วเราจะนำพาเจตจำนงของเราให้ไปในทางเดียวกับของพระเจ้าได้อย่างไร และทราบได้อย่างไรว่า เราได้ทำตามเจตจำนงของพระเจ้าแล้ว?
    อ: เธอทำได้ 2 อย่าง ทำตามเจตจำนงของเธอ หรือทำตามเจตจำนงของพระเจ้า การทำตามเจตจำนงของเธอคือดังนี้ ถ้าเธอไม่ชอบสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้ เธอก็เปลี่ยนมันไปเสีย เธอมีสิทธิที่จะทำตามความพอใจของตนเองได้ ถ้าเธอไม่ชอบสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้ ก็เปลี่ยนมันเสีย
    การกระทำตามเจตจำนงของพระเจ้าคือ "เอาละ ฉันไม่สนใจ อะไรเข้ามาหาฉันๆ ก็จะทำไป" และพระเจ้าก็จะดูแลสิ่งที่เหลือ หากเธอเข้มแข้งพอเธอก็ทำอย่างนั้นไป ไม่ว่าอะไรเข้ามาหาเธอๆ ก็ดูแลอย่างดีที่สุดเท่าที่ทำได้ ที่เหลือนั้นขึ้นอยู่กับพระองค์ แต่ถ้าเธอยังไม่เข้มแข็งพอก็ให้เธอทำตามเจตจำนงของเธอไป อะไรที่เธอไม่ชอบก็ให้เปลี่ยนเสียแล้วก็หวังว่าพระเจ้าจะให้ความร่วมมือ พระองค์ให้ความร่วมมือเสมอ
    ถ: แต่อัตตาอาจเข้ามาขวางเจตจำนงของเราได้หรือไม่?
    อ: ไม่ได้ หากเธอไม่มีอัตตาอีกต่อไป เธอจะไม่ใส่ใจเรื่องเจตจำนงอิสระเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น ถ้าไม่มีอัตตา ไม่มีเจตจำนงของตัวเรา เมื่อนั้น ก็จะมีแต่เจตจำนงของพระเจ้า อย่างไรก็ดี เราจะค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าวๆ ไม่มีความจำเป็นใดทีจะต้องกระโดดพรวดลงไปในเจตจำนงของพระเจ้าหากเธอยังไม่พร้อม พระองค์ใจเย็นมาก เธอต้องการอะไรพระองค์ก็ต้องการเช่นนั้น แต่สิ่งที่พระองค์ต้องการนั้นมิใช่สิ่งที่เธอต้องการเสมอไป ดังนั้น มันมีเจตจำนงเสรีอยู่และก็มีเจตจำนงของพระเจ้าให้เธอเลือกเอา
    ถ: ฉันจะทำให้เจตจำนงของฉันสอดคล้องกับของพระเจ้าและจะยินยอมต่อเจตจำนงของพระเจ้าได้อย่างไร? เพราะฉันทราบว่าเจตจำนงของพระองค์ดีที่สุดสำหรับฉัน
    อ: ก็ไม่ต้องทำอะไร เธอทำได้ไหม? เธอไม่ทำอะไรเลยได้ไหม?
    ถ: เพียงแค่อยู่ไปอย่างนั้นหรือ?
    อ: ใช่แล้ว ! ฉันไม่ได้หมายความว่าให้นั่งอยู่อย่างนั้นทั้งวัน แต่หมายความว่าให้ทำอะไรก็ตามที่เข้ามาหา หากเธอทำงานประเภทหนึ่งอยู่ก็ให้ทำไป หากมีใครขอให้เธอทำอย่างนั้นก็ทำไป หากไม่มีใครมาขอให้เธอทำอะไรก็ไม่ต้องทำอะไร ทำแต่สิ่งที่เธอทราบว่าเข้ามาหาเธอ เจตจำนงของพระเจ้าก็คือเช่นนั้น หากเธอพอใจกับตรงนั้นได้ก็นับว่าดี หากเธอทำไม่ได้เธอก็เปลี่ยนได้
    ถ: ขอบคุณที่อธิบายง่ายเช่นนี้ ท่านอธิบายเข้าใจง่ายมาก
    อ: ใช่แล้ว คือว่าฉันเรียนมาอย่างนั้น (ผู้ฟังปรบมือ) ด้วยเหตุนี้ เมื่อวานฉันจึงกล่าวกับพี่น้องบางคนของเธอว่า "ก็แค่ไม่ต้องทำอะไร" ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วจินตนาการว่ากำลังส่งความรักหรือความเมตตาของพระเจ้าไปทั่วทุกทิศทาง จินตนาการนั่น จินตนาการนี่ ก็แค่ให้นั่งอยู่ตรงนั้น แล้วพระเจ้าก็จะส่งสิ่งต่างๆ มาให้กับเธอ แต่พระองค์ก็ยังกล่าวไว้ด้วยว่า "จงเคาะ แล้วจะมอบให้" นั่นคือเจตจำนงอิสระ ฉันไม่ได้ใส่ใจจะเคาะแล้วด้วยซ้ำไป หากพระองค์ไม่มอบให้กับฉันๆ ก็จะบอกว่า "โอเค เก็บไว้ก็แล้วกัน" ฉันจะไม่ขอด้วยซ้ำไป และหากพระองค์ไม่ให้ ฉันก็จะบอกว่า "ไม่เป็นไร! ฉันคงไม่จำเป็นต้องใช้มัน" แบบนี้จะง่ายกว่า
    สิ่งที่เธอต้องทำ ก็มีเพียงแต่ดูแลร่างกายนี้ ทำงานให้พอที่จะมีชีวิตรอดหรือที่จะลงทุน หรืออะไรก็ตามแต่เพียงทำสิ่งที่เอทำอยู่ จะเป็นการดิ้นรนน้อยกว่าและสงบสุขกว่า อีเมอร์สัน นักปรัชญาชาวอเมริกาได้กล่าวไว้ว่า "ภาระอันหนักอึ้งจะถูกปลดไปจากบ่าของเธอ ถ้าเธอปล่อยให้พระเจ้าจัดการกับจักรวาล" ฉันดำเนินชีวิตตามแนวคิดนี้
     
  11. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ขอตอบตามความคิดตัวเองมั่งนะครับ
    ผมว่าความอยากมันดีหรือไม่ดี มันน่าจะอยู่ที่จุดประสงค์/ที่มาของความอยากนั้น
    คนคนนึงอยากรวยอยากทำเงินได้เยอะๆ เพราะว่าอยากให้พ่อแม่อยู่สบายหลังจากที่ลำบากยากจนมานาน เพราะว่าต้องหาเงินส่งให้น้องๆ เรียนต่อ
    กับอยากหาเงินได้เยอะๆ เพราะว่าต้องการสนองความโลภของตัวเอง

    ผมว่าสิ่งนี้มากกว่าที่จะบ่งบอกว่าความอยากนั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี

    ถ้าความอยากเป็นสิ่งที่ดูเหมือนเป็นความโลภ แล้วถ้าความอยากที่จะให้โลกเป็นสถานที่ที่ดีขึ้น จะเป็นความอยากที่ไม่ควรด้วยหรือเปล่า?
     
  12. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ส่วนอันนี้เอามาจากหนังสือ สนทนากับพระเจ้าเล่ม 1 เห็นพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับเงินพอดี คล้ายๆ กับตัวอย่างที่คุณขจรวรรณเอามาถามเลยยกมาให้อ่านกัน
    <hr>
    ปัญหาคือขาดความเข้าใจถึงหลักการของความมั่งมี ซึ่งมักมาพร้อมกับการตัดสินผิดๆ ว่าสิ่งไหน "ดี" สิ่งไหน "ชั่ว"

    ฉันจะยกตัวอย่างให้เธอดู


    ได้โปรด


    เธอมีความคิดว่าเงินคือสิ่งชั่วร้าย ขณะเดียวกันก็มีความคิดว่าพระเจ้าคือสิ่งดี พระเจ้าอวยพร! ดังนั้นระบบคิดของเธอก็คือ พระเจ้ากับเงินอยู่ด้วยกันไม่ได้


    เอ่อ...มันก็จริงนะ ผมคิดแบบนั้นแหล่ะ


    นี่ทำให้เกิดสิ่งที่น่าสนใจมาก เพราะทำให้ยากสำหรับเธอที่จะได้เงินจากการทำสิ่งดีๆ

    หมายความว่าถ้าเธอตัดสินใจว่าอะไรบางอย่าง "ดี" มากๆ ละก็ เธอจะให้ค่าเป็นตัวเงินน้อย เพราะฉะนั้นยิ่งสิ่งใด "ดีขึ้น" เท่าไหร่ (มีคุณค่ามากขึ้น) มันก็ยิ่งมีค่าเป็นเงินน้อยลง

    เธอไม่ได้เป็นอย่างนี้คนเดียวหรอก สังคมทั้งหมดของเธอก็เชื่อแบบนี้ ครูของพวกเธอถึงได้ค่าจ้างเป็นเศษเงิน ขณะที่นางแบบเปลื้องผ้าได้เงินเป็นถุงเป็นถัง ผู้นำของพวกเธอได้เงินน้อยมากเมื่อเทียบกับนักกีฬาดังๆ จนรู้สึกว่าต้องขโมยเพื่อจะสร้างความแตกต่างได้ พระและนักบวชต้องใช้ชีวิตด้วยขนมปังกับน้ำเปล่า ขณะที่พวกเธอขว้างเงินให้เหล่าดารานักร้องไม่อั้น

    ลองคิดดูสิ อะไรที่เธอเห็นว่ามีคุณค่าภายในสูงเธอยืนยันว่าจะต้องมีราคาถูก นักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานวิจัยโดยลำพังเพื่อหาวิธีรักษาโรคเอดส์ต้องอ้อนวอนขอรับบริจาคเงิน ขณะที่ผู้หญิงซึ่งเขียนหนังสือเกี่ยวกับร้อยแปดวิธีมีเซ็กซ์และทำเทปขายพร้อมจัดสัมมนาสุดสัปดาห์เพื่อสอนเรื่องนี้ต่างร่ำรวยเป็นเศรษฐี

    การทำให้ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมดนี้คือลักษณะของตัวเธอ ซึ่งเกิดจากความคิดผิดๆ

    ความคิดผิดๆ ที่ว่าก็คือ ความคิดที่เธอมีต่อเรื่องเงินทอง เธอรักเงินแต่ก็บอกว่าเงินคือรากเหง้าของความชั่วร้ายทั้งมวล เธอบูชาเงินแต่กลับเรียกมันว่า "เงินโสมม" เธอเรียกบางคนว่าพวก "รวยอย่างน่าเกลียด" และถ้ามีใครสักคนเกิดรวยขึ้นมาจากการทำ "สิ่งดีๆ" ละก็ เธอจะตั้งข้อสงสัยขึ้นมาทันที เธอทำให้เป็นเรื่อง "ผิด" ไป

    ดังนั้น แพทย์ไม่ควรทำเงินได้มากเกินไป หรือไม่ก็ควรเรียนรู้ที่จะระวังเรื่องนี้ให้ดี และนักบวช โว้วววว! พวกนางยิ่งไม่ควรจะหาเงินได้มากๆ (สมมติว่าเธอยอมให้ผู้หญิงเป็นนักบวชได้นะ) ไม่อย่างนั้นต้องมีปัญหาแน่

    เธอเห็นไหมว่าในความคิดเธอน่ะ ใครที่เลือกติดตามเสียงเรียกสูงส่งที่สุดคนนั้นควรได้รับค่าจ้างต่ำสุด


    อืม...


    ใช่ "อืม" น่ะถูกต้องแล้ว เธอควรขบคิดเรื่องนี้นะะ เพราะมันเป็นความคิดที่ผิดจริงๆ


    ผมคิดว่าไม่มีอะไรที่ผิดหรือถูกซะอีก?


    ก็ไม่มีไง มีแค่สิ่งที่เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ต่อเธอเท่านั้นแหละ คำว่า "ถูก" กับ "ผิด" เป็นคำสัมพัทธ์ ฉันใช้ในเชิงนั้นตลอดเมื่อจะใช้คำนี้ ในกรณีนี้เมื่อเปรียบกับว่าอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อเธอเปรียบกับสิ่งที่เธอบอกว่าต้องการ พูดได้ว่าความคิดเรื่องเงินทองของเธอเป็นความคิดที่ผิดพลาด

    จำไว้ว่าความคิดมีพลังสร้างสรรค์ในตัวเอง ดังนั้นถ้าเธอคิดว่าเงินเป็นสิ่งไม่ดี แต่คิดว่าตัวเองดี...เธอก็จะเห็นความขัดแย้งตรงนี้

    ทีนี้ โดยเฉพาะเธอ เธอได้แสดงออกถึงจิตสำนึกแบบนี้มากเป็นพิเศษ สำหรับคนส่วนใหญ่ความขัดแย้งนี้ไม่ได้มากเท่าเธอ พวกเขายอมทำสิ่งที่เกลียดเพื่อยังชีพ ก็เลยไม่รังเกียจอะไรที่จะทำเงินจากมัน พูดง่ายๆ ก็คือทำสิ่ง "ไม่ดี" เพื่อจะได้สิ่ง "ไม่ดี" ตอบแทน แต่เธอรักสิ่งที่เธอทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เธอเทิดทูนกิจกรรมที่เธอกระโจนใส่

    ดังนั้นสำหรับเธอและในระบบความคิดของเธอแล้ว การได้เงินก้อนใหญ่จากสิ่งที่ทำจึงเป็นการรับสิ่ง "ไม่ดี" จากการ "ทำดี" ซึ่งเธอรับไม่ได้ เธอยอมอดตายดีกว่ารับ "เงินโสมม" จากการกระทำอันบริสุทธิ์ใจ ...อย่างกับว่าการกระทำนั้นจะเสียความบริสุทธิ์ไปหากเธอได้เงินจากมันงั้นแหละ

    ทีนี้เลยเกิดความลักลั่นในเรื่องเงินขึ้นมาจริงๆ เพราะส่วนหนึ่งของเธอปฏิเสธเงิน อีกส่วนก็ขุ่นเคืองที่ไม่มี จักรวาลเลยไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี เพราะได้รับทั้งสองความคิดที่แตกต่างสุดขั้วจากเธอ ชีวิตทางการเงินของเธอจึงยื้ดยุดไม่ไปไหนอยู่อย่างนี้แหล่ะ เพราะตัวเธอยื้อยุดในเรื่องเงินนั่นเอง

    เธอไม่มีความคิดรวมศูนย์ที่ชัดเจน เธอยังไม่มั่นใจจริงๆ เลยว่าอะไรจริงแท้สำหรับเธอ และจักรวาลก็เป็นเพียงเครื่องถ่ายเอกสารขนาดใหญ่ ซึ่งก็เพียงแค่ถ่ายสำเนาความคิดของเธออกมาเท่านั้นเอง

    มีทางเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ได้นั่นคือ เธอต้องเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเงินเสียใหม่
     
  13. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    ขอบคุณค่ะพี่ที่จะคอยเชียร์ นกแค่ส่งcdไปก่อน แล้วถ้าผ่านเค้าถึงประกาศผลอีกที เค้าปิดรับสมัครวันที่9มีนานี้แล้ว ช่วงนี้ร้องทุกวันเลย แต่รู้สึกว่าพลังมันไม่ค่อยออกจากท้องเลย จะฝึกได้ไงบ้างหนอ
     
  14. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    พี่meadอย่าลืมตามฟังให้ครบทุกเพลงนะ อิอิ
     
  15. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ฟังเพลงแล้ว รู้สึกเหมือนว่าเสียงขาดพาวเวอร์ไปหน่อยๆ ไม่รู้ว่าคิดมากไปหรือเปล่า
     
  16. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    ใช่คุณzip ยังรู้ตัวเลย ติดร้องเบา ๆ ร้องแล้วเกรง ๆ คนได้ยินอีก [Embarrass
     
  17. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    http://palungjit.org/showthread.php?t=116566 จากเพื่อนคนหนึ่ง
    http://palungjit.org/showthread.php?t=116249 ให้ทำอย่างไร
    http://palungjit.org/showthread.php?t=116219 คนเดียวไม่เหงาเท่า 3 คน
    http://palungjit.org/showthread.php?t=116239 เจ็บแทนได้ไหม
    http://palungjit.org/showthread.php?t=116473 รักไม่ช่วยอะไร
    http://palungjit.org/showthread.php?t=116466 อยู่คนเดียว
    http://palungjit.org/showthread.php?t=115925 Miss Call
    http://palungjit.org/showthread.php?t=116478 ห้องเดิม
    http://palungjit.org/showthread.php?t=116577 เจ้าของฉันคือเธอ
    http://palungjit.org/showthread.php?t=116571 เธอไม่เคยถาม
    http://palungjit.org/showthread.php?t=116574 เพื่อเธอ
    http://palungjit.org/showthread.php?t=116560 สงสารกันหน่อย
    http://palungjit.org/showthread.php?t=116613 ข่าวร้าย
    http://palungjit.org/showthread.php?t=116782 นาฬิกาทราย
    http://palungjit.org/showthread.php?t=116753 รักมากเลย
    http://palungjit.org/showthread.php?t=116604 เป็นอันสลบ
    http://palungjit.org/showthread.php?t=116586 ฝากดูแลแทนฉัน
    http://palungjit.org/showthread.php?t=116614 สบตา
    http://palungjit.org/showthread.php?t=116616 ใจเอย
    http://palungjit.org/showthread.php?t=116561 Eternal Flame


    นอกเรื่องหน่อย ฟังแล้ววิจารณ์ได้เลย งึม ๆ
     
  18. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ความปรารถนา

    ความปรารถนาเป็นพลังผลักดันให้จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินต่อไปในโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติอย่างเป็นอมตะ โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติได้แก่:
    1. โลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพ เป็นโลกที่จับต้อง รู้เห็นและสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าซึ่งคล้อยตามความเชื่อ

    2. โลกแห่งความเป็นจริงทางจินตภาพ เป็นโลกที่จับต้อง รู้เห็นและสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสที่หก ซึ่งหมายถึงอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด พร้อมด้วยสติสัมปชัญญะในระดับต่างๆ ที่คล้อยตามความเชื่อบ้าง เป็นไปตามความรู้บ้าง

    3. โลกแห่งความเป็นจริงทางจิตวิญญาณ เป็นโลกที่รู้เห็นและสัมผัสได้ด้วยจิตวิญญาณโดยตรง ซึ่งพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะอันคมชัดและเป็นไปตามความรู้อันแท้จริง

    เมื่อความปรารถนาในระดับกายภาพ อันได้แก่ความปรารถนาที่จะได้มี-ได้ทำ-ได้เป็น-ในโลกทางกายภาพ ได้รับการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตแล้ว ความปรารถนาจะแปลงสภาวะไปสู่ความปรารถนาในระดับจินตภาพ อันได้แก่ความปรารถนาที่จะได้มี-ได้ทำ-ได้เป็นในโลกแห่งความเป็นจริงทางจินตภาพ

    เมื่อความปรารถนาในระดับจินตภาพ อันได้แก่ความปรารถนาที่จะได้มี-ได้ทำ-ได้เป็นในโลกแห่งความเป็นจริงทางจินตภาพ ได้รับการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตแล้ว ความปรารถนาจะแปลงสภาวะไปสู่ความปรารถนาในระดับจิตวิญญาณ อันได้แก่ความปรารถนาในความรู้อันเป็นของกลางของจักรวาล

    ทั้งนี้เราควรจะตระหนักถึงธรรมชาติความเป็นจริงที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ด้วยว่า อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต มีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน ดังนั้นโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติทุกโลก และการแปลงสภาวะของความปรารถนาจากระดับหนึ่ง ไปสู่อีกระดับหนึ่ง จึงเป็นไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน การแปลงสภาวะทั้งหมดไม่ได้เป็นไปเป็นเส้นตรงตามกาลเวลาที่เรารู้จัก กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ความปรารถนาการเติมเต็ม ตลอดจนการแปลงสภาวะทั้งหมด นอกจากจะเป็นไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบันแล้ว ยังส่งเสริมซึ่งกันและกัน และสนับสนุนซึ่งกันและกันอีกด้วย

    หากปราศจากการเติมเต็มความปรารถนาในระดับกายภาพแล้ว การเติมเต็มความปรารถนาในระดับจินตภาพและระดับจิตวิญญาณย่อมเป็นไปไม่ได้ และในขณะเดียวกัน หากปราศจากการเติมเต็มความปรารถนาในระดับจิตวิญญาณแล้ว การเติมเต็มความปรารถนาในระดับกายภาพและจินตภาพย่อมเป็นไปไม่ได้เช่นกัน

    ความปรารถนาเป็นสิ่งที่ดับไม่ได้-แต่เติมเต็มได้-ตามธรรมชาติ ไม่ว่าเราจะบีบบังคับหรือกดดันความปรารถนาด้วยวิธีการใดๆ ในที่สุดความปรารถนาที่แท้จริงจะเผยออกมาเพื่อการเติมเต็มเสมอ เมื่อใดความปรารถนาหนึ่งๆได้รับการเติมเต็มแล้ว ความปรารถนานั้นๆจึงดับไป และความปรารถนาใหม่ๆก็จะผุดขึ้นมาแทนที่ต่อไป หากได้รับการเติมเต็มแล้วในที่สุดความปรารถนาในระดับกายภาพก็จะถูกแทนที่ด้วยความปรารถนาในระดับจินตภาพ และระดับจิตวิญญาณต่อไป เป็นวงจรที่เป็นไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน

    หากเราทั้งหลายมีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ต่อธรรมชาติความเป็นจริง เราจะพบว่า ความปรารถนาเป็นเพียงธรรมชาติที่แสนจะเรียบง่าย จิตวิญญาณของเรามาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนัง เพิื่อเติมเต็มความปรารถนา แต่ในขณะเดียวกันทางเลือกในการเติมเต็มความปรารถนาในทุกทิศทางก็เป็นของเรา

    หากเราเลือกเติมเต็มความปรารถนาในทิศทางที่เต็มไปด้วยความรัก และการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นหรือจิตวิญญาณอื่นๆ ความปรารถนานั้นๆก็ย่อมเป็นความปรารถนาที่ก่อให้เกิดประโยชน์สุขต่อคนหมู่มาก และต่อตนเอง

    หากเราเลือกเติมเต็มความปรารถนาในทิศทางที่เต็มไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง และการเอาเปรียบผู้อื่น ความปรารถนานั้นก็ย่อมเป็นความปรารถนาที่ก่อให้เกิดโทษต่อคนหมู่มาก และต่อตนเอง

    แม้แต่พระพุทธองค์ หรือพระเยซูก็ล้วนแต่มีความปรารถนาด้วยกันทั้งสิ้น พระองค์ปรารถนาในการเผบแพร่ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงของจิตวิญญาณ ธรรมชาติที่แท้จริงของสติสัมปชัญญะ และธรรมชาติที่แท้จริงของความรัก การให้ การเกื้อกูลซึ่งกันและกัน หากปราศจากความปรารถนา พระพุทธองค์และพระเยซูก็คงไม่แสวงหา ไม่เรียนรู้และไม่ไปสู่ภาวะที่เป็นผู้นำ ผู้สอน ผู้ถ่ายทอด และไม่นำสิ่งที่พระองค์ค้นพบมาเผยแพร่ และคงอยู่ในความสันโดษและปราศจากการติดต่อสื่อสารและถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้อื่น

    คำว่า พอมี, พอดี, พอกินหรือพอเพียง เป็นเพียงคำพูดที่ไม่สามารถวัดได้ด้วยมาตรวัดใดๆ
    ความพอมี, พอดี, พอกินหรือพอเพียง ของบุคคลหนึ่งๆ อาจเป็นความขาดแคลนของอีกบุคคลหนึ่ง หรืออาจเป็นความมั่งคั่งล้นหลามของอีกบุคคลหนึ่ง สุดแท้แต่มุมมอง ความเชื่อ ทัศนคติและประสบการณ์ของแต่ละคน
    แม้แต่ฝันร้ายของบุคคลหนึ่ง ก็อาจเป็นฝันดีที่สุดของอีกบุคคลหนึ่ง และในทางกลับกันฝันดีเลอเลิศของบุคคลหนึ่งอาจเป็นฝันร้ายของอีกบุคคลหนึ่ง

    การแสวงหาหรือการเติมเต็มความปรารถนาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ได้เป็นธรรมชาติที่ทำให้เกิดทุกข์ หากแต่เป็นธรรมชาติที่ทำให้ชีวิตของเราแต่ละคนดำเนินต่อไปด้วยความท้าทาย ด้วยความตื่นตัว ด้วยความหวังที่จะทำให้-ยิ่งไปกว่าเดิม มีความรู้ความสามารถมากกว่าเดิม ความปรารถนาเป็นกลไกที่ทำให้จิตวิญญาณของเราดำเนินชีวิตเป็นร่างกายเนื้อหนังต่อไปตามธรรมชาติ หากหมดความปรารถนาเมื่อใด ชีวิตของเราย่อมหมดความท้าทาย หมดหวัง หมดความมีชีวิตชีวา และหมดความกระตือรือล้นที่จะดำเนินชีวิตต่อไป และถึงจุดจบของร่างกายเนื้อหนัง

    เมื่อไม่กี่วันมานี้พี่นักเขียนได้ชมรายการ TV ของ Jay Leno ซึ่งนำเอา VDO ของสามีภรรยาคู่หนึ่ง ซึ่งเพิ่งจะถูกล๊อตเตอรี่เป็นเงินจำนวน $270 ล้านเหรียญมาให้ชม สองสามีภรรยาคู่นี้ไม่ได้แสดงอาการยินดียินร้ายกับโชคดีของเขาเลย ไม่มีแม้กระทั่งรอยยิ้มบนใบหน้า ทั้งคู่ดูท่าทางเบื่อหน่ายด้วยซ้ำไป ผู้จัดรายการกล่าวว่า "Can you believe that they just have won a quarter billion dollars?" จากนั้นเขาก็ตัดไปฉายให้ดู VDO ของชายผู้หนึ่งที่ชนะรายการตอบคำถามทาง TV ได้รางวัลคือกระเป๋าเดินทางเป็นชุดเถา 3 ใบ ชายผู้นั้นกระโดดโลดเต้นไปรอบเวที วิ่งเข้าไปกอดผู้จัดรายการ แล้วก็วิ่งไป shake hand กับผู้ชมอื่นๆในห้องส่ง เขาดีใจจนแทบจะหยุดวิ่งไปมาไม่ได้

    ภาพที่ปรากฏในรายการทำให้พี่นักเขียนอดคิดไม่ได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทั้งหลายประสพในชีวิตของเราแต่ละคน ปราศจากมาตรฐานที่แท้จริง ทุกสิ่งทุกอย่างวัดได้ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่เป็นเอกลักษณ์จากมุมมองของบุคคลหนึ่งๆเท่านั้น ขาวของบุคคลหนึ่งอาจเป็นเทาเข้มของอีกบุคคลหนึ่ง และในขณะเดียวกันเทาอ่อนของบุคคลหนึ่งอาจจะดูเสมือนว่าดำสนิทของอีกบุคคลหนึ่งก็ได้ สุดแท้แต่ว่าจุดอ้างอิงของแต่ละคนอยู่ ณ จุดใด เราทุกคนวัดทุกสิ่งทุกอย่างในประสบการณ์ชีวิตด้วยจุดอ้างอิงหนึ่งๆ ซึ่งเป็นจุดอ้างอิงที่คล้อยตามความเชื่อส่วนบุคคลทั้งสิ้น เราไม่อาจวัดสิ่งใดๆในโลกได้ ด้วยความเป็นจริงที่เป็นมาตรฐานที่เสมอเหมือนกันหมดสำหรับทุกคนในโลกได้

    ทุกข์ของเราจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า เรามีได้ ทำได้ เป็นได้ มากหรือน้อยกว่ามาตรฐาน เพราะมาตรฐานที่แท้จริงนั้น-ไม่มีจริง

    แต่ทุกข์ของเราอยู่ที่ว่า เราอยากจะมี อยากจะทำ อยากจะเป็น คล้องจองกับความเชื่อและศรัทธาที่เรามีให้ตนเอง และคล้องจองกับความเชื่อและศรัทธาที่เรามีต่อความรู้และความสามารถในตนเองหรือไม่

    โดยธรรมชาติแล้ว ผู้ที่ปรารถนการได้มี ได้ทำ ได้เป็นในทิศทางที่ทำลายล้าง หรือเห็นแก่ตน แม้จะได้มี ได้ทำ ได้เป็น ก็ไม่อาจสมความปรารถนาได้และย่อมพบกับความทุกข์โดยปริยาย เพราะผู้ที่ได้สิ่งที่เชื่อว่าตนปรารถนาแต่ก่อให้เกิดทุกข์กับผู้อื่นย่อมจะหาความสุขใจไม่ได้

    ทุกข์ที่แท้จริงของเราอยู่ที่มาตรฐานที่เราสร้างขึ้นด้วยความเชื่อในตนเอง ไม่ใช่มาตรฐานที่เราสร้างขึ้นด้วยการรู้จักตนเองตามความเป็นจริง เพราะหากเรารู้จักตนเองตามความเป็นจริง เราจะไม่พบกับความทุกข์ ไม่ต้องเก็บกดหรือพยายามทำให้ความปรารถนาของเราดับสลาย เพราะเราจะพบว่า ความปรารถนาของเราเป็นสิ่งที่ให้คุุณแก่ตนเองและผู้อื่นเสมอ และในทางตรงกันข้ามเราจะพบแต่ความสุขสงบในการเติมเต็มความปรารถนานั้นๆ เช่นเดียวกับการที่ศิลปินทั้งหลาย ที่เติมเต็มความปรารถนาด้วยการสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นที่ชื่นชอบของตนเองและผู้ชมทั้งหลาย

    พี่นักเขียนไม่ได้ต่อต้านความคิดทางด้านศาสนาที่สอนให้เราละหรือดับความอยากมี อยากได้ อยากเป็นในทิศทางที่ก่อให้เกิดทุกข์ เพราะมันทำให้เราเสมือนตกนรกทั้งเป็นกับความอยากที่ไม่มีวันสมความปรารถนา พี่นักเขียนเห็นด้วยและเชื่อถือในคำสอนดังกล่าวอย่างหมดใจ

    แต่ก็ตระหนักว่าเราทุกคนมีธรรมชาติของความอยากมี อยากได้ อยากเป็นในทิศทางที่่ก่อให้เกิดประโยชน์สุขต่อตนเองและผู้อื่น ซึ่งเป็นธรรมชาติของจิตวิญญาณที่ไม่มีวันดับสลาย เพราะมันเป็นปัจจัยเดียวที่จะทำให้เราสามารถเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตได้ และเป็นปัจจัยที่ทำให้จิตวิญญาณประสานกันเป็นระบบเครือข่ายต่อไป เป็นหนึ่งเดียวกันต่อไปในโลกมนุษย์ ในร่างกายเนื้อหนัง

    หากเราเข้าใจความหมายของการละหรือดับความปรารถนาเพียงด้านเดียว คือด้านที่่ก่อให้เกิดทุกข์และโทษแก่ตนเองและผู้อื่น เราก็จะตีความหมายความปรารถนาไปในแง่่ลบและพลาดประเด็นหลัก อันเป็นเป้าหมายของจิตวิญญาณ ที่จะมาแสวงหาการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีิวิต เพื่อการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ไปโดยปริยาย

    ไม่ว่าเราจะได้มี ได้ทำ ได้เป็นในสิ่งใดที่เราปรารถนา การบรรลุผลสำเร็จของเราส่งผลกระทบต่อผู้อื่นเสมอ โลกของเรามีแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร สถาปนิก ศิลปิน นักแสดง ฯลฯ บุคคลต่างสาขาอาชีพที่สร้างสรรค์สิ่งต่างๆที่ให้ประโยชน์สุขกับมวลมนุษย์มากมาย บุคคลเหล่านี้รวมทั้งตัวเราแต่ละคนล้วนได้มี ได้ทำ ได้เป็นในสิ่งที่เรา-เขาปรารถนาไม่มากก็น้อยด้วยกันทั้งสิ้น

    กล่าวได้ว่าผลพวงของการได้มี ได้ทำ ได้เป็นในสิ่งใดที่เรา-เขาทั้งหลายปรารถนา ล้วนให้ประโยชน์สุขแก่มวลมนุษย์มากมายอย่างไม่มีวันจบสิ้น หากปราศจากความอยากที่จะได้มี ได้ทำ ได้เป็นตามความปรารถนาของเรา-เขา โลกของเราก็จะปราศจากวิวัฒนาการและความก้าวหน้าทุกทิศทาง และขาดการช่วยเหลือเกื้อกูลและประสานกันเป็นระบบเครือข่าย เป็นหนึ่งเดียวในโลกทางกายภาพ เช่นเดียวกับที่เป็นไปในโลกทางจินตภาพและจิตวิญญาณ(rose)
     
  19. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ฝึกสมาธิด้วยการร้องเพลง-ฝึกร้องเพลงด้วยการทำสมาธิ

    น้องนกเสียงเพราะมากค่ะ แต่สิ่งที่ขาดหายไปจากเสียงอันไพเราะของน้องนกคือ Emotions

    พี่นักเขียนมีความเชื่อว่า ศิลปินทุกแขนงจะเข้าถึงงานสร้างสรรค์ของตนเองได้ ก็ต่อเมื่อเราเข้าถึงอารมณ์ของการสร้างสรรค์ผลงานนั้นๆ เมื่อผู้ฟังหรือผู้ชมได้รับฟังหรือรับชม อารมณ์ที่ศิลปินบรรจงถ่ายทอดลงไว้ในผลงาน ก็จะถูกถ่ายทอดไปสู่ผู้ฟังผู้ชมอีกต่อหนึ่ง ทำให้ผู้ฟังหรือผู้ชมรับหรือสัมผัสอารมณ์นั้นๆได้ และอิ่มตาอิ่มใจกับการรับฟังรับชม

    พี่นักเขียนร้องเพลงไม่เป็นเอาเลยค่ะ พี่นักเขียนพยายามจะทำเป็นสิ่งต่อไปหลังจากการวาดภาพด้วยสีน้ำมันแล้วก็เต้นรำ หากไม่อยากทำอย่างอื่นๆมาคั่นเสียก่อน หรือปอดไปก่อนนะคะ แต่ขอแนะนำจากมุมมองของการเล่นดนตรีแล้วกันนะคะ

    แต่ก่อนนี้พี่นักเขียนเคยเล่นเปียโนด้วยการอ่านโน้ต เพราะเรียนมาอย่างนั้นคือ เรียนอ่านโน้ต เล่นเป็นเพลงได้เมื่ออ่านโน้ตคล่อง ไปไหนหากเจอเปียโนแล้วไม่มีโน้ตพกติดตัวไป ก็จอดเลยค่ะ เล่นไม่ได้

    หลังจากนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีโน้ตแล้วเล่นได้ แต่ฟังเท่าไรก็หาความไพเราะเหมือนที่ตนเองฟัง Pro เล่นไม่ได้เลย และไม่ทราบว่าความไพเราะเหล่านั้นสร้างสรรค์ได้อย่างไร มาจากไหน จนกระทั่งคุณครูจรินทร์ ยุทธศาสตร์โกศล (ครูอ๊อด) ซึ่งเป็นครูสอนเปียโนคนแรกในชีวิตของพี่นักเขียนบอกว่า เล่นได้โดยไม่ต้องดูโน้ตแล้ว ที่นี้ให้เล่นด้วยอารมณ์ คุณครูบอกว่า ให้เล่นช้า ชัด ทุกตัวโน้ต ปั้นออกมาทีละตัว อย่าปล่อยให้ตัวใดเล็ดรอดไปโดยที่เราไม่รู้เห็นอย่างคมชัด

    พี่นักเขียนชอบดูรายการ American Idol ซึ่งนำนักร้องสมัครเล่นมาคัดเลือกจาก 10,000 คน จนเหลือสุดท้าย 3 คน เฝ้าดูมาเป็นปีที่ 7 พบความเป็นจริงที่ครูว่าคือ ผู้ที่ผ่านเข้ารอบไปจนถึงรอบสุดท้ายคือผู้ที่ร้องเพลงด้วยการจดจ่อ เสมือนว่าเขาปั้นทุกคำร้องออกมาอย่างสุดความสามารถ

    ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า เขาปั้นแต่งเสียงร้องจนขาดความเป็นธรรมชาติ ในทางตรงกันข้าม เขาปั้นเสียงร้องออกมา ด้วยการจดจ่อให้เสียงของเขาเป็นธรรมชาติที่สุด ด้วยการมีสติสัมปชัญญะอย่างคมชัด คำต่อคำ ตัวโน้ตต่อตัวโน้ต เช่นเดียวกับการเล่นเปียโนให้ไพเราะ จะผ่านหรือปล่อยให้ตัวโน้ตหรือเสียงใดเล่นออกไปโดยขาดการจดจ่อ หรือสักแต่เล่นไม่ได้เลยแม้แต่ตัวเดียว เรียกได้ว่า ทุกเสียงร้อง และทุกตัวโน้ต เขาได้ใช้สติสัมปชัญญะจดจ่อเพื่อให้เสียงนั้นๆออกมาอย่างดีที่สุดที่จะทำได้ ทุกคำ ทุกเสียง ทุกตัวโน้ต พลังจึงจะเกิด อารมณ์จึงจะเกิด เช่นเดียวกับที่เราพบเห็นฉากละครที่มีอารมณ์รุนแรง นักแสดงผู้นัั้นมักจะสะกดคนดูให้จดจ้องเขาได้โดยที่ตาไม่กะพริบ รับและถ่ายทอดอารมณ์จากเขาไปสู่ผู้ชม

    หากน้องนกใช้การร้องเพลงเป็นการฝึกสมาธิ เช่นเดียวกับที่พี่นักเขียนใช้การเล่นเปียโนเป็นการฝึกสมาธินอกเบาะ พี่นักเขียนเชื่อว่า น้องนกจะสามารถทำให้เสียงอันไพเราะอยู่แล้ว เกิดความโดดเด่นขึ้นเหมือนภาพวาดที่พวกเราพัฒนากันอย่างก้าวหน้าจนผิดตา ไม่ใช่สักแต่ว่าวาดภาพอีกต่อไป แต่งดงามจนสะดุดตา เพราะพลังแห่งอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของผู้สร้างสรรค์ได้ถูกบรรจุลงในทุกตัวโน้ต ทุกเสียงร้อง ทุกคำร้อง ด้วยการจดจ่ออย่างมีิสติทุกขณะจิต เช่นเดียวกับที่พลังแห่งอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของผู้สร้างสรรค์ได้ถูกบรรจุลงในทุกเส้นสายในภาพวาด
    [​IMG]
    Eternal Flame เป็นเพลงโปรดของพี่นักเขียนค่ะ ขอฟังอีกค่ะ อีกร้อยหน พันหน ก็จะขอฟังอีกค่ะ ขอเพลงนี้เป็นเพลงแรกที่น้องนกจะลองร้องแบบจดจ่อทีละตัวโน้ต ทีละคำร้อง พี่นักเขียนจะคอยฟังค่ะ ไม่ใช่ใส่อารมณ์นะคะ แต่ร้องให้เป็นไปตามอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิดตามธรรมชาติ อย่างมีสติคมชัดที่สุด

    หากน้องนกไปถึงจุดที่ว่า ร้องตามอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิดตามธรรมชาติ อย่างมีสติคมชัดที่สุด เมื่อใด น้องนกจะไม่ได้ร้องด้วยปาก ลำคอ และ ปอดอีกต่อไป แต่ร้องด้วยจิตวิญญาณ เช่นเดียวกับที่ศิลปินทั้งหลายสร้างสรรค์ผลงานที่สัมผัสจิตวิญญาณของผู้ฟังผู้ชมได้อย่างน่าประทับใจ (rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2008
  20. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ก็มีแอบคิดเหมือนพี่นักเขียนเหมือนกันนะในเรื่องการปล่อยอารมณ์ในการร้องเพลง

    เรื่องการเข้าใจอารมณ์เพลงนี่ ถ้าได้ดูหนัง series ญี่ปุ่นเรื่อง nodame cantabile ชื่อภาษาไทยก็ "วุ่นรักนักดนตรี" เป็นหนังที่สร้างจากการ์ตูน น่าจะเข้าใจได้มากขึ้น เพราะเรื่องนี้ตัวเอกฝันอยากจะเป็นคอนดักเตอร์ ซึ่งการเป็นคอนดักเตอร์ที่ดีนั้น อย่างนึงก็คือต้องเข้าใจอารมณ์เพลงอย่างแท้จริง ถึงจะถ่ายทอดเพลงออกมาให้เพราะได้

    <center>[​IMG]</center>

    มีคนเขียนอธิบายหนังเรื่องนี้ในตอนนึงไว้ว่า

    "คราวที่แล้วทิ้งท้ายเอาไว้ถึงการจากลาที่แสนเศร้าระหว่าง จิอากิ พระเอกของเรื่องกับ สเตรซเซอร์มันน์ อาจารย์คนที่สุดหล่อของเราทั้งรักทั้งชัง ว่าการจากลาครั้งนี้มีเพลงอย่าง เปียโน คอนแชร์โต้ หมายเลข 2 ของ รัคมานินอฟ เป็นตัวเชื่อม

    แต่ทำยังงั้ย ยังไง จิอากิก็นึกไม่ออก เพราะชีวิตเขาไม่เคยสูญเสียอะไรอย่างแท้จริง

    ถ้าใครดูละครเรื่องนี้แบบเน้นแล้วเน้นอีกจะจำได้ว่า สเตรสเซอร์มันน์นั้นสั่งให้จิอากิเน้นอยู่สองอย่าง นั่นคือ การแสดงออกบนเวที และการเข้าถึงอารมณ์ของเพลง

    ไอ้เรื่องของการแสดงออกทางดนตรีนี่สำคัญนะครับ บางคนอาจจะมองว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...