ธรรมหลังกึ่งกลางพุทธกาลเป็นต้นไป เป็นธรรมบัวบาน จะเปิดเผยครั้งแรกในยุคนี้นะ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 12 พฤษภาคม 2016.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    สังสารวัฏคือพุทธเกษตร ที่เพาะชำแห่งองค์คุณทั้งสาม


    สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนมีศักยภาพในการบรรลุพุทธสภาวะเท่าเทียมกัน แลสรรพจิตทั้งหลายก็เริ่มต้นจากความบริสุทธิ์ประภัสสร ไม่ต่างกัน แต่นี่ไม่ใช่เหตุอันอ้างได้ว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนเป็นพุทธะอยู่แล้ว หรือบรรลุอรหันตผลอยู่แล้วก็หาไม่ เพราะหากสรรพสัตว์ทั้งหลายถูกธรรมชาติสร้างมาให้เป็นเช่นนั้น พวกเขาก็จะไม่มีทางเลือก ไม่มีอิสระที่จะได้เรียนรู้ตามเจตจำนงค์ของตนเองเลย เมื่อทุกคนถูกสร้างให้เป็นพุทธะทันที อรหันต์ทันที พวกเขาจะถูกต้องทันที และไม่มีโอกาสได้ลองผิดลองถูก ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้เส้นทางอื่นๆ ที่แตกต่างออกไป และมันจะไม่มีอะไรใหม่เลย เหมือนกับการผลิตซ้ำที่เอา "พุทธะ" ก็ดี "อรหันตะ" ก็ดี เป็นตัวแบบในโรงงาน แล้วเอาปวงสัตว์ป้อนเข้าไป เพื่อปั้มออกมาให้เป็นพุทธะและอรหันตะเหมือนกันทั้งหมด แบบนั้นน่ะหรือ "ชีวิตที่แท้จริง?" ย่อมไม่ใช่ดอก จริงไหม? มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายต่างล้วนมี "เจตจำนงค์อิสระ" ที่จะเลือกเส้นทางเดินของตนเอง เลือกเรียนรู้ เลือกลองผิดลองถูกในสิ่งต่างๆ ตามกำลังของพวกเขา นั่นก็เพื่อขยายองค์คุณแห่งมหาปัญญา และองค์คุณแห่งมหากรุณา นั่นเอง ด้วยเพราะองค์คุณทั้งสามอันได้แก่ พระบริสุทธิคุณ, พระปัญญาธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณนั้น เป็นองค์คุณสำคัญของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย แลปวงสัตว์เองก็มีองค์คุณแห่งบริสุทธิคุณอยู่แล้วเป็นพื้นฐานที่เหมือนกันทั้งหมด สิ่งที่เหลือจึงเป็นเจตจำนงค์อิสระที่จะพัฒนาองค์คุณแห่งมหาปัญญาและองค์คุณแห่งมหากรุณาของตนไปอย่างไร? เพื่อขยายพรหมแดนแห่งพุทธะของตนไปอย่างไร นี่คือ "รหัสนัยแห่งการเวียนว่ายตายเกิด" ที่ถูกซ่อนไว้

    แลเจตจำนงค์อิสระนั้นเองที่เป็นส่วนสำคัญของความบริบูรณ์พร้อม เพราะหากขาดซึ่งเจตจำนงค์อิสระแล้ว เราย่อมขาดซึ่งทางเลือกที่จะเรียนรู้ ทางเลือกที่จะลองผิดลองถูก ทางเลือกที่จะเวียนว่ายตายเกิดไปในสังสารสวัฏในแบบของเราเอง เหตุนี้เอง เจตจำนงค์อิสระจึงเป็นส่วนหนึ่งของความบริบูรณ์พร้อม ที่สำแดงออกมาในรูปของกิเลส ความโลภ, ความโกรธ และความหลง เป็นรูปลักษณ์นิรมาณกายให้เกิดขึ้น, ตั้งอยู่ และดับไป ตามบทบาท ตามธรรมะ ธรรมชาติ เพียงเท่านั้น หาใช่สาระแก่นสารใดไม่ เป็นแต่เพียงฟันเฟืองเปลือกนอก ที่หมุนเคลื่อนเพื่อพัฒนาแก่นแท้ภายใน เพื่อพัฒนาองค์คุณทั้งสาม เพื่อยกระดับจิตวิญญาณของเราให้สูงขึ้นไปในทิศทางที่ต่างกัน ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายเมื่อกลับคืนสู่พุทธสภาวะแล้ว จึงมีลักษณะแตกต่างกันได้ในรายละเอียด และทรงเลือกสัตว์เพื่อโปรดให้หลุดพ้น แตกต่างกันไป พระพุทธเจ้าบางองค์เลือกสัตว์ที่มีปัญญาสูงไปโปรดก่อน พระพุทธเจ้าบางองค์เลือกสัตว์ที่มีจิตใจสูงไปโปรดก่อน แลพระพุทธเจ้าบางองค์เลือกสัตว์ที่มีเมตตาสูงไปโปรดก่อน ความแตกต่างนี้ ก็มาจากเจตจำนงค์อิสระระหว่างการเรียนรู้ผ่านวัฏสงสารเท่านั้นเอง

    แลความเป็น "พุทธะ" อันเป็นสารัตถะแก่นแท้นั้น ก็มิได้ต่างกันเลย
     
  2. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ธรรมะนั้นเปรียบเหมือนงูพิษ อย่าประมาทในธรรม!


    "อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ" ท่านทั้งหลาย จงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด" นี่เป็นโอวาทครั้งสุดท้ายของพระสมณโคดมก่อนที่จะละสังขารไป เป็นคำกล่าวที่เรียบง่าย แต่แท้แล้วมีความหมายลึกซึ้งนัก หลายคนคิดว่าเข้าใจแล้ว จริงๆ ไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะอะไร? ก็เพราะ "ในธรรมมีธรรมอยู่" ตามหลัก "ธรรมมานุสติปัฏฐาน" ในสติปัฏฐานสี่ท่านกล่าวไว้เช่นนั้น เพื่อไม่ให้เราลุ่มหลง หรือประมาทในธรรม ท่านให้มี "สติในธรรม" อย่างยิ่งยวด พิจารณาธรรมในธรรมที่ซ่อนอยู่ อุปมาดั่งไม้ย่อมมีเปลือกและแก่นฉะนั้น หลายท่านคิดว่ามีความเข้าใจในธรรมะแล้ว เหมือนคนที่ไปเรียนปริญญาเข้าใจธรรมะแล้วก็หลง ก็ประมาทในธรรม แบบนี้มีเยอะมากนะ หลายคนไม่จบแม้ปริญญาตรี บางคนไม่จบมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำไป ถามว่าทำไมละ คำตอบคือ ธรรมชาติจัดสรรให้เขารู้ตัวเองว่า "เขาไม่ใช่ผู้มีปัญญา" แต่เขาก็ยังหลงตัวเองได้นะ พอเขามาศึกษาธรรมะแล้ว เขาคิดว่าเขารู้แล้ว เลยหลงตัวเองว่าตนเองรู้ธรรมะ แบบนี้เยอะมาก ธรรมะนี่ ไม่ใช่ว่าจะเข้าถึงกันได้ง่ายๆ หากไม่มีสติปัฏฐานสี่บริบูรณ์ ยิ่งหมวด "ธรรมมานุสติปัฏฐาน" แล้ว ไม่ต้องหวังเลยว่าจะเข้าถึงธรรมนั้นได้ คนเราฝึกสติได้ดีแค่ไหน แค่สติสามฐานแรก คือ กายานุสติปัฏฐาน ก็ดี, เวทนานุสติปัฏฐาน ก็ดี, จิตตานุสติปัฏฐาน ก็ดี ยังไม่ผ่านกันเลย ดังนั้น อย่าไปหวังเลยว่าจะได้ "ธรรมมานุสติปัฏฐาน" เมื่อไม่ได้ธรรมมานุสติปัฏฐาน ก็ไม่มี "สติในธรรม" เมื่อไม่มีสติในธรรม ก็หลงว่าตนเองเข้าใจธรรมะแล้ว ที่แท้ลูบคลำธรรมะแค่เปลือกนอก ไม่ก็ "จับงูข้างหาง" ทีนี้ละ จะโดนพิษธรรมะ มันเล่นงานเอาได้

    ธรรมะเป็นของสูง แม้กล่าวด้วยคำที่เรียบง่าย ปุถุชนเข้าใจได้ง่ายก็ตาม แต่อย่าประมาทคิดว่าเราเข้าใจธรรมะนั้นแล้วโดยง่าย โดยไม่ผ่านธรรมมานุสติปัฏฐานนะ หากไม่มีสติตัวนี้ ไม่อาจเข้าถึงธรรมใดได้เลย ธรรมะที่ได้ยินได้ฟังมา "ปลอมหมด" เก๊หมด เป็นขยะทั้งนั้น ต้องล้างบางหมด ต้องโล๊ะทิ้งหมด ไปยึดธรรมอะไรเหล่านั้นมาไม่ได้เลย ดังนั้น ทางมหายานจึงมี "มหาสุญตา" เอาไว้ล้างสมองให้ใส จะได้ไม่เอาธรรมะขยะแบบนั้นไว้รกหัว จริงๆ ธรรมะที่เราไปฟังไม่ใช่ขยะหรอก แต่พอเราฟังแล้ว "เราก็คือคนสร้างขยะธรรมะขึ้นมาเอง" เพราะความประมาทในธรรม เพราะสติอ่อนกำลัง เพราะธรรมมานุสติปัฏฐาน ยังไม่มีโดยบริบูรณ์เลย พอเข้าใจธรรมะแบบลูบๆ คลำๆ นี้แล้ว ก็เอาไปพล่ามสอนคนอื่นต่อ ให้ความหลงมัวเมาขยายวงไปเรื่อยๆ ยกตัวเป็นครูเขาบ้าง ให้คนมากราบไหว้ตัวเองบ้าง อุปโลกน์ตนเองเป็นพระอรหันต์แล้วบ้าง ทะเลาะถกเถียงกับใครเขาไปทั่วบ้าง

    แลทั้งหมดนี้มาจาก "ความประมาทในธรรม" ไม่มีสติในธรรมโดยแท้
     
  3. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    คุณดอกไม้น้ำแข็งเป็นหนึ่งใน อวโลกิเตศวรปางจันทรวารี หรือเปล่า?
     
  4. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    เราไม่อาจเข้าถึงแก่นแท้แห่งธรรมได้หากไม่ถูก "บีฑาธรรม"


    ดังที่เคยกล่าวแล้วว่าธรรมะมีความลึกซึ้ง เราไม่อาจลูบคลำธรรมะแต่เพียงผิวเปลือกแล้วสรุปง่ายๆ ได้ว่า "เราเข้าใจมันแล้ว" ดังนั้น ในมหาสติปัฏฐานสูตร จึงกล่าวถึง สติสี่ฐาน ในฐานสุดท้ายคือฐาน ธรรม ท่านให้ "พิจารณาธรรมในธรรมอยู่" เนืองๆ คือ ให้ไม่ประมาทในธรรม ให้มีสติระลึกเท่าทันความล้ำลึกแห่งธรรมโดยการพิจารณาว่าในธรรมมีธรรมอยู่ แม้ว่าทุกอย่างคือ ธรรมะ ธรรมชาติ สรรพสิ่งก็ล้วนเป็นธรรม แต่เราไม่อาจเข้าถึงสัจธรรมแก่แท้ได้ด้วยการลูบคลำธรรมะเหล่านี้แต่เพียงผิวเปลือกแน่นอน ดังนั้น จึงต้องมี "การบีฑาธรรม" ขึ้น การบีฑาธรรมคือ การที่เราถูกวิบากกรรมกระทำ กระหน่ำอย่างหนัก โดยที่เราไม่ต้องทำร้ายตัวเอง ไม่ต้องบำเพ็ญทุกขกริยา ไม่ต้องมีกรรมกับการทำตัวเอง แต่อาศัยวิบากกรรมที่เรากระทำแต่หนหลัง เคี่ยวกรำเรา จนเราเข้าถึงแก่นแท้แห่งธรรมได้ ในขั้นนี้เราจะมีทุกข์แน่นอน ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่เจอทุกขสัจในอริยสัจสี่ แต่เราไม่สอนให้จมปลักในทุกข์ และไม่สอนให้หลงสุข แบบที่เจออะไรก็หัวเราะไปหมด แล้วบอกว่าเราคือพุทธะแล้ว อรหันต์แล้ว เพราะเราเบิกบานแล้ว มีธรรมบัวบานแล้ว แบบนั้นไม่ใช่ แบบนั้นมัน "ตั้งเอา" คือ ไปตั้งเจตนาจะเบิกบานเอาทั้งนั้น ไม่ใช่ธรรมชาติที่แท้จริง

    การถูกบีฑาธรรมนั้น จะไม่มีถ้ายังไม่ถึงจุดที่ได้รับปริศนาธรรม เราก็จะมีชีวิตปกติ มีวิบากกรรมธรรมดา มีสุขบ้าง มีทุกข์บ้าง คละเคล้ากันไปเหมือนปุถุชนคนธรรมดาเท่านั้น แต่พอเรามีแวว จะเข้าสู่ธรรมได้แล้ว เราจะได้รับปริศนาธรรมพร้อมถูกบีฑาธรรม เพื่อให้เราเข้าถึงความล้ำลึกและแก่นแท้แห่งธรรมนั้นๆ นั่นเองเฉกเช่นพระกวนอิม ที่ถูกกลั่นแกล้งหลังมุ่งตรงเข้าสู่ธรรม วิถีนี้ ทำให้เราไม่ต้องบำเพ็ญทุกขกริยา ไม่ต้องทำกรรมทำร้ายตัวเอง ดังที่กล่าวแล้ว จึงไม่เป็นวิถีแห่งพระปัจเจกฯ เพราะมีผู้อื่นเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งผู้บรรลุโพธิจิตทุกคนต้องผ่าน และจะถูกบีฑาธรรมอย่างหนักจนเหมือนตายทั้งเป็น ฟังดูแล้วคงไม่มีใครอยากโดนใช่ไหม? พูดแบบนี้แล้ว คงไม่มีใครคิดจะเอาโพธิจิตกันแล้ว แบบนี้ เขาถึงไม่บอก แต่ตอนนี้มันหลอกกันไม่ได้แล้ว เรามาถึงยุคกึ่งกลางพุทธกาล จะใช้อุบายที่ไร้อุบายจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหลอกล่อให้ใครทำอะไรอีกต่อไปแล้ว ใครที่ใช่ "ธรรมชาติจะจัดสรร" มาเอง "ตามธรรมะ ธรรมชาติ" ไม่ต้องหลอกล่อ ไม่ต้องง้อ ไม่ต้องไปยื้อไปดึงอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างจะเกิดขึ้น "อย่างน่าอัศจรรย์" นี่คือ ความอัศจรรย์ของธรรมอัศจรรย์ ที่ชื่อว่า "สัทธรรมปุณฑริกสูตร" ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ ณ ปัจจุบัน!

    แต่หากยังไม่ถูกบีฑาธรรม ก็ยังไม่เข้าถึงขอบเขตของโพธิจิตครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 สิงหาคม 2016
  5. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ธรรมะมีความล้ำลึกหลายระดับ ต่างกันไฉน?


    ธรรมะมีหลายระดับ ดังนั้น ท่านจึงแนะนำให้พิจารณาธรรมในธรรมอยู่เนืองๆ อย่าประมาทในธรรม อย่าคิดว่าธรรมะเป็นเรื่องง่ายๆ ได้ด้วยการ "เข้าใจ" นอกจากนี้ ท่านยังกล่าวถึงปัญญาที่มีหลายระดับไว้ เช่น สุตตมยปัญญา คือ ปัญญาที่ได้จากการอ่าน, การฟัง, การศึกษาเล่าเรียน จินตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการจินตนาการ, การนึกคิดของเราเอง และภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากจิตของเราเข้าถึงอย่างแท้จริง หลายท่านได้เพียง "สุตตมยปัญญา" ก็หลงตัวเองว่าตนเข้าถึงธรรมแล้ว มีธรรมแล้ว ธรรมะเป็นของง่าย สำหรับตัวเอง นี่เรียกว่า "ประมาทในธรรม" เมื่อประมาทในธรรม ก็เหมือนคนที่จับงูข้างหาง สุดท้าย ก็จะถูกงูพิษมันกัดเอาได้ ธรรมะที่มีหลายระดับนั้นมีอะไรบ้าง? ลองมาพิจารณากันดังนี้

    1 ธรรมประโลมโลก
    คือ ธรรมะพื้นๆ ตื้นๆ ที่ไม่ได้ช่วยพัฒนาจิตวิญญาณอะไรได้ เราได้แค่ฟังเพลินๆ กล่อมให้เราเคลิ้มกันไป อย่างแรกต้องเข้าใจก่อนว่าคนเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงนิสัยหรือพฤติกรรมกันได้ง่ายๆ ธรรมะที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงคนได้จริงๆ จึงต้องล้ำลึก เข้าใจถึงจริตวิสัยของสัตว์อย่างแท้จริง ไม่ใช่ธรรมประโลมโลกที่สอนแค่ทำความดีแค่นั้น

    2 ปรัชญาธรรม
    คือ ธรรมะที่แฝงแง่คิด ให้ผู้ฟังต้องคิด ต้องถก ต้องพิจารณา เพราะไม่ใช่การบอกโดยตรงๆ เรียกว่า "ปรัชญา" หรือมี "สัจธรรม" เป็นแก่นแท้ซ่อนอยู่ ทำให้เราไม่อาจเข้าถึงได้ง่ายๆ โดยแค่อ่านหรือฟัง ปรัชญาจึงอาจต้องผ่านการถกเถียง และการพิจารณาโดยแยบคายเสียก่อน จะอาศัยการสรุปเอาแบบลวกๆ เพียงผิวเปลือกนั้นไม่ได้

    3 อุบายธรรม
    คือ ธรรมะที่แฝงด้วยอุบายหลอกล่อ ให้ผู้ได้รับเข้าถึง "สัจธรรม" ได้ด้วยตนเอง อุปมาเหมือนเกลือเค็มอย่างไรต้องชิมเอง อุบายธรรมก็คือ เครื่องหลอกล่อให้บุคคลชิมเกลือเอง โดยไม่ได้บอกโดยตรงว่าเกลือเค็มนั้นเป็นอย่างไร? ซึ่งอุบายธรรมนี้พบได้ทั่วไปในศาสนาต่างๆ ซึ่งล้วนมีอุบายธรรมที่ไม่ใช่แค่ธรรมประโลมโลกแฝงอยู่

    4 ปริศนาธรรม
    คือ ธรรมะที่แฝงด้วยปริศนาให้ขบคิดพิจารณาเพื่อให้เข้าถึงสัจธรรมด้วยตนเอง ซึ่งมักเป็นคำหรือวลีที่มีเงื่อนงำแอบแฝงเป็นปริศนาไว้ให้ขบคิด เช่น คำว่า "ทำพรหมจรรย์ให้สิ้น", "นายช่างผู้ปลูกเรือน", "ความเพียรจม" ฯลฯ คำพูดที่แฝงด้วยปริศนาเหล่านี้ ช่วยทำให้เราพิจารณาจนเข้าถึงสัจธรรมความจริงบางอย่างที่เป็นแก่นแท้อยู่ได้

    5 สัทธรรม
    คือ ธรรมอัศจรรย์ เป็นธรรมะที่มีความอัศจรรย์ในตัวดั่งปาฏิหาริย์ กล่าวแล้วเป็นจริงดังปาฏิหาริย์ หรือทำให้เราเข้าถึงราวปาฏิหาริย์ พิสูจน์ได้จริง เกิดขึ้นจริง ณ ปัจจุบัน พิสูจน์ได้ แต่เป็นไปอย่างไม่น่าเชื่อ เกินจะบรรยาย เช่น ภิกษุป่วยแต่ได้รับธรรมอัศจรรย์ กลับเข้าถึงธรรม บรรลุได้แล้วหายป่วยเป็นปลิดทิ้งอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นต้น

    6 สัจธรรม
    คือ ธรรมะที่เป็นความจริงแก่นแท้ อันไม่อาจอธิบายได้ ไม่อาจบอกกล่าวเป็นสมมุติบัญญัติ ภาษาใดๆ ได้ เนื่องจากอยู่เหนือสมมุติใดๆ แล้ว ผู้ที่จะเข้าถึงได้ต้องเข้าถึงด้วยตนเอง เป็น "ปัจจัตตัง เว ทิตัพโพ วิญญู หิติ" อุปมาเหมือน "แก่น" ที่ซ่อนอยู่ในเปลือก ซึ่งสมมุติบัญญัติ, คำศัพท์, ภาษาทั้งหลาย ก็อุปมาเหมือนเปลือก นั่นเอง

    ดังนี้ ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทในธรรมให้ถึงพร้อมเถิด
     
  6. ไอ้นอกโลก

    ไอ้นอกโลก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    572
    ค่าพลัง:
    +72
    เราผ่านช่วง"บีฑาธรรม"แล้ว:cool:
     
  7. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ~ การเดินทางที่ไร้การเดินทาง ~


    เมื่อจิตของเราได้ดำเนินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุด
    ไม่จมปลัก ไม่ยึดอยู่ ไม่แช่อยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งนั้น

    เราก็ได้เดินทาง ได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุด
    แลแม้ร่างกายของเราไม่อาจขยับเขยื้อนหาใช่ปัญหา

    หากแม้ร่างกายของเราเดินทางไปแสวงหาสิ่งต่างๆ
    แต่ใจของเรายังคงเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

    ย่อมไม่ถือว่าเราได้เดินทางแล้ว แต่อย่างใดเลย
    เราเพียงแค่จมปลักอยู่กับที่ด้วยการท่องไปโดยสังขาร

    หากแม้จิตใจของเราพัฒนา แลก้าวไปข้างหน้าเสมอ
    การเดินทางที่ไร้การเดินทาง พึงได้บังเกิดขึ้นกับเราแล้ว

    เราไม่ต้องแสวงหาเป้าหมาย หรือสิ่งใดด้วยการเดินทาง
    เมื่อ "ทุกๆ จุด" ล้วนเป็นเป้าหมายในตัวของมันเองอยู่แล้ว

    แล "มรรคาที่ไร้มรรคา" นั้น จึงบริบูรณ์ในทุกๆ จุดของมันเอง!
     
  8. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=8m90d2_GFh8"]http://www.youtube.com/watch?v=8m90d2_GFh8[/ame]
     
  9. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ธรรมใดเปลี่ยนแปลงจิตใจเราให้เจริญขึ้นได้ ธรรมนั้นประเสริฐ


    คนเราเปลี่ยนแปลงความคิด, จิตใจ และพฤติกรรมได้ยาก เอาง่ายๆ พ่อแม่สอนให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเอง ยากไหม? หรือเวลาเราสอนลูกของเราให้ปรับพฤติกรรมยากหรือเปล่า? ครูสอนให้ศิษย์เป็นคนดี ไม่เกเร ยากไหม? หรือเวลาครูสอนเราให้ทำตัวให้ดีขึ้นยากหรือไม่? นั่นแหละ คนเราเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ใช่ง่ายๆ ถ้าง่าย ป่านนี้ทุกคนเป็นคนดีหมดโลกแล้ว เพราะต่างก็มีพ่อแม่ ไม่ก็ครูบาอาจารย์สอนให้ทำความดี ละเว้นความชั่วกันทั้งนั้น ถ้ามันง่ายอย่างนั้น คงดีกันหมดทั้งโลกไปแล้ว ทว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่เป็นเช่นนั้น เราจึงเห็นผู้คนมากมาย ทำสิ่งที่ผิด หรือสิ่งที่ไม่ดี แม้ว่าพวกเขาจะมีพ่อแม่สอน มีครูอาจารย์มากมายสอนเขาให้ทำดี ละเว้นความชั่วก็ตาม เราก็ยังเห็นข่าวสิ่งไม่ดี เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน นั่นเพราะ "จริตวิสัยของคนเราสั่งสมมานาน แก้ไขได้ยาก ปรับเปลี่ยนได้ยาก" จึงไม่ใช่จะดีขึ้นมาได้ด้วยเพียงแค่คำสอนพื้นๆ ตื้นๆ ให้ทำความดี ละเว้นความชั่ว ก็หาไม่ เหตุนี้ ธรรมะจึงต้องมีความล้ำลึกบ้าง มีอุบายที่ดีบ้าง เห็นไหม? จะอาศัยธรรมประโลมโลกสอนพื้นๆ ตื้นๆ ง่ายๆ แล้วทุกคนก็เข้าใจเป็นคนดี ไม่ทำชั่ว หมดโลก นั้นคงประมาทในธรรมแล้ว และ "คงเป็นไปไม่ได้"

    ดังนั้น จะกล่าวว่า "ไม่ต้องอะไรมาก ธรรมะพื้นๆ ทำดี ละเว้นชั่วก็พอแล้ว" คงไม่ได้ ถ้าได้จริง โลกนี้ก็ดีหมดทุกคนไปนานแล้ว เพราะคำสอนแบบนี้ มีอยู่เกลื่อนกลาดทั่วไป ยิ่งกว่าขยะที่เกลื่อนพื้นเสียอีก และเพราะมันเป็นไปไม่ได้ จึงต้องมี "พระพุทธเจ้า" ที่บำเพ็ญมายาวนาน มาโปรดสัตว์ และตรัสรู้ธรรมอันล้ำลึกที่ผู้อื่นไม่อาจเข้าถึงได้มาก่อน และเพราะเหตุนี้ พวกเราทั้งหลายจึงไม่อาจคิดสั้นๆ ด่วนได้แค่ฟังธรรมะนิดหน่อยเอาแล้วสรุปว่าเราเป็นคนดีแล้ว เพราะเราทำกรรมสั่งสมเป็นวิสัยมายาวนานหลายชาติภพ จะบอกตรงๆ ง่ายๆ มีเหตุผลแล้วใครเขาจะฟังเรา เปลี่ยนแปลงตัวเองเพราะเราบอกแค่นี้ เป็นไปไม่ได้ดอก ธรรมะนั้นต้องมีอุบาย มีความอัศจรรย์ หรือต้องมีปรัชญาอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่เหมาะสมกับจริตวิสัยของปวงสัตว์จึงจะเปลี่ยนแปลงจิตใจ ยกระดับจิตใจของใครได้ ไม่ใช่ธรรมะพื้นๆ ที่มีแต่เปลือกๆ มานั่งอ่าน นั่งฟังกันแบบลูบๆ คลำๆ เปลือกนอกแล้วจะ "เป็นอรหันต์ อรหอยกันแล้ว" หรือ "เป็นพุทธะ พุทธเทอะเลอะ" กันแล้วก็หาไม่ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงเกิดยาก เพราะท่านสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงจิตใจคนได้จริงๆ ยกระดับจิตใจคนได้จริงๆ ทำให้เราดีขึ้นได้ ชีวิตของเราเจริญขึ้นได้จริงๆ นอกนั้น ก็เป็นแค่ธรรมะบ้องตื้น ของคนที่ไม่ได้ตรัสรู้จริง แต่อาศัยสมองคิด พล่ามไป สอนไป ทำความดีอย่างนั้น อย่าทำชั่วอย่างนี้ ทว่า ไม่อาจเปลี่ยนแปลงใครให้ดีขึ้นได้เลย ธรรมะพื้นๆ ตื้นๆ แบบนี้ใครก็พูดได้ครับ

    ทว่า ธรรมอัศจรรย์ของพระพุทธเจ้านั้น ผู้มีบุญวาสนาเท่านั้นจะได้พบ!
     
  10. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ธรรมอัศจรรย์ เปลี่ยนแปลงชีวิตและยกระดับจิตวิญญาณได้จริง!


    ในบรรดาธรรมทั้งหลายของพระพุทธองค์นั้น แต่ละธรรมล้วนมีคุณแตกต่างกันไป และมีแก่นแท้แห่งธรรม คือ "สัจธรรม" หนึ่งเดียวกันทั้งสิ้น ไม่มีว่าธรรมใดดีกว่าธรรมใด หรือธรรมใดผิด ธรรมใดถูก ไม่มีว่าหากไม่มีธรรมนี้แล้วธรรมอื่นใช้ไม่ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจริตของผู้ฟัง เช่น ปัญจวัคคีทั้งห้า อาจเหมาะสมที่จะบรรลุเมื่อฟังธัมมจักกัปปวัตนสูตร ในขณะที่พระสาวกรูปอื่นอาจได้ฟังพระธรรมหมวดอื่นอันต่างกันออกไป ที่เป็นเช่นนี้ มิใช่เพราะธรรมใดดีกว่าธรรมใดหรือถูกกว่าธรรมใด แต่เป็นเพราะ "จริตของผู้ฟัง" มีความแตกต่างกันไปเท่านั้นเอง เราไม่สามารถกล่าวได้ว่าทุกคนมาฟังเรากล่าวธรรมะข้อเดียวกันแล้วจะบรรลุธรรมได้ทั้งหมดในโลกนี้ไม่มียาใดเป็นยาครอบจักรวาลเช่นนั้น แต่เมื่อใดที่บุคคลหนึ่งบุคคลใด บรรลุด้วยธรรมใด ธรรมหนึ่ง อุปมาเหมือน ดวงจันทร์สว่างไสวขึ้นแล้ว ก็จะส่องสว่างไปทั่วทั้งท้องฟ้า เพื่อยังประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย แม้ว่าสัตว์เหล่านั้นจะไม่บรรลุธรรมข้อเดียวกันนั้นก็ตาม แต่ก็ยังอาศัยธรรมนั้นเป็นบุญวาสนา เป็นบุญสัมพันธ์เกื้อกูลหนุนกัน เรียกว่า "มหายาน"

    ดังนั้น ผู้โปรดสัตว์ในมรรควิถีแห่งมหายาน จึงต้อง "บรรลุธรรม" ข้อหนึ่งข้อใดก่อน แล้วจึงใช้ธรรมที่บรรลุแล้วนั้น สว่างไสวแล้วนั้นเพื่อโปรดสัตว์ทั้งหลายสืบไปแม้สัตว์ทั้งหลายไม่อาจบรรลุธรรมตามตนได้ ก็ยังได้บุญวาสนาเกื้อกูลให้หลุดพ้นบ้างระดับหนึ่ง ที่เรียกว่า "วิถีมหายาน" แต่หากมุ่งหวังให้เกิดการบรรลุธรรมแล้ว ก็อาจมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะบรรลุได้ อุปมาเหมือนยอดพีรามิดนั้น หากเลือกจะโปรดสัตว์เช่นนี้ก็เรียกว่า "หีนยาน" เท่านั้นเอง และธรรมในสัทธรรมปุณฑริกสูตรเอง จะมีผู้บรรลุเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ในยุคกึ่งกลางพุทธกาลนี้ เนื่องจากเป็นปริศนาธรรมที่พระพุทธองค์ทรงให้ไว้แต่ครั้งก่อนปรินิพพานเพียง 8 ปี แต่ยังไม่มีผู้ใดที่ได้สดับแล้วบรรลุได้ เมื่อถึงกึ่งกลางพุทธกาลจะมีผู้มีบุญวาสนาบรรลุในธรรมข้อนี้ แล้วจึงใช้ธรรมนี้ในการโปรดสัตว์แบบ "มหายาน" ต่อไป เมื่อนั้นจะพึงบังเกิดความอัศจรรย์ต่างๆ ขึ้นมากมาย ผู้คนทั้งหลายต่างมีฤทธิ์เดช จนเรียกได้ว่ายุคอภิญญาสาธารณะเลยทีเดียว ทว่าอภิญญาทั้งหมดนั้น ไม่มีอภิญญาใดเกินกว่า "สัทธรรมปุณฑริกสูตร" เลย ด้วยเป็นอภิญญาที่นำไปสู่ธรรมอย่างน่าอัศจรรย์ได้ นั่นเอง และธรรมนี้ก็จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนให้เจริญขึ้นได้ทั้งทางโลกและทางธรรม เปลี่ยนแปลงจิตใจของผู้คนให้ยกระดับสูงขึ้นได้ อย่างแท้จริงด้วย มิใช่ธรรมประโลมโลกที่ฟังแล้วมีจิตใจ-ทำตนเช่นเดิม

    แลเฉพาะผู้มีบุญวาสนาเท่านั้น ที่จะได้รับธรรมอัศจรรย์เหล่านั้นได้!
     
  11. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    แสดงได้ดีๆๆๆๆ ท่านดอกไม้เย็น....เอ...เฉพาะผู้ที่มีบุญวาสนา...หรือผู้มีกรรมหนักกันแน่นะ..ที่สมควรโดน..บีฑาธรรม กระหน่ำมันซะ ...ธรรมใดใครก่อ ธรรมนั้นตอบสนอง..สมควรๆๆๆๆ

    ก็แสดงว่า หลังกึ่งพุทธกาลต่อแต่นี้ ก็นอนรอ ...เวลา ที่จะมาถึง ก็พอสินะ...เพราะ ธรรมอันพิสดารปาฏิหารย์ ย่อม กระจายทั่วถึงทุกตัวคน ทุกธรรม ทุกกรรม...กระหน่ำมันซะ...อิอิ

    เจ๋งโคตรๆ หมายเลข5
     
  12. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ถ้าจะใช้ คำอธิบายที่ชัดเจน ก็ต้องคำนี้เลย...แต่ก่อน ใช้คำว่า..ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา..แต่คนทุกวันนี้ มันหนา มันมึน มันด้าน ตายก็ไม่กลัว ....มันต้องใช้คำนี้ เลย..

    ไม่เจอนรก ไม่หลั่งน้ำตา
    ไม่เจอนรก ไม่หลั่งน้ำตา
    ไม่เจอนรก ไม่หลั่งน้ำตา

    ถึงหลั่งน้ำตา นรกก็ไม่จบง่ายๆ..จนกว่ามันจะสำนึก..จะไม่ให้มันตายง่ายๆ..แต่จะกระหน่ำ จนกว่ามันจะสำนึกและยินยอมพร้อมใจ
     
  13. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ใครเล่าจะเจริญ ตามรอยพระศาสดา...ท่านดอกไม้เย็น ก็จัดการเองเลยสิ ไม่ง่ายกว่าเหรออออออ เหอออ อิอิ
     
  14. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    อีกอย่าง หน้าที่ที่ท่านดอกไม้เย็นต้องกระทำ ก็คือ...แจกบุญวาสนา ให่ครบทุกคน ทุกสรรพสัตว์กันไปเลย...จะได้ฟังธรรมอัศจรรย์กันได้ทั่วหน้า...จัดการเลยนะ อย่าชักช้า ลีลา..ให้เสียอารมณ์ปอง....อิอิ
     
  15. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ท่านเทพธรรมบาลดอกไม้เย็น..คริๆ...ชื่อเท่มวกๆๆ
    อนาคตเป็นพระศรีอารยะ แน่ชัวร์...ยกหมายเลข 5 ให้ท่านเลยนะ...อิอิ

    อย่าอู้งานล่ะ ให้ว่องๆๆๆๆๆๆ ผู้ทุกข์ทนทั้งหลาย เขารอเพิ่มการทุกข์ทนเพื่อที่จะได้ทนทุกข์ ที่ยิ่งๆขึ้นไป จากท่าน เทพธรรมบาลดอกไม้เย็นอยู่...อิอิ
    ขอหนับหนุนนะฮะ อยู่เนืองๆ
     
  16. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ขอท่านเทพธรรมบาลศรีอารยะเมตตาดอกไม้เย็น หมายเลข 5 จงเจริญๆๆๆๆๆ
     
  17. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    รอเวลามาถึงซึ่งวันนั้น
    วันที่เธอกับฉันเสมอเหมือน
    อยู่ด้วยกันฉันท์มิตรในครัวเรือน
    เป็นทั้งเพื่อนพี่น้อง ครองสุข ทุกคนเอย....ศรีอารยะ จงเจริญๆๆๆๆๆ
     
  18. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    อิอิ เล้งฮู้ชง ภาคพิสดาร..ดอกบัวแสงเย้ยยุทธจักรวาล
    พลังหยินหยางขั้นไร้ขอบเขต แสงสว่างกว่าดวงอาทิตย์อุทัย
    เฉิดฉันท์ไฉไล อยู่มุมใดในจักรวาลก็มองเห็นได้

    ศรีๆมื้อนี้เป็นมื้อสรรค์วันดี....
     
  19. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    .
    เขียน ๑๙.๑๕

    เฮ้อ..ไอ้ตัวป่วนกระทู้มันกลับมาอีกแระ ตูล่ะเบื่อออ
    หายไปตั้งนาน นึกว่าไปเกิดใหม่ซะแร้วสิ เฮ้อ...


    สมาชิกแก๊งค์นาฬิเกร์ / นายกองกัซ

    .
     
  20. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    วจีกรรมใดใครก่อ..วจีกรรมนั้น ตอบสนอง อย่างสาสม..อิอิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...