เมื่อพระยามัจจุราชมาทวงชีวิตข้าพเจ้า

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย tjs, 14 มิถุนายน 2013.

  1. ros

    ros เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +218
    สวัสดีค่ะคุณTJSไม่ได้เข้ามาเสียนานแต่ก็อ่านกระทู้ของคุณทุกวัน เพื่อศึกษาเรียนรู้นำไปประกอบกับการปฎิบัติของตัวเอง และก็เลยเรียนรู้ไปยังกระทู้ต่างๆ แต่ก็ไม่สมารถจะนำมาปฏิบัติแบบท่านเหล่านั้นได้ จึงได้คิดแบบใหม่ที่เหมาะกับตัวเองขึ้นมาไม่ยินดียินร้ายกับการที่เห็นหรือไม่เห็นอะไร ขอให้สวดแล้วใจนิ่งไม่วอกแวกสัดส่ายก็เอาแล้ว ทุกวันนี้สวดมนต์โดยไม่รับรู้กำหนดลมหายใจ รู้แต่สวดตามตัวอักษรบทสวดมนต์ไปเรื่อยๆ กว่าจะจบก็ประมาณ 1 ชั่วโมง รู้สึกว่าไม่มีอาการจุกที่ลิ้นปี หรืออึดอัด และไม่เหนื่อย แต่ก็ไม่เห็นนิมิตอะไร แต่ก็แปลกใจว่าดิฉันสวดมต์ประมาณ 1 ชั่วโมงโดยไม่กำหนดลมหายใจและไปหายใจตอนไหนคะ ถ้าเราไม่หายใจเป็นเวลานาน มันก็น่าจะเหนื่อยหรือเกิดความอึดอัด ขอคุณช่วยแนะนำด้วยนะคะว่าถูกหรือผิดควรจะปรับปรุงอย่างไร ตอนนี้ดิฉันมีความรู้สึกว่าจิตของดิฉันนิ่งกว่าเมื่อก่อนมาก ถึงแม้ว่าทั้งครอบครัวและเศรษฐกิจจะยังไม่ลงตัว แต่ก็ไม่เคยจะทอดทิ้งการสวดมนต์ภาวนาเลยค่ะ ขอช่วยแนะนำด้วยนะคะ สาธุๆอนุโทมทนา
     
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    วิถีทางแห่งพุทธะ คือทางสายกลาง

    ทางสายกลางคือ มรรค8 คือ ทางแห่งความเข้าใจรู้แจ้งในสรรพสิ่ง ไม่ตึงหรือหย่อน แต่เป็นหนทางที่ตนรู้จักการวางกำลังใจประคองจิตของตนให้อยู่ท่ามกลางกระแสแห่งกรรม กระแสแห่งโลกธรรม กระแสแห่งมายาของโลก กระแสแห่งอาสวะกิเลส ได้อย่างไม่แปดเปื้อนยึดครองถือมั่น

    ทางสายกลางจึงหมายถึง ความเป็นผู้รู้เท่าทัน และประคองจิตให้เดินไปอย่างพอดีเข้าใจรู้ทันกระแสของโลก ไม่ขวางโลกและขวางธรรม เป็นพุทธะจิต ที่อยู่ได้ในทุกที่อย่างสงบสุขสันโดด มีความว่างแห่งปัญญาเป็นเครื่องรักษาจิต

    สรรพสิ่ง เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป จิตยอมรับเข้าใจรู้แจ้งไม่ฝืนรั้นครอบครองยึดมั่น
    ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่ยึดมั่นปล่อยวางลงเสีย รักษาจิตด้วยวิมุตติคือความว่างแห่งปัญญาคือหัวใจพุทธะ โดยแท้จริง
    สรุปลงที่ยอดพระกัณฑ์ กล่าวไว้คือ

    นะโมพุทธายะ มะอะอุ ทุกขังอนิจจังอนัตตา ยาวะตัสสะหาโย นะโม อุอะมะ ทุกขังอนิจจังอนัตตา อุอะมะอาวันทา นะโมพุทธายะ นะอะกะ ตินิสสระณะ อาระปะขุทัง มะอะอุ ทุกขังอนิจจังอนัตตา

    สาธุครับ
     
  3. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    วิธีการพัตนาทางสมาธิฌาณเพื่อยกกำลังไปสู่อรูปาวัจระหรืออรูปฌาณภูมิ

    วิธีการคือ
    การจะก้าวหน้าทางสมาธิฌาณ ให้วางอารมณ์ของจิตด้วยอุเบกขา คือความปล่อยวาง รวมลงที่จิตว่าง เมื่อจิตว่าง เหลือเพียงเอกคตาจิต ตัดนิวรณ วิตกวิจารย์ ตัดเวทนา ตัดปิติ ตัดละสุขทุกข์ ลงได้หมด ตัดสัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ปรุงแต่งได้หมด ตัดที่ว่าคือ รู้เห็นมันวิ่งเข้ามาในจิตในอารมณ์ก็สักแต่ว่ารู้แต่ให้ประคองจิตไปแบบสักแต่ว่ารู้ปล่อยวาง ตัดเวทนาทั้งหยาบ ปานกลางละเอียดลงให้ได้ จิตตั้งอยู่ภายในด้วยอุเบกขา เป็นกลางปล่อยวางอยู่ภายในไม่รับรู้สภาวะทางกาย เหลือเพียงการรับรู้ภายในแต่ไม่รับเอามาปรุงแต่ใดๆต่อ มันมีปรุงแต่งเกิดดับเป็นธรรมดามันก็เรื่องของมัน รักษาจิตไว้ด้วยอุเบกขาด้วยปัญญาที่เรารู้ทันมัน

    เมื่ออุเบกขาทำได้อย่างชำนาญย่อมก้าวผ่านจากรูปฌาณ ไปสู่อรูปฌาณ เมื่อจิตก้าวสู่อรูปฌาณถึงฌาณ8 ย่อมสำเร็จ สังขารุเปกขาญาณ สำเร็จสมาบัติ8 เป็นอภิญญาโลกียะก่อนจะก้าวข้ามไปสู่อภิญญาโลกุตระในแบบของพระอรหันต์และพระพุทธเจ้าคือ อภิญญาญาณทศลพญาณ มีอาสวักขยญาณเป็นประธานกำกับ

    ขอให้ค่อยๆฝึกและทำต่อไป ฌาณใช้การเพ่งก็จริง แต่วิธีการเพ่งหรือกำหนดจิตแน่วแน่มีวิธีการหลากหลายแบบ ในขั้นสูงของอรูปฌาณ อ่อนโยนเบาสบายแต่ทรงพลังแน่วแน่นิ่งอยู่ภายในครับ เกิดที่จิตภายใน ไม่ใช่เกิดที่กาย เมื่อจิตภายในมีกำลังแล้ว ย่อมสามารถเคลื่อนย้ายให้เกิดที่กายหรือภายนอกได้ครับ สาธุ
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,376
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    #‎รายชื่อเจ้าภาพ‬ "ผาติกรรมพระพุทธรูป"
    หน้าตัก ๔ ศอก ถวายงานกฐิน วัดท่าซุง ปี ๒๕๕๙
    ทางคณะ ‪#‎จิตเกาะพระ‬ อันดับที่ ๔๙
    (จองเจ้าภาพล่วงหน้าไว้แล้ว)
    เจ้าภาพ องค์ละ 100,000.00 บาท
    ใครจะทำคนเดียวหรือทำร่วมกันเป็นหมู่คณะก็ตามใจ
    หรือจะขอร่วมทำบุญกับผม หรือทางคณะ #จิตเกาะพระ
    ขอเชิญทำบุญล่วงหน้าได้ที่ ..

    Poowadol Witawattawichakorn
    927-238861-0 ธ.ไทยพาณิชย์

    บัญชีนี้ เปิดเพื่อทำบุญสร้างสมเด็จองค์ปฐมโดยเฉพาะ
    ขอโมทนาบุญล่วงหน้าทุกๆท่านด้วยครับ
    (บอกบุญวันพระพอดีเลย)
    โมทนาสาธุ
    ภูทยานฌาน

    .........
    ขออภัยที่ขัดจังหวะ ค่ะ แวะมาบอกบุญค่ะ
    http://palungjit.org/threads/จิตพร้อม-รับภัยพิบัติ.334019/page-835
     
  5. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ================

    สาธุครับ
     
  6. phom999

    phom999 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2016
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +4
    สาธุ โมทนาบุญครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มกราคม 2017
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    นิพพาน มีอยู่แล้วในจิตของพวกเราทั้งหลายทุกดวงจิต

    แต่จะมีสักกี่คนที่จะทำดวงจิตของตนให้แจ้งในนิพพานที่มี

    จะมีสักกี่คนที่รู้แจ้งในนิพานแห่งจิตตน

    จะมีสักกี่คนที่หลุดพ้นจากทุกข์ด้วยนิพพานที่จิตตนเข้าถึงแล้ว ทำให้หลุดพ้นได้แล้วโดยสิ้นเชิง


    จะมีสักกี่คนที่มีดวงตาเห็นแล้วคือแสงสว่างแห่งนิพพานในจิตตน ไม่จำเป็นต้องไปเห็นนิพพานจากที่อื่น

    จะมีสักกี่คนที่เข้าถึงแล้วในแสงสว่างแห่งนิพพานในจิตตน และหลุดพ้นแล้ว สามารถนำจิตตนเข้าสู่นิพพานได้จริง ครับ สาธุ
     
  8. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    พระพุทธเจ้า ทั้งหลาย พระอริยะเจ้าทั้งหลาย พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย

    ล้วนมีสติปัญญาขั้นสูง ในการช่วยเหลือคนบาป

    คนบาป คนชั่วก็คือคน เมื่อเขาทำบาป กับพระ พระผู้ประเสริฐย่อมมีวิธีการพลิกแพลงสถานการณ์ใหม่ คือการช่วยเหลือเขาเพื่อไม่ให้เขาทำบาป และเมื่อได้โอกาสสบเหมาะก็จะต้องช่วยเหลือให้สติปัญญาแก่เขา เพื่อให้เขาหลุดพ้นจากบาป ไปสู่ความดี แม้ว่าเรื่องเหล่านี้จะเป็นเรื่องยาก แต่มันคือหน้าที่อย่างหนึ่ง ที่ต้องทำ

    จงคิดและทำอย่างผู้ประเสริฐ หากเราคิดแค่เพียงการซ้ำเติมทำร้ายคนบาป ก็ไม่ต่างอะไรก็การลงโทษ แบบซ้ำเติมเขา เพื่อประโยชน์อะไรกัน

    ยกเว้นคนบาปผู้มีดวงตามืดบอดและมีกรรมดำหนุนส่งเต็มกำลัง หากเป็นเช่นนี้ ก็คงทำได้เพียงการปล่อยวางด้วยอุเบกขาธรรมก็เท่านั้นเอง

    ขอทุกท่านจงไม่ประมาทในการทำบาปกรรมที่ตนจะพึงกระทำ และบาปกรรมที่ผู้อื่นได้กระทำให้บังเกิดแก่ตน เพื่อความสำรวมระวังบาปกรรมที่จะเกิดกับตนและผู้อื่นครับ สาธุ
     
  9. kjr

    kjr สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    เป็นสมาชิกใหม่ ชอบอ่านบทความของคุณก้องมาก รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง อ่านแล้วติดค่ะ ธรรมะของคุณไม่ธรรมดาจริงๆค่ะ
     
  10. kjr

    kjr สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    เป็นสมาชิกใหม่ค่ะ ทำอย่างไรถึงจะ PM หาคุณก้องได้ค่ะ มือใหม่จริงๆค่ะ แต่อ่านมานานแล้วค่ะ ชอบธรรมะที่คุณก้องพิมพ์ในกระทู้ค่ะ ไม่ธรรมดาจริงๆ
     
  11. kjr

    kjr สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    ทำอยางไรจะติดต่อคุณtjs ได้ค่ะข้อความก็ไม่ขึ้น และpmต้องทำอย่างไรค่ะ มือใหม่มากๆถ้าจะรบกวน โทรกลับได้ไหมค่ะ 097 135 5526 ขอบพระคุณมากๆๆค่ะ
     
  12. kjr

    kjr สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
  13. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ไปจนถึงวันที่24 สิงหาคม ผมติดภาระงานหลายอย่าง

    จึงแจ้งมาเพื่อทราบและขออภัยในบางPMที่ยังไม่ได้ตอบให้ครับ

    ทั้งนี้หลังจากที่ผมเสร็จภาระกิจต่างๆหรืองานเบาลงแล้วหลังจากวันที่ 25เป็นต้นไปก็จะทะยอย

    ตอบให้ทุกท่านครับ

    ขออภัยด้วยครับ

    โอกาสนี้ขอทำความเข้าใจเรื่อง กรอบแห่งความคิด กรอบแห่งสติและปัญญา

    อธิบายว่า อวิชชาที่ตีกรอบครอบงำเรามาช้านาน ย่อมครอบงำเราตีกรอบความคิดเรา ตีกรอบจิตใจเรามาช้านาน

    การฝึกอบรมจิต จึงต้องพยายามอยากมากในการเข้าไปทำลายกรอบ หรือหลุดออกจากกรอบของความคิด มุมมองในแบบเดิมๆเช่นนั้น แต่เมื่อใดที่เราฝึกอบรมจิตจนมีกำลังสติปํญญามากพอ เราจะเริ่มมองเห็นกรอบ มองเห็นความจริงมากมาย เราเริ่มมองเห็นความจริงของชีวิตทุกแง่มุม ไม่ใช่แค่มุมของเรากรอบเขาเราหรือของใคร

    เมื่อนั้น เราย่อมใช้กำลังของสติปัญญายกกายใจให้สูงขึ้นหลุดพ้นจากกรอบแห่งอวิชาได้สำเร็จ

    แม้ในทางโลก ก็เช่นกัน กรอบแห่งกติกา เงื่อนไขแห่งโลกมายา เป็นเครื่องผูกมัดปิดกั้นทางออก ทางเลือกที่ดีกว่าเอาไว้ อย่าคิดและมองอะไรแค่ด้านเดียว จงมองให้รอบด้าน มองให้เห็นโอกาสแห่งความดีความสุขหรือการพัตนาปรับปรุงให้ดียิ่งๆขึ้นไป เพราะไม่ว่าอะไรจะดีหรือชะชั่ว ในอีกด้านหรือหลายๆด้านของมัน ก็ย่อมมีทั้งชั่วและดีเสมอ อยู่ที่สภาวะปัจจัยประกอบทั้งสิ้น

    อย่างเช่น เมื่อสภาพความจริงคือฝนตกหนักน้ำท่วม สร้างปัญหาให้เรามากมาย นี้คือมุมที่เราประสพโดยตรงชัดเจน แต่ในอีกหลายๆมุม กลับมองเห็นข้อดีหลายอย่าง แต่มันอาจจะเป็นได้ทั้งข้อดีของเราเองหรือขอคนอื่นสิ่งๆอื่นรอบด้าน ที่ส่งผลดีเมื่อมีฝนตกมากๆ อยู่ที่วิธีคิดและมุมมองหรือการเลือกตีกรอบความคิดของตนเองด้วยกรอบกติกาที่ดีใหม่ๆ ให้กับชีวิตตนเอง

    ขอทุกท่านจงมีความสุข และไม่ประมาทในสุข ขอทุกท่านจงอดทนต่อสู้กับทุกข์ และฝ่าฟันผ่านมันไปให้ได้ ด้วยสติและปัญญาครับ สาธุ
     
  14. น้ำเกลี้ยง

    น้ำเกลี้ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +505
    สาธุครับพี่ก้อง
     
  15. kjr

    kjr สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    จะติดต่อทาง pm คุณก้องต้องทำอย่างไร มือใหม่มากๆๆๆๆค่ะ
     
  16. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    การปฏิบัติธรรม ทำไปเพื่อรู้แจ้งในความจริงทั้งปวง นำไปสู่ความหลุดพ้นทุกข์ รู้แจ้งทุกข์ที่เกิดดับ

    การเข้าไปรู้ความจริง อาจกล่าวได้ว่า ความจริงนั้นมีสองส่วนคือ

    1 ความจริงแห่งสมมุติบัญญัติ
    2 ความจริงแห่งวิมุตติบัญญัติ

    ความจริงที่ควรรู้ทั้งสองข้อคือความจริงที่ทุกท่านต้องรู้ให้จริงให้ได้แจ่มแจ้งชัดจิง
    1 ความจริงแห่งสมมุติบัญญัติ เพื่อความรู้แจ้งโลกธรรม เพื่อความรู้แจ้งในมายาแห่งชีวิตที่ท่านต้องดำเนินร่วมกันไปกับสังคมอย่างประสพสุข ไม่ติดอยู่ในมายาแห่งโลก เข้าใจรู้ทันอยู่ร่วมไปกับมันอย่างมีความสุข

    2 ความจริงแห่งวิมุตติบัญญัติคือความรู้แจ้งในธรรมวิมุตติหรือโลกุตระธรรม เป็นความรู้จริงที่แจ้งชัดเพื่อทำลายอาสวะกิเลส อวิชา เครื่องปรุงแต่งหลุดพ้นทุกข์ หลุดพ้นจากกรรมจากการเวียนว่ายตายเกิด หลุดพ้นจากโลกียะสภาวะ เป็นสภาพที่สว่างสะอาดสงบแห่งโลกุตระจะไม่หวนกลับมาแปดเปื้อนอาสวะกิเลสอีกต่อไป หรือกล่าวได้ว่า เป็นความรู้จริงที่รู้แจ้งชัดหลุดเหนือสมมุติบัญญัติ นั่นเองครับ สาธุ
     
  17. หยุย

    หยุย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +350
    สวัสดีครับ พี่ก้อง
    ผมขอเรียนถามพี่ก้องด้วยครับ
    1. ลูกชายฝาแฝดของผม เขาทำกรรมอะไรมาครับ จึงเกิดมาพิการ แล้วผมมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรกับกรรมนั้น ทำให้ผมต้องมาดูแลเขา
    2. ผมมีเทพพรหม ครูบาอาจาร์ยท่านใด ที่ดูแลผมบ้างครับ
    3. โดยรวมผมปราถนาอะไรบ้างครับ ในอดีตชาติ
    4. ขอพี่ก้องช่วยแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติให้ผมด้วยนะครับ
    ขอบพระคุณ พี่ก้องมากนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มกราคม 2017
  18. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    หนี้กรรม ที่ไม่มีวันที่เราจะใช้คืนได้หมด

    หนี้กรรมที่ว่าคือ หนี้กรรมจาก คุณพ่อคุณแม่ ที่ท่านมีความดีต่อเรามากมายนับไม่ถ้วน

    การตอบแทนคุณ ของคุณพ่อคุณแม่ หรือความกตัญญุ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเป็นหน้าที่หลักอย่างหนึ่งที่ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้

    การมีชีวิตอยู่และดำเนินไปของเรา ได้ทุกวันนี้เพราะคุณแห่งบิดามารดา
    เราจึงไม่ควรลืม และพึงตระหนักให้มาก

    สรรพสัตว์ล้วนต้องเกื้อกูลพึ่งพาอาศัยกันเสมอ ล้วนมีความเกี่ยวโยงด้วยกรรม มีกรรมสัมพันธ์เสมอ ทั้งบาปและบุญสัมพันธ์

    การรู้คุณบิดามารดาแล้วหมั่นตอบแทนคุณ ผู้ที่มั่นคงในความดีข้อนี้ ผลแห่งความดีข้อนี้มีผลยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณ ชีวิตของท่านจะประสพความสุขความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต จะผ่านพ้นอุปสรรคไม่ดีทั้งหลายไปได้ และเมื่อตายไป จะได้ไปเสวยทิพยสมบัติ ในทิพยวิมาน

    ความดีแห่งความตัญญุกตเวทีนี้ คือความดีข้อหนึ่งของบัณฑิตที่พึงมีไม่บกพร่องครับ สาธุ
     
  19. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เรื่องการทำทาน

    ผมเป็นคนแปลก คือวัดในเมืองหรือวัดที่เจริญแล้วหรือวัดที่ดังๆมีพระเกจิดังๆ หรือวัดใหญ่ๆ ผมไปทำบุญบ้าง คือไปได้ทุกวัด แต่การทำบุญผมจะไม่ค่อยทำเยอะ ก็ทำพอประมาณ ก็คือทำเพราะสืบทอดพระศาสนา

    แต่ส่วนลึกในจิตใจมุ่งตรงตั้งใจทำทานสร้างบารมีให้กับวัดชนบทหรือที่กันดารขาดแคลน แม้วัดเล็กๆเหล่านั้น จะไม่เด่นดัง หรือมีพระเกจิดังๆเก่งๆ แต่ที่อยากทำบุญทานกับวัดเล็กๆเหล่านี้เพราะ
    ผมเห็นในความขัดสนที่มีอยู่มาก และยังขาดปัจจัยสำคัญอีกมาก
    เพื่อให้พระท่านได้มีปัจจัยที่สมควรแก่การประพฤติพรหมจรรย์ ก็เท่านั้นเอง

    การสร้างบุญด้วยทาน จึงมีความอิ่มตัว ด้วยประสพการณ์และจิตที่สั่งสมมา ย่อมเข้าใจแก่นแท้แห่งการทำบุญทาน คือจิตที่เสียสละเพื่อการให้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น แก่สังคม แก่ชาติ แก่พระศาสนา ทำลายสิ้นอัตตาคือตัวตนของเรา พรหมวิหารเกิดเต็มกำลัง มีอุเบกขาเป็นประธาน งานบุญทานทั้งหลายจึงทำด้วยสติปัญญา อย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่รีบเร่ง เพราะว่าไปแล้วมันก็เป็นหน้าที่ เป็นบารมี คือทานบารมีอย่างหนึ่งในทศบารมี

    ดังนั้น การทำบุญทานใดๆ แท้จริงแล้ว คือต้องเข้าใจแก่นแท้แห่งบุญทาน คือจิตใจของเราที่เข้าถึงอย่างแท้จริง จึงได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธผู้มีสติปัญญาแบบพุทธจริงๆครับ สาธุ
     
  20. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    วันนี้วันเสาร์ ขอกล่าวถึงความต่อเนื่องของอภิญญา

    อภิญญาญาณ โลกียะ
    1 อตีตังคสญาณ ญาณหยังรู้อดีต ของตนเอง และของสัตว์อื่น
    2 อนาคตังคสญาณ ญาณหยั่างรู้อนาคต ของตนเองและของสัตว์อื่น
    3 ปัจจุปันนังคสญาณ ญาณหยั่งรู้ปัจจุบัน ของตนเองและผู้อื่นในเวลาปัจจุบัน
    4 ทิพยโสตญาณ หูทิพย์ การได้ยินเสียงทิพย์
    5 ทิพยจักษุญาณ ตาทิพย์
    6 บุเพพสันนิวาสญาณ ญาณหยั่งรู้บุพชาติระลึกชาติกรรมของตนและสัตว์อื่น
    7 ฐานาฐานญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ฐานะและอฐานะ คือ รู้กฏธรรมชาติเกี่ยวกับขอบเขตและขีดขั้นของสิ่งทั้งหลายว่า อะไรเป็นไปได้ อะไรเป็นไปไม่ได้ และแค่ไหนเพียงไร โดยเฉพาะในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล และกฎเกณฑ์ทางจริยธรรมเกี่ยวกับสมรรถวิสัยของบุคคล ซึ่งจะได้รับผลกรรมที่ดีและชั่วต่างๆ กัน
    8. กรรมวิปากญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ผลของกรรม คือ สามารถกำหนดแยกการให้ผลอย่างสลับซับซ้อน ระหว่างกรรมดีกับกรรมชั่ว ที่สัมพันธ์กับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ มองเห็นรายละเอียดและความสัมพันธ์ภายในกระบวนการก่อผลของกรรมอย่างชัดเจน
    9. สัพพัตถคามินีปฏิปทาญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ข้อปฏิบัติที่จะนำไปสู่คติทั้งปวง คือ สุคติ ทุคติ หรือพ้นจากคติ หรือปรีชาหยั่งรู้ข้อปฏิบัติที่จะนำไปสู่อรรถประโยชน์ทั้งปวง กล่าวคือ ทิฏฐธัมมิกัตถะ สัมปรายิกัตถะ หรือ ปรมัตถะ คือรู้ว่าเมื่อปรารถนาจะเข้าถึงคติหรือประโยชน์ใด จะต้องทำอะไรบ้าง มีรายละเอียดวิธีปฏิบัติอย่างไร
    10 นานาธาตุญาณ (ปรีชาหยั่งรู้สภาวะของโลกอันประกอบด้วยธาตุต่างๆ เป็นเอนก คือ รู้สภาวะของธรรมชาติ ทั้งฝ่ายอุปาทินนกสังขารและฝ่ายอนุปาทินนกสังขาร เช่น รู้จักส่วนประกอบต่างๆ ของชีวิต สภาวะของส่วนประกอบเหล่านั้น พร้อมทั้งลักษณะและหน้าที่ของมันแต่ละอย่าง อาทิการปฏิบัติหน้าที่ของขันธ์ อายตนะ และธาตุต่างๆ ในกระบวนการรับรู้ เป็นต้น และรู้เหตุแห่งความแตกต่างกันของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น
    11. นานาธิมุตติกญาณ (ปรีชาหยั่งรู้อธิมุติ คือ รู้อัธยาศัย ความโน้มเอียง ความเชื่อถือ แนวความสนใจ เป็นต้น ของสัตว์ทั้งหลายที่เป็นไปต่างๆ กัน
    12. อินทริยปโรปริยัตตญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย คือ รู้ว่าสัตว์นั้นๆ มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา แค่ไหน เพียงใด มีกิเลสมาก กิเลสน้อย มีอินทรีย์อ่อน หรือแก่กล้า สอนง่ายหรือสอนยาก มีความพร้อมที่จะตรัสรู้หรือไม่
    13. ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ความเศร้าหมอง ความผ่องแผ่ว การออกแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิและสมาบัติทั้งหลาย
    14. จุตูปปาตญาณ (ปรีชาหยั่งรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายอันเป็นไปตามกรรม
    15. เจโตปริยญาณ ญาณหยั่งรู้ธรรมชาติของจิตตนและจิตสัตว์อื่น

    ส่วนโลกุตระญาณ มีส่วนเดียว คือ อาสวักขยญาณ หรือธรรมวิมุตติญาณแต่ประกอบย่อยได้ดังนี้
    1 ปํญญาวิมุตติญาณ ญาณปัญญาที่มีกำลังหลุดพ้นทุกข์
    2 เจโตวิมุตติญาณ ญาณจิตที่มีกำลังหลุดพ้นทุกข์

    ทศพลญาณ คือพระญาณบารมีของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ต้องสั่งสมให้มาก
    การสั่งสม มิใช่เพื่อให้งมงายยึดติดพอกหนาในอาสวกิเลสของตนเอง

    แต่พระญาณบารมี ทั้งปวงนี้ล้วนสั่งสมเพื่อความรอบรู้และรู้แจ้งเพื่อประโยชน์แห่งการช่วยเหลือสงเคราะห์ตนเองและสรรพสัตว์ นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์กระทำสืบเนื่องกันมา และสั่งสอนสาวกและพระโพธิสัตว์ที่กำลังเดินตามมาอย่างรู้แจ้งและจักไม่ประมาท ในอภิญญาณทั้งปวงครับ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...