ชัยชนะของพระพุทธเจ้าครั้งที่ ๘ : ผกาพรหม

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 1 กันยายน 2016.

  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    ชั ย ช น ะ ข อ ง พ ร ะ พุ ท ธ เ จ้ า ค รั้ ง ที่ ๘

    ท ร ง มี ชั ย แ ก่ ผ ก า พ ร ห ม
    ทุคฺคาหทิฏฺฐิภุชเคน สุทฏฺฐหตฺถํ
    พฺรหฺมํ วิสุทฺธิชุติมิทฺธิพกาภิธานํ
    ญาณาคเทน วิธินา ชิตวา มุนินฺโท
    ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ

    พระชินสีห์ผู้เป็นจอมมุนีได้ชนะผกาพรหมผู้มีฤทธิ์ สำคัญตนว่าเป็นผู้รุ่งเรืองด้วยคุณอันบริสุทธิ์ มีมืออันอสรพิษคือทิฏฐิที่ตนถือผิดรัดตรึงไว้ ด้วยเทศนาญาณวิธี ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงบังเกิดมีแก่ท่านด้วยเถิด



    ……….ในโลกนี้มีคำถามที่ยังไม่พบคำตอบอีกมากมาย ความลี้ลับของโลกและชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นสิ่งที่ยากจะเปิดเผยให้เข้าใจได้ทั้งหมดในเวลาอันสั้น การเวียนเกิดเวียนตายในสังสารวัฏอันยาวไกล ก็ยากที่จะทำให้ตรงต่อหนทางพระนิพพานได้ เพราะสัตว์โลกถูกความมืดคืออวิชชาครอบงำจิตใจเอาไว้ ทำให้ไม่เห็นแสงสว่างแห่งพระสัทธรรม เหมือนคนตาบอดไม่สามารถมองเห็นโลกนี้ได้ มีแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้แจ้งทั้งในโลกนี้และเทวโลก นิพพาน ภพสาม โลกันต์ ทรงแทงตลอดหมด ชาวโลกทั้งหลายต่างก็มีกิเลสปิดบังดวงปัญญา มีปัญหาในดวงจิต แต่พระพุทธองค์กลับมีพระปัญญาธิคุณกว้างใหญ่ จึงเป็นผู้มีแต่คำตอบ ไม่ทรงมีคำถามในดวงจิตเลย ความลี้ลับทั้งหลายที่มีอยู่ก็ถูกเปิดเผย ออกจนหมด ด้วยอานุภาพแห่งสัพพัญญุตญาณอันไม่มีประมาณ


    ……….พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นผู้ชี้นำหนทางสู่พระนิพพานแก่สรรพสัตว์ทั้ง หลาย ทรงเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์อุทัยที่ขจัดความมืดมิดของโลกให้หมดสิ้นไป เพราะฉะนั้น ในพระบาลีท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ที่ไม่มีเท้าก็ดี มี ๒ เท้าก็ดี มี ๔ เท้าก็ดี มีเท้ามากก็ดี มีรูปก็ดี ไม่มีรูปก็ดี มีสัญญาก็ดี ไม่มีสัญญาก็ดี มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ก็ดี มีประมาณเท่าใด พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่าสัตว์เหล่านั้น ชนเหล่าใดเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ชนเหล่านั้นชื่อว่าเลื่อมใสในสิ่งที่เลิศ วิบากอันเลิศย่อมมีแก่บุคคลที่เลื่อมใสในสิ่งที่เลิศ


    ……….ในเรื่องพุทธชัยมงคลครั้งสุดท้ายนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีชัยแก่พกพรหม มีเรื่องเล่าว่า สมัยหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน พระองค์ทรงเล่าเรื่องที่ได้ชัยชนะต่อพกพรหมให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า มีอยู่วันหนึ่ง พระองค์ทรงตรวจดูจิตของผกาพรหมว่า ได้เสวยสุขที่เกิดจากผลสมาบัติมาเป็นเวลายาวนานถึงเพียงนั้น ผกาพรหมมีความเห็นอย่างไรบ้าง เมื่อตรวจดูด้วยพุทธญาณแล้ว ก็ทราบว่าพกพรหมเป็นมิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดว่า พรหมสถานนี้เที่ยง ยั่งยืน แข็งแรง ไม่เคลื่อน พรหมสถานนี้ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย เหตุเป็นที่ออกไปจากทุกข์นอกจากพรหมสถานนี้ไม่มี คือคิดว่าพระนิพพานไม่มี นี่คือที่สุดแห่งทุกข์ทั้งปวงแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความคิดของพกพรหมนั้น จึงหายจากโคนไม้รังไปปรากฏที่พรหมโลกอย่างรวดเร็ว เหมือนเหยียดแขนออกแล้วคู้เข้าฉะนั้น

    ……….ผกาพรหมได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาแต่ไกล ก็ทูลว่าท่านผู้นิรทุกข์ ท่านมาดีแล้ว นานทีเดียวที่ท่านเพิ่งมาในที่นี้ ท่านนิรทุกข์ พรหมสถานนี้เที่ยงมั่นคง ยั่งยืน ไม่เกิด ไม่ตาย ที่ออกจากทุกข์ออกจากพรหมสถานไม่มี
    ……….พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพกพรหม ท่านนี้ตกไปในอวิชชาความมืดแล้วหนอ เพราะท่านกล่าวสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง แท้จริงผู้ที่เกิดในพรหมสถานนี้ก็เกิด แก่ ตาย ไม่เที่ยง แต่ท่านกล่าวว่าเที่ยง


    ……….สมัยนั้นมารผู้มีบาปเข้าสิงกายของพรหมปาริสัชชาผู้หนึ่ง พรหมนั้นจึงกล่าวกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ดูก่อนภิกษุ ท่านอย่าได้เบียดเบียนรุกรานพกพรหม พกพรหมนี้เป็นมหาพรหมเป็นใหญ่ อันคณะพรหมไม่อาจฝ่าฝืนได้ เป็นผู้ยังสรรพสัตว์ให้เป็นไปในอำนาจ เป็นผู้สร้างโลก เนรมิตโลก เป็นผู้แต่งสัตว์ เป็นผู้ใช้อำนาจ เป็นบิดาของเหล่าสัตว์ที่เกิดแล้วและกำลังเกิด ดูก่อนภิกษุ สมณะพราหมณ์ก่อนๆ เป็นผู้ติเตียน ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นผู้ติเตียนเกลียดเทวดา เกลียดพรหมว่าไม่เที่ยง เมื่อแตกกายตายไปต้องไปเกิดในอบาย ดูก่อนภิกษุ ส่วนสมณพรหมณ์ก่อนท่านบางพวก เป็นผู้สรรเสริญ ดิน น้ำ ลม ไฟ สรรเสริญเทวดา พรหม เมื่อเขาตายไปจึงเข้าถึงพรหมโลก เพราะฉะนั้นท่านจงทำตามคำของพรหม อย่าได้ฝ่าฝืนเลย


    ……….เป็นเรื่องที่น่าทึ่งทีเดียวว่า มารตนนี้มีความเพียรพยายามมาก พยายามกีดขวางพระพุทธเจ้าเรื่อยมา ตั้งแต่คราวที่พระองค์เสด็จออกผนวชก็ถูกมารเอาสมบัติจักรพรรดิมาล่อให้ยึด ติด แต่เมื่อเปลี่ยนใจพระองค์ไม่ได้ ก็คอยหาทางจับผิด หาทางขัดขวางเส้นทางการบรรลุมรรคผลนิพพานเรื่อยมา หรือแม้พระองค์จะได้ตรัสรู้ธรรมแล้วก็ตาม ก็ยังหาโอกาสตามรังควาญอยู่ไม่ว่างเว้น ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน มารได้แต่เฝ้าติดตามว่า “วันนี้พระโคดมผู้สมณะอยู่ที่ตำบล หรืออำเภอไหน จะไปโปรดใคร”


    ……….เมื่อมารรู้ว่าพระพุทธองค์กำลังอาศัยเมืองอุกกัฏฐะอยู่ที่ป่าสุภคะ จึงสำรวจดูว่าพระองค์จะเสด็จไปไหนอีก ก็เห็นว่ากำลังไปพรหมโลก จึงคิดว่า “พระโคดมผู้สมณะกำลังไปพรหมโลก เพื่อเปลี่ยนใจของพกพรหม เราจะไม่ยอมให้พวกพรหมไปสู่อำนาจของพระพุทธเจ้าเด็ดขาด พวกพรหมต้องตกอยู่ในอำนาจของเราตลอดไป คณะพรหมจะก้าวล่วงพ้นวิสัยของเราไปไม่ได้” จึงปาฏิหาริย์กายติดตามพระบรมศาสดา แล้วมายืนกำบังตัวในระหว่างหมู่พรหม เมื่อรู้ว่า “พวกพรหมกำลังถูกพระศาสดาชักนำไปสู่เส้นทางนิพพาน จึงได้ทำเป็นผู้ค้ำชูพรหม ด้วยการเข้าสิงพรหมปาริสัชชา


    ……….พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า เสียงที่กล่าวออกมานั้นไม่ใช่เกิดจากพรหม แต่เป็นเพราะพรหมถูกมารเข้าสิงแล้วยังบังอาจจะมาหลอกลวงพระองค์ ผู้ซึ่งไม่มีใครสามารถทำให้หลงใหลหรือคล้อยตามได้ จึงตรัสว่า “แน่ะมาร เรารู้จักท่าน พวกพรหม และบริษัทพรหมอยู่ในอำนาจของท่าน ท่านคิดว่าแม้สมณะนี้ก็อยู่ในอำนาจของท่าน แต่ว่าเราไม่ได้อยู่ในอำนาจของท่านหรอก”


    ……….ฝ่ายผกาพรหมก็กล่าวถึงความเป็นใหญ่ของตน อวดอ้างอิทธิฤทธิ์ของตนว่า ไม่มีใครจะมายิ่งใหญ่เทียมเท่าได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “เรารู้แล้วว่าท่านเป็นผู้มีอานุภาพมาก ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ย่อมโคจรส่องสว่างอยู่เท่าใด อำนาจของท่านเป็นไปในพันจักรวาลเท่านั้น ท่านย่อมรู้จักสัตว์ที่เลวและสัตว์ที่ประณีต รู้จักสัตว์ที่มีราคะและสัตว์ที่ไม่มีราคะ รู้จักจักรวาลนี้และจักรวาลอื่น และรู้จักความมาและความไปของสัตว์ทั้งหลาย ดูก่อนพกพรหม เราย่อมรู้ความสำเร็จและอานุภาพของท่าน แต่ท่านย่อมไม่รู้ไม่เห็นกาย ๓ อย่าง แต่เรารู้เราเห็นกาย ๓ อย่าง คือ กายอาภัสสระ กายสุภกิณหะ กายเวหัปผลา เพราะฉะนั้นเราเป็นผู้ไม่เสมอกับท่านในความรู้ เพราะเรารู้สูงกว่าท่าน


    ……….กายหมู่สัตว์ชื่ออาภัสสระมีอยู่ กายสุภกิณหะและเวหัปผลามีอยู่ ท่านเคลื่อนแล้วจากที่ใด มาอุบัติแล้วในที่นี้ ท่านมีสติหลงลืมเพราะความอยู่อาศัยนานเกินไป เพราะเหตุนั้น ท่านจึงไม่รู้ไม่เห็นกายนั้น ส่วนเรารู้เห็นกายนั้น ดูก่อนพรหม เราเป็นผู้อันท่านเทียบเทียมไม่ได้ด้วยความรู้ยิ่งแม้อย่างนี้ แล้วเราจะเป็นผู้ตํ่ากว่าท่านได้อย่างไรเล่า ที่แท้ เรานี่แหละเป็นผู้สูงยิ่งกว่าท่าน เรารู้จักดิน น้ำ ลม ไฟ รู้จักสัตว์ เทวดา พรหมทุกชั้น เรารู้จักสิ่งทั้งปวงโดยความเป็นสิ่งทั้งปวง รู้จักนิพพานอันสัตว์ถึงไม่ได้ โดยความที่สิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งทั้งปวง แล้วไม่เป็นสิ่งทั้งปวง ไม่ได้มีความยึดถือแล้วในสิ่งทั้งปวง ไม่ได้มีความยึดถือแล้วแต่สิ่งทั้งปวง ไม่ได้มีความยึดถือแล้วว่าสิ่งทั้งปวงของเรา ไม่ได้ชมสิ่งทั้งปวง


    ……….เนื่องจากว่า ในอดีตตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังไม่มาตรัสรู้นั้น พกพรหมได้บวชเป็นฤาษีเจริญกสิณจนได้ฌาน แล้วได้ไปเกิดในเวหัปผลาพรหม อันเป็นจตุตถฌานภูมิ มีอายุ ๕๐๐ ปีกัป แล้วถอยลงมาเกิดในสุภกิณหพรหมภูมิ ด้วยอำนาจตติยฌาน ต่อมาก็ถอยลงมาเกิดในอาภัสสราพรหมภูมิด้วยอำนาจของทุติยฌาน แล้วก็ถอยลงมาเกิดเป็นท้าวมหาพรหมในปฐมภูมิ นั่นหมายถึงว่า พกพรหมได้เสื่อมจากฌานที่สูงที่สุดตั้งแต่จตุตถฌานลงมาจนถึงปฐมฌาน ซึ่งมีอายุเพียง ๑ กัป ตอนที่เกิดใหม่ๆ นั้นก็ยังระลึกถึงกรรมในชาติก่อนๆ ได้ว่าเคยได้ฌานอะไร ไปเกิดที่ไหน ต่อมาก็ลืมเสียหมด จึงเกิดสัสสตทิฏฐิว่าพรหมโลกเป็นของเที่ยง ยั่งยืน ที่ออกจากทุกข์ นอกจากพรหมโลกไม่มี


    ……….ผกาพรหมได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวว่า ท่านผู้นิรทุกข์ เพราะท่านรู้นิพพานที่สัตว์ถึงไม่ได้โดยความที่สิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งทั้งปวง ถ้อยคำของท่านอย่าได้ว่างเสียเลย นิพพานอันผู้บรรลุพึงรู้แจ้งได้ เป็นอนิทัสสนะเห็นไม่ได้ด้วยจักษุวิญญาณ เป็นอนันตะไม่มีที่สุดหรือหายไปจากความเกิดขึ้นและความเสื่อม มีรัศมีในที่ทั้งปวง อันสัตว์ถึงไม่ได้โดยความที่ดินเป็นดิน โดยความที่น้ำเป็นน้ำ โดยความที่ไฟเป็นไฟ โดยความที่ลมเป็นลม โดยความที่เหล่าสัตว์เป็นเหล่าสัตว์ หรือโดยความที่สิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งทั้งปวง ถ้าท่านรู้มากกว่าเรา หรือเก่งกว่าเราแล้วละก็ เราจะหายไปจากท่าน หากท่านมีอานุภาพมากจริงดังที่กล่าวมา ก็ตามหาตัวเราให้พบเถิด”


    ……….พระบรมศาสดาก็ทรงรับคำท้าว่า “เอาเถิด ถ้าหากท่านอาจหายตัวได้ ก็จงหายตัวไปเถิด” เป็นเรื่องที่น่าแปลกว่า ผกาพรหมไม่อาจหายไปจากพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ หรือแม้จะหายไปหลบอยู่ที่ไหนก็ไม่อาจพ้นจากทัศนวิสัยของพระพุทธเจ้าได้ ทีนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “เราจะหายไปจากท่านบ้างแล้วนะ” ผกาพรหมก็กล่าวว่า “ถ้าท่านสามารถหายตัวไปได้ ก็จงหายตัวไปเถิด” พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบันดาลให้พระองค์หายไปด้วยฤทธิ์พวกพรหมจึงไม่เห็น พระองค์ แต่ได้ยินเสียงเท่านั้น พระองค์ตรัสว่า “เราเห็นภัยในภพและเห็นภพของสัตว์ผู้แสวงหาที่ปราศจากภพแล้ว ไม่กล่าวยกย่องภพอะไรเลย ทั้งไม่ยังความยินดีให้เกิดขึ้นด้วย”


    ……….พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเล่าเพิ่มเติมว่า ในครั้นกระโน้น พกพรหมได้เกิดเป็นมนุษย์ เห็นโทษในกามารมณ์ทั้งหลาย แล้วได้ออกบวชเป็นฤาษี ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น ได้ไปสร้างศาลาอยู่ที่ริมฝั่งแม่นํ้าคงคา ท่านปรารถนาจะให้น้ำเป็นทานแก่คนและสัตว์ที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น จึงได้บันดาลให้ท่อน้ำพลุ่งขึ้นจากแม่นํ้าคงคา ตรงไปยังทางที่กันดารแห่งหนึ่ง ซึ่งพวกพ่อค้าเกวียน ๕๐๐ และโคเทียมเกวียนกำลังอัตคัดขาดแคลนนํ้ากันอยู่พอดี


    ……….อีกคราวหนึ่งได้ช่วยคนและสัตว์ให้พ้นจากอำนาจของมหาโจรด้วยฤทธิ์ของตน อีกครั้งหนึ่งก็ได้ช่วยมหาชนให้พ้นจากอำนาจของพระยานาคที่ดุร้าย ในชาติที่เป็นฤาษีนี้มีชื่อว่า เกสวะฤาษี เราตถาคตเคยเกิดเป็นกัปปะฤาษีผู้เป็นศิษย์ของเกสวะฤาษีนั้นอีกด้วย เราย่อมชื่นชมท่านว่าเป็นผู้มีวัตรดีคนหนึ่ง ดูก่อนพกพรหม อายุของท่านไม่ได้ยืนนานอะไรเลย อายุของท่านเพียงแสนนิรัพพุทะ ไม่ได้มากอย่างที่คิดเลย เราย่อมรู้อายุของท่าน


    ……….พวกพรหมอัศจรรย์ใจที่เห็นฤทธิ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า กล่าวชมเชยว่า ท่านผู้เจริญ น่าอัศจรรย์หนอ พระสมณโคดม มีฤทธิ์มากมีอานุภาพมาก ก่อนแต่นี้พวกเรา ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยินสมณะหรือพราหมณ์อื่นที่มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เหมือนพระสมณโคดมนี้ ผู้ออกผนวชแต่ศากยสกุล ถอนภพพร้อมทั้งรากแห่งหมู่สัตว์ ผู้รื่นรมย์ยินดีในภพ เพลิดเพลินในภพได้ทั้งหมด ว่าแล้วก็ยอมรับนับถือว่าพระพุทธเจ้าเท่านั้นเป็นผู้เลิศที่สุด ประเสริฐที่สุดไม่มีใครยิ่งกว่า


    ……….ขณะนั้น มารเห็นว่าพวกพรหมจะล่วงวิสัยของตนแล้ว ก็เข้าสิงพรหมปาริสัชชาผู้หนึ่งอีก แล้วออกปากกล่าวห้ามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ เมื่อท่านรู้อย่างนี้ก็อย่าแนะนำ อย่าสั่งสอน อย่าแสดงธรรมแก่สาวกหรือบรรพชิตทั้งหลาย เชิญท่านเป็นผู้มักน้อยอย่าได้สั่งสอนสัตว์เลย ท่านผู้นิรทุกข์ เชิญท่านเป็นผู้มักน้อย ตามประกอบความอยู่สบายในชาตินี้อยู่เถิด เพราะการไม่บอกเป็นความดี ท่านอย่าสั่งสอนสัตว์อื่นเลย


    ……….พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูก่อนมาร เรารู้จักท่าน ท่านอย่าคิดว่าเราไม่รู้จักท่าน ท่านเป็นมาร ไม่มีจิตอนุเคราะห์เกื้อกูล จึงได้ห้ามเราแสดงธรรมสั่งสอนผู้อื่นตามที่เราตรัสรู้ เพราะเกรงว่าเขาจะล่วงอำนาจของท่านไปเสีย ดูก่อนมาร เราชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อแนะนำแสดงธรรมแก่สาวก ก็ต้องแนะนำแสดงธรรมตามที่เรารู้มา” เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดเหล่าพรหมทั้งหลาย และทำลายความคิดเห็นผิดของพกพรหมแล้ว ก็ได้เสด็จกลับลงมายังมนุษยโลกตามเดิม


    ……….ฝ่ายผกาพรหมครั้นฟังเรื่องที่พระบรมศาสดาตรัสเล่าอดีตของตัวเองให้ฟัง แล้ว ก็ระลึกชาติได้ ทูลสรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าเป็นผู้รู้จริงเห็นจริง มีอานุภาพมากทำให้พรหมโลกสว่างไสว ฉะนั้น พกพรหมจึงละความเห็นผิดที่ว่าพรหมสถานนี้เป็นที่เที่ยง ยั่งยืนเสียได้ จากเรื่องนี้เราจะเห็นว่า การที่พระองค์ทรงทำให้พกพรหมละความเห็นผิดนี้ จึงเป็นชัยชนะของพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกประการหนึ่ง ที่ควรยกย่องว่า สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย กระทั่งพรหมที่มีกายละเอียดประณีตสูงกว่าเหล่าเทวดาในกามาวจรภูมิ ก็ต้องฟังธรรมจากพระพุทธองค์ ผู้ที่สามารถทำให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าได้ดีที่สุดก็คือพระพุทธเจ้าของเรา นั่นเอง


    ……….เพราะฉะนั้น จึงสมควรแล้ว ที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จะสรรเสริญ บูชากราบไหว้พระองค์ มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งตลอดไป เพราะผู้ใดมีศรัทธา ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ในพระตถาคต มีศีลอันงามที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว สรรเสริญแล้ว มีความเลื่อมใสในพระสงฆ์ และมีความเห็นอันตรง บัณฑิตทั้งหลาย เรียกผู้นั้นว่า เป็นคนไม่ขัดสน ชีวิตของผู้นั้น ไม่เปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้น บุคคลผู้มีปัญญา เมื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายพึงประกอบตามซึ่งศรัทธา ศีล ความเลื่อมใสและความเห็นธรรมเถิด…



    ที่มา papatsro.wordpress.com
     
  2. masterpods

    masterpods สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2015
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +10
    สาธุสุดชีวิต
     

แชร์หน้านี้

Loading...