ท่านผู้เจริญไปนิพพาน กันเถอะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย somkiatfem, 26 กันยายน 2016.

  1. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ท่านหลวงพ่อฤาษีกล่าวว่า ตัวตัดเพื่อไปนิพพานจริงๆคือ สักกายทิฎฐิ และท่านผู้เจริญก็คงพอจะทราบได้ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ให้เราเห็นกันเเล้ว จากสังขารของท่านคงสภาพถึงปัจจุบันนี้

    ผมเองไม่ค่อยจำภาษาบาลีอะไร จะจำได้ก็เพราะฟังบ่อย ส่วนตัวฟังท่านเเล้วเข้าใจว่า
    การไปนิพพานอย่างง่าย คือ รู้ว่าเราต้องตายแน่ กายไม่ใช้ของเรา การเกิดมีความทุกข์ เกิดเท่าไรตายหมดเท่านั้น ร่างกายเป็นเเหล่งของกิเลส เราต้องเจอปัญหาในทุกๆวันน้อยใหญ่ เพราะร่างกายมันหิว เพราะร่างกายมันต้องการเพศตรงข้าม เเละอื่นๆ ไม่ต้องเกิดเราก็พ้นจากสภาวะนี้ได้ เพราะก่อนตายเราฉลาดเเล้ว ถ้ายังไม่เเล้วก็ยังคงเกิดภาพชาติต่อไป เมื่อเราเข้าใจอะไรต่ออะไร เราก็ไม่เครียด เเละไม่สนใจ วางเฉย เบื่อไปเอง สิ่งที่เราเข้าใจคือกลไลของธรรมชาติ ต่างๆ เหมือนเรา รู้ว่า 2*2=2+2 ไม่ต้องจำ ไม่ต้องทบทวน ไม่เครียด ถามเมื่อไรตอบได้ เเล้วเราจะเข้าใจธรรมชาติได้อย่างไร เราก็ต้องเข้าใจว่า เมื่อจิตนั้นเกิดขึ้น ต้องใช้ เวลาในการขัดเกลา เเม้พระพุทธเจ้าท่านยังสะสมบารมีโดยใช้เวลาไม่เท่ากันเลย เราๆเองก็เช่นนั้น คนมีเก่งมาก เก่งน้อย ดีมาก ดีน้อย เป็นธรรมดาของธรรมชาติ เราก็เป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติไม่สามารถฝืนได้เเค่รู้ว่า จะจบเกมส์นี้ได้อย่างไร พระพุทธเจ้าท่านจบเกมส์ จบกิจเเล้ว ตำราท่านวางแผงเเล้ว 2559 ปี เเล้ววันนี้เราอยู่จุดในของเส้นทางแห่งนิพพาน หรือวันนี้เราทำอะไรอยู่ สำหรับท่านผู้เจริญในที่นี้ก็คงมีจิตน้อมในกุศลอยู่เเล้ว ส่วนอีกหลายๆท่านนอกนี้เราก็คงต้องปล่อยให้เวลาเป็นตัวขัดเกลาต่อไปก่อน

    ผมกำลังสงสัยว่า ถ้าก่อนตาย10- 5 วิ นาที ตรองในความจริงนี้จะไปนิพพานได้หรือไม่(เชื่อว่าได้ เจตนาเป็นตัวกรรมเช่นกัน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2016
  2. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ถึงคิดได้ก่อนตายก็ไม่แน่ว่าจะนิพพานได้ ขึ้นกับว่าบารมีของเราเต็มหรือยัง นอกจากนี้ยังขึ้นกับว่าเราเบื่อหน่ายในการเกิด เบื่อหน่ายความไม่รู้ ความเข้าใจเหล่านี้จะเป็นประโยชน์มากในตอนที่เรามีชีวิตอยู่ เพราะถ้าเราเข้าใจธรรมก็มีโอกาสจะสร้างบารมีในระดับที่สูงขึ้น และทำให้เข้าใจธรรมได้มากขึ้นแต่ละอย่างเสริมกันเอง
     
  3. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ขอเสริมขยายความเพื่อผู้ที่เริ่มต้นครับ บารมีเต็ม ก็คือมีความตั่งใจในสิ่งนี้มากเเละเข้าใจจริงจังเเจ่มใจ ครับ ขอเก็บลายละเอียดสักนิดนึงครับ คือ กรณีที่เร่งด่วน ที่จะมีการตาย เราสามารถเเนะนำ เเละให้เขาเชื่อมั่นมากที่สุด อย่าได้สงสัยในคำสั่งสอน ในวาระสุดท้ายนี้ ถือว่าท่านเเนะนำทางมาเเล้ว ถ้าตายเเล้วไม่ถึงนิพพาน ตกไปเกิด สวรรค์ พรม ก็ยังดี
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ตรงที่จั่วท้ายว่า

    ถ้าไม่นิพพาน ไปโน้น ไปนี่ก้ยังดี

    อันเนี่ยะ จะไปเกิดเปน แมลง หลงหาทางรอด

    กว่าจะกลับมาเกิดเปนสัตส์ใหญ่อีกนานเลย เพราะลังเล
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    การ คำนึงถึงภพที่จะไป

    คนๆนั้นตัองชำนาญในการสัมผัส ภพ ที่จะไป

    แล้วเอา สภาวะสัญญาที่ระลึกได้ ไม่ใช่คิดเอา
    หรือกล่อมเอา

    เราพิสูจน์ได้ ลองคิดเอาอะไรก้ได้ มันจะคับแค้น
    ที่ไม่ได้มา เว้นแต่ หลงแบบเดรัจฉาน ก้จะเมาความคิด

    ส่วนกล่อมให้ฟัง ลองเปิดอะไรก้ได้ แล้วฟัง
    น้อยมากที่จะได้ยิน ส่วนใหญ่หลงไปคิดอย่าง
    อื่น เหม่อลอย

    การระลึกได้ในภพที่สัมผัสบ่อยๆ
    ถ้าเปนกุสล จิตจะต้องเกิดปิติ เรียก
    ว่าจะคิด หรือระลึกอะไร จะต้องมี
    ปิตืเปนองค์ประกอบ แล้วมีนิรามิสสุข
    ไม่มีอามิส ไม่มีนิมิต ไม่มีที่ตั้ง แบบนี้
    ถึงจะมี ฐานสัมมาสมาธิส่งให้ใกล้นิพพาน

    ถ้าเปนฌาน สมาธิโลกๆ อันนั้นยังไปนรก
    ได้อยู่

    เทวดา พระพรหม ยังพรวดเดียวลงนรก
    ได้เปนส่วนมาก ที่มาเกืดเปนมนุษย์ หรือ
    ภพกุสลชั้นรองๆ มีน้อยนิด ยิ่งเอาอดีต
    เคยทำๆได้ มาอ้าง นี่ยิ่งหนัก จะไปเกิดเปน
    เดรัจฉานด้วยอารมณ์ปิติโลกๆ
    กำกับ จะเหมือน เรื่องพระสององค์ที่ภาวนา
    รูปหนึ่งไปเกิดเปนพรหม อีกรูปไปเกิดในหลุมอุจจาระ

    เพื่อนที่เคยฝึกไปเกิดเปนพรหม ไปเตือน
    ว่า อารมณ์ปิติสุขเอกัคตาของเองนะแหม่งๆ
    นะ ตอนนี้อยู่ในหลุมขี้ หนอนมันก้ด่าพระพรหม
    จานลาย พูดอะไร นี่ดูข้าสุขมักๆ จะกินอะไร
    อาหารอยู่ตรงหน้า ไม่ต้องเคลื่อน เปนนิพพานหมด
    การดิ้นรน แสวงหา หมดกริยาของจิตอยู่แน่นอน

    หนอนมันใช้คิดเอา ภพหมดการดิ้นรน หมดการ
    แสวงหา หมดกริยาของจิต มันหลอกเอา


    หลวงปู่หล้าจึงกล่าวไว้ว่า

    "...ข้ามฝากผู้รู้ไม่มีกำหนดหมาย
    ถ้าหมายๆ ก้แค่เหมือนๆ.."

    เจอเหมือนๆ นิพพาน แต่เปนหลุมอุจจาระ เพราะคิดเอา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2016
  6. zhayun

    zhayun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +425
    ใครที่เอาคำสอนหลวงปู่หล้า โยงกับ นิทานธรรมะ เทวดากับหนอน แบบมั่วๆ เจ้าของกระทู้อย่าไปเชื่อนะครับ

    ผมเคยฟังและเคยอ่านนิทานเรื่องนี้มา ไม่มีใครกล่าวแบบนี้เลย

    ต้องบอกคนที่สอนธรรมะ มั่วๆ แบบนี้ ระวังประตูนรกเปิดรอคุณอยู่นะ

    เพราะการแนะนำธรรมะแบบผิดๆ เป็นการชักชวนคนอื่นให้หลงทาง

    ถือเป็นกรรมหนักมาก ถ้ายังไม่เลิกทำแบบนี้อยู่ ก็เชิญลงนรกไปคนเดียว อย่าชักจูงให้คนอื่นไปลงนรกกับคุณด้วยเลย




    ตอบเจ้าของกระทู้


    ที่หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ท่านแนะนำเรื่องนิพพาน

    ท่านให้เราพิจารณาทุกวันนะครับ ไม่ใช่จะคิดเอาแค่ก่อนจะตาย

    ถ้าจะคิดเฉพาะก่อนจะตาย คงไม่สามารถไปนิพพานได้แน่ๆ



    และท่านก็ไม่ได้บอกให้เราเอาแต่คิดพิจารณาอย่างเดียวนะครับ

    ท่านให้เราปฏิบัติในบารมี10 และจรณะ15 และมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ในทุกๆวัน



    โดยตอนตื่นนอน ท่านให้เราระลึกถึงบารมี10 และจรณะ15 ว่ามีอะไรบ้าง และในวันนี้เราจะ ปฏิบัติในบารมี10 และจรณะ15 ให้ดีที่สุด

    และระลึกถึงความตาย ว่าถ้าหากเราจะตายในวันนี้ เราก็ขอไปนิพพาน ไม่ขอเกิดอีก



    จากนั้นก่อนนอน ท่านก็ให้เราระลึกว่า ในวันนี้ เราปฏิบัติใน บารมี10 และจรณะ15 ได้ดีแค่ไหน

    ถ้าวันนี้ทำได้ดี ก็ถือเป็นกำไร ถ้าวันนี้ทำได้ไม่ดี ก็ถือว่าเราขาดทุน

    แล้วเรายังบกพร่องตรงไหนในเรื่อง บารมี10 และจรณะ15 ก็ให้เราพิจารณาแก้ไข

    จากนั้นท่านก็ให้เราพิจารณาในความตาย ถ้าเราจะตายในคืนนี้ เราก็ขอไปนิพพานไม่ขอเกิดอีก



    หลวงพ่อท่านยังกล่าวอีกว่า จิตมีสภาวะจำ

    ถ้าเราระลึก และปฏิบัติทุกวัน จิตมันก็จะจำเอาไว้

    เมื่อก่อนจะตาย สิ่งที่เราระลึก และปฏิบัติมา จะมารวมตัว

    หรือถ้า ตอนก่อนจะตายเกิดเวทนามาก จนไม่สามารถระลึกได้ จิตมันก็ยังมีสภาวะจำอยู่



    ถ้าก่อนตาย จิตยังมีความพอใจในการเกิดอยู่ เราก็จะไปเกิดในเทวโลก

    ถ้าได้ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า ก็สามารถบรรลุมรรคผลได้

    ท่านกล่าวอีกว่า ในกัปป์นี้ จะมีพระพุทธเจ้า 10 พระองค์ ต่อจากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ก็จะมีพระพุทธเจ้า ในกัปป์นี้อีก 6 พระองค์

    ดังนั้น อย่างน้อยถ้าได้เกิดเป็นเทวดา ก็มีโอกาสบรรลุมรรคผลได้เช่นกัน



    ถ้าก่อนจะตาย จิตไม่ต้องการเกิดอีกจริงๆ เพราะรู้ว่าการเกิดมันเป็นทุกข์จริงๆ จิตมีความปรารถนาพระนิพพานเท่านั้น

    ก่อนตายก็จะเป็นพระอรหันต์ เข้าสู่พระนิพพานในทันที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2016
  7. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ผมดีใจมากครับ ขอให้คุณช่วยเชื่อเชิญท่านผู้เจริญ ตั่งใจเพื่อเข้านิพพานในชาตินี้กันนะครับ ขอบพระคุณที่ช่วยเตือนสติผมด้วยนะครับ ขออนุโมทนา คุณทำให้ผมรู้ว่า อารมณ์จิตผมเป็นยังไง ถ้าไม่มีคุณมาช่วยเตือนผม ผมก็คงวัดอารมณ์จิตของผมไม่ได้ ว่าตอนนี้ผมมีอารมรณ์จิตดีชั่วอย่างไร ขอบพระคุณอีกครั้งครับ
     
  8. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    การไปนิพพานนั้น ก็เป็นภาระกิจอย่าง 1 ดังนั้น หลักการของ อิทธิบาท 4 ต้องมีจึงสำเร็จได้ ซึ่งการที่จะไปนิพพานนั้น ต้องมีความต้องการ ซึ่งมาจากการเห็นทุกข์
    เเล้วอยากพ้นทุกข์ ใครที่ยังนึกไม่ออกว่าทุกข์หรือไม่ อันนี้ยาวไปก่อนอีกหลาย..

    สำหรับคนที่ตั่งใจหาทางพ้นทุกข์ด้วยความฉลาดเเล้ว ก็ต้องสะสมบารมีมาหลายๆชาตินับไม่ได้ ทั้งด้านเสริมกำลังสมาธิ เเละ กรรมฐานรู้เเจ้งเข้าใจจริงเป็นการเจริญปัญญา สะสมรวบรวม นับชาติไม่ถ้วน จนท่านผู้อ่านมาถึงชาตินี้ ก็มีบารมีเเล้วในการใฝ่ความดี ก็เเล้วเเต่งว่าใครจะมีมากน้อย ถ้าใครมีมาก สะกิตนิดเดียว ก็ไปได้ บางท่านมีจริตเอาจริงเอาจังก็ ปฎิบัติ เพื่อการละกิเลสให้ครบถ้วน เป็นพระอรหัตน์ ที่มีความรู้พิเศษก็ได้ ซึ่งพระท่านกว่าวว่า การเป็นอรหันต์ มีหลายแบบ ตั่งเเต่ ระดับ สุกขวิปัสสก ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน แล้วได้ปฐมฌานเมื่อบรรลุอรหัตตผล เตวิชชะ ผู้ได้วิชชา 3 ฉฬภิญญะ ผู้ได้อภิญญา 6 ปฏิสัมภิทัปปัตตะ ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา 4 ทุกแบบตัดกิเลสเสมอกัน เเต่ความยากต่างกัน ตามเเต่ จริต เเละ บารมีขั้นต่ำที่จะสะสมมาเพื่อตัดกิเลสได้ เเค่ขณะจิต เเต่ถ้าไม่มีบารมีพอ ขณะจิตมันก็ไม่เเข็งเเรงทรงตัวได้ มันก็ไปไม่ถึง เเต่ก็ใกล้เเล้ว ดังนั้นท่านผู้เจริญ ขอให้มีกำลังใจไม่ยากเกินความตั่งใจครับ ขอให้พอใจในนิพพานมาก่อนก็เเล้วกันครับเป็นดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2016
  9. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    .....การเข้าสู่นิพพาน ก็คือการบรรลุธรรมขั้นพระอรหันต์ มันยากมาในปัจจุบันนี้

    ....เท่าที่ผมอ่าน ความต้องการของนักปฏิบัติ อย่างสุงสุด ณ ปัจจุบัน ก็คือ บรรลุธรรมขั้น โสดาปฏิผล ถ้าน้อยกว่านั้น ก็ อธิฐานจิตกันไปบรรลุธรรมในยุคพระศรีอริยเมตตรัยโน้นแหละครับ

    ....การนิพพาน ต้องมีสัมมาทิฏฐิก่อน ถึงจะก้าวสู่การตั้งจิตให้ถูกต้อง ประมาณน้้นนะครับ

    ....นี้คือความเห็นของผมแหละท่าน
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เอาเฉพาะประเด็นที่สงสัย
    ในท้ายสุดใน #Rep 1 นะครับ
    ลองทดสอบตัวเองดูง่ายๆเลยนะครับ
    เอาแค่ตอนไปทำฟัน
    เอาแค่ขูดหินปูนดูครับ ดูว่าตอนนั้นจิตทิ้งและตัดร่างกาย
    ได้มากน้อยแค่ไหนครับ หรือใครที่คิดว่าตนเองมโนฯเป็นเลิศทั้งหลาย
    ถอดจิตเก่งกาจทั้งหลาย มีความสามารถทางจิตเก่งกาจทั้งหลายแหล่
    หรือโม้ว่าตนบรรลุระดับโน้นนี่นั้นทั้งหลาย
    ลองดูซิ ว่าจิตตอนคุณหมอขูดหินนั้น
    มันทิ้งร่างกายได้ซักวินาทีไหม...
    จะได้รู้ว่า ตนเองนั้นจริงๆเป็นอย่างไร
    ลองดูจะได้ไม่หลงตัวเอง (ไม่ได้บอก จขกท.นะ
    เพราะไม่ใช่ดวงจิตที่หลงตัวเอง)
    พูดทั่วๆไปนะครับ



    เพราะจิตยังไงๆถ้าร่างกายไม่พัง
    มันก็จะยังอาศัยร่างกายนี้อยู่ครับ ดังนั้นการที่ท่านสอน
    ให้เราตัดร่างกายจริงๆนั้น ก็เพื่อเป็นอุบายให้จิต
    เราพร้อมที่จะตาย พร้อมที่จะทิ้งร่างกายนี้
    ตั้งแต่ร่างกายมันยังปกติดีอยู่นั่นหละครับ...

    แต่แม้ว่าท่านจะสอนให้ตัด และเน้นให้ตัด..
    แต่โดยมากก็มาแพ้ตัว โทสะ โมหะ โทสะ
    อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วไปดึง ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    ที่มีอยู่ภายนอก จนกลายเป็นตัวตนขึ้นมาได้อีก
    อย่างคาดไม่ถึง
    ยกตัวอย่าง เมื่อชาติก่อน ฉันเคยเป็นโน้นนี่นั้น(มีแต่เท่ห์ๆ
    สูงๆ ยิ่งใหญ่ เป็นอะไรเหนือมนุษย์เดินดิน)
    ลึกๆลืมตามาก็จะคิดว่า ตนเป็นอย่างนั้นอยู่
    ทั้งๆที่ส่องกระจก ก็เห็นๆอยู่ว่า ตนเองในกระจก
    ก็คือตนเองในปัจจุบัน

    แถมยังไปเน้นแต่เรื่องการรู้ การเห็นพิเศษ
    การมีอะไรๆพิเศษทั้งๆที่ก็รู้ว่า มันยังไม่ใช่ทาง
    กลายเป็นเอาความสามารถตรงนี้ไปสร้างก่อวิบากกรรมเพิ่มขึ้น
    และก็พากันยึดเป็นจริงเป็นจัง
    ยกตัวอย่าง ฉันไปเห็นโน้นนี่นั้นมา ฉันไปทำโน้นนั่นนี่มา
    ในนิมิตทั้งนั้น...แล้วก็เอามาโม้มาคุยทับกัน
    บางเรื่องผ่านไปแปดร้อยปีหละ(ประชด)แต่ปากบอกไม่ยึดติด
    แต่เล่าได้เป็นฉากๆประหนึ่งว่าพึ่งเกิด..และ
    ประหนึ่งว่าการที่ตนเองไปรับรู้ได้ ไปเห็นได้
    ตนเองไม่ใช่มนุษย์เดินดินธรรมดา
    ที่ยังต้องรับประทาน ต้องปัสสาวะ ต้องอุจจาระ
    ต้องเจ็บ ต้องป่วย ต้องทำมาเลี้ยงชีพ
    นั่นหละครับ

    แล้วก็อ้างจัง เรียกตัวเองจัง
    ว่าตนเองเป็นพุทธศาสนา
    เป็นอะไรที่ดีที่สุดในโลก
    ทั้งๆที่การกระทำไม่ใช่
    ประเด็นหลักทางพุทธศาสนาเลย
    ปล.ประมาณนี้ครับ (^_^)
     
  11. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ใครที่ระลึกชาติได้ จะไม่มีทางระลึกแต่เพียงว่า เคยยิ่งใหญ่อลังการ แต่จะเห็นต่ำเตี้ยไร้ค่าด้วย เพราะเป็นสัจธรรมที่จิตย่อมแกว่งขึ้นแกว่งลง มันจึงแปลกมากที่เจอผู้ที่ไม่เคลื่อนลงเลย ซึ่งคงมีเพียงพระมหาโพธิสัตว์ประเภทที่บำเพ็ญ ๘ อสงไขย และประเภท ๑๖ อสงไขย แถมบารมีต้องเข้าขั้นปรมัตถ์แบบสิบชาติสุดท้าย เพราะทราบมาว่าขนาดบารมีเข้าขั้นปรมัตถ์แล้ว พระมหาโพธิสัตว์ก็ไม่รอด มีโอกาสลงทั้งนรกภูมิ เดรัจฉานภูม เปรตภูมิได้เช่นเดียวกัน ต่างเพียงว่า นรกภูมิไม่ลงลึก เดรัจฉานภูมิและเปรตภูมิภพนั้นไม่ยาวนานเป็นกัปร์แค่นั้น ดังนั้น การระลึกชาติแล้วไปหลงว่าตนยิ่งใหญ่อลังการ ส่วนใหญ่ระลึกชาติแบบหลง หรือไม่ก็ปิดใจไม่ยอมรับรู้ชาติที่ต่ำเตี้ยไร้ค่าอนาถาหรือหลงลืมไปว่า ตนก็ระลึกชาติอยู่แล้วว่า จิตมีตกต่ำได้ แต่ให้ค่ากับชาติที่ตนหลงว่าสูงส่ง ซึ่งจริงๆ ภพชาติใดไม่มีว่าสูงส่งเลย มีแต่เวียนว่ายตายเกิดเท่านั้น

    พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ ดังนั้น ไม่มีภพชาติใดยิ่งใหญ่อลังการเลย เป็นความหลงเต็มๆ


    การนิพพานนั้น ลำพังไม่กลัวตายอย่างเดียว ลำพังการไม่ยึดติดอะไรในโลกข้างหลัง ลำพังความปรารถนาไปนิพพานอย่างเดียว ลำพังการเกลียดทุกข์อย่างเดียว ไม่อาจนิพพานได้ ดังนั้น จะนิพพานจิตต้องรู้แจ้งอริยสัจ ๔ ไม่ใช่ด้วยเหตุข้างต้น เพราะแม้มีความสงสัยแม้นิดนึงเท่าส่วนของอนุภาคที่เล็กที่สุด ก็ไม่ใช่การรู้แจ้งอริยสัจ ๔ ที่ถึงระดับทำให้นิพพาน
     
  12. zhayun

    zhayun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +425


    ผมขออนุญาตแย้ง คุณณฉัตร นิดนึงนะครับ

    ที่ว่าท่านบอกพระโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมี 8 หรือ 16 อสงไขย ถึงจะระลึกชาติได้ ทั้งดีและไม่ดี

    ในชาดกที่ว่าเรื่องพระเตมีย์ ที่ท่านระลึกชาติได้ ทั้งดีและไม่ดี นั้นก็ไม่ใช่ 10 ชาติสุดท้ายนะครับ

    มีชาติเดียวที่เป็น 10 ชาติสุดท้ายก็คือ พระเวสสันดร



    ผมว่าพระโพธิสัตว์ ที่ บำเพ็ญบารมี 4 8 16 อสงไขย บารมีเต็ม 30 ทัศเหมือนกัน

    เพียงแต่ว่าการสะสมบุญ 8 16 อสงไขย จะสะสมบุญมามากกว่าเท่านั้น

    ดังนั้นการที่ท่านกล่าวอย่างนี้ อาจจะเป็นการปรามาสพระโพธสัตว์ที่ บำเพ็ญ บารมี 4 อสงไขย อย่างพระพุทธเจ้า องค์ปัจจุบันได้นะครับ



    ส่วนเรื่องการเข้านิพพานนั้น คุณณฉัตร กล่าวพระนิพพานสูงแบบเกินเอื้อมเลยนะครับ

    ในสมัยพุทธกาล คนเข้านิพพานกันได้ง่ายๆ แม้ตอนมีชีวิตอยู่ จะไม่ได้บรรลุอะไร แต่ก่อนตายก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ เข้านิพพานได้ทันทีก็มี

    อย่างเช่น พระที่ป่วย (ผมจำชื่อท่านไม่ได้) มีพระสารีบุตร และ พระอานนท์ และพระอีกองค์จำไม่ได้ ท่านไปเยี่ยมพระที่ป่วยองค์นี้

    พระองค์ที่ป่วยนี้ ไม่ได้บรรลุเป็นพระอริยะเจ้า มีอาการป่วยมากจนไม่สามารถจะปฏิบัติตนได้อย่างจริงจัง

    ท่านคิดจะฆ่าตัวตาย แต่พระสารีบุตร พระอานนท์ ห้ามไว้ และจะไปรายงานถามพระพุทธเจ้า



    เมื่อพระทั้ง 3 องค์ไปกันหมด พระองค์นั้นก็ปลงสังขาร ว่าร่างกายนี้เป็นความทุกข์อย่างนี้ จะอยู่ไปทำไม

    ในตอนนั้นท่านไม่มีความกลัวตาย ท่านไม่มีความต้องการเกิด จะเกิดเป็นอะไรก็ตาม ไม่ต้องการทั้งนั้น

    เพราะความเกิดนั้นเป็นความทุกข์ จากนั้นท่านก็เอามีดเชือดคอ



    เมื่อพระทั้ง 3 องค์ไปรายงานต่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่า พระองค์นั้นเชือดคอตายไปแล้ว

    พระ 3 องค์นั้น ก็ถามทำไมพระองค์ไม่ทรงห้าม

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ก่อนท่านจะตาย ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ และเข้านิพพานแล้ว แล้วพระองค์จะห้ามทำไม



    และก็มีพระหลายองค์ ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ก่อนตายอยู่หลายองค์

    อย่างเช่นพระฉันนะ พระสหายของพระพุทธเจ้า ท่านก็ฆ่าตัวตาย ก่อนตายท่านก็เป็นพระอรหันต์ เมื่อตายก็เข้าพระนิพพานเช่นกัน



    อย่างเช่นพระองค์นึง ที่ท่านพอใจในรูปของพระพุทธเจ้า ท่านมีความพอใจรูปพระพุทธเจ้ามาก จึงเฝ้ามองมาตลอด

    ตอนแรกๆ พระองค์รู้ว่า พระองค์นี้ยังมีอินทรีย์ ยังไม่แก่กล้า

    พระองค์ก็รอจน พระองค์นี้มีอินทรีย์แก่กล้า พระองค์จึงตรัสว่าพระองค์นี้

    พระองค์นี้เกิดความน้อยใจ จึงจะไปกระโดดหน้าผาตาย

    ก่อนจะกระโดด ท่านไม่มีความกล้วตาย กำลังจะก้าวกระโดดไป

    พระพุทธเจ้า ก็ฉายรูปพระองค์พร้อมฉัพพรรณรังสี รัศมี 6 ประการ แล้วตรัสเทศน์

    พระองค์นั้นก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ ทันที



    หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ท่านจึงกล่าวในเรื่องนี้ว่า กำลังใจที่ไม่กลัวตายนั้นแหละที่จะเป็นกำลังใจ ของพระอรหันต์

    เมื่อกำลังใจถึงความไม่กลัวตายเมื่อไร เมื่อนั้นจะสามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้



    ผมจึงกล่าวว่า คุณณฉัตร ประเมิน พระนิพพานแบบสูงเกินเอื้อม

    แต่หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ท่านเป็นพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาน ท่านจึงเอานิพพานที่คนคิดว่าสูงเกินเอื้อม มาให้ทุกคนสามารถเอื้อมถึง และเข้าพระนิพพานในชาตินี้ ได้ทุกคนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2016
  13. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    มันจึงแปลกมากที่เจอผู้ที่ไม่เคลื่อนลงเลย ซึ่งคงมีเพียงพระมหาโพธิสัตว์ประเภทที่บำเพ็ญ ๘ อสงไขย และประเภท ๑๖ อสงไขย


    พระมหาโพธิสัตว์ (พระพุทธเจ้า) ท่านได้ตรัส ปรากฎในพระไตรปิฎกอยู่แล้วครับว่า ท่านเป็นผู้ไม่เคลื่อน มั่นคง (แนวๆ ว่าอมตะกว่าใคร) แต่ด้วยระยะเวลาที่จำกัดในการบำเพ็ญแบบปัญญาธิก ท่านได้วางการประพฤติและบำเพ็ญอย่างนั้นลง ในภายหลังครับ

    ต่อมา จึงได้อ่านพบว่า พญามารซึ่งท่านก็เป็นนิตยโพธิสัตว์ ท่านเป็นพญามารแบบยาวนานมาก แต่พระโพธิสัตว์(พระพุทธองค์)ท่านกลับลงจากภพที่สูงอย่างพรหม และเทพ มาเวียนว่ายตายเกิดระดับมนุษย์ลงมาแล้วครับ ในช่วงที่พญามารเป็นอยู่อย่างนั้น พระโพธิสัตว์(พระพุทธองค์ท่านเวียนว่าย ตายเกิด บำเพ็ญบารมีหลากหลายมาก) )

    ดังนั้นที่กล่าว หมายถึง การที่เราจะพบเจอคนที่ระลึกชาติแบบไม่ค่อยเคลื่อนลง จากพรหม เทพ หรือ มนุษย์ที่เป็นมหาราชา จักรพรรดิ์ หรือไฮโซเท่านั้น
    ยากมาก เพราะพระโพธิสัตว์บางทีเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ นี่แหละครับ ขนาดจะ ๔ ๘ ๑๖ ก็เห็นเป็นชาวบ้านธรรมดานี่แหละ แล้วมาออกบวชพระบ้าง บางทีก็ไม่บวช ก็เป็นชาวบ้านธรรมดาๆ บ่อยมาก

    แต่ที่เน้น ๘ ๑๖ ว่าจะพบได้นั้นเพราะระเวลายาวนานในการบำเพ็ญ ท่านมีเวลามาก ท่านจึงมีสัดส่วนที่จะคง การไม่เคลื่อนลงของจิต ได้มากกว่า เพราะเรื่องของเวลาเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่า พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย จะทำไม่ได้ ทำได้ครับ แต่ระยะเวลาจำกัด ท่านเลยต้องวางการบำเพ็ญแนวนั้นเร็ว เพราะระยะเวลาจำกัดครับ

    ขอบคุณที่ท้วงติงครับ
     
  14. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ส่วนเรื่อง ลำพังไม่กลัวตายอย่างเดียว ลำพังการไม่ยึดติดอะไรในโลกข้างหลัง ลำพังความปรารถนาไปนิพพานอย่างเดียว ลำพังการเกลียดทุกข์อย่างเดียว ไม่อาจนิพพานได้

    เพียงอยากให้พิจารณาเรื่องอริยสัจ ๔ ให้ถ่องแท้ๆ จริงๆ ครับ เพราะเห็นว่าเป็นธรรมตัดสินหลักว่า จะนิพพานหรือไม่ มากกว่า

    กรณีที่ท่านยกมา เป็นการกลัวความทุกข์ก่อน คือ เห็นทุกขสัจ อย่างแท้จริงแล้ว แต่การฆ่าตัวตายก็ไม่ใช่ทางดับทุกข์ หรือไปนิพพาน แต่เฉพาะพระองค์นั้นเท่านั้น ที่ท่านทราบอริสัจ ๔ อย่างแจ่มแจ้ง ซึ่งถูกรวบรัดไว้เป็นการเฉพาะตนเท่านั้น ดังนั้น ผมจึงเห็นว่า อย่าไม่กลัวตาย กลัวทุกข์ หรือไม่ยึดติดอะไร แต่ต้องเห็นอริยสัจ ๔ อย่างแท้จริง ซึ่งในเรื่องที่เล่า คนเราอ่านแล้วเข้าใจว่า ท่านเห็นทุกขสัจ อย่างแท้จริงเท่านั้น แต่ในเรื่องอริยสัจข้ออื่นคนเราเข้าไม่ถึง

    ขอบคุณที่ติติงครับ
     
  15. zhayun

    zhayun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +425
    หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ท่านกล่าวว่า

    อริยสัจ 4 และไตรลักษณ์ ท่านให้เราเน้นการรู้จัก ทุกข์ เป็นอันดับแรก ถ้าเราเข้าใจในเรื่องทุกข์อย่างแท้จริง ก็จะเข้าใจในอริยสัจทั้ง 4 และไตรลักษณ์



    เมื่อตอนที่พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ ลงมาโปรดหลวงพ่อฤาษีฯ ท่านก็แสดงให้เห็น ให้รู้จักทุกข์อย่างแท้จริง

    อย่างเช่น เมื่อร่างกายหิว ความหิวเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง

    ก็ต้องหาอาหารเพื่อมาคลายความทุกข์ คือความหิว



    การหาอาหาร ก็ต้องทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยก็เป็นความทุกข์

    เมื่อกินอาหารเพื่อคลายทุกข์ แต่การกินก็เป็นสาเหตุของความทุกข์ใหญ่

    เพราะการกินเป็นสาเหตุของการถ่ายหนักถ่ายเบา



    เวลาปวดขี้ปวดเยี่ยว ก็เป็นความทุกข์หนัก ซึ่งเกิดมาจากการกิน

    การกินเป็นทุกข์ แต่ก็ต้องกิน เพราะเพื่อคลายความทุกข์จากความหิว

    แต่เมื่อกินไปสักพัก ก็หิวอีก ก็ทุกข์อีกวนแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุดจนกว่าจะตาย



    เมื่อเข้าใจในความทุกข์ อย่างแท้จริง ก็จะเข้าใจในอริยสัจ 4 และ ไตรลักษณ์

    เมื่อรู้จักความทุกข์ ก็รู้ว่าเหตุของความทุกข์คืออะไร ก็รู้ว่าการดับทุกข์ดับอย่างไร และรู้วิธีการดับทุกข์



    เมื่อรู้ความทุกข์แล้ว ก็รู้สาเหตุ ว่าการเกิดนั้นเป็นความทุกข์

    ก็รู้ว่าการไม่เกิด การเข้าพระนิพพาน นั้นแหละ คือการดับทุกข์

    วิธีดับทุกข์ ก็เจริญในมรรคมีองค์แปด เพื่อความดับทุกข์

    (โดยท่านจะเน้นเรื่อง บารมี10 และจรณะ15 เป็นตัวละสังโยชน์10)



    เมื่อเข้าใจทุกข์ ก็เข้าใจในความไม่เที่ยง เพราะความไม่เที่ยงนี่แหละเป็นความทุกข์

    และก็เข้าใจในการสลายตัวไป เป็นอนันตา

    ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในกายนี้ กายนี้ไม่มีในเรา



    ส่วนเรื่อง ลำพังไม่กลัวตายอย่างเดียว ลำพังการไม่ยึดติดอะไรในโลกข้างหลัง ลำพังความปรารถนาไปนิพพานอย่างเดียว ลำพังการเกลียดทุกข์อย่างเดียว

    ที่ท่านกล่าวมา ทั้งหมดก็อยู่ใน อรัยสัจ4 นะครับ

    ที่ไม่กลัวตาย ก็เพราะรู้ว่า ร่างกายนี้ต้องตายแน่

    รู้ว่าที่ร่างกายตาย ก็คือร่างกายนี้ตาย ไม่ใช่เราตาย

    เพราะเราคือจิต คือธาตุรู้ ที่เรียกว่าอทิสมานกาย ที่มาอาศัยในร่างกายนี้ เพียงชั่วคราวเท่านั้น



    การไม่ยืดติดอะไร ในโลกข้างหลัง ก็เพราะรู้ว่ามันมีแต่ความทุกข์

    และก็รู้ว่าไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรดี และไม่มีอะไรที่เป็นเราเป็นของเรา



    การปรารถนาพระนิพพานเพียงอย่างเดียว

    ก็เพราะรู้ว่าการเกิดนั้นเป็นทุกข์ การเกิดเป็นคนก็เป็นทุกข์

    เกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสูรกาย เกิดเป็นสัตว์นรก ก็เป็นทุกข์หนัก



    การเกิดเป็นเทวดา การเกิดเป็นพรหม ก็แค่พักทุกข์แค่เพียงชั่วคราว

    เมื่อหมดบุญ ก็ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นสัตว์นรก ให้เป็นทุกข์อีก

    ดังนั้นการปรารถนาพระนิพพานโดยส่วนเดียว นั้นก็คือเข้าใจว่าการเกิดนั้นเป็นทุกข์



    ส่วนเรื่องการเกลียดทุกข์ ก็เพราะรู้ว่าความทุกข์นั้นมันน่ากลัว

    ความทุกข์นั้น ไม่มีใครต้องการ

    เมื่อเรารู้ว่า การเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นความทุกข์ แล้วเรายังอยากจะเกิดเป็นสัตว์นรกไหม

    เมื่อรู้ว่า การเกิดเป็นเปรต เป็นทุกข์ แล้วยังอยากจะเกิดเป็นเปรตไหม

    เมื่อรู้ว่า การเกิดเป็นอสูรกาย เป็นทุกข์ แล้วยังอยากจะเกิดเป็นอสูรกายไหม

    เมื่อรู้ว่า การเกิดเป็นสัตว์ เป็นทุกข์ แล้วยังอยากจะเกิดเป็นสัตว์ไหม

    เมื่อรู้ว่า การเกิดเป็นคน เป็นทุกข์ แล้วยังอยากจะเกิดเป็นคนไหม

    เมื่อรู้ว่า การเกิดเป็นเทวดา ก็เป็นการพักทุกข์แค่ชั่วคราว เดี๋ยวก็ต้องมาเกิดให้เป็นทุกข์อีก แล้วยังอยากจะเกิดเป็นเทวดาไหม

    เมื่อรู้ว่า การเกิดเป็นพรหม ก็เป็นการพักทุกข์ เพียงขั่วคราว เมื่อหมดบุญ ก็ต้องมาเกิดให้เป็นทุกข์อีก แล้วยังอยากจะเกิดพรหมไหม



    เมื่อรู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นความทุกข์ ก็ไม่มีใครต้องการที่จะเกิดให้เป็นทุกข์หรอกครับ

    เหมือนอย่างเช่นพระอรหันต์ ท่านก็ไม่ต้องการเกิดอีก เพราะท่านรู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์

    จะไหว้วานท่านอย่างไร ท่านก็ไม่เอาแล้ว ท่านรังเกียจความเกิดเสียแล้ว



    เหมือนกับ หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ท่านก็บอก การเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย

    ท่านไม่ขอเกิดอีกแล้ว ท่านขอเข้าพระนิพพานอย่างเดียว
     
  16. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    พระที่ป่วย (พระโคฐิกะ) สะกดอาจะไม่ถูกนะครับผม
     
  17. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ......การเบื่อหน่าย ร่างกายย่อมมีได้ แม้แต่การที่บุคคลคิดฆ่าตัวตายก็เพราะเบื่อหน่ายในร่างกาย แต่เบื่อจิตตัวเองนั้น หามีไม่ เพราะเราคิดว่าจิตเป็นเรา แท้จริงจิตมิได้เป็นเรา มันเป็นแค่ตัวรับความรู้สึกนึกคิด ได้ด้วยตัวมันเอง

    ....." [๒๓๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
    ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นพระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
    ภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้าง
    คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ข้อ
    นั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตาย
    ก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ย่อมปรากฏ ฉะนั้น ปุถุชน
    ผู้มิได้สดับ จึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายนั้น แต่
    ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ
    บ้าง ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต
    เป็นต้นนั้นได้เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนผู้มิ
    ได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่น
    เป็นตัวตนของเรา ดังนี้ ตลอดกาลช้านาน ฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงจะเบื่อ
    หน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นไม่ได้เลย ฯ........"

    ......การหลุดพ้นจากจิต ก็คือ การเข้าสู้นิพพาน การหลุดพ้นจากจิต เป็นของทำได้ยาก

    .....แต่พระองค์ ก็รับประกันไว้ว่าถ้าเราทำได้ โดยการทำสติปัฏฐานสี่อย่างถูกต้อง ไม่เกิน เจ็ดปี ถ้าบุคคลนั้น ไม่มีอนัตริยกรรม ก็สามารถ บรรลุธรรม เบื้องต้นได้
    .....มีสติ มีสัมปชัญญะ ละความยินดียินร้าย ในโลกเสียได้ ทำได้หรือไม่ เท่านั้นเอง มีสติ มีความรุ้สึกตัว อยู่ตลอด เจ็ดปี ไม่ยินดีในจิต ไม่ยินดีในอารมณ์ทั้งปวง ทำได้ก็หลุดพ้น
     
  18. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ขอบคุณทุกท่าน ที่มาช่วยอธิบาย เชิง ปฎิบัติ วิเคราะห์ เเละเล่าจากประสบการณ์ ตำรา สร้างมุมมองที่หลากหลาย ให้กับผู้ที่มีจริตต่างๆ ได้นำไปใช้เสริมการสร้างบารมี ขออนุโมทนาความดีครับ


    ผมตั่งกระทู้ก็เพื่อมีเจตนาลึกๆว่าให้คนที่อ่านได้ไปในทางที่ดีกว่าปัจจุบันชาติ คงไม่สามารถไปนิพพานได้ 100% เเต่ก็เฉียดก็ดีมากเเล้วครับ

    เเละถ้านิพพานไม่ดูยากเกินไป หลายๆคนจะกล้าที่จะลองเข้ามาพยายามไปนิพพานเเละศึกษาเชิงลึกละเอียดมากขึ้น เเละเข้าสู่ความดีเลิศในที่สุด
     
  19. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    หลางพ่อฤาษีกล่าวว่า

    " คนที่จะไปพระนิพพานได้เขาใช้อารมณ์แบบนี้
    ตั้งใจฟังนะแล้วคิดตามไปด้วย แล้วก็ตั้งใจตัดไปให้เสร็จ
    .
    จงคิดว่าร่างกายที่ประกอบไปด้วยธาตุ ๔
    มีธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ ...
    รวมเรียกว่าร่างกายก็แล้วกัน มันมีสภาพที่จะต้องตายแน่
    ในเมื่อมันตายมันก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
    ถ้ามันเป็นเราจริง เป็นของเราจริง มันต้องไม่ตาย
    เพราะเราไม่ต้องการให้มันตาย
    คิดว่าต้องตายกันแน่ ถ้าเราตายตราวนี้ไปนิพพาน
    .
    คนที่ตายแล้วไปนิพพานเขาทำจิตกันอย่างไร
    คิดว่าไม่ห่วงใยในร่างกายของเรา
    ไม่ห่วงใยในทรัพย์สิน ไม่ห่วงใยในร่างกายผู้อื่น
    ตายไปแล้วไปห่วงทำเกลืออะไร
    ไม่มีแม่คนไหนตายไปแล้วมาหุงข้าวให้ลูกกิน
    ไม่มีพ่อคนไหนตายแล้วมาทำงาน
    ทำไร่ทำนารับบริการให้ลูก
    มันเป็นกฏธรรมดา ตายแล้วก็แล้วกันไป
    ขันธ์ห้าของเรา ขันธ์ห้าของคนอื่น
    วัตถุธาตุเราไม่ห่วง ไม่ห่วงตามความเป็นจริง
    ไปห่วงก็ไม่เกิดประโยชน์ "
     
  20. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    มันจะมาติดแบบนี้

    แบบแรก เมื่อการรับรู้ทางกายดับหมด ซึ่งถ้ามันดับไปเลย จะเป็นอย่างไร

    แต่ว่า เมื่อดับการรับรู้ทางกายแล้ว มันเหมือนดับไม่มีอะไรเลย แม้ตัวรู้ แทนที่จะดับไปเลย จู่ๆ ตัวรู้อะไรไม่รู้มันทำงาน มันเกิดการรับรู้ทางกายขึ้นมาอีก แต่กายนั่น ไม่ใช่ร่างกาย นั้นแหละเป็นปัญหาเลย

    ในหลายกรณี การรับรู้ทางร่างกายดับไปแล้ว มันเกิดรู้กายนั่น "กายนั่น" แบบหลายครั้ง คือ ไม่ใช่ดับครั้งเดียว เกิดครั้งเดียว คือ "กายนั่น" มันมีกายนั่นอีก ดับจากกายนั่น ไปกายนั่นอีก มันเป็นของมันเอง

    ก่อนจะร่วงไปกับกายนั่น กายที่ร่วงแบบไม่มีวันจบ รอดูมันร่วงไปเรื่อยๆ

    มาถึงตรงนี้ หรือก่อนหน้านี้ คือ กายนั่น กายแรก หรือ ถึงกายนั่น กายร่วง

    ความสงสัยก่อนขึ้นมาก่อนเลย มันผุดของมันเอง ว่า

    เราตายไปแล้วนิ แล้วนี่มันอะไร แค่จิตผุดถามขึ้นว่า มันจะร่วงไปไหน มันจะร่วงอีกนานไหม ....ฯลฯ แค่จิตผุดถามแค่คำถามเดียว

    สักพัก มันจะดับการรับรู้ของมันอีกรอบ

    แล้วสักพัก ภพใหม่ก็เกิดขึ้นของมันเอง

    "ลำพังการไม่กลัวตาย ไม่นิพพาน"

    ช่วยกันหาสาเหตุ การเกิดดับของ กายนั่น แล้วไม่ต้องเกิดกายนั่นใดๆ อีก หรือเกิดภพใหม่ หรือนิพพานไปเลย หรือการพ้นจากกลไกตรงนั้นครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...