คัมภีร์เงาโลหิต (สำนักซูซาน)

หากไม่ทำสงคราม อะไรจะเกิดขึ้น?​

1 จีน
จะค่อยๆ "กลืนเงียบ" จะไม่เหลืออะไรเลย เรียกว่าชนะโดยไม่ต้องรบกันเลย
ถ้าไม่มีสงคราม ไทยก็จะถูกกลืนเงียบไม่ต่างจากทิเบตและลาว ไม่เพียงแต่ไทย
แต่การกลืนเงียบจะขยายออกไปไม่มีที่สิ้นสุด

2 อเมริกา
จะดันทุรังใช้ "ดอลล่าร์ขยะ" ต่อไป ไม่มีเงินใช้ ก็พิมพ์แบ้งค์ออกมาเรื่อยๆ
อย่างไร้ค่า ไร้ความหมาย และไม่สนใจผลกระทบอะไรทั้งนั้น แบ้งค์กระดาษ
ที่ไม่มีอะไรหนุนนี้ จะทำให้เกิดหายนะในอนาคตครับ

คนที่ต้องเดือดร้อนและมารับผลกระทบของพวกเขาเหล่านี้ ก็มีทั้งประเทศเล็กๆ
น้อยๆ ที่ถูกกลืนเงียบ ประเทศกลุ่ม EU ที่ได้รับพิษเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเข้า
ไปเต็มๆ ส่วนโลกมุสลิมก็จมอยู่ในวังวนสงคราม พวกขี้โกง อยู่ในโลกนี้ได้อย่าง
ไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบอะไร ก็ดื้อรั้นอยู่อย่างนั้นต่อไป บนความยาก
ลำบากของผู้อื่น

ดังนั้น สงครามจึงเป็นทางออก จุดจบไม่ให้คนขี้โกง โกงได้ต่อไป

 

มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดเดียวเท่านั้น
ที่ไม่เคยพึงพอใจในสิ่งที่เป็น...

ส่วนสัตว์ทั้งหลาย..
ต่างก็พอใจในสิ่งที่มันเป็น...

ความดื้อ.คือเครื่องกีดขวาง
แม้จะใฝ่ฝันถึงอิสรภาพ
แต่กลับรู้สึกละอายใจ
เมื่อนึกถึงมัน...

(คัมภีร์ไร้เงา.ไร้สำนัก)

 

โลกมันก็ขับเคลื่อน พัฒนาไปได้
ด้วยความไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นนี่ละ

ถ้ามันพอใจแล้ว มันก็จบ มันก็ไม่ต้องทำอะไร
อยู่เฉยๆ แบบนั้น มันก็ไม่ก้าวหน้า ไม่พัฒนาไปได้

 

ต้นกำเนิดของ "ความเห็นแก่ตัว"


คนที่มีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น ย่อมไม่เคยได้มีชีวิตอยู่อย่างแท้จริง
เมื่อนั้น เขาย่อมเกิดปมด้อยและเรียกร้องการมีอยู่ของตนเอง

และนั่น "ความเห็นแก่ตัว" ย่อมเกิดขึ้นเพื่อการได้มีอยู่ของตนเอง
เพราะความขาด ความบกพร่องในการมีชีวิตอยู่ของตัวเองนั่นเอง

มายาภาพของ "การเป็นตัวของตัวเอง" และ "การทำเพื่อตัวเอง"
จึงสำแดงออกมาในรูปของ "ความเห็นแก่ตัว" เอาแต่ใจตัวเอง

นั่นเพราะ เขาไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง
เช่น เขาแต่งตัวสวยงาม ก็เพื่อคนอื่นจะได้ชื่นชมเขา

ทั้งๆ ที่คนเหล่านั้น ก็ไม่ใช่คนที่เขาชอบหรือเขาต้องการเลย
เขาจึงไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง แต่อยู่เพื่อคนอื่นโดยขาดสติ

หากเขามีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองอย่างแท้จริงแล้ว
เขาย่อมรู้ว่านั่นคือการมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นด้วย

เพราะตัวเราและผู้อื่นนั้น ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
เมื่อนั้น "ความเห็นแก่ตัว" ก็จะไม่อาจเกิดขึ้นกับเขาผู้นั้นได้

~ เปาโล ไม่ได้กล่าว ชายเม้าท์เอง ~​

[ame="http://www.youtube.com/watch?v=_TbuNiurq2s"]http://www.youtube.com/watch?v=_TbuNiurq2s[/ame]​

 

... สิ่งใดที่ขับเคลื่อนโลก? ...


สิ่งที่ขับเคลื่อนโลกได้ ไม่ใช่ความรู้
แต่เป็นความเป็นหนึ่งเดียวของเรากับโลก

เมื่อใดที่ธาตุดินในตัวเราเป็นหนึ่งเดียวกับธาตุดินของโลก
ดินในโลกและในร่างกายของเราย่อมแน่วแน่มั่นคงไปด้วยกัน

เมื่อใดที่น้ำในร่างกายของเราเป็นหนึ่งเดียวกับโลก
น้ำในโลกและในตัวเรา จะลื่นไหลไปด้วยกันอย่างกลมกลืน

เมื่อใดที่ลมหายใจของเราเป็นหนึ่งเดียวกับลมในโลก
ลมในโลกและลมหายใจของเรา จะเคลื่อนพัดไปด้วยกัน

เมื่อใดที่ไฟในร่างกายของเราเป็นหนึ่งเดียวกับโลก
ไฟในโลกและในตัวเรา จะลุกโชนสว่างไสวเฉกเช่นกัน

เมื่อใดที่ธาตุไม้ในร่างกายของเราเป็นหนึ่งเดียวกับโลก
ไม้ในโลกและในตัวเรา จะเจริญเติบโต ผลิดอกใบไปด้วยกัน

เมื่อใดที่ธาตุทองในร่างกายของเราเป็นหนึ่งเดียวกับโลก
ธาตุทองในโลกและในตัวเรา ย่อมถูกเจียรไนไปด้วยกันดุจเพชร

การศึกษาที่แท้จริงไม่ได้ให้ความรู้แก่เราเพราะมันไร้ประโยชน์
แต่เป็นการ "ปลุกสำนึกรู้แห่งมนุษย์" ที่เรามีแต่เดิมนั้น ให้ตื่นขึ้น

เมื่อนั้น เราจึงได้รู้ถึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในของเราและทุกๆ คน

~ เปาโล ไม่ได้กล่าว ชายเม้าท์เอง ~​

 

... เราและโลก ...


เราไม่เคยเข้าไปรู้โลก
เพราะโลกกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว

โลกไม่เคยถูกเราเปลี่ยนแปลง
แต่เราและโลก ร่วมเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน

เมื่อใดที่เขาให้เราเรียนรู้และเข้าใจโลก
เขาก็ได้หลงลืมไปแล้วว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับโลก

ดังนั้น เขาจึงพยายามยัดเยียดความรู้ในเรื่องโลกให้เรา
แต่กลับมองไม่เห็นความเป็นโลก ที่อยู่ในตัวของเรา

เมื่อใดที่เขาพยายามขัดขวางไม่ให้เราเปลี่ยนแปลงโลก
เขาก็ได้หลงลืมไปแล้วว่าเราและโลกเปลี่ยนแปลงร่วมกันเสมอ

ดังนั้น เขาจึงพยายามขัดขวางการเปลี่ยนแปลงของโลกและเรา
แต่กลับมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปรของเราและโลกที่ไม่แยกจากกัน

เมื่อใดที่เขาพยายามยัดเยียด "โลกที่เขาสร้างขึ้น" ให้เรายอมรับ
และพยายามจับเราไปเป็นส่วนหนึ่งของมัน ในฐานะขี้ข้าชั้นดีนั้น

เขาได้สร้างการศึกษาแบบธนาคารเพืื่อลดทอนความเป็นมนุษย์
เราจึงต้องยกระดับความเป็นมนุษย์ด้วยการศึกษาของผู้ถูกกดขี่

~ เปาโล ไม่ได้กล่าว ชายเม้าท์เอง ~​

 

[ame="http://www.youtube.com/watch?v=J8rU2CK_1FI"]http://www.youtube.com/watch?v=J8rU2CK_1FI[/ame]

 

เปลี่ยนโลกได้ด้วยความรัก ความเมตตา
ด้วยสมาธิ ด้วยเสียงเพลง เสียงดนตรี
ง่ายมากๆ ทำไมไม่ทำกัน?hello4

 

เราจะต้องยุติสิ่งเก่าๆ
เพื่อเปิดทางให้กับสิ่งใหม่ๆ
โปรดอย่าได้ตีความผิดไป
แน่นอน..สิ่งเก่าๆจะต้องยุติ.

 

"ชีวิตกับความตาย"


ชีวิตที่ไม่ตาย ย่อมไม่ใช่ชีวิต
เพราะความมีชีวิต ไม่ใช่ความตายตัว
การดำรงอยู่อย่างตายตัว จึงไม่ใช่การมีชีวิต

ความแปรเปลี่ยนและความตายน่ะละ แสดงถึง "ความมีชีวิต"

​

 

สัตว์ส่วนใหญ่ตอนเกิดกับตอนตายจะคล้ายกัน
ชีวิตมันเดินไปบนระนาบเดียว...

ถ้าคนเราเคลื่อนที่ตามแนวราบ
เราก็จะพลาดจากความเป็นมนุษย์...

การเคลื่อนที่ในแนวราบทำให้ท่านอยู่ไปวันๆ
อย่างไร้วิญญาณ...;41

 

เด็กยุคใหม่เลยต้องมีแนวทางของตัวเอง ไม่แกน X ก็แกน Y หรือ Z ละ

 

โลกของผู้ใด ย่อมขึ้นอยู่กับความคิด อารมณ์ ความรู้สึกของผู้นั้น
มนุษย์ยังปราศจากความรู้เห็นถึง ธรรมชาติิความเป็นจริง

หรือความเป็นจริงของธรรมชาติ อันผูกพันเชื่อมโยงกันเป็นระบบ
อันส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน เปรียบเสมือน"คลื่นใต้น้ำ"
ฉันใดก็ฉันนั้น...

กฏแห่งจักรวาล สิ่งที่เหมือนกันย่อมดึงดูดกัน
ฉะนั้น การมองโลกด้วยความคิดในแง่บวก
ย่อมให้ผลกำไรเป็นอันมาก...;aa47

 

อิสระ..ที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องมีใครมาปกครอง

แค่เรียนรู้ที่จะครองใจตนเอง..ไม่จำเป็นต้องครองชีวิตใคร

การต่อสู้กับมารอย่างชาญฉลาด คือ ไม่เป็นทาสอารมณ์

ดับมารด้วยน้ำใจ หน่ะดีจริง..hello4

 

나는 또한 좋은 인터페이스, 쉬운 탐색 매우 흥미로운 발견이 훌륭한 포럼 주셔서 대단히 감사합니다. 정말 위대하다! 축하 행운을 빕니다.

voyance gratuite par email

 

"การมี" และ "การเป็น" ในทัศนะของเปาโล


"การมี" หมายถึง เราเป็นส่วนหนึ่ง (อัตตาหนึ่ง) และสิ่งที่เรามีเป็นอีกส่วนหนึ่ง (อัตตาหนึ่ง) สองอย่างนี้ เป็นสองสิ่ง แบ่งแยกกันไปแล้ว เหมือนทัศนคติแบบ "เขาเรา" หรือตัวกูของกู นั่นเอง การมองมุมนี้ เปาโล เห็นว่าผิดไปจากความเป็นจริง คนที่มองโลกแบบนี้ ก็จะทำให้ตนเอง "มี" หรือได้ครอบครองสิ่งต่างๆ มากขึ้น ทว่า มันกลับทำให้เขากับสรรพสิ่ง ไม่อาจเป็นหนึ่งเดียวกันได้เลย เพราะมุมมองเช่นนี้

"การเป็น" หมายถึง เราและสรรพสิ่ง "เป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว" ดังนี้ จึงไม่มีเหตุผลที่เราจะต้อง "เข้าไปครอบครอง" สิ่งใด เราไม่จำเป็นต้องไป "เรียกร้อง ปชต." เพื่อให้ได้ ปชต. มาครอบครอง เพราะเรา "เป็นหนึ่งเดียวกับ ปชต." ได้ หากเราเข้าถึงความเป็น ปชต. ได้จริงๆ เราจะไม่ต้องไปเรียกร้อง หรือขอจากใคร เพราะเรา "เป็น" หนึ่งเดียวกับสิ่งนั้นๆ แล้ว เราจึงไม่ต้องไป "มี" หรือครอบครองสิ่งนั้นๆ อีก

คุณละ? มีมากขึ้น หรือว่า "เป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว" ....

 

... ทหารพลีชีพ ผู้มีบารมี 30 ทัศ ...


มีเยอะแยะเป็นกองทัพเลยครับ เพราะอะไร? เพราะมันไม่ได้มีคนเดียวที่ไปรบ เอาง่ายๆ พระนเรศวรไปรบคนเดียวหรือ? ไม่หรอก ไปทีเป็นกองทัพ กองทัพทั้งหมดอาจมีเป็นหมื่นเป็นแสนนาย ถ้าพลีชีพตายในสนามรบได้บารมีกี่ทัศ? ตอบสิ สามสิบทัศครับ เพราะสละชีวิตเลย อันนี้ "มากกว่าพระเวสสันดร" นะครับ เพราะพระเวสสันดรนี่ท่านสละมาแค่ลูกเมีย และบัลลังก์ แต่ท่านยังไม่ได้สละชีวิต ดังนั้น ท่านจึงมาเกิดเพื่อบำเพ็ญบารมีให้ได้สามสิบทัศร่วมกับพระศรีอาร์ฯ หรือก็คือ พระนเรศวรน่ะละ ชาติที่หนึ่ง ท่านเกิดเป็น "พระเอกาทศรถ" แต่ไม่ถึงกับพลีชีพ เลยได้ไม่เต็ม ชาติต่อมา เกิดเป็นลูกพระเจ้าตากสิน ทั้งสององค์เลย องค์พี่คือ องค์ดำ องค์น้องคือองค์ขาว กอบกู้เอกราช ไม่ใช่ให้ตัวเองนะ ให้พ่อ ให้คนอื่น สุดท้าย ถูกประหารชีวิต

ทหารของท่านก็ได้บารมี 30 ทัศมาแต่อดีตชาตินั้น ชาตินี้มาเกิดเป็นคนไทย เรียกว่า "พวกเด็กแนว" พวก Hipster หรือเจนเนเรชั่นวายครับ พวกเรามีบารมี 30 ทัศกันมาแล้ว ดังนั้น ไอ้พวกความดีห่าอัลไล หรือบุญกระจอกๆ สร้างวัดสร้างวาห่าอัลไล พวกเราจึงไม่สนใจ วันๆ เราจะสนใจแต่เกมที่มีการยิงกัน ฆ่ากัน ทำสงครามกัน เพราะจิตของเราทำมาแบบนั้น เก็จป่ะ? พวกทำบุญสร้างวัดอัลไลนั่น ก็ปล่อยให้พวกที่เขาอยากได้บุญเล็กบุญน้อยทำกันไป อย่างเรามันต้อง "ตาย" ใช่ป่ะ? ไปตายๆ กันซะ จะได้ "กำเนิดใหม่" ไม่ใช่ตายทางสังขารนะ อย่างไอ้ เน วัดดาว มันก็ลองยิงตัวตายมาละ นั่นละฮะ ทั่นผู้ชม มันต้องแบบนั้น มันต้องลองตายดู 555 แล้วจะรู้ว่ากำเนิดใหม่ มันเป็นอย่างไร แต่อย่าง เน วัดดาว ก็ยังไม่ใช่นะฮะ เขาแค่ทดลอง ลองผิด ลองถูกไปก็เท่านั้นเอง ของจริงต้องอย่างชายนี่ ตายแล้วเกิดใหม่ในสังขารเดิม

คนที่สร้างบารมี 30 ทัศมาไม่ต้องไปทำบุญ ทำความดีห่าอัลไลละฮะ

 

เขาด่า เรานิ่ง เขาบาป เราบุญ
ตายแล้วไปไหน ไม่ต้องสนใจ
แต่ให้สนใจปัจจุบันว่า ทำตัวดีแค่ไหน?
ปล.ถ้าด่าเพราะปรารถนาดี บาปมั้ย?

 

หน้าที่ของมนุษย์ เกิดมาเพื่อพ้นทุกข์
เป้าหมายหลักคือ "กลับบ้านเก่า"
ขอบคุณคนชั่วร้าย เพราะเขามาเพื่อปรับสมดุล
มองคนให้ลึกๆ อย่าไปโกรธ ไปเกลียดใคร
อย่าไปพิพากษาใคร และเราไม่ได้เกิดมาเพื่อล้างแค้นใคร?

 

พิเภกลงมือสร้าง "กลียุค" แล้ว ...


- หญิงชุดแดงในสนามหลวง (ทำลายภาพลักษณ์คนรักพ่อ)
- ขยะมากมายในสนามหลวง (เรียกชุมนุมผีเปรตเข้าล้อมกรุง)
- ตำรวจไล่คนออกนอก ปท. (ไล่พญาครุฑออกจากพระราชวัง)
- ชายชุดดำโปรยเงินในสนามหลวง (จูนผีสัมภเวสีหิวบุญเข้ามา)
- การเผยแพร่กรณีสวรรคต ของ ร. 8 (ปลดปล่อยวิญญาณ ร. 8)
ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นการบงการและวางแผนให้ทำ เป้าหมายคือ การเปลี่ยนพลังงานที่คุ้มครองพระราชวัง ทำให้พลังงานเก่าที่เป็นชั้นเทพ จรออกไป แล้วทำให้พลังงานใหม่ที่เป็นชั้นต่ำ พวกเปรต สัมภเวสีทั้งหลาย เข้ามาแทนที่ ตามคำทำนายที่ว่า

"ผีเมืองจะเข้าป่า ผีป่าจะเข้าเมือง"

ผลคือ พลังคุ้มครองพระราชวังจะอ่อนลง ครั้งก่อนที่คนเสื้อแดงประท้วง มีการยิงปืนเข้าพระราชวัง แต่กลับไม่มีผลกระทบใดๆ อย่างปาฏิหาริย์ นั่นเพราะพลังงานเก่าชั้นเทพ ยังออกไม่หมด ดังนั้น พวกเขาจึงต้องทำซ้ำ ให้พลังงานเก่าชั้นเทพ ออกไปให้หมด เพื่อไม่ให้มีพลังคุ้มครองสถาบันฯ แล้วดึงพลังชั้นต่ำเข้ามาแทนที่ ยังไงละครับ

มันเป็นวิชาพราหมณ์ คนเป็นพราหมณ์เท่านั้นจะทำได้ครับ