เรื่องเด่น มีวิธีเช็คยังไงครับว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่รับพยากรณ์แล้ว

มีวิธีเช็คยังไงครับว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วกรณีไม่ได้อภิญญาและไม่ได้มโนมยิทธิตั้งสมาธิยกพระพุทธรูปเสี่ยงทายที่พระธาตุพนมพอจะเชื่อได้ไหมครับรบกวนท่านผู้รู้ช่วยตอบทีครับ

 

ให้เจริญวิปัสนา จนถึงอนุโลมญาน ครับ

คนปกติ หรือ พระโพธิสัตว์ทั่วไป รวมถึงแม้จะได้รับพยากรณ์แล้ว เมื่อเจริญวิปัสนา จะมาหยุดที่สังขารุเปกขาญาน

มีเพียงพระโพธิสัตว์ที่บารมีมากๆ เมื่อเจริญวิปัสนาจะมาสิ้นสุดที่ อนุโลมญาน ซึ่งวิธีนี้ ถูกต้อง100% ไม่ต้องพึ่งญานผู้อื่น ไม่ต้องเสี่ยงทาย ไม่ต้องอาศัยนิมิตที่มีโอกาสผิดพลาด

 

ขอบคุณครับเป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ

 

เรื่องนี้ ถ้าเราได้รับพุทธพยากรณ์ เราจะรู้ตัวเองครับ ไม่ต้องใช่อภิญญาก็สามารถรู้ได้

พิสูจน์ตนเองโดยพิจารณาครับ บารมีสามสิบทัศน์ท่านรู้เองถึง ธรรมบารมีนั้นทั่วถึงหรือไม่ พระโพธิสัตว์ที่เป็นนิตย ต้องรู้วิถีบำเพ็ญบารมีโดยไม่ต้องมีใครสอน แต่การใช้ชีวิตของท่านเอง ท่านเมื่อพิจารณาธรรมบารมีสามสิบทัศน์ ท่านจะเห็นว่า ท่านบำเพ็ญข้อใดข้อหนึ่งเป็นหลักเสมอครับ

ไม่ต้องอธิษฐาน ไม่ต้องใช้อภิญญาครับ ตัวจิตท่านต้องทราบและสามารถอธิบายถึงธรรมบารมีได้อย่างถูกต้องครับ และสามารถอธิบายได้โดยไม่ต้องอ่านหนังสือ

ท่านพิจารณาบารมีธรรมท่านได้เลย

ปล. ด้วยความที่จิตของพระโพธิสัตว์รู้แจ้งถึงบารมีธรรมสามสิบทัศน์เอง นั้นแหละที่ทำให้พระโพธิสัตว์จะเห็นวิถีทางของธรรมบารมี เหมือนกระแตโพธิสัตว์ไงครับ เชื่อมั่นในความเพียร จนไม่ฟังพระอินทร์นั้นแหละ (ในช่วงแรกนะครับ ที่ไม่ฟัง ภายหลังก็ฟัง แต่ความเชื่อมั่นใน วิริยะบารมี นั้นแหละ ไม่มีใครทำลายลงได้)

 

ขอแนะนำว่าอย่าใช้ความรู้สึกในการตัดสินครับ เพราะความรู้สึกของมนุษย์มันง่ายต่อการหลงผิด

คงได้ยินข่าวบ่อยๆว่ามีคนอ้างว่าเป็นพระศรีอาริย์มาเกิด หลายเคสหลายกรณี

หรือที่เด่นชัดในปัจจุบัน คือ "ธัมชโย" รายนี้ก็ใช้ความรู้สึก ที่ถูกกิเลสหลอก จนหลงคิดว่าตนเองคือบรมโพธิสัตว์ ใหญ่ที่สุดในจักรวาล ใหญ่เสียยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ซึ่งอาจจะมาจากนิมิตที่ตนเองสร้างขึ้น ซึ่งการหลงผิดนี้จะพาตนเอง และพวกที่นับถือลงนรกจำนวนมาก

เรื่องการพยากรณ์ว่าตนเองคือพระโพธิสัตว์หรือว่าได้รับพยากรณ์แล้วหรือยังที่จะแม่นยำและแน่นอนคือ

1 ต้องฟังจากพระพุทธเจ้า

2 ภาวนาจนได้อนุโลมญาน

3ฟังจากพระอรหันต์

ปัจจุบันจึงเหลือทางเลือกอยู่ 2 ทาง

คือ
1 การภาวนาจนได้อนุโลมญาน เป็นทางเลือกที่แม่นยำแต่ต้องใช้ความพยายาม และเป็นสิ่งควรทำที่สุดในการลงมาเกิดในยุคนี้ พระโพธิสัตว์ต้องชำนาญใน สติปัฏฐาน 4 เพราะต้องเอาไปใช้สั่งสอนผู้อื่นยามเป็นพระพุทธเจ้า.และเรียนได้ในยุคนี้เท่านั้น

2 การอาศัยพระอรหันต์ แต่การจะยืนยันว่าใครเป็นพระอรหันต์ เป็นเรื่องลำบาก ต้องมีวาสนาถึงจะได้พบ พบแล้วท่านสามารถพยากรณ์ได้ไหม หรือท่านจะพยากรณ์ให้หรือเปล่า บางยุคไม่มีพระอรหันต์เลย หรือหายากมากๆอย่างสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์

เนื่องจากวิธีทั้ง 2 ที่กล่าว ค่อนข้างลำบาก จึงพบว่าพระโพธิสัตว์บางส่วนแม้จะมีบารมีมาก แต่ไม่กล้าประกาศตนเป็นพระโพธิสัตว์ เพราะเกรงว่าถ้าไม่ใช่จะทำให้ตนเองและคนรอบข้างลำบาก การเงียบหรือปฏิเสธจึงสมควรแก่ตน เหมือนในกรณี ร4

 

ออครับขอบคุณมากครับ2เควสหลังพอจะเป็นไปได้ครับ

 

เสริมนิดนึงนะครับ

ตอนที่พระโพธิสัตว์ได้รับพุทธทำนายแล้ว แผ่นดินยังไม่สั่นไหว ต่อเมื่อพระโพธิสัตว์ไปพิจารณาบารมี สามสิบทัศ แผ่นดินจึงสั่นไหวไปทั่วหมื่นโลกธาตุ ดังนั้น พระนิตยโพธิสัตว์จึงเป็นบุคคลที่มีจิตที่รู้แจ่มแจ้งใน บารมีสามสิบทัศ มากกว่าผู้ใด (เว้นแต่ พระพุทธองค์ และพระนิตยโพธิสัตว์ด้วยกันเท่านั้น)

และด้วยจิตที่เข้าถึงบารมี 30 นั้นแหละ ทำให้การบำเพ็ญที่ยาวนานมีหลักชัยจนบรรลุเป็นพุทธเจ้าได้ ดังนั้น เป็นไปไม่ได้ที่พระนิตยโพธิสัตว์จะไม่ทราบ หรือไม่มีสภาวะจิตที่หยั่งรู้ถึงบารมี 30 อุปมา เหมือนพระโสดาบัน แม้เกิดใหม่ภายใน 7 ชาติที่เหลือ ความที่ตัดสังโยชน์ได้ ทำให้จิตท่านย่อมไม่มีสังโยชน์ทั้งสาม

อีกประการ แม้โพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับพุทธทำนาย ก็ต้องพิจารณาบารมีสามสิบทัศ เพราะหากไม่บำเพ็ญบารมี 30 ทัศ การอยู่เวียนว่ายตายเกิดเป็นสิ่งที่ไม่ปรารถนาเลย (คือ ไปนิพพานดีกว่า มุ่งนิพพานดีกว่า)

ธรรม จะบอกเราเองครับ ต่อให้ไม่มีพระพุทธเจ้า พระปัจเจก พระอรหันต์ ธรรมบารมีนั้นแหละที่นำทางพระโพธิสัตว์จนบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า

 

สาธุครับเป็นความรู้อย่างยิ่ง

 

แต่ละสายของ ปัญญา ศรัทธา วิริยะ ก็มีวิธีคิด/วิธีสร้างบารมีในแบบของตนครับ

 

รบกวนท่านแนะนำในแต่ละสายด้วยครับเพื่อเป็นความรู้และสร้างธรรมทานครับ

 

เอาแบบย่อๆตามความเข้าใจของผม

พวกปัญญาธิกะ ก็อาศัยปัญญานำ หรือโยโสมนสิการ จะทำความดีหรือสร้างบารมี ก็พิจารณาก่อนแล้ว ว่าจะทำสิ่งนั้นทำไม เห็นประโยชน์อะไร เมื่อเข้าใจจึงจะลงมือทำ

เลือกวิธีและตั้งเป้าหมายสูงสุดก่อน จัดลำดับความสำคัญ ไม่ออกนอกลู่นอกทาง

พอใช้ปัญญานำ ความผิดพลาดน้อย ได้ผลมาก และลัดสั้นกว่าแบบอื่น


ส่วนสาย ศรัทธา วิริยะ ต้องให้พวกท่านเหล่านั้นตอบน่าจะถูกต้องกว่า

 

เป็นความรู้อย่างยิ่งครับสาธุ รบกวนท่านศรัทธาและวิริยะมาแนะนำวิธีการด้วยครับเพื่อเป็นการศึกษาและธรรมะทานครับ

 

ขอรบกวนพระโพธิสัตว์ ประเภทศรัทธาและวิริยะมาแนะนำวิธีปฎิบัติด้วยนะครับเพื่อเป็นธรรมมะทานและเป็นแนวทางในการปฏิบัติครับ

 

นางแก้วของพระโพธิสัตว์นี่จะเริ่มมีช่วงบารมีตอนไหนครับรบกวนผู้รู้อธิบายไห้ฟังทีครับ

 

ปกติ ก่อนโพธิสัตว์รับพุทธพยากรณฺครั้งแรก จะมีการกำหนดไว้แล้ว (จากกรรมนั้นแหละ)

ปกติ สองคนที่จะมาเป็นอัครสาวกซ้ายขวา จะมาก่อนใคร เพราะผู้ชายมักรักศรัทธากันได้ง่าย เหมือนทหารที่ลุยกันไป โดยกรณีประเภทวิริยะ กับศรัทธาจะเห็นกันนานจึงมักตั้งอธิษฐานตามกันนานมาก และรอเวลาที่เหมาะสมของโพธิสัตว์ แต่ประเภทปัญญาเวลาน้อยมาก ส่วนใหญ่กว่าจะตั้งใจอธิษฐานกันก็เกือบๆ ก่อนจะได้รับพุทธทำนาย (หมายถึง กว่าโพธิสัตว์จะมีคุณสมบัติใน 8 ข้อ เกือบครบ ประเภทปัญญานั้นจะใกล้รับพุทธทำนาย แต่ประเภทวิริยะ กับศรัทธา จะมีคุณสมบัติที่พร้อมก่อนนานมาก เหลือแค่รอบุญกุศลที่จะได้กระทำต่อพุทธองค์เท่านั้น อันนี้ ดูช่วงเวลาอธิษฐานจะเป็นพุทธด้วยวาจาของสองประเภทนี้ จะนานกว่ามาก)

เมื่อคุณสมบัติใกล้ครบ 8 ข้อ มากกายวาจาใจของโพธิสัตว์ จะเป็นไปเพื่อโพธิญาณ การเปล่งวาจาประกอบการทำกุศลใหญ่เช่น สละชีวิต จะทำให้สรรสัตว์ที่แวดล้อมศรัทธา ผู้ที่ศรัทธาในแนวทางก็จะอธิษฐานตาม ส่วนใหญ่ซ้ายขวามาก่อนนานมาก แต่สตรีมีน้อยนักที่จะมีใจใหญ่แบบผู้ชาย ดังนั้น ต้องรอนานกว่าจะปรากฎสักคน แต่ข้อสำคัญคือ เป็นธรรมชาติของโพธิสัตว์ต้องมีนางแก้ว เพราะเมตตาของโพธิสัตว์ที่พัฒนาจากหยาบไปละเอียดจะแสดงต่อภริยาและลูกก่อน เพียงแต่พอปัญญากล้าขึ้นมากๆ ภริยากับลูกบางทีจะไม่เข้าใจความรักแบบพระโพธิสัตว์ แต่ต้องมีสักคนสองคนที่จะเข้าใจ (ชาดกในช่วงนิตยโพธิสัตวฺ์บำเพ็ญเพียรจึงปรากฎว่า มีภริยา(นางสนม 84000 คน (คือจำนวนที่มาก)) ดังนั้น เลยกลายเป็นว่า นางแก้วจึงต้องมีบทบาทมากกว่าซ้ายขวา ในตอนบำเพ็ญเพราะคนที่นอ่งใกล้กับโพธิสัตว์ยิ่งได้รัยผลกระทบมากที่สุด (ทานบารมีกับเนกขัมมะบารมีจะทำให้ภริยากับบุตรธิดาที่มาอยู่ด้วยต้องรับผล ถ้าเข้าใจก็ดี ถ้าไม่เข้าใจก็หลุดไป)

ดังนั้น ไม่ว่านางแก้ว หรือซ้ายขวา ก็เริ่มมีช่วงเปล่งวาจาก่อนได้รับพุทธทำนาย ส่วนจะเริ่มก่อนแค่ไหน กี่อสงไขยก่อนต้องดูประเภท ประเภทปัญญาน่าจะไม่เกิน 2 อสงไขยก่อนรับพุทธทำนาย(ซึ่งตั้งจิตกันแล้ว แต่อาจทิ้งนานตามวาระ (การอุบัติของพุทธจะมีส่วนกับความต่อเนื่องด้วย) นางแก้วอาจตั้งจิตกันก่อน(เป็นปัญญาของแต่ละนางไป แต่ยังไม่โพล่งออกมา) แต่ถ้านางใดตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าพุทธ นางนั้นกุศลบารมีจะมากจึงตามโพธิสัตว์ได้(หมายถึง ถ้าดวงจิตมีปัญญาเห็นในคุณแห่งโพธิญาณ ก็นับพอกล่าวได้ทำนองว่า มีศีลเสมอกับโพธิสัตว์ ก็คือ รับบุญบารมีที่มากมายของโพธิสัตว์ได้)

นางแก้ว จึงจะเริ่มมีได้ก็เมื่อโพธิสัตวฺเปล่งวาจาในขณะทำมหากุศลในห้วงเวลาที่ คุณสมบัติ8ข้อ ใกล้บริบูรณ์ และจะสำเร็จได้ดังที่จิตนางอธิษฐานก็ต่อเมิ่อนางตั้งต่อหน้าพุทธอวค์ (โพธิสัตว์เอง เร่งบารมีในช่วงนั้น คือ ปรารถนาพบพุทธและทำมหากุศล ดังนั้น ทางจึงต้องสอดคล้องกัน นางแก้วอย่างน้อยนอกจากทำกุศลยังต้องเคยทีศรัทธาแต่ตั้งจิตปรารถนาพบพุทธด้วย)

 

พระโพธิสัตว์ขั้นอุปบารมีแก่กล้ามีสิทธิ์ได้ไปพักที่สวรรค์ชั้นดุสิตไหมครับ

 

ไม่ต้องถึงขั้นอุปบารมีเลยครับ

ขนาดยังไม่ได้นิตยโพธิสัตว์ ก็ขึ้นไปชั้นดุสิตได้

การขึ้นชั้นดุสิต มีแค่จิตที่รักในโพธิญาณ + ประกอบกุศลชั้นอุปบารมี กับปรมัตถ์

คือแม้ยังไม่ได้รับพุทธทำนาย ยังไม่เป็นนิตย แต่ถ้าท่านมีจิตรักโพธิญาณ และประกอบมหากุศลเพื่อประโยชน์มหาชน ตั้งแต่ระดับอุปบารมี จนถึงปรมัตถ์ และประคองจิตอย่างนั้นได้จนตาย

ท่านก็ไปอยู่ดุสิตได้ครับ

สรุปคือ สาระไม่ได้อยู่ว่า เราเป็นอะไร ในช่วงใด(ไม่ต้องไปคิดว่า ต้องนิตย อนิตยเลย) แต่อยู่ที่ จิตเราเป็นอย่างไรและก่อกรรมอย่างไรตามแนวโพธิสัตวธรรม ต่างหากครับ

 

+++ ขอดูที่ "ลายฝ่ามือ และ ลายฝ่าเท้า" ของท่านผู้นั้น ว่า "ปรากฏมีลายที่เป็นลักษณะที่เป็น ธรรมจักร" ปรากฏแล้วหรือไม่ เท่านั้นเอง ไม่ยุ่งยาก นะครับ

 

พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพุทธพยากรณ์จะมีรอยธรรมจักรที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าหรอครับ สาธุเป็นความรู้เพิ่มเติมอีกครับ

 

ไม่เห็นเคยได้ยินเลยครับ เข้าใจว่าผู้ที่มีลายมือเป็นธรรมจักรมีเฉพาะพระพุทธเจ้า