เรื่องเด่น คําคมสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 17 พฤษภาคม 2017.

  1. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    ผีบ้านผีเรือน โยมต้องเลี้ยงด้วยบุญกุศล การสวดมนต์เจริญภาวนาให้มาก ชยันโตให้มากนั้นดี เท่ากับว่าโยมทำบุญขึ้นบ้านใหม่บ่อยๆ บ้านโยมก็จะสะอาด เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าบ้านเรือนโยมสกปรกมากน่ะ ร่างกายโยมก็จะทรุดโทรมได้ไว เพราะว่ามันกินตัวมันเอง พอมันมีฝุ่นมากๆเป็นยังไงจ๊ะ มีปลวกมั้ยจ๊ะ มีไรมั้ยจ๊ะ ไอ้พวกเหลือบไร..คำว่าเหลือบไรนี้แหล่ะจ้ะ คือมันมาแฝงเราโดยที่เราไม่รู้ตัว มันมากับความโสมมความสกปรก คืออกุศลมูลไงล่ะจ๊ะ สิ่งที่เราทำกรรมไม่ดีนั่นแหล่ะจ้ะมันมากับสิ่งนั้น ดังนั้นฉันจึงบอกว่าการเข้า"เจริญกรรมฐาน"นี้แลเป็นการ"ล้างกรรม"อย่างหนึ่ง

    การล้างกรรมให้มันสะอาด..ไม่ได้ให้กรรมหมดไปนะ ใช่มั้ยจ๊ะ ถามว่าโยมชำระร่างกายของโยมให้มันสะอาด แต่ถามว่าความสกปรกหมดไปมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่หมดค่ะ) เช่นเดียวกัน ดังนั้นโยมจะทำให้ความสกปรกหมดไปเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าโยมยังมีกายสังขาร โยมก็ต้องกินทุกวัน ไอ้สิ่งสกปรกมันก็ต้องทำหน้าที่ของมันทุกวัน มันทำหน้าที่เพราะมันรู้หน้าที่ แล้วโยมรู้หน้าที่มั้ยจ๊ะ มันเองมันยังรู้หน้าที่เลยตัวสกปรก..ตัวกิเลสน่ะ ใช่มั้ยจ๊ะ นั้นเรามีหน้าที่ทำความสะอาด เพื่อว่าทำความสะอาดแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับความสะอาดของเรา ให้เราน่าอยู่ เพื่อไม่ให้โรคภัยมันเข้ามา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นจิตและใจก็เช่นเดียวกัน โยมต้องทำความสะอาด ถ้าไม่งั้นมันก็จะหม่นหมอง เหมือนพระจันทร์น่ะมีเมฆมาบัง แล้วโยมจะเห็นทางกันมั้ยจ๊ะ มันก็มืดมนอยู่อย่างนั้น ความหดหู่เศร้าหมองก็ดี ทีนี้ปีศาจร้ายทั้งหลายมันก็จะเข้ามาสิงสู่ตอนไหนเราก็ไม่รู้ เพราะอะไรเล่าจ๊ะ เพราะมันบังหมดแล้ว ความสว่างไม่เห็น เราก็เกิดความหลงทีนี้..หลงทาง แล้วจะออกจากป่าที่หลงได้อย่างไร ร่างกายนั้นคือป่าใหญ่นะ ไอ้ป่าพญาเย็นพญาร้อนอะไรทั้งหลายน่ะดงพญาไฟน่ะยังไม่ใหญ่เท่าป่าเราเลยนะ โยมมีฤทธิ์เดชโยมไปท่องเที่ยวธุดงค์โยมยังเที่ยวทะลุทั้งป่าได้ แต่ป่าของเราน่ะเราหลงมาไม่รู้เท่าไหร่กี่ร้อยพันชาติ ก็ยังเดินสำรวจไม่หมด ถ้าใครสำรวจหมดจะเลิกหลงทันที แล้วออกจากป่านี้ได้อย่างสบาย นี่ไงจ๊ะ ที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกตรัสไว้ “ใครรอบรู้ในกายสังขาร เรียกว่าเป็นผู้มีปัญญาอย่างแท้จริง” เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  2. tharaphut

    tharaphut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,721
    ค่าพลัง:
    +5,211
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ
     
  3. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    การจะทำอะไรแล้วจงตั้งสติอยู่ตลอดเวลาทุกขณะจิต จิตนี้แม้เราตั้งจิตมีสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลาแล้ว แต่คราใดเมื่อเราพลั้งเผลอ คลาดเคลื่อนจากการเผลอเรอของตัวสติแล้ว แต่สติที่เราเคยฝึกไว้ดีแล้ว ชอบแล้วนั้นมันจะเข้ามาทำหน้าที่คอยดูแลพิทักษ์ระวังรักษาจิตโดยอัตโนมัติของมันอย่างนั้น เช่นเดียวกับบุญเมื่อโยมทำไว้ดีแล้ว เมื่อเกิดเหตุเภทภัยที่โยมจะต้องเจอประสบในกรรมทั้งหลายทั้งปวงที่โยมทำไว้ บุญกุศลนั้นแลจะมารองรับภัยทั้งหลายทั้งปวงของโยม แต่แล้วก็อยู่ที่สุดแล้วแต่กรรมที่โยมทำไว้หนักเบาแค่ไหน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้ามันเป็นแค่เศษกรรมโยมก็จะไม่ได้รับความรู้สึกอะไรเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่ทุกอย่างในกรรมในอดีตนั้น..ก็ไม่สามารถแก้ไขได้ ที่จะแก้ไขได้นี่คือกรรมปัจจุบัน คือเมื่อโยมทำกรรมในปัจจุบันมากๆเข้าแล้ว ทำอยู่เป็นนิตย์ เป็นนิสัย แล้วเมื่อกรรมในอดีตมันมาให้ผล มันก็ต้องมาดูกันว่ากรรมในปัจจุบันโยมมีเท่าไหร่ ถ้าโยมมีมากพอแล้วมันก็พยุง ขัดดอกกันไปได้ จึงเรียกว่าเสมอกัน จึงเรียกว่าผดุงกรรมกันไว้ จึงเรียกว่าทรงไว้เช่นนั้น ไม่ทรุดไม่ต่ำไปกว่านั้น

    ดังนั้นบุญนั้นจึงต้องทำอยู่ตลอดเวลา เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะเราไม่รู้ได้ว่ากรรมในอดีตมันจะมาให้ผลตอนไหน นั่นก็หมายถึงว่าเราก็ไม่รู้ว่าเราจะตายตอนไหน ตอนไหนที่ลมเข้าแล้วลมไม่ออกก็คือตาย ใช่หรือไม่ นั้นโยมอย่าปฏิเสธว่าทำไมต้องทำบุญ ทำไปเพื่ออะไร ก็เพื่อตัวของโยมเองไงล่ะจ๊ะ ที่ต้องมีลมหายใจอยู่ เพื่อจะต้องตอบแทนคุณบิดามารดา ตอบแทนหนี้บุญกุศลอันใหม่ที่โยมสร้างมันขึ้นมา คือลูกเต้าบุตรหลานของโยมทั้งหลายทั้งปวง ใช่หรือไม่ นี่จึงเรียกว่าการใช้หนี้ไม่มีวันสิ้นสุด จะสิ้นสุดได้เมื่อโยมตัดกรรมที่"ใจ"โยมได้ แล้วกรรมที่โยมสร้างขึ้นมานี้มันไม่รู้เท่าไหร่ ที่โยมเกิดแล้วตาย เกิดแล้วตายซ้ำซากจำเจอยู่อย่างนี้

    ก็ไอ้ใจดวงเดียวนี้แหล่ะจ้ะ ที่มันฝังลึกมีรากเหง้าแผ่กระจายไม่รู้เท่าไหร่ นี้ถ้าโยมไปหาเหตุมันได้ ไปดับมันได้ ไปตัดมันได้ โยมก็จะตัดกรรมได้ การเกิดแห่งการเกิดนั้นมันก็จักไม่มี สิ่งนี้แหล่ะจ้ะคือเหตุใหญ่แห่งศาสนา เหตุใหญ่ที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านอุบัติขึ้นมาเพื่อการตรัสรู้ธรรมโดยแท้ เพื่อให้เกิดความสว่างแห่งโลก แต่แม้องค์สัพพัญญูจะมีฤทธานุภาพแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถบอกให้บุคคลทั้งหลายทั้งปวงนั้นว่าเธอจงพ้นทุกข์ แล้วพ้นทุกข์ได้ตามนั้น..ไม่มี มีแต่บอกว่าทางนี้ควรเดิน ดำเนินแล้วจะสามารถพ้นทุกข์ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ..

    เมื่อโยมรู้แล้วทางนี้ควรเดินแต่โยมไม่เดิน แล้วบางคนเดินแต่เดินยังไม่สุดทาง แล้วบอกว่าไม่เห็นอะไร นี่ไงล่ะจ๊ะ แสดงว่าความศรัทธาความเชื่อโยมไม่ถึง สิ่งใดเมื่อโยมไม่ถึงสิ่งใดโยมก็ไม่รู้สิ่งนั้นได้โดยปัญญาอันชอบ ดังนั้นโยมทำอะไรต้องทำให้"สุดใจ" สุดใจเขาเรียกว่าสุดความเพียร ความเพียรจะบังเกิดได้โยมต้องมี"ขันติแห่งธรรม" ถ้าใครปราศจากขันติแห่งธรรมแล้ว ความเพียรจะบังเกิดขึ้นได้ยาก แล้วขันติแห่งธรรมนั้นจะรักษาได้อยู่ตลอดได้ก็ต้องมี"สัจจะ" เป็นการอธิษฐานบารมีควบคู่กันไป หากขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วทุกอย่างจะไม่สมบูรณ์ โยมมีศีลอย่างเดียวได้มั้ยจ๊ะ ความประเสริฐของศีลนั้นจะบริบูรณ์ได้ถ้าโยมไม่มีสมาธิ โยมก็รักษาศีลได้ไม่ตลอด ใช่หรือไม่ เช่นเดียวกับโยมรักษาความดีมาแล้ว ทำความดีมาแล้วแต่โยมไม่มีสติ ไม่มีกำลังจิตรักษาสิ่งนั้นไว้ได้ บุญกุศลก็ดี ของมีค่าก็ดีโยมก็รักษาไว้ได้ไม่ตลอด นั้นโยมต้องฝึกจิตเพื่อให้มีกำลังเพื่อที่จะเอาไปรักษาบุญกุศลที่โยมสร้างมา..

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  4. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    การอุทิศบุญกุศลนี้ คำว่า"อุทิศ"นี้ หรือ"การกรวด"ก็ดี ก็เรียกเป็นการตั้งจิต เมื่อเราตั้งจิตนี้แล เรียกว่าเป็น"การเจาะจง" เราเจาะจงให้ใคร ตั้งจิตไปที่ใครนี้แลถือว่าเรียกว่าเป็นการอุทิศบุญ คือการกรวดบุญ พิจารณาดีแล้ว เห็นชอบแล้วจึงดำริบุญออกไปให้ จึงเรียกว่าเป็นการอุทิศเป็นการเจาะจง

    จิตเมื่อเราเห็น ภาพก็ปรากฏ จิตมันก็บอกว่าเราต้องการปรารถนาอย่างไร เมื่อจิตเรามีอำนาจมาก มีกำลังมาก แรงส่งบุญกุศลมันก็มีมาก เราก็ต้องมีการอธิษฐานจิต บุญกุศลเหล่าใดบารมีของเราที่เราเคยทำมาแล้วในอดีตก็ดี จวบจนถึงปัจจุบันในขณะนี้ก็ดี ไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติทั้งหลายทั้งปวง ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และแห่งทานศีลภาวนาที่ข้าพเจ้าเคยสะสมเคยทำมาในตบะเดชาเป็นที่ตั้งนี้ ขออำนาจบุญกุศลนี้จงสำเร็จประโยชน์ให้กับผู้นั้นผู้นี้ที่ยังตกทุกข์ได้ยาก หรือที่เราเคยมีเวรอาฆาตพยาบาททั้งหลายทั้งปวงนี้ ก็ต้องดูอารมณ์ของเรานั้น มีอารมณ์ใดมาก ก็ให้ตั้งจิตกับบุคคลนั้นที่เรามีอารมณ์ใดมีมาก เราก็ต้องไปแก้ไขที่อารมณ์นั้น คือหตุนั้น คือไฟกองนั้น เพื่อให้มันดับด้วยอำนาจแห่งบุญ สิ่งเหล่านี้แลมันจะตัดอุปสรรคในชีวิตแห่งทางโลกโยมได้

    เมื่ออุปสรรคในทางชีวิตของทางโลกโยมมันเบาบาง มันไม่เร่าร้อนแล้ว ทางธรรมของโยมคือจิตของโยมนั้นก็สงบร่มเย็นเป็นสุขได้ง่าย การจะเข้าเจริญสมาธิภาวนาก็ทำได้ง่าย คือจิตที่ไม่เร่าร้อน ดังนั้นอำนาจจิตนี้มีอำนาจมาก เมื่อจิตเรานั้นสงบตั้งมั่นแล้ว เบิกบานดีแล้ว สว่างไสวดีแล้วก็เหมาะแล้วกับการเพาะปลูกคุณงามความดีเจริญบุญเจริญกุศล การเจริญบุญคือคิดดี การคิดดีคือการแผ่เมตตาจิตให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มีเวรไม่มีภัยไม่มีพยาบาท ไม่มีความอาฆาตมาดร้าย ไม่มีริษยาต่อใคร..นี่เรียกว่าแผ่บุญ

    การว่าแผ่กุศลก็คือ เมื่อจิตเรานี้ได้เกิดปัญญาแล้ว พิจารณาแล้ว เห็นทุกข์ในวัฏฏะแล้ว เราก็จะเห็นอย่างนี้ แล้วก็เห็นประโยชน์ต่อสัตว์โลก เห็นเช่นเดียวกัน เราก็จะมีความเมตตาปราณี มีกรุณา มีอภัยทานแห่งจิต คือการอโหสิกรรม

    การอโหสินี้ คือการให้อภัย เพื่อไม่ให้ติดกรรมกันต่อไป เมื่อเราไม่มีกรรมต่อใคร เราก็ไม่มีหนี้ต่อใครเช่นเดียวกัน เมื่อเราไม่มีหนี้กับใคร เราจะทำการสิ่งใดนั้นเราก็ไม่ต้องไปใช้หนี้เขา สิ่งเหล่านี้เรียกว่ากำจัดอุปสรรคในทางโลก เมื่อเรากำจัดในทางโลกมากเท่าไหร่ทางธรรมเราก็เป็นสุขมากเท่านั้น เพราะเราไม่มีหนี้แล้ว การห่วงก็ดี ความกังวลจิตกังวลใจก็ดีมันก็จะเบาบาง...

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๐
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
    โทร ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,070
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
  6. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    จำไว้นะจ๊ะ ของนี้เป็นของคู่กันมาคือ"ทุกข์และสุข" ปฏิเสธไม่ได้ใช่มั้ยจ๊ะ ยามใดโยมอยากสุข เห็นมั้ยจ๊ะ โยมก็ต้องแสวงหาด้วยทุกข์กว่าจะได้สุขมาเพียงน้อยนิด ใช่มั้ยจ๊ะ นั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะออกห่างจากกันได้ นั้นเมื่อมีสุขก็ให้รู้และไม่หลงระเริงมันมากจนเกินไป แต่เมื่อมีทุกข์คราใดเราก็ต้องทนอยู่กับมัน และไปดูเหตุทำไมมันเกิดทุกข์ เพราะเราไม่รู้เหตุที่เท่าทันในทุกข์นั้นแล เราจึงทนมันไม่ได้ เพราะขาดสติกำลังที่ไประงับเหตุ เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันจึงบานปลายเผาให้มันเร่าร้อน

    ดังนั้นคราใดที่มีแต่ทุกข์ให้กำหนดรู้ เอาทุกข์นั้นแลมาเป็นกรรมฐานซะ เอามาปลงซะ เอามาพิจารณาซะ ทำอยู่บ่อยๆแล้วเราจะชิน จิตเราจะเข้มแข็งเอง เราทนต่อทุกข์ได้มากเท่าไหร่ นั่นแหล่ะจ้ะสังขารเราจะชะลอการเจ็บป่วยเสื่อมได้มากแค่นั้น จำไว้นะจ๊ะ แต่ถ้าเราทำไม่ได้ ไม่มียาอะไรเลยที่จะรักษาได้ เราต้องเยียวยารักษาตัวเราเอง ไม่มีใครมารู้กรรมเท่าตัวเราเอง ใจป่วยเพราะขาดกำลัง เราก็ต้องให้กำลังใจตัวเอง สังขารป่วยเราก็ต้องยอมรับชะตากรรม รักษาเค้าไปตามอัตภาพ

    เพราะอัตภาพนี้กายสังขารนี้มันมีทุกข์มาก มีสุขน้อยเป็นธรรมดา คราใดที่มันมีทุกข์ก็เอาทุกข์นั่นแลมาพิจารณาซะ ไปชดเชยกับที่เรามีสุข คราใดเมื่อเรามีสุขแล้วนั่นแลเราจะไม่หลงสุข เราจะวางสุขได้ เมื่อเราวางสุขได้แม้ทุกข์เราก็วางได้เช่นเดียวกัน แต่เพราะเรามีสุขนั้นแล้วเราไปยึดสุขไปพอใจในสุข ไปหลงระเริงสุข พอมีทุกข์เราจึงรับกันไม่ได้นั่นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมทำสองอย่างนี้ให้มันพอดีเหมือนๆกัน จิตใจมันจะวางเป็นกลางได้คือวางเฉยได้ เพราะเราไม่เคยวางนั่นเอง ทุกข์มันจึงบังเกิดอยู่ร่ำไป..

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๐
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  7. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    เพราะการเกิดเป็นทุกข์ เหมือนว่าโยมนั้นรอการประหาร เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะโลกใบนี้เหมือนคุกใบหนึ่ง..เรือนจำ การประหารคืออะไร คนมนุษย์นั้นถ้าไม่ตายด้วยโรคใดโรคหนึ่ง ก็ตายด้วยอุบัติเหตุแห่งกรรมคือกรรมมาตัดรอน ตายด้วยอายุสังขารคืออายุขัยหมด นั่นก็คือการรอประหารอย่างหนึ่ง แต่ถ้าโยมฝึกตายโยมจะไม่กลัวตายเมื่อเข้าแดนประหาร ความสั่นสะเทิ้นอะไรก็ไม่มีแล้ว เพราะเราได้ตัดในความกลัวนั้นไปแล้ว และโยมก็ได้ใช้กรรมเขา คือเอาสังขารให้เขาไป สังเวยไป แต่จิตเราได้หลุดพ้นคือการไม่กลัวแล้ว ถ้าเรายังกลัวอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งของจิต จิตนั้นแลจะต้องไปเสวยทุคติภูมิอยู่

    ดังนั้นให้โยมรู้ว่าแม้โยมจะไม่ติดคุกจริง แต่โลกใบนี้คือคุกใหญ่ คือมหานรก คือคุกที่โยมมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ถ้าใครพิจารณาในกายสังขารแล้วจะเห็นว่ามีโทษมีภัยนัก เห็นมั้ยจ๊ะ แม้ใครไม่มาเบียดเบียนเรา ไม่มาทำร้ายเรา เวทนาความทุกข์ก็บังเกิดขึ้นในกายนี้ทุกขณะจิตเช่นเดียวกัน ดังนั้นเราจะรู้ไม่ได้เลยว่าวันใดวันหนึ่งที่ลมหายใจเรานั้นมันเข้าแล้วไม่ออก นั่นแหล่ะจ้ะ..พญามัจจุราชได้มาหาเราแล้ว ถ้าประหารในขณะที่เราไม่มีสติ ที่เรายังหลับไหลนอนอยู่นั้น..เราไม่ได้สั่งเสียอะไรเลย ใช่หรือไม่จ๊ะ นั้นขอให้โยมนั้นจงตั้งสติฝึกตายก่อนตายไว้ เพราะอีกไม่นานโยมจะได้เห็นการตายได้อย่างชัดเจน ฝึกตายไว้ ฝึกประหัตประหารไว้กับกิเลส คือเอาความเพียรไปเผา เพราะมันเผาเรามามากแล้ว ทุกวันนี้มันเผาด้วยไฟโทสะ เผาด้วยไฟโมหะ เผาด้วยไฟราคะ ไม่มีวันดับเลย ไอ้สามกองนี้ แต่ขณะใดขณะหนึ่งเราวางจิตสงบได้ ที่ไฟสามกองนี้มันมีเชื้ออยู่ก็จริงแต่ในขณะนั้นมันไม่ลุกขึ้นมา เพราะถูกอำนาจบุญกุศลเราทับอยู่ก็ดี ด้วยสติแห่งฌานกดทับอยู่ก็ดีนั้นแล เมื่อเราปิดอบายภูมิในขณะนั้น คนที่เจริญสมาธิอยู่ เจริญภาวนาอยู่ เจริญศีลให้บังเกิดขึ้นอยู่ ในขณะนั้นบุคคลนั้นได้ชื่อว่าปิดอบายภูมิ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    "อบายภูมิ"แสดงว่าก็บ่งบอกได้เลยว่า ไอ้อารมณ์ที่มันเกิดขึ้นในโทสะ โมหะ โลภะนั้นคืออบายภูมิของจิต ทุคติภูมิที่จิตมันจะไปเกิดถ้าในขณะนั้นบุคคลนั้นลมหายใจไม่มีแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าเมื่อใดบุคคลใดมีสติอยู่กับการเจริญภาวนา อยู่กับจิตตลอดเวลา ด้วยกายวาจาใจ..สำรวมกายวาจาใจอยู่ตลอดเวลานั้นแล บุคคลนั้นได้อยู่ท่ามกลางสวรรค์หรือวิมาน ถ้าตายในขณะนั้น ดับจิตในขณะนั้นจิตเขาเป็นสุข เขาก็ต้องไปอยู่ในวิมานทันที แต่ในขณะใดผู้ใดเสวยโทสะอยู่ แล้วตายในขณะนั้น มันก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น เหตุอย่างไรผลก็ต้องให้อย่างนั้น นี่เป็นของเที่ยงแท้ และเป็นของสัจธรรมที่เกิดขึ้นคู่กับโลกใบนี้

    นั้นการที่โยมเจริญศีลเจริญภาวนาเจริญสติอยู่นี้ เรียกว่าเป็นการ"ปิดอบายภูมิ" ไม่มีใครมาปิดให้โยมได้ และจงจำไว้ คนที่เสวยอารมณ์โทสะโมหะโลภะมาก แสดงว่าโยมนั้นเปิดให้สัตว์นรกนั้นเข้ามาสิงสู่ในจิตวิญญาณโยมมาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วกรรมทั้งหลายมันก็มาให้ผล และถ้าโยมมันเข้ามามากเท่าไหร่โยมก็ไม่รู้ตัวเลย มารู้ตัวอีกทีตอนมันให้ผลแล้ว แล้วโยมก็บอกว่าฉันกลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้แล้ว จะสร้างคุณงามความดีก็ไม่ได้แล้ว นี่เค้าเรียกว่ามันบังทุกอย่างแล้ว เห็นมั้ยจ๊ะ เมื่อมันแข็งแรงแล้วมันก็ยึด ทั้งๆที่เรือนกายนี้เป็นของสิทธิ์ของเราที่เราเกิดมา แต่เรายอมให้สิ่งพวกนั้น สัมภเวสีก็ดี วิญญาณจากนรกก็ดี มันมายึดครอง เพราะอะไรเล่าจ๊ะ เพราะมันมีอำนาจมากกว่านั่นเอง แสดงว่าบุคคลผู้นั้นหนีเขามาเกิด เข้าใจมั้ยจ๊ะ พอพวกนี้มันมาตามทันมาตามเจอทีนี้มันก็ต้องชดใช้กันไป จำไว้ว่าโยมทำกรรมชั่วทำกรรมดีอะไรไว้ให้โยมหนีไปที่ไหนก็ตาม..หนีไม่ได้ กรรมโยมยังติดตามอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ...

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  8. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    คำว่า"กุศล"นี้ เรียกว่าเจริญกุศลให้มันเกิดความฉลาดแห่งปัญญา หรือเป็นอุบายที่เรียกว่าการอบรมบ่มจิตอย่างหนึ่ง นั้นการภาวนาจิตนี้จึงเรียกว่าเป็นการเพิ่มพลังบุญกุศลขึ้นมา แต่คำว่า"บุญ"ก็คือความดี ความสุขที่เราได้..ได้สัมผัส เมื่อเราทำสิ่งการใดแล้วไม่ทำให้เราเดือดร้อน ทำให้เรามีความสุขนั้น ไม่เป็นโทษเป็นภัยกับสิ่งใด นั้นเรียกว่าความดี จึงเรียกว่าเป็นบุญ เช่นว่าเราคิดดีกับคนอื่นเค้า..โมทนา สิ่งเหล่านี้ก็เรียกว่าเป็นจิตที่เป็นกุศล จึงเรียกเป็นบุญ ไม่เป็นโทษ ดังนั้นบุคคลใดที่ไม่มีเวลาจะเข้าวัดเข้าวาไปเจริญความภาวนา แท้ที่จริงแล้วกายสังขารเรานี้แลคือเรือนใจ คือกายสังขารที่เขาให้มานี้ได้แค่อาศัย ให้สร้างประโยชน์คุณงามความดี

    ก็กายเรานี้ที่เรียกว่าเป็นขันธ์ ๕ นี้ ที่ก็เรียกว่ากองทุกข์นี้ ให้ร่างกายสังขารนี้นำพาไปสร้างบุญกุศล ไปสร้างกรรมดีและกรรมชั่ว ก็สุดแล้วแต่บุคคลใดจะปรารถนาที่จะกระทำ นั้นก็จึงได้บอกว่าก็ควรมีหลักอยู่ที่ใจ มีกายตัวนี้สังขารนี้เป็นที่พึ่งที่อาศัย มีที่ยึดเหนี่ยวมั่นแห่งพระรัตนตรัย เมื่อนั้นแล เมื่อจิตใจเรามีศีลมีธรรมอยู่บ่อยๆเนืองๆแล้ว ต่อไปนั้นเราก็สามารถเข้าวัดเข้าวาได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่ใช่มาบอกว่าไม่มีเวลาเลย ลูกหลานก็ยุ่งอีรุงตุงนังไปหมด หากินก็ยังไม่พอ จริงที่แท้จริงแล้วน่ะที่โยมน่ะเกิดมาลำบาก ไม่เหมือนคนอื่นที่สมบูรณ์ เหตุทั้งหลายทั้งปวงก็เพราะว่าอำนาจเกิดจากศีลทั้งนั้น

    นั้น"ศีล"นี้คืออะไร ศีลตัวนี้ถ้าผู้ใดเข้าไปรักษาแล้ว อบรมบ่มจิตอยู่เป็นนิตย์แล้วไซร้ ก็เรียกว่าจะได้ความเจริญ ได้กุศลให้มาหนุนนำให้ชีวิตในทางโลกของเรานั้นมันสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จึงเรียกว่าเมื่อสมบูรณ์แล้ว จึงเรียกว่าไม่ขาดแคลน คำว่า"ขาดแคลน"นี้เค้าเรียกว่าศีลนั้นเราบกพร่อง ผิดปกติ เมื่อใจผิดปกติแล้ว อำนาจที่แฝงเร้นด้วยธรรมชาติที่เรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็นแล้วเค้าจะเข้ามาแฝงในจิตในกายของเรา ในธาตุขันธ์นี้ นั้นความผิดปกติตัวนี้ถ้าเราไม่ได้เจริญสติ คือตัวระลึกได้ อยู่ในอารมณ์ปัจจุบัน อยู่ในกายอยู่ทุกขณะจิตของเรานั้น มีความเผลอคือความหลง คือความไม่รู้คืออวิชชาตัวนี้มันจะเข้ามามีบทบาททำหน้าที่มาครอบงำจิตเรา นี่แลเรียกว่าวิญญาณที่เรามองไม่เห็น เราจะกำจัดสิ่งนี้ออกไปได้อย่างไร มีสิ่งที่ควรทำที่จะกำจัดสิ่งนี้ออกไปได้ นั่นเรียกว่าเมฆหมอกแห่งมนตรา คือต้อง"สาธยายมนต์" ดังเช่นที่โยมกระทำกันนั้น แต่การสาธยายมนต์นั้นมันมี"มนต์เข้า"กับ"มนต์ออก"

    มนต์เข้าเป็นอย่างไร เมื่อเราสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ หรือบทสวดบทใดที่เราเจริญสรรเสริญแล้ว มีแต่ประกอบคุณงามความดีสรรเสริญแต่พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ สวดแล้วบทนั้นเรียกว่าเป็นมงคลแล้ว สวดแล้วจิตใจเรานั้นไม่เร่าร้อนแล้ว มีจิตที่มีสมาธิตั้งมั่นจดจ่อในอักขระภาษาที่เราสวดแล้ว นั้นเรียกว่ามนต์จะเข้าตัว มีพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ขณะที่เราสวดนั้น ดินน้ำไฟลมที่เราเข้าและออกคือลมปราณเรานี้ และมีจิตใจจดจ่อต่ออักขระภาษานี้ ก็เรียกว่าได้อำนาจแห่งพุทธมนต์เข้าไปจึงเรียกว่าเป็นพุทธคุณเข้ามาในธาตุกายสังขารของเรา แต่ว่ามนต์ออกนั้น แม้ว่าปากเราจะสวดในภาษา แต่จิตเรานั้นไม่ได้ตั้งมั่นเลยจดจ่อกับสิ่งที่เราสวดนั้น มนต์นั้นก็เข้าตัวเราไม่ได้ เค้าเรียกว่ามนต์ออก เข้าใจมั้ยจ๊ะ..

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  9. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    ขออโหสิกรรมกับคุณ spatorn ด้วยนะครับ ที่ผมเอาบทความมาลงโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตก่อน

    ลืมสนิทเลยจริงๆเห็นเป็นกระทู้ที่ดีมากเลย จึงอยากเอามาแบ่งปันให้ญาติธรรมของหลวงปู่โตได้นำไปปฏิบัติตามแนวทางของหลวงปู่โต เลยเผลอลงก่อนที่จะขออนุญาต

    ขออโหสิกรรมอีกครั้งครับ และก็อนุโมทนาบุญกับคุณ supatorn ด้วยครับ ที่นำบทความดีๆมาลงให้ระลึกถึงครู อาจารย์ สาธุ สาธุ สาธุครับ

    ขอบคุณครับ
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,070
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ขอบพระคุณมากเลยค่ะที่ท่านลงบทความค่ะ ขออภัยเพิ่งเข้ามาค่ะ เชิญท่านเลยค่ะ
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,070
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
  12. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    คำว่า"นิพพาน"น่ะ เมื่อโยมถึงจริงแล้ว เรียกว่าจะสิ้นสงสัยทุกอย่าง จิตถ้าโยมยังไม่ว่างเว้นจากความสิ้นสงสัยน่ะ นิพพานในชั่วขณะเดียวก็ยังไม่เกิด มันบังเกิดไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อจิตโยมนิ่งตั้งมั่นรวมเป็นหนึ่ง จิตที่ว่างเว้นจากความอกุศลและความฟุ้งซ่านรำคาญใจทุกอย่าง นั่นเรียกว่านิพพานก็บังเกิดชั่วคราว

    นิพพานบังเกิดชั่วคราว แต่เมื่อโยมเสวยนิพพานอยู่บ่อยๆในความว่างแห่งจิต ที่ไม่มีอกุศลมูลทั้งหลายมาเจือปน เมื่อโยมทำให้มันมากบ่อยๆเข้า โยมก็จะติดอยู่ในนิพพานได้ เห็นชัดในนิพพานได้ แจ้งชัดในนิพพานได้ นั่นคือกำจัดความฟุ้งซ่านรำคาญใจออก ก็คือละนั่นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่างอื่นโยมไม่ต้องไปสงสัยหรืออยากรู้

    คำว่านิพพานน่ะไม่ได้ไปอยู่ที่ไหน หรือตั้งอยู่ที่ใด คือมันตั้งอยู่ที่"ใจ"ของโยมก่อน ทุกข์อยู่ที่ใดนิพพานก็อยู่ที่นั่น โยมดับทุกข์ที่ใดได้ นิพพานก็อยู่ตรงนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เมื่อโยมดับทุกข์ในขณะนั้น นิโรธบังเกิดในขณะนั้น..โยมเห็นทาง ทางเดินแห่งมรรคนั่นแล คือทางที่ไปสู่นิพพาน ทีนี้ถ้าโยมเดินบ่อยๆ นิพพานที่โยมหวังไว้ปรารถนาไว้ โยมก็สามารถหวังได้ เอื้อมได้ แต่โยมบอกว่าหวังนิพพานแต่โยมไม่ไปเดิน โยมไม่รู้เส้นทาง หรือเรียกว่าโยมจะไปที่ใดโยมไม่มีแผนที่บอก เราจะไปถูกมั้ยจ๊ะ เหมือนคนหลงในป่าใหญ่

    นั่นก็เรียกว่าทุกคนในโลกนี้หลงอยู่ในวัฏฏะ คือหลงตัวตน หลงตนจึงมองไม่เห็นตน เมื่อไม่เห็นตนแล้วจะรู้ตนได้อย่างไร ใช่มั้ยจ๊ะ เพราะตนนั้นแลคือตถาคต ตนนั้นแลคือผู้ที่บอกทาง ตนนั้นแลคือที่พึ่ง ตนนั้นแลคือผู้ที่ทำให้ว่างจากกิเลส ตนนั้นแลคือนิพพาน คือไม่มีตนนั้นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ..

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
    โทร ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  13. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    18920203_816047171905356_9008170536280535380_n.jpg
     
  14. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    แม้ในธรรมทั้งหลาย ไม่ว่าธรรมเป็นของใครก็ดี ถ้าเรายังเข้าไม่ถึงก็ให้วางไว้ เพราะธรรมนั้นก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ธรรมใดเราไปคิดแล้ว ระลึกแล้ว แล้วเป็นทุกข์ แสดงว่าธรรมนั้นไม่ใช่ธรรมที่ดี เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าธรรมนั้นเราระลึกแล้วเกิดปัญญา ไม่ก่อโทษแล้ว..ธรรมนั้นเป็นธรรมที่ดีต่อเรา แต่ถ้าธรรมใดที่เรายังเข้าไม่ถึงก็อย่าได้ไปปรามาสธรรมนั้น เพราะว่าจิตนั้นปัญญานั้นยังเข้าไม่ถึง เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ก็ขอให้เรานั้นกำหนดรู้ในธรรมนั้นไว้ เมื่อจิตของเรานั้นมันเต็มบริบูรณ์แล้วด้วยปัญญาด้วยสติ ธรรมนั้นจะกลับมาหาเรา ให้เราเกิดตัวรู้มาสอนเราในภายภาคหน้า

    นั้นการฟังธรรมมากก็เป็นประโยชน์อย่างหนึ่ง เพราะว่าสิ่งที่เราไม่รู้เราจักได้รู้ สิ่งที่เรารู้แล้วได้ฟังซ้ำอีกก็จะยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น มันจะทำให้เรานั้นคลายความสงสัยลงเสียได้ การที่เราวางความสงสัยได้ จิตเราก็จะสงบได้ ตั้งมั่นได้ง่าย นี่เป็น"อานิสงส์การฟังธรรม" เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เขาจึงได้บอกว่า"การฟังธรรม"นั้น เทพเทวดาเขาถึงบอกว่าหาโอกาสได้ยากยิ่งนัก ฉันถึงว่าธรรมนี้หาฟังยากนัก หนึ่งโยมต้องพร้อม สองต้องได้กาลเวลา สามต้องมีวาระแห่งกรรมแห่งธรรมนั้น เห็นมั้ยจ๊ะ ใช่มั้ยจ๊ะ ดังนั้นของเหล่านี้ การฟังธรรมนั้น จึงว่าเป็นมงคลอย่างเลิศ แล้วการที่โยมได้ฟังธรรมแล้ว แล้วน้อมธรรมนั้นมาประพฤติปฏิบัติ..นี่ยิ่งเป็นมหามงคลเลิศเข้าไปใหญ่

    ดังนั้นโยมอย่าได้ไปสนใจว่าที่นี่คนมากคนน้อย สถานที่ไม่โอ่อ่าใหญ่โต โยมจงจำไว้หนึ่งอย่าง สถานที่เรียนรู้วิชาขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีแต่ป่า ต้นไม้ ลำธาร ไม่มีอะไรวิจิตรพิศดารเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ ท่านยังสำเร็จธรรมได้ เอาไม่ยาก เรายิ่งละได้มากเราก็ยิ่งเข้าถึงธรรมได้มาก สถานที่ใดมีความเอื้ออำนวยไปทางกิเลสกามสุขมาก ความสะดวกสบายมาก ก็หาเข้าถึงธรรมได้ยากเช่นเดียวกัน

    ดังนั้นอะไรที่มันเป็นความสะดวกสบายเรา แต่เราพยายามไม่ไปใช้ไปบริการนั่นแล นั่นเรียกว่าผู้นั้นกำลังเจริญธรรมไปในตัว เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่าได้ไปน้อยอกน้อยใจว่าสถานที่ที่เรามาประพฤติปฏิบัติ แหม ไม่สมกับบารมี..ไม่จริง โยมยิ่งติดดินมากเท่าไหร่ โยมก็แข็งแรงมากเท่านั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ โยมไม่สะดวกสบายอะไรมากเท่าไหร่ มันไป"ขัดเกลา"กิเลสของโยมอย่างดี...

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
     
  15. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    อัตภาพนี้มันมีความสุขน้อยมีทุกข์มาก อะไรที่ว่ามีสุข..ล้วนแล้วแต่เรานั้นหลอกลวงขึ้นมาให้มันสุข ที่แท้มันก็กลับเป็นทุกข์อยู่ดี ความสุขที่โยมได้ไม่นานมันก็แปรเป็นทุกข์กลับขึ้นมาอีก ใช่มั้ยจ๊ะ แล้วอะไรที่มันมีอยู่ตลอดเวลาเล่าจ๊ะ..มันก็คือทุกข์นั่นเอง ถ้าพิจารณาแล้ว โยมมีอาหารการกิน โยมก็ว่ามีสุข ใช่มั้ยจ๊ะ พอกินมากก็ทุกข์อีก เพราะอะไรเล่าจ๊ะ เพราะโยมก็ต้องไปถ่าย ดังนั้นเมื่อเกิดเวทนาน่ะให้รู้อยู่บ่อยๆ คนมาด่าว่าก็เป็นเวทนานะ เพราะอะไรที่เกิดอารมณ์นั่นแหล่ะจ้ะ คือจิตไปรับรู้ปฏิสนธิ นั่นเรียกว่าวิญญาณ เข้าไปสัมผัสเข้าไปจุติเกิด จึงเรียกว่าเวทนา เพราะมันมีอารมณ์

    ถ้าโยมไม่มีอารมณ์เสียแล้ว รูปก็ดับ เวทนาก็ดับ สัญญาก็ดับ สังขารก็ไม่ต้องคิดปรุงแต่ง..ก็ดับ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เหลือแต่วิญญาณล้วนๆ ก็คือตัวนี้มันจะเห็น"จิตในจิต" นิโรธมันก็เกิดมันก็ดับ โยมจะเห็นการเกิดการดับตลอดเวลา เมื่อเราเห็นมากๆเข้าเราจะรู้ได้เลยว่าเราเกิดอะไร ดับไปที่ไหน ไปเกิดเป็นอะไร เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่นี่เราต้องรู้ภายในจิตของเราก่อน รู้เวทนานี่แหล่ะจ้ะ รู้ทุกข์ คือมันเป็นเหตุใหญ่ที่ทำให้คนนั้นมันเกิด"วิบากกรรม" หรือทำให้จุติเกิดคือสมุทัย "สมุ"รู้จักมั้ยจ๊ะ..สมุน่ะ กรรมทั้งหลายมันอยู่ในนี้ ถูกบันทึกด้วยใจของโยมว่าพอใจไม่พอใจ แล้วคิดว่าโยมเกิดมาไม่รู้กี่ชาติ..ว่าเล่มใหญ่แค่ไหนรู้มั้ยจ๊ะ แม้แผ่นฟ้านี้ก็ยังใหญ่สู้สมุดกรรมโยมไม่ได้ เหตุเพราะว่าโยมเกิดตายทับถมมาในซากกระดูกผีของโยมนี้ มหาสมุทรว่ากว้างใหญ่แค่ไหน ถ้าเอาโครงกระดูกของโยมไปถมซะแล้ว มหาสมุทรนั้นก็ยังสู้ไม่ได้

    แล้วโยมคิดว่าการเกิดตายนี้มันมีมากเท่าไหร่ ถ้ามนุษย์เพ่งโทษ เห็นโทษภัยได้อย่างนั้นแล้ว บุคคลผู้นั้นน่ะจะมีการ"ดำริออกจากทุกข์" คือเห็นชอบ คือเห็นทางเดิน คือไม่อยากเกิดอีกต่อไป พอดำริได้อย่างนั้น ความไม่อยากเกิดนี้มันเกิดขึ้นในจิตผู้ใด ดอกบัวผู้นั้นก็ถูกบานขึ้นมา เรียกว่า"กระแสนิพพาน"ชั้นต้นได้บังเกิดขึ้น เมื่อนั้นโยมจะยึดมั่นถือมั่นในพระรัตนตรัย ความคลอนแคลนสงสัยในธรรม ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้น มันก็จะหายไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เพราะที่โยมดำริชอบ เห็นชอบนั้น มันเป็นทางมรรค เป็นทางสายกลาง คือทางออกจากทุกข์โดยแท้ คนจะทำอะไร ถ้ายังไม่คิดหรือดำริ..ไม่มีทางกระทำได้ เพราะความคิดนี้แล บ่งบอกได้ว่ากรรมโยมจะไปในทางใด เพราะโยมคิดดีสักวันหนึ่งโยมก็ได้ทำ เมื่อโยมคิดชั่วมากๆโยมก็ได้ทำเช่นนั้นเช่นเดียวกัน..

    นั้นการที่โยมนั้นนั่งบัลลังก์เข่าคู้ก็ดีให้เห็นทุกข์ รู้ทุกข์อยู่บ่อยๆ การเห็นทุกข์น่ะต้องเห็นอยู่ที่ใด เห็นอยู่ในกายสังขาร ไม่ได้เห็นนอกจักรวาลพิภพหรือเขาลูกไหน คืออย่า"ส่งจิตไปที่ใด" ขอให้จิตนี้อยู่ในภายใน ภายในนี้แหล่ะจ้ะเค้าเรียกว่าวัฏฏะ "วัฏฏะ"มันคืออะไร มันก็หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ มีความคิด ความรู้สึก อารมณ์ นั่นเรียว่า"ขันธ์ ๕" จึงเรียกเป็นวัฏฏะ มันหมุนอยู่อย่างนี้ เกิดรูป เกิดเวทนา เกิดอารมณ์ เกิดสัญญาคือความจำได้ก็คิดไป บางคนคิดไปโน่น..บ้าน บางคนก็คิดไปไหนก็ไม่รู้ คิดได้ทั้งวัน ใช่มั้ยจ๊ะไอ้ตัวคิดน่ะ ว่ามันคิดได้คิดดี แท้ที่จริงแล้วถ้าใคร"ละความคิด"ได้มากเท่าไหร่ก็"รวย"มากเท่านั้น มันต่างกันตรงนี้ในเรื่องของการประพฤติปฏิบัติธรรมนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ..

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  16. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    อ า นิ ส ง ส์ แ ห่ ง ก า ร ส า ธ ย า ย ม น ต์

    ความสำคัญแห่งการสวดสาธยายมนต์ มีประโยชน์อย่างไร บางคนไม่ต้องนั่งสมาธิเลยด้วยซ้ำมีความจดจ่อตั้งมั่นในการสวดก็บรรลุธรรมได้ เพราะในการสาธยายมนต์นั้นเมื่อจิตโยมตั้งมั่นสงบแล้ว ปัญญามันก็เกิดได้ในขณะนั้นได้เช่นเดียวกัน แล้วเมื่อโยมเข้าถึงในอักขระภาษาคำแปล นั่นก็เรียกว่าได้เรียนรู้ปริยัติไปในตัว

    การเมื่อโยมสวดมนต์สาธยายมนต์ด้วยมีจิตตั้งมั่น เกิดศรัทธา เกิดสมาธิแล้วไซร้ ธรรมในขณะนั้นก็ผุดขึ้นมาได้เช่นเดียวกันเพราะเมื่อจิตเราจดจ่อต่อการสาธยายมนต์ เรียกว่าจิตจดจ่อ เรียกว่าฌานบังเกิด เมื่อฌานบังเกิดญาณมันก็บังเกิด ปัญญามันก็บังเกิด สามารถเกิดปัญญาได้ในขณะนั้น ก็เรียกว่าจะได้ธรรมจากองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน ทุกอย่างนั้นเมื่อโยมนั้นสำรวมกายวาจาอินทรีย์จนละเอียดดีแล้ว โยมจะเข้าถึงสัมผัสในธรรมได้ แต่ถ้าโยมนั้นได้สักแต่ว่าสวด แต่หามีความสงบหรือมีความตั้งใจไม่นั้น โยมก็ได้แค่ประโยชน์ในการสวด แต่ว่ามันไม่ได้อะไรเกิดขึ้นมา เพราะในขณะที่โยมสวดนั้นถ้าโยมมีความศรัทธาตั้งมั่น เมื่อรู้กาลรู้เวลาแล้วไซร้ โยมจักได้"ให้ทาน"ในการเป็นเสียง สองโยมจักได้"สมาธิ" สามโยมจักได้"ความเพียร" ยังได้สติ ยังได้ปัญญาในขณะนั้น ก็เรียกว่าครบองค์ ๓ เช่นเดียวกัน ศีล สมาธิ และปัญญาย่อมบังเกิดในขณะนั้น

    โยมสวดกี่ชั่วโมงโยมก็ได้เท่านั้น ดังนั้นโยมอย่าได้เห็นว่าการสาธยายมนต์นั้นไม่มีค่า โยมจงจำไว้บุคคลใดสาธยายมนต์แล้วมีการนอบน้อมประพฤติปฏิบัติเช้าเย็นอยู่ตลอดเป็นนิตย์..จนสิ้นอายุขัย บุคคลนั้นก็หาได้ว่าจะต้องตกอบายภูมิได้ไม่เลย เรียกว่าย่อมเข้าถึงสวรรค์นิพพานได้ ดังนั้นก็อย่าได้ประมาทในการสาธยายมนต์ เพราะว่าอะไรล่ะจ๊ะ เป็นการเชื่อมต่อในบุญกุศลได้เป็นอย่างดี เพราะในขณะที่โยมสาธยายมนต์นั้น จิตโยมไม่มีเวรภัยกับใคร ไม่มีอาฆาตพยาบาทกับใคร จิตโยมก็เป็นกุศล เมื่อโยมสาธยายมนต์มากๆจิตโยมก็มีกำลัง แม้โยมจะสวดไปแม้นิวรณ์จะเข้ามาถาโถม มารบกวนโยม แต่ถ้าโยมมีสติจดจ่อ..ดึงกลับมาอยู่ที่อักขระคาถาที่โยมสวดอยู่นั้น ไม่นานๆนั้นมนต์ที่โยมสวดนั้นมันก็จะขับไล่นิวรณ์ หรืออุปสรรคออกไปได้ ยังมีอานิสงส์ไปถึงทางโลกที่โยมได้อาศัยประพฤติปฏิบัติในโลกใบนี้ ยังขจัดเวรภัย ยัง ขจัดอุปสรรค สิ่งที่โยมติดขัดในทางโลกมันก็จักเบาบาง ถ้ามันน้อยก็จักไม่เกิด

    ดังนั้นอย่าคิดว่าไม่มีประโยชน์ แต่มีประโยชน์มหาศาล เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะเทพเทวดาพรหมทั้งหลายนั้น..หากโยมสวดแม้เสียงทำนองไม่เพราะพริ้ง แต่โยมสวดด้วยจิตตั้งใจที่ตั้งมั่นแล้วไซร้ นั่นแหละจ๊ะ เทพองค์อินทร์ทุกชั้นฟ้าก็จักโมทนา จนถึงที่สุดนั้นโยมมีความพร้อมเพรียงกันท่านก็จะเสด็จมาสดับใกล้ๆ รัศมีรังสีโยมเมื่อได้แล้วก็เรียกว่าจะผ่องใส โยมจะเข้าถึงสมาธิ และปัญญาได้ง่าย...

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๙
    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  17. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    ข้อสำคัญที่โยมต้องควรได้..ควรรู้ว่าเรานั้น"บกพร่อง"อะไร กรรมชั่วที่เรายังติดอยู่ ยังแก้ไม่ได้ ให้เพ่งดูอยู่บ่อยๆ เมื่อใดมันเผลอ เมื่อไรมันอ่อนกำลัง เราจะเห็นทางแก้มัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ การเพ่งดูอยู่บ่อยๆนั้นแล จะทำให้เรียกว่าจดจ่อ ตัวสติตัวพลั้งเผลอนั้นมันจะไม่เกิด เมื่อเราเห็นนั้น..แล้วเรามีสติตั้งมั่นน่ะ มันจะเผลอให้เราเห็น ความลับไม่มีอะไรปกปิดได้ เช่นเดียวกับกรรมดีกรรมชั่วที่เราทำ เมื่อถึงเวลาก็ไม่มีอะไรปกปิดได้ อวิชชาก็เช่นเดียวกันที่เราไม่เห็นเพราะเรานั้น"ขาดสติ" เพราะเราพลั้งเผลอ หรือเรียกว่าประมาทนั่นเอง

    นั้นกรรมชั่วก็ให้พินิจ เพ่งโทษอยู่บ่อยๆ ที่เราไม่เห็นโทษตัวเองนี้ เพราะเราไปโทษคนอื่นอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เราจึงไม่เห็นโทษตัวเอง ดังนั้นเราควรโทษตัวเองให้อยู่บ่อยๆ บัณฑิตเขานั้นจะเพ่งโทษตัวเอง ปราชญ์จะสอนตัวเองได้ ผู้มีปัญญาจะนำพาตัวเองให้หลุดพ้นได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ผู้ใดที่ยังเพ่งโทษคนอื่นอยู่ ไม่เรียกว่าเป็นบัณฑิต แต่เรียกว่าเป็นคนพาล เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่คนที่ว่าเป็นผู้รู้แล้วจะอ่อนน้อมถ่อมตน นั่นเรียกว่ารู้จริง ถ้าผู้ที่เรียกว่าเป็นผู้รู้ เป็นปราชญ์ แต่มาอวดรู้ แต่ไม่ได้ทำความรู้นั้นให้กระจ่าง พวกนี้เค้าเรียกว่าพวก"หลง" เข้าใจมั้ยจ๊ะ แม้มีลูกศิษย์ลูกหาก็ย่อมนำพาแต่ความเสื่อมหายนะ

    จำไว้นะจ๊ะ ธรรมเมื่อออกมาจากจิตของเราด้วยการประพฤติปฏิบัติรอยตามทางแห่งมรรค แม้โยมจะไปกล่าวให้ใครฟัง แม้เป็นธรรมสั้นๆเทวดาเขาก็โมทนา สะเทือนลั่นไปทั่วชั้นฟ้า มากกว่าใครที่อ่านตำรามาท่องจำ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นอานิสงส์แห่งการประพฤติปฏิบัตินี้มีอานิสงส์มาก

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๐
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  18. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    โยมคิดดีบุญก็เกิด เช่นวันนี้เขาบอกว่า แหม..วันนี้จะขอสวดมนต์สักหน่อย เป็นกุศลแล้วนะจ๊ะ เป็นมงคลแล้วนะจ๊ะ แต่พอว่าถึงเวลาจะสวด..ขี้เกียจซะแล้ว เราไม่ได้ทำคราวนี้บุญที่โยมบอกว่าได้เป็นกุศล ใช่มั้ยจ๊ะ ถามว่ามันเป็นยังไงจ๊ะ ไม่ได้หายไปไหน ยังคงอยู่ แต่วันนั้นโยมติดแล้ว ติด"สัจจะบารมี"แล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วเมื่อไหร่โยมทำอะไรโยมอธิษฐานเมื่อไหร่คราวนี้น่ะโยมต้องรอและคราวนี้ เพราะอะไรจ๊ะ อ้าว..โยมไปทำให้เทวดาเค้ารอเก้อน่ะ เห็นมั้ยจ๊ะ นี่ก็ไม่เท่าอะไรกับโจรชอบหลอก นี่ยังไม่ทันตายเลย นั้นเรียกทำอะไรเราต้องรู้ อย่าพูดจาพล่อยๆ คนอื่นเทวดาเค้าไม่รู้ เมื่อใจเรารู้นั่นแหล่ะจ้ะ ตัวเรายังมีกายเทพ กายเทวดา กายพรหม กายยักษ์ กายมาร เปรตอสูรกาย มันอยู่ในตัวเราทั้งนั้น อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้ ถ้าตัวเรายังรู้อยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่เมื่อรู้แล้ว วันนี้เราทำไม่ทัน เราควรมีการขอขมาในจิตซะ ขอขมาต่อพระรัตนตรัย เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็เราสวดไม่ได้เราก็ภาวนาแทน ก็ชดเชยเป็นบุญเช่นเดียวกัน ทำยังไงก็ได้ขอให้มันได้บุญ อย่าได้ไปติดค้าง เข้าใจมั้ยจ๊ะ แปรสภาพยังไงก็ได้ให้มันเกิดเป็นบุญให้เป็นกุศลคุณงามความดีซะ เพราะการสาธยายมนต์ภาวนานี้ เพื่อให้จิตนั้นเป็นอุบายให้เข้าถึงความสงบ เข้าใจมั้ยจ๊ะ...

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐
    ณ วัดป่าเทพอุดมธรรม จังหวัดขอนแก่น
    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  19. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    การภาวนานี้เพื่อให้จิตมันตื่นรู้ จิตมันมีกำลัง รักษาจิตไว้ ไม่ให้มันเสื่อม คนที่ขาดองค์ภาวนาองค์บริกรรมนั้น จะทำให้ฌานเสื่อม ทำให้จิตเสื่อม เมื่อฌานเสื่อมจิตเสื่อมนี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้อกุศลกรรม หรือพญามาร หรือวิบากกรรมนั้นได้เข้ามาแทรกแซง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    "ฌานเสื่อม"เป็นอย่างไร ฌานเสื่อมนั้นหมายถึงว่าจิตเรานั้นไม่เท่าทันในอารมณ์ ในโทสะ โมหะ โลภะ นี่เรียกว่าฌานเสื่อม คือว่าเมื่อเกิดโทสะขึ้นมาก็ระงับไม่ทัน นี่เรียกว่าฌานเสื่อมอย่างหนึ่ง เช่นว่ามีคนด่า อดทนไม่ได้เกิดโทสะจริตขึ้นมา อยากจะฟาดจะฟันปากไอ้ผู้นั้น นี่เค้าเรียกว่าตบะแตก ฌานเสื่อม เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นบุคคลได้เจริญฌานแล้ว ได้มีคุณวิเศษแล้วขอให้รักษาไว้ให้ดี นั่นคือภาวนาไว้

    แม้โยมจะเจริญกรรมชั่วก็ดีแต่โยมมีสติ กรรมนั้นก็ยังไม่ส่งผลอะไร เข้าใจมั้ยจ๊ะ กรรมจะส่งผลต่อเมื่อผู้กระทำกรรมนั้น"ขาดสติ" จำเอาไว้นะจ๊ะ ให้โยมขับรถแค่ไหนน่ะ แต่ถ้าโยมมีสติโยมก็ไม่ตาย ดังนั้นกรรมจะเล่นงานผู้ที่ว่าขาดสติ แต่ถ้าผู้ใดเห็นกรรม กรรมนั้นเขาก็ยังทำอะไรโยมผู้นั้นไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะผู้ที่เห็นกรรมได้ต้องเป็นผู้ที่มี"คุณวิเศษ"ในตัว เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นขอให้โยมเจริญสติไว้

    โยมนั่งรถ ลงเรือก็ดีจะภาวนาจะสวดก็ดี..สามารถทำได้ทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ เสียงถ้าออกเสียงก็เป็นทานเสียงมีอานิสงส์ ถ้าไม่ออกเสียงก็เป็นบุญกับตัวเอง ทำให้จิตให้ใจของโยมนั้นมันสงบ เกิดปิติสุข แต่ถ้าโยมออกเสียงจะทำให้จิตเรามีกำลัง คนที่สวดมนต์สาธยายมนต์ออกเสียงดังพอสมควรจะทำให้โรคปวดหัว วิงเวียนศีระษะนั้นบรรเทาจนหายไปอย่างอัศจรรย์ได้ เพราะว่าเสียงแห่งมนต์นั้นมันเกิดสะเทือน สั่นสะเทือน จนไปรักษาเส้นประสาทได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นกรรมฐานโยมต้องเจริญให้มาก

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๐
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,070
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    มืดจริงหนอ!!
    เซนนั้นมักจะสอนเป็นปริศนาให้ขบคิดเอาจนบรรลุธรรม ผู้ใดใช้มันสมอง ผู้นั้นไม่อาจเข้าถึงเซน ต่อเมื่อคิดด้วยจิตใจ จึงเข้าถึงเซนได้
    สมเด็จฯโต ท่านมักจะสอนเป็นปริศนาธรรมเสมอ ครั้งหนึ่งท่านต้องการจะสอนพระจอมเกล้าฯด้วยเห็นพระองค์ชักจะลุ่มหลงการชมละครมากเกินไป จะทำให้เสียพระราชกรณียกิจได้

    ท่านจึงจุดไต้ในเวลากลางวัน เดินถือเข้าไปในพระราชวัง แสดงว่าบ้านเมืองมันมืดจริงหนอ..มืดเพราะความงมงายความลุ่มหลง
    เมื่อพระจอมเกล้าฯ ทอดพระเนตรเห็น ก็ทรงทราบความหมายว่า สมเด็จฯโต ไม่ให้ลุ่มหลงในการละคร เดี๋ยวจะเสียหายแก่บ้านเมืองได้ พระองค์ได้ตรัสกะเสนาบดีผู้ใหญ่ว่า "ขรัวเขารู้แล้ว เขารู้แล้วละ"
    ในรัชสมัยพระจุลจอมเกล้าฯ สมเด็จฯโต ท่านก็ได้จุดไต้กลางวันเหมือนกัน เมือท่านรู้ จะมีการกบฏโดยขุนนางผู้ใหญ่ เพื่อขอบิณฑบาตมิให้กระทำ ตักเตือนผู้ปกครองบ้านเมืองเมื่อเห็นว่าทำไม่ดี หากพระสมัยนี้จะเอาอย่างบ้าง ก็คงไม่เลวนัก
     

แชร์หน้านี้

Loading...