เรื่องเด่น พระปฏาจาราเถรี (ภิกษุณีผู้ทุกข์ทรมานมากที่สุด) ผู้ที่เจอปัญหาชีวิตแสนสาหัส แต่ผ่านพ้นมาได้

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 3 กรกฎาคม 2017.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,174
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,657
    พระปฏาจาราเถรี (ภิกษุณีผู้ทุกข์ทรมานมากที่สุด) ผู้ที่เจอปัญหาชีวิตแสนสาหัส แต่ผ่านพ้นมาได้

    ocplyoxyrGxqB85oacW-o.jpg

    “ปฏาจารา” พระสาวิการูปหนึ่ง เป็นธิดาของเศรษฐีในกรุงสาวัตถี เป็นหญิงรูปร่างงดงามและได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ครั้นนางมีอายุได้ 16 ปีได้หลงรักชายคนใช้ในบ้านของตนเอง
    ต่อมาบิดามารดาได้จัดเตรียมหาชายหนุ่มในชนชั้นเดียวกันมาแต่งงานด้วยนางจึงได้นัดแนะให้ชายคนใช้พาหนี แล้วไปสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยในชนบทอันทุรกันดารแห่งหนึ่ง ชีวิตเริ่มแรกของนางปฏาจารามีความสุขมาก เพราะได้อยู่ใกล้ชิดกับชายคนรัก

    เวลาผ่านไปไม่นาน นางปฏาจาราตั้งครรภ์ ครั้นถึงเวลาใกล้คลอดนางมีความกังวลใจ เพราะไม่มีบิดามารดาและญาติอยู่ใกล้ชิด นางจึงขอร้องให้สามีพากลับไปหาบิดามารดา สามีปฏิเสธคำขอร้อง เพราะกลัวเกรงบิดามารดาของนางจะเอาโทษ

    นางจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านเพียงลำพัง นางได้คลอดบุตรคนแรกในระหว่างทางเมื่อสามีตามไปพบ เขาได้ชี้แจงเหตุผลต่างๆ จนพานางกลับบ้านสำเร็จ

    เวลาต่อมา นางได้ตั้งครรภ์อีกเป็นครั้งที่สองและได้ขอร้องสามีเหมือนครั้งก่อน แต่สามีปฏิเสธคำขอร้องเช่นนั้นอีกนางจึงพาบุตรน้อยผู้กำลังหัดเดินหนีออกจากบ้าน

    ในระหว่างทางนางปวดท้องอย่างรุนแรง เพราะกำลังจะคลอดบุตรฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก สามีตามไปพบนางดิ้นทุรนทุรายอยู่ท่ามกลางสายฝนจึงไปตัดไม้เพื่อนำมาทำที่กำบังฝนชั่วคราว แต่เขาถูกงูพิษกัดถึงแก่ความตาย

    นางปฏาจาราคลอดบุตรด้วยความยากลำบาก แล้วนางอุ้มทารกและจูงบุตรน้อยตามไปพบศพของสามีจึงมีความเศร้าโศกเสียใจมาก นางตัดสินใจจะพาบุตรไปหาบิดามารดาในเมือง

    เมื่อนางมาถึงลำธารใหญ่ที่น้ำกำลังไหลเชี่ยวนางไม่อาจจะพาบุตรข้ามน้ำพร้อมกันได้ จึงให้บุตรคนโตยืนรอที่ฝั่งข้างหนึ่งแล้วอุ้มทารกแรกเกิดเดินข้ามน้ำไปอีกฝั่งหนึ่ง และวางทารกน้อยไว้ที่อันเหมาะสม

    ขณะเดินข้ามน้ำมาถึงกลางน้ำ เพื่อรับบุตรคนโตนางเห็นเหยี่ยวตัวหนึ่งกำลังบินโฉบลงเพื่อจิกทารก เพราะมันเข้าใจว่าเป็นก้อนเนื้อนางจึงยกมือขึ้นไล่เหยี่ยว แต่ไม่อาจช่วยชีวิตทารกน้อยได้ เพราะเหยี่ยวมองไม่เห็นอาการของนางที่ขับไล่จึงเฉี่ยวทารกน้อยของนางไป

    บุตรคนโตมองเห็นนางยกมือขึ้นทั้งสองข้าง ก็เข้าใจว่ามารดาเรียกตนจึงก้าวลงสู่แม่น้ำอันเชี่ยวและถูกน้ำพัดพาหายไป

    ชีวิตของนางไม่เหลืออะไรอีก กัดฟันมุ่งสู่บ้านเกิดเพื่อเป็นที่พึ่งสุดท้าย พบชายคนหนึ่งเดินสวนทางมา เมื่อสอบถามจึงรู้ว่าพายุใหญ่เมื่อคืนนี้ได้พัดถล่มบ้านเกิดของนางจนพินาศ พ่อแม่และพี่ชายเสียชีวิตลงพร้อมกันทั้งหมด ทันทีที่ได้ฟังข่าวร้าย สติสัมปชัญญะอันเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็ขาดสะบั้นลง ณ บัดนั้น นางกลายเป็นคนเสียสติ เดินเปลือยกาย หัวเราะ ร้องไห้ เพ้อรำพัน ซมซานไปตามถนนเป็นที่รังเกียจสมเพชแก่ผู้พบเห็น จนถึงเชตวันมหาวิหาร ขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัทประชาชนเห็นนางแล้วร้องบอกกันว่าคนบ้า ๆ อย่าให้เข้ามา

    ocplwf6pca0W3hHbJNv-o-1-1024x674.jpg
    พระพุทธองค์ตรัสว่าปล่อยให้นางเข้ามาเถิด แล้วตรัสเรียกเตือนสตินางกลับได้สติ เกิดความละอายนั่งลง ใครคนหนึ่งในที่ประชุมนั้นโยนผ้าให้นางนุ่งห่มพระองค์ทรงแสดงธรรมเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดกับนางโดยย่อว่า ปิยชนมีบุตรเป็นต้น ไม่สามารถข้องกับคนที่ตายแล้วได้ ผู้รักษาศีลแล้วพึงชำระทางไปพระนิพพาน

    ocplyoxyrGxqB85oacW-o.jpg

    นางฟังพระธรรมเทศนา อันแสดงถึงความไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่งพิจารณาไปตามพระธรรมเทศนานั้นแล้วได้บรรลุโสดาปัตติผล และทูลขออุปสมบทพระองค์จึงทรงอนุญาตให้นางบวชในสำนักนางภิกษุณี

    ต่อมานางภิกษุณีปฏาจาราได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์ว่าคนที่ไม่เห็นความเสื่อมสิ้นไปในเบญจขันธ์ แม้มีชีวิตอยู่ร้อยปีก็ไม่ประเสริฐเท่าคนที่มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวแต่มองเห็นความเสื่อมสิ้นไปในเบญจขันธ์ เมื่อจบพระธรรมเทศนานางภิกษุณีปฏาจาราก็ได้บรรลุพระอรหัตผล

    พระปฏาจาราเถรีมีความชำนาญในพระวินัยมากจนได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายผู้ทรงพระวินัย และพระปฏาจาราเถรีได้เป็นกำลังในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

    พระปฏาจาราเถรีมีคุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่าง ดังนี้

    1. เป็นผู้มีความตั้งใจจริง นิสัยตั้งใจจริง ต้องทำตามที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จนี้ ได้มีมาตั้งแต่พระปฏาจาราเถรียังเป็นเด็กสาวแต่เนื่องจากยังขาดประสบการณ์และขาดวิจารณญาณ จึงทำให้ผิดพลาดในชีวิตโดยสังเกตได้ว่า นางตั้งใจจะแต่งงานกับชายคนที่ตนรักไม่ต้องการแต่งงานกับคนที่บิดามารดาเลือกให้ ก็ต้องทำให้ได้

    แต่เมื่อได้บวชเป็นนางภิกษุณีแล้วนางได้สานต่อความตั้งใจนั้นในทางที่ถูกต้องนั่นคือความตั้งใจศึกษาพระวินัยปิฎกให้เชี่ยวชาญ ก็ไม่ลดละความพยายามนางได้ใช้วิริยะอุตสาหะเป็นอย่างมาก จนกระทั่งสำเร็จตามปรารถนาได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็นผู้เลิศกว่านางภิกษุณีรูปอื่นในด้านผู้ทรงพระวินัย

    2. เป็นผู้แนะแนวชีวิตที่ดี ชีวิตของนางปฏาจาราเถรี เป็นชีวิตที่มากด้วยประสบการณ์ได้ผ่านมาทั้งความสุข ความสมหวัง และความทุกข์ความผิดหวังอย่างสาหัสจนเกือบกลายเป็นคนบ้าเสียสติถาวร

    เมื่อนางได้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตแห่งชีวิตเข้ามาสู่ร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนาแล้วประสบการณ์เหล่านั้นกลับเป็นประโยชน์แก่นางและคนอื่น คือสตรีอื่นๆที่มีปัญหาชีวิตพากันมาขอคำแนะนำ นางได้ให้คำแนะนำที่ดี และช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขาเหล่านั้น จนกระทั่งได้รับยกย่องว่า “เป็นครูยิ่งใหญ่” ของพวกเขา

    • เสริมสาระ

    สตรีอินเดียในสมัยโบราณนิยมคลอดบุตรที่บ้านสกุลเดิมของตน

    ธรรมเนียมพราหมณ์อย่างหนึ่งมีว่า หญิงใดจะให้กำเนิดบุตรต้องกลับไปคลอดที่บ้านสกุลเดิมของตน หาคลอดที่บ้านของสามีไม่ การเชื่อเช่นนี้อาจเนื่องมาจากเหตุผลบางอย่างเพราะตามปกติหญิงที่กำลังจะให้กำเนิดบุตรนั้น มีความต้องการความอบอุ่นทางใจต้องการคนช่วยเหลือ และคอยเป็นห่วงเป็นใยความอบอุ่นเช่นนี้อาจหาได้ยากจากญาติของฝ่ายสามีตรงกันข้ามหญิงนั้นจะรู้สึกสบายใจและอบอุ่นใจมาก หากได้อยู่ใกล้ญาติพี่น้องของตนเองซึ่งรักและเข้าใจเธอมากกว่า

    ขอบคุณข้อมูล : พจนานุกรมพุทธศาสน์ โดย รศ.ดนัย ไชยโยธา



    ----------------
    ที่มา ::::
    http://www.sabaiclub.com/?p=3275

     
  2. แก้วกลม

    แก้วกลม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +239
    ท่านปฏาตาราเถรีเป็นตัวอย่างอันดี..ผมมักใช้เตือนสติภรรยาและคนรอบข้างถึงความทุกข์ที่กำลังเผชิญอยู่..ถ้าเทียบกับท่าน..เรื่องของเรายังเล็กน้อยกว่า..ดังนั้นการนั่งเฝ้าคร่ำครวญถึงความทุกข์..หรือสิ่งไม่ชอบที่เกิดขึ้นหรือกำลังเกิดขึ้น..จึงไม่มีประโยชน์อันใด..ซ้ำยังก่อทุกข์เพิ่มขึ้นกับทั้งตัวผู้คิดและคนรอบข้างอีกด้วย
    ดังหลวงปู่แหวนท่านเคยพูดไว้ว่า
    "อดีตเป็นธรรมเมา...อนาคตเป็นธรรมเมา...ปัจจุบันเป็นธรรมะ"

    ดังนั้นเมื่อเกิดสิ่งใดขึ้นกับชีวิตเรา
    สิ่งนั้นอาจจะร้ายสุดๆหรือดีสุดๆ..สุดท้ายแล้วมันก็จะต้องผ่านไป..ไม่มีสิ่งไหนอยู่กับเราอย่าถาวร

    ผมเองก็ใช้คำนี้ผ่านผ้นช่วงทุกข์สุดๆมาเช่นกันครับ
    อนุโมธนากับคุณSiTa ด้วยนะครับ
     
  3. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,174
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,657
    ขอบคุณค่ะ
    จากนี้ไป เวลามีความทุกข์กับสิ่งที่ชอบรึไม่ชอบ จะมองมาเรื่องของท่าน
    แล้วเตือนสติตัวเองเช่นกันค่ะ
     
  4. PonP_1565

    PonP_1565 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2017
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +19
    เรื่องราวนี้สร้างกำลังใจให้คนที่กำลังเป็นทุกข์ได้ดีค่ะ อนุโมทนาบุญกับคุณ SiTa ด้วยนะคะ
     
  5. สุวิทย์ มหา

    สุวิทย์ มหา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2017
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +37
    เรื่องพวกนี้เราหาอ่านได้ที่ไหนครับ
     
  6. แก้วกลม

    แก้วกลม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +239
    ลองหาในหนังสือแนวประวัติพุทธสาวก
    หรือประวัติพระอรหันต์ยุคพุทธกาลก็น่าจะมีนะครับ..ผมเคยอ่านในหลายที่แต่ที่ชอบก็คือหนังสือที่ชื่อว่า "ก่อนอาทิตย์อัศดง" ครับ
     
  7. Buatip

    Buatip สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +2
    ตอนแรกอ่านแล้วน้ำตาจะไหล สงสารนางมาก แต่เรื่องนี้ให้ข้อคิดได้ดีมากค่ะ สาธุค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...