เรื่องเด่น คําคมสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 17 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    รั้วกั้น
    ถ้ารั้วกั้นประเทศคือทหาร รั้วกั้นมนุษย์ไม่ให้ทำชั่วก็คือศีลธรรม
    ศีลธรรม โดยเฉพาะศีล ๕ ข้อ เป็นหลักมนุษยธรรมพื้นฐานของมนุษย์ หากมนุษย์ไม่มีศีลธรรมในการเป็นอยู่ มนุษย์ก็จะเบียดเบียนและทำลายกัน ดังเช่นเดรัจฉาน
    สมเด็จฯโต ท่านบอกว่า "มนุษย์ที่ไม่มีศีลเป็นรั้วกั้น และประคับประคองตัวเสียเลย ก็คือกองเพลิงแห่งมนุษย์เราดีๆ นี่เอง"
    มีผู้หนึ่งกล่าวไว้ว่า แม้พระเรา ขอเพียงให้มีศีล ๕ ก็อยู่ได้แล้ว ไม่ต้องมีถึง ๒๒๗ ข้อหรอก นี่ก็แปลว่า ศีล๕ นั้นสำคัญมาก เป็นเบื้องต้นของมนุษย์ เป็นพื้นฐานของชีวิต
    ทุกวันนี้ คนขาดศีล ๕ พื้นฐานชีวิตจึงไม่ดี มักจะกระทำผิดในเรืองนั้นเรื่องนี้อยู่เสมอ
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ขายผ้าเอาหน้ารอด
    สมเด็จฯโต มักจะสอนโดยวิธีให้ผู้รับได้ขบคิดจากปริศนาที่มีไว้ให้ หลักการสอนของท่านก็เหมือนกับหลักของเซน คือจะสอนให้ขบคิดด้วยตัวเอง จึงจะสามารถเข้าถึงธรรมได้แท้จริง เข้าใจถึงข้อธรรม ได้อย่างถ่องแท้
    ครั้งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯได้ทรงมีพระราชดำริให้วัดต่างๆ ให้มีการจัดตกแต่งเรือเข้าประกวดทุกวัด และแต่ละวัดนั้น ก็ต้องนำเรือที่ตกแต่งไว้สวยงามแล้ว จอดไว้ที่ท่าน้ำ เพื่อที่พระองค์จะได้เสด็จทอดพระเนตรและทรงตัดสินรางวัลให้
    เมื่อมีพระราชดำริมาเช่นนี้ ทุกวัดก็ต่างกุลีกุจอตกแต่งประดับประดาเรือเสียวิจิตรตระการตาสวยงาม ต่างฝ่ายก็ต่างหวังที่จะชนะการประกวด
    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯเสด็จทอดพระเนตรเรือต่างๆ โดยเริ่มต้นจากท่าราชวรดิษฏ์ล่องไปเรื่อยๆ ทรงทอดพระเนตรอย่างสำราญราชหฤทัย แต่ครั้นพอผ่านมาหน้าวัดของสมเด็จฯโต ก็ตกพระทัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะเรือที่จอดอยู่หน้าวัดของขรัวโต ไม่ใช่เรือที่ประดับประดาสิ่งสวยอะไร เป็นเรือสำปั้นเล็กๆ เก่ามาก ไม้ผุจนเกือบพัง หาสภาพดีไม่ได้ มีสามเณรพายอยู่ตรงหัวเรือและท้ายเรือ กลางเรือมีลิงผูกไว้กับหลักตัวหนึ่ง และมีกระดาษแข็งเขียนผูกไว้กับคอลิง ข้อความบนกระดาษนั้น ตัวใหญ่ชัดเจน มีใจความว่า"ขายผ้าเอาหน้ารอด"
    การทำเช่นนี้ของขรัวโต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงทราบความหมาย ในวันรุ่งขึ้นจึงให้มหาดเล็กไปสอบถาม
    สมเด็จฯโต ได้อธิบายให้มหาดเล็กผู้นั้นทราบว่า พระสมณะย่อมหาสมบัติได้ยาก นอกจากจะมีผู้มีจิตศรัทธานำมาถวายเท่านั้น ซึ่งของที่ได้รับก็มีแต่เครื่องบริโภคอุปโภค ย่อมไม่มีทุนทรัพย์หรือสิ่งใดที่จะนำมาแลกเปลี่ยนหาซื้อสิ่งต่างๆ นำมาประดับประดาเรือ ให้สวยงามได้ ถ้าจะทำอย่างนั้นได้ ก็มีแต่จะต้องเอาผ้าจีวรไปขาย ถึงจะมีเงินมาเป็นทุน ซื้อสิ่งของมาประดับเรือได้ จำยอมขายผ้าเอาหน้ารอดไว้ก่อนเพราะยังทำอย่างนั้นไม่ได้ ต้องเอาใช้ห่มสังขารกันร้อนหนาวก่อน
    การสอนเป็นปริศนาเช่นนี้ของขรัวโต เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประจักษ์แจ้งแล้ว ก็ไม่ทรงทำเช่นนั้นอีกเลย
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ศรัทธาหัวเต่า
    จะทำการใด หรือคิดจะทำสิ่งใด ควรมีศรัทธาในการทำนั้นอย่างจริงจัง อย่าทำขึ้นๆลงๆ เมื่อคิดจะทำก็ควรทุ่มให้หมดตัว ถึงแม้ว่าการข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เราก็ไม่ควรคาดการณ์ล่วงหน้าไปในทางเสีย แต่ควรคิดไปในทางที่ดี และพยายามทำศรัทธาให้มั่นคง จงเชื่อมั่นในศรัทธาของตนเอง อย่าให้สิ่งแวดล้อมมาบดบังศรัทธาของตนลงได้
    ครั้งหนึ่ง สมเด็จฯโต ได้รับนิมนต์จากคหบดีคนหนึ่ง ซึ่งได้มาขอร้องให้ท่าน ทำการนิมนต์พระที่มีความสามารถเทศน์กัณฑ์มัทรีได้เป็นอย่างดี ไปเทศน์ที่บ้านของตน สมเด็จฯโต ก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะหาเอาไปให้
    แต่ครั้นนั้นถึงวันนิมนต์จริงๆ สมเด็จฯโตกลับไปเสียเอง เมื่อคหบดีเห็นสมเด็จฯโตมาเอง ก็เกิดความไม่แน่ใจว่า สมเด็จฯจะเทศน์เป็นหรือเปล่า เพราะดูชรามากแล้ว จึงเกิดความคลอนแคลนในศรัทธาของตน และได้ดึงเครื่องกัณฑ์เทศน์ออกมาเก็บไว้จำนวนหนึ่ง เพราะรู้สึกเสียดาย
    สมเด็จฯโต นั้น ท่านรู้ว่าคหบดีคิดอย่างไร วันนั้นท่านจึงเทศน์กณฑ์มัทรีให้ไพเราะมากกว่าทุกครั้ง คหบดีเมื่อได้ฟังก็เกิดศัทธาแรงกล้าขึ้นมาอีก จึงได้ให้เด็กรับใช้ ไปหยิบเงินที่เก็บมาไว้มาติดกัณฑ์เทศน์ตามเดิม
    ในท่อนสุดท้ายของการแสดงธรรมเทศนาท่านได้ให้สติในการทำบุญแก่คหบดีคนนั้นว่า
    "เมื่อคิดจะทำบุญหรือการกุศลอันใด ต้องมีศรัทธาที่มั่นคง...อย่าให้เป็นศรัทธาหัวเต่า"
    ศรัทธาหัวเต่า คือ ศรัทธาที่ขึ้นๆลงๆ นั่นเอง คนที่ขึ้นๆลงๆ ย่อมหาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้
     
  4. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    โยมต้องเจริญกำหนดรู้ลมตลอดเวลา เพราะเหตุใดเล่าจึงกำหนดรู้ลมตลอดเวลา เพราะเหตุที่ว่า"ลม"นี้คือตัวมัจจุราช "มัจจุราช"คืออะไร คือ"ความตาย"ที่จะกระชากโยมได้ตลอดเวลา ถ้าโยมนั้นหายใจเข้าแล้วไม่หายใจออก..ตายมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นลมนี้จึงมีคุณอนันต์ ครั้งหนึ่งองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ใช้ลมนี้เข้าออกอยู่อย่างนี้ ลมนี้เรียกว่า"ธรรม"อย่างหนึ่ง ดังนั้นแล้วโยมมีโอกาสที่ได้มีลมหายใจอยู่ ดังนั้นต้นทุนที่ยิ่งใหญ่คือโยมมีกายสังขาร ถ้าโยมไม่มีกายสังขารโยมก็กำหนดลมไม่ได้ ลมนี้เข้าไปแล้วออก..แล้วไม่ได้ตั้งอยู่ ดังนั้นเมื่อมีธาตุทั้งสี่ประชุมธาตุเป็นกายขึ้นมา โยมต้องใช้ตัวนี้เป็นเบื้องบาทของการเจริญความเพียร..อย่าได้หลง อย่างน้อยเมื่อจิตนั้นเกิดความสงบแล้ว..เรียกว่าสัปปายะแล้ว

    "ความสัปปายะ"ไม่ได้อยู่ที่ภูเขา ไม่ได้อยู่ที่ถ้ำผา ไม่ได้อยู่ยอดคีรี แต่อยู่ที่ไหนล่ะจ๊ะ อยู่ที่"ความพอใจ"ของเรา เมื่อเราพอใจที่ใดนั้นเรียกว่าใจสงบแล้ว นั่นเรียกว่าที่ตรงนั้นเป็นสัปปายะแล้ว เกิดความสันโดษมักน้อยแล้ว คือไม่อยากได้ใคร่ดีแล้ว จิตมันก็เรียกว่าปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ใช่มััยจ๊ะ นั่นแหล่ะจ้ะเหมาะแก่การประพฤติพรหมจรรย์ "พรหมจรรย์"เค้าเรียกว่าดับข้าศึกทางใจออกไป มีอะไรบ้าง ดับรูปเสียงกลิ่นรส อารมณ์ทั้งหลายที่เราไม่ข้องแวะนั้นเอง คือไม่อยากได้ใคร่ดี นั่นเรียกว่าการรักษาพรหมจรรย์

    ดังนั้นการฝึกสมาธินี้ไม่ใช่เป็นเหตุที่สุดแห่งการหลุดพ้น แต่เป็นแค่จุดเริ่มต้น เพราะว่ามนุษย์นั้นมีสมาธิกันอยู่แล้วทุกคน แต่ใครจะนำสมาธิมากำหนดรู้ความตายหรือลมนั้นมาผสมผสานกันให้เกิดพลังงานภายในขึ้นมา พลังงานตัวนี้คือ"ปัญญา" ปัญญาจะเกิดได้จากไหน ต้องไปเปิดมัน ใช่มั้ยจ๊ะ เพราะมนุษย์นั้นมีกำลังอยู่ภายในเรียกว่า"ลมปราณ" มีตัวรู้ที่มันนอนเนื่องอยู่ แต่มันยังไม่ถูกฝึกขึ้นมา เช่นเดียวกับโยมนั้นยังเป็นทารกแต่ถูกพัฒนาการเจริญเติบโต แต่ว่าจิตไม่ได้ถูกฝึกมาด้วย จิตมันจึงโตไม่ทันกายสังขาร จึงได้หลงกาย..ก็เรียกยังไม่โต ใช่มั้ยจ๊ะ

    ทีนี้จิตจะไปฝึกที่ไหน โรงเรียนที่ไหนเค้ารับล่ะจ๊ะ มันต้องไปฝึกในกาย ธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์อยู่ในกายตน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่ได้อยู่ในพระไตรปิฎกนะ ย่นย่อคือศีล สมาธิ และปัญญา ผู้ใดรู้รอบในกองสังขารตนผู้นั้นเรียนจบในพระไตรปิฎก แต่ผู้ใดรู้เจนจบในพระไตรปิฎกในตำรา แต่ไม่จบในรอบกองสังขารแล้วไซร้..ก็พ้นทุกข์ไม่ได้ เพราะไปติดรู้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ..

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๙
    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  5. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    ใครเข้าถึงแสงปัญญาได้นั้นแล แสงนั้นคืออาวุธ อาวุธที่โยมได้มาอาจจะต่างกัน ก็เพราะด้วยอำนาจบารมีบุญกุศลโยมไม่เท่ากัน แสงนั้นจะน้อยใหญ่แค่ไหน จะสว่างสุกสกาวแค่ไหน..ก็อยู่ที่โยมมีความเชื่อความศรัทธาที่โยมบำเพ็ญจิตมา

    การบำเพ็ญคือการเจริญ การเจริญคือทำความเพียร มีความที่มีสัจจะ มีอธิษฐานจิต แต่สิ่งเหล่านี้ที่ว่ามานี้ ถ้าขาดจากการภาวนาจิตแล้ว สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ยาก

    ดังนั้นผู้ใดปรารถนาจะไปทางพ้นทุกข์ สิ่งทั้งหลายก็ดีที่โยมทุกข์อยู่ก็ให้เลิกทุกข์ซะ ก็เหมือนที่ว่าโยมจะต้องตายแล้วในขณะนี้ ทุกข์ใดที่เกิดขึ้นในกายนี้เราต้องวาง เอาจิตเรานั้นน้อมไปหากุศลกรรมที่เกิดขึ้นที่เราได้กระทำ ให้จิตมันเกิดปิติสุข สิ่งดีๆนั้นเค้าเรียกว่า"สร้างกำลัง"ให้จิตก่อน อะไรที่มันเสียให้วางไว้ นี้เค้าเรียกว่าเราไม่ยึดในขันธ์ สร้างกำลังจิตให้มันเกิดขึ้นเสียก่อน..นั้นคือการสร้างกำลังใจ น้อมจิตเข้าไปถึงกุศลบุญที่เราเคยกระทำ นี่แลเรียกว่าอธิษฐานจิตขึ้นมา บุญนี้เมื่ออธิษฐานแล้ว และจิตใจตั้งมั่นสงบเกิดปิติสุขแล้ว ให้อธิษฐานจิตแผ่เมตตาไปทั่วจักรวาลพิภพ

    คำว่า"ทั่วจักรวาลพิภพน้อยใหญ"่มันเป็นเช่นไร คือเราให้ไม่มีประมาณ มันจะไปถึงทั่วจักรวาลได้ ทว่าเกลียดแล้วชังแล้วชอบแล้วแล้วยังให้ไม่ได้..นี้เรียกว่ายังไม่ทั่วจักรวาล

    คำว่าทั่วจักรวาลคือครอบคลุมจิตครอบคลุมใจเราไม่มีประมาณ แม้ว่าเราจะเกลียดใครชังใคร ไม่พอใจเราก็ให้..นี่เรียกว่าครอบจักรวาล แต่ถ้าเราให้แล้วแผ่แล้วไปสะดุดกับผู้ที่เราไม่ชอบหน้า บุญนี้เราก็จะแผ่ไป เค้าเรียก"ใจไม่กว้าง" เมื่อใจไม่กว้างก็ไปไม่ถึง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เมื่อไปไม่ถึงเสียแล้ว เมื่อเราประพฤติปฏิบัติสร้างความเพียรไป มันก็ไปได้ไม่ไกล เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะอารมณ์ตรงนั้นที่มันฝังอยู่นั้น มันก็ทำให้เราร้อนจิต ฟุ้งซ่านรำคาญใจ เมื่อมีไฟกำลังไฟมาก..แถมว่าเมื่อมันเกิดความร้อนแล้ว ความเย็นที่มันมีความสุขความสงบมันมีอยู่ได้นานมั้ยจ๊ะ เพราะไอ้ความร้อนมันเผาอยู่อย่างนั้น ดังนั้นเราต้องถอนรากเหง้าของอกุศลออก

    การถอนรากเหง้าของอกุศลมันไปเกิดที่ใดในรากเหง้านั้น มันไปฝังอยู่ที่ใจของโยม นี้คือความสกปรกที่เรานั้นไม่ได้ชำระล้าง แล้วเราจะเอาอะไรไปชำระล้าง "ศีล"มีไว้เพื่ออะไร..ศีลมีไว้ชำระล้างบาป บาปคืออะไร คืออกุศลกรรมไม่ดีที่เราทำไปแล้วทำให้เราเดือดร้อนภายหลังนั้นแล เรียกว่า"บาป" ใช่มั้ยจ๊ะ...

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๐
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
    โทร ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ภาพสุดท้ายของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี และอมตะธรรมคำสอนที่อบอุ่น

    ปลดล็อค :-
    Published on Jun 22, 2017

     
  7. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    ก า ร เ บิ ก บุ ญ...

    บุญเมื่อโยมจะเบิกต่อเมื่อบุญโยมนั้นโยมปรารถนา โยมนั้นเดือดร้อนแล้ว แล้วอ้างบุญกุศลที่โยมเคยทำมา นั้นโยมไม่รู้ว่าโยมทำบุญอะไรมาบ้าง ใช่มั้ยจ๊ะ ว่าอะไรมันเป็นบุญแล้วให้ผลอย่างไร เค้าให้ดอกเบี้ยอย่างไรในบุญแบบนี้ บางคนให้ทานได้บุญขนาดนี้ บางคนรักษาศีลเอ้าบุญมากกว่าทาน บุญเมื่อโยมภาวนาได้มากกว่าทานกับศีลอีก บุญเมื่อโยมเกิดปัญญาพิจารณาในกายสังขารมีมากกว่าทาน ศีล ภาวนา สรุปแล้วเมื่อโยมทำมาทุกอย่างแบบนี้สมบูรณ์แล้ว มันก็มีกำลังมาก ดังนั้นขอให้โยมได้เจริญกรรมฐานให้อธิษฐานบุญทันที นั่นเรียกว่ามันเปิดแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ บุญเขาเปิดแล้ว โยมสามารถเบิกได้ตอนนั้น ไม่ต้องกลัวหมดนะ เหมือนการอุทิศบุญกุศล โยมให้บุญใคร โอ้..ไม่ได้ เดี๋ยวฉันไม่มี โยมให้ ยิ่งให้..ยิ่งได้ ยิ่งมาก แต่ยิ่งหวงยิ่งหมด

    เรามาดูเรื่องการ"เบิกบุญ" การเบิกบุญเบิกอย่างไร โยมจะเบิกไปทำอะไรต้องมีด้วย มีไม่ได้ไปบอกเขาแต่บอกกับตัวเองว่าเบิกไปทำอะไร ถ้าโยมไม่รู้เหตุน่ะ โยมจะคิดอยากจะเบิกมั้ยถ้าไม่ใช้อะไร โยมต้องมีเหตุก่อน เหตุตัวนี้มันทำให้ทุกข์หรือสุข โยมมันบกพร่องหรือมันขาดแคลนอะไร มันสามารถเบิกได้ทุกอย่าง ใช่มั้ยจ๊ะ บางคนนั่งสมาธิไม่มีกำลังใจ นี่ก็ต้องเบิกบุญนะ ขอบุญกุศลข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าได้เคยกระทำมาแล้วในทานศีลภาวนา ในอดีตทั้งหลายทั้งปวง จงมาบรรจบมาเป็นตบะบารมี เป็นเดชาให้กำลังจิตกำลังใจ..นี้เค้าเรียกปลุกธาตุ ให้มันตื่น นี่เค้าเรียกเบิกเหมือนกัน

    แต่เมื่อโยมเจริญภาวนา เจริญศีล เจริญธรรมเสร็จแล้ว เมื่อโยมนั้นจะออกจากกรรมฐานภาวนา ให้อธิษฐาน..อธิษฐานบุญกุศลของโยม นั่นเค้าเรียกการเบิกบุญ ถ้าโยมไม่ทำเบิกไม่ได้นะ โยมต้องเอาของที่โยมทำใหม่ไปแลก ถ้าโยมไปเบิกมาทุกวันหมดนะ ฉันก็เป็นห่วงโยม กลัวโยมจะหมดไม่มีกิน โยมไปเบิกอย่างเดียวทุกวันทุกวันเดี๋ยวหมด พอหมดแล้วเป็นยังไงจ๊ะ มันก็ไม่ต่างอะไรกับขอทาน ที่ว่าบิดามารดาเค้าให้ทรัพย์ไว้แต่โยมไม่ทำทรัพย์เพิ่ม เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นเค้าเรียกว่าที่โยมน่ะมีกินมีใช้เค้าเรียกว่า"ของเก่า" แต่ทุกวันที่โยมทำนี่เป็นของใหม่ จึงกินไม่มีวันหมด ใช่มั้ยจ๊ะ เค้าถึงบอกว่าบางคนรวยเป็นร้อยเป็นล้านเป็นพันล้าน อ้าว..ทำไมมาเป็นขอทานได้ก็มี เพราะอะไรจ๊ะ มันกินจนหมดน่ะ มันไม่ได้ทำใหม่ คราวนี้พอมันจะมาทำให้มันมีอีกคราวนี้อีกนานเลยทีนี้ ทีนี้ที่โยมมาทำแบบนี้เค้าเรียกโยมสร้างใหม่จึงไม่มีวันหมด เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นการอธิษฐานจะออกจากกรรมฐาน หรือจะทำบุญกุศลอันใดนั้นให้"อธิษฐานบุญ" การอธิษฐานบุญนั้นแล เมื่อบุญมันไปสมทบกับสิ่งที่โยมกระทำไว้บุญนั้นก็จะ"ให้ผล"

    การให้ผลนั้นคือเขาให้ดอกโยมมา นี่เรียกการเบิกบุญ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่ใช่ว่าโอ้โห..แล้วจะเบิกตอนไหนบุญ มันเบิกตอนไหน ใครมันทำหน้าที่ แล้วมีวันหยุดหรือไม่ มันอยู่ที่โยมปรารถนา โยมจะเบิกน่ะ โยมก็ต้องดูก่อนโยมเป็นมนุษย์หรือไม่ หรือว่าถ้าเป็นผีไปเบิกไม่ได้ เค้าต้องดูก่อนหน้าตา ดีเอ็นเอของโยมน่ะมันตรงกับโยมมั้ย บุญของโยมน่ะ เพราะเทวดาเค้ารักษาไว้ นั้นโยมก็ต้องมีศีลเสียก่อน พอมีศีลก็จะมีธรรม พอมีธรรมก็จะมีบารมี เข้าใจมั้ยจ๊ะ พออธิษฐานอะไรเขาก็จะรู้ เทวดาเขาจะรู้ว่าโยมอธิษฐานอะไร โยมพูดรำพึงในใจเขาก็ได้ยินหมดแล้ว แต่คราวนี้บุญโยมจะถึงสิ่งที่โยมปรารถนาหรือไม่ มันถึงเวลาหรือยัง ใช่มั้ยจ๊ะ ถ้าบุญโยมทำสดๆร้อนๆน่ะ เขาก็นิ่งนอนใจอยู่เฉยไม่ได้หรอกจ้ะ เขาต้องหาวิธีใดวิธีหนึ่งให้โยมได้สมปรารถนาในสิ่งนั้น บางคนไม่ได้โดยตรง ก็ได้โดยอ้อม

    จำไว้นะจ๊ะ ให้จำว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่มี"บังเอิญ" ล้วนแล้วแต่เกิดจาก"เหตุ"จาก"ผล"แห่งกรรมที่เรากระทำไว้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่าคิดว่าโอ้ฉันโชคดี ไม่ใช่..มันเป็นบุญของโยมที่โยมทำไว้ ถ้าโยมไม่ได้กระทำไว้เลย โยมจะมาโชคดีได้อย่างไร เพราะเราทำความดีไว้ โอ้โชคดีเราทำกรรมชั่วได้รับผล..นั่นก็กรรมของเราอีกเหมือนกัน ไม่มีใครรับ ใช่มั้ยจ๊ะ มันก็ของเราอีกเหมือนกัน ดังนั้นบุญกุศลน่ะเทวดาเขารักษาไว้ให้ ถ้าทรัพย์นั้นมันมาโดยชอบธรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ ใครจะมาขโมยเขาก็ต้องเอามาคืนโยม โยมไม่ต้องไปบนเลย ถ้าของสิ่งนั้นมันเป็นของๆโยม เทวดาเขาจะเอามาให้เหมือนเดิม..

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๐
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  8. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    ยังไงฉันก็ขอยืนยันไว้ "การสาธยายมนต์"นั้นสามารถให้เข้าถึงธรรม เข้าถึงอรหัตผลได้อย่างแน่นอน เพราะหนึ่งเมื่อโยมสวดสาธยายมนต์แล้วจิตในขณะนั้นเป็นกุศล ไม่มีเวรอาฆาตพยาบาทต่อใคร จิตในขณะนั้นเกิดสมาธิใจตั้งมั่นจดจ่อในพระคาถาบทสวด จิตเกษม เข้าใจมั้ยจ๊ะ ย่อมทำให้เกิดปัญญาจิตตั้งมั่น ย่อมทำให้เกิดความเพียร ความกลัวก็ดี ความสะดุ้งสยองพองขนก็ดีย่อมจักไม่มี ยังเป็น"ทานเสียง"บารมีแผ่ไกลถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ตกทุกข์ได้ยากอยู่ ทำให้จิต ให้เรานั้นเกิดปิติสุข และเกิดความเชื่อความศรัทธา ได้แน่นแฟ้นต่อพระรัตนตรัย แล้วยังเป็นมนต์ขลัง ทำให้ดินน้ำไฟลมของเรานั้นเกิดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ

    ฉันจึงบอกว่าการสาธยายมนต์นั้นจึงวิเศษนัก บางคนเค้าบอกว่าการสาธยายมนต์นั้นเสียเวลามาก แต่แท้ที่จริงแล้วมีอานิสงส์ มีประโยชน์มาก ทำให้เลือดลมก็ดี สติตั้งมั่น หูตาไม่ฝ้าฟาง ใช่มั้ยจ๊ะ นี่แหล่ะ..หูก็ไม่ตึง เดี๋ยวต้องมีเหตุหลักฐานอีกทำไมหูไม่ตึง ก็สวดแล้วเราได้ยินทุกวัน หูมันก้อง หูไม่อื้อ ถ้าคนอื้อบ่อยๆแล้วต่อไปมันก็จะตึง ใช่มั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นการสาธยายมนต์สวดตอนไหนถึงจะ"ขลัง" ใช่มั้ยจ๊ะ ตอนเช้าตรู่..ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้นก็ดี ก่อนตะวันจะตกดินก็ดี นั่นแหล่ะจ้ะ"ขลังที่สุด" และทุกๆครั้งถ้าเราจะภาวนาก็ได้ แต่ถ้าเราจะสวดให้เป็นพิธีเอาตามที่ฉันว่านี้..ขลังสุดแล้ว ดังนั้นการสาธยายมนต์นั้นจึงมีอานิสงส์ มีคุณประโยชน์อย่างมหันต์ อย่างใหญ่หลวงก็ว่าได้ ทำให้สุขภาพโยมนั้นดี มีสติที่ว่องไว เกิดฌานในตัว ถ้าโยมเข้าใจในอักขระคาถาหรือภาษาที่โยมได้สาธยายมนต์ไปแล้ว โยมจะเกิด"ปัญญา" เมื่อโยมเกิดปัญญาโยมก็จะเกิดความเชื่อ ความศรัทธาโยมก็จะมีมาก เมื่อนั้นศีลของโยมนั้นก็จะมั่นคง มั่นคงอย่างไรเล่า มั่นคงตรงที่ว่าโยมนั้นก็จะไม่กล้าทำความชั่วนั้นเอง เหตุเพราะว่าเมื่อทำไปแล้วกลัวศีลบกพร่องด่างพร้อย เพราะโยมมีความกลัว เรียกว่าโยมมีความละอายต่อบาป มีหิริความเกรงกลัว มีโอตัปปะความละอายนั้นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั่นก็เรียกว่ามีเทวดามารักษา เพราะในขณะที่เราสาธยายมนต์ไปนั้น เทพพรหมทั้งหลายก็มาห้อมล้อม มาฟังชุมนุม เค้าเรียกมาฟังธรรม อันตรายใดๆนั้นก็เข้ามากล้ำกรายได้ยาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ ยิ่งสวดในเรือนเคหะสถานหรือที่ๆใด ย่อมทำให้เกิดมงคล เกิดมีความเย็น ทำให้เกิดเจริญรุ่งเรืองในที่ตรงนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ ทรัพย์ที่ใต้ดินก็ดี ที่เราอยู่อาศัยก็ดีจะผุดขึ้นมา จะแปรทรัพย์ เรียกว่าทำให้เกิดโชควาสนามาหนุนดวงขึ้นมาเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นเรียกว่าเล่นแร่แปรธาตุนั้นเอง

    คำว่า"เล่นแร่แล้วแปรเป็นธาตุ"นี้ ธาตุนี้มันจะแปรเป็นอะไรเล่าจ๊ะ ก็อยู่ที่จิตเราอธิษฐานออกไป จะขลังหรือไม่ขลังก็อยู่ที่"ใจ"ของเราตั้งมั่นแค่ไหน สวดเล่นๆก็ได้เล่นๆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่มนต์นั้นเมื่อสวดเล่นๆแล้วจะเกิดโทษได้นะจ๊ะ หนึ่งจะวิปริตได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ สองสติจะไม่สมประกอบ สามทำให้ความจำเสื่อม อ้าว..ทำไมเป็นเช่นนั้น ก็สมาธิมันมีคุณแล้วก็มีโทษได้เหมือนกัน ถ้าโยมสวดๆไปจิตไปคิดเรื่องอื่น ส่งออกไปภายนอก อ้าวที่สวดมาลืมหายไปไหน อ้าวลืมซะแล้ว ความจำทำไมจึงได้สั้นแบบนี้ล่ะจ๊ะ ก็มันลืมนี่จ๊ะ ไม่เห็นต้องยากอะไรเลย นี่แหล่ะ แต่ที่โยมสาธยายมนต์บทยาวๆเรียกว่าธัมมจักกัปวัตนสูตรนั้นก็ดี จะทำให้เทวดานั้นเค้าถึงธรรมได้ อย่างน้อยทำให้โยมนั้นได้เปล่งวาจาออกมา จิตจดจ่อ ทำให้จิตนั้นอยู่ในฌานได้นาน ทำให้เกิดกำลัง ดังนั้นสวดมนต์ต้องให้ดังพอสมควร เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมสวดกระออมกระแอมน่ะ เดี๋ยวเรียบร้อย เพราะมันกระออมกระแอม เค้าเรียกคนไม่สบาย ปอดมันไม่ขยาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ คราวนี้หนังตามันก็จะตก หนังตาตกเพราะท้องมันตึงน่ะจ้ะ

    ดังนั้นรู้แล้วจะมาสาธยายมนต์ก็บริโภคให้มันพอพิธีหน่อย อย่าสวาปามให้มากเกินไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ แสดงว่าไม่รู้กาลไม่รู้เวลา หรือว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องกินแล้ว มื้อเดียวเรียบร้อยเลย นี่เค้าเรียกความอยากไงจ๊ะ เรียกว่าไม่มีการประมาณในการบริโภค เพราะแม้เราสาธยายมนต์ไป มนต์มันก็บังเกิดกับเรา เพราะในขณะนั้นจิตเรานั้นไม่เป็นอกุศลกับใคร ไม่มีเวรพยาบาทกับใคร ไม่อิจฉาริษยาใคร นั้นเรียกว่าเป็นบุญกิริยาอย่างหนึ่ง เป็นทานแห่งเสียง เพราะเราเสียสละเวลามาสวดมนต์ สาธยายมนต์ให้เกิดความร่มเย็น มนต์นั้นเป็นการสรรเสริญคุณบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณวิเศษแห่งองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เรียกว่าเป็นมหาบุรุษเอกที่ชี้ทางให้สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ลุ่มหลงมัวเมานั้นได้ตื่นรู้ ดังนั้นจึงมีคุณมาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นที่ฉันให้โยมนั้นสาธยายมนต์แปลขึ้นมา เรียกว่าทำวัตรเช้า เป็นการเข้าเฝ้าองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน เมื่อเรามีจิตที่มุ่งตรงอ่อนน้อมต่อที่เราจะไปสาธยายมนต์นั้น นั่นแหล่ะจ้ะคือทานแห่งเสียงที่มีอานุภาพมาก ทำให้โยมนั้นในขณะนั้นจิตโยมว่าง ปล่อยวางทุกสรรพสิ่ง โยมก็ลับปัญญาด้วยพระอักขระคาถาความหมายเข้าไป มันทำให้โยมนั้นเชื่อ เกิดปิติสุขมากยิ่งขึ้น จะได้เข้าถึงพุทโธนั้นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  9. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    upload_2017-7-23_9-0-57.png

    ...........................................
    "สติ"อยู่ที่ไหน.. สติอยู่วัดมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่อยู่ค่ะ) สติอยู่บ้านมั๊ยจ๊ะ แล้วสติอยู่ไหนล่ะจ๊ะ (ลูกศิษย์ : อยู่ที่ตัวเรา) อยู่ตรงไหนของตัวเรา (ลูกศิษย์ : อยู่ที่จิตอยู่ที่ใจ) ไหนลองบอกหน่อยซิว่าสติอยู่ที่ใด (ลูกศิษย์ : อยู่ที่กายวาจาใจค่ะ) สติอยู่ที่กายวาจาใจเหรอจ๊ะ ใช่มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : อยู่ที่ระลึกรู้ค่ะ)โยมจะยังไประลึกไม่ได้ ถ้าไม่มีอะไรสัมผัสน่ะโยมจะรู้ได้ยังไงว่าสติมันเกิดขึ้นตอนนั้น ตัวรู้มันเกิดขึ้นทีหลัง โยมต้องไประลึกที่ไหน ฉันถามว่าสติมันอยู่ที่ไหน มันอาศัยที่ไหน (ลูกศิษย์ : กายวาจาใจค่ะ) นั่นยังไงจ๊ะ..นั่นบ้านมันใช่มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เอาศีลไปล้อมไว้) รั้วเหรอจ๊ะ อ้อ..ไม่ธรรมดานะ

    สติมันอยู่ที่กายวาจาใจ อ้าว..บ้านมันต้องมีบ้านอยู่ โยมยังต้องมีบ้านอยู่ นกยังต้องมีรังนอน เข้าใจมั้ยจ๊ะ หมาขีัเรื้อนยังอยู่วัดเลย สติต้องมีบ้านมีเรือนคือกาย วาจา ใจ ถ้าโยมเอาสติไปจากนี้แล้ว..นั่นก็เรียกว่า"ขาดสติ" ศีลเรียกว่าโยมไม่ได้อยู่ในอาณาบริเวณของอำนาจแห่งศีล เปรียบดั่งว่าโยมไม่ได้อยู่ในเขตอภัยทานของพัทธสีมา ไม่ได้อยู่ในเขตร่มโพธิ์ร่มไทรแห่งพระสัมมาสัมโพธิญาณ นั่นเรียกว่ามนุษย์นอกลัทธิ...เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมอยู่ในเขตขันธสีมานี้ อยู่ในอาราม อยู่ในเขตแห่งอภัยทาน นั่นเรียกว่าโยมอยู่ในเขตแห่งศีล ศีลจะตามดูแลรักษาคุ้มครองโยม

    จำไว้นะจ๊ะ กายวาจาใจเรียกว่าสติ..รวมเป็นหนึ่ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ อ้าว..สติมีบ้านอยู่ เห็นมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมไประลึกแล้ว..แล้วไม่ระลึกอยู่ที่กายวาจาใจ..โยมจะเกิดสติมั้ยจ๊ะ สติมันเกิดได้หมดแหล่ะจ้ะ..ถ้าโยมไประลึกรู้ แต่สตินี้ถ้าไประลึกรู้แล้วมันมีอยู่ว่า ทำให้โยมเกิดรู้ มันมีความรู้ตั้งมากมาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นสติ..เมื่อโยมระลึกผิดที่..นี่แหล่ะจ้ะ เหตุแห่งกรรมจึงบังเกิดขึ้น ใช่มั้ยจ๊ะ..

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๐
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
    โทร ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ธูป ๓ ดอกเจาะกระดาษ ๓ รู
    สมเด็จฯโต ท่านเป็นพระที่กล้าขัดพระทัยพระมหากษัตริย์อย่างไม่เกรงพระราชอำนาจ ถ้าหากเห็นพระองค์ทรงกระทำไม่ถูกละก็ ท่านก็กล้าที่จะสั่งสอน
    ครั้งหนึ่ง ในงานสวดพระอภิธรรม พระที่นั่งสวดเห็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯเสด็จมาก็เกรงพระบรมเดชานุภาพ จึงหนีเข้าไปแอบเสีย พระองค์ทรงกริ้ว รับสั่งให้จับสึก โดยได้มีลายพระหัตถ์(จดหมาย)ไปให้สมเด็จฯโต ก่อน สมเด็จฯโต อ่านแล้ว เห็นว่าพระองค์จะเอาแต่กริ้ว จะทำไม่ถูกเพราะลุแก่โทสะ จึงใคร่จะสั่งสอนให้รู้ระงับดับความโกรธไว้บ้าง ท่านจึงจุดธูป ๓ ดอกขึ้น แล้วจี้กระดาษเป็น ๓ รู ส่งกลับไปถวาย
    พระองค์ทอดพระเนตรเห็นแล้ว ก็ทรงรู้สึกพระทัย รับสั่งกับผู้ใกล้ชิดว่า "อ้อ ..ท่านให้เราดับราคะ โทสะ โมหะ อันเป็นไฟ ๓ กอง งดที งดที งดที เอาเถอะถวายท่าน"
    พระองค์ไม่ต้องจับพระสึกให้บาปกรรมเปล่าๆ ด้วยอานุภาพของสมเด็จฯโต แท้ๆ
    จะเป็นว่าการสอนอย่างนี้แหละ ให้ผลคุ้มค่ามาก มากกว่าการพร่ำสอนแบบจ้ำจี้จ้ำไช ปากเปียกปากแฉะอยู่นั่นแหละ สามารถทำให้กิเลสชะงักชะงันได้ทันที
    การสอนสั่งของพระเรา หากจะลองหันมาใช้วิธีการของสมเด็จฯโต ดูบ้าง เห็นว่าปัญหาทางสังคมทางศีลธรรมของเราอาจจะดีกว่าที่เป็นอยู่บ้างก็ได้ใครจะไปรู้ ไม่ลองไม่รู้
    แล้วเมื่อไหร่จะลองล่ะ จะได้รู้เสียที่
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ความไม่ถือตัวถือตน
    คงเคยได้ยินคำว่า "ยศช้างขุนนางพระ" กันบ้าง คำคำนี้แหละที่ทำให้พระดีๆ หลายรูปต้องเสียความเป็นพระกันไปเยอะ
    พระเราตอนแรกๆ ที่ยังเป็นพระธรรมดา จบนักธรรมชั้นเอกหรือเป็นพระครู เจ้าคุณ ฯลฯ ก็ยังไม่แสดงอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชอะไร ต่อเมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นขุนนาง มียศฐาบรรดาศักดิ์เป็นพระครูนั่นเจ้าคุณนี่ จะรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมา ความรู้สึกนึกคิดชักจะแปลกๆ ไปกว่าเก่า โดยจะค่อยๆ เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ บางทีก็รู้สึกตัว บางทีก็ไม่รู้สึกอะไร
    บางท่านบางรูป เคยรู้จักกันดีๆ ก็มาเปลี่ยนไปชักจะไม่ค่อยอยากคบกับผู้ที่ด้อยกว่า เคยโอบอ้อมอารีต่อลูกศิษย์ลูกหาและมิตรสหาย ก็กลับกลายเป็นพระที่ใจคอคับแคบ เห็นแก่ตัว โลภโมโทสันไปเสียฉิบอย่างนี้ก็มี
    ยศฐาบรรดาศักดิ์จึงมีข้อเสียอยู่ด้วย และมักจะมีมากจนถึงขั้นเป็นอันตรายด้วยซ้ำ ถ้าหากผู้ใดได้รับยศฐาบรรดาศักดิ์นั้น ไม่รู้เท่าทันหัวโขนที่สวมให้เล่นตามบทบาทของตนๆ แล้ว แทนที่ยศฐาบรรดาศักดิ์จะช่วยส่งเสริมบำรุงใจบุคคลให้ทำหน้าที่อย่างสุจริตดีงาม ก็กลับจะทำลายบุคคลให้เสียไป
    แต่สำหรับสมเด็จฯโต แล้ว คำว่า "ยศช้างขุนนางพระ" ทำอันตรายท่านไม่ได้เลย ถึงแม้ท่านจะเป็นถึงสมเด็จพระราชาคณะ ท่านก็มิได้เคยหลงใหลได้ปลื้มไปกับมัน
    ครั้งหนึ่ง ท่านเดินทางไปเทศน์โดยทางเรือ เรือเจ้ากรรมเกิดเข้าคลองไม่ได้ เพราะน้ำแห้งขอดคลอง ท่านจึงลงเข็นเรือไปกับลูกศิษย์ แม้ลูกศิษย์จะห้ามปรามอย่างไร ท่านก็ไม่ฟัง เพราะถือว่ามาด้วยกันก็ต้องช่วยกัน ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ จะเกี่ยงงอนกันไม่ได้ ต้องช่วยกัน
    พวกชาวบ้านเห็นท่านเข็นเรือเหยงๆ อยู่อย่างนั้น ก็ร้องตะโกนกันว่า "สมเด็จฯ เข็นเรือ สมเด็จฯ เข็นเรือ" จนได้ยินกันไปหลายบ้าน ทำให้พวกชาวบ้านต้องลงไปลุยกับท่าน ช่วยท่านเข็นเรือจนถึงท่า
    ท่านได้บอกกับชาวบ้านเหล่านั้นว่า"ฉันไม่ใช่สมเด็จฯดอกจ๊ะ ฉันชื่อขรัวโต สมเด็จฯท่านอยู่วัดระฆัง"
    ท่านหมายถึงว่า การเป็นสมเด็จฯของท่านนั้นเป็นที่พัดยศ ซึ่งอยูที่วัดระฆัง ไม่ได้เป็นที่เนื่อที่ตัวหรือที่ใจของท่าน กายและใจของท่านนั้นเป็นเพียงขรัวโต คืดเป็นหลวงตาธรรมดา ๆ ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร
    ใครๆ ก็ตาม ที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ใหญ่โตนัก หากรู้จักถอดออกบ้างก็จะดี ให้รู้จักใหญ่โตเป็นเวล่ำเวลา ไม่ใช่โตอยู่เรื่อยๆ จนคับบ้านคับเมือง เป็นที่เคืองแค้นของผู้คน
    สมเด็จฯโต ท่านทำตัวเป็นพระที่ธรรมดาๆ ที่สุด เพราะเซนก็ธรรมดาๆ อย่างนี้แหละ และเพราะธรรมดา จึงเห็นว่าน่าอัศจรรย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2017
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    เข็นเบาๆหน่อย
    ส่วนมากคนเรา รักมิตรเกลียดศัตรู รักคนดีเกลียดคนชั่ว มีน้ำใจต่อมิตรและคนดี แต่ไร้น้ำใจต่อศัตรูและคนชั่ว นี่คือสภาพจิตใจของสามัญชนทั่วๆไป
    แน่สำหรับพระผู้มีใจเป็นกลาง ท่านจะปราณีต่อผู้คนอย่างเสมอหน้ากันไม่ว่าโจรหรือคนดี สมเด็จฯโต ท่านมีเรือคู่ชีพอยู่ลำหนึ่ง ท่านจะจอดไว้ใต้ถุนกุฏิของท่าน มีคราวหนึ่ง ขโมยมาลักเรือของท่าน
    ท่านรู้ว่าขโมยมันเข็นเหยงๆ อยู่ เห็นแล้วน่าสงสาร ท่านบอกให้เข็นเบาๆ หน่อย เดี๋ยวพระได้ยินเข้าแล้วจะตีเอาตาย
    ท่านยังบอกวิธีการเข็นเรือให้กับโจรอีกว่า ในการเข็นเรือบนที่แห้งนั้น ต้องเอาหมอนรองข้างท้ายให้โด่งก่อน จึงจะเข็นได้สะดวก เรือก็ไม่เสียหายดีด้วย
    นี่แหละน้ำใจของพระแท้จริง จะเป็นอย่างนี้แหละ มีอะไรหลายอย่างที่เราคิดไม่ถึง
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    แผ่เมตตา
    มีขโมยคนหนึ่ง เข้าไปลักตะเกียงของท่านแต่ปรากฏว่า เอามือมาเอื้อมยังไม่ถึง ท่านจึงช่วยเขี่ยตะเกียงให้ถึงมือ
    ท่านทำอย่างนั้นเพราะความเมตตากรุณานั่นเอง เห็นว่าคนกระทำผิดทุจริตเพราะความอดอยากความหิว และคงไม่ได้หิวเพียงกระเพาะอย่างเดียว อาจจะมีกระเพาะแห่งความหิวรออยู่ที่บ้านอีกก็ได้
    ในวันนั้น ท่านจึงช่วยโจรให้ลักเอาตะเกียงของท่านเอง คนทุกคนล้วนอยากเป็นคนดี ไม่มีใครอยากให้ผู้อื่นตราหน้าว่าตัวเองชั่ว แต่ที่เขาต้องกระทำชั่วลงไป ก็เพราะสถานการณ์มันบังคับให้ทำ ถ้าไม่ทำก็จะอยู่ไม่ได้
    นี่แหละชีวิต บางทีก็ไร้ทางเลือกอย่างนี้ คนกระทำผิดทุกคนมิใช่คนเลวโดยสันดานเสมอไป
     
  14. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    ขอให้โยมนั้นเป็นที่พึ่งพาของตัวเอง ธรรมใดที่โยมได้เจริญแล้วนั่นแล เรียกว่าโยมเคยได้ทำมาแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั่นเรียกว่าบารมีเก่า วาสนาเก่า ได้เคยสะสมมา ได้กระทำ ได้ประพฤติปฏิบัติมา จึงได้เข้ามาถึงในพระรัตนตรัย ในการอ่อนน้อมถ่อมตน เจริญทาน เจริญภาวนา เจริญศีลได้ ถ้าโยมไม่มีต้นทุนบุญกุศลเลย จำไว้ก็เหมือนที่ฉันบอก โยมไม่เคยทำโยมจะมาอ้างว่าโยมทำ..เป็นไปไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    อะไรที่ไม่จริงก็คือไม่จริงในธรรม แต่ในทางโลกเขาอาจจะไม่เห็นอย่างที่โยมเห็น ใช่มั้ยจ๊ะ โยมโกหกเขาอาจจะไม่รู้ แต่ใครรู้เล่าจ๊ะ "ดวงธรรม"รู้ไม่ใช่เหรอจ๊ะ..ก็ตัวเรานั่นเอง ถ้าเรารู้ว่าสิ่งนั้นยังรู้ได้ แสดงว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรปกปิดได้ จำเอาไว้ นั่นก็เรียกว่าเราหนีกรรมไม่ได้นั่นเอง นี่ไงล่ะจ๊ะที่เป็นกฏตายตัว แล้วเราจะหนีกรรมได้ยังไง ถ้าโยมไม่อยากมี"เวร"น่ะ โยมก็อย่าไปสร้าง"พยาบาท"กับใครเขา ใช่มั้ยจ๊ะ ไม่อยากมี"บาป"ติดตัว ก็อย่าไปทำ"กรรมชั่ว" นี่เค้าเรียกว่าเราละ "ละ"ในสิ่งที่ไม่ดี

    อ้าว..แล้วสิ่งที่ทำมาแล้วในอดีตเล่าจ๊ะ ไอ้นั่นเป็นเรื่องของอดีต อดีตเค้าเรียกว่าตายไปแล้ว ที่ยังไม่ตายเพราะโยมยังไปคิดมันก็เลยฟื้นขึ้นมาอีก ใช่มั้ยจ๊ะ อ้าว..เมื่อมันฟื้นขึ้นมาอีกเราก็ซ้ำให้มันตายไปอีก คือละอารมณ์ไปบ่อยๆ ละจนถึงที่สุดของอารมณ์ จิตมันจะนิ่งตั้งมั่น เข้าถึงพระรัตนตรัย เมื่อเข้าถึงจุดของมันแล้วในสมาธิ ให้โยมอธิษฐานจิตแผ่เมตตาจิตออกไป ที่โยมได้เคยล่วงเกินกับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ในเวรพยาบาท คู่อาฆาตริษยาไม่ว่าจะภพภูมิใด ทุกดวงจิตทุกดวงวิญญาณ ให้เขาได้อาศัยเข้าถึงในพระรัตนตรัย น้อมนำอุดหนุนค้ำชูให้เขานั้นได้พ้นทุกข์ พ้นกรรม พ้นเวรภัย ให้อโหสิกรรมขอขมากรรมกับเขาไป

    นี่แหล่ะจ้ะทุกอย่างเมื่อมันหลุดพ้นจากกันแล้ว จิตเรานั้นก็ดีก็เรียกว่าจะคลาย..คลายในกรรม ไม่มีผู้ใดทำลายกรรมของใครได้ ไม่มีใครช่วยใครได้ ถ้าช่วยได้ก็แค่บรรเทา จะให้หายขาดเลยผู้นั้นต้องรักษากินยาเอง..

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๐
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
    โทร ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  15. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
  16. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
     
  17. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    upload_2017-7-30_9-57-22.png

    ลูกศิษย์ : ถ้าความคิดชั่วนี่..ถ้าเราไม่ทำและยังไม่พูดนี่ มันก็จะเป็นโมฆะไป มันก็จะสลายไป แล้วมโนกรรมนี่มันเกี่ยวยังไงคะ มันจะเป็นกรรมยังไงคะ

    หลวงปู่ : อ้าว..มโนกรรมก็เป็นความคิดไงจ๊ะ เพียงโยมคิดชั่ว บาปอกุศลก็บังเกิดในขณะนั้น เพราะมันมี"วิญญาณ" แต่ถ้าโยมไม่ได้ละออกไปในมโนจิตนั้น โยมสะสมความคิดมากๆ มันก็เป็นโทษนั่นเอง ถ้าไม่เป็นโทษกับใคร..จำเอาไว้ก็เป็นโทษกับตัวเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    อ้าว..เพราะตัวของเราก็ไม่ใช่เรา มันก็ให้โทษได้เหมือนกัน ถามว่าโยมคิดทุกวัน คิดทุกวันแต่สิ่งไม่ดี สาปแช่งคนอื่นเขาอย่างเดียว ไอ้คนนั้นเขารู้มั้ยว่าเราสาปแช่งน่ะ มีแต่ความอาฆาตพยาบาท แล้วใครเป็นทุกข์ล่ะจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ตัวเรา) นี่เรากำลังฆ่าตัวเองแล้ว นี่ยังเป็นบาปอยู่ ใช่มั้ยจ๊ะ ไอ้คนที่เราสาปแช่งมันเจริญเอาๆ เห็นมั้ยจ๊ะ เพราะเขาไม่ได้คิดสาปแช่งเราไงล่ะจ๊ะ เพราะเราคิดอาฆาตมาดร้ายกับคนอื่นน่ะ..เป็นโทษแล้วนะจ๊ะ เราพยายามฆ่าแล้วนะแบบนั้น..

    คนที่คิดทำร้ายคนอื่นเรียกว่าพยายามฆ่า โทษนั้นจะกลับมาหาตัวเองเพราะเป็นการฆ่าตัวเองอยู่ เห็นมั้ยจ๊ะ แล้วถ้าโยมไม่ละมันออกไปน่ะ โยมว่าเป็นโทษมั้ยจ๊ะมโนกรรมนี้ อ้าว..เป็นโทษอย่างใหญ่หลวงถึงขั้นต้องประหารชีวิตแล้วแบบนั้น

    ลูกศิษย์ : ดังนั้นทางออกก็คือว่าเราต้องชำระตรงนี้ทุกครั้ง
    หลวงปู่ : จ้า..ถูกแล้วจ้ะ แค้นต้องชำระจ้ะ "ชำระใจ"ของเราให้มันสะอาด ละโทสะจ้ะ

    ลูกศิษย์ : ด้วยการขอขมาอโหสิกรรมแล้วก็แผ่เมตตา?
    หลวงปู่ : อ้าว..ก็ต้องให้อภัยสิจ๊ะ โยมต้องให้อภัยก่อนเดี๋ยวเมตตามันจะเกิดเอง ถ้าโยมอภัยไม่ได้เมตตามันก็ไม่เกิดหรอกจ้ะ โยมเมตตาแต่ปากโยม แต่โยมยังไม่ได้อภัยน่ะ เราจะแผ่เมตตาเพื่อให้ใจมันสงบเพื่อจะเข้ากรรมฐานให้ได้ แต่ไอ้คนที่เรายังไม่ชอบหน้าก็ยังเคียดแค้นอยู่อย่างนั้น ยังไม่ได้ให้อภัยเขา เราต้องคิดว่าบุคคลทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นมนุษย์ที่ร่วมเกิดแก่เจ็บตายกับเราเหมือนเราทั้งนั้น มีสุขมีทุกข์ รักสุขเกลียดทุกข์ทั้งนั้น เราต้องคิดได้แบบนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เราถึงจะเกิดความเมตตา

    ดังนั้นสิ่งที่โยมคิดว่ามโนกรรมนี้ ที่เราคิดนี้ว่า ไม่ดีนี้ เมื่อเราสะสมไม่ยอมละมันออกไป มันจะให้ผลเมื่อถึงเวลา เข้าใจมั้ยจ๊ะ กรรมชั่วนี่เค้าเรียกว่าเป็นของเผ็ดร้อน เมื่อถึงเวลานั้นตาฝ้าฟางไปหมด มันจะไม่เห็นทางเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันจะมีแต่ความเร่าร้อนจิตเร่าร้อนใจ แม้นอนก็ดีแม้ตื่นก็ดีมันก็เคียดแค้นชิงชังอยู่อย่างนั้น

    จำเอาไว้เถิดจ้ะโยมไปอาฆาตพยายาทใครเท่ากับว่าเรานั้นลดทอนบารมีบุญกุศลเราลง แต่กลับว่าบุคคลที่เราเกลียดชังนั้นกลับมีบารมีมากยิ่งขึ้น นี่มันจะเป็นแบบนั้น แต่ตรงกันข้าม..เมื่อเราให้อภัยกับบุคคลที่เราไม่ชอบหน้าเคียดแค้นชิงชังได้มากเท่าไหร่..บารมีของเรานี้จะมีมากขึ้นเท่านั้น คนนั้นถ้าไม่คิดจะประหัตประหารเราแล้วไซร้บารมีเขาก็จะเสื่อม นี่เห็นมั้ยจ๊ะ มันกลับกันตรงนี้

    ถ้าเรามีใครชิงชังเราแต่เรารู้กำหนด..แล้วเมตตาแผ่ออกไปมากเท่าไหร่ แต่ถ้าเขารับไม่ได้และคิดจะพยาบาทเราอยู่ กรรมอันนั้นที่เขาพยาบาทเราจะสนองเขาทันตา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็เหมือนที่ว่าพญามารนั้นได้ต้องการจะประทุษร้ายต่อพระศาสดา แต่พระศาสดาท่านนั้น..ท่านวางทุกอย่างแล้ว และไม่มีความอาฆาตชิงชัง มีแต่ความเมตตาจิต สุดท้ายอาวุธทั้งหลายนั้นยังต้องตกเป็นดอกไม้ของหอมเป็นพุทธบูชาเลย ใช่มั้ยจ๊ะ

    เช่นเดียวเมื่อเราไม่ถือไฟแล้ว ไฟนั้นจะให้ผลกับเราร้อนกับเราได้หรือไม่..ก็ให้ผลไม่ได้ เพราะเราไม่ได้สร้างเหตุแล้ว เพราะเราดับเหตุ แม้เราดับไม่สนิท..แต่เราพยายามดับ เหตุนั้นมันก็จะเจือจางเบาบางลงเหมือนยาพิษ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นคำว่า"มโนจิต"นี้ถ้าเราฝังมันอยู่บ่อยๆ มันมีกำลังมากเท่าไหร่มันก็จะบังคับบัญชาการของโยมไปกระทำให้ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ..

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
    โทร ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  18. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    "ความตาย" บุคคลใดจะเจอความตาย หรือความตายจะมาพลัดพราก..พญามัจจุราชจะมากระชากจิตวิญญาณเราตอนไหน มันมีเหตุอยู่ว่า เมื่อเรากลัวสิ่งใด นั่นแหล่ะจ้ะ แสดงว่ามีวิญญาณที่เราเคยสร้างเวรสร้างพยาบาท อาฆาตมาดร้ายไว้ เขากำลังตามมาทวงหนี้แค้นก็ดี คู่อาฆาตริษยาก็ดี จะเป็นเจ้ากรรมนายเวรก็ดี ในสิ่งที่เราล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ ที่เราเคยอาฆาตพยาบาทไว้ สิ่งเหล่านี้ให้กำหนดรู้และให้เจริญสติ

    "การเจริญสติ" เจริญอย่างไร ก็เรียกว่าต้องมีการเจริญภาวนา เพื่อให้เราระลึกรู้ได้ว่า ในขณะนี้อารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอย่างไร เมื่อเรามีสติมีกำลังแล้ว มันถึงจะไปกำหนดรู้สิ่งเหตุที่เกิดขึ้นที่ทำให้เรากลัว เราถึงจะไปดับเหตุนั้นได้ เมื่อเราดับเหตุสิ่งนั้นได้บ่อยๆที่ทำให้เรากลัว มันก็เรียกว่าเมื่อผู้ใดมีหลักแห่งใจ มีองค์ภาวนา จิตเรานั้นจะตั้งมั่น น้อมเข้าสู่ในพระรัตนตรัย นั่นก็เรียกว่าให้เราเชื่อมั่นในพระพุทธ ในพระธรรม ในพระสงฆ์แล้ว ความกลัว..วิญญาณเหล่าใดก็ดี เขาก็จะได้อานิสงส์ ถึงแม้เขาจะมีอาฆาตมาดร้ายกับเราก็ตามแค่ไหน ก็ด้วยอานุภาพแห่งพระรัตนตรัย..อานุภาพนี้ก็ต้องขจัดปัดเป่าให้เขานั้นหลีกทางไป

    สิ่งเหล่านี้เมื่อเรากระทำบ่อยๆ เจริญบ่อยๆแล้ว จิตที่เรามีความอาฆาตพยาบาทอยู่นี้ ก็เรียกว่ามันก็จะดับระงับลงได้ เมื่อเราทำอยู่บ่อยๆ จิตและกายมันก็เบา จิตและกายมันก็เย็น เมื่อเย็นเข้าถึงที่สุดแล้วก็เกิดความเมตตา มีความปราณี กรุณา มุทิตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย

    เมื่อเป็นเช่นนี้แม้ที่เราเคยทำกรรมมาในอดีตก็ตาม แม้เขายังไม่ให้อโหสิกรรมเราก็ตาม แต่ด้วยกรรมในปัจจุบันที่เราเจริญเมตตาจิตนั้น มันพยุงไว้ กรรมในอดีตไม่ว่าจะเป็นวิญญาณเหล่าใดนั้น ย่อมไม่สามารถทำอะไรเราได้ แต่เมื่อเราทำให้อยู่บ่อยๆ แผ่เมตตาจิตอยู่บ่อยๆแล้ว เมื่ออานิสงส์เขาได้มากๆแล้วเขาจะรู้ซึ่งถึงความเมตตาที่แท้จริงของเรา ว่าสิ่งที่เราล่วงเกินก็ดีนั้น แม้เราจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ หรือมีเจตนาแค่เพียงใดก็ตาม เมื่อเราทำได้แบบนี้เขาเรียกว่าเรานั้นมีความสำนึกบาปในกรรมชั่วนั้นที่เรากระทำ

    คนใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นอมนุษย์ เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เทพทั้งหลายเมื่อมีความสำนึกในบาปบุญคุณโทษแล้วไซร้ ใครก็ต้องให้โอกาส แล้วโยมล่ะจ๊ะ ให้โอกาสตัวเองบ้างหรือยัง อย่ารอให้ความตายมาบังคับให้โยมนั้นต้องปล่อยวางทุกอย่าง เมื่อโยมยังมีลมหายใจ..โยมควรปล่อยวางสิ่งที่จะทำให้เรานั้นทุกข์ เพราะว่าทุกอย่างที่โยมมีในโลกใบนี้ โยมจะเอาอะไรไปไม่ได้เลย แต่ถ้าโยมยังยึดอยู่ว่าสิ่งที่โยมมีนี้เป็นของตัวเองของเรา โยมก็จะได้แค่ชาตินี้ชาติเดียว เพราะสิ่งที่จะเอาไปได้ ก็คือบุญกุศลและความดี และกรรมชั่วที่ติดไป

    แต่ถ้าโยมสร้างกุศลความดีมาก จนพยายามเข้าถึงสภาวะละอารมณ์ที่เป็นข้าศึกแห่งใจ ที่ไม่ให้จิตนั้นเศร้าหมองขุ่นมัวอีกต่อไปแล้ว กรรมในอดีตแม้มันจะเป็นกรรม มันก็เป็นกรรมลหุโทษ คือกรรมเบา กรรมไม่หนัก เมื่อมันเบาแล้วเราสร้างกรรมดีพยุงไว้ คำว่าเบานั้นมันก็ลอย มันก็ให้ผลอะไรไม่ได้ มันก็สักแต่ว่าเป็นกรรมที่เราเคยทำ หมายถึงว่ามันก็สักแต่ว่าเป็นอดีต นั่นก็หมายถึงว่า มนุษย์นั้นที่ทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะความคิด ไปยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์เก่าที่ทำให้เราเศร้าใจ หมองใจ ที่ทำให้เรานั้นไม่พอใจ คือมีอาฆาตพยาบาท ผูกเวรผูกใจอยู่อย่างนั้น มันก็เข้าสู่สภาวะจิตในอารมณ์ปัจจุบันไม่ได้ ที่จะทำให้จิตเราตั้งมั่น เข้าสู่สภาวะในการปล่อยวางเมื่อจะเจริญกรรมฐานเจริญภาวนาก็ดีแบบนี้ สิ่งนี้เขาบอกว่าเป็นกรรมที่ตัดรอน ที่เรานั้นสร้างขึ้นมา

    ดังนั้นไม่มีใครที่จะมาทำลายบุญกุศลของตัวเราได้ นอกจากตัวเราเอง และไม่มีใครจะนำพาจิตวิญญาณของตัวเองไปได้ พ้นทุกข์ได้ นอกจากตัวเราเอง แม้พระอริยเจ้าทั้งหลาย แม้องค์สัพพัญญูพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้เพียงผู้ชี้บอกทางเท่านั้น ถ้าโยมไม่เดิน..ใครก็บังคับโยมไม่ได้

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๙
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...