มีคำทำนายภัยพิบัติ พระยาธรรมที่ท่านทั้งหลายคิดว่าเชื่อถือได้กันบ้างหรือเปล่า

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย zalievan, 24 กันยายน 2018.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    มีความกำหนัดหรือมีกามฉันทะ
    หรือ
    ต้องการบุตรธิดา

    แล้วคนเรารักเด็กอ่างหรือผู้หญิงสู้ชีวิตบางหมู่เหล่าหรือเปล่าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2018
  2. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    ครับ ถามครับ ความกำหนัดเกิดจากอะไรครับ.
    เด็กอ่างหรือผู้หญิงสู้ชีวิต รักได้สงสารได้ครับผม.
     
  3. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    ครับ ดาราแฟร์และคุณ.กระรอกวัด พูดถึง.มอบรักที่บริสุทธิ์ให้โลกใหม่ใบนี้.หลังมหันตภัยครับ.
     
  4. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ผมยังไม่ทราบว่ากามฉันทะเกิดจากอะไรเหมือนกันครับ จิตยังไม่ละเอียดถึงขนาดนั้น

    แต่ความรักไม่ได้อยู่กับเราตลอดเวลาจริง ๆ หรอก
    มันเกิดแล้วก็ดับของมันเรื่อย ๆ รักเมื่อนึกถึง ไม่นึกถึงก็ไม่รัก รักเมื่อมีอะไรมากระทบ ไม่กระทบก็ไม่รัก หรือในลักษณะอื่น ๆ ครับ ลองสังเกตดูเอา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2018
  5. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    กำหนัดผมเคยโพสท์ไปแล้วที่ตอบคุณกะรอกเกี่ยวกับ ชอบ ไม่ชอบ เฉยๆครับลองย้อนไปอ่านครับผมจำไม่ได้ว่าหน้าไหนครับอาจจะเลื่อนยาวหน่อย
     
  6. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ทางที่ต้องเลือกเดินในจักรวาลแห่งความรัก....

    คำนี้คิดว่าคงเหมาะสมที่สุดกับการเกิดของสรรพสิ่งในโลกและจักรวาลสากลนี้ และการเกิดมาเป็นมนุษย์เพื่อมาทำหน้าที่ของมนุษย์ให้สมบูรณ์ค่ะ

    ถ้าโลกธรรม คือ สัจธรรมแห่งความจริงของสมมุติบัญญัติ คือ การสมมุติขึ้นมา โลกธรรม หมายถึง ธรรมคู่ คือ ดี-ชั่ว ขาว-ดำ สูง-ต่ำ ก็คือ ธรรมสมมุติบัญญัติที่มาคู่กัน

    พลังงานแห่ง "ความรัก" ความรักในที่นี้ที่เป็นภาษาสากล ที่อาจหยั่งลงสู่คำว่า ดี-ชั่ว หรือ บวก กับ ลบ ซึ่งหมายถึง พลังงานที่สั่นสะเทือนที่ออกมาจากจิตใจในฝ่ายพลังงานด้านบวกบวกเท่านั้น (พลังงานที่บริสุทธิ์) ซึ่งความหมายนี้ ซึ่งครอบคลุมสากลจักรวาล แม้ว่าในยุคนั้นหรือกัปป์นั้นจะมีศาสนาหรือสูญกัปล์ ใช้เป็นคำสมสุติบัญญัตินี้เป็นกฎเกณฑ์สากลจักรวาล ใช้ได้เป็นสากลซึ่งรวมถึงซึ่ง ความเมตตา สงสาร ช่วยเหลือ เกื้อกูล อาทร อดทน อดกลั้น ให้อภัย มุฑิตา อุเบกขา ทั้งหมดนี้คือ พลังงานด้านบวก ซึ่งรวมทั้งหมดก็คือ ให้หมายถึง "ความรัก" นั่นเองค่ะ

    จุดเริ่มต้นของการเกิดมาเป็นมนุษย์ หน้าที่ของมนุษย์คือ "ความรัก" ที่เป็นพลังงานด้านบวก เท่านั้นค่ะ จึงเรียกว่า ความรัก ถ้ารักนั้นร้อยรัดด้วยตัณหา ถึงแม้จะเป็นความรัก ถ้าเป็นพลังงานด้านลบไม่ถือว่าเป็นพลังงานความรักตามกฎเกณฑ์สากลจักรวาล เพราะทุกสรรพสิ่งในสากลจักรวาลนี้ล้วนต่างมอบความรักให้แก่กัน แม้แต่ดวงดาวทั้งหมดทั้งมวลที่ยึดโยงใยไว้ด้วยกัน เช่นจักรวาลกาแล๊กซี่นี้ ที่โลกและระบบสุริยะจักรวาลต่างเกี่ยวเหนี่ยวรั้งไปพร้อม ๆ กัน ก็เกิดจากแรงดึงดูดยึดโยงใยไว้ด้วยกัน นี้เรียกว่า พลังงานบวก หรือ พลังงานความรัก นั่นเอง

    คำว่า "พลังงานแห่งความรัก" จึงไม่ได้ใช้แต่มนุษย์เท่านั้น ใช้ได้กับทุกสรรพสิ่งที่ ทั้งที่เป็นสัตว์ หรือ เทหวัตถุ สิ่งของต่าง ๆ แม้กระทั่งหินก้อนหนึ่งที่เป็นก้อนหินได้ก็เกิดจากการยึดของมวลธาตุสารต่าง ๆ หลายธาตุรวมกัน เมื่อหมดเหตุ หรือแตกสลายหายไป หินก้อนนั้นก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้ การที่ก้อนหินมารวมได้ก็เพราะมีพลังงานการยึดโยงใยไว้ด้วยกันเพื่อทำให้หน้าที่ของสิ่งนั้นสมบูรณ์ นั่นเอง

    ดังนั้น ความรัก ก็คือ การเป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นเอง ถ้ามนุษย์ทั้งโลกมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน โลกหรือสังคมคงไม่เกิดความวุ่นวาย หรือ โกลาหล ดังเช่นทุกวันนี้

    จากกฎเกณฑ์
    นี้เองคือสิ่งที่มนุษย์จะต้องสำนึกรู้ให้ได้ว่า การช่วยเหลือค้ำจุนกันระหว่างตนเองและผู้อื่นด้วยความรักเพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน และค้ำนุนความสมดุลของระบบเดียวกันให้มั่นคงนั้น มันเป็น "หน้าที่" ของทุกคนทุกสรรพสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ

    ระบบนั้นจะมั่นคงไปไม่ได้ ถ้าแต่ละสรรพสิ่งหรือแต่ละคนบกพร่องต่อหน้าที่หรือละเลยเหลวไหล โดยไม่รักกันไม่ค้ำจุนช่วยเหลือกันอย่างสุดพลัง

    แต่ละคนหรือหรือแต่ละสรรพสิ่ง จะดำรงอยู่อย่างสมดุลในตนเองและสมดุลกันกับผู้อื่นหรือสรรพสิ่งอื่นไม่ได้ ถ้าหากแต่ละคนหรือแต่ละสรรพสิ่งไม่ค้ำจุนข่วยเหลือซึ่งกันและกัน นั่นเอง


    ดาวน์โหลด (1).jpeg

    images (8).jpeg
     
  7. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ศาสนาพุทธสอนให้หลุดพ้นจากแรงดึงดูดนะฮับท่านจิตยิ้ม

    การเพ่งใช่แรงดึงดูดไหม ธรรมารมณ์เป็นแรงดึงดูดไหม? เมื่อหลง ยึดใน สภาวะธรรมใดๆ ย่อมถูกรัดไว้ด้วย อารมณ์นั้นๆใช่ไหม?

    คุณจิตยิ้มเคยดับตนได้แล้วนี่ย่อมพบว่าสภาวะตอนนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากอณู แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ดับไปในสภาวะนั้น และ ทุกๆสภาวะด้วย แต่มันโดนปิดบังด้วยมันคือ "รู้"(วิชชา) เมื่อเริ่มยึดตน สภาวะเริ่มถูกปิดบัดโดยตนเหมือนเวลาโกรธย่อมไม่รู้(อวิชชา) หากสติไม่ตั้งมั่น และคุณจิตยิ้มก็ย่อมพบเองว่ามันคือเมฆหมอกแบบที่ท่านกล่าวไว้ แล้วลองเดินจิตเข้าสภาวะต่างๆเอาเอง สภาวะของสติมันไม่เท่ากัน บางสภาวะโดนปิดบังมาก บากสภาวะโดนปิดบังน้อย

    สรุปแล้วสติตังหากที่คงเหลือและไม่ใช่ตัวตน ตราบใดที่ยึดสิ่งใดๆสติเริ่มรู้น้อยลงเรื่อยๆตามสภาวะของธรรมารมณ์ต่างๆนะครับ ลองทดลองเอาเองเลยครับ
     
  8. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    และสภาวะของสติที่ตั้งมั่นได้ดีที่สุดใน กรณีของผู้ที่ยังไม่รู้ว่าอะไรคือตน มันคือ"สภาวะเฉย" ไม่ใช่สภาวะ รัก เพราะเฉยก็ไม่ใช่รักเช่นกัน หากจะกล่าวถึงกรณีของรักบริสุทธ์ในกรณีพรหมวิหาร 4 หรือธรรมารมณ์ด้านกุศล(ของคุณใช้คำว่าพลังงานบวก) คือคุณก็ไม่ได้พูดผิดหรอกในบางอย่าง ที่ผมมานั่งค้าน "เพราะการใช้ภาษาที่ผิดผู้ฟังย่อมเข้าใจผิด" และ "มันไม่ตรงตามอาการ" อาการของคำว่ารัก ลองมองแบบกลางๆดู "คำว่ารักนี่ผู้ฟังจะตีความไปทางด้านใด" หวังว่าคุณจิตยิ้มคงเข้าใจ ที่ผมสื่อนะครับ
     
  9. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ใช่ค่ะ เห็นด้วยค่ะ แต่...การที่เข้ามาถือกำเนิดนี้ล้วนมีเหตุแห่งการเกิดนะคะ

    จิตวิญญาณเป็นรูปธรรมพลังงานแก่นแท้ ที่มีล้วนมีเหตุเกิด นั่นคือ พันธะสัญญา 6 อันเป็นภาระหน้าที่ตัวตนแก่นแท้ในความเป็นมนุษย์ของแต่ละคน ต่างถือติดตัวกันมาสู่การเกิดเป็นรูปธรรมมนุษย์ในระบบโลกตั้งแต่ภพชาติแรกแล้ว

    พันธะสัญญา 6 คือ ปณิธานของจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ ในมนุษย์แต่ละคน ต่างให้เป็นสัจจะต่อทุกสรรพสิ่งในสากลจักรวาลเอาไว้

    ๑.ตนจะมาเป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลกและทุกสรรพสิ่ง หมายถึง การร่วมมือร่วมใจสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านบวกมอบให้แก่กันและกัน มิใช่อารมณ์หยาบ ๆ รายวันในกลุ่มของกิเลสตัณหา เพื่อเป็นเงื่อนไขให้ผู้อื่นสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกด้านบวกตอบสนองตนเองตามไปด้วย ซึ่งส่งผลให้จิตอันเป็นแก่นแท้ของตนเองและผู้อื่น ต่างสามารถผลิตสร้างพลังงานไฟฟ้าด้านบวกในมิติของแก่นแท้ที่สองตาเปล่ามองไม่เห็นมอบให้แก่กันและกันและมอบให้กับดาวเคราะห์โลกของตน

    ๒.ตนจะไม่เบียดเบียนผู้อื่นและสรรพสิ่งอื่น หมายถึง การไม่ล่วงเกินและการไม่ทำร้ายผู้อื่นหรือสรรพสิ่งอื่น ในอันที่จะก่อให้เกิดสภาวะ การเสียสมดุลขึ้นภายในตนเอง ของผู้นั้นหรือสรรพสิ่งนั้น และการเสียสมดุลของระบบ

    การไม่เบียดเบียนสรรพสิ่งอื่น หมายถึง การไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมอันเป็นระบบนิเวศน์ธรรมชาติเดิมเสียไป

    การไม่เบียดเบียนผู้อื่น หมายถึง การทำตนไม่เป็นเงื่อนไขทางจิตใจที่จะเป็นเหตุให้ผู้อื่นเกิดการเสียสมดุลไปจากสภาวะจิตในยามปกติ คือ เกิดอารมณ์รูสึกนึดคิดด้านลบในกลุ่มของกิเลสตัณหาขึ้น จนเป็นอุปสรรคที่จะทำให้ผู้อื่น หรือสรรพสิ่งอื่นไม่สามารถทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลกได้

    ๓.ตนจะยกระดับจิตสำนึกและจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

    หมายถึง การใช้จิตหยาบสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านบวก เพื่อใช้พลังอำนาจด้านบวกนั้นขับเคลื่อนพฤติกรรมทางกายภาพใด ๆ แสดงออกต่อผู้อื่นได้อย่างสิ้นเชิง จนเป็นนิสัยธรรมชาติของตนได้ จะต้องไม่เกี่ยวข้องแวะแตะต้องกับความอยากหรือความไม่อยาก อันเป็นกิเลสตัณหาทั้งหลายได้อย่างสิ้นเชิงด้วย

    ถ้าจิตหยาบของมนุษย์ สามารถปิดมิติการใช้กิเลสตัณหาซึ่งเป็นอารมณ์รู้สึกหยาบ ๆ ที่เรียกว่าอารมณ์รู้สึกรายวันเพื่อการขับเคลื่อนบทบาทการดำรงชีวิตของตนได้อย่างสิ้นเชิงเมื่อใด มนุษย์ก็จะเข้าถึงการหลอมรวม กาย จิต และจิตวิญญาณของตนให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้เมื่อนั้น

    ๔.ตนจะสืบทอดเผ่าพันธ์โลกมนุษย์ไว้

    ๕.ตนจะเป็นเงื่อนไขด้านบวกของผู้อื่น

    การเป็นเงื่อนไขด้านบวกของผู้อื่น หมายถึง การไม่แสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมใด ๆ ก็ตามในอันที่จะกระตุ้นหรือปลุกเร้าให้ผู้อื่นเกิดความรู้สึกนึกคิดด้านลบต่อตัวเรา และในขณะเดียวกัน การแสดงออกหรือการกระทำพฤติกรรมใด ๆของเราดังกล่าวนั้น มันจะต้องนำผู้อื่นไปสู่การสั่นสะเทือนทางอารมณฺรู้สึกนึกคิดด้านบวกได้อีกด้วย

    ๖.การช่วยเหลือผู้อื่นคืนสู่แดนสุญญตา

    หมายถึงการแบ่งปันสัจธรรมและแสงสว่างทางปัญญาให้แก่ผู้อื่น เพื่อช่วยให้ผู้อื่นล่วงพ้นการก่อพันธะกรรมใหม่กับตนเองได้อย่างสง่างาม และช่วยให้ผู้อื่นข้ามผ่านการแก้ไขจิตสำนีกบกพร่องโดยมีตัวเราเป็นผู้ให้บทเรียนกรรมนั้นๆ ไปได้อย่างองอาจนั่นเอง

    มนุษย์แต่ละคนจะนำพาจิตวิญญาณของตนเองกลับคืนสู่แดนสุญญตา ในสภาวะนิพพานได้นั้น จะต้องทำให้คุณสมบัติทางจิตวิญญาณของตนเป็นสุญญตาให้ได้เสียก่อนเท่านั้น หมายความว่า จิตวิญญาณจะต้องไม่มี หรือ "ว่าง" ไปจากคุณสมบัติทั้งสามประการนี้


    ๑.ไม่มีหนี้กรรมที่จิตวิญญาณอื่นยังจดจำได้และเฝ้าทวงคืนอยู่

    ๒.ไม่มีหนี้กรรมใหม่ที่จิตหยาบในความเป็นมนุษย์ของตนสร้างมันขึ้นมาใหม่ โดยเกี่ยวกรรมกันไว้กับผู้อื่น
    เหลืออยู่

    ๓.ไม่มีรหัสบุรพกรรมอันเป็นกิเลสตัณหาใด ๆ เหลือเป็นคุณสมบัติ ของจิตวิญญาณอยู่อีกแล้ว

    การช่วยเหลือผู้อื่นให้เข้าถึงสุญญตานี้ สามารถทำได้หลายช่องทาง เพียงแค่รู้จักรักผู้อื่นให้ได้ ให้อภัยผู้อื่นให้เป็น ทำตนเป็นแบบอย่างที่ดี และมีปณิธานของการเป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้อื่นเสมอ ก็เท่ากับว่ามนุษย์กำลังทำหน้าที่ฉุดช่วยผู้อื่น มิใช่ฉุดรั้งผู้อื่นได้อย่างน่ายกย่องสรรเสริญแล้ว

    ดั่งที่พระพุทธองค์ตรัสว่า การเรียนรู้โลกให้แจ่มแจ้ง ทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ น่าจะเป็นนัยยะอย่างหนี่ง และนั่นการคือ กาาถึงพร้อมด้วย กาย วาจา ใจ หรือ การทำหน้าที่ของมนุษย์ที่สมบูรณ์ ก็คือ มรรคแปดค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2018
  10. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    อนุโมทนาด้วยค่ะ

    ใช้หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าคำว่า อนุปุพพิกถา แปลว่า ถ้อยคำที่กล่าวโดยลำดับตั้งแต่เบื้องต้นขึ้นไปตามลำดับตามจริตนิสัยวาสนาของแต่ละคนที่ได้สั่งสมไว้ ก็ได้เหมือนกันนะคะ
     
  11. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ถ้าสมมุติ ผมมีลูก ผมคงจะไม่ยัดทางเดินที่ผมเห็นว่าถูกต้องให้เขาหรอกนะ
    ผมคงจะสอนทางเดินหลาย ๆ ทางให้เขามากกว่า
    สอนวิธีคิด พิจารณาว่าอะไรจริงไม่จริง
    แล้วให้เขาเลือกเอง ว่าเขาจะเอายังไง

    แต่สิ่งที่ผมไม่อยากทำเลย คือ สร้างภาพลวงตาให้เด็กมัน
    ที่ผมอยากทำคือให้ความจริงให้มากที่สุดแล้วสอนให้มันอยู่กับความจริงได้อย่างมีความสุขอย่างเข้าใจ มากกว่าที่จะ มีความสุขแบบ "ตาบอด" ไม่รู้สี่รู้แปดอะไรอย่างที่ผมเป็น

    เพราะผมโตมาในสภาวะที่มีผลทำให้ต้องทำถามกับตัวเองอยุ่ตลอดเวลาว่า ทำไมเราต้องเกิดมาบนโลกนี้ และนั่งจมอยุ่กับความทุกข์ อยุ่ตลอดเวลา

    แต่ก็ไม่รู้แหละว่าถ้ามีลูกแล้วตัวเองจะทำอย่างที่คิดได้หรือเปล่า

    คนเราถ้าจะเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง เขาต้องรักในสิ่งนั้น และเขาต้องเลือกเอง
    ผมไม่อยากให้มันเป็นหน้าที่หรอกนะ

    เพราะหากเรามีฉันทะในสิ่งใด เราก็จะมีความสุขในการทำสิ่งนั้น มั่นคงในสิ่งนั้น และทำสิ่งนั้นได้ดี

    ส่วนถ้ามันเป็นหน้าที่น่ะเหรอ
    = =

    ไม่บรรยายก็แล้วกันครับ

    ผมโตมาภายใต้แรงกดดัน
    ผมเลยมองโลกในแง่ร้ายนิดหน่อย

    และคนที่มองโลกในแง่ร้ายหลาย ๆ คนคงไม่มีจับพลัดจับผลูมาศึกษาศาสนาพุทธแบบผมกันทุกคนหรอกครับ

    ใครคิดว่าการรักคนอื่นเป็นหน้าที่ได้ก็อนุโมทนาสาธุด้วย
    แต่ผมมีความคิดว่าที่เรารักคนอื่นไม่ได้ทุกคนเพราะคิดว่ามันเป็นหน้าที่ และรู้สึกฝืนเมื่อเราต้องให้ความรักกับคนบางคนที่เรามีเวรเกี่ยวพันกะเขานี่แหละ
    เพราะที่ผ่านมา ผมคิดว่าคำว่าหน้าที่ มักจะนำคำว่า ภาระมาเสมอ คือชอบใจไม่ชอบใจก็ต้องทำ
    คนที่ไม่ค่อยชอบภาระอย่างผม ผมมีแต่จะต้องทำให้ตัวเองไม่รู้สึกว่าการมอบความเมตตาให้คนอื่นเป็นหน้าที่ แต่มันต้องเกิดมาจากฉันทะให้ได้เท่านั้น คือต้องเข้าใจเหตุผลที่ต้องรักคนอื่น และทำมันอย่างเต็มใจ ไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ผมถึงจะมีความสุข ผมไม่อยากมอบความรักให้ใครด้วยความรู้สึกฝืนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2018
  12. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ไม่รู้ว่าข้อความที่ผมโพสไปข้างบนมันจะเป็นการหลงหรือเปล่านะครับ

    แต่ความรู้สึกในใจของผม คืออยากให้คนรักพระธรรมด้วยการเลือกของตัวเอง
    อยากเป็นพระพุทธเจ้าที่สามารถทำให้ทุกคน มีฉันทะที่จะทำนิพพานให้แจ้ง รู้จักสอนคนอื่นให้มีฉันทะในอยู่ในธรรมะ
    อยากเป็นพระพุทธเจ้าที่ทำให้ทุกคนที่สามารถสอนได้ รู้จักทำการทำให้ปัญญาของตนเจริญขึ้นได้ด้วยตนเอง

    และอยากให้คนที่ยังไม่สามารถหลุดพ้นในยุคของผม สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างผาสุข ไม่เบียดเบียนกันและกันได้ด้วยความเข้าใจโลก ไม่มืดบอดเหมือนตัวผมในชาตินี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2018
  13. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    หลง มีกรณีที่ตรงตามอาการ คือไม่เห็นตามจริง หรือ รู้ว่าไม่ดีหรือรู้ว่าดีแต่ชอบเสพในสิ่งๆนั้น แต่ในกรณีหลังหลงไปเลยถ้ามันเป็นสุข อย่างน้อยก็ไปดี แต่ถ้าต้องการนิพพาน ต้องไม่หลงนะครับ
     
  14. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ยินดีด้วยครับท่านจิตยิ้ม
     
  15. Cheewin...

    Cheewin... อิ่มแล้ว...ไปต่อไม่ไหวแล้ว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2018
    โพสต์:
    1,195
    ค่าพลัง:
    +1,514
    เขาคนนั้นไม่เป็นรัยหรอก เขาปฏิบัติมาถึงขั้นนี้แล้ว...
    ที่หน้าเป็นห่วงที่สุดก็คือตัวท่าน ณ ตอนนี้...Relax
     
  16. เทวินตพรหม

    เทวินตพรหม พรหมวิหาร4มรรคมีองค์แปด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    649
    ค่าพลัง:
    +1,002
    ระยะนี้ ผมสุขภาพไม่โอเค แต่กำลังใจเต็มเปี่ยม

    เลยไม่ได้มาครึกครื้นขอรับ

    และต้องเตรียมตัวเดินทางไกลอีก

    เลยผลุบโผล่บ้าง ตามกาลเวลานะครับ

    ขอให้คุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองเพื่อนสมาชิกทุกท่านนะขอรับ
     
  17. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ขอบคุณมากค่ะ แต่..ยินดีด้วยเรื่องอะไรคะ จะบรรลุธรรมในชาตินี้ หรือ จะได้ทำงานใหญ่ในชาติต่อ ๆ ไป ตนเองยังไม่รู้ตัวเองเลยค่ะ ยังเป็นคนธรรมดาแค่คนหนี่งเอง ไม่สิ่งพิเศษเหมือนคนอื่นเขาเลย บางทีก็น้อยใจตัวเองเหมือนกัน ท่านซาตานเนียล รับสอนไหมค่ะ อยากท่องจักรวาลเหมือนกับคนอื่นเขาบ้างนะค่ะ
     
  18. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ชื่อ Zalievan
    เลขศาสตร์ หมายเลข 29 ชอบความงดงาม
    /
    เป็นเลขที่ส่งผลให้เจ้าของดวงชะตา รักหรือชอบความสวยงาม หรือทำให้เจ้าของดวงชะตาเป็นคนหน้าตาดีจนบางครั้งมีคนอิจฉาริษยา มีความคิดเพ้อฝันจิตนาการสูง มีโลกส่วนตัวชอบทำตัวลึกลับ มีญานสัมผัส หรือรางสังหรณ์แม่นที่บางครั้งเกิดขึ้นจริง ศรัทธาและเลื่อมในในสิ่งศักศิ์สิทธิ์ สนใจในศาสนาและสิ่งเร้นลับ ชอบสะสมของเก่า เมื่อใดที่ชีวิตต้องพบกับความลำบาก ท้ายที่สุดจะมีคนคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ

    http://www.do-doung.com/eng.php

    2+9=11
    เลข 11 หาได้ทุกที่จริง ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2018
  19. Cheewin...

    Cheewin... อิ่มแล้ว...ไปต่อไม่ไหวแล้ว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2018
    โพสต์:
    1,195
    ค่าพลัง:
    +1,514
    กินผัก ผลไม้ด้วยนะครัชท่าน เทวิน
    พริกเป็นของเผ็ด ร้อน เมื่อได้กินเข้าไปแล้ว ก็ยอมมีความเผ็ด ร้อนอยู่ในตัว
    สิ่งอื่นก็เช่นกัน มีทั้งให้โทษ และไม่ให้โทษ มีสองอยู่ในสิ่งเดียวเสมอ เปรียบเสมืิอน หยิน และ หยาง พลังงานบวกและลบ เป็นพลังงานบวกที่ให้ทั้งโทษ และไม่ให้โทษ พลังงานลบก็เช่นกัน มีทั้งให้โทษ และไม่ให้โทษ
     
  20. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ความต่างระหว่าง ความรัก กับ เมตตา
    two_hearts.jpg

    โดย หลวงปู่มั่น

    ถาม : เมตตา กรุณา กับรัก นั้น เหมือนกันหรือต่างกัน.?

    ตอบ : ต่างกันมาก อย่างละ "อริยสัจ" ทีเดียว ความรักนั้นเป็น "สมุทัย" (เหตุให้เกิดทุกข์) เมตตานั้นเป็น "มรรค" (หนทางสู่ความดับทุกข์)


    ถาม : เช่นรักบุตรหลาน ญาติมิตร คิดให้เป็นสุขและให้พ้นทุกข์ หรือสงสาร จะว่าเป็นสมุทัยได้อย่างไร รู้สึกรสชาติของใจประกอบด้วยความเอ็นดูปราณี

    ตอบ : ความรักและความสงสารบุตรหลานญาติมิตร ประกอบด้วย "ฉันทราคะ" อาลัยห่วงใย กังวล พัวพัน ยึดถือ หนักใจไม่โปร่ง เมื่อคนรักเหล่านั้นวิบัติไป เช่น ตาย เป็นต้น ก็เกิดทุกข์โทมนัส เศร้าโศกเสียใจ อาลัยคิดถึง ถ้ารักมากก็โศกมาก สมด้วยพระพุทธสุภาษิตคาถาธรรมบท ปิยวรรคที่ ๑๖ ว่า

    เปมโต ชายเต โสโก : ความโศกย่อมเกิดแต่ความรัก
    เปมโต ชายเต ภยํ : ภัยย่อมเกิดแต่ความรัก
    เปมโต วิปฺปมุตฺตสฺส : ความโศกไม่มีแก่ผู้พ้นแล้ว
    นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ : จากความรัก ภัยจะมีมาแต่ที่ไหน

    เพราะฉะนั้น จึงผิดกับ "เมตตา กรุณา"

    ส่วน "รัก" นั้นมีความชอบ และสงสารบุตรหลานญาติมิตร ไม่ทั่วไปในสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง เป็นแต่ พรหมวิหาร (พรมหมวิหาร ๔ ประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา)

    ส่วน "เมตตา กรุณา" (โดยเฉพาะ) ที่เป็น "อัปปมัญญา" (แปลว่า ธรรมที่แผ่ออกไปในสัตว์แลมนุษย์ทั้งหลาย อย่างมีจิตใจสม่ำเสมอทั่วกัน ไม่มีประมาณ ไม่จำกัดขอบเขต) นั้น ทั่วไปในสัตว์ ไม่มีประมาณ และไม่ประกอบด้วย ความห่วงใยอาลัย พัวพัน ยึดถือ มีความโปร่ง และเบาใจไม่หนัก มีจิตเย็นเป็นสุข และเป็นข้าศึกแก่พยาบาทโดยตรง และได้รับอานิสงส์ ๑๑ ประการด้วย ตามแบบที่ท่านแสดงไว้ใน เมตตานิสังสสูตร ว่า

    ๑. สขํ สุปติ : หลับก็เป็นสุข
    ๒. สุขํ ปฏิพุชฺฌติ : ตื่นก็เป็นสุข
    ๓. น ปาปกํ สุปินํ ปสฺสติ : ย่อมไม่ฝันเห็นลามก
    ๔. มนิสฺสานํ ปิโย โหติ : ย่อมเป็นที่ชอบใจของมนุษย์ทั้งหลาย
    ๕. อมนุสฺสานํ ปิโย โหติ : ย่อมเป็นที่ชอบใจของอมนุษย์ทั้งหลาย
    ๖. เทวตา รกฺขนฺติ : เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา
    ๗. นาสฺส อคฺคิ วา วิสํ : ไฟหรือยาพิษหรือศัสตรา,
    วา สตฺถํ วา กมต : ย่อมไม่ต้องผู้เจริญเมตตานั้น
    ๘. ตุวฏํ จิตฺตํ สมาธิยติ : จิตของผู้เจริญเมตตาย่อมมั่นเป็นสมาธิเร็ว
    ๙. มุขวณฺโณ วิปฺปสีทติ : สีหน้าของผู้เจริญเมตตาย่อมผ่องใส
    ๑๐. อสมฺมูโฬฺห กาลํ กโรติ : ย่อมไม่มีสติหลงตาย
    ๑๑. อุตฺตริ อปฺปฏิวิชฺณนฺโต : เมื่อยังไม่สำเร็จพระอรหันต์อันยิ่ง,
    พฺรหฺมโลกุปฺโค โหติ : ย่อมไปเกิดในพรหมโลก

    ที่มา : ตัดตอนมาจาก ปฏิปัตติวิภังค์ จากหนังสือ ธัมมานุธัมมปฏิบัติ โดย พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร จัดพิมพ์โดย ชมรมพุทธศาสน์ การไฟฟ้าแห่งประเทศไทย

    หมายเหตุ : ในวงเล็บ เป็นคำขยายความเพิ่มเติมโดย พ่อไก่อู
    ---------------------------------------------------------------------------------------

    http://www.sangtean.com/love/love-articles/329-different-between-love-and-kindheartedness
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2018
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...