เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    มิติ

    โลกแห่งความเป็นจริงสามมิติ คือโลกทางกายภาพซึ่งมี "วัตถุธาตุ" หรือสรรพสิ่งทั้งหลายที่เรารู้เห็นเป็นภาวะทางกายภาพ สถิตย์อยู่ในช่องว่าง หรือ space และกินเนื้อที่ในที่ว่างนั้นๆด้วยความกว้าง ความยาว และความสูงของมัน

    นอกเหนือไปจากวัตถุธาตุที่สถิตย์อยู่ในช่องว่างหรือ space ที่มีสามมิติแล้ว โลกทางกายภาพที่เรารู้จักยังมี "เหตุการณ์" ซึ่งสถิตย์อยู่ในมิติทั้งสามโดยกินเนื้อที่ในช่องว่างเช่นเดียวกับวัตถุธาตุ และในขณะเดียวกัน "เหตุการณ์" ก็สถิตย์อยู่ในมิติที่สี่ คือ กาลเวลาอีกด้วย

    โลกที่เรารู้จักคุ้นเคย จึงมี-อย่างน้อย-สึ่มิติ-ที่เรารู้เห็นและเชื่อว่าเป็นโลกแห่งความเป็นจริงทั้งหมด

    เมื่อท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวถึงโลกสามมิติ จึงหมายถึงโลกทางกายภาพที่เรารู้จัก แต่ตัดเอากาลเวลาออกไป เหลือแต่ช่องว่าง

    ภาษาอังกฤษเรียกมิติของช่องว่างว่า space และเรียกมิติของกาลเวลาว่า time และเรียกมิติรวมของช่องว่างและกาลเวลาว่า space-time continuum ซึ่งหมายถึงการมีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปของสรรพสิ่งทั้งหลาย บนเส้นทางแห่งกาลเวลาที่ดำเนินไปเป็นลำดับหรือเป็นเส้นตรง

    คำว่า space ครอบคลุมถึงการสถิตย์อยู่ในช่องว่างด้วยการกินเนื้อที่ของวัตถุธาตุมากกว่าสองหน่วยขั้นไป ซึ่งก่อให้เกิดระยะทางระหว่างวัตถุธาตุแต่ละหน่วย แทนที่พวกเราจะพบคำว่า ช่องว่าง-กาลเวลาในหนังสือชุดของท่านอาจารย์อนาลัย พี่นักเขียนจึงมักใช้คำว่า ช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา เพื่่อช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพของช่องว่างที่ไม่ใช่เพียงแต่อยู่รอบวัตถุธาตุเพียงหนี่งหน่วยเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงช่องว่างที่อยู่ระหว่างวัตถุธาตุหลายหน่วย หรือเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ด้วย

    เป็นการยากที่มนุษย์เราจะจินตนาการถึงโลกที่มีมากกว่าสี่มิติ วิทยาศาสตร์หลายแขนงตระหนักดีว่า มิติที่สี่อันได้แก่กาลเวลานั้นเป็นมิติที่เกิดขึ้นจากการกำหนดของมนุษย์ มนุษย์กำหนดปฏิทิน กำหนด วัน สัปดาห์ เดือน ปี กำหนดวินาที นาที ชั่วโมง ฯลฯ โดยอาศัยการสังเกตดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ แต่การกำหนดของมนุษย์ก็ปราศจากความแน่นอน เราจึงมีเดือนที่มีวันไม่เท่ากัน มีปีที่มีจำนวนวันรวมกันตลอดปีไม่เท่ากัน
    ปีที่เดือนกุมภาพันธ์มี 28 วัน ปีนั้นก็มี 365 วัน
    ปีที่เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน ปีนั้นก็มี 366 วัน

    ใครที่อยู่ในซึกโลกที่มี Daylight Saving Time (DST) อย่างพี่นักเขียน จะรู้สึกได้ถึงความไม่มั่นคงแน่นอนของเวลา และตระหนักในความเป็นจริงที่ว่า เวลาคือสิ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้น-ได้ง่ายขึ้นอีกนิด เพราะทุกปีจะมีการเปลี่ยนเวลาเมื่อย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ โดยจะหมุนนาฬิกาล่วงหน้าไปอีกหนึ่งชั่วโมง และจะหมุนกลับหนึ่งชั่วโมงเมื่อใกล้จะย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วง

    การหมุนนาฬิกาหรือตั้งเวลาใหม่นี้ เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1907 โดย William Willett นักปรัชญาชาวอังกฤษ ซึ่งสังเกตเห็นว่า เมื่อย่างเข้าฤดูร้อน พระอาทิตย์จะขึ้นเร็วกว่าฤดูหนาวหลายชั่วโมง ทำให้ผู้คนต้องปิดม่านห้องนอนจนมืดเพื่อที่จะนอนต่อได้ ไม่อย่างนั้นแล้วแสงสว่างจะทำให้นอนไม่ได้ และในยามค่ำพระอาทิตย์ก็ตกช้ากว่าฤดูหนาวหลายชั่วโมง ทำให้ผู้คนสามารถทำงานทั้งในและนอกอาคารได้ยาวนานมากขึ้น ในทางกลับกัน ในฤดูหนาวพระอาทิตย์ขึ้นช้าและตกเร็วกว่าฤดูร้อนหลายชั่งโมง ทำให้ผู้คนนอนนาน ตื่นสายและทำงานได้น้อยลงเพราะไม่มีแสงสว่างยาวนานพอ

    Willett จึงนำเสนอให้มีการหมุนนาฬิกา เพื่อทำให้ผู้คนตื่นเช้าขึ้นในฤดูร้อน โดยไม่ต้องปล่อยให้แสงตะวันที่ส่องสว่างเร็วขึ้นหลายชั่วโมง ผ่านพ้นไปโดยเปล่าประโยชน์

    ประเด็นของกาลเวลาเป็นเรื่องน่าคิด เราท่านที่อ่านพระคัมภีร์ Bible พระไตรปิฎก หรือ คัมภีร์ศาสนาอื่นๆ อาจพบบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีอายุยืนยาวหลายร้อย หลายพันปี น่าคิดว่าคนเหล่านั้นมีอายุยืนยาวกว่าคนยุคนี้ หรือเป็นเพราะกาลเวลาของพวกเขาถูกกำหนดแตกต่างไปจากเรา เช่น 24 ชั่วโมงของเรา คือ 24, 80, 120 วัน หรือ 4, 90, 240 ปี ของพวกเขา ???

    มิติที่สี่ เป็นมิติที่มีการถกเถียงกันมาก เพราะเวลาเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ และดูเสมือนว่ามันจะเล่นตลกกับประสาทสัมผัสทั้งห้าได้บ่อยๆ เวลาเพียงไม่กี่นาทีที่เรารอคอยให้บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ อาจยาวนานเสมือนชัั่วกัลปาวสาน ในขณะที่เวลาหลายชั่วโมงที่เราเพลิดเพลินกับบางสิ่งบางอย่าง อาจผ่านพ้นไปเสมือนชั่วพริบตา เวลาจึงเป็นมิติที่ยังพิสูจน์ความเป็นจริงไม่ได้มากเท่ามิติของโลกสามมิติ ซึ่งมนุษย์ปักใจเชื่อว่า เป็นโลกแห่งความเป็นจริงที่จับต้องได้ และพิสูจน์ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า

    แต่ถึงกระนั้นนักวิทยาศาสตร์หลายแขนงต่างก็ตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับมิติว่า
    โลกสามมิติและมิติที่สี่ของกาลเวลา เป็นมิติของโลกแห่งความเป็นจริงทั้งหมดหรือไม่ ? หรือว่าสมองของมนุษย์ไร้ความสามารถที่จะจินตนาการมิติอื่นๆ ซึ่งอาจจะเป็นมิติที่แท้จริงเสียยิ่งกว่า โลกสี่มิติที่เรารู้จัก หรือรู้เห็นอย่างจำกัด คำถามทั้งหมดยังต้องการคำตอบอีกมากมาย

    พี่นักเขียนไม่ได้เล่านิทานให้น้องๆฟังมานานแล้ว วันนี้เลยนำนิทานมาเล่าให้ฟังสักเรื่อง เพื่อขยายความเกี่ยวกับเรื่องของมิติ และ การรู้เห็นอันจำกัด (ล่อให้หัวหน้าพาพวกเรามาพร้อมส้มตำ มาตั้งวงฟังนิทานกันในสวนหลังบ้านเลยคะ ย่างไก่ นึ่งข้าวเหนียวคอยแล้วค่ะ)

    ___________________________

    ครั้งหนึ่งนานแสนนานมาแล้ว ก่อนที่จะมีผู้ค้นพบมิติที่สาม จิตวิญญาณหลากหลายบุคลิกภาพพากันไปถือกำเนิดในโลกสองมิติ ด้วยรูปกายสองมิติ โลกสองมิติโลกนี้มีชื่อว่า Flatland เป็นโลกที่มีประชากรจำนวนมาก พวกมันมีรูปกายเป็น เส้นตรง วงกลม สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม ห้าเหลี่ยม ซึ่งล้วนแต่เป็นสองมิติ การที่พวกมันสถิตย์อยู่ในโลก Flatland ที่เป็นสองมิติ ทำให้แต่ละบุคคลตัวตน ต่างก็มองเห็นรูปกายของกันและกันเป็นเพียงเส้นตรง และไม่ได้ตระหนักถึงรูปกายที่แท้จริงของกันและกัน พวกมันพิจารณาเห็นรูปกายของบุคลิกภาพอื่นๆ เปลี่ยนความยาวไปเรื่อยๆ เมื่อพวกมันเคลื่อนไหวไปรอบรูปกายของกันและกัน

    จิตวิญญาณทั้งหลายที่ไปถือกำเนิดใน Flatland มองเห็นรูปกายของกันและกันเป็นเส้นตรง - เหมือน animation สามเหลี่ยมภาพแรกค่ะ ไม่ว่ารูปกายที่แท้จริงจะเป็น วงกลม สี่เหลี่ยม ห้าเหลี่ยม ฯลฯ ก็ตาม

    วันหนึ่งมีรูปกายต่างด้าว-ต่างดาว-ต่างโลก-ต่างมิติ ที่เป็นทรงกลมสามมิติเหมือนผลส้ม เดินทางมาสู่ Flatland ซึ่งเป็นโลกสองมิติ มันเผชิญหน้ากับเจ้าสี่เหลี่ยมสองมิติ แต่ในโลกแบนแต๊ดแต๋ของ Flatland เจ้าสี่เหลี่ยมแลเห็นเจ้าลูกทรงกลมสามมิติได้เพียงเสี้ยวแบนๆเสมือนเส้นตรงเส้นหนึ่งที่ตัดผ่านส่วนใดส่วนหนึ่งของผลส้มเท่านั้น

    เจ้าทรงกลมสามมิติอยากจะทำให้เจ้าสี่เหลี่ยมสองมิติรู้เห็น และเข้าใจในโลกสามมิติที่มันรู้เห็นบ้าง มันจึงพยายามอธิบายให้เจ้าสี่เหลี่ยมรู้จักคำนิยามว่า บน-ล่าง ซึ่งทำให้เจ้าสี่เหลี่ยมสับสนเป็นอันมาก เพราะเจ้าสี่เหลี่ยมสองมิติอดไม่ได้ที่จะเอาคำนิยามว่า บน-ล่าง ไปเปรียบเทียบกับคำนิยามที่มันรู้จักดีในโลกสองมิติ อันได้แก่คำว่า หน้า-หลัง

    เจ้าทรงกลมสามมิติเดินทางผ่านเข้าไปใน Flatland เพื่อจะอวดให้ใครๆเห็นว่า มันสามารถเคลื่อนไหวได้ในช่องว่างและระยะทางที่เป็นสามมิติได้อย่างไร ในขณะที่เจ้าทรงกลมเหมือนผลส้มเคลื่อนไหวจากล่างขึ้นไปข้างบน เจ้าสี่เหลี่ยมก็เห็นได้เพียงเส้นตรง ที่ดูเสมือนตัดผ่านผลส้มจากส่วนที่กว้างที่สุดกลางผลส้ม ไปสู่ส่วนที่แคบที่สุดที่อยู่ตรงขั้วด้านล่าง ซึ่งทำให้มันแลเห็นเจ้าทรงกลมเป็นเสมือนเส้นตรงเส้นยาวที่หดสั้นลงเรื่อยๆ จนในที่สุดก็หายไปต่อหน้าต่อตา

    เจ้าสี่เหลี่ยมสองมิติ มองเห็นรูปกายของเจ้าทรงกลมผลส้ม - เหมือน animation ทรงกลมภาพที่สองค่ะ ไม่ว่ารูปกายที่แท้จริงของเจ้าทรงกลมผลส้มจะเคลื่อนตัวขึ้น-ลงอย่างไรก็ตาม เจ้าสี่เหลี่ยมก็รู้เห็นแค่เส้นตรงที่ตัดผ่านมิติของมันเท่านั้น

    เจ้าสี่เหลี่ยมสองมิติจึงเริ่มมองเห็นความเป็นไปได้ของมิติที่สามที่มันไม่เคยรู้จักมาก่อน มันเริ่มตั้งสมมุติฐานว่า หากมิติที่สามมีจริง โลกที่แท้จริงอาจจะมีมิติที่ 4,5,6,7,8.......เป็นอนันต์...........ไม่มีจำนวนจำกัดเลยก็เป็นได้! เจ้าสี่เหลี่ยมสองมิติตื่นเต้นกับความคิดนี้มาก มันบอกกับเจ้าทรงกลมว่า "คิดดูสิ มิติอื่นๆอาจสถิตย์อยู่เช่นเดียวกับมิติที่สามที่ฉันมองไม่เห็น แต่เธอมองเห็น ก็เป็นได้นะ?!?"

    เจ้าทรงกลมสามมิติ ซึ่งเคยคิดว่าเป็นผู้รู้มากมิติกว่าเจ้าสี่เหลี่ยมสองมิติ กลายเป็นผู้ที่มองการณ์ใกล้และไม่อาจคาดคิดถึงมิติอื่นๆที่นอกเหนือไปจากมิติที่สามที่มันรู้เห็นอยู่แล้ว มันจึงเถียงเจ้าสี่เหลี่ยมสองมิติว่า "ฉันรู้เห็นตั้งสามมิติแล้ว นายเห็นเพียงแค่สองมิติเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว โลกแห่งความเป็นจริงทั้งหมดมีเพียงสามมิติเท่านั้นแหละ"

    นิทานเรื่องนี้เตือนใจให้เราตระหนักว่า ไม่ว่าเราจะรู้เห็นอะไรมากกว่าที่ผู้อื่นรู้เห็น สักวันหนึ่งเราอาจจะกลายเป็นเจ้าทรงกลมเหมือนผลส้มใบนี้ก็เป็นได้ เช่นเดียวกันกับที่เรายังถกเถียงกันมากมายว่า โลกของจิตวิญญาณ หรือ โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ ที่แท้จริงนั้นคืออะไร?

    เราทั้งหลายจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ ด้วยการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด(rose)

    พี่นักเขียนแปลย่อๆ นิยายวิทยาศาสตร์เก่าแก่ของ Edwin A. Abbot ซี่งเขียนไว้ตั้งแต่ปีคศ 1884
    เรื่อง Flatland: A Romance of Many Dimensions

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2008
  2. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    Lifted

    ฟังนิทานแล้ว ไปดูหนังสนุกๆกันอีกสักเรื่องค่ะ
    เชิญชมภาพยนต์เรื่อง
    (rose)"Lifted"(rose)

    <object width="425" height="344"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/neWDRrBEQ_M&hl=en"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/neWDRrBEQ_M&hl=en" type="application/x-shockwave-flash" width="425" height="344"></embed></object>
    คำเตือน: ก่อนนอนอย่าลืมใส่หมวกกัน knock
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • checkride.wmv
      ขนาดไฟล์:
      21.3 MB
      เปิดดู:
      38
    • Lifted.jpg
      Lifted.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.6 KB
      เปิดดู:
      35
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2008
  3. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    การอธิบายเรื่องมิติที่มากกว่าสี่มิติในอีกมุมมองหนึ่งก็คือ ทฤษฏี string

    ทฤษฎีนี้มีสมมุติฐานว่าอนุภาคต่างๆไม่ได้มีลักษณะเป็นจุด (Point-like
    particle) เหมือนอย่างในทฤษฎีควอนตัม ในทฤษฎีสตริงอนุภาคทุกชนิด ทั้งที่เป็นอนุภาคที่ประกอบขึ้นเป็นสสารและอนุภาคที่เป็นสื่อนำแรงล้วนเป็นเส้นเชือกที่กำลังสั่นด้วยความถี่ต่างระดับกัน
    เส้นเชือกเส้นเดียวกันถ้าสั่นด้วยความถี่ค่าหนึ่งอาจเป็นอิเล็กตรอน แต่เมื่อความถี่ของการสั่นเปลี่ยนไปเป็นอีกค่าหนึ่ง
    เชือกเส้นนั้นก็จะกลายเป็นอนุภาคชนิดอื่น

    [​IMG]

    ทฤษฎีเส้นเชือก สมมุติว่าอนุภาคไม่ได้มีลักษณะเป็นจุด แต่เป็นเส้นหนึ่งมิติ
    โดยการสั่นของเส้นเชือกนี้ ทำให้เกิดเป็นตัวโน๊ตต่างๆ ตัวโน๊ตหนึ่งตัว สามารถแทนอนุภาคได้หนึ่งตัว
    ตัวโน๊ตที่ต่างคีย์กัน ก็จะให้อนุภาคที่ต่างชนิดกัน นักฟิสิกส์บางกลุ่มเชื่อว่าการสั่นในบางลักษณะของเส้นเชือกอาจจะเป็นอิเล็กตรอน
    และ ควาร์กได้

    อย่างไรก็ตามแม้ว่าการเปลี่ยนจากจุดอนุภาคมาเป็นเส้นเชือกจะช่วยแก้ปัญหาความไม่ต่อเนื่องของกาล-อวกาศได้ แต่ก็ทำให้ทฤษฎีเส้นเชือกเต็มไปด้วยคณิตศาสตร์ที่ยุ่งยากซับซ้อน ความซับซ้อนที่สำคัญอันหนึ่งคือ การที่จะได้ทฤษฎีที่สมบูรณ์ทฤษฎีเส้นเชือกกำหนดให้ธรรมชาติจะต้องมีจำนวนมิติมากกว่า 4 มิติ คือนอกจากจะประกอบด้วย กว้าง ยาว สูง และเวลา ซึ่งเป็นกาล-อวกาศที่เราคุ้นเคยแล้วทฤษฎียังเปิดโอกาสให้มี “มิติพิเศษ” หรือ Extra Dimensions ในทฤษฎีที่เรียกว่าทฤษฎีเส้นเชือกยิ่งยวด (Superstring Theory) กำหนดให้ธรรมชาติมีจำนวนมิติอยู่ทั้งหมด10 มิติ ในบางรูปแบบของทฤษฎีเส้นเชือกอาจมีได้ถึง 11 (M-theory) และ 26 มิติ

    [​IMG]


    Extra dimension

    สมมุติว่ากาล-อวกาศเป็นผิวของหลอดกาแฟ ซึ่งเป็นพื้นผิวสองมิติ ดังที่แสดงในรูป มดที่เดินอยู่บนหลอดกาแฟ จะสามารถเคลื่อนที่ได้ในสองมิติ แต่ถ้ารัศมีของหลอดกาแฟเล็กลงมากๆ มดที่เดินอยู่ในบริเวณนั้น ก็จะรู้สึกเหมือนว่ามันเดินอยู่บนเส้นลวด ซึ่งมีจำนวนมิติเท่ากับหนึ่งมิติ


    ในทฤษฎีเส้นเชือก กาล-อวกาศมีได้มากถึง 10 มิติ แต่ในชีวิตประจำวันเรารู้สึกได้เพียง 4 มิติ นักฟิสิกส์อธิบายว่ามิติพิเศษ หรือ Extra dimension ที่เหลืออีก 6 มิตินั้น จะม้วนเป็นวงเล็กๆ จนเราไม่สามารถที่จะตรวจวัดได้ (ใน M-theory เอกภพมีได้ถึง 11 มิติเลยทีเดียว)

    อันนี้ก็เป็นเรื่องย่อๆ ของทฤษฏีสตริง เอามาจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/315/1

    มีสารคดีเรื่องนี้ ดูได้ที่ http://www.pbs.org/wgbh/nova/elegant/program.html

    <hr>
    มิชิโอะ กากุ เป็นนักฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ระดับนำของโลก ที่เคยเขย่ารากฐานของจักรวาลวิทยามาแล้วหลายครั้ง ตอนแรกนักฟิสิกส์ด้วยกันรับไม่ได้ กระทั่งไม่ถึงสองทศวรรษมานี้เองจึงได้รับการยอมรับอย่างแทบเป็นเอกฉันท์ นั่นคือการคาดการณ์ทางจักรวาลวิทยาบางประการที่มีข้อพิสูจน์บนสมการคณิตศาสตร์ว่าด้วยทฤษฎีไยมหัศจรรย์ และทฤษฎีแมทริกซ์ (String theory / M-theory) และควอนตัม เมคานิกส์ รวมทั้งทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ คือการพิสูจน์ได้ว่า จักรวาลมีมิติหลากหลาย สสารดำรงอยู่ด้วยพลังงานที่ให้ความถี่ของการสั่นสะเทือน (vibration) ในแต่ละมิติสั่นหยาบหรือละเอียดแตกต่างกัน และแตกต่างจากจักรวาลที่สั่นสะเทือนอย่างหยาบที่มีสี่มิติของเรา เท่าที่พิสูจน์ได้พบว่าอย่างน้อยจักรวาลมี ๑๑ มิติ มิชิโอะบอกว่ามิติที่ ๑๑ เป็นสภาวะนิพพาน (nirvarna) ที่มีความถี่ละเอียดอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับโลกสี่มิติของเรา


    มิชิโอะ กากุ พิสูจน์ได้ว่าจักรวาลมีมากมาย (multiverses) อย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยแต่ละจักรวาลจะมีลักษณะเหมือนฟองของเหลว- ที่ยุบๆ พองๆ - หรือให้ฟองขึ้นมาใหม่ตลอดเวลา มิชิโอะบอกว่าจักรวาลถัดไปอาจอยู่ห่างเพียงหนึ่งมิลลิเมตรจากผิว (brane) จักรวาลของเรา แต่รับรู้ไม่ได้เพราะมันอยู่เหนือมิติ (สี่มิติ) ของเรา มิชิโอะยังบอกว่า ทุกวันนี้ นักฟิสิกส์ส่วนหนึ่งเชื่อว่า การเกิดใหม่ของจักรวาลนั้น มีความเป็นไปได้หลายทาง ทางแรก จักรวาล (สี่มิติเช่นจักรวาลของเรา) จะเกิดใหม่หลังจากหนึ่งล้านล้านปีนับจากวันนี้ โดยสิ้นสุดลงด้วยความเย็นเยือก (big freeze) ไร้พลังงาน ขณะเดียวกันพลังงานมืด (dark energy) ที่ได้จากการยุบตัวเองลงมาของสสารมืด (dark matter) จะรวมเป็นหลุมดำที่ต่อเนื่องกับหลุมขาว - เพื่อจะให้บิกแบ็งใหม่ - เรื่อยไป หรืออีกเส้นทางหนึ่ง หลุมดำที่อยู่ใจกลางของทุกๆ กาแล็คซี่จะรวมเข้าด้วยกันทำให้จักรวาลหดตัวลงมา (big crunch) เป็นหลุมขาว


    ชิปอฟ (G. Shpov) นักฟิสิกส์แนวหน้าของรัสเซีย ผู้ค้นพบทฤษฎีความว่างเปล่า (theory of physical vacuum) แคนดิเดทรางวัลโนเบลปีนี้คิดว่า มิติแห่งนิพพานอยู่หลังมิติที่ ๙ เป็นต้นไป เมื่อความสั่นสะเทือนของพลังงานมีความละเอียดอย่างยิ่ง อนึ่ง จักรวาลทั้งหลายรวมจักรวาลของเรา ต่าง “ยุบๆ พองๆ” ดับแล้วเกิด เกิดแล้วดับจากความว่างเปล่าไม่มีวันจบสิ้น


    ทั้งหมดนั้นอาจเข้าใจยากสำหรับผู้อ่านที่ไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์ ส่วนนักวิทยาศาสตร์ใหญ่ที่คิดว่าเก่งแล้วก็มักไม่ยอมอ่าน ทำให้ผู้นำสังคมเศรษฐกิจและการเมือง รวมทั้งสื่อต่างๆ ที่เชื่อแค่ความเห็นของนักวิทยา ศาสตร์ใหญ่ที่ตรงกับสามัญสำนึก “ความเป็นสอง” ของตน ทำให้อะไรๆ ต้องชะลอไว้ก่อน เราถึงได้มีสึนามิ มีน้ำท่วมสลับภัยแล้ง และจะมีวิกฤติโลกในรูปอื่นอีกต่างๆ นานา


    อ่านหนังสือของ มิชิโอะ กากุ แล้วอดไม่ได้ที่จะคิดถึงยานบิน (UFO) ที่จอห์น แม็ค จิตแพทย์จากฮาร์วาร์ดที่เพิ่งตายไปบอกว่า ยานบินไม่ใช่มาจากต่างดาว แต่มาจากต่างมิติที่สามารถควบคุมหรือใช้จิตนำทาง จึงอาจปรากฏให้คนในโลกสี่มิติเห็นได้ (John Mack, Abduction, ๑๙๙๕) และอดคิดถึงชั้นต่างๆ ของนรกสวรรค์ - ที่อาจอยู่ในมิติต่างกันหรือชี้นำด้วยสนามพลังงานที่มีการสั่นสะเทือน (vibration) หยาบหรือละเอียดแตกต่างกัน - ไม่ได้ ดังข้อสรุปว่าสวรรค์กับเทวดา คือผู้มาเยือนจากนอกโลกที่เอาชนะข้อแม้มิติได้ (Erich Von Daniken: Chariots of the Gods, ๑๙๗๐)


    ศาสนาพุทธเองพูดถึงจักรวาลที่ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ไม่มีการตั้งต้นจึงไม่มีการดับสูญไปได้ (อนามัตโก ยามัง สังสาโร บัพโคติ นะ ปัญญายาติ) จักรวาลที่เราอยู่นี้ มีสามลักษณะคือ หนึ่ง มหาโลกธาตุที่ประกอบด้วยกลุ่มโลกธาตุจำนวนมาก เทียบได้กับจักรวาลทั้งหมดที่มีกลุ่มกาแล็คซี่จำนวนมาก สอง มัชฌิมโลกธาตุที่ประกอบด้วยโลกจำนวนมาก เทียบได้กับกาแล็คซี่ทางช้างเผือกที่มีดาวหรือดวงอาทิตย์มากมาย และสาม จุลโลกธาตุ หมายถึงระบบสุริยะและโลกมนุษย์กับดาวเคราะห์อื่นๆ มหายานบอกว่า จักรวาลที่เราเห็นและให้โลกที่เราอยู่ ไม่ใช่ความจริงแท้ แต่เป็นความจริงสัมพัทธ์เท่านั้น แยกจากจิตไม่ได้ ทั้งสองอยู่คู่กันและเสริมเติมกันด้วยพลังงานหรือแรงแห่งการกระทำหรือแรงกรรม


    แม็ธธิว ริคาร์ด ที่อ้างข้างบนนั้น คือเจ้าอาวาสวัดใหญ่แห่งหนึ่งในอินเดีย ก่อนบวชเป็นพระ คือนักชีววิทยาระดับผู้บริหารของสถาบันปาสเจอร์ (Pasteur Institute) ที่กรุงปารีส สรุปว่า


    “....จักรวาลของเราเกิดจากการรวมตัวกันของธรรมธาตุ (ไม่ใช่สสาร แต่หมายถึง “ศักยภาพ” ของการเป็นสสาร) โผล่ปรากฏออกมาจากอวกาศ (space) ที่ “ว่างเปล่า” (สุญตาหรือ void) เท่าๆ กับที่เป็นความ “เต็ม” ในตอนแรกที่ปรากฏเป็นรังสีห้าสีที่ต่อมาจะค่อยๆ กลายเป็นสสารหรือธาตุทั้งห้า (ธาตุสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม กับอากาศธาตุ ที่ต่อมาประกอบเป็นชีวิต หรือบางทีแยกต่อเป็นอากาศธาตุและวิญญาณธาตุของเถรวาท) ในพุทธศาสนานั้นจักรวาลไม่ใช่มีเพียงหนึ่งหรืออยู่ตามลำพัง แต่ไม่มีที่สิ้นสุด ต่างพึ่งพาหรือเป็นเหตุปัจจัย เป็นวัฏจักร (cyclical หมุนวนเวียนแต่ไม่ทับซ้ำรอยเดิม) วัฏจักรของจักรวาลหนึ่งๆ จบลงด้วยไฟบัลลัยกัลป์ ๗ ครั้ง แล้วทุกสิ่งทั้งหมดถูกดูดหายไปในความว่างเปล่าที่เชื่อมต่อระหว่างจักรวาลเก่ากับจักรวาลใหม่”


    บางส่วนจากบทความ ....เพราะความเป็นสอง......เราจึงหนีอวิชชาไม่พ้น

    เพิ่มเติม
    <hr>
    ไปเจอวีดีโออันนี้มา
    This animation illustrates the concepts presented in chapter one of the book "Imagining the Tenth Dimension"
    by Rob Bryanton.

    นำเสนอแนวความคิดเกี่ยวกับมิติที่สิบ มีอธิบายถึงมิติที่หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก ...... ยังดูไม่จบเลยแต่เห็นว่าน่าสนใจดี

    <embed type="application/x-shockwave-flash" src="http://flash.revver.com/player/1.0/player.swf" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer" scale="noScale" salign="TL" bgcolor="#ffffff" flashvars="width=480&amp;height=392&amp;mediaId=99898&amp;affiliateId=33530&amp;javascriptContext=true&amp;skinURL=http://flash.revver.com/player/1.0/skins/Default_Raster.swf&amp;skinImgURL=http://flash.revver.com/player/1.0/skins/night_skin.png&amp;actionBarSkinURL=http://flash.revver.com/player/1.0/skins/DefaultNavBarSkin.swf&amp;resizeVideo=True&amp;pngLogo=http://tenthdimension.com/assets/tenth-icon.png" wmode="transparent" height="392" width="480"></embed>

    เอามาจาก http://www.tenthdimension.com/medialinks.php

    แก้ไข เพิ่มเติม: ดูจบแล้ว ดูแล้วน่าสนใจดี แต่ไม่รู้ว่าเอาไอเดียมาจาก String theory หรือเปล่า หรือเปล่าสิ่งที่เค้าคิดเอง เพราะตัวเองก็ยังไม่เข้าใจเรื่อง String theory ลึกซึ้งเท่าไหร่ มีพูดถึงทางเลือกที่หลากหลาย จะหมายถึงเรื่องเดียวกับที่อ.โนวา บอกว่าเรามีทางเลือกที่หลากหลาย และเราก็กระพริบไปมาตามเส้นทางเหล่านั้นตลอดหรือเปล่าหนอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2008
  4. รักไร้พ่าย

    รักไร้พ่าย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    886
    ค่าพลัง:
    +2,861
    ครับ ได้อ่านที่พี่นักเขียนอธิบายมานี้ ทำให้ผมพอเข้าใจอะไรๆขึ้นมาบ้าง


    ผมคิดว่าวีธีจะเผยแผ่สัจธรรม อาจะเป็นแบบวิ่งผลัดก็ได้ คือ ผู้วิ่งคนแรก วิ่งถือไม้ ไปตามทางวิ่ง แล้วส่งไม้วิ่งให้คนที่สอง และส่งต่อๆกันไป จนผู้วิ่งคนสุดท้ายไปถึงเส้นชัย การวิ่งผลัดกันแบบนี้ทำให้นักวิ่งแต่ละคนสามารถวิ่งตามระยะทางของตนเองได้อย่างเต็มที่ เพราะมีนักวิ่งคนต่อไปรอรับส่งไม้ตามจุดของตนเอง หากนักวิ่งคนแรก ไม่วิ่งแบบวิ่งผลัด แต่จะวิ่งให้ถึงเส้นชัยตามลำพัง จะทำให้เขาเหนื่อย และวิ่งเกินกำลังของเขา

    ผมคิดว่าการเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็เหมือนคล้ายกับแบบนี้ เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และเผยแผ่พระธรรม พระสงฆ์ผู้เป็นสาวกก็ออกเผยแผ่ธรรม ตอนนั้นพระพุทธศาสนายังเผยเผ่เฉพาะในอินเดียตอนเหนือเป็นส่วนมาก ต่อมา พระเจ้าอโศกมหาราชได้อำนาจในการเป็นกษัตริย์ผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เผยแผ่ขยายวงกว้างไปทั่วประเทศและออกไปนอกประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย

    ถ้าหากในอนาคตองค์ความรู้ของท่านโนวา อนาลัยจะเป็นที่เผยแผ่แบบการวิ่งผลัดแล้ว ผมเฃื่อว่าจะทำให้เข้าถึงสังคมในวงกว้างขึ้น

    แบบว่าพี่นักเขียนเป็นนักวิ่งไม้แรก ได้เผยแผ่ตามกำลังและแนวทางเลือกของพี่นักเขียนเอง แล้วอาจจะมีผู้อ่านหนังสือท่านอนาลัยได้เห็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง และปารถนาจะเผยแผ่ให้ไปสู่วงกว้างขึ้น ก็อาจขอพี่นักเขียนไปเผยแผ่ตามวิถีทางของตนเอง หากท่านผู้นั้นเป็นผู้ที่เลือก และถูกเลือกที่จะเเป็นผู้เผยแผ่
    และการเผยแผ่อีกวิธีหนึ่ง ก็คงเหมือนที่คุณ axzon47 ได้กล่าวไว้ คือทำความเข้าใจในหนังสือนี้ และลองปฏิบัติตามเมื่อเห้นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีก็บอกต่อคนใกล้ชิดไปเรื่อยๆ ก็สามารถเผยแผ่ไปในวงกว้างได้

    ผมขอเป็นกำลังใจให้แก่พี่นักเขียน และเพื่อนๆในห้องวิทย์นี้ได้ร่วมแรงร่วมใจกันเผยแผ่องค์ความรู้นี้ ให้ขยายไปในวงกว้างให้มากขึ้นเรื่อยๆครับ

    ผมชอบวลีที่พี่นักเขียนโพสไว้ในกระทู้ข้างบนที่ว่า
    "ศรัทธาอันบริสุทธิ์ หมายถึง ความเชื่อที่ตั้งอยู่บนเจตนาที่มุ่งหวังประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น และ คนหมู่มาก"
    อ่านแล้วผมรู้สึกมีพลังขึ้นมาเลย เป็นการชาร์จพลังให้ผมได้ดีเลยครับ ได้เข้ามาอ่านกระทู้ของพี่นักเขียน ผมได้แง่คิด วลีเด็ดๆ ไปใช้กับตนเองมาหลายครั้งแล้วครับ ชอบคุณมากครับ

    รู้มาว่าพี่นักเขียนชอบเล่นดนตรี ไม่ทราบว่ารู้จักเพลง Romance De Amor ไหมครับ คิดว่าน่าจะรู้จักนะ อิอิ
    เพราะเพลงนี้ผมชอบเล่นมากเลยครับ ผมเล่นกี่ตาร์คลาสสิก เพราะเป็นเพลงบรรเลงที่มีทั้งความอ่อนไหวสุนทรีย์ และ เข้มแข็งฮึกหิมในเวลาเดียวกัน
    ทำให้รู้สึกผ่อนคลายครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2008
  5. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    100,000

    ก่อนหน้าที่หนังสือชุดนี้จะออกวางตลาดเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว ผู้พิมพ์และจัดจำหน่ายได้ขอให้พี่นักเขียนถามท่านอาจารย์อนาลัยในความฝันว่า จะจำหน่ายหนังสือชุดนี้ได้เท่าไรในปีแรก เพราะเขาคิดว่าคำตอบของท่านอาจารย์จะทำให้เขามีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น

    พี่นักเขียนได้ตั้งจิตก่อนนอน และก็เผชิญกับท่านอาจารย์อนาลัยในความฝัน และถามท่านว่า "จะเผยแพร่ข้อมูลความรู้ของท่านอาจารย์ไปสู่ผู้อ่านได้จำนวนเท่าใดในปีแรก?" ท่านตอบว่า "100,000" และกล่าวว่า "ความสำเร็จ ขึ้นอยู่กับเจตนา"

    เจตนาและมุมมองของเราทั้งหลาย ย่อมแตกต่างกันไปตามจุดยืนอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล และมุมมองของเราแต่ละคนย่อมคล้อยตามความเชื่อส่วนบุคคลเสมอ และมันก็มักจะไม่ใช่ความรู้หรือความเป็นจริงเสมอไป

    เมื่อบุคคลสองคน หรือมากกว่านั้น มีความเชื่อในทิศทางที่แตกต่างกัน
    แม้ทุกคนจะได้รับทราบข้อมูลความรู้-ข้อเดียวกัน
    แต่ข้อมูลความรู้นั้น อาจกลายเป็นความเป็นจริง-สำหรับบุคคลหนึ่ง และในขณะเดียวกันกลับเป็นความไม่จริง-สำหรับอีกบุคคลหนึ่งไปโดยปริยาย

    สิ่งต่างๆที่เรา-ท่านทั้งหลายรู้เห็น ล้วนก่อเกิด สร้างสรรค์ หรืออุบัติขึ้นจากเป้าหมาย มุมมองและเจตนาที่คล้อยตามความเชื่อส่วนบุคคลเสมอ

    วันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งปีตั้งแต่หนังสือชุดนี้ออกสู่สายตาผู้อ่าน และตัวเลข 100,000 เป็นตัวเลขที่-ฝันเป็นจริง-อีกครั้ง-สำหรับพี่นักเขียนค่ะ(rose)
     
  6. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    แทนที่จะเห็นการเผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้เสมือนการวิ่งผลัดดังที่คุณรักไร้พ่ายกล่าวถึง พี่นักเขียนมองเห็นการรับข้อมูลความรู้ชุดนี้มาถ่ายทอด เสมือนการวิ่งออกจากจุดศูนย์กลางพร้อมกันหมดทุกทิศทาง

    นักวิ่งเป็นหนึ่งในนักเรียน ที่ไปเข้าร่วมชั้นเรียนกับนักเรียนจำนวนไม่น้อย มีอาจารย์เดียวกัน แต่อาจารย์จะปรากฏให้ลูกศิษย์แต่ละคนเห็นแตกต่างกันไปตามความเชื่อและพื้นฐานส่วนบุคคล ตามพื้นฐานทางศาสนา สังคมและวัฒนธรรม

    ไม่ว่าท่านอาจารย์จะปรากฏให้นักเรียนแต่ละคนเห็นท่านเป็นใคร หรือ อะไร สิ่งที่ท่านมอบให้นักเรียนเสมอเหมือนกันหมดทุกคน คือข้อมูลความรู้ นักเรียนแต่ละคนอาจจะรับและถ่ายทอดต่อได้ไม่เหมือนกัน ตามบุคลิกภาพและเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่แต่ละคนเลือกเพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ส่วนบุคคล แต่เมื่อเรียนรู้และเข้าใจสิ่งที่รับมาและพร้อมที่จะทำหน้าที่แล้ว ท่านอาจารย์ก็ส่งนักเรียนเหล่านี้ให้ไปถ่ายทอดข้อมูลความแก่ผู้อื่นในวงกว้างต่อไป

    การส่งของท่านอาจารย์คือพลังส่งของจิตวิญญาณรวม ซึ่งเสมอเหมือนกับพลังรับของจิตวิญญาณรวมอื่นๆที่ปรารถนา เรียกร้องและจดจ่อกับข้อมูลความรู้เหล่านี้ ตามกฏแห่งการดึงดูดของจักรวาล

    การส่งออกไปเป็นเสมือนการส่งออกจากศูนย์ หรือศูนย์กลางเดียวกัน นักเรียนแต่ละคนเดินไปตามเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่ตนเลือก เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิต และไปถ่ายทอดข้อมูลความรู้ด้วยความรู้ความสามารถและทักษะในทิศทางที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคน จากมุมมองจำเพาะของแต่ละคน

    ผู้ที่มารับข้อมูลความรู้เหล่านี้ต่อ สามารถที่จะเลือกทำหน้าที่ได้ไม่ต่างไปจากนักเรียนชุดแรก การส่งข้อมูลความรู้ทั้งหมดต่อไป จึงไม่ได้ดำเนินไปเป็นเส้นตรง แต่ดำเนินไปโดยแตกแขนงทุกทิศทาง ไม่ต่างไปจากการแตกแขนงของมิติอันเป็นอนันต์ที่คุณ zip นำมา post

    การรับข้อมูลความรู้ที่สมบูรณ์ จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเราเปิดใจรับมากกว่าหนึ่งทิศทาง เพราะหากเราเปิดใจรับข้อมูลความรู้เหล่านี้เพียงทิศทางเดียว เช่น จากแหล่งข้อมูลเพียงแหล่งเดียว ศาสนาเดียว สังคมและวัฒนธรรมเดียว เราก็จะได้ข้อมูลความรู้ไม่ต่างไปจากการรู้เห็นมิติเพียงแคบๆ2, 3, หริือ 4 มิติ และไม่อาจตระหนักได้ว่า ความเป็นจริงตามธรรมชาตินั้น ยังมีข้อมูลความรู้มากมายมหาศาลที่หลั่งไหลมาจากมิติที่ 5, 6, 7, ....และอื่นๆที่เราเคยคิดว่า - ไม่มีจริง

    พวกเราชาวห้องวิทย์ฯ เป็นกลุ่มบุคคลที่เปิดรับข้อมูลความรู้หลากทิศมาก่อนหน้าที่จะเปิดรับข้อมูลความรู้จากหนังสือชุดนี้ แม้การถ่ายทอดข้อมูลความรู้จะแตกแขนงออกไปมากมายเป็นอนันต์เพียงใดก็ตาม แต่ต้นกำเนิดที่แท้จริงของข้อมูลความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติความเป็นจริงทั้งหมด ย่อมมาจากต้นกำเนิดอันเป็นหนึ่งเดียว เสมือนมาจากจุด-จุดเดียว แต่เป็นจุดที่มีความเป็นอนันต์ เป้าหมายของการเรียนรู้ก็คือ การเปลี่ยนความเชื่อที่แตกแขนงออกไปหลากหลายเป็นอนันต์ ให้กลับคืนเป็นความรู้ ที่เป็นหนึ่งเดียวตามเดิม

    แต่การรวม หรือกลับคืนเป็นหนึ่งเดียว ก็ไม่ใช่กระบวนการที่เบ็ดเสร็จและมีจุดจบ ในทางตรงกันข้าม เมื่อความเชื่อมากมายเป็นอนันต์ ได้เปลี่ยนเป็นความรู้ อันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว มันก็แปลงสภาพเป็นหนึ่งเดียวอันเป็นอนันต์-อันใหม่ ดังเช่นที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า ก่อให้เกิดการขยายตัวของจักรวาล ซึ่งเป็นกระบวนการที่ไม่มีวันจบสิ้น

    อ่านชื่อเพลง Romance De Amor แล้วทำให้พี่นักเขียนฉุกคิดถึงเพลง Spanish Romance - เป็นเพลงที่ Frank Levin เขียนขึ้นสำหรับ guitar classic ก่อนแล้วจึงเรียบเรียงสำหรับ piano ทีหลัง ใช่เพลงเดียวกันกับของคุณรักไร้พ่ายหรือเปล่าคะ? ถ้าใช่ - พี่นักเขียนต้องขอฟังคุณรักไร้พ่ายเล่นสัก 10 รอบเพราะชอบมากๆค่ะ เล่น piano อย่างไรก็ไม่ไพเราะเท่า guitar เลยค่ะ อัดเสียงมา post ให้พวกเราชาวห้องวิทย์ฯฟังกันบ้างสิคะ

    ใครมาเป็นสมาชิกห้องวิทย์ฯแล้ว ไม่ร้องเพลง ไม่วาดรูป ไม่เต้นรำ ก็คงต้องทำอะไรสักอย่างแน่ๆ และหากยังไม่ได้ลงมือทำ ก็ลงมือค้นหา ลองลงมือทำ และนำมา post ได้วันนี้เลยค่ะ มีผู้ชม ผู้ฟัง พร้อมเสียงเชียร์ คอยอยู่เสมอค่ะ หากต้องการลูกคู่ หัวหน้าของเรามีกีต้าอีกตัว(rose)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ดอกไม้ไม่อาจเขียนบทกวีเกี่ยวกับตัวตนของมันได้ แต่เธอทั้งหลายสามารถทำได้ และการทำเช่นนั้นจะทำใหสติสัมปชัญญะของเธอย้อนกลับเข้าไปพิจารณาตนเอง
    เมื่อสติสัมปชัญญะพิจารณาตนเอง มันจะขยายตัวและแปลงสภาวะไป ความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ซึ่งมีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปอย่างหลากหลายและเต็มไปด้วยความเป็นไปได้อันมั่งคั่ง เป็นสวนหนึ่งของจิตวิญญาณซึ่งจำเป็นจะต้องพัฒนสติสัมปชัญญะให้สามารถวินิจฉัยและประเมินค่าสิ่งต่างๆได้อย่างแม่นยำทีละเล็กทีละน้อย

    เมื่อสติสัมปชัญญะขยายตัว-จินตนาการจะขยายตัวตามไปด้วย สติสัมปชัญญะเป็นพาหนะของจินตนาการในหลายทิศทาง สติสัมปชัญญะมีความรู้มากเท่าไร-จินตนาการก็จะไปได้กว้างไกลเท่านั้น จินตนาการเพิ่มพูนการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลและเพิ่มพูนประสบการณ์ทางอารมณ์?


    จากหนังสือ อิสระแห่งความปรารถนา บทที่ 7 ความเชื่อ กับ จินตนาการและอารมณ์
    หน้า 116
     
  8. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2008
  9. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    เชื่อว่าพวกเราในห้องวิทย์นี้โชคดีและมีโอกาสดีจริงๆครับ ที่ได้อ่านมุมมองอันลุ่มลึกและกว้างไกลของพี่นักเขียน รวมถึงประสบการณ์จากหลายๆคนในห้องวิทย์อย่างคุณซิปฯ คุณขจรวรรณ คุณจินตวดี คุณรักไร้พ่าย (ซึ่งกำลังไฟแรง) และผู้อ่านอีกหลายคนที่ส่งกระแสความคิด+ความรู้สึกเข้ามา ฯลฯ จากวันนั้นถึงวันนี้ เวลาในมิติที่ 4 ของโลกได้ผ่านไปเพียง 8 เดือนเศษเท่านั้นเอง แต่เวลาทางจิตวิญญาณหรือมิติของความรู้ กลับขยายออกไปจากจุดศูนย์กลางของวงกลมแห่งความรู้ ตามเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่ทุกคนได้เลือก ทำให้เรียนรวดเร็วยิ่งขึ้นจากช่องทาง On-line นี้ ทำให้บางคนสามารถเข้าถึงแก่นแท้ของจิตวิญญาณได้ง่ายและเร็วขึ้น สติสัมปชัญญะก็คมชัดขึ้น จินตนาการกว้างไกลขึ้น และอีกมากมายที่พูดออกมาได้ไม่รู้จบ อยากขอบคุณท่านอาจารย์อนาลัย และพี่นักเขียนอีกครั้งที่นำสิ่งดีๆมาให้พวกเราเสมอ..เชื่อว่าหากเราเข้าใจกลไกความรู้เหล่านี้ แล้วนำไปใช้งานในมิติที่เราทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยได้อย่างชำนาญขึ้น ความรู้ทำให้หนทางข้างหน้าสว่างไสวและปราศจากความกลัว สมองของเราจะเต็มไปด้วยความรู้ดีๆที่จะถูกนำส่งถึงหน้าประตูบ้านแบบ delivery แทบทุกวันเลยล่ะครับ ถ้าพวกเรายังคอยติดตามอ่านกันแบบนี้
    เรามีเพื่อนๆเก่งๆเราก็เรียนรู้ไปด้วย..ลองดึงเอาความสามารถพิเศษที่ซ่อนเร้นออกมาใช้กันดูครับ..

    วันนี้ว่างๆจากงานก็ลองปั้นดินเล่นเป็นสฟิงค์ตัวเล็กๆตัวนึง ถึงจะไม่ใช่การแกะสสักหินทรายแบบในยุคนั้นซึ่งหินกว่ามากแต่ความน่าสนุกคงพอกันครับ

    <LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2008
  10. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    ใช่เลยค่ะ นักเรียนวิทย์ห้องนี้ สุนทรีย์กันทุกคน ไม่ว่าจะด้านใดด้านหนึ่ง
    ทุกคนมีความสุขกับการสรรสร้างค์จินตนาการ ไม่ว่าใครจะทำอะไร พวกเราร่วมสนับสนุนกันเสมอค่ะ

    ช่วงนี้แว้บมาห้องวิทย์แต่ไม่ค่อยได้โพสต์ เพราะแอบไปโพสต์ห้องเพลงซะส่วนใหญ่ แบบว่าร้องเพลงแล้วมีความสุขค่ะ มีคนฟังก็ยิ่งดีใจใหญ่เลย ;)
     
  11. aonlin

    aonlin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2006
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +1,608
    สอบถามนิดนะคะ พอดีสังเกตเห็นหลายครั้งแล้วแต่ไม่รู้จะไปถามที่กระทู้ไหนดีค่ะ เวลาที่เราจดจ่อกับการหลับฝัน ในช่วงที่เราใกล้จะหลับเต็มที่แต่ยังรู้สึกตัวอยู่
    มักจะเห็นจะเห็นสีและลักษณเหมือนอนุภาคหรืออะไรสักอย่างเป็นประจำค่ะ บางครั้งคล้ายท่อ บางครั้งรู้สึกเหมือนเรามองอนุภาคต่างๆ ที่มันวิ่งไปวิ่งมา เหมือนเวลาเรามองสิ่งมีชีวิตผ่านกล้องจุลทรรศน์ สิ่้งที่เห็นนี้คืออะไรคะ
     
  12. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ช่วงนี้พี่ก็กำลังศึกษาพลังเอกภพยูเรอัสกะคุณ Mead อยู่เหมือนกันค่ะ รู้สึกเหมือนเอาพลังจักรวาลมา Mix กับสติปัฏฐาน 4 เลย แต่ไม่ว่าเราจะศึกษาวิชาอะไร ความรู้ที่ท่านอาจารย์อนาลัยมอบให้พวกเรามาสามารถขยายความสิ่งที่ไม่เข้าใจได้หมดเลยค่ะ ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาเพราะเข้าใจถึงธรรมชาติของจิตวิญญาณได้อย่างหมดเปลือกแย้วววว...

    เอ.. ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์กะพี่นักเขียนจะมีหนังสือชุดใหม่ออกมาอีกรึเป่าก็ม่ายรู้.. เอาอีกค่ะเอาอีก.. กระหายความรู้แบบสุด ๆ ไปเลย..อิอิ..
    (||) (||) (||)
     
  13. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ขอบคุณพี่นักเขียนที่นำเอาข้อความของอ.โนวา มาโพสขยายความให้อ่านกัน จากคลิปนั้นพอดูถึงตอนท้าย อดคิดไม่ได้ว่าจากจุดในมิติที่ 10 มันก็จะไปเชื่อมต่อกับจุดอื่น แล้วก็ขยายตัวไปมิติ 11 12 13 14 ไปเรื่อยๆ จนไม่รู้จักหมดสิ้นหรือเปล่าเนี่ย

    และก็ไปเจอที่มีคนอธิบายคลิปอันนั้นเป็นภาษาไทย เลยก็อปมาให้อ่านกันเผื่อคนดูแล้วไม่รู้เรื่อง
    <hr>
    เค้าเปรียบง่ายๆ มิติที่ 1-2-3 กว้าง ยาว สูง อันนี้ทุกคนรู้ดีแล้ว
    มิติที่ 4 คือเวลา หมายถึง ณ ตำแหน่งเดียวกัน แต่คนละเวลา ก็เกิดความแตกต่าง ยกตัวอย่างเช่น เก้าอี้ของเรา ตอนนี้เรานั่งอยู่ แต่ผ่านไปสิบนาที เราลุกไปแล้ว เป็นต้น มิตินี้บางคนคงเข้าใจ

    มิติที่ 5 เขาบอกว่ามันคือ Chance หรือทางแยก หมายถึงในมิติที่ 4 ที่คนละเวลา ในตำแหน่งเดิม ถือว่าเป็นคนละวัตถุกัน มิติที่ 5 นี่ก็คือ โอกาสที่จะเกิดอะไรบางอย่างขึ้นในตำแหน่งนั้น ซึ่งขึั้นอยู่กับปัจจัยต่างๆรอบกาย

    มิติที่ 6 เขาบอกว่ามันคือมิติที่คล้ายๆกับมิติที่ 5 แต่ต่างไปแบบสุดขั้วเลย เขาเปรียบเทียบกับคนเราที่ตอนเป้นเด็ก แล้วโตขึ้นมีอาชีพเป็นกรรมกร ถ้าเกิดกรรมกรคนนั้นย้อนเวลาไปหาตัวเองวัยเด็กได้ รู้สึกไม่อยากเป็นกรรมกร เขาก็บอกให้เด็กคนนั้น(คือตัวเองในอดีต) ตั้งใจเรียน แต่ทีนี้ไม่ว่าตั้งใจเรียนยังไง ก็ยังไม่หลุดพ้นเส้นทางกรรมกรอยู่ดี กรณีนี้ มิติที่ 6 คืออนาคตของเด็กที่ต่างไปโดยสิ้นเชิง อาจได้เป็นนักร้อง ทีนี้วิธีจะไปถึงมิตินั้นก็มีสองวิธีคือ
    1.เปลี่ยนสภาพแวดล้อมของเด็ก ให้เขาสามารถเติบโตขึ้นเป้นนักร้องได้ (เช่นอาจพาไปเข้าเรียนดนตรี หรือให้เงินเด็กคนนั้นล้านนึง ฯลฯ)
    2.ทางลัดกว่า คือแทนที่จะย้อนเวลาไปเปลี่ยนตัวเองในอดีต ก็ข้ามมิติไปยังอนาคตที่ตัวเองจะได้เป้นนักร้องแล้วเลย

    มิติที่ 7 เขาต่อยอดมาจากมิติที่ 6 นั่นคือ อนาคตที่ต่างไปโดยสิ้นเชิงนั้นไม่ได้มีแค่สิ่งเดียว แต่มีอยู่หลากหลาย เส้นทางหลากหลายของมิติที่ 6 นี่แหละคือมิติที่ 7

    มิติที่ 8 ก็ต่อยอดมาจากมิติที่ 7 คือแทนที่จะมีอยู่หลากหลายเส้นทาง มันกลับมีอยู่นับไม่ถ้วน (เรียกได้ว่าเป้นอนันต์) แตกยอดไปจากจุดเริ่มต้นเดียวกัน ไอ้เจ้ามิติอนาคตนับไม่ถ้วนนั้นรวมอยู่ในวัฒจักรเดียวกัน คือมิติที่ 8 (งงไหม? บอกตามตรงผมก็งงนิดๆเหมือนกัน)

    มิติที่ 9 ต่อยอดมาจากมิติที่ 8 อีกที คือ ไอ้เจ้าวัฒจักรนับไม่ถ้วนที่รวมเป็นมิติที่ 8 อันเดียวนั้น มันอาจไปเชื่อมกับวัฒจักรอื่นก็ได้ (คือต่อยอดมาจากมิติที่ 8 แรก กับมิติที่ 8 อันที่สอง) ผมเข้าใจว่ามันคล้ายๆกับ เรามีทางแยกนับไม่ถ้วนอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไร ไอ้ทางแยกนับไม่ถ้วนนั้นมันก็คือ 1 ชุด ซึ่งจะพาเราไปรวมกับทางแยกนับไม่ถ้วนอีกชุดหนึ่ง

    มิติที่ 10 คล้ายกับมิติที่ 8 อีกแล้ว คือไอ้วัฒจักรนับไม่ถ้วนที่มาต่อเชื่อมกันนั้น มันไม่ได้มีแค่เส้นเดียว แต่มีนับไม่ถ้วนอีกเหมือนกัน คือเป็นวัฒจักรนับไม่ถ้วนของนับไม่ถ้วนของนับไม่ถ้วน ทั้งหมดล้วนรวมอยู่ในวัฒจักรเดียวกันนั่นคือ มิติที่ 10

    ซ่งมิติที่ 10 นี้ เขาเขียนให้รวมเป้นจุดเล็กๆจุดหนึ่ง เหมือนกับตอนเริ่มต้นที่เริ่มจากจุด เส้น ระนาบ ต่อเพิ่มมิติไปเรื่อยๆ เรียกว่ามิติที่เล็กที่สุดก็คือมิติที่ใหญ่ที่สุดนั่นแหละ

    นี่คือธรรมขาติของจักรวาล

    จากคุณ : CARAGIO - [ 17 มี.ค. 51 23:02:44 ]

    ส่วนอันนี้เป็นคลิปอีกอันนึงที่อธิบายเกี่ยวกับ 2 มิติ และ 3 มิติ มีพูดถึงมิติที่ 4 ตอนท้ายๆ โดย Carl Sagan, World famous astronomer and astrophysicist

    <object width="425" height="355"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/Y9KT4M7kiSw&hl=en"></param><param name="wmode" value="transparent"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/Y9KT4M7kiSw&hl=en" type="application/x-shockwave-flash" wmode="transparent" width="425" height="355"></embed></object>
     
  14. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    คุณขจรวรรณจะลองอ่านอันนี้ไปพลางๆ ก่อนดีหรือเปล่าคับ
    -มนุษยชาติกับจานบิน (1)
    - มนุษยชาติกับจานบิน (2)
    - มนุษยชาติกับจานบิน (3)
    - มนุษยชาติกับจานบิน (4)
    - มนุษยชาติกับจานบิน (5)
    - มนุษยชาติกับจานบิน (6)
    - มนุษยชาติกับจานบิน (7)
    - มนุษยชาติกับจานบิน (8)ตอนจบ


    เค้าว่าเป็นเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวที่มาเข้าทรงติดต่อกับมนุษย์ ลองอ่านดูแล้วเหมือนว่าเป็นสิ่งเดียวกับที่ อ. โนวา อนาลัยเป็นมากกว่า

    ส่วนอันนี้เป็นต้นฉบับภาษาอังกฤษ Briefing for the Landing on Planet Earth
     
  15. รักไร้พ่าย

    รักไร้พ่าย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    886
    ค่าพลัง:
    +2,861
    (sing) ขอบคุณครับพี่นักเขียนที่ให้ความกระจ่าง แบบว่าผมอยากเล่น Ramance De Amor ให้พี่นักเขียนฟัง แต่เมื่อพี่นักเขียนกลับมาเมืองไทย แล้วนะ 5555 ( อยากเจองับ )

    ผมได้รับรุ้ถึงความอบอุ่นของเพื่อนๆในห้องวิทย์ ทั้งที่เป็นห้องข้างนอกและในกระทู่โนวา อนาลัยนี้ รู้สึกเป็นกันเอง เหมือนรู้จักกันมานาน ถ้าใครระลึกได้ว่าเคยรุ้จักผมมาในภพก่อน แล้วติดเงินผมไว้ กรุณาเอามาคืนด้วย 555


    ผมมีคำถามและข้อเสนอมาฝากพี่นักเขียนอีกแล้วครับท่าน ( นี่ขนาดว่าผมอ่าน โนวา อนาลัยแค่เล่มแรกเท่านั้น ปัญหาผมยีงมากขนาดนี้ ถ้าผมอ่านครบ 10 เล่ม คงต้องมีคำถามมาเป็นโขยงเลย )

    มีข้อเสนอว่า เป็นไปได้ไหมครับ ถ้าในอนาคต พี่นักเขียนจะเขียนหนังสือเพื่อเผยแผ่ความรู้ของท่านโนวา อนาลัย อีกเวอร์ชั่นหนึ่ง โดยการใข้ภาษาแบบไม่เป้นทางการ เช่น แบบที่พี่นักเขียนพูดคุยกับพวกเราในห้องวิทย์นี้ และ ยกตัวอย่างต่างๆประกอบ จากหัวข้อในหนังสือ เพื่อผุ้อ่านหนังสือของท่านอนาลัย จะได้เข้าใจได้ง่ายขึ้น คิดว่าเมื่อหนังสือกระจายออกไป ผู้อ่านบางคนอาจมีคำถามหรือยังไม่เข้าใจเนื้อหาในหนังสือในบางประเด็น แล้วไม่รุ้จะถามใคร ถ้าเขาไม่ได้เล่นเนท เขาก็ไม่สามารถถามพี่นักเขียนได้

    ส่วนคำถามมีดังนี้

    1 เคยได้อ่านพี่นักเขียนเปรยเอาไว้เรื่อง Universtity online ไม่ทราบว่าพอจะให้ราบละเอียดสักหน่อยได้ไหมครับ ว่าจะเป็นรูปแบบยังไง และความคืบหน้าไปถึงไหนแล้วครับ ผมสนใจแนวคิดนี้มาก คิดว่าอาจะเป็นช่องทางการเผยแผ่ความรู้นี้ได้กว้างขึ้นครับ แบบว่าผมเพิ่งมาบอร์ดนี้ไม่นานจึงยังไม่ค่อยรู้อะไรมากครับ

    2 อยากถามเรื่อง ดวง ชะตาชีวิต ที่เขาคำนวนจากเวลาตกฟาก แล้วสามารถทายความเป็นไปของชีวิคคนนั้นได้ ผมเชื่อว่าเรื่องดวงเป็นวิชาสถิติแบบหนึ่งที่อาศัยการสังเกตุและบันทึกต่อๆกันมา ส่วนตัวผมคิดว่า ดวงที่เขาทำนายอนาคตนั้น จริงๆแล้วน่าจะทำนายความเป็นไปจากอดีตชาติของเราเองที่เราทำกรรมต่างๆไว้ แล้วถึงคราวที่ต้องมารับผลในชาตินี้ หรือรับผลจากการเลือกโดยเจตนา พี่นักเขียนคิดเห็นเรื่องนี้ยังไงบ้างครับ

    3 จากข้อ 2 มีครั้งหนึ่งผมได้ Search ข้อมูลนักฟุตบอล และไปเจอ นักฟุตบอลคนหนึ่งชาวต่างชาติ ที่ดูจาก Profile เขา พบว่าเขา เกิด วัน เดือน ปี เดียวกับผม เมื่อผมอ่านประวัติเขา ผมก็แปลกใจเพราะ ประวัติเขาจะคล้ายชีวิตผมมากเลย ตั้งแต่ รูปร่างหน้าตา และความเป็นไปของชีวิต
    เช่น เมื่อช่วงที่เขารุ่งโรจน์สุดๆ เขาได้ประสบความสำเร็จมาก ทั้งเงินทอง ชื่อเสียง และเป็นดาวเด่นฟุตบอลโลก ซึ่ง ช่วงเวลานั้นผมก็รุ่งกับงานสุดๆ เหมือนกัน ทั้งเงิน ชื่อเสียง เป็นดาวเด่นของวงการเลย และที่เหมือนกันมากคือเขาใช้จินตนาการ สร้างสรรค์ในการเล่น ไม่ได้ใช้กำลัง ความเร็วเหมือนคนอื่น และก็เหมือนผมที่ทำงานโดยเป็น Creative สร้างสรรค์งาน

    แต่หลังจากนั้นนักฟุตบอลคนนี้ก็ตกต่ำสุดๆ ต้องพักจากการเล่นบอล ชีวิตตกต่ำมากทั้งเงินทอง ชื่อเสียงหายหมด ซึ่งก็ตรงกับช่วงชีวิตผมตอนนั้นพอดี 2 ปีเหมือนกันเลย และจากนั้นชีวิตก็เริ่มดีขึ้น แต่ก็ไม่ดีเหมือนตอนรุ่งๆ ซึ่งก็ตรงกับระยะเวลาในชีวิตของเขาเหมือนกัน ดีขึ้นแต่ไม่ดีเหมือนก่อน คือกลับมาเป็นนักฟุตบอล แต่เป็นตัวสำรองในทีมธรรมดาๆ ไม่ทราบว่านี่จะเป็นจิตวิญญาณต่างร่างร่วมวัตถุประสงค์หลือเปล่าครับ แล้วถ้าใช่ เราสามารถดูได้ จากคนที่เกิด วัน เดือน ปีเดียวกับเรา ที่เกิดตามที่ต่างๆ ได้หรือไม่ครับ

    ขอบคุณพี่นักเขียนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2008
  16. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    รู้เห็น-รู้จัก-ตนเอง

    ภาวะที่อยู่ระหว่างครึ่งหลับครึ่งตื่น ไม่ว่าจะเป็นภาวะก่อนหลับสนิทและฝัน หรือฝันไม่ทันจบดีแต่รู้สึกถึงสภาพแวดล้อมในโลกยามตื่น เป็นภาวะที่พี่นักเขียนเรียกว่า กายหลับ-จิตตื่น ซึ่งคล้องจองกับภาวะที่เรียกกันว่าเป็น ฌาน

    ภาวะดังกล่าว เป็นภาวะที่การรู้เห็นของเรา เป็นไปด้วยประสาทสัมผัสภายใน หรือด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด หากเรามีสติสัมปชัญญะที่คมชัด อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดจะเป็นไปตามความรู้ที่แท้จริง เรียกได้ว่า รู้เห็นโดยตรงด้วยจิตวิญญาณแต่ถ้าหากเรามีสติสัมปชัญญะที่ไม่คมชัด อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นจะคล้อยตามความเชื่อ แม้จะรู้เห็นด้วยจิตวิญญาณ แต่ก็ยังถูกบดบังหรือบิดเบือนไปด้วยความเชื่อบางส่วน

    การแลเห็นแสง สี อนุภาค หรือสิ่งที่มองเห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่า ในภาวะที่มีสติสัมปชัญญะอันคมชัดนี้ เป็นการรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสภายใน เมื่อรู้เห็น-แสง-สี-อนุภาค ตลอดจนการเคลื่อนไหวของมัน เรารู้เห็นภาวะของจิตวิญญาณ ซึ่งมีหน่วยย่อยเป็นประจุแม่เหล็กไฟฟ้า เรารู้เห็นโครงสร้างของมัน ซึ่งคล้ายส่วนประกอบของสิ่งมีชีวิตที่ขยายหลายพันเท่าด้วยกล้องจุลทรรศน์
    [​IMG][​IMG]

    การรู้เห็นดังกล่าวเรียกได้ว่า เป็นการรู้เห็นในระดับเซลล์ หรือในระดับหน่วยย่อยสุดของการเป็นบุคคลตัวตน เซลล์แต่ละเซลล์มีจิตวิญญาณ และเซลล์แต่ละเซลล์ก็มีสติสัมปชัญญะรู้เห็นตำแหน่งหน้าที่ และการเป็นส่วนหนึ่งของส่วนรวมทั้งหมด ซึ่งไม่ได้มีขอบเขตแต่เพียงเฉพาะการเป็นส่วนของอวัยวะ ระบบอวัยวะ หรือเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย หากแต่รู้ถึงตำแหน่งหน้าที่และการเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมทั้งหมดของจักรวาลที่หน่วยย่อยของจิตวิญญาณที่แปลงสภาวะเป็นเซลล์นั้นๆสถิตย์อยู่ เพื่อคงสภาวะของจิตวิญญาณที่แปลงสภาวะเป็นร่างกายเนื้อหนัง ด้วยการถ่ายทอดพลังงานหรือจิตวิญญาณจากต้นกำเนิดมาสู่หน่วยย่อยนั้นๆ จิตวิญญาณประสานกันเป็นระบบเครือข่าย เพื่อคงความสมดุลย์ของจักรวาลได้ด้วยสติสัมปชัญญะส่วนนี้ และส่วนที่จดจ่อกับตัวตนภายในและโลกภายใน

    อารมณ์ ปรากฏเป็นการเคลื่อนไหวเสมอ เพราะอารมณ์เป็นภาวะจิตที่ไม่คงที่และแปลงสภาวะอยู่ตลอดเวลา อารมณ์เหนี่ยวนำให้เกิดการเคลื่อนไหวของประจุแม่เหล็กไฟฟ้า หรือหน่วยย่อยของจิตวิญญาณ

    จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิด ปรากฏเป็น แสง สี เพราะจินตนาการและความรู้สึกนึกคิด ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์โครงสร้างของการรวมตัวของประจุแม่เหล็กไฟฟ้า หรือหน่วยย่อยของจิตวิญญาณ

    อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด จึงเป็นปัจจัย ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ ที่ทำให้หน่วยย่อยของจิตวิญญาณเกิดการรวมตัวกัน และแปลงสภาวะเป็นภาวะทางกายภาพ หรือแปลงสภาวะจากพลังงาน กลายเป็นสสาร หรือแปลงสภาวะจากจิตวิญญาณ เป็นร่างกายเนื้อหนัง วัตถุธาตุ ตลอดจนประสบการณ์ชีวิต และสิ่งแวดล้อม

    ตามธรรมชาติแล้วการรู้เห็นของคนเรา ครอบคลุมการรู้เห็นหลายระดับ ด้วยสติสัมปชัญญะที่จดจ่อหลายระดับ แต่เรามักจะคุ้นเคย-เชื่อถือและยอมรับแต่เพียงการรู้เห็นในระดับที่เป็นกายภาพ คือรู้เห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า หรือ รู้เห็นได้ด้วยสติสัมปชัญญะของตัวตนภายนอก อันได้แก่การรู้เห็นของตัวตนพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะที่เราคิดว่าเป็นของเรา-คือเราเท่านั้น

    แต่นอกเหนือไปจากการรู้เห็นในระดับการภาพผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า เรายังมีสติสัมปชัญญะที่จดจ่อกับตัวตนภายในและโลกภายใน และสติสัมปชัญญะที่จดจ่อกับร่างกาย อีกสองระดับ ซึ่งมีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันหมด และไม่ได้แตกแยกไปจากสติสัมปชัญญะที่เรารู้จักคุ้นเคย แต่เป็นส่วนที่ซ่อนเร้นและมักจะเล็ดรอดการรู้เห็นของเราไปเสมอๆ

    ต่อเมื่อเราเข้าสู่ภาวะที่ละจากประสาทสัมผัสทั้งห้า การรู้เห็นของสติสัมปชัญญะสองส่วนดังกล่าวจึงปรากฏชัดขึ้น ทำให้รู้เห็นด้วยสติสัมปชัญญะที่จดจ่อกับรูปกายหรือร่างกาย คือรู้เห็นในระดับเซลล์ และรู้เห็นด้วยสติสัมปชัญญะที่จดจ่อกับตัวตนภายในและโลกภายใน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของโลกภายนอก

    การรู้เห็นในระดับเซลล์ ของสติสัมปชัญญะที่จดจ่อกับรูปกายหรือร่างกาย เป็นการรู้เห็นของจิตวิญญาณ ที่ทำให้เราสามารถคงสภาพเป็นร่างกายเนื้อหนังได้
    การรู้เห็นในระดับกายภาพ ของสติสัมปชัญญที่จดจ่อกับตัวตนภายนอกและโลกภายนอก เป็นการรู้เห็นของจิตวิญญาณ ที่ทำให้เราสามารถอยู่รอดและดำเนินชีวิตในภาวะทางกายภาพได้ ภายใต้กฎเกณฑ์ของช่่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา
    การรู้เห็นในระดับจิตวิญญาณ ของสติสัมปชัญญะที่จดจ่อกับโลกภายในและตัวตนภายใน เป็นการรู้เห็นของจิตวิญญาณ ที่ทำให้เราสามารถคงสภาพเป็นจิตวิญญาณที่เสมอเหมือนกับต้นกำเนิด และดำเนินชีวิตในภาวะทางจินตภาพอันเป็นอมตะ นอกเหนือกฎเกณฑ์ของช่่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาต่อไปได้

    อนึ่งเราต้องเข้าใจด้วยว่า สติสัมปชัญญะทั้งสามส่วน และการรู้เห็นทั้งสามส่วนนี้ ไม่ได้มีการแบ่งแยกที่แท้จริง หากแต่ว่าเรารู้เห็นแบ่งแยกเพียงเพราะเราใช้งานสติสัมปชัญญะของตัวตนภายนอกจนคุ้นเคยมากที่สุดเท่านั้น จนเราขาดการรู้เห็นและขาดความคุ้นเคยกับสติสัมปชัญญะอีกสองส่วนไปโดยปริยาย แม้มันจะผุดขึ้นมาให้รู้เห็น-บ่อยครั้งเราก็ไม่ใส่ใจ เพราะเราปักใจเชื่อว่า-การรู้เห็นด้วยสติสัมปชัญญะของตัวตนภายนอก-ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าเท่านั้น คือการรู้เห็น-ความเป็นจริง-หรือสิ่งที่เป็นจริง หรือโลกแห่งความเป็นจริงทั้งหมด

    เรามักจะปราศจากคำพูด และรู้สึกเสมือนว่า ไม่เข้าใจหรือสามารถถ่ายทอดสิ่งที่รู้เห็นจากภาวะดังกล่าวเป็นคำพูดได้ เพราะมันล้วนปรากฏเป็นสิ่งที่นอกเหนือสิ่งที่เราเคย-รู้เห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า แต่ภาวะของการรู้เห็นดังกล่าวมักทำให้เราตระหนักว่า เรารู้เห็นสิ่งที่มีความหมายลุ่มลึก และเป็นรากเหง้าของชีวิตที่แท้จริง

    ในภาวะดังกล่าวนี้ เราสามารถใช้สติสัมปชัญญะของตัวตนภายใน รู้เห็นโลกภายใน หรือต้นกำเนิดของโลกภายนอกได้ในนัยเดียวกันกับที่เรารู้ใช้สติสัมปชัญญะที่จดจ่อกับร่างกาย รู้เห็นการก่อเกิดและโครงสร้างของมัน

    เมื่อก้าวล่วงไปสู่ภาวะของการรู้เห็นดังกล่าว พี่นักเขียนขอแนะนำให้คุณน้องสำรวจภาวะจิตของตนเอง ปรารถนาที่จะเรียนรู้สิ่งใด ให้ตั้งคำถาม โดยไม่ใช้วิตกวิจารณ์ ไม่วินิจฉัย แต่รอให้คำตอบผุดขึ้นมา เช่นเดียวกับที่ภาพของแสง สี และอนุภาคเหล่านั้นผุดขึ้นมา

    แสง สี และอนุภาค พร้อมด้วยการเคลื่อนไหวเหล่านั้นผุดขึ้นมาให้เห็นได้ในภาวะที่จิตปราศจากวิตกวิจารณ์ เนื่องจากว่า จิตวิญญาณของเราทั้งหลาย มีความพร้อมเสมอที่จะค้นพบตนเอง รู้เห็นตนเอง หรือ รู้จักตนเอง แม้เราจะไม่ตั้งคำถาม แต่เมื่อใดก็ตามที่จิตเข้าสู่ภาวะอันสงบ จิตวิญญาณจะเข้าสู่ภาวะที่มันต้องการเสมอๆ อันได้แก่ การรู้จักตนเอง หรือ ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของมัน ตระหนักรู้ในภาวะที่แท้จริงของมัน หรืออีกนัยหนึ่ง กลับคืนสู่สภาวะที่แท้จริงของมัน-ตามธรรมชาติเสมอ

    เชิญอ่านข้อมูลเกี่ยวกับสติสัมปชัญญะสามส่วนนี้ได้จาก จิตวิญญาณประสานกาย บทที่สอง สติสัมปชัญญะของนักฝัน
    http://www.novaanalai.com/Book_2/Bk2_chap2_p10.html
     
  17. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ผลงานของคุณ Mead สวยงามมากค่ะ (||) พี่นักเขียนชอบปั้นดินเหมือนกัน แต่มักปั้นเป็นตัวการ์ตูนหยาบๆ เพียงแค่ช่วยให้เพื่อนที่ทำ 3D animation สามารถจินตนาการและสร้าง character 3D จากการ์ตูน 2D ของพี่นักเขียนได้ง่ายขึ้น ผลงานของคุณ Mead เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้พี่นักเขียนอยากจะปั้น character 3D พร้อมทำรายละเอียดให้ดีกว่าเดิม

    โลกในจินตนาการของหัวหน้าฯ ในที่สุดก็ถูกแปลงสภาพมาเป็นวัตถุธาตุที่จับต้องได้ในโลกแห่งความเป็นจริงในปัจจุบันแล้วชิ้นหนึ่ง ต่อไปอาจขยายทั้งขนาดและจำนวนนะคะ สวยงามน่าชื่นชมมาก(||) ของพี่นักเขียนยังเป็นวุ้นอยู่เลยค่ะ(rose)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ruffy.jpg
      ruffy.jpg
      ขนาดไฟล์:
      267.2 KB
      เปิดดู:
      40
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2008
  18. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ตั๋วเข้าชม Romance De Amor ของคุณรักไร้พ่ายแพงกว่าตั๋วเข้าชม Basketball - NCAA Championship Game ซะอีกค่ะ แปลว่าต้องไพเราะแน่นอน ทำให้อยากฟังมากขึ้นไปอีก ขอบคุณมากๆที่อยากจะพบพี่นักเขียนค่ะ อาจจะเป็นคนรู้จักกันอยู่แล้วก็ได้นะคะ เพราะดูเสมือนว่าสมาชิกห้องวิทย์ฯจะไม่มีคนแปลกหน้าเลยแม้แต่คนเดียว หัวหน้าห้องวิทย์ฯเป็นผู้อ่าน #1 ที่เขียน e-mail ชวนพี่นักเขียนมาคุยที่ห้องวิทย์ฯ หลังจากที่พี่นักเขียนมี e-mail : writer@novaanalai.com ได้เพียงไม่กี่วัน โดยไม่ได้ทราบล่วงหน้าว่า เป็นรุ่นน้องมหาลัยฯเดียวกัน เป็นความบังเอิญที่มีความหมาย และทำให้ตระหนักว่า จิตวิญญาณของเราไม่เคยเป็นคนแปลกหน้าของกันและกันเลย เราจึงสัมผัสความความรู้สึกอบอุ่นเหล่านี้ได้เสมอ

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวได้ว่า เมื่ออ่านหนังสือชุดนี้จบลง พวกเราจะมีคำถามมากมาย และท่านปรารถนาให้เราเรียนรู้ที่จะค้นหาคำตอบต่อไปด้วยตนเอง เพราะข้อมูลความรู้ที่ท่านถ่ายทอดให้ เป็นก้าวแรกของการเรียนรู้และการแตกแขนงอย่างไม่มีวันสิ้นสุด และเป็นข้อมูลความรู้พื้นฐานที่จะทำให้เราเผชิญกับประสบการณ์ เข้าใจประสบการณ์เหล่านั้นได้ดีขึ้น และตระหนักได้ในต้นกำเนิด เหตุและผล ตลอดจนความหมายที่แท้จริงของประสบการณ์เหล่านั้น

    ต่อคำถามที่ว่า พี่นักเขียนจะเขียนหนังสืออีก version ไหมที่อ่านง่ายกว่านี้
    พี่นักเขียนคิดหลายตลบค่ะ ก่อนหน้าที่จะเขียนหนังสือชุดนี้ว่า ทำอย่างไรจึงจะสามารถถ่ายทอดข้อมูลความรู้เหล่านี้ให้ผู้อ่านได้ในวงกว้าง ทุกวัยวุฒิและคุณวุฒิ และได้รับคำตอบจากภายในว่า เป็นไปได้ด้วยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์

    แม้จะตระหนักว่าประสบการณ์จะเป็นตัวอย่างที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจสาระต่างๆได้ง่ายขึ้น แต่พี่นักเขียนก็ไม่ได้นำประสบการณ์ส่วนตัวเขียนลงในหนังสือชุดนี้ ด้วยเหตุว่า ไม่ต้องการให้ประสบการณ์ของพี่นักเขียน จำกัดมุมมองและความเข้าใจของผู้อ่าน เพราะประสบการณ์ส่วนตัวอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดได้ว่า การเผชิญกับประสบการณ์ในลักษณะและทิศทางของพี่นักเขียน เป็นทิศทางเดียวที่เป็นไปได้

    ต่อเมื่อหนังสือชุดนี้ออกสู่สายตาผู้อ่านจำนวนมากแล้ว และผู้อ่านได้เผชิญกับประสบการณ์อันหลากหลายด้วยตนเองแล้ว พี่นักเขียนคิดว่า ณ จุดนั้น จะถึงเวลาอันสมควร ที่จะนำประสบการณ์ส่วนตนของพี่นักเขียนมาแลกเปลี่ยนกับทุกท่าน ซึ่งจะก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยน ถ่ายทอด สื่อสารหลายทาง และทำให้ความรู้ของพวกเราแตกแขนงออกไปได้อย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นว่า พี่นักเขียนนำประสบการณ์ของตนเองมาถ่ายทอดด้วยการสื่อสารทางเดียว ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควร

    สรุปคือ มีความคิดที่จะเขียนหนังสือ รวบรวมประสบการณ์เพื่อขยายความ หรือยกตัวอย่างประกอบหนังสือ โดยจะทำประกอบกับ eBook ทั้ง 10 เล่ม เพราะเป็นวิธีการที่ทำให้ข้อมูลแตกแขนงออกไปได้มาก และสามารถรวบรวมประสบการณ์ของผู้อ่านอื่นๆไว้ได้ด้วย โดยไม่จำกัดแค่เพียงประสบการณ์ของพี่นักเขียนหรือผู้อ่านกลุ่มเล็กๆ แต่ต่อยอดและขยายออกไปได้อย่างไม่มีขีดจำกัด

    พี่นักเขียนตระหนักดีว่า มีผู้อ่านที่ไม่ได้ใช้ Internet มากมาย หากไม่มีข้อมูลออกไปในรูปแบบของสื่ออื่นๆ เช่น หนังสืออีกต่อไป จะทำให้ผู้อ่านกลุ่มอื่นหมดโอกาสไปโดยปริยาย แต่ในทางตรงกันข้าม พี่นักเขียนเชื่อว่า หลังจากที่มีสื่อ Multimedia เช่น eBook AudioBook animation VDO เกิดขึ้นจนครบวงจรบนระบบ Internet แล้ว การที่ข้อมูลความรู้จากหนังสือชุดนี้จะแปลงสภาพไปเป็นสื่ออื่นๆนอกระบบ Internet จะเป็นไปได้โดยง่าย เช่น เป็นหนังสือ, เป็น audio CD, VDO ฯลฯ

    แต่ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ต้องลงทุนลงแรงไม่น้อย พี่นักเขียนกำลังใช้ความคิดและความพยายามหลายทางที่จะทำให้งานขั้นต่อไปบรรลุเป้าหมาย ขณะนี้พี่นักเขียนได้ทดลองด้วยการทำ eBook ให้อ่านฟรี และมี Pay Pay Donation เป็นปุ่มที่ให้ปรากฏ ในท้ายเล่ม เพื่อนำไปสู่จอที่ให้บริจาคตามศรัทธา โดยมีเป้าหมายที่จะหาทุนทำ Virtual University ให้บรรลุเป้าหมายโดยเร็วที่สุด ปรากฏว่ามีผู้อ่าน eBook มากมายวันละหลายร้อยราย และมี e-mail เพิ่มขึ้นมามากค่ะ แต่ยังไม่มีผู้บริจาคเลยค่ะ ไม่ทราบว่าผู้อ่านทางเมืองไทยคุ้นเคยกับการบริจาคผ่าน Pay Pal หรือเปล่าคะ ? หากท่านใดมีคำแนะนำ ยินดีรับข้อคิดและข้อเสนอแนะของทุกท่านทั้งในและนอกห้องวิทย์ฯเสมอค่ะ

    พี่นักเขียนขอตัดคำถามออกเป็นข้อๆ และตอบต่อไปทีละข้อ เพื่อไม่ให้ข้อความยาวเกินไปนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2008
  19. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    On-line University หมายถึง องค์กรหรือสถาบันที่ถ่ายทอดแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ โดยใช้ระบบ Internet เป็นสื่อ หลายๆมหาวิทยาลัยทั่วโลก มีห้องเรียนที่มีนักเรียนลงทะเบียนเข้าเรียนตามระบบปกติส่วนหนึ่ง และมีนักเรียนที่ไม่เคยเข้าชั้นเรียน แต่เรียนทางระบบ Internet อีกส่วนหนึ่ง บางมหาวิทยาลัยก็ใช้ทั้งสองระะบบร่วมกัน

    ส่วน Virtual University หมายถึงองค์กรหรือสถาบันที่ถ่ายทอดแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ โดยใช้ระบบ Internet เป็นสื่อ โดยไม่มีห้องเรียนที่มีนักเรียนลงทะเบียนเข้าเรียนตามระบบปกติเลย ตัวมหาวิทยาลัยไม่มีอยู่จริงในโลกทางกายภาพ มีแต่ระบบการทำงานของบุคลากร การเรียน-การสอน การลงทะเบียน-การสอบ การให้-การรับ ฯลฯ ที่เกิดขึ้นในระบบ Internet อาจารย์และนักเรียนจะอยู่แห่งหนใดก็ได้ทั่วทุกมุมโลก นักเรียนกับผู้สอน และนักเรียนกับนักเรียน ติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันทางระบบ Internet ทั้งหมด

    การที่ผู้เรียน เลือกเรียนทางระบบ Internet หรือเลือกเรียนใน Virtual University เป็นระบบการเรียนที่นักเรียนเป็นผู้แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง โดยปราศจากการป้อน การกำหนดหรือบีบบังคับของครูโดยแท้ เพราะนักเรียนทุกคนสามารถเลือกวิชาใดๆก็ได้ ตามตารางเวลาของตนเอง และจะใช้เวลาสั้น-ยาว มากน้อยเพียงใดก็ได้ตามทางเลือกของตนเอง การถ่ายทอดข้อมูลความรู้ในระบบของ Virtual University มักเป็นการถ่ายทอดโดยใช้สื่อ Multimedia คือสื่อที่เป็นตัวหนังสือ ภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว (animation) และ full-motion VDO

    หากเปรียบหนังสือชุดของท่านอาจารย์อนาลัยกับวิชา 10 วิชา นักเรียนไม่ได้ถูกกำหนดหรือบังคับให้ลงเรียนวิชาใดในเทอมนี้ ใครต้องการลงกี่วิชาก็ทำได้ และเลือกเวลาที่จะเข้าห้องเรียน(ที่ไม่มีจริง) ด้วยการเข้าระบบเพื่อที่จะรับข้อมูลความรู้ด้วยสื่อชนิดใดๆก็ได้ตามที่ตนเองเลือก เช่น เลือกอ่าน เลือกฟัง เลือกชม หรือเลือกปนกันหลายสื่อก็ได้ โดยเข้าไปรับข้อมูลเวลาใดๆก็ได้ จะส่งคำถามและรับคำตอบจากครูเมื่อไรก็ได้ จะเรียนจบภายในกี่ปี่ก็ได้ On-line University หรือ Virtual University โดยทั่วไปมักมีกำหนดระยะเวลาเพราะขึ้นกับค่าใช้จ่าย แต่หากเป็นระบบที่ไม่ได้เป็นธุระกิจ นักเรียนก็จะเป็นอิสระจากช่องว่าง-ระยะทางและเวลาได้อย่างแท้จริง คือจะเรียนที่ไหน เมื่อใด ใช้เวลาเรียนเร็ว-ช้า มาก-น้อยเพียงใดก็ย่อมทำได้ตามปรารถนา

    การเรียนการสอนในระบบดังกล่าวนี้ จึงเป็นระบบที่นักเรียนเป็นผู้เลือกเรียนด้วยความพร้อมของตนเองเป็นหลัก โดยปราศจากการควบคุม บีบบังคับ และปราศจากเงื่อนไขของผู้สอน พี่นักเขียน"ได้ยิน" ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวถึง Analai Virtual University และ"รู้สึก"ได้ว่า ท่านหมายถึง Virtual University ที่ไม่มีตัวตนของครูผู้สอน ไม่มีตัวมหาวิทยาลัย แต่เป็นแหล่งความรู้ที่นักเรียนจากทั่วทุกมุมโลก สามารถตักตวงและหาความรู้ได้ตามปรารถนาด้วยตนเอง ตามทางเลือกส่วนบุคคลอย่างแท้จริง ข้อมูลความรู้ทั้งหมด มีให้เสมอ โดยปราศจากเงื่อนไข การถ่ายทอดข้อมูลความรู้ของท่าน อาจารย์อนาลัย เป็นการให้ด้วยความรักอันปราศจากเงื่อนไข และเป็นการให้ที่ไม่มีวันหมดสิ้น

    รูปแบบของ Analai Virtual University ที่พี่นักเขียนเห็นในจินตภาพ เป็นแหล่งความรู้ที่มีข้อมูลต้นฉบับเป็นของกลางที่ทุกคนเข้าถึงได้ คืออ่านหนังสือได้ทั้งหมดเป็น eBook ซึ่งขณะนี้กำลังเร่งมือทำอยู่ค่ะ เสร็จไปแล้ว 2 เล่ม ซึ่งพี่นักเขียนตั้งเป้าหมายไว้ว่าไม่เกินสิ้นปีนี้จะกลายเป็น eBook หมดทั้ง 10 เล่ม จากนั้นก็จะทำ AudioBook ต่อไปให้สำเร็จทั้ง 10 เล่ม เพื่อที่ว่านักเรียนจะได้มีทางเลือก คือมีสื่อที่ตนถนัดจะรับข้อมูลได้มากกว่าการอ่านแต่เพียงอย่างเดียว และคาดหวังว่าหนังสือชุดนี้จะขยายรูปแบบออกเป็นสื่ออีกหลายรูปแบบ หากจะตอบว่าจะเขียนหนังสือเพิ่มก็คงไม่ผิด เพราะมีข้อมูลความรู้อีกหลายส่วนที่ไม่สามารถถ่ายทอดเป็นคำพูดได้เลย และอาจต้องใช้สื่อรูปแบบอื่นๆ เช่น animation ถ่ายทอดแทนคำพูด นอกเหนือไปจากการถ่ายทอดข้อมูลแล้ว นักเรียนสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นกันได้อย่างที่เรากำลังทำอยู่ในห้องวิทย์ฯนี้

    ไม่ว่า Analai Virtual University จะดำเนินไปถึงขั้นใด สิ่งสำคัญที่พี่นักเขียนหวังว่า พวกเราและผู้อ่านทุกท่านจะตระหนักได้คือ เมื่อมหาวิทยาลัยแห่งนี้ปราศจากตัวตน ครูบาอาจารย์ก็ปราศจากตัวตน พี่นักเขียนจึงไม่ได้อยู่ในฐานะครู แต่เป็นหนึ่งในนักเรียน แม้ว่าพี่นักเขียนจะเขียนหนังสือชุดนี้ แต่พี่นักเขียนก็ยังต้องเรียนรู้อีกมากมายไม่น้อยไปกว่าพวกเรา เพราะการเขียนของพี่นักเขียน ไม่ได้เกิดจากการคิดเอง เขียนเอง แต่เกิดจากการรับเอาความคิดรวบยอด มุมมองและทัศนคติขององค์ความรู้จากภายใน ที่พี่นักเขียนเรียกว่าท่านอาจารย์อนาลัยมาถ่ายทอดเป็นคำพูด

    แม้ว่าการรับมาถ่ายทอดจะต้องอาศัยความเข้าใจ จึงจะถ่ายทอดได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า พี่นักเขียนมีความเข้าใจทุกสาระอย่างหมดเปลือก เพราะหลายๆสาระ เป็นเพียงความเข้าใจพอที่จะแปลงข้อมูลความรู้เหล่านั้นเป็นคำพูดได้เท่านั้่น แต่หลายสาระก็ยังขาดความเข้าใจที่เกิดจากการเผชิญกับประสบการณ์นั้นๆโดยตรง และบางสาระก็เป็นความเข้าใจที่เกิดจากการเผชิญกับประสบการณ์ จากมุมมองจำเพาะหนึ่งๆของพี่นักเขียนเท่านั้น ซึ่งยังมีมุมมองอื่นๆที่พี่นักเขียนยังต้องเรียนรู้อีกมากมายจากพวกเรา กล่าวได้ว่า การเรียนรู้ของพี่นักเขียนจะเพิ่มพูนและก้าวหน้าต่อไปได้ ด้วยการเรียนรู้จากผู้อ่านทุกท่าน ไม่น้อยไปกว่าที่พวกเราต้องเรียนรู้จากกันและกัน

    แม้ว่าพวกเราจำนวนไม่น้อยจะไม่คุ้นเคยกับการติดต่อสื่อสาร รับและถ่ายทอดข้อมูลความรู้จากภายในเช่นพี่นักเขียน แต่พี่นักเขียนขอย้ำว่า การนำเสนอข้อมูลทั้งหมด พร้อมด้วยการเปิดเผยให้พวกเราทราบว่า ข้อมูลความรู้ทั้งหมดนี้มาจากไหน แทนที่จะบอกว่า พี่นักเขียนรู้เอง-เขียนเอง-เป็นเจ้าของสาระของข้อมูลความรู้ทั้งหมด เป็นเหตุผลสำคัญที่พี่นักเขียนอยากจะบอกกับพวกเราซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าว่า เราทุกคนติดต่อสื่อสาร รับและถ่ายทอดข้อมูลความรู้จากภายในได้ด้วยตนเองทุกคน - ไม่น้อยไปกว่าพี่นักเขียน และเป็นหน้าที่ของจิตวิญญาณของเราแต่ละคนโดยแท้ที่จะช่วยกันติดต่อสื่อสาร รับและถ่ายทอดเพื่อนำข้อมูลความรู้มาแลกเปลี่ยนกัน เพราะไม่มีจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังเพียง หนึ่งตัวตน หนึ่งร่าง ที่สามารถรับและถ่ายทอดข้อมูลความรู้ทั้งหมดได้ตามลำพัง

    พี่นักเขียนเชื่อว่า หน้าที่ของพี่นักเขียนในฐานะนักเรียนคนหนึ่ง คือการบอกเพื่อนร่วมชั้นเรียนทุกคนว่า "ฉันทำได้ เธอก็ทำได้เหมือนกัน" เพราะครู (ท่านอาจารย์อนาลัย) บอกว่า เราทุกคนทำได้ และพี่นักเขียนก็เชื่อครู และได้ทำตามที่ครูบอกแล้ว พี่นักเขียนจึงกลายเป็นนักเรียนคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสลงมือทำและพิสูจน์ความเป็นจริงที่ครูบอก ยังมีพวกเราอีกมากมายที่แม้จะรักครู ศรัทธาวิชาของครู แต่ยังเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่งว่า ตนเองก็ทำได้ และบอกพี่นักเขียนว่า "อย่าไปไหนนะ เดี๋ยวห้องเรียนของเราไม่มีใครทำต่อ" แม้จะมีใจรักที่จะอยู่และทำตลอดไป แต่พี่นักเขียนก็คงทำเช่นนั้นได้ตามกฏเกณฑ์อันจำกัดของกาลเวลาเท่านั้น

    พี่นักเขียนเชื่อว่า เป้าหมายของท่านอาจารย์อนาลัย คือการเผยแพร่ข้อมูลความรู้ในทิศทางที่จะสามารถคงสภาพต้นฉบับต่อไปได้ยืนยาวที่สุดที่จะทำได้ โดยไม่เกิดการคัดลอก หรือลอกเลียน จนกระทั่งต้นฉบับถูกบิดเบือนไป และหายสาบสูญไปในที่สุด หนังสือชุดนี้แม้พี่นักเขียนจะเป็นผู้จัดเตรียมต้นฉบับ แต่เมื่อมีการถ่ายทอดไปสู่การพิมพ์ มีการแก้ไขคำผิดและเว้นวรรค หลายสิบครั้ง แต่ในที่สุดก็ออกมาเป็นหนังสือที่มีตัวสะกดผิด และเว้นวรรคผิดมากมาย เพราะเป็นการถ่ายทอดและแปลง file หลายขั้นตอนผ่าน computer หลายเครื่อง หลายบุคคล ต่างระดับความคิด ความเข้าใจ ซึ่งทำงานด้วย computer ต่าง OS ต่าง software program จนกระทั่งเกิดการคลาดเคลื่อน

    eBook จึงกลายเป็นต้นฉบับที่เรียกได้ว่า เหมือนต้นฉบับมากที่สุด เพราะเป็นการถ่ายทอดข้อมูลมาจากต้นฉบับโดยตรง ขาดแต่เพียงตัว ส ที่พี่นักเขียนต้องนำมาเติมกลับคืนเท่านั้น และพี่นักเขียนก็สามารถควบคุมการตัดคำเว้นวรรคได้ดีกว่าหนังสือ ซึ่งต้องอาศัยบุคคลปลายทางหลายคนที่ช่วยกันปรับแก้ด้วยเจตนาดี แต่ก็ก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนไปโดยปริยายเพราะความไม่เข้าใจในสาระ ผนวกกับความคลาดเคลื่อนของ technology โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตัดคำภาษาไทยของ software program ต่าง Platform

    กล่าวได้ว่า เมื่อ eBook สำเร็จครบชุด 10 เล่ม เราจะมีต้นฉบับที่ไม่มีวันสูญสลาย บิดเบือน หรือคลาดเคลื่อนไปด้วยการจัดพิมพ์อีกต่อไป และจะเป็นต้นฉบับที่ผู้อ่านสามารถรับเอาได้เสมอ แม้จะจำกัดเพียงผู้ที่ใช้ Internet แต่พี่นักเขียนเชื่อว่า หากทุกท่านที่เข้าถึงข้อมูลความรู้เหล่านี้มีจิตปรารถนาที่จะถ่ายทอดให้ผู้ที่ไม่ใช้ Internet การช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอนที่สุดค่ะ(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2008
  20. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489


    ดวงชะตาชีวิต เป็นสาระที่ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวถึงไว้ในหนังสือหลายเล่ม โดยมีสาระที่สรุปได้ว่า โหราศาสตร์และศาสตร์ทั้งหลายที่ดูเสมือนว่าจะเป็นการอ่านอดีต รู้เห็นอนาคต ล้วนเป็นศาสตร์ที่รู้เห็นอดีตหรืออนาคต บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เพียงเส้นเดียว ซึ่งตามธรรมชาติแห่งความเป็นจริงแล้ว เราทุกคนมีเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อันหลากหลาย-เป็นอนันต์ ซึ่งเปลี่ยนแปลง พลิกผันได้ด้วยการจดจ่อในปัจจุบัน

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวว่า พลังอำนาจที่แท้จริงที่ทำให้สิ่งต่างๆที่ดูเสมือนจะเป็นสิ่งที่รู้เห็นไม่ได้ หยั่งไม่ถึง แต่หมอดู หรือผู้ทำนายดวงชะตาดูเสมือนจะมีอำนาจรู้เห็นนั้น แท้จริงแล้วคืออำนาจแห่งความเชื่อของตนเอง กล่าวได้ว่า หมอดูแม่น เพราะเราเชื่อว่าสิ่งที่เขารู้เห็น-เป็นความจริง ความเชื่อของเราคือปัจจัยหลักที่เหนี่ยวนำประสบการณ์อันเป็นไปได้เหล่านั้น มาสู่เส้นทางที่เราเรียกว่า ความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวว่า อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต มีอยู่-เป็นอยุ่-ดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน ดังนั้นความเข้าใจของเราที่ว่าอดีตเป็นการกระทำที่ส่งผลมาสู่ปัจจุบัน และปัจจุบันส่งผลไปสู่อนาคต จึงเป็นความเข้าใจที่จำกัด และอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ของช่องว่างระยะทางและกาลเวลาที่เรารู้จักเท่านั้น แต่ในโลกของจิตวิญญาณ เป็นโลกที่เป็นไปเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่างระยะทางและกาลเวลา อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต จึงเป็นไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน และส่งผลกระทบถึงกันหมดเป็นปัจจุบันด้วยเช่นกัน

    กล่าวได้ว่าผลของการกระทำที่เราเรียกว่าเป็นอดีต ไม่ได้ใช้เวลายาวนานที่จะส่งผลมายังปัจจุบัน หรืออนาคต แต่ส่งผลมาสู่ปัจจุบันและอนาคต อย่างฉับพลัน เป็นปัจจุบันทันด่วน ในนัยของท่านอาจารย์อนาลัย การกระทำในแง่ลบซึ่งยังผลให้เกิดผลลัพธ์ในแง่ลบ ที่เราเรียกว่ากรรม เป็นภาวะจิตที่เป็นความเชื่อในแง่ลบที่เราไม่ได้แก้ไขหรือเปลี่ยนให้เป็นความรู้ ความเชื่อในแง่ลบดังกล่าวจึงส่งผลไปสู่ชาติภพต่างๆหลายชาติภพ

    แต่ท่านก็กล่าวว่า มันไม่ได้เป็นไปเป็นลำดับตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จัก หากเแต่ส่งผลกระทบและเป็นไปพร้อมกันหมด เหมือนละครหลายโรงที่เราถือต่างบทบาทและดำเนินบทบาทเหล่านั้นพร้อมกันหมดทุกโรงละคร การกระทำและความเชื่อของเราในบทบาทหนึ่งๆ ส่งผลกระทบกับบทบาทและตัวตนของเราในละครของชาติภพโรงอื่นๆพร้อมกันหมด

    เจตนาและการเลือกมาถือกำเนิดของเราแต่ละคน คือการเลือกเพื่อเผชิญกับประสบการณ์ชีวิตจากมุมมองจำเพาะที่แตกต่างกัน เพื่อทำให้จิตวิญญาณเรียนรู้ได้อย่างลึกซึ้ง ด้วยการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ชีวิตอันหลากหลาย และเรียนรู้คุณค่าชีวิตได้อย่างหมดเปลือกจากมุมมองทุกมุมมอง แทนที่จะเผชิญกับประสบการณ์ต่างๆทีละประสบการณ์เป็นลำดับ ตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จัก เราเรียนรู้ความรัก พร้อมกันเป็นปัจจุบันกับการเรียนรู้ความเกลี่ยด เราเรียนรู้การกล่าวโทษ พร้อมๆกันกับที่เราเรียนรู้การให้อภัย ในโรงละครของชาติภพต่างโรงพร้อมกันเป็นปัจจุบ้น เพื่อที่จิตวิญญาณของเราจะสามารถเรียนรู้จากมุมมองต่างขั้วและเรียนรู้ได้อย่างลึกซึ้ง(rose)(rose)

    โนวา อนาลัย ขยายความ ธรรมชาติของชาติภพ
    บทที่ 14 บทละครของชาติภพ

    http://www.novaanalai.com/Book_1/BK1_chap12_p174.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...