กระแส"พญานาค"กับข้อเท็จจริงบางอย่าง(มีคลิป) คนที่ไม่เชื่อควรดูด้วยดุลพินิจ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 9@Phonlee, 1 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,714
    Tips & Tricks (วรรคทอง)
    หน้า 156 ลำดับที่ #3112

    เป็นความสงสัยเพิ่มเติมจากผมเอง(9)เรื่องภัยธรรมชาติ
    "ถ้ามองในแง่ดี...คงเนื่องจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ
    ทั้งจากฝีมือมนุษย์ที่เป็นต้นเหตุสำคัญ
    และการเปลี่ยนแปลงในแต่ละครั้ง เช่นแผ่นดินไหว
    หรือภูเขาไฟระเบิด ทำให้แกนโลกเปลี่ยนไป
    ระดับความหนาบางของเปลือกโลก-ชั้นดิน-ชั้นหิน
    ข้อมูล หรือค่าหรือองศาต่างๆที่เคยคำนวณไว้
    ตัวเลขมันผิดเพี้ยนไปเรื่อยๆ...ไปเรื่อยๆ
    จนยากที่จะคำนวณระยะยาวได้แม่นยำ
    หรือไม่อยากคำนวณ...
    ...เพราะฐานข้อมูลเปลี่ยนแปลงทุกเวลา
    ด้วยเหตุที่ยุคนี้ภัยธรรมชาติรุนแรงเกิดขึ้นถี่มาก


    nopphakan, post:
    เหตุส่วนมาก ที่ทำให้ แบบจำลองเปลี่ยน
    ก็มาจาก มนุษย์นี่หละครับ...
    สมัยก่อน ใครจะนึกว่า แม้นำเปล่า ยังต้องซื้อ
    สมัยก่อน ใครจะนึกว่า น้ำจะท่วมถนน
    สมัยก่อน ใครจะนึกว่า ปลา อาหารจากสัตว์ต้องซื้อ
    สมัยก่อนสร้างบ้าน ต้องมีการจ้างด้วยเงินด้วยหรือ
    คุยกับ คนยุคก่อนๆจะทราบดี....๕๕

    ในประเทศไทย บุคคลากร เก่งๆเยอะมากครับ
    ถามว่า แต่ละท่านเหล่านั้น ท่านทราบไหม
    ทราบหมดหละครับ แต่ทำไม่เตือนหละ....
    มันวางแผนได้ คิดได้ แต่มันทำไม่ได้ดั่งใจ
    ในทางปฏิบัตินั่นเองครับ....

    คำปฏิทาน มีทุกหน่วยงานนั่นหละครับ
    แต่การปฏิบัติจริงนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งนั่นเอง
    สภาพแวดล้อมเปลี่ยน ใจคนก็เปลี่ยน...

    ด้วยเหตุของเรื่องการ บริหารจัดการ
    ที่เริ่มมาจาก แผนพัฒนาเศรษกิจและสังคม
    และระบบการทำงาน ที่สืบต่อลงมายัง
    หน่วยงานที่รับผิดชอบในลำดับต่อมานั่นหละครับ
    ถ้าทางด้านวิชาการ เค้าจะบอกว่า
    ยังมีปัญหาในเรื่อง ของการทำงานร่วมกัน
    และการติดต่อสื่อสารรวมทั้งระเบียบต่างๆ......
    พวกนี้ มาพร้อมกับคำว่า ลำเอียง หรือ ไปแอท นั่นหละครับ
    ๕๕๕๕ แอน การเมือง พวกเอ๊ง พวกข้า ๕๕๕

    นึกไม่ออก ตัวอย่างการทำงานร่วมกัน
    ยกตัวอย่างง่ายๆ ดูแค่ งานถนนนะครับ
    เด่ววางท่อระบายน้ำ ก็ขุดอีก
    วางสายโทรศัพท์ ก็ขุดอีก
    ทำถนนก็ขุดอีก ๕๕๕๕

    ตัวอย่างอีก จะวางท่อ ข้ามถนนหลวง
    ทำเรื่องขออนุญาต กว่าจะครบกระบวณการ
    ขุดได้ ปาเข้าไป ๖ เดือน ๕๕๕
    หรือ เวลาจะจ่ายเงินเข้าหลวง
    ไม่เกิน ๕ นาที คุณจะได้ใบเสร็จ
    แต่ถ้าจะเบิก ปาไป ๒ ถึง ๓ เดือน
    แถมยังต้องลงรายละเอียดอีก ๕๕๕๕๕

    ทำอะไรมันก็ช้าหมดนั่นหละครับ
    เรื่องแบบนี้ มันอยู่ระดับ สายเลือดครับ
    นี่คือ ประเทศเรา และอีกหลายๆประเทศก็มี
    เป็น สมมุตินิสัยทางโลก ที่ทำกันมาจนเป็นปกติ

    แก้ปัญหาไม่ได้แน่นอน แม้จะมีแผนระยะยาว
    ทำได้แค่ดีที่สุด และก็ยอมรับซะ
    อะไรประมาณนี้หละครับ...


    (ขอบคุณอาจารย์นพ)
     
  2. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,714
    ตำนานพญานาคกับครุฑ ทำไมไม่ถูกกัน
    หน้าแรก/เรื่องผีๆ/ตำนานพญานาคกับครุฑ ทำไมไม่ถูกกัน
    25f6caab3c14ffac1129b608b79649ae?s=96&d=mm&r=g.jpg shock_admin19 ธ.ค. 20174786
    1485142152.jpg
    แชร์
    พอดีมีละครเรื่องกาษานาคา เลยทำให้ความสงสัยว่า “ทำไมนาคกับครุฑไม่ถูกกัน”
    ซึ่งก็ได้มีโอกาสไปฟังท่านวิทยากรเล่ามาว่า
    สาเหตุคือ แม่ของนาคกับครุฑเป็นพี่น้องกัน มีสามีคนเดียวกัน แต่เราจำชื่อใครไม่ได้เลยนะ
    ทีนี้เค้ามีการถามคำถามกันว่า มาที่ขับรถให้พระอาทิตย์สีอะไร
    แม่ของนาค (ซึ่งตอนนี้คลอดลูกมาแล้ว) ก็ตอบว่าสีดำ ส่วนแม่ของครุฑ (ยังไม่คลอดลูกเป็นครุฑ)
    ตอบว่าสีแดง แล้วเค้าก็ตกลงกันว่าถ้าใครตอบผิดต้องยอมเป็นทาสรับใช้อีกฝ่ายโดยไม่มีเงื่อนไข
    ซึ่งนาคกลัวแม่จะแพ้ เลยแอบไปดูม้าของพระอาทิตย์ก่อนว่าสีอะไร ปรากฎว่าเป็นสีแดง

    ทีนี้กลัวแม่จะแพ้ ก็เลยพ่นไฟ เป่าซะดำเลย วันรุ่งขึ้นทั้งสองคนก็ไปดูกัน
    ปรากฎว่าสีดำยังอยู่ที่ม้าเพราะพิษยังไม่หมด แม่ของครุฑเลยแพ้ เลยต้องเป็นทาสรับใช้
    ตอนหลังแม่ของครุฑคลอดลูกมาเป็นไข่สองฟอง แล้วก็ฟักอยู่นานสิบปี
    ก็สงสัยว่าทำไมไข่ไม่แตกสักที เลยเคาะดู ปรากฎว่าไข่ที่ถูกเคาะเป็นคนแค่ครึ่งเดียว

    เลยโกรธแม่ว่าทำไมถึงรีบเคาะ จึงหนีไปเจอพระอาทิตย์แล้วพระอาทิตย์ก็เลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม
    ให้ขี่รถม้านำทางให้และตั้งชื่อว่า “อรุณ” นั่นคือทำไมเราเห็นแสงเหลืองทองตอนเช้า
    จึงเรียกว่ารุ่งอรุณ ซึ่งเป็นชื่อของคนนำทางพระอาทิตย์ ไม่ใช่พระอาทิตย์นะ

    จากนั้นไข่อีกฟองก็ฟักมาเป็นครุฑ มีอิทธิฤทธิ์เยอะเชียว เค้าก็สงสัยว่าทำไม
    แม่ต้องเป็นทาสรับใช้พวกนาคก็เลยไปถามเรื่องราว แล้วก็ไปเยี่ยมน้องที่อยู่กับพระอาทิตย์
    ก็รู้ความจริงว่าม้าของพระอาทิตย์เป็นสีแดง ก็รู้ว่าพวกนาคโกง จึงมาตกลงกับนาค
    ว่าทำยังไงถึงจะปล่อยแม่ให้เป็นอิสระ ซึ่งนาคก็บอกว่าให้ไปเอาน้ำอัมฤทธิ์มาให้แล้วจะปล่อย

    ก็เลยขึ้นไปบนสวรรค์ อาละวาดกับเทวดาจะเอาน้ำอัมฤทธิ์ จนพระนารายณ์ ต้องมาไกล่เกลี่ย
    ซึ่งก็ได้ความว่าเพราะความกตัญญูอยากได้น้ำอัมฤทธิ์ไปไถ่ตัวแม่ จึงยอมให้ แต่ต้องเอามาคืน
    ครุฑบอกว่าจะเอาไปให้นาคแต่ไม่คืน ซึ่งถ้าจะเอาคืนเทวดาต้องไปเอาคืนเอง

    เทวดาก็เลยยอมให้ยืม พอลงมาก็มาวางบนหญ้าคา ให้พวกนาค พร้อมเหล่าเทวดาตามมาอีกมาก
    นาคก็เข้าใจว่าพวกเทวดามาอวยพร พอครุฑวางปุ๊ป นาคจะเข้าไปเอาน้ำ เทวดาก็รีบคว้าไปเลย
    ด้วยความรีบน้ำก็เลยหกเล็กน้อยมาบนหญ้าคา นาคก็เสียดายรีบเข้าไปเลียน้ำที่หญ้า ซึ่งหญ้าก็คม
    ลิ้นเลยแตกออกเป็นสองแฉก แล้วหญ้าคาที่ทนทานนักก็เพราะได้น้ำอัมฤทธิ์หยดใส่เนี่ยล่ะ

    นั่นแหละก็เป็นสาเหตุทำไมนาคกับครุฑไม่ถูกกัน เพราะครุฑแค้นที่นาคหลอกให้แม่เป็นทาสอยู่นาน
    นาคก็แค้นที่ครุฑเอาน้ำอัมฤทธิ์มาให้แต่ให้เทวดามาชิงกลับไป ทำให้ พญานาคกับครุฑ ไม่ถูกกัน


    ขอบคุณแหล่งที่มา : http://oknation.nationtv.tv/blog/thanchanokkim/2007/07/10/entry-1



    ขอขอบคุณ เวป.shockmthai.com
     
  3. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,714
    ตำนานพญานาค หนองคาย
    หน้าแรก/เรื่องผีๆ/ตำนานพญานาค หนองคาย
    25f6caab3c14ffac1129b608b79649ae?s=96&d=mm&r=g.jpg shock_admin21 ธ.ค. 20175025
    summer-681717_960_720.jpg
    แชร์

    ความเชื่อเกี่ยวกับพญานาคปรากฏอยู่มากมาย และในประเทศไทยนั้น สถานที่
    ที่มีตำนานและความเชื่อเกี่ยวกับพญานาคผูกพันอย่างแน่นหนาที่สุด
    คงต้องยกให้ จังหวัดหนองคาย และ จังหวัดบึงกาฬ ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นดัง “นาคานคร”

    จังหวัดหนองคายและบึงกาฬตั้งอยู่ทางภาคอีสานตอนบน สำหรับบึงกาฬนั้นเป็นจังหวัดใหม่
    ที่เพิ่งแยกตัวออกมาจากจังหวัดหนองคาย ทั้งสองจังหวัดมีชายแดนติดกับประเทศลาว
    เพียงแค่แม่น้ำโขงกั้น ว่ากันว่าแม่น้ำโขง เป็นที่อยู่อาศัยของพญานาคราช
    ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวหนองคายและชาวลาว

    ด้วยระยะทางยาวไกลกว่า 210 กิโลเมตร ที่แม่น้ำโขงทอดตัวไหลผ่านจังหวัดหนองคาย
    ตำนานและเรื่องราวพญานาค ของชาวหนองคายนั้นยิ่งใหญ่ กล่าวขานกันมาเนิ่นนาน
    ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์แห่งลำน้ำโขง

    ชาวอีสานในแถบลุ่มแม่น้ำโขงต่างมีความเชื่อว่าแม่น้ำโขงและแม่น้ำน่านเกิดขึ้นจาก
    การเคลื่อนตัวของพญานาค รวมถึงเชื่อในตำนานอัศจรรย์แห่งบั้งไฟพญานาคในวันออกพรรษา
    ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งถือว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากสวรรค์
    เหล่าพญานาคในแม่น้ำโขงต่างชื่นชมโสมนัส พร้อมใจกันจุดบั้งไฟถวายการเสด็จกลับ
    ของพระพุทธองค์ “บั้งไฟพญานาค” จึงเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอันอัศจรรย์
    ที่เกิดขึ้นในเขตจังหวัดหนองคายและจังหวัดบึงกาฬในทุกๆ ปี

    ด้วยความเชื่อที่ว่าบริเวณนี้เป็นนครแห่งพญานาค จึงปรากฏตำนานและเรื่องราวเล่าขาน
    รวมไปถึงสถาปัตยกรรม โบราณสถาน วัดวาอารามที่เกี่ยวพันกับพญานาคอยู่มากมาย
    โดยชาวจังหวัดหนองคายเชื่อว่า มีเมืองบาดาลของพญานาค ตั้งอยู่ในเขตอำเภอโพนพิสัย

    โดยตั้งอยู่ใต้แม่น้ำโขงที่ลึกลงไป 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรงดงาม
    อยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อนกันอยู่ ด้วยเหตุของความเชื่อดังกล่าวนี้เองในวันออกพรรษาแต่ละปี
    จังหวัดหนองคาย โดยเฉพาะที่อำเภอโพนพิสัย จะเนืองแน่นไปด้วยผู้คนจากทั่วสารทิศ
    ที่แห่แหนกันไปชมปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคกันอย่างล้นหลาม

    “ถ้ำดินเพียง” ที่วัดถ้ำศรีมงคล ในอำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย ยังเชื่อกันอีกว่า
    เป็น “ถ้ำพญานาค” เป็นดังประตูมิติระหว่างโลกมนุษย์และเมืองบาดาล เป็นเส้นทาง
    ที่พญานาคใช้เดินทางกลับสู่ใต้บาดาล และยังเป็นเส้นทางที่พระธุดงด์ทรงศีลแก่กล้า
    จากลาวใช้ข้ามฝั่งลอดใต้แม่น้ำโขงเข้ามายังเมืองไทย แต่ถ้าหากได้เข้าไปภายในถ้ำ

    ด้านในจะมีทางแยกอีกนับไม่ถ้วน ภายในถ้ำจะมีทั้งส่วนที่เป็นแอ่งน้ำและส่วนพื้นดินที่แห้ง
    หากผู้ใดเข้าไปก็ควรมีผู้นำทางและเดินตามเส้นทางที่กำหนดไว้
    มิฉะนั้นอาจพลัดหลงหาทางออกไม่เจอ

    แม้ว่าหลายอย่างจะเป็นเพียงความเชื่อที่สืบทอดกันมา แต่ตำนานพญานาคก็ยังคงเป็น
    เรื่องราวที่อยู่คู่กับชาวหนองคายและบึงกาฬ รวมถึงผู้คนในแถบลุ่มน้ำโขงเสมอมา



    ขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.manager.co.th/Travel



    (ขอบคุณที่มา เวป.shock.Mthai)
     
  4. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,714
    เตรียมเปิดลานคิงคอง จัดใหญ่ลอยกระทง-ปล่อยโคมเชียงใหม่ บันทึกกินเนสส์บุ๊กพร้อมสรรพ
    เผยแพร่: 9 ส.ค. 2562 14:59 ปรับปรุง: 9 ส.ค. 2562 16:28 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000007845901.jpg

    เชียงใหม่ - สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯ จับมืออาร์มี่แลนด์ฯ-บริษัทนำเที่ยว เตรียมเปิดลานคิงคองจัดใหญ่ “ลอยกระทง-ปล่อยโคมเชียงใหม่” คาดมีนักท่องเที่ยวจีนร่วมกว่า 2 หมื่นคน เชิญกินเนสส์บุ๊กบันทึกสถิติด้วย


    562000007845903.jpg

    วันนี้ (9 ส.ค.) พ.อ.สุปกรณ์ เรือนสติ ผู้อำนวยการโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวอ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่, นายนพดล จริภักดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่, น.ส.เถิงเถิง ผู้จัดการบริษัทเที่ยวเที่ยว มีเดียกรุ๊ป จำกัด ร่วมกันแถลงข่าวที่ลานคิงคอง สำนักงานโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวอ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า

    นายนพดลระบุว่า สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯ จะร่วมกับอาร์มี่แลนด์ ดินแดนท่องเที่ยวกองทัพบก (สำนักงานโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวอ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า) และบริษัท เที่ยวเที่ยว มีเดียกรุ๊ป เตรียมจัดงานเทศกาลลอยกระทงนานาชาติแห่งประเทศไทย ปี 2562 ระหว่างวันที่ 11-12 พ.ย.62 ณ ลานคิงคอง สัญลักษณ์การท่องเที่ยวหลักของเชียงใหม่

    เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่และประเทศไทย เผยแพร่ประเพณีที่ดีงาม โดยเฉพาะเทศกาลลอยกระทงให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย


    562000007845902.jpg

    งานเทศกาลลอยกระทงนานาชาติแห่งประเทศไทย 2019 มีจุดเด่น 6 ประการ คือ 1. เป็นสถานที่ที่ผู้นิยมมาเที่ยวมากสุด ซึ่งมีสัญญาลักษณ์คิงคองในจังหวัดเชียงใหม่ 2. มีความทันสมัยมากที่สุด มาสคอตสัญญลักษณ์ใหม่ คือ สวยจริงๆ และหล่อมากๆ เพื่อใช้ในงานนี้โดยเฉพาะ 3. มีความสะดวกมากที่สุด โดยจัดให้มีรถสี่ล้อแดงไว้บริการนักท่องเที่ยว 4. ประทับใจมากสุด เป็นงานเทศกาลลอยกระทงที่แสดงออกถึงวัฒนธรรมล้านนาการปล่อยโคมไฟ และลอยกระทง ซึ่งนักท่องเที่ยวไม่เคยสัมผัสบรรยากาศแบบนี้ที่ไหนมาก่อน

    5. เป็นการแสดงออกถึงประเพณีล้านนามากที่สุด เช่น การแสดงฟ้อนรำ ดนตรีล้านนา ศิลปวัฒนธรรม รวมถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ 6. เป็นการแสดงออกถึงสัญญาลักษณ์ของจังหวัดเชียงใหม่มากที่สุด เช่นการจัดให้มีตลาดโบราณ และร้านอาหารเหนือ ไว้คอยต้อนรับแขกที่ทุกท่าน และคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวจีนมาร่วมงานลอยกระทงและปล่อยโคมลอยพร้อมกันมากกว่า 2 หมื่นคน และในโอกาสนี้ทางผู้จัดงานฯ จะได้เชิญทางเจ้าหน้าที่กินเนสส์บุ๊คบันทึกสถิติปล่อยโคมลอยมากที่สุดในโลกด้วย ซึ่งได้มีการขออนุญาตฝ่ายที่เกี่ยวข้องหมดแล้ว


    562000007845904.jpg








    (ขอบคุณที่มา...ผู้จัดการออนไลน์)
     
  5. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,714
    Tips & Tricks (วรรคทอง)
    หน้า 158 ลำดับที่ #3151

    วันนี้มาฟังอาจารย์นพเฉลยปริศนาเธอคือใคร?
    และปริศนาเพชรนาคาบนฝ่ามือ

    [QUOTE="nopphakan,
    นิทาน เรื่อง เธอคือใคร ?
    เดาเองว่าจะเป็นนางกวัก
    หลังจากที่เล่าให้พระอาจารย์ฟัง
    ว่าใครมาเก็บมะนาวข้างกุฏิอาจารย์
    อธิบายการแต่งตัว บุคคลิก
    แล้วถามอาจารย์ว่าไม่ใช่คนใช่ไหมครับ?
    อาจารย์ยักคิ้วให้ ยิ้มเล็กน้อย
    พร้อมกับพูดว่า อืออออ

    (คือมีคุณป้าอีกท่าน กับหลานที่เป็นเณร
    ก็มาเก็บเหมือนกัน พอดีมี คนที่หาพระอาจารย์อีกคนเห็นเหมือนกัน
    แต่พอคุณป้าท่านนี้เดินมา
    ส่วนตัวพบว่าเป็นคนละ
    คนกับที่ส่วนตัวเห็น เอาแล้วตรู วันนี้มีฮาแน่
    เลยเงียบๆไว้ก่อน
    ไว้รอถามพระอาจารย์ดีกว่า
    เพราะมั่นใจว่า เป็นคนละคนกับที่เห็น
    แน่นอน ไม่ว่า อายุ สีผม การแต่งตัว
    ชักจะมีอะไรสนุกแระ( แต่ยังไม่คิดว่า
    จะไม่ใช่คน )

    แต่ก็ดูจากชุดที่แต่ง เรียบร้อยเกิ๊น
    ใส่ชุดสีน้ำเงิน เป็นคล้ายผ้าถุงดูเรียบ
    เหมือนรีดผ้ามา ยาวถึงตาตุ่ม
    เสื้อพอดีตัว แขนเสื้อเลยศอกหน่อยหนึ่ง
    ผมสีดำมองดูลีบๆแบนๆ
    (คล้ายเวลาเราใส่หมวกนานๆ
    แล้วถอดหมวกออก)
    ไม่ใส่หมวก แต่เหมือนรวบผม
    ไปไว้ด้านหลัง ผิวขาวปกติ ดูผอม
    รูปร่างดูสูงโปร่งแต่เหมือนมีอายุหน่อย
    การยกแขนเรียก คล้ายรูปปั้นนางกวัก
    คือต้นแขนตั้งฉาก ช่วงแขนยกตรง
    ดูมือนางกวัก นะเหมือนกันเลย
    แล้วก็กวักแต่เฉพาะมือเรียก
    แขนจะนิ่งๆ
    (มาสังเกตุภายหลัง)

    พอดีว่า จะเอารถเล็กไปเจิม
    ขับรถมาเห็นเค้ายืนอยู่
    หน้ากุฏิอาจารย์ ด้านข้าง
    แล้วกวักมือเรียก ไอ้เราก็งงๆ
    เอะ เรียกให้เราเอารถไปจอดหรือเปล่า
    อีกใจหนึ่งนึกว่า เค้าเรียกเพื่อนเค้าที่มาด้วย
    แต่ยังไม่เข้าไปเพราะยังไม่ได้เอาขันธ์
    สำหรับเจิม

    ก็ยังไม่แปลกใจ
    เลยจอดรถ ไว้ใกล้ๆ
    ก่อนถึงหน้ากุฎิท่าน
    เลยเดินไปเอาขันธ์สำหรับ
    การเจิมรถ แล้วขับรถเข้าไปจอดหน้ากุฏิท่าน
    ก็ยังพบว่า ก็ยังเห็นเค้ายืนกวักมือเรียก
    ตอนนี้คิดว่า เรียกเราแน่ๆ สงสัยจะให้เอารถมาจอดหน้ากุฏิ
    แต่พอเราลงรถ ดับเครื่องยนต์ เปิดประตู
    มองอีกที เห็น เค้าไปอยู่ข้างกุฏิอาจารย์แล้ว
    เห็นยืนหันหลังให้ แต่บิดตัวมามองเราอยู่

    ไอ้เราก็เอะ ใครวะ? ยืนมองซักพัก
    หน้ากุฏิท่าน รู้จักกันหรือ?
    (คิดในใจ แต่งตัวเรียบร้อย
    อนุรักษ์ความเป็นไทยดีเนาะ
    ป่านว่าจะไปเดินถือป้าย งานกาชาติ
    งานประจำจังหวัด)
    แต่ก็แปลกใจว่า เป็น ญ ทำไมถึงไปอยู่ข้าง
    กุฏิอาจารย์ ทำท่าเหมือนจะเก็บมะนาว

    ซึ่งปกติ ถ้าท่านยังไม่เปิดประตู
    เป็น ญ ด้วย ก็ไม่ควร
    ไปอยู่บริเวณข้างกุฏิท่าน

    และพอดี น้องหมาตัวอ้วนใหญ่
    เดินมาพอดีแล้ว มันก็หยุด ตรงหน้าเรา
    และเห่าเธอพอดี
    ก็เลย คิดว่าไม่มีอะไรมั่ง
    คงเป็นคนปกติ

    ก็เลยมากินข้าวกัน หน้าวัด.
    คุยกับแม่ค้า ว่าใครไปเก็บมะนาว
    ที่ข้างกุฏิท่าน แม่ค้าบอก
    ปกติท่านไม่ให้ใคร ไปแถวนั้น
    (ส่วนกรณีคุณป้าอีกท่าน กับเณร พอดีคุณป้า
    เคยขอ พระอาจารย์ไว้แล้ว)

    แม่ค้าเหมือนไม่เชื่อ
    เราก็บอก เป็นคนนี่หละครับ
    ยืนกวักมือเรียกผมอยู่หน้ากุฏิท่านนี่หละ

    กลายเป็นที่มาของนิทาน
    ว่า “เธอเป็นใคร”

    สุดท้ายก่อนกลับ
    หลังจากที่รู้ว่า ไม่ใช่มนุษย์
    ถามพระอาจารย์ว่า
    ทำไมเค้ากวักมือเรียกครับ

    พระอาจารย์มองหน้า
    พร้อมกับ ฮาาาาา ขำๆ ไปหนึ่งดอก
    (ประมานว่า เจ้า บ่ ฮู้ อีหลี บ้อออออ)

    เอ๊าาา ๕๕๕ ยังไม่ชัวเนาะ ๕๕๕
    เห็นตอน สามโมงเช้าาาาาา ๕๕
    มันคนชัดๆ

    แต่มาเอะใจได้ ๓ ถึง ๔ เรื่อง
    อารมณ์ประมาน ตีเลขเก่ง
    หลังหวยออกไปแล้วนั่นหละ ๕๕๕

    ๑. แต่งชุดไทยเรียบร้อยเกินไปไหม
    สำหรับคนที่จะมาดูดวงกับพระอาจารย์

    ๒.หลังจาก ที่เอาขันธ์สำหรับเจิมรถ
    เป็นคนเรียกเราให้เอารถมาจอด หน้ากุฏิ
    ก็น่าจะหยุดดู หรือแนะนำอย่างอื่นบ้าง
    (ปกติ ลูกศิษย์ท่านจะบอกว่า ทำอะไรบ้าง
    เช่น เปิดประตูรถไว้ , เวลาเจิม ห้ามอยู่
    บริเวณนั้น ฯลฯ )
    ๓.ท่ากวักมือเรียก ที่มองดูแปลกๆ
    นึกออกไหม เวลาเราเรียกคน
    แขนเรามัดจะขนานพื้น แล้วยกทั้งแขน
    ขยับขึ้นลง แต่นี้ยกแขนเหมือนนางกวัก
    ขยับแต่มือ.
    ข้อ ๔ . คือเวลาที่มองเค้า มันเหมือน
    กับว่า คนนี้ทำไมไม่มีแววตา
    (คือเวลาเรามองหน้าเค้า ตรงลูกตาปกติเค้า
    มันจะเหมือนเป็นสีดำ มองไม่เห็นตาขาว)

    ที่พอเดาได้ อาจเพราะพี่ที่เป็น
    ลูกศิษย์ใกล้ชิดพระอาจารย์ ยังไม่มา
    นางก็เลย ทำหน้าที่แทน ๕๕๕
    แต่ก็ยังรักษาระยะห่างกันอยู่
    เอาว่า เต็มที่ ไม่เกิน ๑๐ เมตร

    นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง
    ที่ส่วนตัว ไม่ค่อยอยากเดิน
    สำรวจป่า ตามเส้นทางแหล่ง
    ท่องเที่ยวต่างๆ ที่ได้
    ทำไว้ตามสถานที่ท่องเที่ยงต่างๆ ๕๕๕

    แห๋มๆๆๆๆๆ ถ้าเป็นการแต่งตัวแบบสาวๆ
    แล้วมาเรียกแบบนี้อยู่ในป่า
    ขณะที่
    ยังมีแสงแดดอยู่
    รับรองว่า.......................................
    ........
    .........
    ......
    เดินตามต้อยๆแน่ ๕๕๕
    ไม่สนแระ จะแต่งแบบไหน
    และตรูคง ไม่คิดหละวะ
    ว่าคนหรือผี ๕๕๕๕

    จบแระ นิทาน ณ วัดป่าแห่งหนึ่ง


    ส่วน สีฟ้า บ้างเรียกว่า ฝอยน้ำ
    เพราะกำเนิดจากน้ำที่เป็นฝอย
    แล้วทาง พยานาค เค้าใช้วิชา
    เกี่ยวกับธาตุให้รวมกันเป็นก้อน
    เพื่อใช้สำหรับ วางบนถาดเวลา
    ที่จะไปถวายพระพุทธฯ


    แต่ พระอาจารย์ให้เรียกว่า

    ลูกแก้วพยานาค ครับ

    ส่วนถ้าที่เรียกว่าเพชร พยานาค ที่ได้จาก
    ตบะ การทำสมาธิ จะมีขนาด
    ประมาน ฝ่ามือเด็กน้อย
    ซึ่งเค้าจะหวงมากๆๆๆๆๆครับ

    ส่วนที่เรียกลูกแก้วหรือเพชรพนานาค
    อีกแบบคือ ที่อยู่ในก้อนหินตามภูเขา
    อะไรประมานนี้ครับ

    ที่ได้มา เพราะอานิสงส์
    ไม่ใช่จากตนเอง
    คล้ายๆ ส้มหล่น
    เพราะท่านไม่เคยบอกว่ามี
    และท่านก็ไม่ได้บอกว่าจะให้ในตอนแรก

    แต่คนที่นั่งข้างๆ พูดเป็น ๕๕๕

    พอดีเหลือ กัน ๒ คนสุดท้าย
    ท่านลุกเข้าไปเอาในห้องท่าน
    ออกมาให้ครับ

    นี่หละเรียกว่า ส้มหล่น๕๕

    B355939F-CA10-4F87-8829-1E9A7D43C5CE.jpeg
    ส่วนมือนั้นเป็นฝ่ามือ
    มารของข้าพเจ้าเอง ๕๕

     
  6. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,714
    โกรธเมื่อไร หลีกให้ไกล 10 พฤติกรรมนี้
    โพสต์เมื่อ :

    16-01-1.png


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    แค่รู้สึกโกรธก็บั่นทอนสุขภาพไปตั้งเท่าไร และถ้ายิ่งทำพฤติกรรมต้องห้ามยามโกรธเหล่านี้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งย่ำแย่ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตเลยนะจ๊ะ ถ้าอย่างนั้นมาศึกษาไว้แล้วเลี่ยงให้ไกลเลยดีกว่า

    ความโกรธไม่ได้ทำให้เราอารมณ์เสียอย่างเดียวแล้วล่ะค่ะ เพราะทางเว็บไซต์ Huffington Post เขาได้หยิบงานวิจัยจากสถาบันสุขภาพมากระซิบบอกเราต่อว่า อารมณ์โกรธในตัวบุคคล อาจส่งผลกระทบไปถึงพฤติกรรม ก่อให้เกิดอันตรายได้มากมาย และยิ่งถ้าทำพฤติกรรมต้องห้ามยามโกรธ 10 พฤติกรรมเหล่านี้ด้วยแล้ว อารมณ์ขุ่นมัวก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทบทวีคูณ เผลอ ๆ ก็อาจจะเจ็บตัวถึงขั้นเลือดตกยางออกได้เชียวนะ

    1138528933.gif 1. อย่านอนหลับไปพร้อมความโกรธ

    ก่อนที่เราจะล้มตัวลงนอนหลับ สมองจะประมวลผลอารมณ์และความคิดของเรา ณ ขณะนั้นเอาไว้ในหน่วยความทรงจำ ดังนั้นหากคุณนอนหลับไปพร้อมกับความว้าวุ่นในใจ ความคิดแค้น หรือแม้แต่ความไม่พอใจเล็ก ๆ อารมณ์ในแง่ลบเหล่านี้ก็จะเข้าไปก่อกวนคุณแม้ยามนอนหลับพักผ่อน เปรียบเสมือนตัวกักเก็บอารมณ์โกรธให้ทรงประสิทธิภาพเอาไว้ และในขณะที่ตื่นนอนขึ้นมา ความกรุ่นโกรธก็ยังไม่จางหายไปไหน สร้างความขุ่นมัวต่อเนื่องไปอีกเรื่อย ๆ เลยนะคะ ฉะนั้นก่อนจะล้มตัวลงนอนหลับ ก็ทำใจให้สบาย และปล่อยวางความโกรธเอาไว้ไกล ๆ เลยดีกว่า


    1138528933.gif 2. ห้ามขับรถเด็ดขาด

    อารมณ์โกรธมักจะทำให้เราหุนหันพลันแล่น และอยู่ในสภาะวะเกือบจะขาดสติ ดังนั้นหากคุณขับรถในขณะที่โกรธ โอกาสเกิดอุบัติโดยไม่คาดฝันก็เป็นไปได้สูงเลยทีเดียว ซึ่งก็สอดคล้องกับงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงเปอร์เซ็นต์การเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนของคนขับรถในยามโกรธ ที่พุ่งขึ้นสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ขับขี่ในอารมณ์ปกติ เนื่องมาจากวิสัยทัศน์ของคนที่ตกอยู่ในอารมณ์ฉุนเฉียว มักจะด้อยประสิทธิภาพกว่าคนที่มีสภาวะทางอารมณ์มั่นคง จนหลายครั้งก็มองไม่เห็นคนที่เดินอยู่ข้างถนน หรือความโกรธก็ผลักดันให้คุณตัดสินใจฝ่าไฟแดง เป็นต้น


    1138528933.gif 3. ระบายอารมณ์แรง ๆ แน่ใจหรือว่าหายโกรธแน่

    บางคนโกรธแล้วชอบทำลายข้าวของ ตะโกนเสียงดัง หรือออกอาการฟึดฟัดน่ากลัว ซึ่งจิตแพทย์ก็อธิบายว่า การระบายความโกรธด้วยพฤติกรรมเหล่านี้ อาจจะช่วยลดระดับอารมณ์ของคุณลงมาได้ แต่กลับไม่ได้ช่วยให้คุณรู้สึกโกรธน้อยลงแต่อย่างใด เผลอ ๆ อาจจะเพิ่มความรู้สึกโกรธในตัวเองให้มากขึ้น ส่งผลเสียระยะยาวต่อนิสัยส่วนตัว และลดทอนความรู้สึกดีต่อคนรอบข้างของคุณไปทีละเล็กละน้อย ทั้งยังอาจเปลี่ยนคุณเป็นคนที่มีนิสัยก้าวร้าวในอนาคตอีกต่างหาก

    angrygirl.jpg


    1138528933.gif 4. โกรธแล้วกิน ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก

    สำหรับคนที่ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ไหนก็กินแหลก หรือโกรธ เศร้า เหงาก็กิน ต่อไปนี้ลองเปลี่ยนตัวเองใหม่เพื่อสุขภาพที่ไฉไลขึ้นดีกว่า เพราะถ้าลองสังเกตตัวเองสักนิด เราจะเห็นได้เลยว่า อาหารที่เราเลือกกินตอนที่โกรธ หรืออยู่ในสภาวะอารมณ์ที่ไม่ปกติ จะค่อนไปทางอาหารที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น อาหารหวาน ๆ เน้นแป้ง แคลอรี่สูง เป็นต้น นอกจากนี้เราอาจจะไม่รู้ว่า ในยามที่เราโกรธ ระบบในร่างกายก็จะแปรปรวน ทำงานผิดปกติไปด้วย จนบางทีก็เกิดอาการอาหารไม่ย่อย หรือกินอาหารเข้าไปก็เกิดอาการท้องเสีย หรือท้องผูกขึ้นมาซะอย่างนั้น


    1138528933.gif 5. อย่าต่อปากต่อคำ

    เชื่อว่าหลายคนเคยเสียใจกับคำพูดของตัวเองในยามโกรธมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย ซึ่งแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า ความโกรธทำให้เราขาดสติ และไม่รู้จักกรองคำพูดของตัวเองให้ดีก่อนเอ่ยวาจาออกไป ฉะนั้นหากไม่อยากเสียใจเพระความปากไวอย่างนั้นอีก ก็เลี่ยงการโต้เถียง หรือต่อปากต่อคำในเวลาที่คุณกำลังรู้สึกโกรธไปเลยดีกว่าเนอะ



    1138528933.gif 6. โพสต์เฟซบุ๊กถึงอารมณ์ในแง่ลบ เรียกคืนไม่ได้แล้วนะ

    สังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊กเป็นพื้นที่ส่วนตัวของคุณก็จริง แต่การโพสต์ทุกสิ่งอย่างโดยไม่คำนึงต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง เช่น โพสต์ข้อความที่แสดงถึงความโกรธ หรือโพสต์ระบายความรู้สึกในแง่ลบลงไป อาจลดคุณค่าของคุณได้ง่าย ๆ เช่นกัน เพราะไม่ว่าใครก็คงไม่อยากได้เห็น หรือได้ยินอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจหรอกจริงไหม และแม้ว่าคุณจะกดลบข้อความนั้นทิ้งเมื่อได้สติกลับคืนมา ก็ใช่ว่าจะลบความรู้สึกของเพื่อนที่เห็นโพสต์นี้ลงไปด้วยได้นะคะ

    fas.jpg


    1138528933.gif 7. ส่งอีเมลระบายอารมณ์

    มีคนจำนวนไม่น้อยที่ชอบระบายความอัดอั้นตันใจด้วยการเขียนสิ่งที่คิด และรู้สึกในขณะนั้นส่งต่อไปให้เพื่อนร่วมรับรู้ โดยลืมฉุกคิดไปว่า สิ่งที่ระบายออกไปอาจจะไม่ใช่ข้อความที่สมควรส่งต่อแต่อย่างใด และพอเรียกสติคืนกลับมาได้ ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ทันซะแล้ว ฉะนั้นแทนที่เราจะส่งอีเมลระบายความโกรธ หรือโพสต์เฟซบุ๊กระงับอารมณ์ ก็เปลี่ยนเป็นเขียนไดอารี่เพื่อเรียกสมาธิ และสติอยู่ในโลกของตัวเองดีกว่า จะได้ไม่เป็นภาระต่อใครทั้งสิ้นนะจ๊ะ


    1138528933.gif 8. ดื่มแอลกอฮอล์ย้อมใจ

    ไม่ว่าจะเป็นตอนโกรธ หรืออกหักก็ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ด้วยประการทั้งปวงค่ะ เพราะในสภาวะที่พร้อมจะขาดสติแบบนี้ แอลกอฮอล์จะช่วยผลักดันให้คุณกล้าแสดงความบ้าบิ่นแบบไม่ยั้งคิดมากขึ้นไปอีก ดังนั้นแทนที่จะสงบเงียบ และปล่อยให้ความโกรธเจือจางไป ก็จะกลายเป็นสร้างวีรกรรมความโกรธเอาไว้ให้คนอื่นร่วมรับรู้ หรือบางครั้งอาจจะร้ายแรงถึงขั้นก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน เป็นตราบาปในใจที่คุณไม่อาจลืมได้ในชีวิตนี้เลยทีเดียว


    hearty.jpg


    1138528933.gif 9. อย่าละเลยความดันโลหิต และอัตราการเต้นของหัวใจ

    โดยเฉพาะในรายที่มีประวัติ หรือความเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจมาก่อน ในยามที่โกรธอาจจะต้องฉุกคิดถึงปัญหาสุขภาพในข้อนี้ของตัวเองด้วย เพราะโดยปกติแล้ว อารมณ์โกรธจะเร่งอัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้ความดันโลหิตเราพุ่งสูงขึ้นราว ๆ 2 ชั่วโมง นับตั้งแต่เริ่มรู้สึกโกรธ ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าความโกรธจะผลักดันให้อาการเหล่านี้กำเริบ จนส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยตรง


    1138528933.gif 10. หมกมุ่นอยู่กับความโกรธ

    สำหรับคนที่ยิ่งโกรธก็ยิ่งย้อนไปคิดถึงต้นเหตุที่ทำให้รู้สึกโกรธ หรือความไม่ยุติธรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณ ขอบอกตรงนี้เลยค่ะว่า พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้คุณสงบลง หรือหายโกรธเลยสักนิด แต่ในทางกลับกันมันยิ่งทำให้คุณสะสมความคิดแค้น สร้างความหมกมุ่นกับความรู้สึกในแง่ลบเกินเหตุ จนในที่สุดก็แสดงออกมาทางสีหน้าท่าทาง เปลี่ยนคุณที่สดใสให้กลายเป็นคนที่มัวหมองไปด้วยความโกรธ ดับเสน่ห์และรัศมีในตัวคุณไปอย่างน่าเสียดาย


    ตราบใดที่เรายังต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคม และโลกใบนี้ ก็แน่นอนว่าเราห้ามไม่ได้ที่จะเกิดอารมณ์โกรธขึ้นมาบ้าง แต่อย่างน้อยเราก็มีทางเลือกระบายอารมณ์ และระงับความโกรธไม่ให้พลุ่งพล่านจนยั้งไม่อยู่ได้นี่เนอะ




    ขอขอบคุณที่มา...
    kapookดอทคอม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2019
  7. กาแฟโบราณ2สอ

    กาแฟโบราณ2สอ วันหนึ่งอยากเดินเข้าป่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    782
    ค่าพลัง:
    +2,773
    สวัสดีทุกๆท่าน ที่หายไปนาน
    เนื่องจากว่า ฝึกใจอยู่ค่ะ
    คิดถึงอาจารย์ คิดถึงทุกๆคน
    ปัญหาเข้ามาให้แก้ไขเยอะแยะ มากมาย
    ถึงขั้น ต้องไปบำบัดจิตกันเลยทีเดียว

    ช่วงนี้ ค่อยๆแก้ไขกับปัญหาอยู่
    และไปหาหลวงพ่อ เพื่อซึมซับ คำสอน
    ตอนนี้ จากผี เป็นคน ขึ้นมาแล้ว

    เดี๋ยวจะมาเล่าอะไรสนุกๆ ร่วมถึง ประสบการณ์ฝัน
    และเรื่องเล่าจากหลวงพ่อนะคะ

    คิดถึงอาจารย์9
     
  8. กาแฟโบราณ2สอ

    กาแฟโบราณ2สอ วันหนึ่งอยากเดินเข้าป่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    782
    ค่าพลัง:
    +2,773
    ภาพ เรียบร้อยแล้วนะคะอาจารย์
    สงสัย ท่านอยากให้ออกมารูปแบบนี้
    เจนแก้ไข และลบ อยู่หลายครั้ง
    เกือบสติแตก ฉีกทิ้งไป
    แต่ก็หยุด แบบว่า เหมือนมีอะไรให้ใจเย็นลง
    เลยเลือกไม่วาดต่อไปช่วงหนึ่ง
    พึ่งจะ วาดเสร็จสิ้น เรียบร้อย ดี
    เหมือนว่า ถึงเวลาเหมาะแล้ว
     
  9. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,220
    ค่าพลัง:
    +10,114
    สู้ๆๆนะ
     
  10. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,714

    เห็นใจและเป็นห่วงคร๊าบ

    คงหลบไปฝึกสมาธิกรรมฐานที่ใดที่หนึ่ง
    "ปัญหามีให้เราแก้"
    เพราะเบื้องบนให้เราเกิดเป็นมนุษย์แล้ว
    "ขอให้อดทนสู้ต่อไปนะคร๊าบ"


    *****************************************

    เกิดเป็นมนุษย์ สุดแสนจะยาก

    พระท่านสอนไว้ว่า “กิจฺโฉ มนุสฺสปฺปฏิลาโภ” การเกิดเป็นมนุษย์แสนจะยาก

    ลำบากเหลือเกินที่จะเกิดมาโสภาภาคย์ มีหน้าตาดียิ่งหายากที่สุด ท่านต้องมีญาณมา มีปัญญามา มีวิชชามา มีความรู้ของมนุษย์ คือมีคุณสมบัติของมนุษย์ครบ คือคุณธรรม มีศีล ๕ ครบ จึงจะเกิดเป็นมนุษย์ที่โสภาได้

    บางคนมีศีลมาไม่ครบ มีคุณสมบัติไม่ครบ เกิดมาขี้ริ้วขี้เหร่ บางคนเกิดมาง่อยเปลี้ยเสียขา บางคนตาบอดหูหนวก บางคนแถมยังปัญญาอ่อนอีก บางคนแก่ชราเป็นอัมพาต

    บางคนมีทานดีมาแต่ชาติก่อน ก็มาเกิดเป็นลูกมหาเศรษฐีมั่งมีศรีสุข แต่เมื่อชาติก่อนเขาได้ทำการเบียดเบียนสัตว์มา ชาตินี้จึงสามวันดีสี่วันไข้ เข้าโรงพยาบาลไม่พัก มีเงินก็ช่วยไม่ได้

    บางคนไม่ได้สร้างเหตุแห่งปัญญามา ถึงเกิดเป็นลูกเศรษฐี เงินก็ช่วยซื้อวิชาไม่ได้ เงินก็ช่วยให้ลูกเรียนเป็นดอกเตอร์ไม่ได้ เพราะเหตุใด เพราะทำบุญมาไม่ครบ บางคนบ้านใหญ่โตราวกับวัง แต่กินข้าวกับน้ำตาไม่เว้นแต่ละวัน

    อันตราย = ผลของกรรม

    ปัจจุบัน บางคนเริ่มสงสัยในเรื่องกฎแห่งกรรม บางคนก็ไม่ยอมเชื่อเรื่องนี้ถึงกับมีคนเขียนเป็นคำกลอนว่า “คนทำดีได้ดีมีที่ไหน คนทำชั่วได้ดีมีถมไป”

    ในเรื่องกฎแห่งกรรม ได้กล่าวถึงอันตรายที่เกิดแก่สัตว์โลก ๕ อย่างคือ

    ๑. กิเลสันตราย อันตรายที่เกิดจากกิเลส เช่น มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ตายตามถนนหนทางมีมากมาย ตายอย่างน่าเสียดาย

    ๒. กัมมันตราย อันตรายที่เกิดจากความชั่วที่ทำไว้ในปัจจุบัน คือ เกิดอันตรายในปัจจุบันไม่ต้องไปเอาในชาติหน้า เห็นทันตาเลยกลางถนนหนทางนี้

    ๓. วิปากันตราย อันตรายที่เกิดจากวิบาก คือ ผลของกรรมที่ทำในอดีตออกมาประสบในขณะนี้ในปัจจุบันนี้เอง

    ๔. ทิฏฐิอันตราย อันตรายที่เกิดจากทิฐิที่ผิด คือคิดผิด คิดไม่ถูกต้อง ทำอะไรไม่มีตามคลองธรรม เป็นมิจฉาชีพ ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิแต่ประการใด เกิดอันตรายในปัจจุบัน

    ๕. อริยูปวาทันตราย อันตรายที่เกิดจากการจ้วงจาบผู้มีบุญคุณ ผู้ทรงศีล ทรงธรรม พระอริยเจ้า เช่น กล่าวจ้วงจาบพระสงฆ์องค์เจ้า หรือครูบาอาจารย์ที่สอนหนังสือ เป็นอันตรายในปัจจุบันนี้ จ้วงจาบกับคุณพ่อคุณแม่เป็นอันตรายในปัจจุบันนี้แน่นอน


    ที่มา : เครดิต : หนังสือเรื่อง กฎแห่งกรรมและวิธีใช้หนี้พ่อแม่
    พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ จิตธมฺโม) www.พุทธะ.com
     
  11. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,714

    ในที่สุดก็มีลายเส้นภาพพญานาคออกมา
    อยากให้นำมาโชว์ที่นี่
    (และรูปอื่นๆด้วยที่เคยวาดเก็บไว้)
    เผื่อมีท่านใดสนใจ...รวมทั้งภาพอื่นๆต่อไป
    ...ถือเป็นการ Startup
    เป็นวิธีกระตุ้นจิตวิญญาณด้านที่เจนชอบ
    ให้ออกมาเป็นงานที่เป็นรูปธรรม

    ตรงตามที่เจนพูดออกมาข้างบนว่า
    "....พึ่งจะวาดเสร็จสิ้น เรียบร้อย ดี
    เหมือนว่า ถึงเวลาเหมาะแล้ว"




    "ขอให้เข้มแข็ง "
     
  12. กาแฟโบราณ2สอ

    กาแฟโบราณ2สอ วันหนึ่งอยากเดินเข้าป่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    782
    ค่าพลัง:
    +2,773
    พึ่งได้ภาพแรก ตามที่หวัง คือภาพที่จะส่งให้อาจารย์ค่ะ
    และ จะวาดภาพ ท่านแม่ผู้หนึ่ง
    เป็นเงาที่เจนเห็น ในภาพที่เคยถ่ายตอนไปคำชะโนด

    ไม่อยากยึดลายเส้นแบบผู้อื่น
    อาจจะวาดออกมาได้ไม่สวยเท่าของใคร
    แต่จะฝึกวาดตามจิตนิมิต ให้ออกมาสวยที่สุด
     
  13. กาแฟโบราณ2สอ

    กาแฟโบราณ2สอ วันหนึ่งอยากเดินเข้าป่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    782
    ค่าพลัง:
    +2,773
    BF19519D-8F18-43DB-8B6E-93A280003633.jpeg 20F5C7E0-67C7-49FD-A823-6D53D8F807F4.jpeg
     
  14. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,714

    ขอบคุณครับเจน...ภาพวาดข้างบน
    ลายเส้นเป็นตัวของตัวเอง...
    ...ว่างๆก็ขีดๆวาดๆตามจินตนาการ
    โดยวางสคริปไว้จะวาดอะไรเป็นหลัก
    และมีองค์ประกอบ(ตัวละคร)อะไร
    ...ดีกว่าปล่อยสมองคิดโน่นคิดนี่

    แล้วนำรูปใส่กรอบวางโชว์ไว้ที่ร้าน
    แปะคำว่า "ขาย" "Sale"
    เผื่อมีลูกค้าสนใจ

    *******************************

    ไว้จะสั่งกาแฟเย็น(โอเลี้ยง)สัก 50 แก้ว
    ...วันไหนว่างจะจ่ายเงินไปก่อนนะคร๊าบ
    เผื่อผ่านไปวันไหน...จะแวะไปกิน
    ...ยังไม่ได้กำหนดเวลา
    ไว้ไปแล้วรู้เอง...หรืออาจไม่รู้ 555
    ...รอหน่อยจร้า

    1397644097-photo-o.jpg


    โอเลี้ยง - คือกาแฟดำ แบบเย็นใส่น้ำตาล ใส่น้ำแข็ง
    โอยัวะ - คือ กาแฟดำ แบบร้อน ไม่ใส่นม ไม่ใส่น้ำตาล
    โกปี๊ - คือ กาแฟร้อนใส่นม ที่คนจีนเค้าเรียกกัน
    โกปี๊ออ - คือ กาแฟร้อนไม่ใส่นม ก็คือ กาแฟดำ
    โอเลี้ยงยกล้อ คือกาแฟร้อน+น้ำตาล+น้ำแข็ง+ราดด้วยนมสด

    555....สารพัดชื่อ...งงไหม?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2019
  15. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,714
    โกรธ แล้วได้อะไร
    บทความชวนคิด จาก พระราชญาณกวี (ท่านปิยโสภณ)

    มีคนไม่น้อยตั้งคำถามว่า จะละความโกรธได้อย่างไรรู้สึกผิดทุกครั้งที่โกรธออกไป ชอบมีคนทำให้โกรธ ระงับความโกรธไม่ได้ โกรธง่ายหายช้า ชอบโกรธและผูกโกรธ บางคนถึงขนาดบอกว่า ตนเองชอบขับเคลื่อนชีวิตด้วยความโกรธ

    ความโกรธเป็นการแสดงออกที่หยาบที่สุดของกิเลสมนุษย์บางคนคิดว่านั่นคือการแสดงพลังอำนาจ แต่ความจริงเขาหารู้ไม่ว่า ความโกรธเป็นไฟเผาลนใจเราให้เสียพลังอำนาจ ทำให้ระบบการทำงานของหัวใจและเลือดในร่างกายผิดปกติ

    ข้าพเจ้าเคยทดสอบการตรวจวัดหัวใจและเลือดของคนคนเดียวกันขณะที่นิ่งสงบเปรียบเทียบกับเวลาโกรธ เห็นได้ชัดว่า การเต้นของหัวใจ การบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ ความดัน และความสะอาดของเม็ดเลือดต่างกันอย่างสิ้นเชิง เราจึงเห็นคนโกรธจัดบางคนถึงกับเป็นลมแน่นิ่งไป

    ความโกรธมีแต่ให้โทษ ไม่เคยให้คุณแก่ใคร ความโกรธเผาใจเราก่อน จึงลามออกมาเผาผลาญคนอื่น ใครชอบโกรธโกรธง่าย มีอะไรนิดหน่อยไม่ถูกใจก็โกรธทันที ไม่ยับยั้งตั้งสติอดทนไม่ได้ เท่ากับคนคนนั้นกำลังนอนอยู่ในกองเพลิง คิดดูเวลาเกิดเพลิงไหม้ลุกโพลง ใครอยู่ในกองเพลิงก็ต้องถูกเผาให้ตายสถานเดียว ต้องรีบออกมาจากกองเพลิงให้ได้โดยเร็ว

    ความโกรธก็เช่นกัน เมื่อรู้ตัวต้องรีบออกจากกองเพลิงคือความโกรธนั้นโดยเร็ว เพราะจะทำให้เราตายจากมิตรสหาย ตายจากความเชื่อถือของคน ตายจากสถานะที่ควรจะได้รับ เช่น การเป็นผู้นำ ถ้าเราขับเคลื่อนชีวิตด้วยความโกรธ เราจะไม่ได้ยินคำเตือนจากคนดี จะพบแต่คนประจบสอพลอ เอาใจเรา ตามใจเราคนพวกนี้เป็นมิตรปอกลอก กลิ้งกลอกไปวัน ๆ

    คนมักโกรธ ยากจะหามิตรแท้ในชีวิต เขาจะคบเฉพาะคนที่ลงให้เขา ยอมเขา ยกเขาให้เป็นที่หนึ่งเท่านั้น ไม่ขัดใจเขาไม่ว่าถูกหรือผิดกับคำถามที่ว่า “โกรธแล้วได้อะไร” ตอบว่า “โกรธแล้วได้ความเสื่อม ความมืดบอดทางสติปัญญาไร้มิตรภาพและความจริงใจ สุขภาพเสื่อมโทรม เกิดโรคร้ายตามมา

    ที่สำคัญ "โกรธทุกครั้ง เสียใจทุกคราว”
     
  16. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,220
    ค่าพลัง:
    +10,114
    ปิดทองหลวงปู่ทวดครับ ปิดเอง เพื่อจะไปบรรจุในพระศรีอาริยเมยตรัยที่กำลังสร้าง 20190815_002144.jpg
     
  17. กาแฟโบราณ2สอ

    กาแฟโบราณ2สอ วันหนึ่งอยากเดินเข้าป่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    782
    ค่าพลัง:
    +2,773
    รับทราบค่าอาจารย์
    จะค่อยๆ ใช้เวลาว่าง ฝึกตัวเอง ไปเรื่อยๆ
     
  18. maxmi

    maxmi แม็กคับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2017
    โพสต์:
    478
    ค่าพลัง:
    +1,205
    งวดนี้จะซื้อตัวไหนดีแกลบมากๆช่วงนี้
     
  19. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,714

    โมทนา สาธุ

    ช่วยเล่ารายละเอียดให้ฟังสิคร๊าบ
     
  20. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,714
    Tips&Tricks (วรรคทอง)
    หน้า 159 ลำดับที่ #3166

    วันนี้มาฟังอาจารย์นพคุยเรื่องปัญหาระดับจักรวาล
    ในการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน
    "สมาธิเราไม่ได้วัดกันที่ เคยเข้าได้ เคยทำได้
    เราจะดูกันตรง ความสามารถทำได้ ณ เวลาปัจจุบัน
    ในลักษณะที่เป็นธรรมชาติ"

    บอกได้เพียงสั้นๆว่า "สุดยอด"


    [QUOTE="nopphakan, post: 10914441]
    สำหรับวิชานี้ ส่วนตัวพอง้องๆแง๋งๆ
    และความสามารถ ระดับหางอึ่งอ่างนะครับ
    และก็บอกไว้ก่อนว่า พอมีสัมพันธ์กับท่านเจ้าของวิชา
    แต่ไม่ใช่วิชาพิเศษนี้นะครับ..
    ๑๐ ปีก่อน เคยถูกพระเกจิท่านหนึ่ง
    ชวนให้ไปอยู่วัด ด้วยการคุมงานก่อสร้างที่วัด
    มีเงินเดือนให้ และท่านจะสอนวิชานี้ให้..
    แต่ยังรู้สึกว่า แปลกๆ เลยบอกปฏิเสธไป
    แต่ที่รู้แบบงูๆปลาๆนี้
    ก็ฝอยเป็นน้ำท่วมทุ่งได้บ้าง....

    บอกไว้ก่อนนะครับ พระราชฯ นั้น
    ท่านมีคอนเน๊กติง กับระดับ
    พระอัครสาวกระดับขวาของ
    พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ณ ครับ
    เรียกว่า ถ้าย้อนสืบเชื้อต้นตระกูล
    จะพบได้เลย ประหนึ่งเป็นญาติกันมาก่อน.....

    เอตทัคคะ ด้านวิชาพิเศษนี้ คือ
    พระจูฬปันถก.....เก่งที่สุดในสามโลก
    ชื่อนี้ ควรต้องที่จะรู้จัก....

    แต่ก่อนจะคุยวิชาพิเศษนี้......
    ควรแยกความเข้าใจจากบทสนทนา
    ที่เคยได้ยิน ได้อ่านมาให้ดีๆ
    '' เรียกว่า ความเข้าใจเบื้องต้น ''
    ระหว่าง.....
    ๑.บทความพระฯที่สอนฆราวาส
    แล้วฆราวาสอ่านมาปฏิบัติ และความ
    สามารถทำได้จริงของฆราวาส
    และความเข้าใจตนเองของฆราวาส

    ๒.พระฯสนทนา กับ ฆราวาส เกี่ยวกับวิชานี้

    ๓.ฆราวาส คุย กับฆราวาส ด้วยกันเองเกี่ยวกับวิชานี้.....

    ควรแยกให้ๆดี กับคำว่า
    ''กำลังพื้นฐานเบื้องต้น..... ''
    ของการเริ่มต้นฝึกหรือใช้งาน....


    ทั่วไปจะมี ๒ ระดับ คือ
    ๑. ระดับโปรซีรีย์ทั้งหลาย ซึ่งนับคนได้
    ส่วนมากจะเป็น พระสงฆ์ พระเกจิ ต่างๆ
    ซึ่งกำลังพื้นฐานเริ่มต้น ระดับกำลังสมาธิระดับ ฌาน ๔
    (ระดับกำลังที่เข้าไปถึง เข้าไปพัก เพื่อเริ่มต้น
    รวมทั้งกำลังสมาธิใช้งานได้ในชีวิตประจำวันปกติ
    ก็มีพื้นฐานใช้งานได้จริง เฉียดๆระดับกำลังระดับฌาน ๔)
    กลุ่มนี้ ประกอบด้วยพื้นฐานสมาธิที่ดี
    มีกำลังจิตเป็นปกติย้ำว่ามีกำลังจิต
    พูดง่ายๆว่า ภูมิต้านทานสิ่งไม่ดีภายนอกมีเป็นปกติ
    ใช้งานในทางที่เป็นประโยชน์
    สาธารณะ กลุ่มเหล่านี้ ความสามารถหลักๆก็คือ
    เรื่องเจโตฯ กับ เรื่องสายตาที่ดีกว่าปกติทั่วไป
    และเรื่องการสื่อสารทางด้านนามธรรมต่างๆ.....
    การไปในระดับนี้ จะเป็นการอุปโลกน์ กายอีกกายขึ้นมา
    เรียกง่ายๆว่า กายทิพย์ เป็นกายนามธรรมอีกกาย
    ที่ค่อยๆออกจาก ร่างกายปกติ ออกไปอยู่ในมิติที่ ๕
    หรือในระบบภพภูมิ แบบมีส่วนร่วมในเหตุการณ์นั้นๆ
    เหมือนเราไปเดินตลาด มองเห็นทุกคน ทุกคนก็เห็นเรา
    พูดคุยกันได้ ประมาณนี้.
    ย้ำว่า ระดับนี้ นับคนได้......
    และเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง
    ก็คือ จะมีความเฉลียดในการอฐิษฐานจิตเป็นทุน.....
    ถึงจะพอเรียกว่า มีแวว...

    และ ๒. ระดับทั่วไป
    คือ ระดับกำลังพื้นฐานระดับอุปจารสมาธิ
    พบเห็นได้ทั่วไป เหมือนเราไปเดินตลาดเปิดท้าย.....
    ระดับนี้ เห็นได้ ไปได้ แต่ไม่มีส่วนร่วมในเหตุนั้นๆ..
    สามารถดูและเห็นได้ เช่นกัน.....
    เราจะเจอคำสอน ในกลุ่มนี้ ประมาณว่า
    อารมณ์สูงไปหรือต่ำไป จะมองไม่เห็นนั่นหละครับ......

    แต่ว่า ปัญหาระดับจักรวาล มันก็คือ......
    ความเข้าใจคลาดเคลื่อน.....
    ในเรื่อง '' ความเข้าใจเบื้องต้น ''
    (ย้อนไปอ่าน ข้อ ๑ ถึง ๓ ข้างบนดู)

    โดยเฉพาะในระดับ '' กำลังพื้นฐานเบื้องต้น ''

    มักจะมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน ในเรื่องนี้
    ด้วยไม่ว่า จะความเข้าไม่ถึงจริงๆ หรือความ
    เข้าใจตนเองคลาดเคลื่อนอะไรก็ตาม.......

    ที่เริ่มต้น ด้วยกำลังระดับอุปจารสมาธิ....
    แต่เข้าใจว่า ตนเองเริ่มต้นด้วยกำลังระดับฌาน ๔
    หรือไปในระดับฌาน ๔ นั่นเอง.........


    ทั้งๆที่ ณ เวลาใช้ปกติ ไม่มีกำลังจิตใช้งานอะไรได้.....
    ความรู้ความเข้าใจทางด้านนามธรรมไม่ดีพอ....
    ความเข้าใจ ในเรื่องการปฏิบัติของระดับสมาธิไม่ดี......
    และที่จะเป็นกันส่วนมาก คือ มักจะทำตามตรงข้าม
    กับปฏิทา ของท่านพระราชฯ ท่านผู้ที่นำมาถ่ายทอด
    เรียกว่า อะไรที่ท่านเคยห้าม ถึงแม้ปากจะบอกศรัทธาท่าน
    เคารพท่าน เป็นบิดาท่านหนึ่ง แต่ก็ยังทำตรงกันข้าม
    ปฏิปทาของท่าน.........

    *****ท่านบอกว่า ไปรู้ไปเห็นแล้ว ให้มาวิปัสสนา
    ตัดร่างกายต่อ เพื่อจะได้ ไม่ยึดตัวตน ลดอัตตาตัวตน
    แต่ก็ เอามาคุยกัน สนทนากัน ว่าไปโน้นนี่นั้นมา
    อวดกัน ว่าตนไปได้ เห็นได้ ทำอย่างไรจะเห็นชัดขึ้น
    ทำอย่างไรจะไปได้อีก...
    *****ท่านบอกว่า ห้ามไปเป็นหมอดู
    แต่ก็มา รับดูดวง แก้กรรม ทำนายทายทักใชว์มุข
    ว่าคนคนนี้ มีเทพโน้นเทพนี้ มีโน้นมีนั่นติดตาม
    *****ท่านบอกว่า รู้อดีต รู้อนาคต รู้วาระที่มาของ
    คนของสัตว์ได้ แต่อย่าไปสน รู้ของตัวเองได้
    แต่อย่าไปยึด. แต่ก็เที่ยวไปรู้อดีตโน้นนี่นั้น
    แล้วก็คุยฟุ้ง. และพอรู้ของตัวเองแล้วก็ยึด
    และยึดจนกลายเป็นตัวตน เสมือนปัจจุบัน
    ตนเองเป็นอดีตที่เคยผ่านมา และยึดแต่
    อดีตที่ เท่ห์ๆ หล่อๆ ดีๆ แล้วเอามาตั้งชื่อปัจจุบัน
    เอามาเป็นตัวตน. พอตอนที่เป็น กบ เป็นเขียด
    เป็นมด เป็นแมลงสาบ ไม่เอามาพูดให้ใครฟัง.....
    ทั้งๆที่ พุทธศาสนา ก็สอนให้อยู่กับ ปัจจุบัน
    อย่าพูดถึงอดีตที่ผ่านมาแล้วด้วยความอาลัย
    อย่าไปพูดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง....


    ***** พอรู้แล้วเห็นแล้ว เชื่อว่า ภพภูมิมีจริง
    บาปบุญมีจริง มันก็มีอีกพวก ที่ถนัดในการ
    ใช้มุขอดีตชาติ ว่าน้องเคยเป็นอะไรกับพี่มาก่อนนะจะ
    เราเคยเป็นคู่กันมาก่อน เธอเคยเป็นของพี่มาก่อน
    หนูเคยเป็นของป๋ามาก่อน สุดท้าย ก็จบลง
    ด้วยวิชา ปั่นท้ายม้าคะนองฤทธิ์. ผิดลูกผิดเมีย
    วุ่นวายทางโลก ทางสังคม ไปร้อยแปดพันเก้า....

    ***** ท่านบอกว่า พิสูจน์ภพภูมิ บาปบุญได้แล้ว
    ก็เร่งปฏิบัติ เพื่อความไม่ประมาท แต่ก็จะมี
    ที่เอาไปคุย ไปบรรยายว่า ตนเคยทำได้ เคยได้มาได้
    ในกำลังระดับฌาน ๔ แต่พอให้แนะ ให้สอนกรรมฐาน
    กลับอยู่ภายใต้ความคิด อยู่ในอาการหลงตัวเอง
    คิดว่า ตนเองปั่นภาพได้ เล่นภาพได้ ในเวลาปกติ
    เป็นกำลังระดับฌาน ๔ แล้วก็ยึดว่า ตนเก่งเหนือกว่าใคร
    ทางด้านสมาธิ. เวลาเดินประหนึ่งตนเป็นเทพบุตร
    เป็นเทพธิดา ลงมาเกิด แต่พอให้แสดงความสามารถ
    ใช้งาน เพื่อช่วยคน ที่ถูกกระทำ จากแนวสมาธิอื่นๆ
    ที่ไม่ใช่พุทธฯ เงียบกริ๊บ ทำไม่ได้.....

    ***** เต็มไปกลุ่มขี้อ้างยกตนเช่น พอสอน นาย ก
    แต่นาย ก ไม่เห็นเหมือนตน ไม่รู้เหมือนตน จะบอกว่า
    นาย ก บารมีน้อย ไปสะสมมาใหม่
    จะมีแต่พวกที่มากบารมี จะเห็นจะรู้เหมือนตน
    ทั้งๆที่ ตนเองนั่นหละ ที่ดูจริตคนไม่ออก
    ไม่เข้าใจอะไรจริงๆ และมีอัตตาตัวสูง......

    สมาธิเราไม่ได้วัดกันที่ เคยเข้าได้ เคยทำได้
    เราจะดูกันตรง ความสามารถทำได้ ณ เวลาปัจจุบัน
    ในลักษณะที่เป็นธรรมชาติ


    การจะไปถึงระดับ กำลังพื้นฐาน ใช้งานได้
    เหมือนท่านเจ้าของวิชา.....ในทางปฏิบัติ
    นั่นหมายว่า. บุคคลนั้น สามารถทำได้ภายใน
    ลมหายใจเข้า-ออกเพียงแค่ครั้งเดียว....
    ถึงได้บอกว่า นับคนได้ ส่วนมากที่เห็นจะเป็นพระสงฆ์


    ดังนั้น บุคคลที่จะทำอย่างนี้ได้
    ไม่ต้องไปถามอะไรมากในเรื่องสมาธิ....

    อีกอย่างก็ต้องมาดูที่ วิปัสสนาของแต่ละท่านร่วมด้วย
    ซึ่งจะทำให้วิชานี้ เป็นแบบสัมมาทิฐิ คือไม่มีเสื่อม
    และมีพัฒนาการขึ้นเรื่อยๆ ตามแต่ระดับการยึดเกาะ
    สิ่งต่างๆภายนอกจนมาเป็นกิเลสในใจตน
    ซึ่งเป็นผลมาจากเรื่อง ของวิปัสสนา การเดินปัญญานั่นเอง.....

    สังเกตุดู คำพูด ท่านพระราชฯ. จะแนะเทคนิคการนำไปใช้
    ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ ในการอยู่ร่วมกับสังคมได้
    และมักจะพูดเสมอว่า ถ้ายังใช้ประโยชน์ที่เป็นสาธารณะ
    ก็หมายความว่า ท่านยังอยู่กับผู้นั้น......

    ไม่ใช่เอะอะ เอาท่านไปอ้างยกตน ข่มคนอื่นๆ
    ทำในสิ่งที่ไม่ใช่ปฏิปทา ที่ท่านได้เคยห้ามไว้ต่างๆนาๆ
    เอาไปเปิดสำนึกดูดวง ยังเอาท่านมาอ้างอีก
    อวดตัวยกตน คิดว่า ตนรู้ พอมีความเห็นต่าง
    ก็เอาท่านมาข่ม เอาท่านมาอ้าง กล่าวหาความเห็นต่างๆ
    และชอบใช้ มุข บาปบุญ มาขู่มาอ้าง เมื่อเกิดความเห็นต่าง
    ด้วยเพราะยึดในสิ่งที่ตนรู้เห็น แล้วคิดว่า
    เป็นที่สุดในการรู้นั่นเอง....

    สายวิชาพิเศษนี้ ฝึกได้ เรียนรู้ได้
    แต่ต้องอยู่ให้เป็น เพราะ ๙๐ %
    จะนอกแนว เพราะมักจะทำตรงข้าม
    กับปฏิปทาของท่านนั่นเอง......

    เพี้ยน วิกลจริต เฝื่อ(การรู้เห็นอยู่ภายใต้ความคิดตน)
    ไร้กำลังจิต ขาดความชำนาญทางด้านสมาธิ

    เอาว่า นิทานเรื่องนี้ มันลึกลับ ซับซ้อนซ่อนเงื่อน
    ตัวท่านที่ นำวิชานี้ มาถ่ายทอดที่เป็น
    พระฯมีชื่อนั้น ไม่ต้องเป็นห่วงท่านครับ

    แต่ปัญหา ไม่ใช่วิชาพิเศษนี้
    แต่มันเกิดจาก ความไม่เข้าใจ
    ของพวกที่สืบๆมา แล้วยึดท่านเป็นที่สุด
    ที่ชอบเอาท่านมาอ้างในทาง
    ที่ทำให้ท่านเสื่อมเสียนั่นหละครับ.....

    ส่วนตัวเรียกพวก นี้ว่า ''พวกนอกคอก ''
    ถ้าเราได้เล่าประสบการณ์ ให้ฟัง
    ที่เคยมี กับกลุ่มเหล่านี้มา....
    จะพบว่า โห...เป็นไปได้หรือ
    มีนิสัยแบบนี้ด้วยหรือ....

    เช่น ซักปี ๕๒ มีชายท่านหนึ่ง เป็นระดับอาจารย์
    ยกกายมาหา แต่ตอนนั้นไม่สนใจ
    และมี ญ ท่านหนึ่งตั้งต้นเป็นอาจารย์
    เที่ยวสอนคนอื่นๆ ทักมา บอกว่า มาๆลองเล่นกันดู
    คือ ให้ทายว่า ใส่เสื้อสีอะไร แต่งตัวอย่างไร...
    ส่วนตัวบอกว่า เห้ย ! มันใช่หรือ ไม่เล่นได้ไหม
    เพราะไม่รู้เรื่อง และไม่ค่อยชอบ และเพราะปกติ
    ปกติเห็นเค้าจะใช้ ฝึกทายว่า วันนี้เดินออกจากบ้าน
    จะเจอ ญ หรือ ช ก่อน แต่งตัวอย่างไร...แต่ท่านนี้
    กะว่า จะโชว์ ปัญหาคือ ตอนนั้น มันไม่ได้เห็นแต่
    เสื้อนั่นหละครับ มันดันไปบอกรายละเอียดภายใน
    พอพูดไปหละ เลิกคุยกับข้าพเจ้าเลย
    หาว่า ข้าพเจ้าเป็นคนอย่างโน้นอย่างนี้....
    ก็ตรูบอกไปแล้ว ว่าไม่อยากเล่นแบบนี้....

    ยังมีอีกนะ ระดับที่เป็นอาจารย์ ขี้เกียจคุย....

    แต่ระดับที่เก่งจริงๆ มีแน่ อย่างที่บอก
    แต่ไม่ใช่ฆราวาส....

    ดังนั้น เวลาจะคุย วิชาพิเศษนี้
    ต้องดูว่า ผู้สนทนาเป็นใคร
    ความเข้าใจเบื้องต้น
    ความสามารถในการใช้งานได้จริงแบบไหน
    เป็นสากลหรือไม่ เราสามารถสังเกตุ
    จากสิ่งต่างๆที่ท่านทำได้
    เราก็พอ ประมาณได้ว่า
    ท่านมาตามปฏิปทา มีความสามารถ
    อยู่ในระดับไหนได้เอง........

    ผลของสมาธิจากวิชาพิเศษหรือกรรมฐานพิเศษ
    กองไหน อะไรก็ตาม ที่ ยังรู้เองเห็นเองเฉพาะตน
    แต่ไม่สามารถพิสูจน์ให้คนอื่นๆรับรู้ได้เหมือนตนเอง....
    ให้เราเงียบๆไว้ ฮาๆไว้ก่อน เป็นกลางๆไว้ก่อน
    เราจะสามารถอยู่ร่วมได้กับทุกสังคมอย่างแยบยลได้เอง....


    รู้ได้ เห็นได้ ทำได้ เรื่องตลก แต่อย่าไปสน รู้เรื่องของเราพอ
    ไม่รู้ ไม่เห็น ทำได้ ก็ช่างมัน ฮาไว้ก่อนและอย่าไปยึด

    บางเรื่องไม่จำเป็นต้องบอกให้ใครรู้หรอก
    บางเรื่องที่เลี่ยงได้ ก็ควรเลี่ยงซะ.........

    อนาคต มันถึงจะเป็นผลของสมาธิ
    ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ของตัวจิตเราได้เอง......

    จบ การโม้ระดับจักรวาล...ให้มุมมองเพื่อ
    เพิ่มการสังเกตุ พอขำๆ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...