โควิด-19 ระวังมันจะกลายพันธ์ ทั่วประเทศ พากันสอบตกแถมทุกอย่าง

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย supako, 22 มีนาคม 2020.

  1. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    ขนาด พรก.ฉุกเฉินยังพากันสอบตกอีกทีนี้เคอร์ฟิวส์ละนะ
    #สนทนาประสาจิตจักรวาล

    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

    สถานการณ์แพร่ระบาดของโรค "โควิด-19"
    ซึ่งเป็นกิจกรรมการฝึกอบรมปฏิบัติการจริง
    ที่มากด้วยบทเรียนและบททดสอบ
    ในกระบวนการไซโคโชว์ของ "ปริญญา"
    ตั้งแต่ธันวาคม 2019 ถึงสิ้นมีนาคม 2020
    ซึ่งปฏิบัติพร้อมกันทุกประเทศในห้องเรียนโลก
    กำลังยกระดับความเข้มข้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแล้ว

    โดยมีหัวหน้ากลุ่มใหญ่ในบางประเทศ
    ก็เริ่มใช้พระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน
    ซึ่งเป็นยาแรงเพื่อควบคุมประพฤติของ ปชช.
    ตามมาตรการ Social Distancing
    เพื่อหยุดการระบาดภายในประเทศให้ได้

    ไปจนถึงการประกาศ Lockdown
    คนในประเทศห้ามออกคนนอกประเทศห้ามเข้า
    เพื่อป้องกันการนำเข้าเชื้อโรคจากนอกประเทศ
    และป้องกันการนำออกเชื้อโรคจากในประเทศ

    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

    การที่ผู้นำประเทศไทย
    ประกาศเคอร์ฟิวห้าม ปชช.ออกจากบ้าน
    ระหว่างเวลา 4 ทุ่ม จนถึง ตี 4 นั้น
    หากมองเผินๆก็จะแลเห็นได้ว่า
    การร้องขอความร่วมมือจากประชาชน
    ให้ "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" นั้น
    มันล้มเหลว มันไม่ได้ผล
    ยังมี ปชช.อีกหลายคนไม่ให้ความร่วมมือ

    ตัวชี้วัดว่า ปชช.ไม่ให้ความร่วมมือก็คือ
    ตัวเลขสถิติของคนป่วยติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวัน
    และมีการขยายพื้นที่การแพร่ระบาดกว้างขึ้น
    โดยผลร้ายที่ตามมาก็คือมีคนตายเพิ่มขึ้นด้วย

    เพราะเหตุนี้เอง
    หัวหน้ากลุ่มผู้บริหารประเทศจึงต้องตัดสินใจ
    ใช้วิธีบังคับพฤติกรรมให้ทุกคนต้องทำตาม
    เพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคร้ายนี้ให้ได้
    ด้วยพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน
    บังคับประชาชนมิให้ออกจากเคหะสถาน
    ในคาบเวลาที่รัฐบาลกำหนดไว้

    พี่ๆน้องที่รักทั้งหลาย

    การออกกฎหมายห้ามออกจากบ้าน
    ระหว่างเวลา 4 ทุ่ม ถึงตี 4 นี้
    เราไม่แน่ใจว่าท่านหัวหน้ากลุ่มผู้ออกคำสั่งนี้
    "สอบตก" ในการกำหนดเงื่อนเวลาอีกหรือเปล่า
    หลังจากเคย "สอบตก" บททดสอบหลายข้อแล้ว
    จนทำให้สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคร้าย
    ลุกลามบานปลายมาจนถึงทุกวันนี้

    เช่น กรณีการเปลี่ยนใจปล่อย "ผีน้อย"
    ให้กลับไปกักตัวเองอยู่ที่บ้าน 14 วัน
    โดยไม่มีมาตรการตามไปกำกับดูแลใกล้ชิด
    เพราะผีน้อยทั้งหมดมาจากประเทศโรคระบาด
    ล้วนเป็นผู้สุ่มเสี่ยงที่จะนำเชื้อโรคเข้าประเทศ
    แต่ท่านก็ปล่อยพวกเขาเข้ามาในประเทศ
    ทั้งๆที่รู้อยู่ว่ามันเสี่ยงแต่ก็ยังกล้าเสี่ยง
    จึงนับเป็นการ "สอบตก" บททดสอบชัดเจน
    เพราะความประมาทต่อปัญหานั่นเอง

    เช่น กรณีที่ได้รู้ความจริงแล้วว่าจุดแพร่เชื้อ
    อยู่ที่ "สนามมวย" แห่งนั้นในวันที่ 6 มีนาคม
    หัวหน้ากลุ่มกับทีมงานของท่านหัวหน้า
    กลับมิได้ใช้ปฏิบัติการที่เข้มข้นอย่างแท้จริง
    ตามตัวเซียนมวยและผู้ที่อยู่ในสนามทุกคน
    เข้ามารับการตรวจร่างกายและเข้าแค้มป์กักตัว
    ด้วยปฏิบัติการเชิงรุกอย่างใดอย่างหนึ่ง
    มิใช่นั่งรอให้พวกเขาเข้ามาหาเองเมื่อป่วยแล้ว

    เชื่อเถิดว่า
    ถ้าพวกเขาคนใดคนหนึ่งยังไม่รู้ว่าตนป่วย
    แม้จะเป็นคนหนึ่งที่เข้าไปดูมวยในวันนั้นด้วย
    ก็คงมีน้อยรายมากที่จะให้ความร่วมมือกับท่าน
    จนในที่สุดคนบางคนจากสนามมวยในวันนั้น
    กลายเป็นคนป่วยเพราะติดเชื้อออกมาก็มี
    เมื่อป่วยแล้วยังแพร่เชื้อต่อไปยังผู้อื่นอีกก็มี
    นี่ก็ถือเป็นการ "สอบตก" บททดสอบเช่นกัน

    เช่น กรณีที่ไม่ต้องการให้คนแห่กลับบ้าน
    และไม่ต้องการให้คนแห่ออกจาก กทม.
    เพื่อเดินทางไปเที่ยวในเทศกาลสงกรานต์
    ท่านหัวหน้ากลุ่มใหญ่กับคณะผู้บริหาร
    จึงได้ตัดสินใจประกาศให้ไม่หยุดงาน
    ในช่วงเทศกาลสงกรานต์เหมือนทุกปี

    ผลปรากฏว่าหลังประกาศแค่วันเดียว
    ตามสถานีขนส่งรถทัวร์และรถไฟ
    ปชช.พากันยกโขยงไปแย่งกันซื้อตั๋ว
    เพื่อเดินทางออก ตจว.กันแน่นขนัดไปหมด
    ซึ่งเป็นการ "สอบตก" บททดสอบอีกเช่นเคย
    เพราะวิธีปฏิบัติไม่ถูกต้องแถมสร้างปัญหาเพิ่ม
    เนื่องจากผู้นำขาดวิสัยทัศน์

    เช่น กรณีที่ท่านหัวหน้ากลุ่ม
    ออกมาประกาศรณรงค์เชิญชวนประชาชน
    ให้อยู่กับบ้านทำงานกันที่บ้านงดการเดินทาง
    เพื่อจะได้หยุดการแพร่เชื้อหรือรับเชื้อโรค
    แต่ไม่ได้ผลเพราะยังหยุดการแพร่ระบาดไม่ได้
    เนื่องจาก ปชช.ไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร
    ซึ่งเป็นการ "สอบตก" บททดสอบอีกเช่นกัน

    เพราะคณะผู้บริหารกลุ่มหรือผู้บริหารประเทศ
    ยังมิได้สร้างแรงสั่นสะเทือนจิตสามนึกสูงสุด
    ให้ ปชช.เห็นว่าโรคระบาดนี้เป็นอันตรายต่อชีวิต
    การป่วยด้วยโรคร้ายนี้มิใช่เรื่องไกลตัวแล้ว
    ใครป่วยด้วยโรค "โควิด-19" อาจถึงตายได้
    ภายในเวลาทรมานนานไม่เกิน 45 วัน
    เพราะเหตุผลต่างๆที่ ปชช.ต้องตระหนักดังนี้ คือ

    1.ยังไม่มียาใดรักษาโรคโดยตรงได้
    2.ยังไม่มีวัคซีนใดป้องกันการติดเชื้อโรคได้
    ซึ่งกว่าจะผลิตสองอย่างนี้มาต่อสู้กับเชื้อโรคได้
    ต้องใช้เวลานานถึง 18 เดือน
    ผู้ติดเชื้อทุกรายอาจโชคร้ายที่ตายก่อน

    3.ยังมองหน้ากันแล้วบอกไม่ได้ว่า
    ใครเป็นพาหะนำเชื้อโรคร้ายที่ไม่ควรอยู่ใกล้
    สิ่งที่จะหยิบจับนั้นมันมีเชื้อโรคติดอยู่รึเปล่า
    โอกาสเสี่ยงติดเชื้อโรคหรือแพร่เชื้อนั้นจึงสูงยิ่ง

    เหตุผลทั้งสามข้อนี้
    เป็นตัวอย่างที่สามารถนำมากระตุ้น ปชช.
    ให้เกิดความตื่นตัวที่จะให้ความร่วมมือได้
    เพราะมันเป็นเงื่อนไขในการสร้างจิตสามนึกที่ดี
    ในการรักตนเอง รักเพื่อนมนุษย์และรักชาติได้
    เหตุเพราะกลัวตัวเองต้องตาย
    กลัวคนที่ตนรักต้องตาย
    กลัวว่าประเทศชาติจะหายนะ เป็นต้น

    เราคุ้นหูอยู่ว่า
    หัวหน้ากลุ่มหัวหน้าประเทศนี้
    เคยเอ่ยคำว่า "การสร้างจิตสามนึก" อยู่บ่อยๆ
    จนวันนี้ท่านก็ได้พบความจริงแล้วว่า
    เพราะ ปชช.ยังบกพร่องด้านจิตสามนึก
    ที่จะรักตนเอง รักผู้อื่น และรักชาติของตน
    แม้ในยามประเทศชาติคับขันกับสงครามโรค
    การขอความร่วมมือดีๆจึงล้มเหลว

    ถ้าท่านสร้าง ปชช.ของท่าน
    ให้มีโครงสร้างทางจิตสามนึกที่แข็งแกร่ง
    ด้วยการยกให้เป็น "วาระแห่งชาติ" ได้
    มันจะช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพสูง
    จนยังผลให้คณะผู้บริหารประเทศเองนั้น
    ง่ายขึ้นในการบริหารจัดการประเทศยิ่งกว่าเดิม

    มาวันนี้ (3 เม.ย.2563)
    ท่านจำต้องใช้ยาแรงเป็น พรก.ฉุกเฉิน
    ประกาศเคอร์ฟิวห้ามคนทั้งประเทศออกนอกบ้าน
    ในช่วงเวลาวิกาล คือ สี่ทุ่มคืนนี้ถึงตีสี่วันรุ่งขึ้น
    ท่านต้องใช้วิธี "บังคับ" แทน "ขอความร่วมมือ"

    นี่จึงเป็นการชี้วัดว่าท่านผู้นำ "สอบตก" อีกแล้ว
    เพราะเลือกใช้วิธีการที่ไม่สอดคล้อง
    กับจิตสามนึกที่บกพร่องของพี่น้องประชาชน
    จึงไม่เลือกวิธีบังคับเสียตั้งแต่แรก
    โดยปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมามากแล้ว
    จนสถานการณ์โรคระบาดรุนแรงขึ้นไม่หยุด

    บางคนจึงกล่าวว่าท่านผู้นำไม่กล้าหาญ
    บางคนก็กล่าวว่าท่านผู้นำขาดวิสัยทัศน์
    แต่เรามองว่าท่านขาดพร่องทั้งสองอย่าง
    จึงมักวางมาตรการเด็ดๆตามหลังปัญหาเสมอ
    ขืนเป็นแบบที่ว่านี้อนาคตคงไม่ต้องกล่าวถึงอีกว่า
    สถานการณ์โรคระบาดแห่งชาติจะลงเอยเช่นไร

    นี่เราจะขอชวนพี่ๆน้องๆช่วยกันคิดต่อว่า

    ช่วงเวลาสี่ทุ่มถึงตีสี่ที่ท่านห้ามออกจากบ้านนี้
    ท่านต้องการจะห้ามคนกลางคืนกลุ่มไหนหนอ
    คนทำงานกลางคืนกับคนเที่ยวกลางคืนใช่ไหม
    ขณะที่โรงงาน สำนักงาน สถานบริการบันเทิง
    พากันหยุดตามคำสั่งของทางการกันหมดแล้ว

    ท่านสำรวจวิจัยมาเป็นอย่างดีแล้วหรือว่า
    ประวัติผู้ป่วยติดเชื้อและผู้แพร่เชื้อทั้งหลายนั้น
    เขาสัมผัสกันในช่วงเวลาเคอร์ฟิวนี้เช่นนั้นหรือ
    กลุ่มเป้าหมายอยู่ในช่วงเวลาเคอร์ฟิวแน่หรือไม่

    ถ้าคำตอบจากคำถามของเรา คือ "ไม่ใช่"
    มาตรการเคอร์ฟิวในเรื่องเวลาก็จะไม่ได้ผลอีก
    เพราะท่านทำผิดพลาดใน Parinya Model
    ที่ว่าด้วยกฎแห่งความถูกต้อง 6 ประการ
    โดยออกกฎผิดอยู่ 2 ประการ คือ ผิดคน ผิดเวลา
    ท่านจึงจะหยุดการแพร่ระบาดของโรคไม่ได้แน่

    ในกระบวนการไซโคโชว์ของปริญญานั้น
    คนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มที่ฉลาดและแยบยล
    ที่จะสามารถบริหารจัดการโจทย์ข้อใหญ่ได้
    เขาจะต้องคิดใหญ่เพื่อทำเรื่องยากให้ง่ายขึ้น

    สิ่งควรทำที่วิทยากรดำเนินการฝึกอบรม
    จะชี้แนวทางสร้างแนวคิดให้ก็คือ

    1.แบ่งประชาชนภายในประเทศออกเป็น 3 กลุ่ม
    กลุ่มหนึ่งเป็นผู้ป่วยที่รู้ว่าตนติดเชื้อแล้ว
    กลุ่มสองเป็นกลุ่ม "เสี่ยง" ว่าจะติดเชื้อแล้ว
    กลุ่มสามเป็นกลุ่มที่ไม่เคยสัมผัสใกล้ชิด
    กับคนในกลุ่มหนึ่งและสองมาก่อนเลย

    2.นำคนกลุ่มที่หนึ่ง
    เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเฉพาะโรคนี้
    ด้วยมาตรฐานคุณภาพในการรักษาผู้ป่วย
    โดยทีมแพทย์พยาบาลเจ้าหน้าที่
    มีเครื่องป้องกันตนเองพร้อม

    ถ้าส่งผู้ป่วยไปรักษาตามสถานพยาบาลทั่วไป
    จะยังผลให้เครื่องป้องกันตนเอง
    ของทีมแพทย์พยาบาลและเจ้าหน้าที่ไม่พอใช้
    เนื่องจากต้องแบ่งๆกันไปทั่วประเทศ

    3.นำคนกลุ่มที่สอง
    เข้าค่ายกักตัว 14 วัน ในสถานที่เฉพาะ
    ที่ทางการจัดเอาไว้ให้
    เช่น เช่าโรงแรมที่ร้างนักท่องเที่ยว
    โดยรัฐสนับสนุนงบประมาณส่วนหนึ่ง
    คนในกลุ่มเสี่ยงนี้รับผิดชอบตนเองส่วนหนึ่ง

    ขณะที่คนกลุ่มเสี่ยง
    เข้าพักเข้าแค้มป์กักกันอยู่ 14 วันนี้
    จะต้องมีแพทย์พยาบาลและเจ้าหน้าที่
    คอยตรวจวัดไข้และตรวจอาการด้วย

    หากพบว่าใครป่วยจริง
    ก็ให้รีบแยกตัวออกมาจากแค้มป์ทันที
    แล้วนำส่งต่อไปยังโรงพยาบาลจำเพาะโรคนี้
    ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อการรักษาคนป่วยโดยเฉพาะ

    ใครที่สอบผ่านได้ภายใน 14 วัน
    ไม่มีอาการว่าป่วยเป็นที่แน่นอนแล้ว
    ก็ "บิงโก" ปล่อยให้กลับบ้านได้

    4.ส่วนคนกลุ่มที่สาม
    ซึ่งไม่เคยมีประวัติใกล้ชิดกับคนสองกลุ่มแรก
    ก็ให้พวกเขาดำเนินชีวิตประจำวันไปตามปกติ
    แต่ต้องให้ข้อมูลประชาชนในกลุ่มนี้
    ในการระวังป้องกันตนเองมิให้ติดเชื้อ
    เช่น ใช้แมสค์เมื่อออกนอกบ้าน
    ไม่สัมผัสใกล้ชิดกับใครต่ำกว่า 2 เมตร
    ล้างมือทุกครั้งเมื่อหยิบจับสิ่งของทุกอย่าง
    ที่สำคัญคือห้ามใช้มือหยิบอาหารเข้าปาก
    ห้ามใช้นิ้วแคะขี้มูกขี้ฟันและห้ามขยี้ตา
    ไม่ว่าท่านจะล้างมือแล้วหรือไม่ เป็นต้น

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

    ถ้าผู้นำกลุ่มของท่านในประเทศนี้
    เข้าใจกระบวนการ "ไซโคโชว์" ของเรา
    จะรู้ว่าปฏิบัติการสู้สงครามโรค
    โดยใช้ยุทธวิธีแบ่งกลุ่มตามที่เรากล่าวมา
    การทำงานของพวกท่านก็จะไม่สะเปะสะปะ

    การต่อสู้กับเชื้อโรคเพื่อความรอดของ ปชช.
    มันจะบังเกิดผลเป็นรูปธรรมมากกว่า
    การคอยวางมาตรการตามปัญหาที่เกิดขึ้น
    และเฝ้ารอให้คนป่วยเข้ามาพึ่งพาการรักษา
    พร้อมกับการตื่นเต้นในสถิติของคนติดเชื้อ
    ที่คอยลุ้นกันรายวันว่ามันจะเพิ่มหรือลด
    ลุ้นว่าคนที่หายป่วยออกไปได้จะมีสักกี่ราย
    ลุ้นว่าคนที่ตายในวันนั้นมีกี่คนอยู่ที่ไหนบ้าง

    การจัดสรรทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ง่าย
    การจัดสรรบุคลากรก็ง่าย
    การจัดสรรทรัพยากรด้านเวชภัณฑ์ก็ง่าย
    การให้ความช่วยเหลือเชิงรุกและรับก็ง่าย
    การจัดสรรงบประมาณก็ง่าย
    การบริหารและการจัดการก็ง่าย

    ที่เรากล่าวว่า "ง่าย" ก็คือง่ายกว่าที่ท่านทำอยู่
    ท่านผู้นำต้องมองสนามรบจากมุมสูง
    อย่ามองสถานการณ์นี้ในแนวระนาบ
    เพราะท่านจะแลเห็นปรากฏการณ์ต่างๆ
    แค่ข้างหน้าของท่านเท่านั้นเอง

    เปลี่ยนวิธีคิดที่จะตั้งรับอย่างเดียวมาสามเดือน
    มาใช้กลยุทธในเชิงรุกสักทีดีมั้ยท่าน
    ไม่มีการศึกใดที่ฝ่ายตั้งรับจะมีชัยชนะศัตรูได้
    จักต้องรุกบ่อยถอยมาตั้งหลักบ้าง
    จึงจะมีโอกาสได้รับชัยชนะ

    ขอท่านผู้นำและสมาชิกในประเทศนี้
    จงสนุกสนานกับกิจกรรมฝึกอบรมที่เข้มข้นขึ้น
    ขออวยพรให้ทุกฝ่าย "สอบผ่าน" บททดสอบ
    การใช้จิตตปัญญาด้วยกันทุกคน
    จงอย่าทำเป็นเล่นกับสถานการณ์โควิด-19 นี้
    เพราะเวทีนี้ไม่มีฑูตสวรรค์เป็นพี่เลี้ยงอีกแล้ว
    สอบตกเป็นตาย สอบได้เป็นรอด

    เห็นทีเรื่องกรุ้ปเลือด
    ต้องยกไปสนทนากันในครั้งต่อไปแล้วล่ะนะ

    กราบพระบาทพระบิดาฯ

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    3/04/2020 FB_IMG_1585876710104.jpg
     
  2. Happy_Me

    Happy_Me เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +314
    เราอยากทราบว่าถึงเวลาต้องจัดกระเป๋ารับมือภัยพิบัติหรือยังคะ แบบว่าภัยพิบัติมาก็หิ้วกระเป๋าใบนี้หนีออกไปเลยค่ะ
     
  3. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    #สนทนาประสาจิตจักรวาล

    "ประสบการณ์ #CoVID19"
    ****************************
    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

    คนที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม
    ในการฝึกอบรมปฏิบัติการ
    ด้วยกระบวนการ "ไซโคโชว์" ของ #ปริญญา นั้น
    การเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ในการมองเห็นภาพจริง
    ที่มันจะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างชัดเจน
    โดยเฉพาะปัญหาหรืออุปสรรคของกลุ่ม
    ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญนั้น
    มันเป็นคุณสมบัติสำคัญของผู้นำมืออาชีพ

    เพราะถ้าสามารถมองเห็นภาพล่วงหน้าว่า
    ในอนาคตมันจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง
    ผู้นำก็จะสามารถเตรียมมาตรการต่างๆ
    ในการป้องกันปัญหานั้นเอาไว้ล่วงหน้า
    ด้วยการพร้อมเผชิญปัญหานั้นอย่างมั่นใจได้

    แต่ถ้าผู้นำกลุ่มขาดวิสัยทัศน์
    บริหารภารกิจของกลุ่มด้วยการมองปัญหา
    ที่มันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในปัจจุบันเท่านั้น
    สมาชิกในกลุ่มนั้นก็จะมองเป็นว่า
    ท่านผู้นำนั้นดีแต่คอยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
    โดยทำงานด้วยการไล่ตามปัญหากันเรื่อยไป
    สมาชิกกลุ่มที่เป็นผู้ตามทุกคนจึงสุขสงบได้ยาก
    เพราะต้องเผชิญปัญหาอย่างต่อเนื่องไม่รู้จบสิ้น

    วันนี้มีคนถามเรามาว่า
    ปัจจัยที่ทำให้ผู้นำ
    เป็นคนที่มี "วิสัยทัศน์" มีอะไรบ้าง
    เราจึงมีคำตอบให้ดังนี้ คือ

    1.ไม่หลงตัวเองว่าเก่งแล้ว ฉลาดแล้ว ดีแล้ว
    เพราะมันจะทำให้ท่านผู้นำกลายเป็นคน
    ประเภท "คิดว่าไม่คิด"
    ซึ่งอยู่ในจำพวกเดียวกันกับ "คนสิ้นคิด" ไป

    2.ไม่ปิดตา ปิดหู ไม่ดูไม่ฟังความคิดต่างเห็นต่าง
    เพราะหลงตัวเองว่าตนนั้นฉลาดเหนือคนอื่น

    ผู้นำประเภทนี้จะมีมิจฉาทิฐิสูงลิ่ว
    จะไม่รับฟังคำโต้แย้งหรือคำแนะจากคนรอบข้าง
    จะเชื่อความคิดของตนเองอย่างเดียว
    จึงทำให้ความคิดของตนไม่ได้รับการเจียระไน
    จึงขาดเหลี่ยมมุมหรือขาดมิติแห่งเวลา
    ความคิดแก้ปัญหาใดๆจึงเน้นอยู่ที่ปัจจุบัน

    จงจำไว้ว่าคนที่เรียนหนังสือเก่งได้เกียรตินิยม
    กับคนที่ฉลาดในการดำเนินชีวิตอยู่ในสังคม
    โดยสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้นั้น
    มันไม่เหมือนกัน

    3.ไม่ยึดติดความคิดแรกที่ตนคิดได้ว่า
    เป็นความคิดที่ "เจ๋งที่สุด" ของตนแล้ว

    ผู้นำที่นึกคิดอะไรได้แล้วพูดเลย
    ผู้นำที่นึกคิดอะไรได้แล้วสั่งลูกน้องเลย
    ผู้นำที่นึกคิดอะไรได้แล้วสั่งให้ปฏิบัติเลย
    ไม่มีทางที่จะสร้างความสำเร็จให้กับกลุ่ม
    ในการแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่อย่างเบ็ดเสร็จได้
    เพราะมันเป็นความคิดที่ไม่รอบครอบ
    เนื่องจากใช้เวลาในการพิจารณาปัญหาน้อยไป
    ความคิดของท่านจึงจะเป็นเพชรน้ำงาม
    ที่จะนำพากลุ่มของท่านประสบผลสำเร็จไม่ได้

    4.ไม่คิดอ่านแก้ปัญหา
    ด้วยการมองที่ปัญหานั้นๆอย่างเดียว
    แต่ต้องมองผลกระทบ
    จากการแก้ปัญหานั้นไปแล้วด้วยว่า
    มันจะเกิดอะไรที่ไม่ดีตามมาอีกบ้างหรือไม่

    จะได้คิดอ่านหามาตรการป้องกันปัญหา
    หรือวางแผนการตั้งรับเอาไว้ล่วงหน้า
    ขณะที่อยู่ในปัจจุบันเอาไว้ก่อน
    นี่คือผู้นำที่มีวิสัยทัศน์

    5.คนที่จะเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์
    ซึ่งสมาชิกทุกคนในกลุ่มยอมรับนั้น
    จะต้องเป็นคนที่มี "คุณภาพ" พอตัว คือ

    ต้องเป็น #คนเก่ง คือ มีความรอบรู้
    เพราะรักการเรียนรู้ ไม่หยุดการเรียนรู้
    ฉลาดที่จะเรียนรู้ในสิ่งควรรู้ ฯลฯ

    ต้องเป็นผู้นำที่ #ฉลาดทางปัญญา
    โดยรู้ว่าการนึกกับการคิดนั้นไม่เหมือนกัน

    ผู้นำที่ล้มเหลวในการคิดตัดสินใจสิ่งใดๆ
    มักจะเป็นพวกที่ #ได้แต่นึกไม่ฝึกคิด
    ผู้นำประเภทนี้แหละที่พาส่วนรวมล่มจม
    พาประเทศชาติเข้าสู่วิกฤตมานักต่อนักแล้ว

    ต้องเป็นผู้นำที่ #ฉลาดทางอารมณ์
    โดยจัดการกับอารมณ์ไม่เหมาะสมของตนได้
    เช่น เมื่อถูกยั่วยุด้วยคำพูดก็ไม่น้อตหลุดง่ายๆ
    ถ้าท่านผู้นำเป็นคนขี้โมโหเพราะขาดสติง่าย
    ท่านก็จะเป็นคนที่ขาดวิสัยทัศน์อย่างชัดเจน
    เพราะคนที่ขาดสติอยู่แค่หยิบปัญญามาขบคิด
    ก็หยิบไม่ถูกหาปัญญาไม่เจอแล้วล่ะท่าน
    จะถามหาวิสัยทัศน์ของท่านผู้นำก็คงไม่ได้

    ต้องเป็นผู้นำที่ #ฉลาดทางสังคม
    คือ ฉลาดเลือกใช้คนมาช่วยงาน
    ฉลาดปกครองคนที่เป็นลูกน้องของท่านเอง
    ฉลาดทำเพื่อชาติและประชาชนเต็มสามารถ
    ฉลาดสร้างขวัญกำลังใจ
    ให้ความเชื่อมั่นต่อ ปชช.ในสถานการณ์วิกฤต

    6.ท่านผู้นำที่สามารถแสดงวิสัยทัศน์ได้
    จักต้องมีความกล้าแสดงออกกล้าตัดสินใจด้วย
    ผู้นำบางคนอาจมีคุณสมบัติทั้ง 5 ครบถ้วน
    ก็มาตกม้าตายตรงที่คิดออกคิดได้แต่ไม่กล้าทำ
    อาจเป็นเพราะว่า...

    1.ไม่กล้ารับผิดชอบในความผิดพลาดล้มเหลว
    ที่มันอาจจะเกิดขึ้นหลังสั่งการให้ทำไปแล้ว

    2.ไม่มั่นใจในวิธีการนั้นที่ตนคิดได้ว่า
    มันจะได้ผลตามที่ตนต้องการจริงหรือไม่
    มันจะได้ผลตามที่กลุ่มหวังไว้ได้จริงหรือเปล่า
    ซึ่งถ้าท่านผู้นำเป็นแบบนี้
    ท่านย่อมไม่มีวิสัยทัศน์อะไรที่จะแสดงอีก
    เพราะความกล้าริเริ่มกล้าลงมือทำมันหายไป

    3.ไม่กล้าขัดใจใครบางคนหรือขัดผลประโยชน์
    เนื่องจากผู้นำบางคนได้รับโอกาสเป็นผู้นำ
    เพราะมีผู้ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
    หากตนตัดสินใจทำบางสิ่งลงไป
    เพื่อแก้ไขปัญหาของส่วนรวมให้ลุล่วง
    พ่อยกแม่ยกก็จะเสียประโยชน์จะสูญอำนาจ
    การลูบหน้าปะจมูกก็จะเกิดขึ้น
    จนท่านผู้นำลังเลหรือรีรอไม่กล้าตัดสินใจ

    ทั้ง 3 ประการที่เรากล่าวมา
    ถ้าผู้นำคนไหนเป็นแบบที่ว่านี้
    เราจะเรียกว่าท่านเป็นผู้ที่ "ขาดภาวะผู้นำ"

    ท่านเป็นผู้นำประเภทขี้ขลาดตาขาว
    ท่านเป็นผู้นำที่ไม่กลัวว่า
    สมาชิกในกลุ่มหรือ ปชช.ของท่าน
    จะเสียหายหรือเสียประโยชน์
    เพราะท่านมัวแต่กังวลอยู่กับการเสียอำนาจ
    และผลประโยชน์ของตนมากกว่าส่วนรวม

    ในท่ามกลางการฝึกอบรมของชาวโลก
    ด้วยกระบวนการไซโคโชว์
    โดยใช้กิจกรรมชื่อ "โควิด-19" อยู่ในขณะนี้
    ซึ่งกำลังถูกยกระดับสู่ ขั้นที่สามแล้ว
    ทั้งผู้ตามและผู้นำจะต้องสอบผ่านบททดสอบ
    ในการเรียนรู้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย

    เมื่อมีผู้ถามเรามาเรื่องผู้นำกับวิสัยทัศน์
    เราจึงขอกล่าวถึงเรื่องนี้ก่อนเรื่องอื่น
    เพื่อตอบคำถามท่านผู้ถามให้ทันใจ

    ส่วนการหวังว่าจะให้ท่านผู้นำ
    ให้ความสนใจกับบทสนทนาของเราในบทนี้นั้น
    เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

    เรามิได้คิดคาดหวังแต่อย่างใดทั้งสิ้น
    เพราะจิตใจใคร ตาใคร หูใคร
    มันก็เป็นของคนๆนั้น คนอื่นไม่เกี่ยว
    เราจะไปแหกตาถ่างตาให้ใครมามองไม่ได้
    เราจะไปบังคับจูงใจใครให้หันมาทางเราก็ไม่ได้
    จึงหวังเพียงคนที่ถามเรามาจะเข้าใจ
    ก็เท่านั้นเองแหละท่าน

    หมายเหตุ:
    สองทุ่มวานนี้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
    ก็มีการปล่อย "ผีน้อย"
    ที่เดินทางกลับมาจากอเมริกาอีกกว่า 100 ราย
    เป็นพวกที่มาจากประเทศในกลุ่มเสี่ยง
    โดยให้กลับไปกักตัวเองอยู่ที่บ้าน

    แถมท้ายข่าวบอกว่า
    มีคนที่ถูกกักตัวอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว 3 ราย
    เพราะตรวจพบว่ามีไข้สูง
    ได้แอบทำเนียนหลบออกจากสนามบิน
    พร้อมกลุ่มผีน้อยร้อยกว่าคนนี้ด้วย

    เออ...ประเทศชาติเสี่ยงมากขึ้นอีกแล้ว
    เพราะทีมงานท่านผู้นำอ่อนแอไร้คุณภาพ
    เพราะมาตรการของท่านผู้นำไม่ศักดิ์สิทธิ์
    เพราะ ปชช.หลายคนขาดจิตสำนึกรักชาติ
    โดยยึดเอาประโยชน์ตนเป็นใหญ่

    เพราะท่านผู้นำวางแผนทำสงครามโรค
    ด้วยยุทธวิธีที่ไม่ถูกต้อง
    หากต้องการทราบว่าการสู้ศึกที่ถูกต้อง
    ท่านผู้นำจะจัดทัพรับศึกอย่างไร
    กรุณาย้อนไปอ่านบทสนทนาของเราก่อนหน้านี้
    ท่านยังมีเวลาปรับขบวนยุทธได้ทัน
    เพราะกระบวนการไซโคโชว์หรือศึกครั้งนี้
    นับจากมกราคม 2563 เป็นต้นมา
    ท่านผู้นำมีเวลา play games นาน 18 เดือน

    กราบพระบาทพระบิดาฯ

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    4/04/2020 FB_IMG_1585958231631.jpg
     
  4. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    #สนทนาประสาจิตจักรวาล

    "ประสบการณ์ #CoVID19"
    ****************************
    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

    ในนามแห่งวิทยากรผู้ดำเนินการฝึกอบรม
    เพื่อยกระดับจิตปัญญาพัฒนาจิตสำนึก
    พี่ๆน้องๆแบบองค์รวมในห้องเรียน "โลก"
    ด้วยกระบวนการ "ไซโคโชว์" ของ "ปริญญา"
    โดยชื่อหลักสูตรว่า #สงครามโรคสงครามรัก
    ซึ่งบทเรียนที่เราเลือกใช้คือ #CoVID19

    เราจะกล่าวสรุปผลการประเมินพฤติกรรม
    ที่พวกท่านแสดงออกหรือปฏิบัติ
    ต่อเงื่อนไขต่างๆที่ถูกกำหนดให้เผชิญว่า
    ทั้งผู้นำกลุ่มที่เป็นผู้นำประเทศ
    และสมาชิกกลุ่มซึ่งเป็นผู้ตามหรือ ปชช.
    ต่างมีพฤติกรรมที่เป็นตัวบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า
    พวกท่าน "สอบตก" ในหลายเงื่อนไข

    ซึ่งจิตสำนึกที่สำคัญอันพึงต้องมี
    ที่ ปชช.พากัน "สอบตก" กันเป็นส่วนมาก
    อันจะเป็นที่มาของภัยพิบัติใหญ่ๆในวันหน้า
    มีดังต่อไปนี้ คือ

    1.ขาดจิตสำนึกแห่งการเป็นพวกเดียวกัน
    (Social Conscious)

    หมายถึง
    เป็นผู้ไม่เคารพกฎกติกาของสังคม
    ยึดความ "ชอบใจ" ไม่ยึดความ "ชอบธรรม"
    พวกที่ทำตัวเป็น "ขยะ" ของสังคมนั่นเอง

    ตัวอย่างในเรื่องนี้ เช่น

    #การฝ่าฝืนเคอร์ฟิว
    โดยไม่สำนึกว่าตนก็เป็นคนหนึ่งในประเทศนี้
    กฎหมายที่ออกมาใช้ตนก็จักต้องเคารพ
    ด้วยการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดด้วย
    ถ้ามีจิตสำนึกแห่งการเป็นพวกเดียวกันจริง
    ท่านก็ต้องไม่ทำตัวเป็นแกะด่างในหมู่แกะขาว

    #การไม่ยอมกักตัวเองอยู่กับบ้าน
    ยังแร่ดไปโน่น แร่ดมานี่
    เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    ทั้งๆที่ตนเองก็เสี่ยงที่จะติดเชื้อโรคมรณะ
    บางคนก็เสี่ยงที่จะเป็นพาหะแพร่เชื้อโรค
    เพราะเพิ่งกลับมาจาก ตปท.ก็มี
    เพราะไปสัมผัสใกล้ชิดกับคนป่วยมาก็มี
    เพราะไปเที่ยวสนามมวยอื้อฉาวมาก็มี

    #การลงจากเครื่องบินที่สนามบินแล้ว
    ไม่ยอมเข้าสถานที่กักกันตามกฎหมาย
    ทั้งที่ตนเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นพาหะแพร่โรค
    เพราะเดินทางมาจากประเทศที่มีโรคระบาด
    ซึ่งมันเสี่ยงที่จะทำให้คนในชาติเขาเดือดร้อน

    คณะแพทย์พยาบาลงานจะหนักเพิ่ม
    ประชาชนคนในชาติก็จะติดโรคระบาดเพิ่ม
    จะมีจำนวนคนป่วยเพิ่มและมีคนตายเพิ่ม
    จะต้องเสียงบประมาณด้านเวชภัณฑ์เพิ่ม
    ฯลฯ
    ถ้าท่านนำเชื้อโรคเข้าประเทศติดตัวมาด้วย

    คนที่ขาดจิตสำนึกการเป็นพวกเดียวกัน
    กับพี่ๆน้องๆประชาชนคนในชาติของตนเอง
    จะพยายามทำตัวเป็นบุคคลพิเศษกว่าคนอื่น
    ด้วยการเลือกทำตนเป็นคน "เหนือกฎหมาย"
    ที่ใช้ภาษาร้ายแรงว่า "คนนอกคอก"

    เพราะพยายามจะปฏิบัติตนนอกรีตดังกล่าว
    ทั้งๆที่หลายท่านเป็นถึงนักเรียนทุนพิเศษ
    เพราะเป็นคนเก่ง เป็นคนฉลาด
    แต่น่าเสียดายที่ยังขาดความเป็น #คนดี อยู่
    เพราะขาดการพัฒนาจิตสำนึกมาตั้งแต่เด็ก
    จึงเป็นประชากรที่ไร้คุณภาพของชาติ

    2.ขาดจิตสำนึกแห่งหมู่คณะ
    (Team Conscious)

    หมายถึง
    เป็นผู้แสวงหาประโยชน์สุขใส่ตน
    บนความทุกข์ยากลำบากของผู้อื่น
    ที่เรียกว่าเป็นคน "โลภ" นั่นเอง

    ตัวอย่างในเรื่องนี้ เช่น

    #เป็นพ่อค้าแม่ขาย
    ฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า
    ฉวยโอกาสโกงตาชั่ง
    ฉวยโอกาสกักตุนสินค้า

    ฉวยโอกาสหลอกขายสินค้า
    แต่ว่าของจริงไม่มี เช่น หน้ากาก
    แอลกอฮอล์ และอื่นๆ

    โดยมีเป้าหมายคือการค้ากำไรเกินควร
    กับต้องการผูกขาดการขายสินค้านั้นๆ
    เพื่อต้องการร่ำรวยเพียงคนเดียว เป็นต้น

    #เป็นผู้บริโภค
    ซื้อของกินเครื่องใช้ไปกักตุนที่บ้าน
    เพราะกลัวสินค้าขาดตลาด
    ของบางอย่าง เช่น น้ำดื่ม และกระดาษชำระ
    ในห้างร้านมีเท่าไหร่
    ใครมาก่อนก็จะกวาดขนจนหมดหิ้งนั่นแหละ
    ใครมาทีหลังก็อย่าหวังว่าจะซื้อหาได้

    3.ขาดจิตสำนึกสาธารณะ
    (Public Conscious)

    หมายถึง
    เป็นผู้ที่เห็นแก่ประโยชน์สุขส่วนตน
    เห็นแก่ความสะดวกสบายของตนเป็นใหญ่
    ไม่สนใจในประโยชน์สุขหรือสะดวกของคนอื่น
    โดยยึดผลประโยชน์ส่วนตนต้องมาก่อนเสมอ
    ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นคน "เห็นแก่ตัว" นั่นเอง

    ตัวอย่างในเรื่องนี้ เช่น

    อุดมคตินิยมที่ว่า
    อิ่มก่อนดูโขนดูหนัง
    อิ่มทีหลังเลียถ้วยเลียชาม
    จึงนำไปสู่พฤติกรรมขยะมากมาย
    เป็นต้นว่า....

    การ "แย่ง" กันกินแทนที่จะ "แบ่ง" กันกิน
    การ "แย่งคิว" หรือ "แซงคิว" ผู้อื่น
    การยึดหลักของตนต้องได้ก่อน
    แม้ว่าจะมาทีหลัง

    การยึดหลักของตนต้องได้มากกว่า
    แม้ว่าตนจะมีความจำเป็นน้อยกว่าคนอื่น

    การฉวยโอกาส
    แทนที่จะมอบโอกาสให้คนอื่น
    การแย่งโอกาส
    แทนที่จะแบ่งโอกาสให้คนอื่น

    พฤติกรรมตัวอย่างเหล่านี้
    ล้วนเกิดจากขาดจิตสำนึกสาธารณะทั้งสิ้น

    นอกจากนั้น
    ทางด้านผู้นำกลุ่มและคณะบริหารเอง
    ก็พบว่ายังมีการสอบตกบททดสอบเช่นกัน

    ตัวอย่างเช่น

    #สอบตกด้านวิสัยทัศน์
    เพราะท่านยังบริหารจัดการประเทศ
    แบบรอให้ "วัวหายจึงค่อยล้อมคอก"
    ออกกฎวางมาตรการตามหลังปัญหาเสมอ
    แสดงว่าท่านเป็นคนสายตาสั้น
    มองเห็นแต่ปัญหาปัจจุบันซึ่งๆหน้า
    ส่วนปัญหาที่รออยู่ข้างหน้าที่เป็นอนาคต
    ท่านมองไม่เห็นท่านคาดไม่ถึง
    การเสี่ยงภัยของ ปชช.จึงค่อนข้างสูง

    #สอบตกด้านปัญญา
    เพราะท่านต่อสู้สงครามเชื้อโรคครั้งนี้
    ด้วยวิธีการปกป้องประชาชนของท่าน
    แบบ "มวยวัด" คือ เหวี่ยงหมัดสะเปะสะปะ
    งานศึกครั้งนี้จึงอ่านได้ว่า
    ท่านไม่มีความเป็นผู้นำมืออาชีพเลย

    เพราะเหตุว่า
    ท่านปล่อยให้คนที่มิได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง
    ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
    ที่ไม่เคยมีประวัติไปสัมผัสข้องแวะ
    กับบุคคลที่ป่วยแล้วหรือคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง
    ไม่เคยไปในสถานที่ๆเป็นแหล่งโรคระบาด
    ให้ไปเดินปะปนอยู่กับคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง
    ด้วยการปล่อยคนกลุ่มเสี่ยง
    ให้ไปแทรกตัวอยู่กับคนส่วนใหญ่ที่สบายดีอยู่
    จนแยกไม่ออกบอกไม่ได้ว่าใครเป็นใคร

    ในที่สุดทุกวันนี้
    สถานการณ์โรคระบาดจึงตึงเครียดขึ้น
    จนมีคนป่วยด้วยโรคระบาด
    เกือบครบทุกจังหวัดทั่วประเทศแล้ว
    เพราะท่านผู้นำใช้วิธี "วัดไข้" เป็นยุทธการ
    โดยลืมไปว่าคนที่มีอาการไข้ให้ตรวจพบนั้น
    คือคนที่ถูกไวรัสมรณะเล่นงานมานานแล้ว
    ทุกวันนี้ท่านจึงรอช่วยเหลือแต่ "คนป่วย" เท่านั้น

    แต่คนที่รับเชื้อไวรัสมรณะอยู่ในตัวแล้ว
    ที่ยังไม่แสดงอาการว่าเป็นไข้
    เครื่องมือวัดไข้ก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้
    ท่านไม่ได้ทำอะไรจริงจังกับคนพวกนี้ตั้งแต่แรก
    แถมปล่อยให้คนส่วนใหญ่ที่เขาปลอดภัยดีอยู่
    ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย

    เมื่อยอมให้คนที่เสี่ยงว่าน่าจะเป็นพาหะนำโรค
    เดินทางออกจาก กทม.หรือเพ่นพ่านออกจากบ้าน
    ไปแทรกสอดอยู่ในสังคมทั่วไปหมด
    จนไม่รู้ว่าใครเป็นใครแล้วจนเกิดปัญหาเพิ่มขึ้น
    ท่านจึงค่อยหันมาออก พรก.เคอร์ฟิว
    เฉพาะเวลาที่กำหนด

    เราในฐานะเป็นวิทยากรไซโคโชว์
    ผู้ดำเนินการฝึกอบรมและทดสอบ
    จิตสำนึกด้านต่างๆของนักเรียนในห้องเรียนโลก
    ยังพบว่าท่านผู้นำสอบตกเรื่อง พรก.นี้อีก
    โดยท่านไปห้ามออกจากบ้านตั้งแต่สี่ทุ่มถึงตีสี่
    ที่มีคนเกเรเหลวไหลไม่เอาไหน
    ซึ่งสุ่มเสี่ยงในการแพร่เชื้อโรคเพียงไม่กี่คน
    ที่จะออกมาเพ่นพ่านในยามวิกาลนั้น
    โดยท่านสามารถใช้กฎหมายห้ามชุมุนุมกัน
    ที่ประกาศใช้อยู่แล้วจัดการกับคนพวกนี้ก็ได้

    #เพราะขาดความกล้าหาญ
    ถ้าหากหากท่านจะจัดการเรื่องนี้จริงๆ
    ท่านควรเลือกปิดประเทศและปิดจังหวัด
    มิให้มีการเข้าออกอย่างเบ็ดเสร็จไปเลย
    จะเป็นประโยชน์ในการหยุดแพร่ระบาด
    อย่างเป็นรูปธรรมมากกว่าด้วยซ้ำไป

    นอกจากจะทำให้โรคระบาดไม่ลุกลามแล้ว
    ยังจะใช้เวลาในการหยุดระบาดน้อยลงด้วย

    ยิ่งถ้าท่านจัดแบ่งประชาชนของท่าน
    แยกกันออกเป็น 3 ประเภท
    ตามที่เราแนะนำไว้ให้ตั้งแต่แรก
    ท่านผู้นำก็จะมองเห็นภาพจากมุมสูงได้ชัดว่า
    กลุ่มไหนท่านจะป้องกันและจัดการปัญหายังไง

    มันจะไม่ทำให้ท่านผู้นำกับคณะแทบ ปสด.
    หรือมีอาการเครียดปวดมึนศีรษะ
    เหมือนมวยเมาหมัดอย่างทุกวันนี้
    และท่านจะไม่นำพา ปชช.ที่สุขภาพดีอยู่แล้ว
    ให้ตกอยู่ในสถานการณ์ "เสี่ยง" ว่าจะติดเชื้อโรค
    จนจะเป็น ปสด.ตามท่านผู้นำที่สอบตกไปด้วย

    เรากำลังเป็นห่วงว่า
    การป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19
    มันจะไม่ได้ผลหากคนในประเทศและท่านผู้นำ
    ยังสอบตกซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ทุกวัน

    หากประเทศของท่าน
    ปล่อยเวลาทอดยาวออกไปมากกว่านี้
    พวกท่านจะตามเชื้อโรคโคโรน่าไวรัสไม่ทัน
    เพราะเรามี "ยาแรง" รอนักเรียนอยู่ข้างหน้า
    คือ เชื้อไวรัสมรณะนี้จะ "กลายพันธุ์"

    จงจำไว้ว่า...
    ถ้ามนุษย์ยังจัดการกับมนุษย์เองไม่ได้
    จะไปหวังอะไรกับการจัดการเจ้า "ไวรัส"
    โอ...พระเจ้า....

    กราบพระบาทพระบิดาฯ

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    5/04/2020 FB_IMG_1586047981720.jpg
     
  5. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    จะหิ้วไปไหนครับ ภัยพิบัติจะเกิดทั่วไป อยู่บ้านท่านปลอดภัยที่สุดครับ นอกจากให้อพยพ
     
  6. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    #สนทนาประสาจิตจักรวาล

    "ประสบการณ์ #CoVID19"
    ****************************
    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

    คนที่ป่วยแล้วเสียชีวิตไป
    จากโรค "โควิด-19" นั้น
    เป็นผู้เล่นที่ล้มเหลวในกระบวนการฝึกอบรม
    ร่วมหลักสูตรร่วมกิจกรรม "ไซโคโชว์"
    กับสมาชิกกลุ่มคนอื่นๆนั่นเอง

    เมื่อผู้เล่นผู้ปฏิบัติกิจกรรมรายใดก็ตาม
    มีคุณสมบัติด้านลบดังต่อไปนี้ คือ

    1.สอบตกบททดสอบ
    เพราะขาดจิตสำนึกแห่งรักอย่างชัดเจน
    ทั้งไม่รักตนเอง ไม่รักคนรอบข้าง
    ไม่รักสังคมและประเทศชาติของตนเอง

    ตัวอย่างเช่น
    ปล่อยให้ตนเองเจ็บป่วยด้วย #โรคประจำตัว
    จนเครื่องยนต์แห่งกรรมของจิตวิญญาณตนเอง
    เสื่อมสมรรถภาพขาดสมรรถนะในการใช้งาน

    เนื่องจากใช้งานอย่างไม่บันยะบันยัง
    ไม่รู้จักพักผ่อนในยามอ่อนล้าให้พอเพียง
    ไม่รู้จักออกกำลังกายเพื่อให้พร้อมทำหน้าที่

    ที่สำคัญคือการกินอาหารที่ไม่ถูกต้อง
    ทั้งๆที่ร่างกายมนุษย์รับไม่ได้เข้ากันไม่ได้
    เช่น การกินเลือดเนื้อของสัตว์ทั้งหลาย
    โดยโปรตีนจากสัตว์ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับในคนนั้น
    มันมิใช่โปรตีนที่เป็นอาหารของร่างกายมนุษย์
    โปรตีนจากพืชผักและเมล็ดธัญพืชต่างหาก
    ที่พระผู้สร้างทรงกำหนดเอาไว้ให้มนุษย์กินได้

    2.สอบตกบททดสอบ
    เพราะคิดผิด ตัดสินใจผิด กระทำผิด
    ต่อเงื่อนไขสำคัญๆในบทเรียนนี้

    ตัวอย่างที่สำคัญเป็นพิเศษ คือ
    คนที่คิดว่าตนเองแก่แล้ว เกษียณแล้ว

    บางคนเป็นข้าราชการเกษียณงาน
    พอกลับมาอยู่บ้านก็เปลี่ยนพฤตินิสัย
    วันๆไม่ทำอะไรได้แต่เฝ้าบ้านเลี้ยงหลาน
    อยู่กับโลกส่วนตัวตามลำพัง
    มิได้สร้างประโยชน์อะไรให้กับสังคมโลกอีก
    ทำตัวประเภทเกษียณงาน "เกษียณชีวิต"
    ทั้งๆที่ตอนเกษียณงานร่างกายก็แข็งแรงดีอยู่
    จึงกลายเป็น "ขยะรกโลก" โดยไม่รู้ตัว

    เนื่องจากคนพวกนี้เป็น "ขยะ"
    ที่ทำตนไม่มีประโยชน์ต่อโลกอีกแล้ว
    พวกเขาทุกคนจึงถูกกำหนดให้
    มีโรคร้ายๆประจำตัวที่คล้ายๆกัน
    เพื่อจะเร่งวันเวลาให้อายุขัยของกายสังขาร
    เสื่อมสภาพจนมิอาจใช้งานได้เร็วกว่าปกติ
    แปลว่า "โรคร้าย" ที่บันดาลให้เกิดขึ้นนั้น
    ก็เพื่อทำให้ร่างกายมีอายุขัยสั้นลงนั่นเอง

    จึงเห็นได้ว่าคนสูงอายุหลายราย
    จะมีโรคภัยประจำตัวมากกว่าหนึ่งโรคเลยทีเดียว
    ซึ่งเป็นโรคที่เสี่ยงตายได้ทุกเวลานาที เช่น
    ความดัน เบาหวาน โรคหัวใจ
    โรคไต โรคทางเดินหายใจไม่ปกติ เป็นต้น

    ถ้าใครมีอายุมากก็จริง
    แต่ไม่ทำตนเป็นคนเกษียณทุกอย่าง
    ยังมีหน้าที่ทำนั่นโน่นนี่
    ให้มีประโยชน์ต่อครอบครัว สังคม และโลก
    ยังสนุกกับชีวิตประจำวันได้เหมือนวัยเยาว์
    ท่านผู้นั้นจะถูกคัดไว้ให้เป็น #ผู้อาวุโส
    แทนที่จะเป็นผู้เฒ่าชะแรแก่ชะรา
    เหมือนก้อนขนมปังราขึ้นซึ่งรอการบูดเน่า
    ที่ไม่มีประโยชน์กับใครเพราะกินไม่ได้อีกแล้ว

    3.ขาดมหาสติโดยทำตัวเหลวไหล
    ไม่ตั้งใจที่จะเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่นอย่างจริงจัง
    โดยเห็นสงครามโรคครั้งนี้เป็นเรื่องล้อเล่น
    จึงได้แต่แร่ดไปแร่ดมาตลอดทั้งวันคืน

    จับกลุ่มขี่รถมอเตอร์ไซด์ซิ่ง
    จับกลุ่มเล่นการพนัน เสพยาบ้า ค้ายาเสพติด
    บางคนก็ทำตนเป็นอุปสรรคของคนอื่น
    ไม่เคารพกฎหมายไม่ใส่ใจกติกาของสังคม
    บางคนก็ทำตัวเป็น "มารสังคม" เป็นต้น

    ดังนั้น
    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    ท่านจึงมิพักต้องประหลาดใจหรอก
    ที่ผู้ควบคุมกิจกรรมการฝึกอบรม "ไซโคโชว์"
    ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาล
    ต้องคัดคนเหล่านี้ออกจากการเล่นกิจกรรม
    มาเป็น VIP อยู่นอกห้องเรียนโลก

    คนพวกนี้จึงต้องเป็นผู้ป่วย
    ที่แม้จะได้รับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้ว
    พวกเขาก็ยังจะต้องหายไปจากโลก คือ ตาย
    เพราะเป็นคนในสามจำพวกนี้นั่นเอง

    นอกจากนั้นในบางกลุ่มในต่างประเทศ
    หัวหน้ากลุ่มซึ่งเป็นผู้นำประเทศนั้นๆ
    ก็จะตัดสินใจปล่อยให้ "คนชรา" วัยหกสิบอัพ
    ผู้ติดเชื้อโรคร้ายในกิจกรรมเดียวกันนี้
    ปล่อยให้ทุกข์ทรมานจนตายอยู่กับบ้าน
    ไม่รับเข้าบำบัดรักษาในโรงพยาบาล
    โดยเลือกรับเฉพาะคนหนุ่มคนสาวเท่านั้น
    เพราะเห็นว่าคนชรามีค่าน้อยกว่านั่นแหละ

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

    แม้ว่าการตัดสินใจปล่อยให้ตายไม่รับดูแล
    จะเป็นการสอบตกจิตสำนึกแห่งการเป็นมนุษย์
    ซึ่งผู้นำจะต้องมีจิตใจสูงคือรักประชาชน
    อันเป็นการรักเพื่อให้ชีวิตใหม่แก่ทุกคน
    ไม่ว่าเพศไหนวัยใดก็ต้องรักเพื่อให้ได้ทั้งนั้น

    แต่มันก็มิใช่หน้าที่ของผู้นำกลุ่มใน ตปท.
    ที่จะตัดสินใจทอดทิ้ง ปชช.ของตนให้ต้องตาย
    อย่างน่าอเนจอนาถอยู่ข้างถนนหรือในบ้าน
    แม้ว่าเขาต้องตายเพราะถูกฟ้าคัดทิ้งกันอยู่แล้ว

    เราจะกล่าวย้ำให้ท่านรู้ว่า

    จงทำให้อายุเป็นเพียงตัวเลข
    อย่าสาปแช่งตนเองว่าแก่แล้ว ชราแล้ว พอแล้ว
    ตัวเลขแค่ 60 ยังมิใช่หลัก 100
    ตัวเลขหลัก 100 ก็ยังมิใช่ 200
    หากคิดได้ก็จงปฏิบัติตนในชีวิตไปตามปกติ
    ทำทุกสิ่งที่ทำได้ ให้ทุกสิ่งที่ให้ได้
    เน้นการทำเพื่อให้ เลิกงกเลิกโลภ

    คนชราที่เดินทางไปหาความตาย
    เพราะไม่สนุกกับการมีชีวิตบนโลกอีกแล้ว
    เพราะไม่มีงานภารธุระเพื่อสังคมเพื่อโลกแล้ว
    เพราะเป็นที่พึ่งหรือเป็นประโยชน์กับใคร
    ไม่ได้อีกแล้ว

    ปฏิบัติการชำระโลกขององค์จิตจักรวาล
    ในทุกภัยพิบัติที่ถูกส่งเข้ามาในระบบโลก
    กลุ่มเป้าหมายที่จะถูกพิพากษาคัดทิ้งก่อน
    คือบุคคล 3 จำพวกนี้แหละท่าน

    กราบพระบาทพระบิดาฯ

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    6/04/2020 FB_IMG_1586133494307.jpg
     
  7. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    #สนทนาประสาจิตจักรวาล

    "ประสบการณ์ #CoVID19"
    ****************************
    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

    ขณะนี้ทั่วทั้งโลก
    กำลังอยู่ในขั้นตอนปฏิบัติการชำระโลก
    ตามพระบัญชาแห่งพระผู้สร้าง
    หรือองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
    เพื่อที่จะนำโลกกับมนุษย์และทุกสรรพสิ่ง
    เปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคพลังงานใหม่
    ที่โลกเสรีนี้จะมีอะไรๆที่มันดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

    ซึ่งเราเองได้เปิดเผยข่าวสารการชำระโลก
    ให้ท่านทั้งหลายได้รับรู้กันล่วงหน้า
    มานานไม่น้อยกว่า 30 ปีเศษแล้ว
    โดยเน้นย้ำต่อท่านทั้งหลายว่า
    พระองค์จะทรงชำระโลกด้วยมหันตภัยพิบัติ
    ในลักษณะของ "พระตีกลองเพล"
    คือมันจะค่อยๆรัวถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
    ซึ่งแรกๆภัยพิบัติจะเกิดขึ้นทีละอย่าง
    นานวันเข้าก็จะเกิดพร้อมกันมากกว่าหนึ่งอย่าง

    เพื่อให้มนุษยต้องรบศึกหลายด้าน
    เพื่อให้เกิดการชำระขยะวัตถุเทคโนโลยี
    เพื่อให้เกิดการชำระคนที่เป็น "ขยะ" รกโลก
    ให้ออกไปเสียจากระบบโลก

    เพื่อชำระจิตบอดใจบาปของมนุษย์ส่วนมาก
    ที่มีจิตสามนึกตกต่ำเกินเยียวยา
    จนไม่รู้จักว่าความรักเพื่อให้คืออย่างไร
    จนไม่รู้ว่าจะใช้อำนาจทางปัญญาได้อย่างไร
    เพราะจิตติดอยู่กับกิเลสตัณหา
    เคยตัวอยู่กับการใช้อารมณ์นำสติปัญญา
    จนทำให้โลกที่เคยเป็นสวรรค์บนดินของพระองค์
    ต้องกลายสภาพเป็น "นรกบนดิน" ที่ไม่น่าอยู่ไป

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

    พระองค์ไม่สามารถรั้งรอเวลา
    ด้วยการยอมปล่อยให้มนุษย์ทำร้ายโลก
    จนเกิดการเสียสมดุลในทุกมิติมากไปกว่านี้ได้อีก
    เพราะทรงให้โอกาสมนุษย์มานาน
    โดยทรงเลื่อนกำหนดการพิพากษาโลก
    ผ่านมาแล้วถึง 3 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว
    ทรงพบว่ามนุษย์ยิ่งทำร้ายโลกกันหนักขึ้น
    เพราะจิตสามนึกมนุษย์ดิ่งลงเร็วเกินคาด

    ทั้งๆที่รู้ว่า "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว"
    แต่เมื่อลงมือปฏิบัติธรรมเข้าจริงๆ
    ก็กลับ "บวชแต่กาย" มิได้ "บวชที่จิตใจ"
    ขณะที่หลายรายก็ "บวชแต่ที่ปาก"

    ส่วนใหญ่จะเน้นการครองศีลปฏิบัติธรรมกัน
    ตามคำสั่งสอนของคนนำทาง
    และตามคัมภีร์ธรรมของศาสนา
    โดยไม่เคยคิดรู้ว่าสิ่งดีๆที่จำมาทำกันอยู่นั้น
    มีดีอย่างไรเหมาะควรอย่างไรตนจึงต้องทำตาม
    เพียงแค่ศรัทธาคนนำทางที่กล่าวสอน
    ศรัทธาศาสดาหรือศาสนานั้นๆก็เชื่อตามทำตาม

    จึงยังผลให้ "ผลกรรมทางจิตวิญญาณ" ด้านบวก
    จากการประพฤติดีของตนเองนั้น
    มิอาจช่วยกันสั่นสะเทือนจิตสำนึกที่แกนโลกได้
    จนยังผลให้การมาเกิดเป็นมนุษย์ของจิตวิญญาณ
    ไม่อาจทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกได้
    ตามที่ให้สัจจะสัญญาต่อพระบิดาฯไว้
    ทุกภพชาติที่เกิดมาหลายคนจึงเป็นดั่งกาฝาก

    แม้ได้โอกาสเวียนตายเวียนเกิดมาหลายภพชาติ
    ก็มิอาจเกิดสติทางวิญญาณกันเองได้เลย
    เพราะมิติทางปัญญาถูกปิดไว้
    จนหลงผิดไปก้าวตามคนนำทางตาบอดเข้า
    โลกนี้จึงเต็มไปด้วยความไร้วินัยไร้ระเบียบ
    โลกนี้จึงเต็มไปด้วย "ขยะ" ทั้งสองมิติ
    คือ ขยะคน ขยะวัตถุ ขยะเทคโนโลยี
    รวมทั้งขยะประจุลบที่จิตเสียสมดุลไปในทางต่ำ
    ผลิตสร้างกันออกมาเป็นอิเลคตรอนอิสระ
    จนกระจายขยะไปทั่วทั้งบรรยากาศโลก
    ทำให้เป็นภาระของช่างเทคนิกต้องคอยตามเก็บ
    เพื่อชำระขยะพลังงานเหล่านี้ทิ้งให้
    ในรูปของฟ้าแลบ ฟ้าผ่า และพายุฝนกระหน่ำ
    เพื่อจะทำลายประจุลบขยะให้ฟ้าเป็นกลางนั่นเอง

    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

    เมื่อจิตสามนึกมนุษย์โดยรวมตกต่ำ
    การสร้างสมดุลโลกทั้งระบบ
    ก่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่
    จึงจำเป็นต้องคัดบางสิ่งที่เป็นขยะทิ้งไป
    แล้วคัดเอาแต่สิ่งที่จะคู่ควรกับโลกไว้

    ดังนั้น
    ปฏิบัติการช่วยเหลือมนุษย์โลกขั้นตอนแรก
    คือให้โอกาสทุกคนทั้งโลก
    เข้าสู่กระบวนการไซโคโชว์ของ "ปริญญา"
    ด้วยหลักสูตร "สงครามโรค สงครามรัก"
    ในบทเรียนกิจกรรมชื่อ CoVID-19

    เพื่อทดสอบจิตสามนึกคนทั้งโลกด้านบวกว่า
    รักได้ ให้อภัยเป็น ไม่เห็นแก่ตัว
    เมื่อเผชิญกับเงื่อนไขในหลักสูตรนี้หรือไม่
    สามารถเข้าถึงการใช้สติปัญญาเมื่อเจอปัญหา
    ด้วยการตัดสินใจตอบสนองได้ถูกต้องหรือไม่
    หรือยังใช้สันดานที่เคยตัวกับสัญชาตญาณสัตว์
    ที่เป็นคุณสมบัติดั้งเดิมติดตัวอยู่

    หลายคนจะถูกคัดออกมาเป็นผู้เล่นตัวจริง
    ขณะที่จำนวนคนมากกว่าจะคัดแยกไว้
    เพื่อให้เล่นบทเป็นคนดูเรียนรู้ผ่านคนอื่น

    เราจะบอกความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
    กระบวนการฝึกอบรมและทดสอบจิตสำนึกครั้งนี้
    จะแบ่งกระบวนการออกเป็น 3 ระดับ

    ระดับที่ 1
    จะเน้นทำการฝึกทักษะและทดสอบ
    หากใครพลาดทำสอบตกบททดสอบ
    ก็ให้โอกาสเรียนรู้ที่จะแก้ไขใหม่อีกครั้ง
    ด้วยการให้เงื่อนไขใหม่ที่ยากกว่าเดิม
    ซึ่งเราได้เปิดเผยความลับนี้ตลอดมาอยู่แล้ว
    โดยจะยังไม่มีการคัดออกหรือคัดทิ้ง

    ขั้นตอนนี้มันผ่านการประเมินไปแล้ว
    เราพบว่าส่วนใหญ่ทั้งผู้นำกลุ่มและผู้ตาม
    พากันสอบตกบททดสอบจิตสำนึกเป็นส่วนมาก

    ระดับที่ 2
    มนุษย์โลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย
    จึงได้รับยาแรงขึ้นกว่าเดิมกล่าวคือ

    คนที่เคยนั่งดูต้องกลับมาเป็นผู้เล่นด้วย
    คนทั้งโลกต้องเป็นผู้เล่นตัวจริงเผชิญโรคจริง
    โดยไม่ต้องเรียนรู้ผ่านผู้อื่นอีกต่อไปแล้ว
    ดังท่านจะเห็นว่าโรคระบาดยังควบคุมไม่ได้
    คนป่วยคนตายยังเพิ่มตัวเลขเป็นรายวัน

    นอกจากนั้นรัฐบาลก็ออก พรก.ฉุกเฉินมาใช้
    ทำให้ท่านทั้งหลายใช้จิตสำนึกของตนไม่ได้
    ต้องเจอเงื่อนไขแรง คือ "ถูกบังคับ" ให้ทำ
    คือห้ามออกจากบ้านในเวลาที่กำหนด
    ใครฝ่าฝืนถูกจำคุกหรือถูกปรับเงินหลักหมื่น
    นี่คือเงื่อนไขใหม่ๆที่เป็นยาแรง

    ขั้นตอนนี้ "ฑูตสวรรค์" จะไม่เป็นพี่เลี้ยงแล้ว
    เดิมจะคอยกำกับควบคุมอุปกรณ์ฝึกอบรม
    คือ เชื้อโคโรน่าไวรัส
    ให้จำกัดอยู่ในเฉพาะพื้นที่เป้าหมายเท่านั้น
    แต่เงื่อนไขยาแรงก็คือไม่กำกับจำกัดให้แล้ว
    พวกท่านคนไหนไร้สำนึกพาตนเองไปรับเชื้อ
    หรือพาตัวเองไปแพร่เชื้อสู่คนอื่น
    โดยยังแร่ดไปแร่ดมาไม่รู้สติไม่เชื่อนายกฯ
    คราวนี้ใครสอบตกเป็นตาย สอบได้เป็นรอด
    เราจึงขอเตือนพวกท่านอีกครั้ง

    ระดับที่ 3
    ถ้าพวกท่านยังพากันสอบตกในระดับสองกันอีก
    คราวนี้เงื่อนไขสุดท้ายที่พวกท่านต้องเผชิญ
    ซึ่งมันจะยากสุดๆตั้งแต่เข้าร่วมกิจกรรมกันมา
    ตั้งแต่ต้นมกราคมถึงเมษายนศกนี้เลยก็คือ

    1.ยาแรงขนานแรกก็คือ
    ผู้นำกลุ่มหรือผู้นำประเทศของท่าน
    จะช่วยพระบิดาออกคำสั่งปิดจังหวัดปิดประเทศ
    โดยจะห้ามมิให้ใครเดินทางข้ามจังหวัด
    ห้ามมิให้มีใครเดินทางเข้าออกประเทศเด็ดขาด

    เงื่อนไขนี้จะบีบคั้นให้ท่าน
    เคารพกติกาสังคมละเลิกการมักง่ายไร้วินัย
    ที่ส่วนใหญ่ติดสันดานเคยตัวกันอยู่
    ถ้าใครสอบผ่านคนนั้นรอด
    ไม่ต้องถูกคัดทิ้งหรือถูกคัดออก

    2.ยาแรงขนานต่อมาก็คือ
    ข้าวปลาอาหารจะขาดแคลนแน่นอน
    เพราะซื้อหายากขึ้นหรือไม่สะดวกที่จะออกไปซื้อ
    พวกที่จิตตกก็จะแย่งกันซื้อมากักตุน
    พวกที่จิตสำนึกต่ำทรามก็จะขโมยจี้ปล้นเขากิน
    คนที่จิตดีก็จะมีจิตสำนึก "แบ่งปัน" เกิดขึ้น
    รู้จักคิดถึงหัวอกของคนอื่นกันมากขึ้น

    ที่สำนึกดีกว่านั้นคือการสร้างนิสัยใหม่
    มีอะไรกินก็กินไม่คิดจะกินอาหารเหลาเริดหรูอีก
    จะถูกทำให้รู้จักประหยัดอดออมมากขึ้น
    เพราะมีเงินสดเต็มบ้านมันก็ซื้อความหรูไม่ได้

    3.ยาแรงขนานที่สามก็คือ
    คนที่ประพฤติชั่ว เห็นแก่ตัว แบ่งแยกชนชั้น
    จะถูกคนส่วนใหญ่พากันตั้งแง่รังเกียจไม่คบหา
    จนแสวงหาความสุขในสังคมไม่ได้
    ต้องขังตัวเองอยู่อย่างซึมเศร้า
    กลายเป็น ปสด...ก จมอยู่กับโรคภัยไม่มีใครแล
    จนต้องทำร้ายตัวเองตายแบบใดแบบหนึ่ง

    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    ทุกอย่างที่เรากล่าวมาล้วนเป็นความจริง

    นอกจากสิ่งเลวร้ายแล้ว
    สิ่งดีๆเหล่านี้มันจะเกิดขึ้นในสังคมโลก
    ที่ท่านเองจะไม่เคยเห็นภาพชัดเจนมาก่อน
    ท่านทั้งหลายจะเห็นภาพของ "คนดี" ที่มีน้อยมาก
    จะถูกคัดแยกออกจาก "คนชั่ว" อย่างเป็นรูปธรรม

    ทั้งหมดนี้เป็นแค่ภัยพิบัติระลอกแรก
    ที่สั่นสะเทือนไปทั้งโลกในทุกองคาพยพแล้ว
    ยังมีภัยพิบัติอื่นๆกำลังเป็นคลื่นไล่ตามเข้ามา
    เราหวังว่าปฏิบัติการไซโคโชว์พร้อมกันทั้งโลก
    จะช่วยสร้างความพร้อมต่อการผจญภัย
    ให้แก่ท่านทั้งหลายได้อย่างมั่นใจขึ้นบ้างว่า
    ทุกท่านสามารถพึ่งตัวเองได้แน่แล้ว

    เราคงไม่เสียแรงที่นำกระบวนการไซโคโชว์
    มาฝึกอบรมพัฒนาจิตปัญญาหรือจิตสำนึก
    ให้กับหน่วยงานโรงพยาบาลและองค์กรต่างๆ
    เกือบจะทุกอำเภอมาแล้วทั่วประเทศ

    แม้บุคลากรในบางหน่วยงานจะไม่เห็นคุณค่า
    เพราะไม่เข้าใจปฏิบัติการทางจิตวิญญาณ
    ที่พระบิดาส่งเรารีบกลับมาช่วยเหลือ
    เพื่อสร้างพลังทางจิตปัญญาให้กับพวกท่าน
    และเติมพลังทางวิญญาณไว้ให้เต็มสูบ
    เตรียมพร้อมที่จะรับมือภัยพิบัติทั้งหลาย
    อย่างมั่นใจเต็มที่
    ด้วยกระบวนการเรียนรู้ที่สนุกสนานเข้าถึงง่าย
    จนคนที่ไม่ใช้ปัญญามากมาย
    สัมผัสแก่นสารสาระไม่ได้จึงไม่เห็นคุณค่า

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

    คนทั้งโลกที่ไม่เคยมีโอกาสรู้จัก PsychoShow
    กำลังถูกต้อนเข้าห้องเรียนโลก
    เพื่อร่วมกิจกรรมสำคัญคือสงครามเชื้อโรค
    โดยประสบการณ์ก็ไม่มี ทักษะก็ไม่มี
    จักต้องเผชิญเงื่อนไขที่เป็นปัญหา
    เพื่อพิสูจน์ว่ามีความฉลาดทางปัญญาจริงไหม
    เพื่อพิสูจน์ว่าสามารถที่จะรักตนเองและผู้อื่นไหม
    เพื่อพิสูจน์ว่าสามารถรักสังคมรักประเทศชาติไหม
    เพื่อพิสูจน์ว่าเข้ากันกับคนอื่นที่แตกต่างได้ไหม
    เพื่อพิสูจน์ว่ามีความกล้าหาญอย่างแท้จริงไหม
    ฯลฯ

    แน่นอนว่า
    ทุกองคาพยพบนโลกใบนี้
    มันจะถูก "เซ็ทซีโร่" ทั้งหมด
    ใครปรับตัวได้ดีก็สอบผ่าน
    ใครสันดานแข็งกร้าวปรับตัวไม่ได้ก็สอบตก

    ทั้งหมดที่กล่าวนี้
    เป็นการตอบคำถามหลายคนที่เคยถามเรา
    แต่คนถามไม่ศรัทธาเราจึงจากเราไปนานแล้ว
    โดยพวกเขาถามเราว่า....

    พระบิดาฯเป็นใคร? ต้องชำระโลกทำไม?
    ตัวเราน่ะเป็น "ใคร" ? ทำไมรู้มากจัง?
    เสียดายที่พวกเขาไม่อยู่เพื่อพิสูจน์ว่า
    การรู้มากนี้รู้จริงหรือแค่ fake news กันแน่

    เราขอให้เทพแห่งอัคคี "ฟีนิกซ์เบิร์ด"
    จงกางปีกแห่งรักปกป้องท่านที่เป็นคนดี
    ผู้ที่ไม่กินเลือดเนื้อของสัตว์
    ปฏิบัติตนตามมรรควิถีจิตจักรวาล
    เคารพเชื่อฟังพระโอวาทพระบิดาฯ
    เลิกก้าวตามคนนำทางตาบอด
    เลิกฝักใฝ่อุตริในดงมาร

    ผู้ไม่เกียจคร้านเข้าห้องเรียน
    ผู้อ่อนน้อมถ่อมตนทุกๆท่าน
    จงสอบผ่านทุกบททดสอบใหญ่นี้ไปให้ได้
    แม้ว่าเวทีจะไม่มีพี่เลี้ยงแล้ว
    แต่ยังมีเรากับเงาแห่งฟีนิกซ์เบิร์ด
    แอบลุ้นช่วยพวกท่านในการสอบอย่างจิตระทึก

    กราบพระบาทพระบิดาฯ

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    6/04/2020 FB_IMG_1586223615819.jpg
     
  8. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    #สนทนาประสาจิตจักรวาล

    "ประสบการณ์ #CoVID19"
    ****************************
    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    เราขอกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

    เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา
    เราได้รับจดหมายสำคัญพิเศษฉบับหนึ่ง
    ซึ่งส่งมาทางกล่องข้อความในเฟสบุ้ค
    จากโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง
    ในกรุงโทรอนโท ประเทศ...แคนาดา

    ท่านเป็นแพทย์หญิงซึ่งเป็นคนไทย
    ได้เมตตาให้เราเอ่ยนามของท่านได้
    เพื่อยืนยันว่าคุณหมอเป็นผู้มีตัวตนอยู่จริง
    และสามารถเปิดเผยเรื่องราวสำคัญต่างๆ
    ที่ไม่ผิดกฎของโรงพยาบาลที่ท่านสังกัดอยู่
    เพื่อเป็นวิทยาทานและเป็นขวัญกำลังใจ
    สำหรับพี่น้องคนไทยที่กำลังสู้ศึกสงคราม
    กับโคโรน่าไวรัสมรณะ "โรคโควิด-19" กันอยู่

    เราจึงขออนุญาตนำเอาบทความล่าสุด
    ที่คุณหมอเขียนถึงเราทุกถ้อยความ
    มาเปิดเผยต่อท่านทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้
    คุณหมอท่านเขียนมาเป็นภาษาอังกฤษว่า...
    <3 <3 <3 <3 <3 <3 <3 <3 <3

    #Requesting
    respectfully to post a speech
    to thank the professors for the degree.

    ขออนุญาตโพสต์
    คำกล่าวขอบคุณท่านอาจารย์ปริญญา
    ที่ให้การช่วยเหลือมาด้วยความเคารพ
    *******************************************
    #Master's Degree
    For compassion, guiding and sending
    the psychic power of love
    and compassion to help me and my team
    escape from the illness of Covid 19 safely.

    ขอขอบคุณท่านอาจารย์ปริญญา ตันสกุล
    ที่ได้กรุณาให้คำแนะนำและส่งพลังจิตแห่งรัก
    เพื่อช่วยเหลือดิฉันและทีมแพทย์ทุกคน
    จนหายจากการป่วยด้วยโรค Covid 19
    ได้อย่างปลอดภัย

    #Thank you to the kind
    and generous teacher
    who warns and helps others all around,
    do not underestimate and understand life.

    ขอขอบคุณในความมีน้ำใจอันไพศาล
    ของท่านอาจารย์ผู้มีเมตตาต่อคนทั้งโลก
    ผู้เตือนให้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท
    และให้มีความฉลาดในการดำเนินชีวิต

    #Thank you Master Metta
    Information for self-defense
    Warned with love and great concern

    ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เมตตา
    ในการแนะนำวิธีการต่อสู้กับโรคร้ายนี้
    ด้วยความรักและห่วงใยอันใหญ่ยิ่ง
    จนทำให้ดิฉันและทีมแพทย์ทุกคน
    หายขาดจากโรค "โควิด-19" นี้มาได้

    #Bow and admire
    น้อมกราบคารวะด้วยความปิติยิ่ง
    Amen

    Dr. Than Namthip Kangphaphan, MD.
    คุณหมอธารน้ำทิพย์ กางพาพันธุ์ (คิม)
    ********************************************

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
    เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

    เพราะมนุษย์ทุกท่านเป็นคนสองมิติ
    หากจะต่อสู้กับเชื้อโรคร้ายทั้งหลาย
    ท่านจะใส่ใจแต่มิติของกายสังขารไม่ได้
    ต้องให้ความสำคัญกับมิติทางวิญญาณด้วย

    กรณีที่เป็นประสบการณ์ของคุณหมอ "คิม"
    กับทีมแพทย์อีกสามท่านและผู้ป่วยอีกสาม
    รวมทั้งสิ้น 7 ท่าน ที่เรากำลังกล่าวถึงนี้
    เป็นเครื่องยืนยันต่อท่านทั้งหลาย
    โดยเฉพาะทีมแพทย์พยาบาลนักรบด่านหน้า
    ให้มั่นใจได้ว่าโรคร้ายนี้หายได้แน่นอน

    ถ้ารักษาการป่วยทางด้านจิตวิญญาณ
    ควบคู่กับการรักษาอาการป่วยด้านกายภาพ
    ตามหลักวิชาการแพทย์ควบคู่กันไปด้วย
    ก็จะเป็นการทำศึกสงครามกับเชื้อโรค
    ด้วยศาสตร์ด้านอภิปรัชญา (Meta-physics)
    ซึ่งเป็นศาสตร์แห่งจิตจักรวาลสากลไปทันที
    มิใช่บำบัดรักษาแต่กายสังขารที่เป็นศาสตร์โลก

    เพราะการป่วยด้วยโรคบางอย่างนั้น
    เช่นโรค "โควิด-19" ที่กำลังแพร่ระบาดนี้
    ถูกกำหนดให้มนุษย์ป่วยทางจิตวิญญาณ
    ร่วมกับการป่วยของกายสังขารด้วย

    ในกาลอดีตที่ผ่านมา
    โรคบางโรคในคนหลายคนจึงรักษาไม่หาย
    ในที่สุดก็ต้องทุกข์ทรมานไปจนตายก็มี
    เพราะมุ่งแต่การบำบัดรักษาทางกายภาพ
    โดยไม่รู้ตนเองว่าเมื่อกายสังขารป่วยจิตก็ป่วย
    เมื่อจิตป่วยกายสังขารก็จะป่วยตาม

    ดังนั้น
    ในกรณีของคุณหมอและทีมแพทย์
    จากโรงพยาบาลในโทรอนโท ที่แคนาดา
    พระบิดาฯทรงมีเมตตาให้เป็น Case Study
    เพื่อจะบอกให้บุตรมนุษย์ทั้งหลายรู้ว่า

    ในยุคพลังงานใหม่แม้ช่วงการเปลี่ยนผ่าน
    จะแยกศาสตร์ด้านกายภาพของสมองซีกซ้าย
    ออกจากศาสตร์ด้านจิตวิญญาณ
    ที่เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต
    ซึ่งต้องใช้สมองซีกขวาต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
    เพราะภัยพิบัติใหญ่ในหมวดของโรคร้าย
    ที่จะส่งมาให้มนุษย์ได้เผชิญกันอีกในครั้งหน้า
    ต้องใช้ศาสตร์ด้านอภิปรัชญารวมสองมิติ
    เข้าป้องกันตนเองและจิตวิญญาณเท่านั้น
    หากใครไม่เห็นค่าเพราะอัตตาเยอะอยู่
    มีคำตอบเดียวเมื่อเจอบททดสอบคือ "สอบตก"

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
    เราจะกล่าวความจริงในกรณีคุณหมอ "คิม"
    ให้ท่านทั้งหลายทราบความเป็นมาว่า

    เราได้รับการติดต่อจากเพื่อนรักของหมอ
    ที่อยู่ในประเทศไทยและเป็นยุวจิตจักรวาลด้วย
    ผ่านทางกล่องข้อความมาว่า...
    ***********************************************
    "กราบเรียนท่านอาจารย์เมตตา

    กราบขอข้อแนะนำการปฏิบัติตน
    เพื่อแนะนำถ่ายทอดไปให้แฟนของกระผม
    ซึ่งขณะนี้ได้ติดเชื้อ #โควิด
    และพักอยู่ที่ รพ.โตรอนโต แคนาดาครับ
    ในภาวะเช่นนั้นเค้าควรปฏิบัติ ยกระดับจิต
    หรือควรเกิดการเรียนรู้อย่างไรบ้าง
    เพื่อการข้ามพ้นโรคร้ายนี้ครับ

    หมายเหตุ :
    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณหมอคิมที่ติดเชื้อ
    เธอเป็นแพทย์ไทยที่ไปเรียนต่อ
    เฉพาะทางด้านสมองที่โตรอนโตครับ
    พื้นฐานเป็นผู้ฝักใฝ่ในธรรมทั้งครอบครัว
    และคุณหมอเองทานเจมาตลอดครับ

    จนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้เข้าเวรแทนเพื่อน
    โดยทำเคสผ่าตัดสมองผู้ป่วย
    ที่มาจากประเทศกรีซ 1 ราย
    ซึ่งภายหลังพบว่าผู้ป่วยรายนี้ติดเชื้อโรคโควิด

    หลังผ่าตัดทีมแพทย์ 2 คนและพยาบาล 2 คน
    มีไข้ขึ้นสูงพร้อมกันทั้งทีม และตรวจพบว่า
    เข้าข่ายติดเชื้อครับ

    กราบขอท่านอาจารย์เมตตา
    ให้ข้อแนะนำและหากคำถามมิสมควร
    กระผมกราบขอประทานอภัยอย่างสูงครับ

    กราบพระบาทพระบิดาเมตตา
    กราบพระบุตรเอกเมตตาครับ"

    11/03/2020

    เราจึงส่งข้อความตอบกลับไปว่า
    ถ้าจะให้ช่วยคุณหมอและคณะด้านจิตวิญญาณ
    ก็ให้ทุกท่านปฏิบัติตามดังต่อไปนี้

    1.คุณหมอต้องรู้จักพระบิดาฯ
    คือ องค์จิตจักรวาล
    คุณหมอต้องรู้จักผมและต้องรู้จัก Phoenix Bird ก่อน

    2 เมื่อรู้จักดีแล้วก็ต้องฝึก
    ทำสามเหลี่ยมกับพระบิดาฯผ่านมาทางเรา
    (หาวิธีทำสามเหลี่ยมใน fb.ที่เราเคยสื่อสอนไว้แล้ว)
    เพื่อร้องขอความเมตตาจากพระองค์
    และจากเทพเจ้าแห่งอัคคี "ฟีนิกซ์"
    ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาว่า
    พระองค์จะทรงช่วยคุณหมอได้แน่ๆ

    3 อธิษฐานขอแล้ว
    ให้นำน้ำดื่มมา 1 ขวด หรือ 1 แก้ว ตามต้องการ
    แล้วนำเอาภาพนกฟีนิกซ์
    ซึ่งเราจัดส่งให้คุณหมอทางกล่องข้อความ
    วางไว้ด้านล่างของแก้วน้ำหรือขวดน้ำนั้น

    แล้วตั้งจิตอธิษฐานขอให้น้ำดื่ม
    กลายเป็นน้ำทิพย์ศักดิ์สิทธิ์
    เพื่อช่วยสกัดกั้นการแพร่กระจายของไวรัส
    ในร่างกายอย่างฉับพลัน
    ในทันทีที่จิบดื่ม
    ค่อยๆจิบตลอดวัน
    หมดแล้วทำใหม่-ดื่มไปเรื่อยๆ

    ด้วยพระเมตตาของพระบิดาฯ
    พระบุตรเอกและเทพเจ้าแห่งอัคคีฟีนิกซ์
    จะช่วยคุณหมอให้ปลอดภัยจากไวรัสได้ในที่สุด

    จงเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำว่า "หายแน่"
    จงศรัทธาพระบิดา พระบุตรเอก
    และเทพเจ้าแห่งอัคคี
    อย่างมั่นคง อย่าลังเล อย่าสงสัย

    คุณหมอมีจิตวิญญาณเป็นเทพ
    ขันอาสาพระบิดาฯลงมาเกิดเป็นแพทย์
    เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
    พระองค์จะทรงเมตตาแน่
    แต่คุณหมอต้องถือ 4 อย่างให้ได้ คือ

    1.งดกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด
    2.รักทุกคนให้ได้ ให้อภัยทุกคนให้เป็น
    โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น
    3.ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยเมตตา
    มิใช่ทำด้วยเงินตรา
    เพราะพระบิดาประทานเงินตราให้อยู่แล้ว

    4.ห้ามคุณหมอโกรธใคร หงุดหงิดใคร
    เพราะจิตตก ขาดสติเด็ดขาด

    เพื่อมิให้ในร่างกายมีประจุไฟฟ้าลบ
    สะสมอยู่จำนวนมาก
    เพราะเชื้อโรคไวรัสตัวร้าย
    เขาจะกินประจุลบเป็นอาหาร
    คนที่มีประจุลบมากๆ
    คนที่พักผ่อนน้อยๆจนภูมิต้านทานต่ำ
    และคนที่ป่วยเกี่ยวกับปอด
    หลอดลม ไม่แข็งแรง
    คือบุคคลเป้าหมายของ โควิด-19

    ขอพระบืดาแห่งจิตวิญญาณ
    และเทพเจ้าแห่งอัคคี
    ทรงเมตตาคุ้มครองคุณหมอ
    ให้หายไปจากโรคโดยพลัน

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    11/03/2020
    <3 <3 <3 <3 <3 <3

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

    หลังจากนั้นเราก็ได้รับความคืบหน้า
    จากคุณหมอคิมกลับมา
    เมื่อวันที่ 13 มี.ค.2563 ความว่า
    .............................................
    Thank you very much
    Thank you, Master degree
    for helping Kim.
    ขอบพระคุณอย่างสูง
    ขอบพระคุณท่านอาจารย์ปริญญา

    Thank you, Good,
    now I have a fever 35.7
    No cough, sore throat, I have meditated
    and Thotachai made holy water
    with pictures of monks sent to make nectar.
    Drink and distribute. The drinking team.
    Before I drank every patient,
    they were greatly reduced.

    ขอบพระทัยพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
    ขณะนี้ดิฉันมีไข้ลดลงเหลือ 35.7 องศาแล้ว
    ไม่มีอาการไอและไม่เจ็บคออีก
    หลังจากดื่ม "น้ำทิพย์" อมฤตแห่งเทพฟีนิกซ์
    ด้วยพระเมตตาแห่งพระบิดา
    จากการอธิษฐานจิตจากภาพ "เทพแห่งอัคคี"
    ที่เราได้แนะนำให้ทำด้วยตนเองเพราะอยู่ไกล

    คุณหมอได้แบ่งปันน้ำทิพย์ที่อธิษฐานเอง
    ให้แก่เพื่อนแพทย์อีกสามท่านได้ดื่มด้วย
    ปรากฏว่าอีกสามท่านอาการไข้สูงก็ลดลงเช่นกัน

    I believe in the blessings of the Father,
    the blessings of mercy
    and the love that Master has sent.
    The power of love can really help.
    I would like to salute the Master
    with respect.

    คุณหมอแจ้งว่าเธอเชื่อมั่นว่า
    อาการไข้ที่ลดลงโดยพลันของคณะแพทย์
    เกิดจากการร้องขอพระเมตตาจากพระบิดา
    เป็นพระพรของพระองค์ที่ทรงประทานให้
    และเป็นพลังแห่งรักที่เราแผ่พลังส่งไปให้

    คุณหมอยืนยันว่า
    พลังอำนาจแห่งความรักทั้งหมดทั้งสิ้น
    สามารถช่วยให้เธอและคณะแพทย์
    มีอาการไข้ลดลงได้จริงๆ
    คุณหมอจึงคารวะเรามาด้วยความเคารพ

    นี่เป็นข้อความที่มีมาถึงเราอีกครั้ง
    จากเพื่อนรักของคุณหมอคิม
    ที่อยู่ในประเทศไทย
    ในวันที่ 29 มีนาคม 2563 ความว่า....
    *****************************************
    กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ

    พอดีวันนี้คุณหมอคิม
    ได้เล่าให้ทราบเรื่องปาฏิหาริย์
    ของการอธิษฐานขอพระบิดา
    และเทพฟินิกส์เมตตาครับ

    ช่วงเย็นวานนี้ตามเวลาของแคนาดา
    คุณหมอคิมได้นำน้ำขิงผง
    ที่ผมส่งไปให้จากไทย
    นำใส่พานถวายพระบนโต๊ะพระ
    และตั้งจิตอธิษฐานขอพรแด่พระบิดา
    เทพฟินิกส์ และพระบุตรเอกเมตตา

    หลังจากนั้นได้ตั้งสมาธิ
    ขอขมากรรมต่อเจ้ากรรมนายเวร
    และได้นำน้ำขิงชงใส่แก้วไปให้ผู้ป่วย 7 คนดื่ม
    ซึ่งได้แก่ทีมแพทย์และพยาบาล
    ที่ป่วยรอบก่อน 4 คน (รวมหมอคิม)
    และมีป่วยเพิ่มอีก 1 คน
    รวมคนไข้ที่ยังไม่หายดี 4 คน
    และคนไข้ใหม่ซึ่งไม่ได้เป็น จนท.อีก 3 คน
    รวมผู้ที่ยังไม่หายทั้งหมด 7 คน

    ทั้ง 7 คนก่อนดื่มน้ำขิง
    คุณหมอได้นำภาพเทพฟินิกส์
    ที่ท่านอาจารย์ส่งให้
    นำไปถ่ายเอกสาร ให้ทุกคนกอดไว้ที่อก
    และตั้งจิตอธิษฐานขอพระบิดา
    เทพฟินิกส์และท่านอาจารย์ปริญญาทรงเมตตา
    โดยสงบนิ่งตั้งจิตกันคนละ 3 นาที
    ก่อนที่จะดื่มน้ำขิงครับ

    #ผลปรากฏว่าวันนี้ไปตรวจ
    #ทุกๆคนไม่พบเชื้อและไม่มีไข้

    เป็นเรื่องอัศจรรย์มาก
    จนจะมีนักข่าวมาสัมภาษณ์เลยครับ
    แต่คุณหมอไม่อาจให้สัมภาษณ์ได้
    เพราะเกรงจะผิดระเบียบโรงพยาบาล

    คนไข้รายนึงถึงขนาดจะนำดอกไม้
    มากราบขอบพระคุณคุณหมอ
    แต่คุณหมอบอกว่า
    ให้กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ปริญญา
    ท่านเมตตาครับ

    เป็นข่าวดีสำหรับวันนี้ครับ

    กราบพระบาทพระบิดาเมตตา
    กราบขอบพระคุณพระบุตรเอก
    และเทพฟินิกส์เมตตา

    เอเมน สาธุครับ

    หมายเหตุพิเศษ:
    เราต้องอนุโมทนาบุญกับเพื่อนรักของหมอคิม
    ที่เป็นสะพานเชื่อมโยงคุณหมอและทีมแพทย์
    อีกทั้งคนป่วยที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล
    ในโทรอนโท ประเทศแคนาดารวม 7 ท่าน
    ให้เข้าถึงพระบิดาผ่านมาทางเทพแห่งอัคคี
    ผู้ที่เป็นแก่นแท้แห่งความเป็นเรา

    เพื่อเป็นเคสตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงบนโลกนี้ว่า
    ศาสตร์แห่งอภิปรัชญาเท่านั้น
    ที่จะบันดาลชีวิตใหม่ให้มนุษย์โลก
    ซึ่งเป็น "คนสองมิติ" ได้อย่างอัศจรรย์
    มิใช่การเป็นคนมิติเดียวที่ขาดพร่อง

    จงรับรู้เอาไว้ว่า
    คนป่วยด้วยโรคโควิด-19
    ที่เข้านอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล
    ทั้งๆที่ยังไม่มียารักษาโรคโดยตรง
    ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน
    ได้แต่รักษาไปตามอาการ
    หลายคนยังหายป่วยกลับบ้านได้
    อย่างเหลือเชื่อ

    เพราะพระบิดาทรงเมตตา
    ให้เรากล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
    การรักษาโรคด้วยวิธีฆ่าเชื้อโรคเป็นวิธีที่ผิด
    เช่นกรณีโคโรน่าไวรัส
    ที่โจมตีปอดกับหลอดลม
    เพราะบริเวณนั้นมีประจุลบและบวกเยอะมาก
    ไวรัสจึงรุมจู่โจมเม็ดเลือดที่ตรงนั้น
    ทำให้เซลบริเวณนั้นเกิดการอักเสบ
    จนมีคำสั่งให้เซลนั้นๆทำลายตัวเอง
    นานวันเข้าหลอดลมพังปอดพังไปตามๆกัน

    กว่าจะคิดค้นยาและวัคซีนตัวจริงได้
    เราบอกแล้วว่าให้เวลาอย่างน้อย 18 เดือน
    เพื่อให้ภายใน 18 เดือนที่ยังไม่มียานี้แหละ
    เป็นเงื่อนไขให้เกิดสติทางวิญญาณ
    ให้มนุษย์เปลี่ยนวิธีคิดใหม่ว่า
    ทำอย่างไรจะเป็นพวกเดียวกันกับเชื้อโรคได้
    โดยไม่ต้องไปทำร้ายพวกเขา
    และไม่หาเรื่องให้เขาหันกลับมาทำร้ายท่าน

    นี่เป็นโจทย์ข้อใหม่ที่ยิ่งใหญ่
    ในปฏิบัติการไซโคโชว์แห่งโลกใบนี้
    ที่รอการมีสำนึกของมนุษย์ด้วยสมองซีกขวา
    ที่ไม่ค่อยได้ใช้จนเชื้อราจะขึ้นสมองกันอยู่แล้ว

    ขอบคุณหมอคิม (นางฟ้าที่น่ารัก)
    ที่กรุณาอนุญาตให้นำเรื่องราวจากประสบการณ์
    มาเปิดเผยต่อพี่น้องคนไทยและชาวโลก
    ให้เปลี่ยนวิธีคิดใหม่เพื่อเปลี่ยนเชื้อโรคให้เป็นมิตร
    เหมือนดั่งเราใช้ปีกแห่งรักจากเทพฟีนิกซ์
    ช่วยให้ทีมแพทย์และคนป่วยทั้ง 7 ท่าน
    หายขาดจากโรคโควิด-19 อย่างน่ามหัศจรรย์

    เราขอเป็นกำลังใจให้ทีมแพทย์-พยาบาลทั่วโลก
    เรียนรู้ที่จะเป็นมิตรกับเชื้อโรคทั้งหลาย
    ด้วยการมีคุณสมบัติด้านบวก
    จนสามารถทำหน้าที่ได้อย่างปลอดภัยกันทุกคน

    กราบพระบาทพระบิดาฯ

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    7/04/2020 FB_IMG_1586223615819.jpg
     
  9. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    #สนทนาประสาจิตจักรวาล

    "คนนำทางตาบอดมิใช่ศาสดา"

    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

    ในปลายยุคพลังงานเก่า
    ซึ่งหมายถึงกาลเวลาในปัจจุบันนี้
    พระผู้เป็นเจ้าเหนือสิ่งทั้งปวงหรือพระเจ้า
    ทรงมีพระบัญชาให้เหล่าฑูตสวรรค์ทั้งหลาย
    เร่งลงหัตถ์ปฏิบัติการชำระโลก
    เพื่อนำโลกเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่
    ตามที่พระองค์ทรงพิพากษาไว้
    อย่างเคร่งครัดจัดเต็มกันแล้ว

    หากพี่ๆน้องๆทั้งหลาย
    ยังทำเชือนแชแลเห็นภัยพิบัติร้ายๆ
    ที่ถูกส่งเข้ามา "ชำระโลก" ชำระจิตสำนึกมนุษย์
    เป็นเรื่องของภัยธรรมชาติตามปกติ
    โดยงัดเอาสถิติมาเอ่ยอ้างปลอบใจตนเองว่า
    เหตุการณ์นั้นนี้มันจะเกิดทุกเท่านั้นปีเท่านี้ปี
    ท่านผู้นั้นก็จะเป็นคนหนึ่งที่ได้กระทำผิดมหันต์
    จักมีโอกาส "ถูกคัดทิ้ง" ออกไปจากระบบโลก
    หมดโอกาสได้เป็นมนุษย์ยุคพลังงานใหม่
    หมดโอกาสได้หลุดพ้นกลับบ้านที่ตนจากมา
    กลับไปอยู่กับพระบิดาคือพระผู้เป็นเจ้าดังเดิมได้
    ซึ่งกาลเวลาที่ว่านั้นบัดนี้มาถึงแล้ว

    หากพี่ๆน้องๆทั้งหลาย
    ยังคงก้าวตาม "คนนำทางตาบอด" กันอยู่อีก
    โดยหวังใจให้พวกเขาช่วยก้าวนำ
    พาจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านทั้งหลาย
    ที่หมายใจกันไว้ว่าปรารถนาจะ "หลุดพ้น"
    ก้าวไปสู่เป้าหมายนั้นเหมือนพันๆปีที่ผ่านมา
    พวกเขาทั้งหลายก็จักพาพวกท่าน
    เดิน "หลงทาง" กันอยู่อย่างเดิมอีกแน่นอน

    ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
    ต่อให้ใช้เวลาก้าวตามกันไปอีกนานสักกี่ภพชาติ
    พวกท่านก็จะมิอาจเข้าถึงปลายทางนั้นได้
    เพราะคนนำทางที่พวกท่านก้าวตามกันอยู่นั้น
    เป็น "คนนำทางตาบอด" ผู้มีตะเกียงที่ไร้น้ำมัน
    จึงเป็นคนนำทางที่ไม่มีแสงสว่างส่องทาง
    เพราะตะเกียงคือสมองของพวกเขาจุดไม่ติด
    จึงต้องใช้วิธีก้าวเดินนำทางอย่างสะเปะสะปะ
    จนไม่สามารถที่จะพาท่านเดินให้ตรงทางได้

    ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นซึ่งสำคัญมากๆด้วยก็คือ
    พวกเขากำลังขันอาสาพาท่านทั้งหลาย
    ดำเนินไปยังสถานที่ๆพวกเขาเองก็ไม่เคยไป
    จึงยังไม่รู้ว่าเส้นทางที่ถูกต้องนั้นไปทางใด

    พวกเขาจึงพาใครต่อใครหลายคน "หลุดลอย"
    ขึ้นไปแขวนค้างต่องแต่งกันอยู่บนสวรรค์มายา
    อันเป็นดินแดนที่พระบิดามิได้ทรงสร้างไว้
    แต่มันเกิดมายาขึ้นมาได้และมีขึ้นมาจริงๆ
    เพราะมนุษย์ใช้ความงมงายสร้างมันขึ้นมาเอง
    เมื่อสร้างมันขึ้นมาแล้วก็เกิดความพึงใจติดใจ
    จึงตกหลุมพรางมายาแห่งจิตตนนั้นไปในที่สุด

    พวกเขาจึงชวนท่านให้หลงสวรรค์สร้างวิมาน
    สอนท่านให้หลงเชื่อว่าแดนนิพพานอยู่บนนั้น
    ซึ่งมันเป็นนิพพานเทียมเท็จ
    เพราะพวกเขาหลงผิดคิดว่าการนิพพานนั้น
    คือตายไปจากโลกแล้วจะไม่ย้อนกลับมาเกิดอีก
    ทั้งๆที่การนิพพานทางจิตวิญญาณที่แท้จริง
    หมายถึงท่านสามารถดับการเกิดดับในทุกสิ่ง
    แปลว่าจะไม่มีตัวตนหรือมายาใดๆ
    ที่สำแดงว่ายังมีตัวท่านอยู่ในจักรวาลนี้อีกเลย

    ที่เรากล่าวว่าเป็นนิพพานเทียมเท็จ
    เพราะจิตวิญญาณคนนำทางตาบอดเหล่านี้
    เมื่อทิ้งกายสังขารไปจากภพชาติมนุษย์แล้ว
    พวกเขาสามารถดับสังสารวัฏในระบบโลกได้
    โดยไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่อีกสมใจนึกก็จริงนะ
    แต่จิตวิญญาณยังคงไปเกิดเป็นเทพเทวดา
    สถิตย์อยู่ในวิมานมายาบนสวรรค์นั้นแทน
    ซึ่งรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณยังอยู่ครบ
    พวกเขาจึงจะเหมาว่าตน "นิพพาน" แล้วไม่ได้

    ถ้าท่านยังหลงก้าวตามคนนำทางตาบอดอยู่
    จิตวิญญาณของท่านก็จะถูกชักจูง
    ให้หลุดลอยไปแขวนค้างอยู่บนนั้น
    จนกลายเป็นดั่งขยะพลังงานรกจักรวาล

    หากพวกเขายังปฏิเสธพระโอวาทของพระบิดา
    ที่ทรงสื่อผ่านเรามายังระบบโลก
    โดยทรง "เปิดมิติ" ให้พวกเขารับรู้พระโอวาท
    พร้อมๆกันกับท่านทั้งหลายบนโลกมนุษย์ด้วย
    เพื่อสร้างสติและความมีสำนึกทางวิญญาณ
    ให้เลิกงมงายคลายการยึดติดความเชื่อที่ผิดๆ
    จนพาตนเองและใครต่อใคร
    หลงทางนิพพานกันมานานนับพันปี
    เพื่อกลับเข้าสู่มรรควิถีแห่งจิตจักรวาลแล้ว
    จิตวิญญาณขยะของพวกเขาที่หลุดลอยอยู่
    ฑูตสวรรค์จะชำระด้วยการระเบิดทิ้งไปในที่สุด

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

    คนนำทางตาบอดอีกพวกหนึ่ง
    ที่หลายคนก็เฝ้าก้าวตามพวกเขาอยู่
    ถูกสอนให้เชื่อว่า
    เมื่อใดก็ตามที่พระบิดาฯทรงพิพากษาโลก
    พระศาสดาของพวกเขาคือพระบุตรเอก
    จะเสด็จกลับมาตามสัญญา
    เพื่อนำพาลูกแกะคือผู้นับถือศาสนาของตน
    กลับไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าได้

    โดยสอนให้เชื่อว่า
    ในยุคสุดท้ายแกะทุกตัวบนโลกเสรีนี้
    จะมีเหลือแค่เพียงฝูงดียวเท่านั้น
    โดยจะมีนายชุมพาบาลคือคนเลี้ยงดูแกะ
    เพียงแค่หนึ่งเดียวคนเดียวเช่นกัน
    ซึ่งคนนำทางตาบอดถอดความหมายว่า

    ในวันเวลาที่พระบิดาทรงพิพากษาโลก
    อันหมายถึงวันนี้เวลานี้ขณะนี้นี่แหละท่าน
    ทั้งโลกจะมีเพียงศาสนาพวกตนศาสนาเดียว
    คนทุกศาสนาจักต้องมารวมกันหมดทั้งโลก
    ซึ่งจะมีพระบุตรเอกที่กลับมาตามสัญญา
    เป็นพระศาสดาเพียงแค่พระองค์เดียวเท่านั้น

    นอกจากนั้นพวกเขายังเชื่ออีกด้วยว่า
    พระผู้เสด็จกลับมาเท่านั้นแหละ
    ที่จะทำพิธีล้างบาปให้พวกตนได้รับความรอด
    เพื่อกลับคืนสู่สวรรค์นิรันดร
    ไปอยู่กับพระเจ้าที่บนนั้นได้

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

    เพราะสอนผิดเชื่อผิดกันมาเช่นนี้แหละ
    ที่ทำให้เรากล่าวหาว่าพวกเขาทั้งหลาย
    ก็เป็นคนนำทางตาบอดอีกกลุ่มหนึ่งเช่นกัน
    และพวกเขาก็จะพาผู้ก้าวเดินตามหลงทาง

    แม้ว่าพวกเขามีตาก็จะมองไม่เห็น
    แม้ว่าจะมีหูแต่พวกเขาก็จะไม่ได้ยินสุรเสียง
    พระบุตรเอกที่พวกตนแหงนคอรอคอย
    ซึงได้เสด็จกลับมาตามสัญญาตั้งนานแล้ว
    ด้วยมายารูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลง
    แต่มีคุณสมบัติที่ไม่เคยผลัดใบ

    ที่มองไม่เห็นเพราะยึดติดมายารูปลักษณ์
    ที่พวกตนในอดีตชาติได้แกะสลักไว้
    จึงใช้แต่ตาเนื้อเฝ้าคอยแต่แลหา
    โดยมองให้เห็นด้วยปัญญาไม่เป็น

    ที่ไม่ได้ยินสุรเสียงพระบิดา
    ซึ่งทรงสื่อผ่านพระบุตรเอกลงมายังโลกเสรี
    เพราะหลงยึดติดความเชื่อของตนเองว่า
    พระศาสดาที่ตนรอคอยนั้น
    จะต้องกล่าวสอนตามคัมภีร์ศาสนาที่ตนยึดอยู่
    แค่เพียงศาสนาเดียวเล่มเดียวเท่านั้น
    พอได้ยินได้ฟังพระบุตรเอก
    กล่าวถึงสัจธรรมที่มีคำสอนศาสนาอื่นมาด้วย
    ก็พากันปฏิเสธทันทีว่ามิใช่ผู้ที่ตนรอคอย
    โดยกล่าวหาว่าสอนมั่วหรือเป็นลัทธิใหม่

    เป็นกล่าวร้ายโดยมิได้ทันพิจารณาว่า
    การกล่าวสัจธรรมนั้น
    องค์พระผู้เป็นเจ้าพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
    พระองค์ทรงประทานโอวาทลงมาถึงบุตรมนุษย์
    สัจธรรมทุกบททุกพระคำที่บุตรเอกกล่าว
    เป็นการกล่าวตามที่พระองค์ทรงสื่อสอนมา
    มิได้กล่าวเองตามความรู้ความเชื่อส่วนตน

    เนื่องจากสัจธรรมทั้งจักรวาล
    ล้วนมีพระองค์ทรงเป็นต้นธารทั้งสิ้น
    ไม่ว่าศาสดาพระองค์ที่พบสัจธรรมในธรรมชาติ
    แล้วนำมาประกาศสอนต่อมวลมนุษย์
    หรือเป็นศาสดาที่มาจากพระเจ้า
    ผู้กล่าวพระโอวาทในพระนามแห่งพระเจ้า
    ทุกสัจธรรมล้วนมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น

    ดังนั้น
    ในการพิพากษาโลกของพระบิดานี้
    ด้วยความรักที่มีต่อพวกท่านทั้งหลาย
    ที่ติดค้างอยู่ในอนันตจักรวาลมานานนับพันปี
    โดยไม่มีผู้ใดชี้ทางกลับบ้านให้ท่านได้
    พระองค์จึงทรงกระทำอยู่ 3 สิ่ง คือ

    1.ทรงมีพระบัญชาให้เรารีบกลับมา
    เพื่อแจ้งข่าวสารการชำระโลกด้วยภัยพิบัติ
    เพื่อแจ้งข่าวสารการปิดยุคพลังงานเก่า
    เพื่อนำทุกท่านเข้าสู่กระบวนการไซโคโชว์
    ในการฝึกทักษะการใช้จิตสามนึก
    ด้วยการเร่งชำระจิตใจให้ใสสวย
    และช่วยติดอาวุธทางปัญญาให้พวกท่าน
    ใช้ฟันฝ่าบทเรียนโลกและบททดสอบ
    ในรูปของภัยพิบัติต่างๆให้ได้รับความรอด
    เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่

    2.เพื่อกลับมายกเลิกคนนำทางตาบอด
    ที่ทำให้พี่ๆน้องๆบนโลกเสรีนี้คิดเข้าใจผิดว่า
    พวกเขาเสมอเป็นพระศาสดาของโลก
    ที่พวกท่านต้องเชื่อฟัง เชื่อตามและทำตาม
    โดยไม่มีโอกาสได้คิดตามและคิดตามไม่เป็น
    เพราะตะเกียงที่มีอยู่ไม่มีน้ำมันจึงไร้แสง
    เนื่องจากพวกท่านถูกสอนให้เชื่อตาม
    ความคิดเห็นของพวกเขาที่ตีความกันเอาเอง
    โดยไม่เคยฝึกไม่เคยสอนให้ท่านคิดตาม
    ท่านทั้งหลายจึงไม่รู้ว่าไหนคือการสอนผิด
    จึงทำให้อนุตรธรรมของพระบิดาเบี่ยงเบนไป

    ตัวอย่างเช่น

    สอนให้เชื่อผิดๆว่าพระศาสดา
    ช่วยไถ่บาปคือรับบาปแทนตนให้พ้นผิดได้

    สอนให้เชื่อผิดๆว่าในยุคสุดท้าย
    พระศาสดาที่จะทรงเสด็จกลับมาตามสัญญา
    จะกล่าวพระโอวาทในนามศาสนาเดิมในอดีต
    สำหรับพวกตนที่ยอมรับในพระเจ้าเท่านั้น
    พระองค์จะไม่ทรงกล่าวสัจธรรมใดๆ
    ที่ตนจำได้ว่าในศาสนาอื่นๆเขาเคยกล่าวไว้
    ถ้าผู้ใดกล่าวแสดงว่าผู้นั้นมิใช่พระผู้ที่ตนคอย

    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

    พระบุตรเอกที่จะกลับมาตามสัญญา
    เพื่อเข้ามาฉุดช่วยลูกแกะของพระบิดานั้น
    จะมีเพียงพระองค์เดียวตามที่พวกเขาเชื่อ
    แต่พระองค์ก็มิได้เสด็จมาเพื่อทำหน้าที่
    สืบทอดต่อยอดศาสนาใดๆที่พวกเขาคิดกัน

    พระองค์เสด็จกลับมากล่าวพระโอวาท
    ในพระนามองค์จิตจักรวาลหรือพระเจ้า
    ด้วยสัจธรรมทั้งสามระดับ คือ

    1.อนุตรธรรม
    ที่พระบิดาทรงเป็นผู้สื่อลงมาให้
    โดยพระบุตรเอกพระองค์เดียว
    จะทรงเป็นผู้กล่าวตามให้ชาวโลกรู้

    2.โลกิยธรรม
    ที่พระศาสดาแต่ละพระองค์
    เป็นผู้ศึกษาเรียนรู้จากธรรมชาติ
    แล้วนำมาแบ่งปันต่อสาวกและชาวบ้าน
    ซึ่งพระบุตรเอกจะนำบางตอนมากล่าวสอน
    เพื่อติดอาวุธทางปัญญาให้มนุษย์ยุคสุดท้าย
    ใช้เรียนรู้ทุกสิ่งรอบตัวได้ด้วยตนเอง

    3.โลกุตรธรรม
    พระบุตรเอกจะกลับมาติดอาวุธทางปัญญา
    ให้มนุษย์ในยุคสุดท้ายใช้สังเคราะห์สัจธรรม
    จากโลกิยธรรมที่เรียนรู้ได้จากธรรมชาติ
    ให้เกิดองค์ความรู้ที่จะนำมาใช้
    ในการสร้างตนเองร่วมกับผู้อื่นและโลก
    ให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวกันให้จงได้

    เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้แล้ว
    การกล่าวพระโอวาทในพระนามพระบิดา
    จะมิให้มีสัจธรรมที่ศาสดาศาสนาอื่น
    เขาเคยกล่าวสอนไว้บ้างได้อย่างไร
    คนนำทางพวกนี้จึงตาบอดอีกเรื่องหนึ่งแล้ว

    3.เพื่อกลับมาปฏิบัติการไซโคโชว์
    ในฐานะวิทยากรประจำโลก
    คู่ขนานไปกับภัยพิบัติต่างๆที่จะเกิดขึ้นบนโลก
    โดยเปิดเผยให้รู้ที่มาที่ไปว่าอะไรอย่างไร

    นอกจากนั้น
    ยังมีหน้าที่ต้องกระทำอีก 7 อย่าง คือ

    1.วางเงื่อนไขบททดสอบ
    2.เป็นผู้คอยให้คำปรึกษาแก่ชาวโลก
    3.ชี้แนวทางสร้างแนวคิด
    4.กระตุ้นจิตสามนึกของชาวโลก
    5.ดำเนินกิจกรรมตามบทเรียนที่กำหนด
    6.ประเมินผลด้านพฤติกรรม
    7.คัดทิ้งและคัดไว้
    ตามเป้าหมายในแผนการชำระโลก เป็นต้น

    ท่านทั้งหลายจงจำไว้ว่า
    ความเชื่อผิดๆที่คนนำทางตาบอดปลูกฝังไว้
    เราจะค่อยๆนำมาเปิดเผยไว้ในห้องเรียนนี้

    จงยอมรับการติดอาวุธทางปัญญาของเรา
    เพื่อช่วยท่านให้มีอำนาจทางปัญญาในตนเอง
    โดยไม่ต้องเชื่อตามใครให้หลงทางอีก
    จะได้พึ่งตนเองเพื่อหลุดพ้นกลับบ้านได้เสียที

    จงจำไว้ว่าพระผู้สัญญาว่าจะกลับมา
    จะมิได้มีหน้าตารูปลักษณ์เหมือนอดีตอีก
    ท่านจะจำได้ด้วยจิตปัญญาของท่านเท่านั้น
    มิใช่จำได้เพียงฟังด้วยหูหรือแค่ดูด้วยตา

    จงจำไว้ว่าต่อนี้ไป
    คนนำทางตาบอดทุกค่ายทุกศาสนา
    ได้ถูกยกเลิกภารกิจการนำทางหมดแล้ว
    คำว่า "พระศาสดา" ก็ไม่มีแล้ว
    คงมีแค่เพียงคำว่า "พระบิดา"
    กับคำว่า "พระบุตรเอก" เท่านั้น

    ที่เรากล่าวมาตั้งแต่ต้นของบทสนทนานี้
    เรากล่าวในพระนามพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
    เรากล่าวตามความจริงทุกถ้อยคำ
    เรากล่าวตามความรักที่มีต่อท่านทั้งหลาย

    กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    8/04/2020 FB_IMG_1586304797207.jpg
     
  10. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    #สนทนาประสาจิตจักรวาล

    "ประสบการณ์ #CoVID19"
    ****************************
    "ท่านผู้นำจงอย่าสอบตกด้านจิตสำนึก"

    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

    การฝึกอบรมปฏิบัติการ "ไซโคโชว์"
    สำหรับมนุษย์ทุกคนทุกฝ่ายในห้องเรียนโลก
    ก็เป็นเครื่องมือสำคัญชิ้นหนึ่งเหมือนกัน
    ในการยกระดับจิตปัญญาพัฒนาจิตสำนึกมนุษย์
    ที่กำลังตกต่ำดิ่งลงเหวจนยากจะแก้ไขอยู่
    ให้กลับคืนสู่จิตสำนึกที่สมดุลในเวลาอันสั้น

    พร้อมกันกับการออกแบบทดสอบ
    ด้วยเงื่อนไขต่างๆในการเผชิญภัยพิบัติ
    ตามหลักสูตรและกิจกรรมในบทเรียน
    ซึ่งเราได้กำหนดให้พวกท่าน "เล่น"
    เพื่อการ "คัดทิ้ง" ออกจากเวทีไปเป็น V.I.P
    เพราะพิสูจน์แล้วว่าเป็นมนุษย์ไม่เป็น

    การถูกคัดทิ้งออกไปเป็น วีไอพี ในเกมส์นั้น
    หมายถึงคนที่สอบตกทั้งหลาย
    จะไม่มีโอกาสได้เล่นเป็นมนุษย์กับเพื่อนๆอีก
    โดยวิธี "คัดทิ้ง" จากภัยพิบัติที่จัดเป็นบทเรียน
    อย่างกรณีหลักสูตร #CoVID19 นี้
    บทลงโทษจะเป็นรางวัลด้านลบคือความตาย
    ขณะที่บางรายอาจจะไม่ชี้เป็นชี้ตายในทันที
    เพราะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานก่อนตาย
    หรือไม่ก็ยังมีบางสิ่งที่จิตวิญญาณท่านผู้นั้น
    รอที่จะเรียนรู้อยู่อีกในภัยพิบัติลำดับถัดไปก็ได้

    แต่สำหรับฝ่ายหัวหน้ากลุ่มหรือผู้นำประเทศ
    ถ้ามีการสอบตกเพราะจิตใจต่ำทราม
    ด้วยการร่วมมือกันทุจริตคอรัปชั่น
    ในยามประเทศชาติและ ปชช.อยู่ในวิกฤต
    โดยใช้สถานการณ์โรคระบาดและความทุกข์
    ที่ประชาชนของตนกำลังเดือดร้อนอยู่นี้
    มาเป็นเครื่องมือแสวงทรัพย์ประโยชน์
    เพราะขาดสติทางวิญญาณอย่างน่าอาย
    จิตสำนึกรักประชาชนของตนจึงไม่มี

    โดยไม่รู้ว่าวิกฤตโลกวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้
    มันเป็นหนึ่งในแผนปฏิบัติการของพระบิดาฯ
    เพื่อปฏิบัติการชำระมนุษย์กับโลกโดยตรง
    ซึ่งคนที่เกิดมาอาสาว่าจะเป็นผู้นำและทีมงาน
    จะทำการทรยศต่อพระบิดาอกตัญญูต่อ ปชช.
    ด้วยการฉ้อฉลคดโกงเล่นนอกบทนอกเกมมิได้
    จะถือเป็นการสอบตกของผู้นำที่ให้อภัยมิได้

    ถ้าสอบตกเพราะความโง่จึงตัดสินใจผิดพลาด
    ถ้าสอบตกเพราะขาดวิสัยทัศน์จึงคาดไม่ถึง
    จนยังผลให้ชาติและ ปชช.ต้องทุกข์ยาก

    กรณีตัวอย่างคือการตั้งรับเชื้อโรคแบบมวยวัด
    โดยไม่วางแผนทำสงครามกับโรคระบาดมรณะ
    ด้วยการจัดทัพรับศึกอย่างเป็นระบบ
    โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มเพื่อความง่าย
    ในการต่อสู้และตั้งรับเชื้อโรค คือ

    #กลุ่มแรก
    แยกผู้ป่วยติดเชื้อแล้วไว้กลุ่มหนึ่ง
    เพื่อให้การบำบัดรักษาเยียวยาและฟื้นฟูสุขภาพ

    #กลุ่มสอง
    แยกคนที่อยู่ใน "กลุ่มเสี่ยง" ทุกคน
    ซึ่งสงสัยว่าจะเป็นผู้ติดเชื้อและเป็นพาหะนำโรค
    ไปกักกันไว้ในสถานที่พิเศษ
    เพื่อรอตรวจสอบอาการเอาไว้ก่อน
    ภายในเวลาที่ทางการแพทย์กำหนดพิสูจน์

    เพราะพวกเขาเพิ่งกลับมาจาก ตปท.
    ที่ปรากฏว่ามีผู้ติดเชื้อโคโรน่ามรณะอยู่

    เพราะเขาเป็นหนึ่งคนในสนามมวยลุมพินี
    เพราะเขาเป็นหนึ่งคนในแหล่งบันเทิงย่านทองหล่อ
    ซึ่งเป็นแหล่งกระจายเชื้อโรคที่ชัดเจนแล้ว

    เพราะเขาเป็นหนึ่งคน
    ที่เคยสัมผัสใกล้ชิดกับชาวต่างชาติ
    หรือเคยมีปฏิสันถารกับผู้ป่วยโรคนี้มาแล้ว

    รัฐบาลควรจัดสถานที่ให้อยู่เป็นพิเศษ
    ห้ามออกนอกสถานที่ ห้ามญาติเยี่ยม
    แต่ไม่ห้ามใช้เครื่องมือสื่อสาร เป็นต้น

    #กลุ่มสาม
    คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มใหญ่ของประเทศ
    รัฐบาลไม่ควรให้คนกลุ่มนี้ต้องเดือดร้อน
    จากการออกกฎบังคับคนในกลุ่มที่สอง
    จนกระทบต่อความมีอิสระในการดำเนินชีวิต
    ทั้งๆที่คนส่วนใหญ่มิใช่บุคคลอันตราย
    ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นผู้แพร่เชื้อโรคเลย

    ที่ผ่านมารัฐขอร้องให้คนในกลุ่มที่ไม่เสี่ยง
    เสียสละประโยชน์สุขส่วนตนแก่ส่วนรวม
    ด้วยการไม่ยอมแยกคนกลุ่มสองออกไป
    ยังปล่อยให้คนกลุ่มเสี่ยงที่มีจำนวนน้อยกว่า
    แทรกซึมอยู่กับคนส่วนใหญ่ที่เขาไม่เสี่ยง
    จนแยกไม่ออกว่าใครคือผู้เสี่ยงจะเป็นพาหะ
    ใครคือคนปกติที่เสี่ยงจะเป็นผู้ติดโรคบ้าง

    เพราะตัดสินใจผิด
    เพราะไม่ฉลาดในการบริหารและการจัดการ
    เพราะขาดวิสัยทัศน์ในการมองอนาคต
    จึงยังผลให้การแพร่ระบาดของโรคร้าย
    เป็นปัญหาใหญ่ของสังคมดังที่เป็นอยู่
    ทำให้คนทั้งประเทศตกอยู่ในสภาวะทุกข์
    ซึ่งเป็นเวรกรรมที่คนในชาติต้องรับกรรมไว้
    เพราะเป็นฝ่ายเลือกคณะผู้นำของตนขึ้นมา

    ทุกข์จากปัญหาการเว้นห่างทางสังคม
    ทุกข์จากปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง
    เพราะต้องหยุดทำงานหยุดการผลิต

    ทุกข์จากปัญหาอาชญากรรม
    เพราะหลายคนอดหยากไม่มีจะกิน

    ทุกข์จากความเครียด
    เพราะเกิดความกดดันจากการถูกบังคับ
    ตามข้อกฎหมายที่ตนต้องให้ความร่วมมือ
    จากการไม่อิสระในการดำเนินชีวิตประจำวัน

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

    เพราะการตัดสินใจผิดพลาดของผู้นำ
    เกิดจากความไม่ฉลาดและขาดวิสัยทัศน์
    ผู้นำกับ ปชช.ก็จะได้รับผลกรรมร่วมกัน
    ในปัญหาความทุกข์ยากทางโลกที่จะเกิดขึ้น
    ซึ่ง "จิตจักรวาล" จะไม่เข้าไปแทรกแซง
    เพื่อปล่อยให้เป็นบทเรียนแห่งความล้มเหลว
    ของคณะรัฐบาลกับประชาชน

    แต่ถ้าเป็นกรณีสอบตกด้านจิตสำนึกของผู้นำ
    ที่ฉวยโอกาสฉ้อฉลคอรัปชั่นไม่สะอาดบริสุทธิ์
    โดยวางแผนการสร้างเงื่อนไข "ซ้อน" เงื่อนไข
    เพื่อสร้างโอกาสชั่วร้ายให้ตนเองได้ประโยชน์
    จากเงินงบประมาณจำนวนมาก
    ที่กู้ยืมมาเพื่ออ้างเยียวยา ปชช.อย่างมีลับลม
    โดยมีแผนการนำเงินมาช่วยอย่างไม่เป็นธรรม
    กับ ปชช.คนเสียภาษีบางกลุ่ม
    ที่ได้รับความเดือดร้อนจากวิกฤตเดียวกัน
    เพราะการกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดของรัฐฯเอง

    ซึ่งหากกรณีเช่นนี้เป็นเรื่องจริง
    มันคือตัวชี้วัดท่านผู้นำและคณะที่มีส่วนร่วม
    จะต้องได้รับผลกรรมจากการ "สอบตก" นี้
    คือทุกคนจะ "ถูกคัดทิ้ง" ให้ออกจากการเล่นทันที
    แต่ผลทางโลกมันจะค่อยๆปรากฏเกิดขึ้นช้าๆ

    ตัวอย่างเช่น
    พวกฉ้อฉลชาติและประชาชน
    เพราะขาดจิตสำนึกแห่งรักเหล่านี้
    จะเกิดความเสื่อมด้านต่างๆดังนี้

    1.ประชาชนเสื่อมศรัทธา
    จะไม่ให้การสนับสนุนอีก
    หรือ จะออกมาต่อต้านอย่างก้าวร้าว

    2.ท่านผู้นำและคณะผู้ฉ้อฉล
    จะถูกลงโทษเป็นรายบุคคล
    ให้เกิดโรคประจำตัวเรื้อรังที่รักษายาก
    หรือแพทย์ไม่พบหนทางรักษา

    จะเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจไม่ปกติ
    เพราะใจร้าย ใจดำ ต่อพี่น้องประชาชน

    จะเจ็บป่วยด้วยโรคเลือดเป็นพิษ
    เพราะเอาเงินของประชาชนไปเป็นของตน
    ทำให้เงินทองที่ฉ้อฉลมานั้นไม่บริสุทธิ์
    เมื่อใช้เงินทองนั้นจับจ่ายซื้อหาของกินของใช้
    จึงทำให้เลือดในร่างกายเป็นพิษจนเจ็บป่วย

    อาการเจ็บป่วยเหล่านี้
    ใครเผชิญกับมันแล้วยิ่งไม่สำนึก
    ก็จะจบชีวิตปิดบทเรียนบททดสอบยิ่งช้านาน
    จะต้องนอนซมซานติดเตียงอย่างทุกข์ทรมาน
    เหมือนรวมความทุกข์ของ ปชช.ทุกคนมาใส่ตัว
    ตราบสิ้นลมหายใจ

    แต่หากคนโกงเมืองรายใด
    ที่ได้รับผลกรรมแล้วสามารถสำนึกได้ไว
    ก็จะโชคดีที่ได้ตายก่อน
    โดยไม่ต้องนอนทุกข์ทรมานอย่างยาวนาน

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

    เราหวังว่าท่านผู้นำและคณะในกลุ่มนี้
    แม้จะบริหารจัดการเตรียม ปชช.สู้สงครามโรค
    ด้วยการกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด
    เพราะขาดปัญญาและไร้วิสัยทัศน์
    ตามที่เราวิเคราะห์ให้เห็นกันมาแล้วนั้น

    พวกท่านคงจะไม่สอบตกด้านจิตสำนึก
    ด้วยการประพฤติผิดตามตัวอย่างที่เรากล่าวไว้
    มิเช่นนั้นคณะผู้นำกลุ่มทั้งหลาย
    จะกลายเป็นใบไม้ที่ต้องถูกสลัดทิ้งไปจากต้น
    หลุดร่วงผล็อยไปจากก้านกิ่งลงสู่พื้นดิน
    ที่จะถูกผู้คนเหยียบย่ำอย่างไม่ใยดี
    แทนที่จะเป็นใบให้ผู้คนได้แหงนคอขึ้นเชิดชม
    อย่างที่พวกท่านสมควรจะเป็น

    จะถูกคัดทิ้งเพราะสอบตกหรือเพราะผิดกติกา
    หรือว่าจะได้ร่วมเล่นบทผู้นำกันต่อไป
    ในกระบวนการไซโคโชว์ของ "ปริญญา"
    วิทยากรดำเนินการเช่นเราเป็นผู้กำหนดกติกา
    แต่ผู้เล่นทุกคนจะเป็นผู้พิพากษาชี้ชะตาตนเอง
    ฟ้ามีตานะท่านทั้งหลาย...

    กราบพระบาทพระบิดาฯที่ทรงเมตตา

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    9/04/2020 FB_IMG_1586392898995.jpg
     
  11. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    #สนทนาประสาจิตจักรวาล

    "ประสบการณ์ #CoVID19"
    ****************************

    "สร้างสมดุลด้วยรักเพื่อให้"

    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า

    เพราะพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
    ทรงกำหนดสร้างทุกสรรพสิ่งขึ้นมา
    ด้วยพลังอำนาจแห่งรักของพระองค์
    ยังผลให้ทุกสรรพสิ่งที่พระองค์สร้าง
    เต็มไปด้วยพลังงานแห่งความรัก
    ทั้งที่สั่นสะเทือนอยู่ภายในรูปธรรมนั้นๆ
    และที่แผ่ผ่านออกมาภายนอก

    โดยทุกสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง
    สามารถดำรงรูปธรรมตนเองอยู่ได้
    ก็ได้อาศัยพลังงานแห่งความรัก
    ของแต่ละอนุภาคแต่ละเซล
    ยึดรั้งซึ่งกันและกันไว้
    จนเกิดเป็นอัตตาตัวตนรูปลักษณ์ขึ้นมาได้
    ซึ่งรวมเรียกว่า "รูปธรรม" นั่นเอง

    แต่ละรูปธรรมของสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง
    ไม่ว่าจะมีรูปแบบเป็นเช่นใด
    จะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม
    พระองค์ก็ทรงกำหนดให้ดำรงอยู่ร่วมกัน
    อย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นสังคม
    ซึ่งทุกรูปธรรมจะอยู่ร่วมกันได้
    ก็ต้องใช้พลังอำนาจแห่งความรักที่ตนมี
    ยึดรั้งซึ่งกันและกันไว้ให้เป็นหนึ่งเดียว
    สังคมนั้นกลุ่มนั้นจึงจะเกิดขึ้นได้
    และจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง

    หินหนึ่งก้อนไม่ว่าเล็กหรือใหญ่
    ที่มันสร้างความเป็นก้อนขึ้นมาได้
    ก็เพราะแต่ละอนุภาคของมวลสารของหิน
    ออกแรงยึดรั้งซึ่งกันและกันไว้อย่างเป็นระบบ
    ถ้าแต่ละอนุภาคออกแรงยึดรั้งกันมากเท่าใด
    หินก้อนนั้นก็จะมีความแข็งแกร่งมากเท่านั้น

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

    ในสังคมมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน
    สมาชิกทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น
    มีหน้าที่ขับเคลื่อนความรัก
    ซึ่งเป็นพลังอำนาจแห่งพระผู้สร้าง
    ที่ทรงประทานไว้ให้จิตวิญญาณของท่าน
    ออกมาจากข้างใน

    โดยใช้ความรักเพื่อให้ตามที่กล่าวนี้
    ปฏิบัติต่อคนอื่นๆในสังคมในรูปแบบต่างๆ
    ทั้งในมิติทางพลังงานด้านของจิตวิญญาณ
    และในมิติโลกทางกายภาพ
    เพื่อเหนี่ยวรั้งความเป็นคนสองมิติเข้าไว้ด้วยกัน

    แต่เนื่องจากมนุษย์ที่เริ่มเดินได้จากวัยกุมาร
    ถูกเสี้ยมสอนให้มีแต่คำว่า "ตัวเอง" ตลอดมา
    มนุษย์ทุกคนจึงทำอะไรๆในชีวิตเพื่อตัวเอง
    โดยไม่เคยคิดถึง "คนอื่นๆ" ที่อยู่รอบข้างเลย

    เมื่อแต่ละคนนึกคิดแต่การทำเพื่อตนเอง
    การต่อสู้แย่งชิง การเอาเปรียบเบียดเบียนกัน
    การทำร้ายหมายชีวิตกันเพื่อให้ได้มา
    ในสิ่งที่ตนเองอยากได้ในสิ่งที่ตนปรารถนา
    มันจึงเกิดขึ้นทั่วแผ่นดินโลกมาทุกยุคทุกสมัย
    จนโลกที่เคยเป็นสวรรค์บนดินของพระบิดาฯ
    กลายสภาพเป็นเหมือนดั่งนรกบนดิน

    จนยังผลให้มนุษย์ทั้งหลาย
    ขาดจิตสำนึกแห่งรักเพื่อให้
    ขาดจิตสำนึกแห่งการเป็นมนุษย์โลกเดียวกัน
    ขาดจิตสำนึกในการพึ่งพาอาศัยกัน
    ขาดจิตสำนึกในการเห็นคุณค่าของกันและกัน
    ขาดจิตสำนึกในการเห็นประโยชน์ที่จะอยู่ร่วมกัน

    เพราะการไร้จิตสำนึกทั้งหมดนี้นี่แหละ
    จึงเป็นที่มาของการต่อสู้เพื่อเอาชนะของมนุษย์
    ถอยไม่ได้ ยอมไม่ได้ แพ้ไม่เป็น

    ขิงก็ราข่าก็แรง มือใครยาวสาวได้สาวเอา
    อิ่มก่อนดูโขนหนัง อิ่มทีหลังเลียถ้วยเลียชาม
    คำกล่าวเหล่านี้เป็นตัวชี้วัดค่านิยมผิดๆได้ดีมาก

    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

    ในหลักสูตร "สงครามโรคสงครามรัก"
    จากบทเรียนผ่านกิจกรรม "โควิด-19"
    ในการฝึกอบรมพัฒนาจิตปัญญาของคนทั้งโลก
    ด้วยกระบวนการ "ไซโคโชว์" ของ "ปริญญา"
    ซึ่งดำเนินมาได้ร่วม 4 เดือนใน 18 เดือนแล้ว
    ก็ยังมีตัวอย่างให้เห็นจากคนเล่นเกมนี้ว่า
    พากัน "สอบตก" ด้านจิตสำนึกแห่งรักกันมาก

    เราลองมาพิจารณาเรื่องโรคโควิด-19 ก็ได้
    ในการทำสงครามเชื้อโรคครั้งนี้หรือที่ผ่านมา
    มนุษย์พยายามที่จะเอาชนะเชื้อโรค
    ด้วยการใช้อำนาจของตนที่เหนือกว่า
    จัดการเชื้อโรคร้ายให้มันตายให้หมด
    เพื่อให้ตัวเองได้รับความรอด คือ เป็นผู้ชนะ

    ด้วยการคิดค้นตัวยาฆ่าเชื้อโรคขึ้นมาสู้
    โดยไม่เคยฉุกคิดเลยว่ายิงฆ่าเขาตายไป
    เชื้อโรคร้ายก็จะพัฒนาตนเองให้ร้ายยิ่งขึ้นอีก
    จนทุกวันนี้คนป่วยด้วยเชื้อโรคชนิดเดียวกัน
    จะใช้ยาตำรับเดิมไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว
    ต้องคิดค้นตัวยาตำรับใหม่ที่เป็นยาแรงขึ้น
    และต้องใช้เวลาในการคิดค้นวิจัยยาวนานขึ้น
    ใครป่วยก่อนทนไม่ไหวจึงอาจต้องตายก่อน
    เพราะทนนอนป่วยรอยาจากห้องแลปไม่ไหว

    ซึ่งวิธีคิดเป็นศัตรูกับเชื้อโรคที่กล่าวนี้
    มนุษย์ใช้หลักคิดแบบนี้มาเสียจนเคยตัวแล้ว
    อะไรนิดอะไรหน่อยก็จะสู้แพ้ชนะไม่รู้
    รู้แต่ว่า "กู" สู้แล้วต้องชนะเท่านั้น

    ปรากฏว่าหลายคนที่ต่อสู้เพื่อเอาชนะเชื้อโรค
    จนตัวเองต้องตายไปแล้วก็หลายชีวิต
    จนต้องนอนป่วยอยู่บนเตียงรอตายก็หลายคน
    โดยคนป่วยทุกคนรวมทั้งคนที่ยังไม่ป่วย
    ต่างมองเชื้อโรคเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันไปหมด
    ทั้งๆที่กฎแห่งจักรวาลของพระบิดาที่ว่า
    ทุกสรรพสิ่งทุกรูปธรรมต้องอยู่ร่วมกัน
    ด้วยพลังอำนาจแห่งรักเพื่อให้เท่านั้น
    พระองค์ไม่เคยตรัสต่อเราและใครๆเลยว่า
    พวกท่านต้องรักกันแต่ให้ยกเว้นเชื้อโรค

    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

    พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างเชื้อโรคตัวจิ๋วขึ้นมา
    ก็เพื่อให้พวกเขาเข้าไปช่วยจับกินประจุลบ
    ในเครื่องยนต์แห่งกรรมของท่าน
    อันเกิดจากการสั่นสะเทือนทางจิตผิดพลาด
    ด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาราคะ
    จนยังผลให้มีการผลิตประจุลบออกมา
    ทำให้ร่างกายท่านเสียสมดุลทางไฟฟ้าไป

    ประจุลบทั้งหลายที่จิตฝ่ายต่ำผลิตออกมา
    มันคือ "ขยะไฟฟ้า" ที่สั่งสมอยู่ในร่างกาย
    หากปล่อยทิ้งไว้จำนวนมากๆนานๆเข้า
    เซลอวัยวะร่างกายทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพ
    กระบวนการทางชีวเคมีในระดับเซลจะตกต่ำ
    และพลังอำนาจทางจิตก็จะเสื่อมลง
    ทำให้พวกท่านมีอายุขัยของกายสังขารสั้นลง
    ภูมิต้านทานโรคภัยก็จะตกต่ำลง เป็นต้น

    เนื่องจากขยะประจุลบในตัวท่านนี้
    มันเป็นสิ่งที่เล็กมาก
    เมื่อเกิดขึ้นภายในร่างกายแล้ว
    จะไม่มีกลไกใดที่จะชำระออกไปให้ท่านได้
    เนื่องจากพระผู้สร้างทรงประสงค์ให้พวกท่าน
    สั่นสะเทือนสภาวะจิตเป็นด้านบวกเท่านั้น
    ทรงไม่คาดคิดว่าพวกท่าน
    จะล้มเหลวในการหมุนธรรมจักร
    จะสอบตกบททดสอบ
    ที่พวกท่านวางแผนร่วมกันเขียนกันมาเอง

    ดังนั้น
    พระองค์จึงทรงสร้างสิ่งที่เรียกว่า Virus ขึ้นมา
    แล้วบัญชาให้พวกเขาเข้าไปชำระขยะไฟฟ้า
    ที่เป็นประจุลบซึ่งพวกท่านผลิตมันขึ้นมานั่นเอง
    ถ้ากล่าวถึงพวกเขาทางด้านบวกก็เรียกว่า "ไวรัส"
    แต่หากกล่าวถึงพวกเขาด้านลบก็เรียก "วายร้าย"

    เนื่องจากว่าไวรัสเหล่านี้
    พวกเขาจะแปลงร่างเป็นวายร้ายทันที
    ถ้ามนุษย์คนนั้นมีขยะประจุลบอยู่เกินขนาด
    โดยประจุลบจะยืดเกาะอยู่กับเม็ดเลือดแดง
    ที่ไหลเวียนไปทั่วเซลอวัยวะและเซลร่างกาย
    ซึ่งแหล่งชุกชุมประจุลบมากสุดก็คือ
    ปอด หลอดลม ไขสันหลัง สมอง หัวใจและตับ

    ไวรัสตัวร้ายจะเกิดจากไวรัสตัวดีที่มีประจุบวก
    ที่เข้าไปจับกินประจุลบจากเม็ดเลือดแดงแล้ว
    ตัวมันเองก็จะเกิดเป็นกลางทางไฟฟ้า
    จากนั้นมันก็จะแบ่งภาคตัวเองจากหนึ่งเป็นสอง
    กลายเป็นคู่แฝดโดยตัวหนึ่งจะเป็นบวก
    กับอีกตัวหนึ่งก็จะเป็นลบโดยแบ่งประจุกัน

    เจ้าตัวที่มีประจุลบนี่แหละคือ "วายร้ายไวรัส"
    มันจะไปแย่งประจุบวกจากเม็ดเลือดแดง
    ที่มีความสมดุลทางไฟฟ้าอยู่มาเป็นของตัว
    ทำให้เม็ดเลือดแดงนั้นกลายเป็นมีประจุลบแทน
    ในที่สุดไวรัสในร่างกายท่านทั้งตัวบวกและลบ
    ก็จะพากันรุมกินโต๊ะพวกท่านอยู่ข้างใน

    ถ้าไวรัสไปแออัดจัดการท่านตรงอวัยวะไหน
    อวัยวะนั้นก็จะถูกทำลายไปทีละน้อยๆ
    โดยเซลที่อักเสบจากเชื้อโรคยึดเกาะ
    เพื่อคอยดักจับเม็ดเลือดแดงที่ไหลผ่าน
    จะมีคำสั่งให้ทำลายตัวเอง
    เพื่อรักษาส่วนที่เหลือไว้

    ดังนั้น
    ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่าไวรัสทั้งหลาย
    มิได้ทำร้ายท่านโดยตรง
    พวกเขาถูกสั่งให้เข้าไปช่วยกำจัดประจุลบให้
    แต่พบว่าพวกท่านทำตัวเหลวไหลเอง
    วันๆผลิตแต่ประจุลบที่เป็นขยะจนเต็มตัว
    ไวรัสเหล่านี้เมื่อพบว่าขยะในตัวท่านมีมากล้น
    จึงพยายามเร่งแบ่งตัวทวีจำนวนเพื่อช่วยท่าน

    แต่หลังการแบ่งตัวกลับสร้างไวรัสตัวร้ายขึ้นมา
    คอยแย่งชิงประจุบวกจากเม็ดเลือดแดงที่ดีแทน

    ถ้าท่านไม่ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสตัณหาราคะ
    โดยสามารถหมุนกรรมจักรได้
    ขยะประจุลบในกายท่านจะมีน้อยมากจนไม่มีเลย
    เมื่อไวรัสเข้าสู่ภายในร่างกายแล้วพบว่า
    ไม่มีขยะประจุลบเป็นอาหารอุดมสมบูรณ์
    พวกเขาก็จะจากไปโดยออกจากร่ายกายท่านเอง
    เพื่อไปหาคนอื่นที่ต้องการความช่วยเหลือต่อไป
    เรื่องของเรื่องจริงๆมันเป็นแบบนี้

    เราจึงย้ำต่อท่านทั้งหลายว่า
    โคโรน่าไวรัสนี้แท้จริงแล้วเป็นไวรัสแห่งความรัก
    เพราะเขาเป็นอาร์เอ็นเอที่มีประจุไฟฟ้าเป็นบวก
    ที่เขากลายเป็นวายร้ายเพราะมนุษย์สอบตกเอง
    พวกท่านจึงต้องแลกด้วยการเจ็บป่วย
    แลกด้วยหลอดลมอักเสบ ปอดบวม น้ำท่วมปอด
    แลกด้วยเซลถุงลมปอดชำรุดเป็นแผลอักเสบ
    แลกด้วยความตายเพราะความไม่รู้ของท่านเอง

    ด้วยวิธีคิดที่ผิดกฎเกณฑ์แห่งรักของจิตจักรวาล
    ที่มนุษย์โลกทำผิดบาปกันมาตลอด
    จนทวีปัญหามาสู่ตนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
    นั่นคือการไม่พยายามจัดการแก้ไขที่ตนเอง
    แต่ไปพยายามทำตนเป็นศัตรูกับเชื้อโรค
    ด้วยการคิดค้นหาแต่ยามาจัดการเชื้อโรค
    แต่ไม่คิดจะหาองค์ธรรมมาเยียวยาจิตใจตนเอง
    เพื่อหยุดการสร้างขยะประจุลบให้จงได้
    โดยไม่ต้องพึ่งพาให้ไวรัสช่วยเหลืออีกชั่วชีวิต

    แต่มนุษย์โลกทั้งหลายไม่ยอมทำที่ตนเอง
    เพราะมีนิสัยต้องการเอาชนะผู้อื่น
    จึงพยายามต่อสู้กับผู้อื่นเพื่อจะเอาชนะ
    ทั้งๆที่รู้ดีว่าต้องแพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้ง
    เพราะสู้กับเชื้อโรคที่ตนมองไม่เห็น
    สู้กันนานวันเข้าก็เครียดจนแทบ ปสด.ตามๆกัน

    เราต้องการให้มนุษย์ทั้งหลาย
    เปลี่ยนวิธีคิดใหม่ว่า
    ท่านจะทำอย่างไรจึงจะไม่เปลี่ยนมิตรเป็นศัตรู
    และทำอย่างไรจึงจะเปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตรได้
    โดยใช้โคโรน่าไวรัส-19 นี้ เป็นครูกันดีมั้ย
    เพราะเป็นการกระทำที่ตัวท่านเอง
    มิใช่กระทำที่ตัวไวรัส
    งานนี้จึงง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วย

    ถ้าท่านทำสำเร็จ
    ท่านจะมีเชื้อโรคของพระบิดากลับมาเป็นมิตร
    สงครามเชื้อโรคในครั้งหน้า
    ท่านหลับตาคิดเอาเองก็ได้ว่า

    ใครกันหนอจะประทานความรอดให้แก่ท่าน
    ใครกันหนอจะกางปีกปกป้องพวกท่าน

    มหัศจรรย์ก็จะเกิดขึ้นบนโลกนี้
    โดยอาจมีตัวท่านเป็นผู้หนึ่งที่ได้ร่วมแสดง
    ถ้าท่านเป็นมิตรกับเชื้อโรคได้ทุกชนิด
    สมกับเป็นยุวจิตจักรวาลทายาท

    กราบพระบาทพระบิดาฯทรงเมตตา

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    10/04/2020 FB_IMG_1586477146058.jpg
     
  12. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    #สนทนาประสาจิตจักรวาล

    "ประสบการณ์ #CoVID19"
    ****************************
    "จงหยุดเพื่ออยู่กับตนเองบ้าง"

    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า

    การฝึกอบรมปฏิบัติการ "ไซโคโชว์"
    สำหรับมนุษย์ทุกคนในห้องเรียนโลก
    ในหลักสูตร #สงครามโรคสงครามรัก
    กับบทเรียนจากกิจกรรม "โควิด-19" นี้

    เรามีเป้าประสงค์เชิงพฤติกรรมอีกอย่างหนึ่ง
    ซึ่งสำคัญต่อคนทั้งโลกเป็นอย่างยิ่ง
    นั่นคือการกำหนดให้แต่ละคนหยุดอยู่กับที่
    โดยเชื้อโรคร้ายทำให้จำต้องหยุดอยู่กับบ้าน
    ทำให้จำต้องทำงานอยู่กับบ้าน
    ทำให้จำต้องใช้ชีวิตอยู่กับคนในครอบครัว
    ทำให้จำต้องมองเรื่องใกล้ตัวกันให้มากขึ้น

    ด้วยเงื่อนไขกลัวจะติดเชื้อโรคร้าย
    เพราะไม่อยากเจ็บป่วย

    ด้วยเงื่อนไขไม่อยากแพร่เชื้อให้ใคร
    เพราะไม่รู้ว่าตนมีเชื้อโรคอยู่ข้างในหรือเปล่า

    ด้วยเงื่อนไขกลัวว่าจะทำผิดกฎหมาย
    เพราะถูกหัวหน้ากลุ่มออก พรก.สั่งเด็ดขาดว่า
    ต้อง "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ"
    งดการเดินทาง งดออกงานสังคมทุกรูปแบบ
    งดเดินเล่นตามห้างสรรพสินค้า
    งดทานข้าวนอกบ้านตามร้านหรูร้านดัง
    ให้อยู่ห่างจากคนอื่นอย่างน้อยสองเมตร

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

    นี่เป็น "เงื่อนไข" ศักดิ์สิทธิ์เพียงข้อเดียว
    ที่นักเรียนทุกท่านชาวโลกทุกคนต้องรู้ว่า
    มันจะทำให้มนุษย์โลกเสรีนี้ในทุกซอกหลืบ
    สามารถ "หยุด" อยู่กับตัวเองได้ทันที
    ซึ่งจะเป็นการหยุดครั้งแรกที่ฟ้าบัญชา
    นับตั้งแต่ท่านก้าวขาย่างเดินเองได้ในวัยกุมาร

    มันมิใช่การหยุดอยู่กับตัวเองชั่วคราว
    ในชีวิตประจำวันตามปกติ
    ด้วยการพักผ่อนนอนหลับประจำวัน
    ด้วยการล้มหมอนนอนป่วย
    เมื่อตื่นแล้วท่านก็ไม่มีอะไรใหม่
    เมื่อหายป่วยแล้วท่านก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
    เพราะ #จิตสำนึกใหม่ ไม่มีการสั่นสะเทือน

    ทั้งๆที่การนอนหลับคือการ "ไร้สติ"
    ไม่ต่างจากการ "ตาย" ไปแล้วแม้ชั่วข้ามคืน
    ส่วนการตื่นคือการ "ฟื้น" คืนสู่ชีวิตใหม่
    ซึ่งเป็นการเกิดใหม่ภายในร่างเดิมนั่นเอง

    พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
    ทรงกำหนดให้บุตรมนุษย์ทุกคนต้องหลับนอน
    เพื่อต้องการให้ทุกคนเกิดสติทางวิญญาณ
    ด้วยการตายแล้วฟื้น ฟื้นแล้วตายกันวันต่อวัน
    เพื่อให้การนอนหลับเป็นการ "เซ็ทซีโร่"

    เพื่อสอนให้ท่านรู้จักการเริ่มต้นใหม่ในวันใหม่
    ด้วยการเรียนรู้ที่จะแก้ไขสิ่งบกพร่องผิดพลาด
    ให้เรียนรู้ที่จะฉลาดมากขึ้นกว่าเดิม
    เพื่อการเปลี่ยนแปลงจากเดิมไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
    เป็นการเรียนรู้ตนเองในทุกด้านจากวันวาน
    ในการหยิบฉวยประสบการณ์อันเลอค่า
    มาเป็นต้นทุนทางจิตตปัญญา
    เพื่อพัฒนาตนเองสู่การเป็นมนุษย์ที่สมดุล

    แม้การล้มหมอนนอนป่วยก็เช่นเดียวกัน
    นั่นคือการสอนให้ท่านมีจิตสำนึกรักตนเอง
    โดยให้เห็นความสำคัญของกายสังขารว่า
    มันเป็นหน้าที่ของท่านจักต้องใส่ใจดูแลให้ดี
    จากการนอนป่วยจนทำอะไรที่อยากทำไม่ได้
    มันจะทำให้ท่านหันมาดูแลกายสังขารมากขึ้น
    ระวังการใช้ชีวิตที่จะไม่มักง่ายกันมากขึ้น
    เพราะไม่อยากเจ็บป่วยให้ทุกข์ทรมานอีกแล้ว

    แต่น่าเสียดายมาก
    ที่มนุษย์โลกส่วนใหญ่เกือบจะทั้งหมด
    ยังประพฤติตนแบบ "ไม่เห็นโลงมิหลั่งน้ำตา"
    กว่าจะมีจิตสำนึกรู้คุณค่าในสิ่งใดๆ
    ก็ต่อเมื่อตนเองได้สูญเสียสิ่งนั้นไปแล้วเสมอ
    ซึ่งเป็นพฤตินิสัยมักง่ายอย่างหนึ่งของมนุษย์

    นอกจากนั้นก่อนจะหลับ
    พระบิดายังให้มนุษย์แต่ละคนมีเวลาช่วงสั้นๆ
    ก่อนที่สมองซีกซ้ายจะไร้สำนึก
    ให้จิตหยาบทบทวนบทเรียนกับบททดสอบ
    ที่ท่านได้พบพานผ่านเผชิญมาในระหว่างวันว่า

    ท่านมีประสบการณ์อะไรผ่านเข้ามาในชีวิตบ้าง
    แต่ละประสบการณ์ท่านฟันฝ่ามันมาอย่างไร
    ท่านสอบผ่านมันมาได้หรือว่ายังสอบตกอยู่
    ถ้ายังสอบตกบางสิ่งอยู่ท่านก็ต้องขบคิดว่า
    สอบตกเพราะสาเหตุใดตัดสินใจอะไรผิดพลาด
    จะต้องแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไร
    จึงจะแก้ไขปัญหานั้นให้ผ่านไปได้ เป็นต้น

    แต่ปรากฏว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
    หลายคนเมื่อหัวถึงหมอนเป็นนอนหลับยาว
    ตายแล้วตื่นฟื้นแล้วตายจนสิ้นอายุขัย
    คนพวกนี้ก็ไม่มีอะไรใหม่ไม่มีอะไรก้าวหน้า
    เพราะทำตนเป็นประเภท "แก่แล้วแก่เลย"

    อีกหลายคนเมื่อหัวถึงหมอนเป็นนอนไม่หลับ
    เพราะทุกข์ใจกับปัญหาจนพาวายวุ่นไปถึงสมอง
    เหตุเพราะวิตกจริตและเพราะคิดเองไม่เป็น
    แทนที่จะคิดหาวิธีออกจากปัญหานั้นๆให้ได้
    เพื่อจะได้นำไปแก้ไขนำไปปรับใช้ในวันรุ่งขึ้น
    กลับปล่อยใจให้ระบมจมอยู่กับความล้มเหลว
    จากการตัดสินใจผิดคิดผิดพูดผิดทำผิด
    จนเกิดปัญหาใหม่ซ้ำซ้อนปัญหาเดิมขึ้นมา

    ทั้งๆที่ความเสียใจกับความกังวลที่ตนเผชิญอยู่
    หยิบมาคิดก่อนหลับก็ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมาได้
    มีแต่จะเครียดทางจิตประสาทมากขึ้น
    จนยังผลให้เกิดอาการหลับไม่ลง
    เพราะจิตวิญญาณจะคอยกระตุ้นมิให้หลับ
    เพื่อหวังว่าจิตหยาบจะมีสำนึกได้ว่าต้องคิดใหม่
    โดยคิดหาวิธีการว่า "จะต้องแก้ไขมันอย่างไร"
    แทนที่จะมัวแต่คิดว่า "ทำไมจึงต้องเป็นกู"

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

    มนุษย์ไม่เคยใช้เวลา "ทบทวน" ตนเอง
    ไม่เคยรู้จักคิดวิเคราะห์การกระทำใดๆของตนเอง
    ไม่เคยเรียนรู้ข้อดี ข้อเด่นและข้อด้อยของตนเอง
    ไม่เคยคิดพิจารณานิสัยการดำเนินชีวิตของตนเอง
    ไม่เคยมองเห็นไม่เคยจดจำความดีงามของคนอื่น
    ไม่เคยใส่ใจตอบสนองความต้องการของคนอื่น

    เพราะในทุกวันเวลามนุษย์ทั้งหลาย
    พาชีวิตตนเองก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ
    เพื่อแสวงหาความมั่งคั่งกับความมั่นคงให้ตนเอง
    โดยมี "ตัวเอง" สำคัญสูงสุดในชีวิตนี้

    ดังนั้น
    มนุษย์จึงไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับตนเอง
    ต่างพยายามทำทุกสิ่งในชีวิตประจำวัน
    ด้วยการรับรู้รับฟังและเรียนรู้ทุกสิ่ง
    เพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองเท่านั้น
    เพราะในจิตมีแต่คำว่า "ตัวเอง"
    จิตจึงไม่มีที่ว่างให้กับคำว่า "คนอื่น" ไปในที่สุด

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

    เมื่อมนุษย์ต้องเกิดมาเพื่อเป็น #สัตว์สังคม
    ถ้าตั้งแต่วัยเยาว์ถูกสอนให้มีแต่ "ตัวเอง"
    โดยไม่มีสำนึกถึง "คนอื่น" หรือ "คนอื่นๆ" แล้ว
    มนุษย์คนนั้นจะสร้าง "สังคม" ขึ้นมาไม่ได้
    จะเป็นได้ก็แค่ "ต่างคนต่างอยู่"
    ต่างคนต่างต้องเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดให้ได้
    แต่ละคนจึงต้อง "ต่อสู้" กันกับคนอื่นๆให้ชนะ
    เพื่อทำทุกสิ่งให้ตนเองอยู่รอดให้จงได้
    โดยไม่แคร์วิธีการที่ใช้เพื่อเอาชนะคนอื่น

    โลกมนุษย์นับพันปีที่ผ่านมา
    มนุษย์จึงตกหลุมพรางการเป็นสัตว์สังคม
    ด้วยการหลงผิดคิดว่าชีวิตคือการต่อสู้แย่งชิง
    ในอดีตกาลปัญหาชิงรักหักสวาทชิงบัลลังก์
    ตามบริบทแห่งนวนิยายน้ำเน่าจักรๆวงศ์ๆ
    จึงเป็นมายาแห่งอดีตและติดเป็นสนิมหัวใจ
    ทำให้มนุษย์รุ่นใหม่ไร้จิตสำนึกที่ดีงามหนักขึ้น

    มันยังผลให้ดาวเคราะห์โลกดวงนี้
    เต็มไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า "ขยะ" จนล้นโลก
    จนยากที่พระบิดาจะทรงหาที่กลบฝังได้
    จึงจำเป็นต้องพิพากษาให้ชำระโลกครั้งใหญ่
    เพื่อนำเอาขยะที่โลกไม่ต้องการออกจากระบบ
    ซึ่งขยะที่จะถูกชำระทิ้งหลักๆมีดังนี้

    #ขยะมนุษย์ที่ทำตัวหนักแผ่นดิน
    เพราะขาดจิตสำนึกแห่งการรักตนเอง
    เพราะขาดจิตสำนึกแห่งการรักผู้อื่น
    เพราะขาดจิตสำนึกแห่งการรักสังคม
    เพราะขาดจิตสำนึกแห่งการรักโลก

    จึงล้มเหลวในมิติของจิตวิญญาณ
    เพราะไม่สามารถผลิตไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
    อันเกิดจากจิตสั่นสะเทือนเป็นความรักเพื่อให้
    มอบให้แก่แกนแม่เหล็กโลกในใจกลางโลกได้

    ดังนั้น
    หลังการชำระโลกสิ้นสุดลง
    แผ่นดินบางส่วนจะหายคนตายจะเยอะมาก

    #ขยะวัตถุเทคโนโลยี
    เป็นสิ่งที่มนุษย์โลกสร้างมันขึ้นมา
    จากสมองซีกซ้ายของตนเอง
    ด้วยวิธีการสร้างสิ่งหนึ่งขึ้นมาใหม่
    แต่ต้องทำลายอีกหลายสิ่งที่มีอยู่ให้สิ้นไป
    จนยังผลให้สมดุลโลกถูกทำลาย
    ทั้งๆที่จิตวิญญาณอาสามาทำหน้าที่ค้ำจุนโลก
    แต่มนุษย์กลับทำลายสมดุลกันเสียเอง

    เครื่องมือเครื่องใช้อำนวยความมักง่าย
    อาวุธยุทโธปกรณ์ขนาดเล็กขนาดใหญ่
    เคมีสังเคราะห์และเทคโนโลยีขยะทั้งหลาย
    ในส่วนที่ผลิตขึ้นมาเพื่อการทำลายระบบโลก
    จึงต้องคำพิพากษาให้ระเบิดทิ้งและกลบฝัง
    โดยพลิกคว่ำเก็บซุกเอาไว้ใต้แผ่นเปลือกโลก
    เหมือนดั่งทวีปแอตแลนติสที่หายไปนั่นแหละ

    #ขยะแผ่นดิน
    เพราะหลังการชำระโลกครั้งใหญ่นี้
    สรรพสิ่งในระบบโลกในมิติทางกายภาพ
    ทั้งคน สัตว์ ต้นไม้ จะล้มหายตายจากไปมาก
    ทำให้น้ำหนักมวลที่เหลือบนโลกน้อยไปเยอะ
    มันจะทำให้โลกเสียสมดุลในสองมิติมากขึ้น

    ดังนั้น
    พระบิดาจึงต้องกำหนดพิกัดการดำรงอยู่
    ของมนุษย์และสัตว์ที่เหลือรอด
    ให้มีความเหมาะสมกันใหม่คือ "เซ็ทซีโร่"
    เหมือนเริ่มต้นการสร้างใหม่เมื่อแรกสร้าง

    นั่นคือ
    การทำให้ภูเขาและเทือกเขาหายไปเสียบ้าง
    การชำระเกาะทั้งหลายให้หายไปจากทะเล
    การเปลี่ยนทะเลทรายให้กลายเป็นทุ่งหญ้า
    การเปลี่ยนดินแดนแห้งแล้งให้เป็นทะเลสาป
    ทุกสิ่งอย่างจึงต้องถูกเปลี่ยนแปลง
    เพราะมนุษย์โลกไม่เคยเปลี่ยนจิตสำนึก
    นับวันจิตสำนึกจะยิ่งตกต่ำเกินเยียวยาอีกด้วย

    #ขยะพอลลูชั่น
    เป็นผลผลิตสกปรกจากเครื่องจักรกล
    ซึ่งสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีขยะนั่นเอง
    ไม่ว่าจะเป็นกากพิษจากสารเคมีอันตราย
    ที่ตกค้างอยู่ในดินและในแหล่งน้ำธรรมชาติ
    จักต้องชำระทิ้งด้วยน้ำจำนวนมหาศาล
    ยังผลให้ท่านต้องฝึกเป็นปลาที่หายใจด้วยปอด
    เพื่อความอยู่รอดของตัวท่านเอง

    นอกจากนั้น
    พระบิดาก็ยังต้องย้ายที่เพาะปลูกในยุคหน้า
    ไปอยู่แถบทะเลทรายที่ยังมีพรหมจรรย์แทน
    เพราะแผ่นดินเดิมไม่เหมาะจะเพาะปลูกได้อีกแล้ว

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

    ปฏิบัติการไซโคโชว์ที่เรากำลังดำเนินการอยู่นี้
    จึงต้องถูกนำมาใช้ปฏิบัติการกับมนุษย์โลก
    เพื่อให้โอกาสทุกท่านได้ทำการชำระจิตสำนึก
    เป็น "โอกาสสุดท้าย" ท่ามกลางความเสี่ยงตาย
    จากประสบการณ์จริงของโรคระบาดนี้
    ด้วยความเสมอภาคกันในทุกประเทศทั่วโลก

    ใครจะมองไม่เห็นคุณค่าแห่งโอกาส
    พากันสาปแช่งพระบิดาฯ
    พากันด่าว่า "โคโรน่าไวรัส"
    พากันขัดเคืองขุ่นใจเราเพราะไม่เชื่อ
    พากันวางเฉยด้วยเห็นว่าเป็นโรคระบาดปกติ
    ใครจะมีสำนึกหรือไร้สำนึกก็เป็นเรื่องของใคร
    เรามีหน้าที่เผยความลับมาให้รู้
    เราก็จะทำหน้าที่ของเราอยู่ต่อไป

    ดังนั้น
    ด้วยเหตุผลเป็นสังเขปข้างต้น
    พวกท่านทั้งหลายจึงต้องถูกเซ็ทซีโร่
    คือ การถูกกำหนดบังคับให้หยุดอยู่กับบ้าน
    เพื่อให้ท่านมีเวลาอยู่กับตัวเอง
    โดยมีครอบครัวเป็นสังคมโลกแบบย่อส่วน
    ซึ่งเป็นการย่อโลกของท่านให้เล็กลง
    เพื่อให้ง่ายดายในการปลุกจิตสำนึกใหม่
    เพื่อให้เรียนรู้ที่จะหมุนธรรมจักรร่วมกันมากขึ้น
    แทนที่จะพากันหมุนกรรมจักร
    สร้างขยะประจุลบจนรกโลกรกจักรวาล

    เพื่อที่จะเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกกันมากขึ้น
    โดยไม่มุ่งร้ายทำลายโลกเหมือนเก่าก่อนอีก
    จนโลกต้องสะท้อนกลับด้วยภัยธรรมชาติแรงๆ
    จนภูมิอากาศภูมิประเทศวิปริตผิดสมดุลไปหมด

    เพื่อยกระดับจิตปัญญาให้สูงขึ้นทางด้านบวก
    โดยให้ท่านทั้งหลายฉลาดมองโลกรอบด้าน
    ฉลาดมองตนเองและคนอื่นในหลายมิติ
    แทนที่จะมองแค่ประโยชน์ตนอยู่ด้านเดียว
    เหมือนโลกนี้ไม่มีคนอื่นอยู่อีกเลย

    เพื่อฝึกท่านให้ฉลาดใช้อายตนะในชีวิตจริง
    โดยบังคับท่านให้นำแมสค์มาปิดปากไว้
    แต่ยอมให้เปิดตาสองข้างกับหูทั้งสองข้าง
    ในขณะที่ท่านอยู่ท่ามกลางคนอื่นๆนั้น

    เงื่อนไขในกิจกรรมไซโคโชว์ของเราตรงนี้
    สร้างขึ้นเพื่อฝึกท่านให้ใช้ปากให้น้อยลง
    เน้นคำพูดทุกคำให้ชัดเจนในการพูด
    ไม่พูดเร็วๆรัวๆมั่วๆตามใจท่านจนฟังไม่รู้เรื่อง
    เน้นคิดก่อนพูดเพื่อให้ตรงกับใจท่านที่อยากพูด
    และไม่พูดซ้ำซากเลอะเทอะน่าเบื่อที่จะฟัง

    เพราะท่านสำนึกรู้เองได้ว่า
    การพูดผ่านแมสค์ไม่เห็นปากที่ท่านกำลังพูด
    มันทำให้ผู้อื่นฟังคำพูดของท่านไม่ถนัด
    ต้องใช้การเดาเข้ามาช่วยการฟังด้วยหูด้วย
    ท่านจึงต้องเน้นทุกคำพูด
    ต้องไม่พูดเลอะเทอะหรือพูดมาก
    ต้องพูดสั้นกระชับเท่าที่จำเป็น

    ขณะพูดก็ใช้ตามองหน้าผู้ฟังทุกคน
    เพื่อประเมินผลการพูดตลอดเวลา
    ถ้าเห็นท่าว่าจะมีใครไม่เข้าใจ
    ท่านก็จะรีบแก้ไขใหม่
    ด้วยการพูดใหม่หรือพูดซ้ำอีกครั้ง เป็นต้น

    เพราะเรารู้ดีว่า
    ถ้าปิดปากของท่านเสียบ้าง
    มันจะสร้างสำนึกแห่งการเป็นมนุษย์
    ด้วยการฉลาดใช้จิตปัญญาของตน
    เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขขึ้นมาได้

    แทนที่จะพูดมากปากเก่ง
    แต่ทำตัวเป็นคนตาบอดหูหนวก
    ไม่สังเกตเห็นอาการพิรุธของคนอื่น
    ไม่มีหูที่ไวต่อการได้ยินคำพูด ความคิด
    จนกระทั่งเสียงลมหายใจของผู้อื่นเลย

    ทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้
    เป็นเงื่อนไขไซโคโชว์ของ "ปริญญา"
    ที่จะทำให้คนที่เหลือรอดไปได้
    เป็นคนดีที่องอาจสง่างามยิ่งกว่าที่ผ่านมา
    เป็นคนดีที่พร้อมสร้างโลกนี้ให้เป็นสวรรค์
    เป็นคนดีที่มีพระเจ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด
    โดยไม่ถูกผีหลอกลวงว่าเป็นพระเจ้า
    ให้ไปหลงกราบไหว้บูชาเข้าอย่างโง่งมอีก

    เราขอให้ทุกท่าน
    จงสนุกกับบทเรียนและทุกบททดสอบ
    จงอย่าได้ท้อหากต้องการได้รับความรอด
    เพื่อเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น
    ขณะที่ประตูกับหน้าต่างแห่งโอกาสยังเปิดอยู่
    จงใช้เวลา 18 เดือนนี้อย่างมีคุณค่าเถิด

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    9/04/2020 FB_IMG_1586477261034.jpg
     
  13. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    #สนทนาประสาจิตจักรวาล

    ตอบคำถาม:
    ณัฐชฎา สมบูรณ์สุข

    #Question:
    เรียนถาม
    ท่านอาจารย์นะคะ

    เชื้อโรคหรือสัตว์ที่ตัวเล็กๆ
    เขามีจิตญาณแบบคนหรือเปล่านะคะ

    #Answer:

    "ประสบการณ์ #CoVID19"
    ***************************
    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า

    ทุกสรรพสิ่งที่องค์ #จิตจักรวาล
    ได้ทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้
    ภายในเอกภพหรือ #อนันตจักรวาล นี้
    ไม่ว่าจะเป็นสิ่งไม่มีชีวิตหรือสิ่งมีชีวิตก็ตาม
    ตัวตนแก่นแท้ของทุกสิ่ง
    ล้วนอยู่ในรูปของคลื่นพลังงานทั้งสิ้น

    ตัวอย่างเช่น
    ก้อนหินซึ่งเป็นสิ่งไม่มีชีวิต
    ก็มีคลื่นความถี่ทางพลังงาน
    เป็นตัวตนแก่นแท้เร้นอยู่ข้างใน

    ตัวตนรูปลักษณ์ของหินก้อนนั้น
    เป็นแค่เพียง "มายา"
    หรือ "เงา" ของแก่นแท้ของหินก้อนนั้น

    หินทั้งก้อนที่ท่านสัมผัสรู้ดูเห็นอยู่นั้น
    มันจึงมิใช่ตัวตนที่แท้จริง
    มันเป็นแค่ตัวแทนของบางสิ่ง
    ที่เร้นอยู่ข้างในเท่านั้นเอง

    สีสันของเนื้อหิน
    ความแข็งแกร่งมากน้อยของหินนั้น
    รูปทรงหรือรูปธรรมของหินก้อนนั้น
    รวมทั้งคุณสมบัติอื่นๆของก้อนหินนั้น
    มันล้วนเป็นคุณสมบัติของตัวตนแก่นแท้
    ซึ่งเร้นอยู่ข้างในทั้งสิ้น

    ดังนั้น
    ถ้าเราจะกล่าวให้เป็นองค์ความรู้
    ที่เป็นความจริงในระดับ #อนุตรธรรม แล้ว
    เราก็จะกล่าวต่อท่านทั้งหลายได้ว่า

    สรรพสิ่งที่เป็นรูปธรรมทางพลังงาน
    คือ สรรพสิ่งที่เป็น #อนัตตา นั้น
    จะเป็นผู้ทำให้เกิดสรรพสิ่งที่มี #อัตตา เสมอ
    โดยคำว่า "เป็นผู้ทำให้เกิด" ที่กล่าวนี้
    หมายถึงเป็นผู้สร้างอัตตาของสิ่งนั้นนั่นเอง
    ซึ่งสัจธรรมความจริงที่เรากล่าวนี้
    เป็นความจริงที่จริงแท้แห่ง "อนันตจักรวาล"
    อันเป็นสัจธรรมสากลโดยแท้

    เพื่อช่วยให้ท่านทั้งหลาย
    ใช้จินตภาพจากจินตนาการด้วยการ "มโน"
    เพื่อเข้าถึงอนุตรธรรมความจริงเรื่องนี้ง่ายขึ้น
    เราก็จะบอกความจริงเพิ่มเติมแก่ท่านว่า
    รูปธรรมทางพลังงานที่เป็นอนัตตา
    ซึ่งเป็นผู้สร้างตัวตนมายาของก้อนหิน
    ขึ้นมาห่อหุ้มแก่นแท้คือตนเองเอาไว้นั้น

    มันคือคลื่นความถี่ทางพลังงาน
    ที่สั่นสะเทือนกันอยู่ข้างในอย่างต่อเนื่อง
    ถ้าไม่มีมวลสารของหินก้อนนั้นให้ยึดรั้งไว้
    รูปธรรมทางพลังงานชนิดนี้
    จะไม่สามารถดำรงตนเองอยู่จำเพาะที่ได้
    จะเคลื่อนไหลลดเลี้ยวเรื่อยไปในจักรวาล
    เพราะเป็นคลื่นพลังงานที่ไม่สมดุลในตนเอง

    พระบิดาฯซึ่งเป็นพระผู้สร้าง
    จึงทรงจำแนกคลื่นความถี่ทางพลังงาน
    ในแบบที่ว่านี้ว่า #วิญญาณ
    ซึ่งเป็นหนึ่งในขันธ์ห้าที่จิตมนุษย์ก็สร้างได้

    ในสัตว์เซลเดียวจำพวกไวรัส
    ในพืชเซลเดียวจำพวกแบคทีเรีย
    พวกเขาก็ไม่ต่างจากก้อนหินที่เรายกตัวอย่างไว้
    เพราะทั้งไวรัสและแบคทีเรีย
    พระบิดาทรงกำหนดให้มี "วิญญาณ"
    คือพลังงานเป็นตัวตนแก่นแท้อยู่ภายใน

    ตัวอย่างเช่น
    "โคโรน่าไวรัส" ที่กำลังแพร่ระบาดขณะนี้
    ก็ทรงกำหนดให้มีพลังงานเป็นแก่นแท้
    ซึ่งมีคุณสมบัติเฉพาะตัวทางไฟฟ้าเป็นบวก
    เพื่อเป็นเพื่อนร่วมงานฉันมิตรกับมนุษย์ได้
    โดยทรงกำหนดให้มี RNA
    ซึ่งเป็นเส้นใยของโปรตีนชนิดหนึ่ง
    เป็นตัวตนมายาที่แก่นแท้ของไวรัสใช้ยึดเกาะ

    ขณะที่จะมีเปลือกนอกซึ่งเป็น DNA และไขมัน
    ห่อหุ้มเป็นเกราะอยู่ชั้นนอกสุด
    เพื่อทำหน้าที่ปกป้องแก่นแท้ที่เป็นอาร์เอ็นเอ
    เอาไว้ข้างในอีกชั้นหนึ่งด้วย
    ซึ่งเกราะที่ว่านี้จะถูกไวรัสที่เป็นแก่นแท้
    ใช้เส้นใยอาร์เอ็นเอเจาะไชออกมาข้างนอก
    หลังจากไวรัสนั้นเข้าสู่ร่างกายมนุษย์แล้ว
    โดยจะมีขยะประจุ "ลบ" ที่จิตมนุษย์สร้างขึ้น
    ซึ่งเกาะติดอยู่กับเม็ดเลือดแดงทั้งหลาย
    เป็นเงื่อนไขกระตุ้นให้ไวรัสรีบมุดออกมาจับกิน
    ทั้งนี้เพื่อช่วยทำหน้าที่สำคัญ
    ในการชำระเลือดมนุษย์ให้บริสุทธิ์สะอาด
    ตามพระบัญชาของพระบิดาฯนั่นเอง

    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า

    นอกจากพลังงานหรือ "วิญญาณ"
    ที่เป็นตัวตนแก่นแท้ในหินก้อนนั้น
    เป็นพลังงานที่มีคุณสมบัติเป็นอนัตตา

    นอกจากสัตว์เซลเดียวอย่างเชื้อไวรัส
    มีแก่นแท้เป็นพลังงานที่ไม่สมดุลในตนเอง
    ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นอนัตตาเช่นกัน
    จนต้องมีอาร์เอ็นเอเป็นที่ยึดเกาะแล้ว

    พืชซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต
    ที่ประกอบด้วยหลายเซลเกาะเกี่ยวกันอยู่
    ก็ต้องมีพลังงานหรือ "วิญญาณ"
    เป็นตัวตนแก่นแท้อยู่ข้างในเช่นกัน

    แต่เนื่องจากต้นไม้มีหลายเซล
    แต่ละเซลก็จะมีหน้าที่จำเพาะตัว
    ซึ่งพระบิดาทรงกำหนดคุณสมบัติไว้ให้แล้ว
    โดยจะทำหน้าที่ร่วมกันเป็นกลุ่ม
    แต่ละกลุ่มก็จะมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป
    ซึ่งภารกิจของแต่ละกลุ่มจะทำร่วมกันเป็นระบบ
    เพื่อดำรงความเป็นต้นไม้ที่มีชีวิตให้ยั่งยืน
    โดยทุกเซลจะมีแก่นแท้เป็นพลังงานจำเพาะตัว
    พลังงานในแต่ละเซลก็คือ "วิญญาณ" นั่นเอง

    แต่สำหรับตัวตนแก่นแท้ของมนุษย์
    พระบิดาฯมิทรงเรียกว่า "วิญญาณ"
    เพราะมีรูปแบบของพลังงานต่างจากสิ่งอื่น
    โดยต่างจากก้อนหินหรือสิ่งไม่มีชีวิตทั่วไป
    และต่างจากในต้นไม้พืชผลทั้งหลายด้วย

    สำหรับตัวตนแก่นแท้ของหิน ไวรัส
    รวมทั้งพืชผลต้นไม้ทั้งหลายนั้น
    เมื่อมายาเปลือกนอกถูกทำให้แตกสลาย
    หรือต้นไม้ที่ถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน
    แก่นแท้คือวิญญาณซึ่งเคยเร้นอยู่ข้างใน
    ก็จะหลุดลอยเคลื่อนไหลไปในจักรวาล
    เพื่อพาตนเองคืนกลับสู่พระผู้สร้าง
    ตามสัจธรรมที่ว่ามาจากไหนก็กลับไปที่นั่น
    ไปรวมกับพระองค์ให้เป็นหนึ่งเดียวกันดุจเดิม

    เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้เริ่มสร้างพลังงานนั้น
    พระองค์จึงต้องเป็นที่สิ้นสุดของพลังงานนั้น
    ตามกฎหลักของจิตจักรวาลนั่นเอง

    สำหรับแก่นแท้ในความเป็นมนุษย์นั้น
    เป็นรูปธรรมทางพลังงานเชิงซ้อน
    โดยพระองค์นำเอาคลื่นความถี่หลายความถี่
    บรรจุเอาไว้ในกล่องกลมๆกล่องเดียวกัน
    ซึ่งความถี่ทั้งหลายเหล่านั้นจะสั่นสะเทือน
    ลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่ภายในกล่องเดียว
    จึงเป็นพลังงานที่สมดุลอยู่ในตนเอง

    พระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระผู้สร้าง
    เรียกกล่องพลังงานที่สมดุลนี้ว่า #จิตวิญญาณ
    ซึ่งศาสนาคริสต์โดยองค์เยซูเรียกว่า "พระจิต"
    โดยมีคำว่า #จิต นำหน้าคำว่า "วิญญาณ" ด้วย

    เพราะกล่องพลังงานที่เป็นแก่นแท้ของมนุษย์
    ซึ่งรวมเรียกว่า "จิตวิญญาณ" นี้
    จะรวบรวม "วิญญาณ" คือคลื่นความถี่ทุกย่าน
    ซึ่งมีคุณสมบัติและหน้าที่แตกต่างกันออกไป
    ในการค้ำจุนเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
    ให้มีความสมดุลและให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์
    ให้รวมศูนย์อยู่ด้วยกันตรงต่อมพิทูอิทารี่
    มิให้กระจัดกระจายกันทำหน้าที่เหมือนในพืช

    โดยคลื่นความถี่แต่ละย่านความถี่
    จะมี "จิต" ซึ่งเป็นนิวเคลียสของกล่องพลังงาน
    ทำหน้าที่เป็นผู้เริ่มต้นคือกำหนดและสิ้นสุด
    กระบวนการสั่นสะเทือนทางพลังงาน
    ในแต่ละคุณสมบัติของย่านความถี่นั้นๆ
    ซึ่งรวมทั้งหมดแล้วมีทั้งสิ้น 189 กลุ่มใหญ่ๆ
    เพื่อควบคุมขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
    ในการเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่มีสองมิติ
    ซึ่งมีโครงสร้างทางชีววิทยาที่ซับซ้อนที่สุด
    ในประดาสรรพสิ่งทั้งหมดที่พระองค์สร้างไว้

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาน

    เมื่อใดก็ตามที่กายสังขารมนุษย์สิ้นอายุขัย
    แปลว่าจิตหยาบหรือจิตมนุษย์
    ถูกสั่งการให้หยุดทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ
    ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของตนแล้ว
    เมื่อกายเน่าสลายหรือถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่าน
    จิตวิญญาณที่เป็นกล่องพลังงานนั้นจะยังอยู่
    มิได้เคลื่อนไหลกลับคืนไปหาพระองค์
    จะยังคงย้อนกลับสู่การเกิดใหม่ในร่างใหม่
    เพื่อกลับมาทำภารกิจทางจิตวิญญาณสืบไป
    โดยต้องทำหน้าที่จนกว่าจะสิ้นยุคพลังงานเก่า
    ตามที่ได้ให้สัญญากับพระองค์ไว้

    หากใครมี #ผลกรรม ตาม "กฎแห่งกรรม"
    อันเกิดจากการกระทำผิดบาปติดตัวอยู่
    เมื่อได้รับโอกาสให้กลับมาเกิดใหม่
    ก็ต้องใช้โอกาสเดียวกันนั้น
    เรียนรู้ที่จะปรับปรุงแก้ไขการผิดบาป
    และยอมชดใช้กรรมทั้งหมดที่ตนก่อไว้
    เพื่อสร้างสำนึกใหม่ที่ถูกต้องตรงธรรมให้ได้

    แต่บัดนี้โลกสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
    จิตวิญญาณของท่านมีภพชาตินี้ชาติเดียว
    ที่จะต้องทำภารกิจทางจิตวิญญาณให้สำเร็จ
    และต้องชำระกรรมเก่าทั้งสองมิติให้หมดสิ้น
    ในท่ามกลางมหันตภัยพิบัติหลากหลายด้วย
    ซึ่งท่านทั้งหลายล้วนต้องการความรอด
    เพื่อใช้โอกาสสุดท้ายนี้ทำในสิ่งต้องทำ

    ถ้ามิอาจฟันฝ่าบททดสอบคือสอบตก
    ก็ไม่มีชาติหน้าให้ท่านได้แก้ไขแก้ตัวอีกแล้ว
    ถ้ามิอาจฟันฝ่าภัยพิบัติให้เป็นผู้รอดได้
    ก็จะไม่มีชาติหน้าให้ท่านคืนกลับได้อีก

    เพราะโลกจะเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่
    โดยจิตวิญญาณของเด็กๆจากฟ้าสีคราม
    จะเข้ามาทำหน้าที่ดูแลโลกแทนท่านต่อไป

    เว้นเสียแต่ว่า...

    1.ท่านสามารถ "นิพพาน" ก่อนตายได้สำเร็จ
    2.มีผลกรรมติดตัวอยู่ไม่เกิน 30%
    3.จำพระบิดาได้แล้ว
    4.ทำสามเหลี่ยมกับพระองค์ไว้ตลอดเวลา
    5.จิตสำนึกของท่านเป็นหนึ่งเดียวกันกับโลกได้
    6.เป็นแกะที่จำเสียงเรียกเข้าคอกของเราได้
    โดยไม่พยายามจะปีนรั้วเข้าคอก
    ด้วยการเดินตามคนนำทางตาบอดอีกแล้ว

    7.เมื่อท่านมีคุณสมบัติครบทั้ง 6 ข้อแล้ว
    ท่านร้องขอต่อพระองค์ว่าจะอยู่ต่อ
    เพื่อช่วยพระองค์ทำความสะอาดโลก
    หลังชำระโลกสิ้นสุดลงแล้ว

    กราบพระบาทพระบิดาฯที่ทรงเมตตา

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    11/04/2020 FB_IMG_1586560686254.jpg
     
  14. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    #สนทนาประสาจิตจักรวาล

    "ประสบการณ์ #CoVID19"
    ****************************
    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า

    การฝึกอบรมปฏิบัติการ
    ด้วยกระบวนการ "ไซโคโชว์" ของคนทั้งโลก
    หลักสูตร "สงครามโรค สงครามรัก"
    ชื่อกิจกรรมในบทเรียนว่า "โควิด-19" นี้

    จะเรียกว่าเป็นการ "สวมรอย"
    การทำสงครามเชื้อโรคที่มนุษย์กับ "มอด"
    วางแผนร่วมมือกันจะเซ็ทซีโร่โลกทั้งระบบ
    ให้ถอยกลับไปเริ่มต้นทุกอย่างใหม่หมด
    เพื่อทำให้ฝ่ายตนที่กำลังจะเพลี่ยงพล้ำ
    ให้กับกลุ่มอำนาจใหม่ซึ่งกำลังมาแรง
    กลับมาครองอำนาจเป็นเจ้าโลกอีกครั้งก็ได้

    คำว่า "สวมรอย" หมายความว่า
    ฑูตสวรรค์เข้ามาปฏิวัติซ้อน
    เพื่อทำการยึดอำนาจการก่อสงครามเชื้อโรค
    เอามาไว้ในการ "ควบคุม" ทั้งหมด
    เพราะมนุษย์ปล่อยอาวุธเชื้อโรคโจมตีกัน
    โดยไม่มีแผนการควบคุมเชื้อโรคอยู่ในมือ
    เพื่อให้อยู่ในวงจำกัด ให้มีอานุภาพที่จำกัด
    เป็นการปล่อยอาวุธเชื้อโรคแบบสะเปะสะปะ

    สิ่งที่ผู้ก่อสงครามทำได้
    คือ การระวังป้องกันตนเองเท่านั้น

    ถามว่าพวกเขาระวังป้องกันอย่างไร
    คำตอบคือฝ่ายที่ปล่อยอาวุธเชื้อโรคออกมา
    เพื่อโจมตีทำร้ายกลุ่มเป้าหมายของตนนั้น
    ได้ผลิตยารักษาโรคและไวรัสป้องกันตน
    เอาไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้วนั่นเอง

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

    ภารกิจการสวมรอยที่ช่างเทคนิกทำ
    ซึ่งเราในฐานะวิทยากรผู้ดำเนินการฝึกอบรม
    เพื่อยกระดับจิตตปัญญาพัฒนาจิตสามนึก
    ให้แก่พี่ๆน้องๆทั้งหลายพร้อมกันทั่วโลก
    ที่สามารถจะนำมากล่าวต่อนักเรียนได้ก็คือ

    1.ยึดเอา "อาวุธเชื้อโรค" ที่เป็น "โคโรน่าไวรัส"
    ซึ่งพวกเขากลุ่มนั้น "ปล่อยของ" ออกมา
    นำมาไว้ในการครอบครองทั้งหมด

    2.ขีดวงจำกัดในพื้นที่เป้าหมายของผู้ร้าย
    ให้เชื้อโรคแพร่ระบาดจำกัดไว้จำเพาะพื้นที่
    มิให้เกิดการระบาดอย่างสะเปะสะปะ
    จนไม่สามารถควบคุมได้
    เหมือนที่ผู้ร้ายฝ่ายปล่อยของต้องการ

    3.หยิบเอาอาวุธเชื้อโรคดังกล่าว
    มาใช้เป็นอุปการณ์หลักในการฝึกอบรมครั้งนี้
    โดยฝากเชื้อโรคแฝงไว้ในคนที่ถูกคัดเลือก
    ให้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยวิทยากร
    นำอุปกรณ์เชื้อโรคไปแจกให้เพื่อนสมาชิก
    ทั้งที่อยู่ในกลุ่มประเทศของตนเอง
    และนำไปฝากด้วยตนเองในต่างกลุ่มต่างแดน

    4.สร้างเงื่อนไขใหม่ที่ยากขึ้นเรื่อยๆ
    ให้มนุษย์ในกลุ่มเป้าหมายเผชิญกับบททดสอบ
    ทั้งผู้นำกลุ่มและสมาชิกของกลุ่มต่างๆ
    เพื่อทดสอบจิตสามนึกแห่ง "รักเพื่อให้"
    เพื่อทดสอบจิตสามนึกแห่งการเป็นมนุษย์
    เพื่อทดสอบความฉลาดทางปัญญา

    ถ้าสอบตกบททดสอบเหล่านี้
    ทั้งกลุ่มนั้นทุกฝ่ายทุกคน
    จักต้องเผชิญกับการต่อสู้กับเชื้อโรคซ้ำอีก
    โดยจะมีการวางเงื่อนไขที่เป็นยาแรงมากขึ้น
    เพื่อกระตุ้นจิตสามนึกและพัฒนาปัญญา
    ให้เกิดการสั่นสะเทือนด้านบวกสูงขึ้นให้ได้
    โดยมีรางวัลในการเล่นเกมขั้นที่สองก็คือ
    มนุษย์จะไม่มีฑูตสวรรค์เป็นพี่เลี้ยงอีก

    ทุกคนต้องอาศัยความสามารถของผู้นำ
    กับพลังอำนาจในตนเองที่มีอยู่
    เข้าต่อสู้ในสงครามเชื้อโรคที่ถูกควบคุมไว้
    ให้ผ่านไปด้วยกันแบบ "หมู่คณะ" ให้จงได้
    เพื่อเปลี่ยนนิสัยต่างคนต่างอยู่ต่างกูต่างทำ
    เพื่อเพียงให้ตัวกูกับพวกกูไม่กี่คน "รอด"

    เมื่อผ่านขั้นที่สองของการอบรมแล้ว
    หากยังพบว่ามีการสอบตกอีก
    ทุกคนในกลุ่มเป้าหมายนั้นๆจะเจอยาแรงขึ้น
    เช่น การออกกฎหมายชัทดาวน์พื้นที่
    มีการประกาศเคอร์ฟิวกักกันบังคับ
    ทำให้สมาชิกในกลุ่มนั้นๆขาดอิสรภาพ
    เพราะพิสูจน์แล้วว่าสอบตกด้านสังคมวิทยา

    รางวัลที่ได้รับในการเล่นเกมนี้ในขั้นที่สาม
    จึงต้องเป็นจำนวนคนป่วยที่เพิ่มขึ้นรายวัน
    จำนวนคนตายเพราะรักษาไม่หายเพิ่มขึ้น
    และจำนวนคนในกลุ่มเสี่ยงทวีจำนวนเรื่อยๆ
    ตามความเหลวไหลของคน
    กับความล้มเหลวของผู้นำในกลุ่มนั้นๆ

    5.วางแผนการฝึกอบรมครั้งนี้
    ให้ดำเนินไปเรื่อยๆโดยสิ้นสุดไม่เกิน 18 เดือน
    หากคิดเป็นจำนวนวันคือ นานไม่เกิน 540 วัน
    โดยเปิดโอกาสให้มนุษย์โลกในแต่ละกลุ่ม
    ได้เรียนรู้ที่จะออกแบบวิธีเผชิญโรค
    ให้สามารถข้ามผ่านและฟันฝ่ากันไปให้ได้

    วิธีกำหนดให้กระบวนการไซโคโชว์
    ในหลักสูตร "สงครามโรค สงครามรัก"
    ด้วยบทเรียนในกิจกรรม CoVID19 นี้ก็คือ
    ปิดมิติการผลิตยาและวัคซีนเอาไว้
    ให้สามารถวิจัยค้นพบและผลิตสำเร็จ
    ภายในเวลาไม่น้อยกว่า 540 วัน นั่นเอง
    ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดการเดิม

    ในกรณีที่จักรวาลประเมินผลแล้วพบว่า

    1.มนุษย์ทั้งโลกเกิดจิตสามนึกใหม่ในด้านบวก
    2.มีพฤตินิสัยในการอยู่ร่วมกันเป็นสัตว์สังคมได้
    3.คนชั่วร้ายเกิดสำนึกในผิดบาปที่ตนก่อแล้ว

    4.บุคคลเป้าหมายที่จะถูกคัดทิ้งในแต่ละกลุ่ม
    ถูกกระชากจิตวิญญาณลงสู่ไฟชำระมากพอแล้ว

    5.ที่ยังไม่ตายก็ได้ทำเครื่องหมายกากะบาท
    ประทับไว้ตรงหน้าผากรอคิวตายเอาไว้แล้ว

    หากสถานการณ์เป็นดั่งนี้
    สิ่งที่มนุษย์โลกจะอัศจรรย์ก็คือ
    จู่ๆเชื้อไวรัสมรณะที่กำลังอาละวาด
    เหมือนขีปนาวุธที่กำลังโหมกระหน่ำ
    เข้าโจมตีมนุษย์ในสมรภูมิโลก
    จะถูกสั่งให้หยุดยิงอย่างกระทันหัน

    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

    พระบิดาทรงอนุญาตให้เรา
    เปิดเผยความลับเบื้องหลังมิติโลก
    คู่ขนานไปกับการเรียนรู้ของชาวโลก
    ในสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด
    ซึ่งเรามีทั้งคำแนะนำทั้งคำเฉลยมาตลอด
    เพื่อช่วยให้ชาวยุวจิตจักรวาล
    ที่เคยผ่านประสบการณ์ไซโคโชว์ของเราแล้ว
    ได้เรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อเปิดวิสัยทัศน์ใหม่ๆ
    และพัฒนาจิตตปัญญาให้สูงขึ้นเป็นพิเศษ

    ดังนั้น
    ในท้ายบทสนทนาประสาจิตจักรวาลบทนี้
    เราจึงขอฝากแนวทางการปฏิบัติ
    สำหรับประดานางฟ้าหญิงชายทั้งหลาย
    ที่ขันอาสาพระบิดามาเกิดเป็นแพทย์พยาบาล
    รวมทั้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกคน
    ในทุกกลุ่มทุกประเทศทั่วโลก

    ไม่ว่าแพทย์พยาบาลเจ้าหน้าที่ท่านนั้น
    จะเคยผ่านการฝึกอบรมเพื่อเตรียมตนเอง
    โดยมีเราเป็นวิทยากรให้แล้ว
    เคยรู้จักเราแล้วหรือยังไม่เคยรู้จักก็ตาม

    พวกท่านที่เป็นนักรบในส่วนหน้า
    จงระลึกเอาไว้เสมอว่า
    ในสถานการณ์ที่ไม่มียารักษา ไม่มีวัคซีน
    ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคมีสูงถึง 90%
    ในส่วนที่เหลืออีก 10% นั้น
    คือความสามารถในการจัดการตนเอง
    ความสามารถในการระวังป้องกันตนเอง
    มิให้เชื้อโรคร้ายเข้าโจมตีพวกท่าน

    ท่านรู้รึไม่ว่า
    นี่เป็นเงื่อนไขที่เราปรารถนาจะให้
    ประดานางฟ้าของพระบิดาที่ขันอาสามา
    ให้ชีวิตใหม่แก่เพื่อนมนุษย์ได้ทำสองสิ่ง คือ

    1.เรียนรู้ว่าอย่าคิดแต่จะ "ฆ่า" เชื้อไวรัส
    อย่ามองว่าไวรัสพระบิดาเป็นศัตรู
    จึงถูกปิดมิติในผลิตยาและวัคซีนเอาไว้ให้

    นักวิชาการ นักวิจัย และแพทย์
    จักต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่
    แล้วพิสูจน์ในสถานการณ์โรคระบาดจริงนี้ว่า
    ถ้าพวกท่านที่เป็นแกนนำด้านสาธารณสุข
    คิดหาวิธีเปลี่ยนเชื้อโรคร้ายให้กลับมาเป็นมิตร
    ท่านก็สามารถช่วยให้ผู้ป่วยรอดปลอดภัยได้
    โดยไม่ต้องต่อสู่เลยด้วยซ้ำ

    เพราะการคิดหาญจะสู้กับเชื้อโรคที่มองไม่เห็น
    พวกท่านมีแต่จะตายจะพ่ายสถานเดียว
    เพราะไม่รู้ว่าศัตรูจะโจมตีเมื่อไหร่
    ยารักษาโรคครั้งนี้สอบผ่านแต่ครั้งหน้าแพ้
    เพราะเชื้อโรคร้ายจะพัฒนาตนเองมาสู้อีก
    งานด้านการแพทย์ก็จะยิ่งยากยิ่งหินมากขึ้น

    2.เมื่อสถานการณ์บีบคั้นให้ท่านตั้งรับ
    เพราะไม่มียาไม่มีวัคซีนมาต่อสู้
    สิ่งแรกที่พวกท่านควรลองทำดู
    เพราะจิตวิญญาณพวกท่านมาสูงอยู่แล้ว

    จงละทิฐิหลงยึดติดอัตตาสูงลงเสียบ้าง
    แล้วหลับตานั่งลงเพื่อทำ 3 เหลี่ยมสมาธิ
    กับ "เทพแห่งอัคคีฟีนิกซ์เบิร์ด"
    เป็นปฏิบัติการทางจิตวิญญาณผ่านมาทางเรา
    ให้สมกับที่รู้อยู่แล้วว่า "จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว"
    เพื่อร้องขอพลังงานความรักบริสุทธิ์จากเทพฯ
    เหนี่ยวรั้งเข้าสู่จิตและกายสังขารของท่าน

    ซึ่งมันจะเป็นคลื่นพลังงานจิตด้านบวก
    ที่จะเข้าไปสร้างภูมิคุ้มกันสิ่งที่เป็นขยะด้านลบ
    เช่น ประจุลบที่ถูกผลิตขึ้นจากกิเลสตัณหา
    จากราคะจริตและอารมณ์หยาบๆรายวัน
    โดยพลังงานความรักที่ท่านเหนี่ยวรั้งลงมา
    จะช่วยทำให้ขยะประจุลบที่อยู่ในกายท่าน
    มันกลายเป็นกลางทางไฟฟ้าจนหมดสิ้น

    เรายืนยันว่า
    ถ้าในกายของหมอและคณะนักรบเสื้อกาว
    ถูกสร้างประจุบวกสั่งสมไว้มากเท่าใด
    โอกาสจะถูกไวรัสพระบิดาที่แต่แรกมาดี
    จะทำร้ายพวกท่านจนป่วยตายนั้นแทบเป็นศูนย์
    เพราะพวกเขาถูกสร้างขึ้นให้ทำหน้าที่
    ไม่ต่างจากปลิง ทาก หรือยุง
    เพื่อช่วยนำเลือดที่เป็นลบหรือเลือดชั่ว
    ออกไปจากกายสังขารของมนุษย์นั่นแหละ

    แต่มนุษย์สร้างประจุลบขึ้นมาเยอะมาก
    เพราะจิตตกเป็นทาสกิเลสตัณหาราคะ
    ท่านจึงเห็นว่าทาก ปลิง หรือยุง
    มันดูดเลือดพวกท่านจนอิ่มพุงกางกันแล้ว
    เลือดชั่วที่พวกเขาต้องช่วยดูดออกก็ยังไม่หมด
    พวกเขาจึงต้องเอาเลือดของท่าน
    เป็นอาหารของไข่ที่จะโตขึ้นมาทำหน้าที่แทน
    ก่อนที่ตัวเองจะต้องตายไปเพราะทำต่อไม่ไหว

    เชื้อโรคในร่างกายมนุษย์หรือหมอก็มิเว้น
    ไวรัสคือตัวอาร์เอ็นเอที่มีประจุบวก
    พระบิดาฯกำหนดให้เขาผ่านเข้าไปข้างใน
    เพื่อให้ขยะประจุลบที่มนุษย์จิตตกสร้างขึ้น
    ได้พากันวิ่งเข้ามาหาบวกของไวรัส
    เพื่อทำให้ลบที่เกาะเม็ดเลือดแดงอยู่เป็นกลาง

    แต่ที่ไวรัสกลายเป็นวายร้าย
    เราก็บอกมาหลายหนแล้วว่า
    เพราะเม็ดเลือดแดงของมนุษย์มีลบอยู่เยอะ
    พวกเขาจึงต้องแบ่งตัวขยายพันธุ์
    เพื่อช่วยกันกำจัดขยะประจุลบให้หมดให้จงได้
    จึงปรากฏว่าการแบ่งตัวของพวกเขานี่แหละ
    ที่ทำให้เกิดไวรัสตัวร้ายที่มีประจุลบขึ้นมาด้วย

    ขณะไวรัสตัวดีคือบวกยังช่วยจับกินประจุลบอยู่
    ขณะที่คู่แฝดที่เกิดมาใหม่ก็กลายเป็นลบ
    กลายเป็นไวรัสวายร้ายจากมิตรมาเป็นศัตรูแทน
    มันคือการ "กลายพันธุ์" ของไวรัสนั่นเอง
    ไวรัสที่เป็นลบนี่แหละที่ทำให้มนุษย์ป่วย
    เกิดอาการหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ
    ถ้าคนป่วยนั้นยังมีขยะประจุลบอยู่มาก
    ในที่สุดคนป่วยนั้นก็ต้องตายแน่นอน

    พวกท่านจึงต้องรู้ว่า
    ท่านจะไปคิดฆ่าไวรัสที่เข้าไปช่วยท่านทำไม
    หันมาฆ่าประจุลบจากจิตสกปรกของตนกันดีกว่า
    มันคือการเปลี่ยนไวรัสที่เป็นศัตรูเพราะผ่าเหล่า
    ให้กลับมาเป็นไวรัสที่ดีตามที่พระบิดาสร้างไว้
    ด้วยการหันมากระทำที่ตัวเองแทน
    ซึ่งมันง่ายกว่ากันตั้งเยอะ...ดีมั้ยหมอ?

    ถ้าฝ่ายสาธารณสุขไม่เปลี่ยนวิธีคิด
    ประชาชนก็จักต้องผจญภัยจนตายเพราะโรค
    เหมือนอดีตกาลที่ผ่านมาอยู่ต่อไป
    โลกไม่มีวันจะเอาชนะเชื้อโรคร้ายได้
    ทั้งๆที่ไวรัสวายร้ายมนุษย์ทำให้มันเกิดขึ้นมาเอง
    พระบิดามิได้ทรงกำหนดสร้างแต่อย่างใด

    พี่ๆน้องๆทางการแพทย์ทั้งหลาย

    ไม่ลองไม่รู้
    เพราะสถานการณ์คับขันยิ่งแล้ว
    ยากับวัคซีนก็ยังไม่มี
    ลองหันมาปฏิบัติตนในมิติของแก่นแท้
    โดยเลิกเป็นคนมิติเดียวสักครู่ได้มั้ย
    พิสูจน์ความจริงด้วยการทำสามเหลี่ยม
    คล้ายกับการนั่งสมาธิที่พวกท่านชอบลองดูมั้ย

    เมื่อท่านขอความรักจากเทพแห่งอัคคีเมื่อใด
    สายธารแห่งพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
    จะถูกเหนี่ยวรั้งเข้าสู่กายสังขารของท่าน
    หมั่นทำบ่อยๆโดยอยู่ตรงไหนก็ทำได้
    แล้วพิสูจน์ดูก็ได้ว่าตัวท่านจะไม่ติดเชื้อเลย
    ขณะเพื่อนทีมแพทย์คนอื่นของท่าน
    บางคนเขาอาจโชคร้าย

    ถ้าพวกท่านในฐานะแกนนำทำสำเร็จ
    มิติพิเศษที่ว่านี้...จะถูกเปิดแก่ประชาชนทั่วไป
    จะสามารถใช้อำนาจแห่งรักรักษาตนเอง
    และป้องกันตนเองให้ปลอดภัย
    ได้อย่างเหลือเชื่อ

    "หลุยปาสเตอร์" ต้นตอการคิดที่ผิดบาป
    เจ้าของความคิดที่ว่าเชื้อโรคเป็นศัตรูตัวร้าย
    เอะอะก็จะใช้อำนาจเหนือจัดการทุกสิ่ง
    แทนที่จะพยายามสร้างมิตรคบมิตร
    แต่กลับเปลี่ยนมิตรให้เป็นศัตรูของมนุษย์แทน
    เขาก็ได้ตายไปอย่างทุกข์ทรมาน
    เพราะเชื้อโรคร้ายเกาะกินสังขารมานานแล้ว
    จนกระทั่งวันนี้มนุษย์แม้จะเก่งแค่ไหน
    ก็ยังไม่เห็นมีใครเอาชนะเชื้อโรคแบบขาดลอยได้

    จักรวาลนี้...โลกนี้
    พระบิดาทรงสร้างทุกสิ่งขึ้นไว้ด้วยความรัก
    ทุกอณูของทุกสิ่งจึงเต็มไปด้วยความรัก
    หากมีความชังความร้ายที่เป็นขยะเกิดขึ้นที่ใด
    พระองค์ก็จะส่งความรักที่เป็นบวกเข้าไปเติมเต็ม
    เพื่อทำให้ลบเป็นกลางทำให้ขยะหายไปเสมอ

    ใครจะเชื่อไม่เชื่อเรา
    ใครมีหูจะฟังเราไม่ฟังเรา
    ก็เป็นวิจารณญาณของท่านผู้นั้น

    เรามีหน้าที่กลับมาตามสัญญา
    เพื่อจะพาแกะตัวที่ดีมีคุณภาพกลับบ้าน
    แกะที่ป่วยและตัวที่ไม่มีอนาคต
    จะต้องถูกปล่อยให้อยู่นอกคอกตลอดไป

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    14/04/2020 FB_IMG_1586825361382.jpg
     
  15. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    ถ้าไม่ใช่ผู้สร้างร่างกายมนุษย์แล้วจะรู้เรื่องในกายมนุษย์อย่างนี้หรือ
    #สนทนาประสาจิตจักรวาล

    "ประสบการณ์ #CoVID19"
    ****************************
    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

    ถ้าหน่วยงานด้านสาธารณสุขของโลก
    ยังไม่เปลี่ยนแปลงวิธีคิดและทัศนคติ
    ที่มีต่อสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า #เชื้อโรค
    อันหมายถึงไวรัสกับแบคทีเรีย
    ว่าเป็น #ศัตรู ของมนุษย์แล้ว

    ประชากรโลก
    ยังจะต้องตายเพราะเชื้อโรคอีกปีละจำนวนมาก
    ทุกประเทศยังต้องใช้งบประมาณด้านเวชภัณฑ์
    ในแต่ละปีรวมกันเป็นจำนวนมากมายมหาศาล
    เพื่อที่จะฆ่าเชื้อโรคร้ายให้ตายไป
    แล้วเอาชีวิตของมนุษย์ไว้ให้ได้รับความรอด

    ทั้งๆที่มนุษย์เองก็พบความจริงว่า
    ไม่อาจเอาชนะเชื้อโรคร้ายได้อย่างสิ้นเชิงเลย
    แต่มนุษย์ก็ยังไม่เคย "ฉุกคิด" เลยสักนิด

    เคยผลิตยารักษาโรคเพื่อฆ่าเชื้อโรคตัวนี้ได้
    เคยผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันโรคชนิดนี้ได้
    แต่พอผ่านไปได้ไม่นานก็พบว่า
    เชื้อโรคดังกล่าวกลายพันธุ์กลับมาใหม่
    ซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรงยิ่งกว่าเดิม
    จนยาและวัคซีนตัวเดิมเอาเชื้อโรคไม่อยู่
    ต้องคิดค้นวิจัยหายาตัวใหม่วัคซีนใหม่
    มาจัดการกับเชื้อโรคตัวใหม่ให้ทันกาล
    เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำๆซากๆไม่รู้สิ้นสุด
    มนุษย์เป็นเหมือนแผ่นเสียงตกร่องอยู่ตลอดมา

    ที่เป็นเช่นนี้มีสาเหตุมาจาก "สันดาน" มนุษย์
    ที่ชอบใช้อำนาจเหนือเพื่อ "เอาชนะ" ผู้อื่น
    เพราะขาดจิตสำนึกแห่งการเป็นสัตว์สังคม
    จึงไม่ยอมรับความแตกต่างของกันและกัน
    จึงไม่ยอมปรับตนเองเข้าหาผู้อื่น
    จึงไม่ยอมร่วมโลกเดียวกันกับผู้ที่ตนไม่รัก เป็นต้น

    โลกมนุษย์จึงเต็มไปด้วยการขัดแย้ง
    เต็มไปด้วยการต่อสู้ที่ก้าวร้าว
    เต็มไปด้วยการศึกสงคราม
    ที่สร้างความหายนะเกิดขึ้นให้กับทุกฝ่าย

    ประชาคมโลกจึงเต็มไปด้วยผู้กระหายอำนาจ
    มากมายไปด้วยคนบ้าอำนาจ
    โดยมองเห็นอำนาจเป็นสิ่งที่หอมหวาน
    ทั้งๆที่แท้จริงแล้วมัน คือ ยาพิษดีๆนี่เอง
    มนุษย์จึงทำอะไรก็ได้ที่จะได้อำนาจมาครอง
    เพราะรู้ว่า "อำนาจที่เหนือกว่า" จะทำให้ตนชนะ
    ถ้ามีอำนาจน้อยกว่าหรือไม่มีเลยจะเป็นผู้แพ้
    ซึ่งทุกคนอยากชนะมากกว่าจะเป็นผู้แพ้

    ทั้งหมดที่กล่าวมานี้
    เป็นบริบทผิดๆจากจิตสามนึกตกต่ำของมนุษย์
    ซึ่งผิดกฎการเป็นหนึ่งเดียวกันของจักรวาล
    เพราะมนุษย์สอนผิดเรียนผิดรู้ผิดและคิดผิด
    โดยแปลความหมายของประโยคที่ว่า
    #ชีวิตคือการต่อสู้ #ศัตรูคือยาชูกำลัง
    เป็นการต่อสู้กับคนอื่นๆ
    ยิ่งต่อสู้ยิ่งทำให้ตนเองแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

    ทั้งๆที่การต่อสู้ของมนุษย์นั้น
    มันควรจะต้องต่อสู้กับตนเองต่างหากมิใช่ผู้อื่น
    เพราะถ้าต่อสู้หรือทะเลาะกันกับผู้อื่น
    มันจะนำไปสู่การแตกแยกร้าวฉาน
    มากกว่าการสร้างสังคมที่เป็นหนึ่งเดียว
    เพราะฝ่ายที่ชนะจะฝากรอยแค้นให้ฝ่ายแพ้
    คิดหาโอกาสต่อสู้เพื่อแก้แค้นเอาคืนบ้าง
    ไม่เว้นแม้แต่เชื้อโรคร้ายตัวจิ๋วนั่นแหละ

    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

    เชื้อโคโรนาไวรัส-19 ที่ท่านทั้งหลายเผชิญอยู่
    ถูกตัดแต่งพันธุกรรมโดยมนุษย์กับมอด
    ให้มันดุร้ายน่ากลัวขึ้นมาจากเดิม
    ที่พระผู้สร้างทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้แต่แรก
    เพื่อให้เจ้าไวรัสนำเอาประจุไฟฟ้าบวกอิสระ
    จากข้างนอกร่างกายของท่านเข้าไปข้างใน
    ผ่านทางปาก จมูก และทางตา
    ตรงไปที่ต้นหลอดลมคือ "ลำคอ"
    เพื่อเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจของท่าน

    ถามว่าไวรัสของพระบิดาพาประจุบวกอิสระ
    เข้าไปในเครื่องยนต์แห่งกรรมของท่านทำไม
    คำตอบก็คือเพื่อแบกขนประจุบวกอิสระ
    เข้าไปจับประจุลบอิสระที่เกาะเม็ดเลือดแดงอยู่
    เพราะจิตสกปรกรกกิเลสตัณหาราคะ
    ผลิตสร้างมันขึ้นมาด้วยอารมณ์ขยะรายวัน
    จนทำให้เม็ดเลือดแดงที่บริสุทธิ์
    ซึ่งมีความเป็นกลางทางไฟฟ้าคือมีบวกลบคู่กัน
    ถูกขยะประจุลบที่สร้างใหม่เข้าไปเบียดแย่งบวก
    จนยังผลให้เม็ดเลือดแดงที่ดีกลายเป็นลบไป

    เมื่อเม็ดเลือดแดงมีขยะประจุลบเกาะอยู่
    เคลื่อนไหลไปทั่วเซลอวัยวะร่างกายของท่าน
    มันจะทำให้เกิดการเสียสมดุลทางไฟฟ้าของระบบ
    ร่างกายของท่านก็จะหย่อนสมรรถภาพ
    กลไกอวัยวะภายในที่ต้องใช้พลังไฟฟ้า
    ก็จะเสื่อมพลังอำนาจจนทำงานผิดพลาดบกพร่อง
    ภูมิต้านทานโรคของร่างกายก็จะตกต่ำกว่าปกติ
    เซลอวัยวะร่างกายก็จะเสื่อมเพราะขยะประจุลบนี้

    กล่าวโดยรวมก็คือ
    ขยะประจุลบจากจิตสกปรกรกกิเลสตัณหาราคะ
    ที่พวกท่านผลิตสร้างมันขึ้นมานี้
    ยิ่งผลิตออกมามากเท่าไหร่อายุขัยท่านก็จะสั้นลง

    พระผู้สร้างจึงต้องสร้าง "ไวรัส"
    แบกขนประจุบวกอิสระเข้าไปจับคู่กับประจุลบ
    เพื่อทำให้เม็ดเลือดแดงนั้นเป็นกลางดังเดิม
    อายุขัยของกายสังขารก็จะยืนยาวได้ดังเดิม

    แต่เนื่องจาก "ไวรัส" มีหน้าที่ไล่จับประจุลบ
    ถ้ามันเข้าไปในร่างกายท่านแล้วพบว่า
    พวกท่านวันๆผลิตแต่ประจุลบจากจิตสกปรก
    สั่งสมอยู่ในร่างกายมากมายนับไม่ถ้วน
    ไวรัสที่เป็นกลางทางไฟฟ้าแล้วก็จะรีบแบ่งตัว
    ออกเป็น "คู่แฝด" จากหนึ่งเป็นสอง
    เพื่อเพิ่มผู้ช่วยจับกินขยะประจุลบให้หมด
    ถ้าในร่างกายท่านมีประจุลบมากเท่าไหร่
    การทวีจำนวนเชื้อโรคก็จะมากขึ้นเท่านั้น

    เมื่อไวรัสขยายพันธุ์จากหนึ่งเป็นสอง
    ไวรัสตัวหนึ่งก็จะมีประจุบวกเป็นคุณสมบัติ
    ไวรัสคู่แฝดอีกตัวหนึ่งจะมีประจุลบเป็นคุณสมบัติ
    จะยังผลให้ตัวหนึ่งเป็นไวรัสที่น่ารักยังเป็นมิตรอยู่
    แต่คูแฝดของมันที่มีประจุลบนี่แหละคือวายร้าย
    เพราะมันจะทำผิดคำสั่งของพระบิดา
    โดยจะหันมาไล่จับเม็ดเลือดแดงที่บริสุทธิ์
    เพื่อแย่งประจุบวกมาเป็นของตัว
    ทำให้เม็ดเลือดนั้นกลายเป็นมีแต่ประจุลบแทน

    ไวรัสที่มีประจุลบที่ "ผ่าเหล่า" ทั้งหลาย
    จะใช้หนามแหลมๆของมันฝังตัวเข้าไปในเซล
    เพื่อยึดเกาะเซลไว้อย่างแน่นเหนียว
    จากนั้นไวรัสที่มีประจุลบก็จะนำพาตนเองออกมา
    ในรูปของเส้นใยอาร์เอ็นเอคอยดักจับเม็ดเลือดแดง
    เพื่อแย่งชิงประจุบวกมาเป็นของตัว

    เมื่อเซลเนื้อเยื่อหรือเซลอวัยวะของร่างกาย
    ถูกสิ่งแปลกปลอมบุกรุกจู่โจมก็จะเกิดอาการอักเสบ
    ถ้าเกิดการอักเสบมากเซลนั้นจะทำลายตนเองทันที
    ถ้าเกิดที่คอก็จะทำให้คออักเสบ
    ถ้าเกิดที่ปอดก็จะทำให้ปอดอักเสบ

    คราวนี้ท่านรู้รึยังว่า
    การที่ไวรัสพระบิดาเปลี่ยนมาเป็นศัตรู
    ที่ทำให้ท่านกล่าวหาว่าเป็นตัว "เชื้อโรค" นั้น
    ท่านจะโทษเชื้อโรคฝ่ายเดียวไม่ได้
    เพราะท่านขาดมหาสติในการดำเนินชีวิต
    และไม่มีปณิธานแห่งการหลุดพ้น

    จิตหยาบของท่านจึงตกเป็นทาสกิเลสตัณหา
    ผลิตสร้างแต่ขยะประจุลบที่ร่างกายไม่ต้องการ
    โลกที่ท่านเหยียบยืนก็ไม่ต้องการ
    ทุกสรรพสิ่งรายรอบตัวท่านก็ไม่มีใครต้องการ
    ผลิตกันออกมาเป็นทั้งขยะในร่างกาย
    และเหวี่ยงออกมาเป็นขยะภายนอกที่รกโลกด้วย

    ดังนั้น
    ผู้ที่สร้างปัญหาที่ทำให้เชื้อโรคผ่าเหล่า
    เปลี่ยนจากการเป็นเพื่อนร่วมงานของมนุษย์
    กลายไปเป็นศัตรูตัวร้ายมิใช่ใครอื่น
    ก็พวกท่านที่เป็นมนุษย์ที่จิตไม่สมดุลนี่ไง

    เมื่อท่านรู้แล้วว่า
    ท่านจัดการที่เชื้อโรคเพื่อไม่ให้ทำร้ายท่าน
    มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรต่อกฎของพระบิดา
    เพราะว่าแท้จริงแล้วการที่ปอดพัง ปอดชำรุด
    หรือการเกิดหลอดลมอักเสบชำรุดนั้น
    ไวรัสมิได้ทำร้ายโดยตรงแต่อย่างใด
    แต่เพราะการป้องกันตนไม่ให้อักเสบลุกลาม
    เซลนั้นๆจึงทำการย่อยสลายตนเองต่างหาก

    นอกจากนั้น
    ไวรัสมิได้เป็นตัววายร้าย
    เขาถูกสร้างขึ้นให้เป็นเพื่อนร่วมงานกับมนุษย์
    เพื่อเข้าไปชำระขยะประจุลบให้ท่านอีกด้วย

    การคิดแต่จะฆ่าผู้มีพระคุณนั้น
    มันเป็นพฤติกรรมของคนใจบาป
    ซึ่งคนดีๆเขาก็จะไม่กระทำกัน

    เพื่อให้มนุษย์โลกมีสำนึกที่ถูกต้องดังว่านี้
    ฑูตสวรรค์ทั้งหลายจึงต้องสร้างเงื่อนไข
    เพื่อให้มนุษย์ได้ฉุกคิดตามที่เรากล่าวมา
    โดยเงื่อนไขที่บีบคั้นให้ต้องคิดตระหนักรู้
    เพื่อการเปลี่ยนวิธีคิดใหม่
    เพื่อเปลี่ยนทัศนคติใหม่ก็คือ

    ปิดมิติการผลิตยามาสู้ไวรัส
    ผิดมิติการผลิตวัคซีนมาป้องกันไวรัส
    โดยให้มีทางเลือกเดียวเท่านั้น คือ
    มนุษย์ทุกคนต้องหันมาจัดการที่ตนเอง
    มืใช่จัดการที่ไวรัสหรือเชื้อโรคอีกต่อไป

    ในเบื้องต้นพวกท่านก็ถูกบีบคั้นให้
    หันมาจัดการที่ตนเองแล้วในระดับหนึ่ง
    เพื่อสร้างโอกาสรอดปลอดภัยให้ตนเอง คือ

    1.อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ
    2.กินด้วยช้อนกลางส่วนตัว
    3.ล้างมือบ่อยๆ
    4.ใช้แมสค์ปิดปากปิดจมูกตนเองไว้
    5.เว้นระยะห่างจากคนข้างเคียง 2 เมตร
    6.ไม่ใช้มือหยิบอาหารเข้าปาก แคะฟัน
    ถ้ายังไม่ได้ล้างมือ
    7.ไม่ใช้มือเช็ดปาก เช็ดน้ำมูก ขยี้ตา
    8.ไม่ใช้มือแหย่รูจมูก แคะขี้มูก
    9.ไม่แตะมือ สัมผัสกายกับคนอื่นๆ
    ฯลฯ

    ท่านทั้งหลายถูกบีบคั้นให้ปฏิบัติตาม
    ผ่านมาหลายวันจนท่านเริ่มคุ้นชินแล้ว
    ทุกประเทศพบว่าถ้าใครเคร่งครัดปฏิบัติตามได้
    คนๆนั้นก็จะได้รับ "ความรอด" ปลอดเชื้อ
    ใครไม่ทำตามหรือประมาทหรือเผลอเรอ
    จะสอบตกทันที คือ ป่วยติดเชื้อโรคนี้
    ไม่เว้นแม้แต่ทีมแพทย์และพยาบาล

    ประสบการณ์ที่เป็นบทเรียนนี้
    ยังไม่ทำให้ท่านเกิดมหาสติฉุกคิดบ้างเลยหรือ
    การกระทำที่ตนเองมันเปลืองอะไรนักหนา
    มันสิ้นเปลืองแมสค์กับแอลกอฮอล์ล้างมือ
    หมดเงินซื้อหาไปสักกี่บาทกัน
    ถ้าเปรียบกับการต้องไปนอนพะงาบๆ
    เพราะทางเดินหายใจขัดข้องอยู่ในโรงพยาบาล
    ที่ต้องใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลแพงลิบ

    ท่านสามารถเป็นคนไม่ป่วยไม่ทุกข์ทรมาน
    ไม่ต้องวิตกจริตเพราะกลัวป่วยตาย
    ไม่ต้องเสี่ยงตายเมื่อติดเชื้อโรคจนป่วยแล้ว
    การจัดการที่ตนเองไม่ต้องไปยุ่งกับไวรัส
    ให้ต้องเกิดอาการ ปสด...ก จะดีกว่ามั้ยท่าน

    ทำไมเมื่อท่านจัดการที่ตนเองเป็น
    ซึ่งเป็นการจัดการที่ภายนอกได้แล้ว
    ใยจึงไม่ใส่ใจความรู้ใหม่ที่แม้หลุยปาสเตอร์
    ผู้เชี่ยวชาญด้านเชื้อโรคก็ยังไม่รู้
    ตามที่เรานำมาเปิดเผยไว้ในห้องเรียนนี้แล้ว

    โดยขอให้พวกท่านเลิกคิดเป็นศัตรูกับไวรัส
    เลิกคิดไปกำจัดปลิงในแหล่งน้ำให้ตายให้หมด
    เลิกคิดไปกำจัดทากที่ในป่าให้สิ้น
    เลิกคิดฆ่ายุงทั้งป่าให้สูญพันธุ์กันได้แล้ว

    ระวังปลิงเกาะเมื่อต้องลงแหล่งน้ำ
    ระวังทากเกาะเมื่อต้องเข้าป่า
    ระวังยุงกัดเมื่อต้องเข้าไปในดงยุง
    เตรียมที่ตนเองจัดการที่ตนเองง่ายที่สุด

    เชื้อไวรัสก็เช่นกัน
    การจัดการที่ภายนอกพวกท่านทำสำเร็จแล้ว
    ก็หันมาจัดการที่ภายในตัวท่านด้วย
    เผื่อการป้องกันตนเองภายนอกเกิดข้อผิดพลาด
    แล้วรับเอาเชื้อโรคเข้าไปข้างใน

    วิธีจัดการที่ตนเองก็คือ

    1.จงอย่ากลัวไวรัส จน ปสด...ก
    จิตของท่านจะผลิตขยะประจุลบออกมาเพิ่ม

    2.ฝึกจิตให้มีมหาสติตลอดเวลา
    คือ รู้สติ มีสติ และใช้สติ ตามมรรควิถีจิตจักรวาล

    3.ฝึกจิตให้มีปณิธานแห่งการหลุดพ้นเสมอ
    คือ รักและเมตตาต่อคนที่ไม่น่ารักให้ได้
    ให้อภัยแก่คนที่ทำตัวไม่น่าให้อภัยให้เป็น
    ทำความดีโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน

    4.หากรู้ตัวว่านิสัยทางจิตไม่ดี
    สร้างลบเอาไว้มากเกิน 30% ของเม็ดเลือดแดง
    ก็ให้ทำสามเหลี่ยมกับ "เทพแห่งอัคคีฟีนิกซ์"
    ผ่านมาทางเราเอาไว้ทุกเวลา
    เพราะเทพแห่งอัคคีจะส่งสายธารแห่งรัก
    ที่มากด้วยประจุบวกเข้าสู่ระบบสังขารของท่าน
    ได้มากกว่าวิธีการปกติ

    แต่มิตินี้จะถูกเปิดใช้ก็ต่อเมื่อ
    พระบิดาทรงอนุญาต
    โดยจะทรงอนุญาตก็ต่อเมื่อ
    วงการด้านสาธารณสุขของโลก
    ปรับทัศนคติเปลี่ยนวิธีคิดและลดทิฐิลง
    หันมาพิสูจน์ความจริงตามที่เรากล่าว
    จนเห็นจริงเห็นแจ้งแล้วเท่านั้น

    ในบทสนทนาครั้งต่อไป
    เราจะตอบคำถามท่านว่า
    ทำไมผู้สูงอายุและคนป่วยเรื้อรัง
    จึงเสี่ยงตายกับโรคโควิด-19 มากกว่าใครเพื่อน
    จะสามารถเอาชีวิตรอดได้อย่างไร
    โปรดติดตาม....

    กราบพระบาทพระบิดาฯ

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    15/04/2020 FB_IMG_1586910519056.jpg
     
  16. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    เพราะอะไรพระพุทธเจ้าถึงไม่กล่าวถึงพระเจ้าเลย
    ลองอ่านดูครับ
    #สนทนาประสาจิตจักรวาล

    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

    การที่ท่านมาเกิดเป็นคนบนดาวโลกเสรีนี้นั้น
    ไม่ว่าพ่อแม่จะทำให้ท่านเกิดโดยมิได้ตั้งใจ
    หรือทั้งพ่อทั้งแม่ตั้งอกตั้งใจจะทำให้เกิดก็ตาม
    ทุกคนต้องมีจิตวิญญาณเข้ามาปฏิสนธิ
    กับกายหยาบของกุมารน้อยในครรภ์แม่ทั้งสิ้น

    ถ้ากายหยาบซึ่งเป็น "ตัวอ่อน" นั้น
    ไม่มีกล่องพลังงานที่เรียกว่า #จิตวิญญาณ
    เข้าไปปฏิสนธิเป็นตัวตนแก่นแท้แล้ว
    ตัวอ่อนกับก้อนเลือดจะเติบโตเป็นทารกไม่ได้
    เมื่อเจริญเติบโตเป็นทารกไม่ได้ก็จะเจริญวัย
    จนคลอดออกมาเป็นกุมารน้อยไม่ได้
    ซึ่งหมายถึง "ตัวท่าน" ก็จะไม่มีอยู่บนโลกนี้

    คำถามที่ท่านทั้งหลายต้องคิดต่อก็คือ
    ถ้ากายหยาบในครรภ์แม่เกิดจากโลหิตของแม่
    ซึ่งทั้งพ่อทั้งแม่ร่วมกันทำให้ท่านเกิด
    แล้วจิตวิญญาณที่เป็นแก่นแท้ของท่าน
    ผู้เข้ามาปฏิสนธิกับกายหยาบในครรภ์ของแม่ล่ะ

    1.ใครเป็นผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของท่าน...
    2.จิตวิญญาณของท่านเป็นใคร...
    3.จิตวิญญาณของท่านมาจากไหน...
    4.จิตวิญญาณของท่านมาเกิดเป็นคนกันทำไม...

    แน่นอนว่า...ทั้งสี่คำถามหลักนี้
    เป็นคำถามซึ่งศาสดาที่มาจากโลกเอง
    รวมทั้งมนุษย์โลกทุกคนทุกชาติทุกศาสนา
    จะไม่สามารถค้นคว้าหาคำตอบด้วยตนเองได้
    เพราะเครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์มีขีดจำกัด

    แต่เนื่องจากพวกท่านทั้งหลายต้องรู้คำตอบ
    ในคำถามหลักทั้งสี่ข้อนี้ให้กระจ่าง
    เพราะเป็น "หน้าที่" ของท่านที่ต้องรู้ไม่รู้ไม่ได้

    ด้วยเหตุนี้เอง
    #องค์จิตจักรวาล ซึ่งเป็นพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
    จึงต้องส่ง "พระบุตรเอก" ลงมาจุติ
    เพื่อนำเอาคำตอบทั้ง 4 ข้อนี้มาบอกกล่าว
    ให้พี่ๆน้องๆทั้งหลายรู้ความจริงว่าอะไรเป็นอะไร
    ซึ่งสัจธรรมความจริงเหล่านี้ก็คือ #อนุตรธรรม

    ดังนั้น
    พี่ๆน้องๆทั้งโลกเสรีนี้
    จึงต้องไม่ยึดติดพระศาสดาที่เกิดจากโลก
    แล้วปฏิเสธพระบุตรเอกที่มาจากองค์จิตจักรวาล
    ผู้นำเอาความจริงระดับอนุตรธรรมมาบอกให้รู้

    ซึ่งพระบุตรเอกก็ได้เปิดเผยความจริงให้โลกรู้ว่า
    พระองค์รับสื่อพระโอวาทมาจากพระผู้เป็นเจ้า
    มิได้กล่าวตามใจตนเองหรือตามที่ตัวเองคิด
    จนคนที่ยึดติดศาสดาพระองค์เดียว
    พากันปฏิเสธสัจธรรมความจริงในเรื่องเหล่านี้
    เพราะศาสดาของตนไม่เคยกล่าวถึงพระเจ้า
    ศาสดาของตนไม่เคยกล่าวถึงอนุตรธรรมที่ว่านี้
    ทั้งๆที่เรากล่าวความจริงให้รู้ตลอดมาว่า

    ศาสดาที่เกิดจากโลกเอง
    ไม่เคยกล่าวถึงพระเจ้าเลยก็เพราะว่า
    เรื่องของพระเจ้าเป็นสัจธรรมระดับอนุตรธรรม
    ที่ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะเป็นใครฉลาดแค่ไหน
    หากยังใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์อยู่
    ก็จะเป็นสัพพัญญูผู้รอบรู้ทุกสิ่งได้
    เฉพาะในอนันตจักรวาลหรือ "เอกภพ" เท่านั้น

    แต่ความจริงสูงสุดที่เป็น "อนุตรธรรม"
    เป็นความจริงที่จริงแท้นอกอนันตจักรวาล
    อันไม่ต่างกันกับความจริงที่อยู่นอกกะลาครอบ
    ที่ "กบ" ซึ่งอยู่ในกะลามาตั้งแต่เกิดมิอาจรู้
    หรือไม่ต่างจากปลาที่ตายเกิดอยู่ในสระใหญ่
    มันไม่มีวันรู้ได้ว่าขึ้นไปจากสระแล้ว
    สิ่งที่อยู่บนนั้นมันจะมีอะไรอย่างไรบ้าง

    ครูของกบหรือหัวหน้ากบที่อยู่แต่ในกะลา
    ครูของปลาหรือหัวหน้าปลาที่อยู่แต่ในสระ
    จะไม่มีทางกล่าวความจริงที่จริงแท้
    ที่อยู่นอกกะลาครอบหรือที่อยู่นอกสระนั้นได้

    ถ้าท่านเป็นกบที่ยึดแต่ครูซึ่งอยู่ในกะลาด้วยกัน
    โดยไม่สนใจที่จะรับฟังความรู้จากครูนอกกะลา
    ซึ่งปฏิเสธที่จะเรียนรู้เพราะไม่เชื่อว่าเป็นความจริง
    หรือปฏิเสธที่จะรับรู้รับฟังเพราะว่ากลัวโดนหลอก
    กบตัวนั้นก็จะเป็นกบผู้น่าสงสารน่าสมเพช
    คงต้องเป็นกบในกะลาอยู่ตราบชั่วนิรันดร์

    ถ้าท่านเป็นปลาที่อยู่ในสระใหญ่
    ไม่ใส่ใจที่จะรับฟังเรื่องเล่าของ "เต่า"
    ที่เป็นผู้รู้ทั้งเรื่องราวที่อยู่ในสระใหญ่
    และเข้าใจเรื่องราวที่อยู่บนบก
    โดยเต่ามีความสามารถมากกว่าปลา
    เพราะเต่าเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
    ขณะที่ปลาอยู่ได้แต่ในสระน้ำเท่านั้น
    ท่านก็จะเป็นปลาที่ไม่ฉลาดเรียนรู้
    คงรู้แต่เรื่องจริงในสระใหญ่เท่านั้น
    เรื่องนอกสระที่อยู่บนบกซึ่งมีอยู่จริง
    ปลาตัวนั้นก็จะไม่มีวันรู้เองได้

    ไม่ว่าจะเกิดแล้วตายตายแล้วเกิดอีกกี่ภพชาติ
    หากยังไม่เปลี่ยนนิสัยการเรียนรู้เสียใหม่
    ก็คงจะเกิดเป็นกบในกะลาครอบ
    ไม่รู้เรื่องราวอะไรที่อยู่นอกกะลาไปตลอดกาล
    ก็คงจะเกิดเป็นปลาในสระใหญ่
    ที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรบนบกไปตลอดกาลเช่นกัน

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

    เพราะพวกท่านไม่รู้ความจริง
    เกี่ยวกับอดีตของตนเองดีพอ
    พวกท่านจึงพากันหลงทางนิพพาน
    กลับบ้านเกิดของจิตวิญญาณไม่ได้มานานแล้ว

    ที่ไม่รู้เพราะท่านปฏิเสธพระบุตรเอก
    ที่พระผู้เป็นเจ้าส่งมาช่วยเหลือพวกท่าน
    เพื่อบอกกล่าวความจริงที่ท่านไม่รู้ว่าต้องรู้
    จนเป็นเหตุให้ท่านทั้งหลาย
    หลงก้าวตามคนนำทางตาบอดตลอดมา

    เราจึงขอบอกท่านทั้งหลายว่า

    1.จิตวิญญาณพวกท่านมิใช่บุตรกำพร้า
    แต่มีพระบิดาทรงเป็นผู้ให้กำเนิด
    พระองค์ได้รับการสรรเสริญจากพระบุตรเอกว่า
    ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้า หรือ "พระเจ้า" นั่นเอง

    2.พระผู้เป็นเจ้า หรือ "พระเจ้า" มิใช่เทพเทวา
    แต่พระองค์ทรงเป็นผู้อนุญาตให้ท่านมาเกิด
    ตามที่จิตวิญญาณของท่านขันอาสากันมาเอง
    เพื่อทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก
    ตามเงื่อนไขในพันธะสัญญา 6 ประการ
    โดยใช้เวลามาเกิดเพื่อทำหน้าที่นาน 6 หมื่นปี
    จึงจะสิ้นสุดยุคพลังงานเก่า
    แล้วจิตวิญญาณของพวกท่านจักต้องกลับบ้าน
    กลับบ้านเกิดของจิตวิญญาณที่ตนจากมา

    3.เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิด
    พวกท่านก็จับมือกันสองสามรูปธรรม
    วางแผนการทำงานเป็นทีมในบทบาทมนุษย์
    เพื่อทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก
    ด้วยการร่วมกันสั่นสะเทือนจิตสามนึกด้านบวก
    หรือ "หมุนธรรมจักร" ในตนเองร่วมกัน
    เมื่อเผชิญกับเงื่อนไขตามที่กำหนดไว้
    เพื่อช่วยกันผลิตพลังงานจิตด้านบวกออกมา
    มอบให้โลกนำไปใช้เป็นพลังงานบิดแกนโลก
    เพื่อช่วยให้โลกหมุนรอบตัวเองให้จงได้

    4.แผนการทำงานเป็นทีมของพวกท่านก็คือ
    การเล่นละครตามบทบาทที่เลือกกันมา
    ซึ่งพระบิดาทรงเรียกว่า #ชะตาชีวิต
    โดยชะตาชีวิตของพวกท่านทั้งหลาย
    จะเต็มไปด้วยเงื่อนไขทั้งดีทั้งร้าย
    เพื่อจะสร้างแรงสั่นสะเทือนทางจิตตปัญญา
    เป็นบททดสอบให้แก่กันและกัน
    ซึ่งมีเพียงคำตอบเดียวก็คือ
    ท่านต้องรักกันให้ได้ใช้ปัญญากันให้เป็นเท่านั้น

    เพราะพวกท่านหลงยึดติดคนนำทางตาบอด
    ไม่ใส่ใจรับฟังอนุตรธรรมจากพระบุตรเอก
    ท่านจึงไม่รู้เบื้องหลังการเกิดของตนเองว่า
    มาเกิดเป็นคนบนโลกเสรีนี้กันทำไม

    เมื่อเจอปัญหาจากชะตาชีวิต
    ที่พวกท่านขีดเขียนกันมาเองเข้าแต่จำไม่ได้
    จึงเกิดทุกข์กายทุกข์ใจขึ้นมาสถานเดียว
    ทุกข์จนไม่อยากเกิดเป็นมนุษย์อีกแล้ว
    จึงพากันสร้างทางเบี่ยงไปเกิดเป็นเทพเทวา
    พาหลงทางนิพพานกันเป็นแถวจวบจนบัดนี้

    ทั้งๆที่เจอปัญหาจากเงื่อนไขใดในชีวิต
    ไม่ว่าจากคนใกล้ตัว คนรอบข้าง หรือตนเอง
    ท่านจะติดทุกข์หรือติดสุขไม่ได้เด็ดขาด
    เพราะหน้าที่ของพวกท่านต้องรักกันเท่านั้น
    เมื่อรักได้แล้วจิตก็จะสงบจนเกิดสติ
    ก็ใช้สติเข้าถึงปัญญาเพื่อแก้ปัญหาชีวิตต่อไป

    5.เห็นหรือยังล่ะว่า
    เพราะไม่รู้ความจริงที่เรากล่าวเหล่านี้
    พวกท่านจึงพากันหนีทุกข์ ไปปลีกวิเวก
    ซึ่งเท่ากับละทิ้งหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
    จนพากันหลุดลอยไปค้างอยู่บนสวรรค์มายา
    จึงไม่สามารถนิพพานได้จริงอย่างที่คิด

    แต่เพราะคิดว่าตนไปถูกทางแล้ว
    จึงสร้างลัทธิเทพเทวดาขึ้นมารองรับว่า
    การไปติดอยู่บนนั้นคือ "นิพพาน" ได้แล้ว
    ทั้งๆที่มันเป็นนิพพานเทียมเท็จ
    เพราะขันธ์ห้ายังอยู่ครบยังมิได้ดับสูญเลย

    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

    ปัญหาของมนุษย์โลก
    ที่บวชนานแล้วนิพพานไม่ได้
    ก็เพราะยังยึดติดศาสดาพระองค์เดียว
    แล้วปฏิเสธพระบุตรเอกผู้มีพระเจ้า
    และหลายคนก็ปฏิเสธพระเจ้าด้วย
    ทั้งๆที่พระเจ้าที่ตนปฏิเสธนั้น
    เป็นพระบิดาผู้ให้กำเนิด
    จิตวิญญาณของตนโดยแท้

    นอกจากนั้นปัญหาของมนุษย์โลก
    สำหรับฝ่ายที่รอพระบุตรเอกกลับมาตามสัญญา
    ต่างรอมาตั้งนานก็ยังกลับสวรรค์นิรันดรไม่ได้
    เพราะพวกท่านไม่รู้ว่าพระองค์ที่ตนรอคอยนั้น
    ได้ฟื้นคืนชีพโบยบินกลับมาถึงโลกตั้งนานแล้ว

    เราจะทำอย่างไรได้บ้างล่ะ
    ที่จะทำให้ท่านทั้งโลกหันหน้ามาฟังเรา
    ก่อนปฏิบัติการชำระโลกด้วยโรคมรณะ
    และภัยพิบัติร้ายแรงทั้งหลาย
    ที่มันจะเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลก
    ถูกกดปุ่ม...ให้เกิดพร้อมกัน

    เพราะทรงพิพากษาโลกและมนุษย์แล้ว
    เพราะโลกสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้วจริงๆ

    เมื่อไม่กี่ราตรีที่ผ่านมา
    ดวงอาทิตย์โดยเทพแห่งสุริยะ
    ฑูตสวรรค์ของพระบิดาฯ
    ได้ถูกโปรแกรมให้มีปฏิกริยาบางอย่างเกิดขึ้น
    บริเวณพื้นผิวของดวงอาทิตย์เพื่อส่งมายังโลก
    เป็นคลื่นพลังงานรูปกงจักรวงใหญ่ๆ

    คงอีกไม่ช้าแม้เชื้อโรคระบาดยังไม่ทันหาย
    แผ่นดินไหวแรงๆจึงอาจเกิดขึ้นซ้ำซ้อนได้อีก
    ในพิกัดเป้าหมายที่จะถูกแจ็กพ็อดนั้น
    เพื่อทำให้โลกสั่นสะเทือนแรงขึ้นๆอีกครั้ง
    จนกว่าจะมีคนสำนึกได้ในคำกล่าวของเรา

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    16/04/2020 FB_IMG_1586994176021.jpg
     
  17. MinBuRII

    MinBuRII Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2013
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +97
    มีใครอ่านจบบ้างครับ ละจขพ ใช้วิธีไหนครับถึงบรรยายได้ยาวขนาดนี้
     
  18. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    การสื่อถ่ายทอดพระโอวาทไปทั่วโลกครั้งแรกแบบ Live สด ของท่านอาจารย์
    ผ่าน Facebook และ Youtube เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 18 เมษายน 2020
    ศิษย์มีความตื่นเต้น และเปี่ยมด้วยความยินดียิ่งนัก
    ที่ท่านอาจารย์ได้นำสื่อจากพระบิดา ถ่ายทอดไปยังมนุษย์ทั่วทั้งโลก
    แม้ผู้คนยังไม่รู้ หรือยังไม่สนใจมากนักในครั้งแรกนี้
    แต่ศิษย์เชื่อว่า ในอนาคต ผู้คนจำนวนมากจะหันมาฟังท่านอาจารย์
    ประหนึ่งเป็นสิ่งที่รอคอยในชีวิต
    เพราะพวกเขาหาทางออกของปัญหาที่รุมเร้าเข้ามามากมายไม่ไหว
    และไม่รู้ว่าจะหันไปหาที่พึ่งทางปัญญาทางใดที่ดีกว่านี้ได้
    กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เมตตาการแก้ปัญหาโควิด 19
    การแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน และอื่นๆ อีกมากมาย
    กราบขอบพระคุณที่กรุณาซื้อเครื่องมือออกอากาศ
    ด้วยเงินถึงสองแสนบาท เพื่อช่วยผู้คนในโลกที่กำลังประสบวิกฤติ
    และเพื่อให้งานของพระบิดาได้สัมฤทธิ์ผลโดยเร็ว
    ในการช่วยมนุษย์โลกให้หลุดพ้น
    และบันทึกเทปในยูทูป ศิษย์ยังสามารถเปิดฟังได้อีกครั้งในเช้าวันนี้ด้วย
    และยินดีที่เห็นจำนวนผู้คนที่เข้ามาฟังที่เพิ่มขึ้นได้ด้วย
    กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดา
    กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ปริญญา.
    (หมายเหตุ ศิษย์ดูยูทูปทบทวนได้ที่

    ที่เพื่อนสมาชิกน้องเกตุส่งมาให้ค่ะ)
     
  19. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    เว็บไซต์ข่าวต่างประเทศ รายงานว่า นักวิจัยพบไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กลายพันธุ์แล้วกว่า 33 สายพันธุ์ โดยการกลายพันธุ์เกิดตามสภาพการติดต่อของแต่ละพื้นที่ของโลก



    ทั้งนี้ รายงานอ้างถึงผลการศึกษาของศาสตราจารย์ หลี่ หลานจ้วง และทีมงานแห่งมหาวิทยาลัยหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ว่าไวรัสโคโรนา 2019 กลายพันธุ์แล้วอย่างน้อย 33 สายพันธุ์ ซึ่งอาจทำให้กระบวนการในการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ต่างสายพันธุ์กัน อาจยุ่งยากซับซ้อนขึ้นไปอีก โดยศาสตราจารย์หลี่ได้สุ่มศึกษาวิเคราะห์ตัวอย่างเชื้อไวรัส จากผู้ติดเชื้อหลายพื้นที่



    โดยความเปลี่ยนแปลงลักษณะแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับเชื้อโรคซาร์ส และโคโรนาไวรัส-2 จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่บอกได้ว่าทำไมโควิด-19 จึงร้ายแรง และทำให้มีผู้เสียชีวิตมากในบางพื้นที่ของโลก นอกจากนี้ การกลายพันธุ์นี้ อาจทำให้ความพยายามพัฒนาวัคซีนยากลำบากยิ่งขึ้น



    ขณะที่ หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ รายงานว่า สายพันธุ์ร้ายแรงที่สุด ส่วนใหญ่พบทางยุโรป ส่วนสายพันธุ์ที่ร้ายแรงน้อยกว่า พบในบางพื้นที่ของสหรัฐอเมริกา เช่น รัฐวอชิงตัน
     
  20. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    ตอบคำถาม: ‎#ภูษิตาสุริยวงศ์‎

    กราบเรียนท่านอาจารย์ที่เคารพ
    มีคำถามขอเรียนถามเจ้าค่ะ

    #Question:
    เมื่อเราปั้นเทพเจ้าขึ้นมานั่นคือวัตถุเท่านั้น
    แต่หากเราปั้นพระขึ้นมาแล้วกราบไหว้เช่นนี้้
    ต่างกันหรือไม่เพราะเหตุใดเจ้าคะ

    กราบขอประทานอภัยเป็นอย่างสูง
    หากเป็นคำถามที่ไม่เหมาะสมเจ้าค่ะ
    แต่ศิษย์สงสัยมานานแล้วเจ้าค่ะ

    #Answer:
    1."เทพเจ้า" กับ "พระพุทธเจ้า" นั้นไม่เหมือนกัน
    2.เทพเจ้ามิใช่พระศาสดา
    จึงมิใช่ผู้นำทางของมนุษย์ที่จะก้าวตามได้
    ที่มิควรก้าวตามเพราะเทพเจ้า
    มิได้ดำเนินอยู่ในมรรคาแห่งนิพพาน

    3.พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระ "ตถาคต"
    ทรงเสด็จลงมาจุติบนโลก
    และทรงเสด็จกลับคืนถิ่นที่พระองค์จากมาแล้ว
    พระองค์ได้บรรลุมรรคผลสูงสุดแล้ว

    4.การสร้างการปั้นรูปเทพเจ้าขึ้นมากราบไหว้
    จึงย่อมแตกต่างจากการปั้นพระพุทธรูป
    ซึ่งเป็นตัวแทนของพระศาสดา
    ทั้งในแง่ของความควรค่าแก่การถวายพระเกียรติ
    และในแง่ของที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    26/04/2020 FB_IMG_1587861748880.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...