นิมิต - กรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 11 พฤษภาคม 2019.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
    ?temp_hash=e1c1d0e59626cbf3faa0b11d3dbbc6dc.jpg


    ..พระทั้งหลายจำไว้นะ
    ที่จริงแล้วชีวิตผมเนี่ย ไม่เคยใช่คำว่าขึ้นพระนิพพาน
    เพราะจิตผมกับพระนิพพานอยู่ด้วยกันตลอด
    ผมไม่เคยใช้...เสียเวลาขึ้นไปหาพระพุทธเจ้า
    เพราะผมกับพระพุทธเจ้าอยู่ด้วยกันตลอด
    วันนี้ผมเห็นท่านอยู่บนหัวคุณ ผมก็กราบที่นั่น
    ถ้าผมมองไปที่ข้างฝา ที่ผนัง ที่เสาโบสถ์
    คิดว่าตรงนั้น สุขใสบริสุทธิ์
    พระพุทธเจ้าท่านก็จะยืนยิ้มอยู่กับผมที่ตรงนั้น
    อยู่ตรงไหนก็อยู่กับท่านตลอด
    อย่าทำเรื่องง่าย ให้เป็นเรื่องยากนะ จำไว้น่ะ !!

    ..พระคุณหลวงตาวัชรชัย วัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์)
    เมตตาเล่าโอวาทธรรม จากพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    (หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง) ให้ลูกหลานฟัง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
    eV2CZJ368IFVodOjRnnC1gIOtZgTTbCXrMMFAdRAMWwA&_nc_ohc=GksBxnbypEoAX9rXlJQ&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    “รสวิเศษ”
    อาตมาเคยถามพระอาจารย์เล็กว่า กับข้าวรสใดที่ท่านชอบมากที่สุด ท่านตอบกลับมาว่า “รสจืด” เอ๊ะ ทำไมล่ะครับ..?

    เพราะกินแล้วมันไม่มีอารมณ์ปรุง...ส่วนใหญ่ถ้าอาหารรสชาติถูกปาก มันจะอยากไม่จบ..! ดังนั้น เมื่อรู้ต้นเหตุของปัญหาแล้ว ก็อย่าไปปรุงมันซะก็สิ้นเรื่อง เลิกปรุงแต่งตั้งแต่ของหยาบเดี๋ยวก็เข้าถึงความละเอียดได้ง่ายเอง

    คำสอนของพระอาจารย์เอ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
    bc7Y2JwPOH93kVRIIQxMd5osZeorYU7NzunTLCTHleTt&_nc_ohc=f_P1PmSd8dIAX_5wgmV&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    “ไหวหรือเปล่า..?”

    ถ้าต้องการตรวจสอบกำลังสมาธิของเรา ว่าพอจะเอาตัวรอด หล่อเลี้ยงตัวเองได้ไหม ให้สังเกตง่ายๆ เมื่อเราอยู่คนเดียว เราเหงาไหม เราฟุ้งซ่านนึกถึงคนนั้นคนนี้ ปรุงแต่งจนต้องหาอะไรทำ หาอะไรดูเรื่อยไปหรือเปล่า..? ถ้าเราอยู่ได้แบบสุขใจ สบายใจ เฉยๆ ไม่ดิ้นรนที่จะหาอะไรมาให้หายเหงาใจล่ะก็ ถือว่าสมาธิที่ทำมาพอเลี้ยงตัวได้...แต่ยังไม่พอหรอกนะ

    คำสอนของพระอาจารย์เอ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
    ?temp_hash=25f83761f9e731b302e59160ac023897.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
    เรื่อง ฌานจริงกับฌานหลอก

    คำว่าเป็นฌานให้สังเกตตามนี้
    ไอ้ฌานเฉพาะเวลานั่งสมาธิน่ะ ไม่จริง ไม่ใช่
    ฌานจริง เขาเรียกว่าฌานหลอก
    ถ้าฌานจริงๆ ต้องเป็นอย่างนี้ ถึงเวลาที่เราเคย
    บูชาพระ ถ้าเวลานั้นไม่ได้บูชาพระ เราไม่สบายใจ
    ต้องการบูชาพระ ถ้าไม่มีพระจะบูชาก็นึกในใจ
    นึกบูชาเอาเอง ถ้าเป็นอย่างนี้ถือว่าจิตมีฌานใน
    การบูชาพระ การบูชาพระมีอะไรบ้าง

    ๑. พุทธานุสสติใช่ไหม นึกถึงพระพุทธเจ้า
    ๒. ธรรมมานุสสติ นึกถึงคำสวดมนต์นี่เป็นธรรมะ
    ๓. สังฆานุสสติ นึกถึงพระสงฆ์ที่เราชอบใจ
    ก็รวมความว่า ในเมื่อจิตมันทรงตัวแบบนี้
    เป็นอนุสสติแบบนี้ ถ้านึกอยู่เสมอว่า ถ้าถึงเวลา
    ถ้าเราไม่ได้ทำ ใจไม่สบาย นี่ละฌานแท้

    บางคนบอกฉันทรงฌาน ๔ ฌาน ๕ หรืออะไรก็
    ตามเถอะ แต่ว่าต้องนั่งขัดสมาธิแล้วจึงจะนึก
    ถึงจะทรงตัว อันนี้ไม่จริง
    ยังเป็นการหลอกตัวเองอยู่ ยังเผลออยู่
    อย่างคนที่เคยใส่บาตรเป็นปกติ
    ถ้าถึงเวลาไม่ได้ใส่บาตร ไม่สบายใจ
    จะต้องใส่บาตรให้ได้ อย่างนี้เขาถือว่า
    ฌานในจาคานุสสติกรรมฐานและทานบารมีด้วย

    จาก : โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๔ หน้า ๗๙-๘๐
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
    อารมณ์ฌานโลกุตตระ

    วันนี้ก็จะพูดถึง ฌานโลกุตตระ โลกุตตระ หมายความว่า ความเป็นพระอริยเจ้า

    สำหรับพระอริยเจ้า 2 ขั้น คือ พระโสดาบันกับพระสกิทาคา ทั้ง 2 ท่านนี่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นผู้มีปัญญาเล็กน้อย แล้วก็มีสมาธิเล็กน้อย แต่เป็นผู้มั่นอยู่ในศีล เป็นผู้ทรงอธิศีล

    คำว่า อธิ นี่แปลว่า ยิ่ง หรือว่า ใหญ่ หรือว่าทับทรงอธิศีล ก็หมายความว่า ทรงศีลอย่างยิ่ง ที่ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด หรือ สำหรับพระโสดาบัน มีอะไรบ้าง

    ถ้าว่ากันตาม สังโยชน์ ก็คือ

    1. สักกายทิฏฐิ

    2. วิจิกิจฉา

    3. สีลัพพตปรามาส

    พระสกิทาคามี ก็มีเท่ากัน

    สำหรับปัญญาในด้านสักกายทิฏฐิ เห็นไม่ลึก ยังเห็นตื้น ๆ นั่นก็คือว่ามีความรู้สึกอยู่อย่างเดียวว่า การเกิดเป็นทุกข์ การทรงชีวิตอยู่นี่มันเป็นทุกข์ และในที่สุดชีวิตของเราก็จะต้องตาย ท่านที่เป็นพระโสดาบัน ท่านไม่ลืมความตาย แต่ไม่ใช่ว่านึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออกอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามพระอานนท์ว่า

    อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอนึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง

    พระอานนท์ก็ตอบว่า

    วันละประมาณ 7 ครั้ง พระพุทธเจ้าข้า

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    ยังห่างมากอานนท์ ตถาคตนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก

    ในขณะนั้นพระอานนท์เป็นพระโสดาบัน เป็นอันว่า อารมณ์ของพระโสดาบันนี่ มีความคิดในด้านปัญญาแค่ว่าชีวิตนี่มันต้องตาย ยังไม่สามารถตัดขันธ์ 5 ได้เต็มที่ ท่านจึงกล่าวว่า มีปัญญาเล็กน้อย และก็มีสมาธิไม่สูง ก็ได้แค่ปฐมฌาน

    และข้อที่ 2 วิจิกิจฉา วิจิกิจฉาตัวนี้ พระโสดาบันไม่สงสัยในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอันว่า มีความเคารพในพระพุทธเจ้าจริง มีความเคารพในพระธรรมจริง มีความเคารพในพระอริยสงฆ์จริง มีความมั่นคงในพระรัตนตรัยทั้ง 3 ประการ

    และข้อที่ 3 สีลัพพตปรามาส พระโสดาบันกับพระสกิทาคามี สามารถทรงศีล 5 ให้บริสุทธิ์สมบูรณ์แบบ หมายความว่าไม่มีเจตนาเพื่อจะละเมิดศีล 5 แค่ศีล 5 เท่านั้นนะ ตามแบบสังโยชน์ท่านกล่าวไว้ว่า พระโสดาบันกับพระสกิทาคามีนี่ก็เป็นแค่ตัดสังโยชน์เบา ๆ ได้ 3 และใช้ปัญญาเบา ๆ คือ มีความรู้สึกว่าร่างกายมันจะต้องตาย

    ถ้าร่างกายของเราจะต้องตาย อบายภูมิมันมี สวรรค์มันมี พรหมมันมี ท่านก็คิดว่า ถ้าเราจะตายชาตินี้ เราก็ไม่ขอไปอบายภูมิ ถ้าจะไม่ไปอบายภูมิสิ่งที่เราจะเกาะนั่น ก็คือ คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม และคุณพระอริยสงฆ์ ก็มั่นในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และก็ทรงศีล 5 บริสุทธิ์ เพราะว่า ถ้ามั่นในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีศีล 5 บริสุทธิ์ อันนี้ไม่ใช่ไปอบายภูมิ นี่ว่ากันตามลักษณะของสังโยชน์

    แต่ว่าในอารมณ์ของการปฏิบัติ นั่นตามหนังสือนะ อารมณ์ของการปฏิบัติก็มีความรู้สึกตามนั้นจริง แค่ว่าพอจิตของเราจะก้าวออกจากโลกียฌาน เข้าสู่โลกุตตระ เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า ตอนนี้จิตจะต้องเข้าสู่ โคตรภูญาณ ก่อน

    คำว่า โคตรภูญาณ ก็หมายถึงว่า มีอารมณ์อยู่ในระหว่างท่ามกลางโลกียะกับโลกุตตระ ตอนนี้ก็เห็นจะไม่ต้องอธิบายมาก เพราะมันจะเผือ

    เครื่องสังเกตง่าย ๆ สำหรับโคตรภูญาณ ใจของเรามีความรู้สึกว่า เราจะต้องตาย ตายเมื่อไหร่ก็เชิญ ในเมื่อเรามีที่พึ่ง คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เรามีศีล 5 บริสุทธิ์ เราก็ไม่หนักใจในด้านที่มันจะต้องตาย เพราะ ตายอย่างน้อยเราก็ไปสวรรค์ แต่ว่าถ้าจะถึงสวรรค์อย่างเดียวแล้วกลัวลงอบายภูมิ นี่เราไม่ต้องการ

    ฉะนั้น อารมณ์ของท่านที่ปฏิบัติเพื่อที่จะเข้าถึงพระโสดาบัน พอจิตเข้าถึงโคตรภูญาณ ตอนนี้จะมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง นั่นคือ จิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ใครจะมาพูดถึงพรหมก็ดี พูดถึงสวรรค์ก็ดี และความเป็นใหญ่ในเมืองมนุษย์ มีความใหญ่โต มีความร่ำรวยก็ดี จิตไม่พอใจ ไม่ใช่โกรธแต่ก็ไม่เต็มใจ จิตตั้งใจอย่างเดียว คือ ต้องการพระนิพพาน นี่พูดในแนวของสุขวิปัสสโก

    ถ้าพูดในแนวของวิชชาสาม วิชชาสามมี ทิพจักขุญาณเป็นเบื้องต้น พอจิตเข้าถึงโคตรภูญาณ ตอนนี้กำลังของวิชชาสามจะเห็นพระนิพพานแจ่มใสชัดเจนมาก ถ้าจิตยังไม่เข้าถึงโคตรภูญาณ มองพระนิพพานเท่าไหร่ก็ไม่เห็น จะเห็นได้ก็แค่พรหม นี่เป็นเครื่องวัด

    สำหรับท่านที่ได้อภิญญา ถ้ากำลังจิตยังไม่เข้าถึงโคตรภูญาณ ไปถึงพระนิพพานก็ไม่ได้ ถ้ากำลังจิตนั้นเข้าถึงโคตรภูญาณ ไปถึงพระนิพพานก็ไม่ได้ ถ้ากำลังจิตนั้นเข้าถึงโคตรภูญาณขึ้นไป สามารถ ไปถึงพระนิพพานได้ นี่เป็นเครื่องวัด ต่างกันนะ

    ที่พูดเมื่อกี้นี้ เป็นแนวของสุขวิปัสสโกว่า ถ้าจิตเข้าถึงโคตรภูญาณ จิตจะมีความรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าจิตเข้าถึงพระโสดาบันปัตติผล จิตรักพระนิพพานด้วย อารมณ์ธรรมดาก็มีขึ้นมาอีกจุดหนึ่ง ถูกด่า ถูกว่า ถูกนินทา มันสะเทือนน้อย สะเทือนเหมือนกัน ยังมีความโกรธเหมือนกัน แต่มันโกรธช้าหรือไม่มันโกรธเบากว่าปกติ อันนี้ท่านเรียกว่า พระโสดาบัน หรือ พระสกิทาคามี

    ขอเล่าแบบหยาบ ๆ นะ เพราะเวลามันจำกัด และถ้าเราจะหมุนกันไปอีกทีหนึ่ง พระโสดาบัน แต่ถ้าถึงพระโสดาบันแล้วประพฤติตัวอย่างไร อย่าลืมนะว่าพระโสดาบันมีความรักในระหว่างเพศ ยังมีการแต่งงาน

    ตัวอย่าง นางวิสาขา ท่านเป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่อายุ 7 ปี ในที่สุดอายุ 16 ปี ท่านก็แต่งงาน พระโสดาบันก็ยังอยากรวย การแต่งงานของพระโสดาบัน ก็ยังอยู่ในขอบเขต ไม่ละเมิดศีล 5 คือ มีมีกาเม และก็สำหรับความอยากรวยของพระโสดาบันก็รวยด้วย สัมมาอาชีวะ ไม่คดไม่โกงใคร พระโสดาบันยังมีความโกรธอยู่ ไม่ใช่ว่าจะหมดความโกรธ แต่มันเบาไปหน่อยหนึ่ง แต่ว่าโกรธก็จริงแหล่ แต่ไม่ฆ่าใครตาย ขึ้นชื่อว่าพระโสดาบันยังมีความหลงก็เพราะว่า ยังมีความรัก ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ แต่ทุกอย่างอยู่ในขอบเขตของศีล จะเห็นว่าประเดี๋ยว เอ๊ะ เห็นเขาเป็นพระโสดาบันทำไมแต่งงาน

    และมาอีกท่านที่น่าคิดมาก คือ ลูกท่านมหาเศรษฐีท่านหนึ่ง แค่เห็นพรานกุกกุฏมิตรมาขายเนื้อ อาศัยที่อดีตเคยเป็นสามีภรรยากันมาในกาลก่อน เห็นก็เกิดความรัก ผลที่สุดก็หนีพ่อแม่ไป ติดตามพรานออกไปอยู่ในป่าเป็นสามีภรรยากัน คนนี้ท่านเป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่อายุ 7 ปีเหมือนกัน แต่ตอนนี้เขาไปถามพระพุทธเจ้าว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าบอกว่าความรักมันเกิด ด้วยเหตุ 2 ประการคือ

    1. บุพเพสันนิวาส ถ้าบุพเพสันนิวาสนี้ เห็นเข้าแล้วมันทนไม่ไหว จะต้องแต่งงานกันแน่

    2. ความรักจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน อันนี้เบาหน่อย ถ้าเป็นพระโสดาบันก็ไม่ต้องโดตามเขา ข้อแรกต้องโดแน่ ถ้าเขาไม่ตกลง ถ้าผู้ใหญ่ไม่เห็นชอบ เป็นอันว่าพระโสดาบันที่ประพฤติตัวจริง ๆ คือ

    (1) ยังมีการครองเรือนแต่งงานกัน มีลูกมีเต้าเหมือนกัน

    (2) พระโสดาบันก็ยังอยากรวย ทุก ๆ อย่างอยู่ในขอบเขตของศีล

    (3) พระโสดาบันก็ยังมีความโกรธ แต่โกรธช้า กำลังเบา

    พระโสดาบันยังมีความหลง ถ้าพูดให้ย่อลงมาอีกนิดเพื่อความเข้าใจง่าย เมื่อถึงพระโสดาบันแล้วอารมณ์อย่างนี้จะทรงตัว คือ

    1.ไม่เคยประมาทในชีวิต มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันจะต้องตาย แต่ก็ไม่ได้คิดทุกลมหายใจเข้าออก ไม่ลืมคิดว่าถ้าจะตายเราไม่ยอมไปอบายภูมิ จุดที่เราจะไปมีจุดเดียว คือ พระนิพพาน

    2. พระโสดาบันเคารพในพระพุทธเจ้าจริง เคารพในพระธรรมจริง เคารพในพระสงฆ์จริง

    3.พระโสดาบันมีศีลบริสุทธิ์

    4.พระโสดาบันมีจิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์

    จำไว้นะเท่านี้นะและจำไว้ว่าพระโสดาบันยังครองเรือน

    สำหรับกำลังของ พระสกิทาคามี ก็มีอารมณ์เบาไปกว่าพระโสดาบันลงไปอีกนิดหนึ่ง คือว่า เรื่องของความรัก ก็ยังมีความรักอยู่ รู้สึกว่า มันเนือยลงไปมาก มันเบาไปมาก ความโกรธหรือความอยากรวยก็บรรเทาลงไปเยอะ ถ้าพูดถึงความหลง ก็เบาลงไปด้วย มีสภาพเหมือนกันกับพระโสดาบัน แต่มันเบากว่า

    ต่อมาก็จุดสำคัญอีกจุดหนึ่ง ก็คือ พระอนาคามี สำหรับพระอนาคามี มีจุดสังเกตที่ง่าย ๆ อยู่จุดหนึ่ง จุดที่เราจะสังเกตง่ายที่สุดคือว่า จิตใจของบุคคลใดถ้าก้าวเข้าไปสู่ในเขตของพระอนาคามี จิตของพวกนั้นมีความต้องการศีล 8 และมีการรักษาศีล 8 เป็นปกติ

    นี่เป็นก้าวแรกของพระอนาคามี และเราจะรู้ตัวได้เลยว่า จิตมันจะพอใจในศีล 8 เป็นปกติ ใครเขาจะมาแนะนำว่า ใครรักษาศีล 8 อดข้าวหนึ่งเวลา ทำให้สุขภาพไม่สมบูรณ์ พวกนี้ไม่ยอมรับฟัง มีความพอใจในศีล 8 และทรงศีล 8 ได้เป็นปกติ นี่ถือว่าก้าวเข้าเขตของพระอนาคามี

    สำหรับพระอนาคามี พระพุทธเจ้าตรัสว่า จะต้องทรงอธิจิต คือ หมายความว่า จะต้องทรงจิตถึงฌาน 4

    การเดินมาจากพระโสดาบัน สกิทาคา จะเป็นพระอนาคามีนี่เป็นของไม่หนัก เพราะว่าจิตมันทรงตัวแล้ว เรื่องฌาน 4 เป็นของไม่ยาก สำหรับท่านที่ฝึกมโนมยิทธิ ได้แล้ว นั่นแหละฌาน 4 ที่ไปโน่นไปนี่ได้น่ะ ไปด้วยกำลังของฌาน 4 ซึ่งเป็นของไม่หนัก เมื่อจิตทรงถึงฌาน 4 แล้ว พระอนาคามีต้องตัดกิเลส อีก 2 ตัว ตัดกิเลสตัวสำคัญ คือ

    1. กามฉันทะ ความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย ความสัมผัสระหว่างเพศ และรวมความว่าการครองคู่อยู่ด้วยกันในฐานะสามี ภรรยา

    2. ความโกรธ ความพยาบาท ถ้าหากการก้าวเข้ามาจากพระโสดาบัน สกิทาคา ก็เป็นของไม่ยาก เพราะตอนเป็นพระสกิทาคามี ความโกรธมันเบาบางมาก ถ้าความโกรธเกิดขึ้น จิตมันให้อภัยเร็ว ที่ เรียกว่า อภัยทาน

    นี่เครื่องสังเกตของพระอนาคามี

    ถ้าจิตเข้าถึงพระสกิทาคามี ใครเขาทำอะไรให้ไม่ชอบใจ มันไม่ชอบใจเหมือนกัน แต่เกิดช้า โกรธช้า แล้วหายเร็ว ถ้าหายแล้วไม่ผูกพันในด้านของความโกรธ ให้อภัยแก่บุคคลผู้ผิด จิตมันเบาบางมาถึงขนาดนี้แล้ว การก้าวเข้าหาพระอนาคามีก็เป็นของไม่ยาก พระอนาคามีนี่ต้องใช้สมถะและวิปัสสนาควบถึง 2 จุด คือ

    1.ตอนตัดกามฉันทะ ต้องใช้อสุภกรรมฐานและกายคตานุสสติกรรมฐาน พิจารณาว่าร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี มันแสนจะสกปรกภายในร่างกายหาอะไรดีไม่ได้เลย ดูก็แล้วกันว่ามันมีอุจาระ ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ดูตัวเราไม่ต้องดูชาวบ้าน ถ้าไม่เห็นตัวเราชัดก็น้อมจับวิปัสสนาญาณตัวสำคัญเข้ามาคือ สักกายทิฏฐิ

    สักกายทิฏฐิ ก็มามองดูร่างกายนี้ นอกจากมันจะสกปรกแล้ว จับร่างกายเป็นอาการ 32 เป็น กายคตานุสสติกรรมฐาน เห็นร่างกายสกปรกเป็นอสุภะกรรมฐาน

    ต่อนั้นไปก็จับวิปัสสนาญาณ คือ สักกายทิฏฐิ ได้ตัวร่างกายมันเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครกแบบนี้ มันมีสภาพไม่เที่ยง มีอาการไม่ทรงตัว ความจริงนี่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริง ๆ ถ้ามันเป็นของเราจริง เป็นเราจริง มันก็ไม่แก่ ไม่ป่วย ไม่ตาย

    แต่ว่ามันสกปรกก็ไม่พอ เลี้ยงดูมันเท่าไรมันก็ไม่เที่ยง กินเท่าไหร่มันก็ไม่อิ่ม ในที่สุดมันก็พัง เป็นอันว่าร่างกายสกปรกด้วย เสื่อมโทรมลงทุกวัน แล้วมันก็พังด้วย ร่างกายของเรามีสภาพน่าเกลียดอย่างนี้ ร่างกายของบุคคลอื่นก็มีสภาพน่าเกลียดเหมือนร่างกายเรา นี่ความปรารถนาในร่างกายซึ่งกันและกัน จะหามาเพื่อประโยชน์อะไร

    ตอนนี้ใจมันก็เบื่อ อารมณ์มันก็ตัด ตัดไปเลย คือ ไม่พอใจในกามารมณ์ใด ๆ ทั้งหมด อันนี้ต้องควบกันนะ

    2. พระอนาคามีไม่มีความโกรธ ตัวนี้มันก็เบามาจากพระสกิทาคามีแล้ว แต่ว่าเพื่อความไม่ประมาทก็ใช้อารมณ์ควบคือ อารมณ์จิตทรงพรหมวิหาร 4 เป็นปกติ จิตคิดให้อภัยแก่บุคคลผู้มีความผิด จิตอีกดวงหนึ่งก็มาคิดว่า ชีวิตนี้ของเราก็ดี ของบุคคลอื่นก็ดี มันไม่ทรงตัว ไม่ช้ามันก็ตาย ความโกรธเป็นไฟเผาผลาญความดีของจิต ถ้าเราคิดว่าจะโกรธ ประโยชน์ของความโกรธนี่มันไม่มีเลย มันมีแต่โทษ จะทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

    การโกรธเขาทำอย่างไร เขาต้องแก้กัน เขาก็ต้องประหัตประหารกัน เพื่อให้คนอื่นมีความทุกข์ หรือว่าคนอื่นตาย แต่ว่าความจริงความทุกข์ของคนทั้งหลายมันมีอยู่แล้ว เราจะทำเพื่ออะไร

    อีกประการหนึ่ง ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี ที่เราไม่ชอบใจจะทำร้าย มันก็มีการสลายตัวเป็นปกติ เป็นอันว่าขึ้นชื่อว่า ความโกรธประเภทนี้ไม่มีความดี มันต้องไม่มีในกำลังจิตของเรา จิตใจของท่านผู้นั้นจะค่อย ๆ คลาย เพราะว่ามีความรู้สึกว่าร่างกายมันไม่ดี มีสภาพไม่เที่ยง เกิดขึ้นเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และปัญญามันก็เกิดมาก มีความรู้สึกว่า ร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายของเขาก็ไม่มีเหมือนกัน

    เพราะร่างกายมันเกิดขึ้นด้วยอำนาจของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และ อกุศลกรรม เมื่อสภาวะมันมีอย่างนี้ จะนั่งโกรธเพื่อประโยชน์อะไร โกรธทำให้ใจเร่าร้อน แต่ความเป็นมิตรกัน คือ รักกัน มันทำให้จิตเป็นสุข มีความสงสารซึ่งกันและกัน มีการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน สร้างความเป็นมิตร ทำให้ใจเป็นสุข

    ประการที่สาม การไม่อิจฉาริษยาบุคคลอื่น เห็นคนอื่นเขาได้ดีพลอยยินดีด้วย และปฏิบัติตามเขาเพื่อความดีของเรา อันนี้ทำให้จิตเป็นสุข

    ประการที่สี่ ถ้าบุคคลเพลี่ยงพล้ำลงไปเราก็ไม่ซ้ำเติม ถ้าหากโอกาสจะพึงมี เราจะเข้าประคับประคองให้เขามีความสุข สร้างความเป็นมิตร นี่เพื่อปัจจัยของความสุข เราทำอย่างนี้ดีกว่า

    เมื่อจิตมันทรงอารมณ์จริง ๆ ความโกรธมันก็สลาย มีตัวเมตตาเข้ามาแทน ในเมื่อกำลังใจตัดความรักในระหว่างเพศได้ พระอนาคามีเป็นเครื่องสังเกตไม่ยาก ก้าวแรกที่จะเข้ามาถึง นั่นคือ ศีล 8

    และก้าวที่สองที่เข้ามาถึง ก้าวนี้ต้องดูก่อน ไม่แน่ว่าใครจะถนัดขนาดไหน บางคนก็หันมาตัดโทสะก่อน บางคนก็หันไปตัดราคะก่อน ในด้านราคะให้สังเกตดูว่าความรู้สึกระหว่างเพศไม่มีเลยสำหรับพระอนาคามี และต่อมาเรื่องของความโกรธ จริง ๆ มันก็ไม่มีอีกนั่นแหละ แต่การแสดงว่าจะโกรธมันมีอยู่ อย่างคนผู้ใต้บังคับบัญชา คือ ที่เราปกครองคน ถ้าบุคคลประเภทนั้น ถ้าเขาทำความผิดนอกคำสั่ง เห็นว่าจะเสียถ้าเตือนดี ๆ ไม่รับฟัง ก็แสดงท่าเหมือนโกรธ ถ้าขืนทำอย่างนี้จะลงโทษให้สาหัส ถ้าขืนทำจริง ๆ ก็จะต้องลงโทษตามระเบียบวินัยตามกฎข้อบังคับที่วางไว้ อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นอารมณ์โกรธ

    อย่างที่พระพุทธเจ้าลงโทษพระ พระพุทธเจ้าอย่าลืมว่าท่านเป็นพระอรหันต์นะ แต่มีสิกขาบทลงโทษพระไว้ตั้ง 300 กว่าสิกขาบท นี่จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าโกรธพระหรือ ความจริงไม่ใช่ ถ้าทำอย่างนั้นมันเลว ท่านยับยั้งไม่ให้ทำความเลวต่อไป ก่อนจบ ก็ขอให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายพยายามสังเกตกำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทว่า เวลานี้กำลังใจของท่านถึงไหน และถ้ามันยังไม่ถึง จุดไหนบ้างที่เราควรจะทำ

    และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับท่านที่ได้มโนมยิทธิ เวลาจะก้าวเข้าสู่พระนิพพาน พยายามตัดขันธ์ 5 ให้เด็ดขาด ไม่สนใจกับความรัก ไม่สนใจกับความโกรธ ไม่สนใจกับความโลภ ไม่สนใจกับวัตถุธาตุใด ๆ ทำอารมณ์ใจให้ผ่องใส แล้วพยายามขึ้นไปบนพระนิพพาน อารมณ์ตอนนั้นเป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ แต่เราอาจจะไม่เป็นอรหันต์ แต่ว่าเป็นอรหันต์เฉพาะจุดในเวลานั้น

    แต่ก็ยังดี ถ้ามันเป็นทุก ๆ วัน ไม่ช้ามันจะชิน ถ้ามันชินมันก็เกาะติด ถ้าหากจะถามว่า อารมณ์ใจเมื่อเข้าถึงอนาคามี อารมณ์ยังกระสับกระส่ายอยู่ไหม ขอบอกว่ายังมีอยู่ การเจริญสมาธิจิต ตัวแทรกก็ยังมีอยู่ อารมณ์ที่แทรกเข้ามามันเป็นอารมณ์ของกุศลอย่างเดียว อกุศลไม่มี

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เที่ยวนี้ก็พูดถึงอารมณ์ของการปฏิบัติแต่โดยย่อ ขอให้ทุกท่านจงจำไว้ จะได้เป็นกำลังใจหรือเป็นบันไดแห่งการปฏิบัติ หากท่านสงสัยก็ทบทวนดูใหม่ให้เข้าใจ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาพุทธบริษัททุกท่าน สวัสดี


    ที่มา แสดงกระทู้ - อารมณ์ฌานโลกุตตระ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) • ลานธรรมจักร
    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=30399
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
    a.jpg



    เรื่อง ฌานจริงกับฌานหลอก

    คำว่าเป็นฌานให้สังเกตตามนี้
    ไอ้ฌานเฉพาะเวลานั่งสมาธิน่ะ ไม่จริง ไม่ใช่
    ฌานจริง เขาเรียกว่าฌานหลอก
    ถ้าฌานจริงๆ ต้องเป็นอย่างนี้ ถึงเวลาที่เราเคย
    บูชาพระ ถ้าเวลานั้นไม่ได้บูชาพระ เราไม่สบายใจ
    ต้องการบูชาพระ ถ้าไม่มีพระจะบูชาก็นึกในใจ
    นึกบูชาเอาเอง ถ้าเป็นอย่างนี้ถือว่าจิตมีฌานใน
    การบูชาพระ การบูชาพระมีอะไรบ้าง

    ๑. พุทธานุสสติใช่ไหม นึกถึงพระพุทธเจ้า
    ๒. ธรรมมานุสสติ นึกถึงคำสวดมนต์นี่เป็นธรรมะ
    ๓. สังฆานุสสติ นึกถึงพระสงฆ์ที่เราชอบใจ
    ก็รวมความว่า ในเมื่อจิตมันทรงตัวแบบนี้
    เป็นอนุสสติแบบนี้ ถ้านึกอยู่เสมอว่า ถ้าถึงเวลา
    ถ้าเราไม่ได้ทำ ใจไม่สบาย นี่ละฌานแท้

    บางคนบอกฉันทรงฌาน ๔ ฌาน ๕ หรืออะไรก็
    ตามเถอะ แต่ว่าต้องนั่งขัดสมาธิแล้วจึงจะนึก
    ถึงจะทรงตัว อันนี้ไม่จริง
    ยังเป็นการหลอกตัวเองอยู่ ยังเผลออยู่
    อย่างคนที่เคยใส่บาตรเป็นปกติ
    ถ้าถึงเวลาไม่ได้ใส่บาตร ไม่สบายใจ
    จะต้องใส่บาตรให้ได้ อย่างนี้เขาถือว่า
    ฌานในจาคานุสสติกรรมฐานและทานบารมีด้วย

    จาก : โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๔ หน้า ๗๙-๘๐
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
    นักเจริญวิปัสสนาญาณที่หวังผลจริง ไม่ใช่นักวิปัสสนาทำเพื่อโฆษณาตัวเองแล้ว ท่านว่าต้องเป็นผู้ปรับปรุงบารมี ๑๐ ให้ครบถ้วนด้วย ถ้าบารมี ๑๐ ยังไม่ครบถ้วนเพียงใด ผลในการเจริญวิปัสสนาญาณจะไม่มีผลสมบูรณ์
    บารมี ๑๐ นั้น มีดังต่อไปนี้
    ๑.ทาน
    คือ การให้ ต้องมีอารมณ์ใคร่ต่อการให้ทานเป็นปกติ ให้เพื่อสงเคราะห์ ไม่ให้เพื่อผลตอบแทน ให้ไม่เลือกเพศ วัย ฐานะ และความสมบูรณ์ เต็มใจในการให้ทาน เป็นปกติ ไม่มีอารมณ์ไหวหวั่นในการให้ทาน
    ๒.ศีล
    รักษาศีล ๕ เป็นปกติ ศีลไม่บกพร่อง และรักษาแบบอุกฤษฏ์ คือ ไม่ทำศีลให้ขาดหรือด่างพร้อยเอง ไม่ยุคนอื่นให้ละเมิดศีล ไม่ดีใจเมื่อคนอื่นละเมิดศีล
    ๓.เนกขัมมะ
    การถือบวช คือ ถือพรหมจรรย์ ถ้าเป็นนักบวช ก็ต้องถือสิกขาบทอย่างเคร่งครัด ถ้าเป็นฆราวาส ต้องเคร่งครัดในการระงับอารมณ์ที่เป็นทางของนิวรณ์ ๕ คือ ทรงฌานเป็นปกติ อย่างต่ำก็ปฐมฌาน
    ๔.ปัญญา
    มีความคิดรู้เท่าทันสภาวะของกฎธรรมดา เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นปกติ
    ๕.วิริยะ
    มีความเพียรเป็นปกติ ไม่ท้อถอยในการปฏิบัติเพื่อมรรคผล
    ๖.ขันติ
    อดทนต่อความยากลำบาก ในการฝืนใจระงับอารมณ์ที่ไม่ถูกใจ อดกลั้น ไม่หวั่นไหว จนมีอารมณ์อดกลั้นเป็นปกติ ไม่หนักใจเมื่อต้องอดทน
    ๗.สัจจะ
    มีความจริงใจ ไม่ละทิ้งกิจการงานในการปฏิบัติความดีเพื่อมรรคผล
    ๘.อธิษฐาน
    ความตั้งใจ ความตั้งใจใด ๆ ที่ตั้งใจไว้ เช่น สมัยที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์เข้าไปนั่งที่โคนต้นโพธิ์ พระองค์ทรงอธิษฐานว่า ถ้าเราไม่ได้สำเร็จพระโพธิญาณเพียงใด เราจะไม่ยอมลุกจากที่นี้ แม้เนื้อและเลือดจะเหือดแห้งไป หรือชีวิตจะตักษัยคือสิ้นลมปราณก็ตามที พระองค์ทรงอธิษฐานเอาชีวิตเข้าแลก แล้วพระองค์ก็ทรงบรรลุในคืนนั้น
    การปฏิบัติต้องมีความมั่นใจอย่างนี้ ถ้าลงเอาชีวิตเป็นเดิมพันแล้วสำเร็จทุกราย และไม่ยากเสียด้วย ใช้เวลาก็ไม่นาน
    ๙.เมตตา
    มีความเมตตาปรานีไม่เลือก คน สัตว์ ฐานะ ชาติตระกูล มีอารมณ์เป็นเมตตาตลอดวันคืนเป็นปกติ ไม่ใช่บางวันดีบางวันร้าย อย่างนี้ไม่มีหวัง
    ๑๐.อุเบกขา
    ความวางเฉยต่ออารมณ์ที่ถูกใจ และอารมณ์ที่ขัดใจ อารมณ์ที่ถูกใจรับแล้วก็ทราบว่า ไม่ช้าอาการอย่างนี้ก็หมดไป ไม่มีอะไรน่ายึดถือ พบอารมณ์ที่ขัดใจก็ปลงตกว่า เรื่องอย่างนี้มันธรรมดาของโลกแท้ ๆ เฉยได้ทั้งสองอย่าง
    บารมี ๑๐ นี้ มีความสำคัญมาก ถ้านักปฏิบัติบกพร่องในบารมี ๑๐ นี้ แม้อย่างเดียว วิปัสสนาญาณก็มีผลสมบูรณ์ไม่ได้
    ที่ว่าเจริญกันมา ๑๐ปี ๒๐ ปี ไม่ได้อะไรนั้น ก็เพราะเป็นผู้บกพร่องในบารมี ๑๐ นี่เอง ถ้าบารมี ๑๐ ครบถ้วนแล้ว ผลการปฏิบัติเขานับวันสำเร็จกัน ไม่ใช่นับเดือนนับปี
    ฉะนั้น ท่านนักปฏิบัติเพื่อมรรคผลต้องสนใจปฏิบัติในบารมี ๑๐ นี้ ไม่ให้บกพร่องเป็นกรณีพิเศษ




    หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
    ที่มา บารมี ๑๐ ธรรมเครื่องบำรุงวิปัสสนาญาณ



    https://www.facebook.com/MotanaboonCom?fref=nf
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
    Br5uX3R-z9ebWpWhSXbdl6P7BmHHzoaUdzEKHxO1dRmH&_nc_ohc=OoNzinOVIOUAX_XHGzH&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    1f449.png โยมรู้ไหมว่า การเข้าถึงคุณพระในแต่ละครั้ง
    ทำให้บุญที่เราทำมาตั้งแต่อดีตชาติตอนต้น
    จะวิ่งรวมตัวกันมาปั๊บ มาอยู่ที่องค์พระเรานี่ มาอยู่ในตัวเรานี่
    1f50e.png ทำไมคนฝึกพุทธนิมิต ทำไมคนฝึกเจริญพระคาถาเงินล้านแบบเข้าถึงคุณพระจึงมีอานุภาพมาก..?
    270f.png บางครั้งเราเกิดหลายชาติ บุญก็ทำมาก บาปก็ทำเยอะ
    อานิสงส์ของบุญอาจจะเกิดกับเราในอีก ๑๐ ปีข้างหน้า อีก ๒๐ ปีข้างหน้าก็ได้
    แต่ถ้าเราภาวนาเข้าถึงคุณพระ จะมีพลังบวก มีพลังที่เป็นแม่เหล็กดึงดูด มีพลังมหาศาล
    การถึงคุณพระแต่ละครั้ง เหมือนบุญที่เราทำไว้จะวิ่งกลับมา วิ่งเข้ามา ใกล้เข้ามา
    23f3.png สมมติว่า เราจะได้สิ่งนี้ในอีก ๑๐ ปีข้างหน้า
    พอเรามาภาวนาด้วยความสบายใจ ด้วยจิตใจที่เป็นสมาธิ
    ของสิ่งนั้นก็เลื่อนเข้ามาเรื่อย ๆ เลื่อนเข้ามาทีละปี ๒ ปี..ทีละปี ๒ ปี ในที่สุดไม่ช้าก็เกิดขึ้นแก่เรา
    บางคนบอกว่า..ไม่เคยถูกหวย...ก็ถูกหวย
    .."อ้าวโยมถูกหวยหรือเปล่า"... ไม่ถูกค่ะ
    .."ซื้อผิด...ถ้าซื้อถูก ก็ถูกนะ"... 1f601.png
    1f308.png ทีนี้ถ้าเราทำอย่างนี้บ่อย ๆ โยมไม่ต้องกังวลใจ
    ทางโลกเราไม่มีทางช้ำ ทางธรรมเราไม่มีทางขุ่น
    เมื่อภพภูมิมันมีการปรับตัวไป
    โยมรู้ไหมว่า การถึงคุณพระจะสร้างความพอดีทุกอย่างให้เกิดขึ้นแก่ชีวิตเรา
    สิ่งใดพึงได้ พึงมี พึงเป็น พึงไป...
    ก็จะได้ มี เป็น ไปตามวาระของบุญอย่างสมบูรณ์
    ▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎ 1f601.png 1f607.png 26c5.png
    #พระธรรมเทศนา
    #สวดพระคาถาเงินล้านแบบทรงสมาธิ ครั้งที่ ๑๐
    ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ : ตอนที่ ๗
    #พระอาจารย์เอกลักษณ์ #ปญฺญาคโม
    #วัดพุทธพรหมยาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
    temp_hash-a0284e07da4baaa0643ebc5c81b0bc3d-jpg.jpg


    1f338-png.png ภาวนาพระคาถาเงินล้าน 1f338-png.png

    1f449-png.png พอเราจับภาพพระได้แล้ว เราก็ภาวนา พระคาถาเงินล้าน
    พร้อมกับนึกภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปด้วย
    270f-png.png คำว่า จิตเคลื่อน หมายถึง เคลื่อนจากองค์พระไป
    แล้วไปนึกเรื่องอื่น
    แต่ระหว่างที่นึกถึงองค์พระอยู่นี่...ไม่เคลื่อน
    พอจิตหยุด เคลื่อนไปที่อื่น...ให้นับหนึ่งใหม่
    ๓ จบ แล้วจิตหลุด...นับ ๑ ใหม่
    ๕ จบ จิตหลุดไป...นับ ๑ ใหม่
    เป็นการดัดนิสัยของจิตที่มันมีความดิ้นรน
    1f9d8_200d_2640-png.png ถ้าโยมทำอย่างนี้ได้ ๙ จบ แล้วจิตไม่เคลื่อนออกจากองค์พระเลย
    ขอยืนยันด้วยชีวิตว่า...
    ชีวิตโยมจะมีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้นแน่นอน
    เพราะว่า คุณธรรมมันเกิดขึ้นแล้ว พร้อมกับกรรมฐานที่มีอานุภาพมาก
    เรียกว่า พุทธานุสสติกรรมฐาน
    1f4dc-png.png ในวิสุทธิมรรคก็ดี ในพระไตรปิฎกก็ดี
    ในสิ่งที่พระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงสอนก็ดี
    โดยเฉพาะในวิสุทธิมรรคนี่เขียนไว้ชัดเจนเลย
    เป็นการรจนาของพระพุทธโฆษาจารย์ ท่านเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ บอกไว้ว่า
    ..."บุคคลใดเจริญซึ่งพุทธานุสสติ บุคคลนั้นไปพระนิพพานง่ายที่สุด"...
    ▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎
    #พระธรรมเทศนา
    #สวดพระคาถาเงินล้0านแบบทรงสมาธิ ครั้งที่ ๘
    ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ : ตอนที่ ๒๑
    #พระอาจารย์เอกลักษณ์ #ปญฺญาคโม
    #วัดพุทธพรหมยาน
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
    ถาม : น้องสาวของหนู ชอบนั่งสมาธิแล้วเขาจะเห็นเป็นวิญญาณ เห็นอยู่เรื่อย ๆ จนเขาไม่กล้านั่ง ไม่คิดจะนั่งต่อ
    ตอบ : บอกเขาว่าทำต่อไป เริ่มดีแล้ว การที่เรารู้เห็นท่านทั้งหลายเหล่านั้น ให้ตั้งใจว่า ผลบุญที่เราทำในครั้งนี้หรือบุญจากกรรมฐาน ขอให้วิญญาณ ผี หรืออะไรที่เราเห็น ให้โมทนาบุญเราด้วย เราได้รับประโยชน์รับความสุขเท่าไร ขอให้เขาได้รับด้วย แล้วเขาก็จะไปเอง ส่วนใหญ่เขามาเพราะลำบาก เขาต้องการการช่วยเหลือ

    ถาม : แล้วอีกอย่างที่เขาไม่กล้านั่ง เพราะเขารู้สึกว่าตัวเขายืดขยาย หายใจไม่ค่อยออก
    ตอบ : เป็นอาการของปีติ ในส่วนของผรณาปีติ ไม่มีอะไรน่ากลัว เราอาจจะสงสัยว่าปีติเป็นเรื่องดี แต่ทำไมจึงมีอาการแปลก ๆ โบราณเขาเปรียบเทียบไว้ว่าเหมือนกับพ่อแม่ ทิ้งลูกให้อยู่บ้าน ส่วนตัวเองไปตลาด ไปไร่ไปนาทั้งวัน พอกลับมาตอนเย็น เด็กก็คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ เห็นพ่อแม่กลับมาก็ดีใจกระโดดโลดเต้น บางคนก็ร้องไห้ดีใจ นั่นคือปีติ

    การปฏิบัติก็เหมือนกัน จิตที่เริ่มเข้าถึงความสงบ สิ่งที่ในอดีตเราเคยคุ้นเคยมาก่อน เมื่อเข้าถึงจุดนั้น อาการปีติก็เลยเกิดขึ้น แต่คนเราไม่เข้าใจว่าปีติมีหลายอย่าง หลายรูปแบบด้วยกัน ต่อไปจะมีอาการมากกว่านั้นอีก ฉะนั้น..แรก ๆ ปล่อยให้เป็นไปเต็มที่ ไม่ต้องไปกลัว ถ้าขึ้นเต็มทีแล้วก็จะเลิกไปเอง

    ถาม : เขาบอกว่าหายใจไม่ออก สมควรจะหยุดหรือนั่งต่อ ?
    ตอบ : ปล่อยต่อไป ให้ตัดสินใจว่าเรากำลังทำความดีอยู่ ถึงตายไปตอนนี้เราก็ยอม เพราะอย่างไรเราไปดีแน่นอน ถ้าตัดใจอย่างนั้นได้ก็ก้าวข้ามไปเลย ถ้าตัดใจไม่ได้ ทำเมื่อไรก็จะติดอยู่แค่นั้นแหละ บอกว่าสู้ต่อไปไอ้มดแดง..!
    __________________
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    วัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
    คัดลอกข้อความมาจาก
    https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php...

    #พระครูวิลาศกาญจนธรรม #หลวงพ่อเล็ก
    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
    #พระพุทธศาสนา #watthakhanun
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
    ?temp_hash=784b16fa62c9559571e331c0bd881ea5.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
    741_n.jpg?_nc_cat=111&ccb=1-3&_nc_sid=8bfeb9&_nc_ohc=JO2xrKx2xQgAX9tAj5x&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
    zD7oxorA3i6mepkpGJi9iEuNBt_Eou5ANdOT3WGvJFH211qp9vRE06I6rkgtUGK_qWTCd7GT&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    ถาม : เวลามารเขามาทดสอบ แล้วเราเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นศัตรู เขาทำหน้าที่ของเขา แต่ว่าช่วงที่กำลังใจสูสีกัน หลวงพ่อรู้สึกอย่างไรครับ ลุ้นแต้มไหมครับ ?
    ตอบ : ประเภทดูหนังดูละครอะไรก็ไม่อยากดูหรอก เป็นอะไรที่มันมาก ต่อให้เอา Monster Hunter มาตั้งไว้ตรงหน้าก็ไม่ดูหรอก ลุ้นกับมารมันกว่า..!
    __________________
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๔
    ที่มา : เว็บวัดท่าขนุน
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
    267087QXBO-ceqnaVzfq3DBy3Du2nlu6v86Uz7AKSZqS&_nc_ohc=xdHNV0qr8yQAX83FPV4&_nc_ht=scontent.fcnx4-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  21. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
    ?temp_hash=800876acc3def925570f1e17a17533bd.jpg
    • คนป่วย สัตว์ป่วย ขันครูมี ดอกไม้สีแดง ๑ สรวย(หมายถึงสรวยดอก ลักษณะเป็นกรวยใบตองใส่ดอกไม้-ผู้พิมพ์) เทียน ๑ คู่ เอาดินมาปั้นหุ่นคนป่วยสัตว์ป่วย เป็นเพศผู้เพศเมียตามความจริง เอาใบคาที่เเหลม ๆ มา ภาวนาคาถาว่า

    คัจฉะ อะมุมหิ

    ปักไปในหุ่น ตรงกับตำแหน่งที่ป่วย ทำ ๓ วัน แล้วเอารูปปั้นนั้นไปย่างไฟ (ย่างข่า) โรคนั้นจะหายไปอย่างน่าอัศจรรย์

    • อีกวิธีหนึ่ง ใช้วิธีมโนมยิทธิ หาเขียงมา หามีดหมอมา เข้ามโนมยิทธิให้จิตมีพลัง กำหนดจิตเรียกให้เชื้อโรคออกมาอยู่ในเขียงนั้นให้หมด เอาโคนมีดหรือสันมีดเคาะที่ในเขียง

    เรียกเชื้อโรคว่า

    อิมังโรคัง กะโรมิ มา เชื้อโรคออกมา มาอยู่ในเขียงนี้ให้หมด

    เมื่อเชื้อโรคออกมาหมดแล้วต้องฆ่าเชื้อโรคนั้นด้วยมีดหมอ เอามีดหมอทางคมลาบไปที่เขียงที่เชื้อโรคอยู่ พร้อมกับภาวนาว่า

    สัพพัตถะ สัพพะทา สัพพะปาณินัง สัพพะโสปิ นิวาเรติ ปะริตตันตัม ภะณามะ หาย ฯ

    สับไปจนเชื้อโรคหายหมดเน้อฯ

    • อีกวิธีหนึ่ง รักษาตนเอง ให้นึกถึงร่างกายในส่วนที่ป่วยอยู่ให้เป็นสีขาว แล้วภาวนาว่า

    สัมมาสัมพุทโธ สัมมาสัมพุทโธ สัมมาสัมพุทโธ

    ภาวนาไปเพ่งไป ถ้าสีขาว ใส เป็นประกาย เหมือนแสงพระอาทิตย์สะท้อนออกมาจากกระจกในยามเที่ยงวัน โรคนั้นจะหาย ฯ ของดีจากวัดท่าซุง มีดหมอชาตรี น้ำมันชาตรี น้ำมนต์ชาตรี เหรียญมงกุฏเพชรก็รักษาโรคได้ฯ ถ้ามีเจ้ากรรมนายเวรเป็นสาเหตุ หายแล้วเขาก็ทำให้เป็นใหม่ได้ ก็ต้องแก้ที่เจ้ากรรมนายเวรนั้นด้วยเน้อ

    จบข่าว สบายดี
    ตุ๊พ่อพระมหาสิงห์ วิสุทฺโธ
    วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่
    อ.ลี้ จ.ลำพูน
    ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๒

    ที่มา
    เสียงธรรมจากถ้ำป่าไผ่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  22. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
    xFUWmhS9vlFNT9GU-FEtxqvJTYpeMYqGtjTpPjyy_8AN&_nc_ohc=OOWssReGVt8AX8PIc0O&_nc_ht=scontent.fcnx4-1.jpg
    "เรื่องของบุญเรื่องของกุศล #ถ้าเราสั่งสมสร้างมามากจริง#ก็จะล้นออกมาเอง คนอื่นพอเห็น ก็จะรู้แล้วว่าตรงนั้นที่เขา ไม่ใช่ที่เรา

    ฉะนั้น...ไม่ว่าจะพระภิกษุสามเณร ตลอดจนญาติโยมที่วัดนี้ หรือที่บ้านก็ตาม #ถ้าจะสร้างความดี #ก็ต้องเพียรพยายามทำให้มาก ทำให้ชิน คำว่า ทำให้มาก ไม่ได้หมายความว่าทุ่มเทกันแบบไม่กินไม่นอน #แต่เป็นการทำตามมัชฌิมาปฏิปทา #คือความพอเหมาะพอดีของตน

    คำว่า ทำให้มาก คือ ทำบ่อย ๆ #ทำจนกระทั่งถึงเวลาถ้าไม่ได้ทำ #เริ่มรู้สึกไม่ปกติ เหมือนกับมีอะไรบังคับว่าเราต้องทำ ถ้าอย่างนั้นกำลังใจเราถึงจะมั่นคงในความดีนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนาก็ตาม

    แล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะปรับกาย วาจา ใจของเราให้พัฒนาไปในด้านดีมากขึ้นเรื่อย ๆ #จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งความดี #ก็เริ่มปล่อยดี เมื่อถึงเวลานั้น ดีก็ไม่เกาะ ชั่วก็ไม่เอา ทำดีเพราะรู้ว่าดีถึงทำ ไม่ทำชั่ว เพราะรู้ว่าชั่วถึงละ ในเมื่อไม่เอาทั้งดีทั้งชั่ว เราจะไปไหนได้ ก็ไปพระนิพพาน พอความดีเต็มอยู่ในใจของเราเอง #พระนิพพานจะปรากฏชัด

    ฉะนั้น...เราจะเห็นว่าการปฏิบัติธรรมที่บอกว่ามีบุคคล ๔ ประเภทคือ

    สุกขวิปัสสโก #บรรลุธรรมโดยไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเลย

    เตวิชโช หรือวิชชา ๓ บรรลุธรรมพร้อมความสามารถ ๓ อย่าง ก็คือระลึกชาติได้ รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปไหน #และทำกิเลสให้สิ้นไปได้

    ประเภทที่สามก็คือ ฉฬภิญโญ หรืออภิญญา ๖ #บรรลุธรรมพร้อมด้วยความสามารถพิเศษ ๖ อย่าง ก็คือมีทิพโสต...หูทิพย์ ใครนินทา อยู่ไกลแค่ไหนก็ได้ยิน ทิพจักขุ...มีตาทิพย์ ใครทำอะไรใกล้ไกลแค่ไหน อยากจะเห็นก็เห็น ปุพเพนิวาสานุสติญาณ...ระลึกชาติได้ จุตูปปาตญาณ...รู้ว่าคนก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน อาสวักขยญาณ...#ทำกิเลสให้สิ้นไปได้ เป็นต้น

    แล้วก็มีปฏิสัมภิทัปปัตโต หรือปฏิสัมภิทาญาณ ๔ #บรรลุธรรมแล้วมีความสามารถครอบคลุมทั้งสุกขวิปัสสโก เตวิชโชและฉฬภิญโญแล้ว #ยังมีความสามารถพิเศษ ๔ อย่างก็คือ

    ธัมมาปฏิสัมภิทา...รู้เหตุทั้งปวง อัตถปฏิสัมภิทา...ผลทั้งปวง คือสร้างเหตุอะไร ได้ผลอย่างไร รู้หมด ปฏิภาณปฏิสัมภิทา...มีความคล่องตัวในเรื่องของปฏิภาณมาก ไม่ว่าจะขยายเรื่องเล็ก เรื่องสั้นให้ยาว ย่อเรื่องยาวให้สั้น อธิบายข้อธรรมที่ลึกซึ้งให้ง่าย อธิบายข้อธรรมที่ง่ายให้ลึกซึ้ง #สามารถทำได้ตามใจปรารถนา นิรุกติปฏิสัมภิทา...รู้ภาษาคน ภาษาสัตว์ ทุกภพ ทุกภูมิ ทุกหมู่ ทุกเหล่า

    คราวนี้สามประเภทหลังคือ วิชชา ๓ อภิญญา ๖ และปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ ๔ สามารถรู้เห็นพระนิพพานได้ #สุกขวิปัสสโกไม่มีความสามารถเช่นนั้น #แล้วรู้ได้อย่างไรว่านี่คือพระนิพพาน ? นั่นคือสิ่งที่อาตมภาพได้พูดไปว่า ถึงเวลาพระนิพพานจะเต็มอยู่ในใจของเราเอง ไม่ต้องกังวล รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ทำไปเรื่อย ๆ พอดีถึงที่สุด #วางดีลงได้เมื่อไร #พระนิพพานปรากฏชัดเมื่อนั้น

    ฉะนั้น...สิ่งที่ท่านทั้งหลายทำมา #ให้ตั้งเป้าเอาไว้สูงสุดว่าเพื่อพระนิพพาน ความเคารพในคุณพระรัตนตรัย ขอให้เป็นคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เป็นส่วนของนามธรรม ไม่ใช่พระพุทธรูป ไม่ใช่คัมภีร์ใบลาน ไม่ใช่องค์พระสงฆ์ #รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราต้องตาย ตายเมื่อไร #เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว

    ถ้าสามารถรักษากำลังใจนี้เอาไว้ได้ ทุกเช้าทุกเย็น ไม่ต้องมาก ครั้งละ ๕ นาที ๑๐ นาทีก็พอ ตายเมื่อไร #ท่านมีโอกาสไปพระนิพพานแน่นอน ก็ถือว่าพูดคุยกันพอให้หายคิดถึงแต่เพียงแค่นี้ เพราะว่าพระเณรก็ยังต้องทำวัตรสวดมนต์ แล้วก็ไปปฏิบัติหน้าที่การงานของตนเองกันต่อไป
    .........................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ผู้ก่อตั้งสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
     
  23. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,430
    ถาม : หนูค้นพบว่าหนูชอบนอนภาวนามาก ใจเบาสบายยิ่งตอนลืมตาตื่นแล้วภาวนาต่อสักพักก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอน เวลานอนหนูภาวนาจนหลับลึกมาก แต่ตื่นมาแล้วก็ยังรู้สึกร่างกายไม่มีแรง แต่กลับเหมือนมีแรงดึงดูดให้สะลึมสะลือตลอดเวลา กินกาแฟยังง่วงเลยค่ะ หนูอยากทราบว่า หนูทำสมาธิผิดวิธีตรงไหนคะ ? ทำไมใจเบาสบายแต่ร่างกายง่วงและอ่อนเพลียตลอดเวลาคะ ?

    ตอบ : เกิดจากความที่ชอบมาก จึงทำบ่อย ๆ จนกำลังใจมีความชำนาญในการทรงสมาธิระดับนั้น ซึ่งอยู่ในระดับปฐมฌานหยาบ ที่ปกติจะต้องตัดหลับไปเลย แต่เป็นเวลาที่เราต้องตื่นไปทำงานพอดี ในเมื่อกำลังใจทรงอยู่ในระดับนั้นก็แทบจะหลับตาเดิน..!
    __________________
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนเมษายน ๒๕๖๔
    ที่มา : เว็บวัดท่าขนุน
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...