เรื่องเด่น นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 16 กันยายน 2014.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,733


    พิธีพุทธาภิเษกพระหางหมากและพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งที่ 16




    พิธีพุทธาภิเษกพระคำข้าวรุ่นปืนครกแตกและพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งที่ 17
     
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,733
    หลวงปู่คำแสนเล็ก วัดป่าดอนมูล หลวงพ่อพระราชพรหมยานและหลวงปู่ครูบาชัยวงศาพัฒนา วัดพระบาทห้วยต้ม.jpg

    หลวงปู่คำแสนเล็ก วัดป่าดอนมูล หลวงพ่อพระราชพรหมยานและหลวงปู่ครูบาชัยวงศาพัฒนา วัดพระบาทห้วยต้ม
     
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,733
    733743_106570419538508_498519423_n.jpg

    ประสบการณ์น้ำมันชาตรีและมีดหมอชาตรี

    1.jpg
    2.jpg 3.jpg 4.jpg

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 128 เดือน ตุลาคม 2534 หน้า 22-25)

    ลพ.รดน้ำอบ.jpg
     
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,733
    0001 (19).jpg


    เรื่อง ดาวหลุมดำ ตอนที่ 1

    ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันที่บันทึกวันนี้เป็นวันที่ 14 มกราคม 2533 ที่บอกวันที่ก็เพราะว่า คราวนี้มีเรื่องพิเศษ เรื่องพิเศษที่จะพูดให้ฟังก็คือว่า เป็นเรื่องนิทาน ขอให้นามว่า "เรื่องดาวหลุมดำ" คำว่า "ดาวหลุมดำ" นี้ เป็นดวงดาวหนึ่งที่เป็นหลุมดำ

    คำว่า ดาวหลุมดำ นี้ เป็นดาวดวงหนึ่งที่เป็นหลุมดำๆ ที่มีเหตุเรื่องนี้ขึ้นมาได้ก็เพราะว่า เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2533 ได้ไปที่กรุงเทพฯ เพื่อจะไปซอยสายลมก็ไปแวะที่ดอนเมือง บ้าน พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต คุยกันถึงเรื่องอื่นเสร็จ ท่านพล.อ.อ.อาทร ก็ปรารภว่า ตอนนี้ฝรั่งกำลังสนใจเรื่องดาวหลุมดำ

    นั่นก็หมายความว่า ดาวดวงนี้เป็นหลุม เวลาที่ดาวดวงต่างๆ เข้าไปใกล้ มันก็ดูดเข้าไปหมด แสงสีต่างๆ ที่เข้าไปใกล้ มันก็ดูดเข้าไปหมด แสงก็มองไม่เห็น เมื่อท่านพูดแบบนี้ ก็มีความรู้สึกว่า ดาวหลุมดำนี้มีความร้อนสูงพอสมควร แต่ความร้อนไม่สูงเท่าดวงอาทิตย์ อย่าเข้าใจว่าสูงมากขนาดนั้น

    ในกาลต่อมา ก็กลับมาจากบ้าน พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต มาถึงที่ซอยสายลม ก็มาพบ หมอมนตรี ซึ่งมาคอยอยู่ก่อน ความจริงหมอมนตรีนี่ เป็นหมอสำหรับรักษาโรคประสาท หมอมนตรี นามสกุล อมรพิเษฐ์กุล ท่านเป็นหมอรักษาโรคประสาท

    ก็เป็นอันว่า คนนี้ดี อาตมายอมรับนับถือ ต้องมีหมอประเภทนี้ไว้ก็เพราะว่าว่างๆ บางทีโรคประสาทมันเกิดขึ้นได้ ถ้าหากว่าบังเอิญ มันจะบ้าเพราะโรคประสาท ขอญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโปรดทราบว่า ไม่ต้องหนักใจ เพราะมีหมอมนตรีคอยรักษาอยู่แล้ว

    ถามหมอมนตรี หมอมนตรีก็บอกว่า ไอ้โลกหลุมดำ มันเป็นหลุมครับ เวลาดวงดาวต่างๆ เข้าไปใกล้ มันดูดหายเข้าไปหมด แสงสีต่างๆ ก็ดูดหายเข้าไปหมด ก็มีสภาพเหมือนกันกับท่าน พล.อ.อ.อาทร ที่บอกมา ก็เลยไม่ได้กรณีพิเศษ

    มาเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2533 อาตมาเป็นโรค มีหนองที่รากฟันความจริงตั้งใจจะถอนทิ้ง ไอ้ของเลวๆอย่างนี้ไม่เคยสนใจมัน แต่ทว่า บังเอิญ พ.ต.นพ.นพพร และก็ พญ.เตือนใจ กลิ่นสุภา สองสามีภรรยา

    สำหรับ นพ.นพพรนั้น เป็นหมอศัลยแพทย์ ผ่าตัด แพทย์หญิงเตือนใจเป็นแพทย์ฟัน เป็นทันตแพทย์ สองตายายบอกว่า อย่าถอนทิ้งเลยหลวงพ่อ เอาไว้ก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆค่อยถอนทิ้ง ก็เลยบอกว่า ถ้ามีการรักษาอย่างหลวงพ่อไม่เสียสตางค์ และก็ไม่เสียเวลามากจะรักษา ถ้าต้องเสียสตางค์ด้วย ต้องเสียเวลาด้วยจะไม่รักษา เพราะของเลวๆอย่างนี้ ไม่อยากจะเอาไว้ เพราะเคยถอนทิ้งไปแล้ว

    เธอก็ยืนยันบอกว่า ไม่เป็นไรหนูจะจัดการให้ รักษาให้เอง รู้สึกว่าสำหรับหมอฟันก็มีหมอจำนูญ อีกคนหนึ่ง มาสนใจสงเคราะห์อยู่เสมอๆ เป็นคณะเหมือนกัน เป็นอันว่าหมอคนนี้เป็น ดร.จำนูญ ชื่อชักจะจำไม่ค่อยได้ ทีแรกเธอบอกว่า ถ้าอาการอย่างนี้ต้องไปที่คลีนิกบ่อยๆ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน การที่จะไปคลีนิกก็ไปไม่ไหว เพราะคนคนเดียว งานมันก็มาก ทิ้งวัดทิ้งวาไม่ค่อยได้ ไม่ได้ห่วง แต่ว่าเสียดายศรัทธาของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท

    เป็นอันว่า หมอเตือนใจก็มาชำระรากฟันให้ มีหมอโอ๋รับอาสาขับรถมาส่ง หมอโอ๋นี้ชาวบ้านเขาเรียกกันที่สำนักงาน ชื่อ อาจารย์บุปผาชาติ พงษ์ประดิษฐ์ แต่อาตมาเรียกหมอโอ๋ เพราะเธอชอบเป็นหมอ เป็นคนขับรถมาให้

    ขณะที่เขากำลังจัดการกับฟัน เอาเหล็กเข้าไปแคะฟัน ไปแคะหนอง มันเคยเสียวบางครั้งก็เคยปวด ตอนนี้ก็มาคิดว่า ประเดี๋ยวมันจะเสียว ประเดี๋ยวมันจะปวด เอาอย่างนี้ดีกว่าเราเป็นคนที่ไม่มีความหมาย ถือว่าร่างกายนี่ไร้สาระ ฉะนั้นร่างกายมันจะตายเชิญมันตายไปตามชอบใจ แต่ก่อนที่มันจะตาย เราไปก่อนมัน ก็จับ อานาปานุสสติ นิดหน่อย จิตก็ตกวูบลง ถึงอารมณ์ละเอียด เวลานั้นก็เห็นท่านผู้มีคุณมากมายมาล้อมอยู่มาก ลอยอยู่ข้างบน คุยกับท่านเพลิน

    ท่านก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไปเสียให้ร่างกาย ร่างกายจะเป็นอย่างไร มันเป็นเรื่องของร่างกาย จิตใจอย่าไปสนใจกับมัน คำว่า ไปห่าง คือ ใจไม่สนใจ หมอเขาทำหน้าที่ของหมอ เป็นเรื่องของหมอเขาไป เรื่องการเจ็บ การป่วย การเสียว เป็นเรื่องของร่างกาย ปล่อยมันไปเราไม่สนใจในมัน

    พอท่านพูดเท่านั้น จิตก็ตกวูบอีกครั้งหนึ่ง มีความหวิวนิดหนึ่ง ปรากฏว่า ร่างกายไปอยู่ที่ที่ใดที่หนึ่ง ที่เขาเรียกว่ากันว่า แดนอมตะ คือ แดนที่ตายไม่เป็น พอไปถึงที่ตรงนั้นก็ไปนั่งแบบสบายๆ คิดว่า บ้านหลังนี้สวย เป็นเพชรแพรวพราวเป็นระยับ เครื่องแต่งกายเราก็สวย มีเครื่องประดับประดาสวยสดงดงามทุกอย่าง มันเบาหมด ดีหมด ความหนักใจนิดหนึ่งก็ไม่มีในแดนนี้ เขาเรียกว่า แดนอมตะ

    ตอนนี้ ขอท่านผู้อ่านก็ดี ท่านผู้ฟังก็ดีโปรดทราบว่า เป็นอามรณ์เคลิ้ม ฉะนั้น เรื่องที่เล่าให้ฟังต่อนี้ไปทั้งหมด เป็นเรื่องนิทานทั้งหมด แต่ชื่อหมอเป็นคนจริงๆ และความเป็นมาของหมอที่ให้รักษาก็เป็นเรื่องจริง แต่ท้องเรื่องต่อไปทั้งหมด เป็นเรื่องนิทาน

    ขณะที่นั่งสบายอารมณ์อยู่ตรงนั้น ก็ปรากฏว่า มีท่านสุภาพสตรีคณะหนึ่ง เป็นหญิงล้วนไม่มีกระเทยปน กระเทยก็ไม่มี ชายก็ไม่มี แต่หญิงก็แปลก ไร้เพศภาวะความเป็นหญิง แต่งตัวแพรวพราวเป็นระยับเข้ามาใกล้ ขึ้นมาบนอาคารที่พัก ก็เลยลุกขึ้นจากที่ ทีแรกเอนกายอยู่

    ก็บอกว่า นี่เธอออกไปให้พ้นนะ ฉันต้องการอยู่คนเดียว ฉันไม่ต้องการให้มีอารมณ์อื่นเข้ามายุ่งกับฉัน ฉันถือว่า เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโต สตฺตานํ วิสุทฺธิยา ขึ้นต้น มหาสติปัฎฐานสูตร แปลไม่ได้ ใครอยากจะแปล ก็แปลเอาเอง รวมความว่า ฉันต้องการอยู่คนเดียว อารมณ์จิตจะสงบ เธออย่าเข้ามายุ่ง

    เธอที่เป็นหัวหน้าแทนที่จะโกรธ เธอกลับยิ้มเธอบอกว่า ในดินแดนแห่งนี้ คนทุกคนที่อยู่ที่นี่ ต้องไม่มีคำว่า หนักใจ คำว่า หนักใจ หมายความว่า ความไม่พอใจ ต้องไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเต็มไปด้วยความสดชื่น มีอารมณ์เป็นอมตะ คือ อารมณ์ไม่ตาย ไม่ตายจากความสุข ต้องมีอารมณ์เบา อารมณ์เยือกเย็น

    ฉะนั้นคนที่นี่จะนั่งคนเดียวหรือจะนั่งหลายคนก็ต้องมีอารมณ์เหมือนกัน ไม่มีอารมณ์อื่นเข้ามาข้อง ฟังเธอพูด ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟัง เธอก็พูดถูก อาตมาผู้พูดนี่เป็นพระ แต่ความจริง พระถ้ามีกังวลมันก็ไม่ใช่พระ อันนี้ไม่ได้ด่าใครนะ ด่าตัวเอง นึกในใจว่า เราถ้าเป็นพระ ถ้ามีกังวลก็ต้องไม่ใช่พระ ทีนี้คนพูดเขาเป็นชาวบ้านธรรมดา เขาเป็นผู้หญิง เขายังสามารถทำอารมณ์อย่างนั้นได้ เราก็ต้องทำได้ มันจะไม่ได้มาก ประเดี๋ยวหนึ่งก็เอา

    ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น เธอเข้ามาเถิด คุยกันได้ แต่ต้องแค่คุยกันนะ อย่ายั่วกันนะ ถ้าขืนยั่ว ไม่แน่นะ เดี๋ยวอาจจะวางแก่ทิ้ง เธอก็บอกว่า ที่นี่ไม่มีคำว่า ยั่ว ต้องตรงไปตรงมา ก็ถามว่า เธอมาทำไม

    เธอก็บอกว่า เห็นนั่งคนเดียว แล้วก็โง่คนเดียว แหม นี่มันชมถนัดหน้า นั่งคนเดียว โง่คนเดียว ก็เลยถามเธอว่า ทำไมจึงโง่ เธอก็บอกว่า ความโง่มันมีอยู่ ทำไมไม่รู้จักคำว่า โง่ หรือ ก็บอกว่า โง่ น่ะรู้จัก คือ โง่นี่ไม่รู้อะไรจริง เธอก็ถามว่า จักรวาฬทั้งหมดรู้จักแล้วหรือยัง แหม เล่นถามตอนนี้ ยังนึกในใจว่า ยายคนนี้ถึงแม้จะสวย ก็สวยเถิดวาจาจะเพราะ ก็เพราะไปเถิด

    ถ้าเมื่อสมัยหนุ่มๆ ตบหกคะเมนเก็งเก้ไปแล้ว ไอ้พูดแบบนี้ แต่ตอนนี้มันแก่แล้ว สู้เขาไม่ไหว ก็เลยต้องเอาแก่ ยิ้มๆอย่างแก่ๆ ยิ้มแล้วก็ถามว่า เธอเห็นหรือว่า ฉันโง่ที่ไหน เธอก็ถามใหม่ว่า จักรวาฬทั้งหมด รู้จักแล้วหรือ ก็เลยตอบว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จักรวาฬเล็กๆ ฉันยังรู้จักไม่หมดเลย

    เธอถามว่าจักรวาฬไหน ก็บอกเธอว่า จักรวาฬ คือ ร่างกายของฉัน อวัยวะทั้งหมด ฉันไม่เคยเห็นหน้ามันชัด ถ้าใช้กำลังของจิต ในอารมณ์ของกรรมฐาน ก็เห็นเป็นเงาๆบ้าง เห็นชัดเจนบ้างบางส่วน แต่บางส่วนก็ไม่เห็น เธอก็บอกว่า จักรวาฬภายในฉันไม่ต้องการ ฉันต้องการจักรวาฬภายนอก

    ก็ถามเธอว่า หมายถึงอะไร เธอก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน รู้จักแดนพรหมไหม ก็เลยบอกว่า รู้จัก เธอถามว่า ขึ้นมานี่มองดูแดนพรหมหรือเปล่า ก็บอกว่า ยัง ก็บอกว่า นี่ โง่ มันต้องดูแดนพรหม มองต่ำลงไป ก็มองตามเธอ มองต่ำลงไป เห็นแดนพรหมยาวเหยียด เป็นแดนกลุ่มใหญ่มาก แพรวพราวสวยสดงดงาม

    เธอถามว่า พรหมนี่มีความสุขหรือว่าความทุกข์ ก็ตอบเธอว่า พรหมไม่มีความทุกข์ แต่พรหมไม่สิ้นทุกข์ นั่นคือหมายความว่า ต้องเกิด พรหมที่เป็นโลกียวิสัย เป็นฌานโลกีย์ต้องกลับไปเกิดใหม่ มีทุกข์หนัก แต่พรหมที่เป็นพระอริยเจ้า ขั้นพระอนาคามีขึ้นมา หวังนิพพาน ก็ยังทุกข์ เพราะยังต้องปฏิบัติธรรม เพื่อบรรลุมรรคผลเบื้องสูง หรืออรหันต์

    เธอก็ตอบว่า ถูก หายโง่ไปนิดหนึ่งแหมมันน่าจะชมมากๆ ต่อไปเธอก็ถาม ดูแดนสวรรค์แล้วหรือยัง มองเยื้องไปนิดหนึ่งเห็นแดนสวรรค์เกลื่อนกล่นมากมาย ร้องรำทำเพลง มีความรักกัน ระหว่างเทวดากับนางฟ้า มีผัวมีเมีย มีลูกที่ไม่ได้ดูดเต้า นั่นก็หมายความว่า เวลามีลูก ลูกไม่ได้เกิดในครรภ์ ไม่ต้องเลี้ยงด้วยนม

    เธอก็ถามว่า เทวดากับนางฟ้ามีความสุข หรือความทุกข์ ก็ตอบเธอบอกว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดีไม่มีทุกข์ แต่ก็ไม่สิ้นทุกข์ ท่านที่ไม่สามารถจะไปนิพพานได้ ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอีก เธอก็ตอบว่า ถูก หายโง่ไปอีกหน่อย แหม เมื่อไรจะชมฉลาดเสียทีก็ไม่ทราบ ยายคนนี้ชมคนไม่เป็น

    เธอก็ถามต่อไปว่า ต่อนี้ไป ดูจักรวาฬต่ำจากเทวดานางฟ้า ต่ำจากสวรรค์ลงไป ต่อไปก็ดูเห็นไอ้ลูกมะนาวบ้าง ส้มเขียวหวานบ้าง มันลอยเกลื่อนในอากาศ ลูกเล็กๆ ลอยเกลื่อนอยู่ห่างๆ ก็เป็นระยะๆ ห่างกันบ้าง ไกลบ้าง เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ห่างๆกัน ไม่ติดกันแต่ว่ามันอยู่เป็นชั้น ที่สูงกว่าก็มี เลื่อนต่ำลงมาก็เยอะแยะ เต็มจักรวาฬ เต็มอากาศไปหมด

    ก็ถามเธอบอกว่า ไอ้ลูกผลส้ม นี่ใครเขาทำหล่นไว้ เธอก็ยิ้ม เธอก็บอกว่าที่ฉันพูดว่า ไม่หมดโง่ นี่มันเป็นอย่างนี้ นี่แหละโง่หนักละ ถามว่า ทำไม เธอก็ตอบว่า ไอ้นั่นที่เห็นเป็นผลส้มลอยในอากาศ ไม่ใช่ผลส้ม นั่นคือ เป็นจักรวาฬต่าง ๆ ที่เราเรียกกันว่าดวงดาว มันลอยอยู่เป็นตะปุ่มตะป่ำ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เห็นดาวพฤหัสไหม ก็เลยบอกเธอว่า เห็น นั่นใหญ่เบ้อเริ่มเบ้อเร่อ แต่ยังอยู่ต่ำลงไปมาก

    เธอบอก ดูผิวมาถึงที่สุด สุดของขอบจักรวาฬเบื้องบน เรียกว่า ขอบที่สุด สูงที่สุดก็แล้วกัน นั่งอยู่ตรงนั้น ถือว่า มันอยู่ใกล้ที่สุด ก็เห็นดวงดาวใหญ่ๆ มันใหญ่มาก จะเอาดาวพฤหัสเข้ามาเปรียบเทียบนี่เป็นไปไม่ได้ ดาวพฤหัสยังเล็กกว่าเยอะแยะ

    ก็มีพระท่านนั่งใกล้ๆ พระใหญ่ท่านนั่งใกล้ๆ ท่านบอก ลูกเอ๊ย ดาวดวงนี้ล่ะนะถ้าจะเทียบกับดาวพฤหัส ดาวดวงนี้ต้องเปรียบเหมือนช้าง ดาวพฤหัสต้องเปรียบเหมือนหมู แต่หมูต้องเป็นตัวไม่โต คือ ด้านหลังของหมู ต้องสูงไม่เกินตาตุ่มของช้าง ลองเปรียบเทียบดูซิว่า มันใหญ่กว่ากันเท่าไร ดาวขนาดใหญ่ประเภทนี้ มีหลายดวงเธอบอก เอาเฉพาะจุดนี้ก่อน อย่าโง่มากเกินไป

    ยายนี่แปลกจริงๆ แกชมคนว่า ฉลาดไม่ได้ ไอ้เราก็อยากให้ชมเสียที ไม่ยักชม แปลกจริงๆ แหม หนักใจ ถ้าเป็นมนุษย์ด้วยกัน ตบหกคะเมนไปแล้ว เอ ถ้าเป็นมนุษย์แก่ๆก็ไม่กล้าตบเขาเหมือนกันนา ประเดี๋ยวเขาจะหลบ แค่เขาหลบ เราก็หัวทิ่มพื้น มันจะตายเปล่าๆ

    ก็รวมความว่าเธอก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ดูเฉพาะดาวดวงนี้ ที่มันต่างกับเขา ดาวดวงโน้นที่มันห่างไป เป็นดาวกลมใช่ไหม เป็นลูกผลกลม ก็บอกว่า ใช่ เธอถามว่า โตไหม ก็บอกว่า ถ้าจะเปรียบกันนะ ไอ้ลูกผลส้มที่ลอยในจักรวาฬต่างๆ มันมีอุปมาเหมือนมะนาว หรือส้มเปลือกบาง แต่ไอ้ลูกนี้ 2-3 ลูก นี่มันโตขนาดพ้อม

    เธอก็บอกว่า ใช่มันใหญ่กว่ากันมาก ที่มนุษย์บอกว่า ดาวพฤหัสโตน่ะ ความจริงยังเล็กมากเกินไป เธอก็บอกว่า ดวงต่างๆไม่เอา เอาไอ้ดวงนี้ ดาวราหูนี่

    พระท่านบอกว่า เธอ ทำไมจึงเรียกว่า ดาวราหู เธอก็ตอบว่า ดาวดวงนี้ มันมีครึ่งดวง มันเหมือนกับผลส้มที่ถูกตัดกลาง หรือว่าเหมือนมีกระทะครอบลง มันมีโพรงข้างใน แต่ด้านบนนี่เป็นพื้นแผ่นดิน พื้นแผ่นดินหนาหลายโยชน์ แต่มีความเขียวชะอุ่ม มีทะเล มีมหาสมุทร มีแม่น้ำ มีคน อะไรทุกอย่าง เธอพรรณนา แต่ว่าตอนนั่งตอนนั้นไม่เห็น เห็นเป็นจุดดำๆ

    และก็ถือว่า ในบางโอกาส ไอ้ลูกผลส้มที่มันลอยเข้ามาใกล้ในรัศมี มันก็ผลุบหายเข้าไปในท้องดาวดวงนี้ พระท่านก็บอกว่า ดาวดวงนี้ควรจะเรียกว่า โลก ถ้าเรียกว่า ดาว เด็กๆ เขาจะเฝือ เธอถามท่านว่า เรียกว่าโลกอะไร ท่านเรียกว่า ชินโลก ชินโลก คือ โลกที่มีความชนะ ไม่แพ้ใคร นั่นก็หมายความว่า โลกประเภทนี้ในจักรวาฬทั้งหมด ไม่มี มีโลกนี้โลกเดียว ที่มีรูปร่างลักษณะแบบนี้

    ก็กราบเรียนถามพระท่านว่า ลักษณะจริงๆ ของโลกนี้เป็นอย่างไร ท่านบอก โลกนี้ มีสภาพเหมือนกระทะครอบ กระทะวาง เอาตูดกระทะ เอาท้องกระทะขึ้นข้างบน เอาหัวกระทะลงข้างล่าง

    ข้างในมันจะเป็นโพรง และความกว้างใหญ่ไพศาลของมัน กว้างใหญ่ไพศาลมาก ถ้าจะนับจักรวาฬเล็กๆที่ลอยอยู่ อย่างจักรวาฬมนุษย์ จักรวาฬของเราอยู่นี่ เวลานั้นไม่มีความหมายเลย มองดูจักรวาฬนี้ มันเหมือนกับมะนาวลูกเล็กๆ มันจิ๋วมาก ถ้าจะไปเทียบกับดาวพระศุกร์ โลกพฤหัส โลกพระอังคาร มันเทียบกันไม่ได้

    เป็นอันว่าโลกที่เราเลือกอยู่ เป็นโลกที่แคบๆ ทำความสะอาดได้ง่าย อย่างนี้ถ้าใครเป็นนายกเทศมนตรี ก็สบายเป็นเทศบาลโลกมนุษย์แคบๆ ก็เป็นอันว่า ถ้าเปรียบเทียบกัน มันใหญ่กว่ากันมาก ท่านก็ถามว่า ถ้าจักรวาฬที่ลอยอยู่ ถ้ามันจะไหลเข้ามาในท้องของดาวดวงนี้หรือโลกๆนี้ ก็ไม่รู้กี่ร้อยดวง มันถึงจะเต็ม

    ก็ต้องนับพันดวง แสนดวง แต่ท่านก็บอกว่า ตามที่มีคนเขาเห็น เขาลือกันในโลกมนุษย์ ท่านบอก ท่านได้ยิน ท่านบอกว่า มีนักวิทยาศาสตร์พวกหนึ่ง คนหนึ่ง แกเป็นคนทุภพลภาพ ไม่ถึงกับไปไหนไม่ได้ ไปได้แต่เดินไม่ถนัด แกก็คิดอยากจะดูระบบโหราศาสตร์ โหราจารย์อะไรก็ไม่ทราบ ดวงดาวต่างๆ แกก็ส่องไปส่องมา ส่องมาส่องไปด้วยกล้อง กล้องพิเศษที่แกคิดขึ้น ไม่ทราบว่าจะเรียกว่ากล้องอะไรดี ก็มาเจอะไอ้เจ้าดาวดวงนี้เข้า เห็นว่าจักรวาฬต่างๆ ที่ไหลเข้ามาใกล้ ลอยหายผลุบเข้าไปในท้องมันหมด แล้วก็ไม่ออกมา

    พระท่านก็เลยบอกว่า ความจริงมันออก แต่ฝรั่งไม่มีเวลาดู เวลามันออกเพราะว่านักวิทยาศาสตร์ถึงเวลาก็ต้องหลับ ถึงเวลาตื่นก็ตื่น ถึงเวลาหลับ ต้องมีการพักผ่อน ทีนี้ไอ้เจ้าดาว หรือโลกอันนี้ มันกว้างใหญ่ไพศาลมากข้างในมันเป็นโพรง ทีนี้เวลาที่อากาศไหลวนมาถึงตรงนี้เข้า ก็หวนเข้าไปข้างใน แล้วก็ไหลมาข้างนอก เหมือนกับเขตน้ำวน ที่มีแม่น้ำใหญ่ๆ น้ำไหล แล้วก็มีอุโมงค์เข้าไปข้างในข้างๆ ในแผ่นดิน มีอุโมงค์ลึกๆชอนเข้าไปข้างๆ ไกลๆ หน่อยเป็นอุโมงค์ใหญ่ สถานที่ตรงนั้นจะเป็นน้ำวนของต่างๆ ถ้าไหลไปที่นั่น ไปถึงนั่น จะวนไปวนมาอยู่ บางอย่างก็หลุดเข้าไปในอุโมงค์นั่น และต้องใช้เวลานานหน่อย จึงจะคลายตัวออกมา ข้อนี้ฉันใด ไอ้เจ้าชินโลกนี่ก็เช่นเดียวกัน

    ในเมื่อมันเป็นหลุมลึกอยู่ตรงกลางข้างใน และแสงสว่างที่มันรับก็รับตอนล่าง คือ มันสูงกว่าแสงอาทิตย์ที่มันจะพึงรับ ไม่ใช่ต่ำกว่าแสงอาทิตย์ การหมุนมันก็หมุนตัวเหมือนลูกข่าง ไม่ใช่หงายไป คว่ำมา มันก็หมุน เป็นการทรงตัว และเวลาที่โลกต่างๆ เลื่อนเข้ามาใกล้ในรัศมีความดูดของมัน มันก็ไม่ดูดแรง

    แต่ความจริงเจ้าดวงดาวหรือว่าโลกต่างๆ ที่ไหลมานี่ มันไหลไปตามกระแสของอากาศ หรือตามกระแสของลม มันไม่มีเครื่องขับเคลื่อน มันก็ไหลเข้าไปตามลมเข้าไปท้องของเจ้าโลกนี้ ความจริงเข้าไปแล้วมันก็ไม่หายไปไหน มันก็วนมาวนไปกระทบโน่นบ้าง กระทบนี่บ้าง ในที่สุดถึงจังหวะ มันก็ไหลออกมาข้างนอก

    แต่เวลาที่มันไหลออกมา ฝรั่งมองไม่เห็น แต่ไม่ใช่เวลาวันสองวัน มันต้องใช้เวลาเป็นปี อาจจะเข้าไปถึงปุ๊บ แล้วอาจจะใช้เวลาในเมืองมนุษย์ประมาณ 20 ปีบ้าง 50 ปีบ้าง 70 ปีบ้าง อาการมันเป็นอย่างนี้ เลยทำให้นักวิทยาศาสตร์มีความหนักใจ คิดว่า โลกนี้เป็นโลกอัศจรรย์

    ท่านจึงถามว่า สงสัยโลกนี้ไหม เลยกราบเรียนพระท่าน บอกว่า สงสัยขอรับ ท่านก็บอก ถ้าอย่างนั้นไปด้วยกัน ไปด้วยกันทั้งกลุ่มนี่ บรรดาท่านสุภาพสตรีปากกล้านี่ก็ไปด้วย ไปด้วยกัน จะได้รู้ว่า ไอ้โลกนี้จริงๆ มันเป็นอย่างไร เมื่อท่านบอกว่า ไปด้วยกัน ก็มาไม่ยาก ก้าวปั๊บเดียวก็ถึงโลกนี้ทันที ไม่ต้องพักพรหมโลก ไม่ต้องพักสถานีสวรรค์ ไม่ต้องพักสถานีพรหม ไม่ต้องพักสถานีอรูปรพรหม อวกาศใดๆทั้งหมด ก้าวก้าวเดียวก็ถึง

    มาถึงก็เห็นโลกมันยังเล็กๆอยู่ ก็ลงไปข้างหน้าทีแรกลงเดินบนผนังโลก ใกล้ ๆ ขอบ พระท่านบอกว่า ถ้าเดินแบบนั้นนะ ถ้าชีวิตของคนในโลกมนุษย์ธรรมดา 500 ชีวิต มันยังไม่จบเลย มันใหญ่โตมาก

    มนุษย์โลกที่เธออยู่ เธอถือว่า ใหญ่ มันเล็กจิ๋วเดียว มันเทียบกัน 1 ใน 1000 ก็ยังไม่ได้ ความใหญ่โต ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เดินลงไปเลย ไปดูหลุมข้างล่าง มันเป็นอย่างไร นั่นแน่ เอาจริงเอาจัง ก็เคลื่อนตัวลงมา ถึงหลุมข้างล่าง เห็นข้างล่างมันเป็นโพรงใหญ่ กว้างขวางมาก ข้างในก็มีไอ้โลกกลม ๆ เข้าไป หมุนไปหมุนมา อีเหละเกะกะ กระทบกันนิดๆ หน่อยๆบ้าง กระทบผนังบ้าง ก็วนซ้าย วนขวาบ้าง วนมาวนไป มันไม่ค่อยจะออก ท่านบอก พวกนี้ก็ออกหมด ไม่ช้าถึงวาระมันก็ออก มันค่อยๆ ไหลไปตามความดันของอากาศ แต่มันลึกมาก

    พอชมข้างในเสร็จ ท่านบอก ความร้อนที่รับ ตอนนี้จะร้อนมาก แต่ก็ไม่ร้อนเหมือนโลกพระศุกร์ โลกพระศุกร์ตอนหัวจะร้อนมาก แต่ว่าตอนกลางๆ จะมีความอุ่น ตอนปลายจะเย็นจัด เพราะแสงพระอาทิตย์ไม่ถึง โลกนี้ก็มีสภาพคล้ายคลึงกับโลกพระศุกร์ คือ ความร้อนยันเข้ามาจากข้างล่าง แต่ปรากฏมีแสงสว่างข้างบน แสงสว่างประสานกันทั้งโลก ไม่มืด

    ท่านก็บอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เดินต่อไปขึ้นให้เร็วหน่อย เพราะโลกนี้มันกว้าง ก็ถามว่า ในเมื่อมันเป็นโพรงแบบนี้มันจะไม่พังหรือ ท่านบอก จับดูซิ มันแข็งขนาดไหน ความแกร่งของมันที่สัมผัสกับความร้อนเหมือนกับหินเราดี ๆ หินผสมเหล็ก หรือเหล็กเป็นหิน หินเป็นเหล็ก มันแข็งขนาดหนัก และต่อไปต้องขึ้นไปสูงมาก ไอ้ความแข็งนี่มันหนาจัด หนาขึ้นไปสูงมากจึงเริ่มมีดิน

    แต่ส่วนที่เป็นดินจริงๆ ก็หนาเป็นโยชน์ คำว่า โยชน์ ก็แปลว่า 400 เส้น แต่มันหลาย 400 เส้น เอาละ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และบรรดาท่านทั้งหลายที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ เพราะเทปนี้เป็นทั้งเสียง เป็นทั้งหนังสือ สำหรับเรื่องโลกหลุมดำนี่ หรือดวงดาวหลุมดำนี่ ที่นำมาเขียนในเล่มที่ 11

    ก็เพราะว่า เพิ่งจะประสบพบเห็น เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2533 เท่านั้นเอง มันคงไม่จบในเล่มนี้ ขอให้อ่านต่อไปในเล่มที่ 12 สำหรับในตอนที่ 1 นี้ชื่อว่า โอกาสที่พบหลุมดำ ในวาระแรกก็หมดลง ขอลาไปก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ฟัง และผู้อ่านทุกท่าน


    (จาก หนังสืออ่านเล่น เล่ม 11 หน้า 74-85)


    01-black-hole-a-consensus.ngs.jpg
    ภาพจาก https://ngthai.com/science/20604/first-picture-black-hole-revealed/

    ดาวหลุมดำ ตอนที่ 2 ลักษณะและความเป็นอยู่คนบนโลกดาวหลุมดำ


    ท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทั้งหลาย ต่อนี้ไปขอทุกท่านฟังหรืออ่าน เรื่องโลกหลุมดำ ตอนที่ 2 เรื่องหลุมดำ ตอนที่ 2 นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ขอคุยกันแบบลัด ๆ เมื่อกี้ย่างเท้าก้าวมางวดทีแรกก็เห็นจะไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว ตอนนี้ก็เคลื่อนจากปากหลุม หรือปากโลกที่โบ๋เข้าไป ที่เขาถือว่าเป็นอันตรายต่อโลกทั้งหลายอื่นๆ คือ มันดูดโลกได้ ความจริงไม่ได้ดูด โลกต่าง ๆ มันไหลเข้าไปเอง ให้ความเป็นธรรมกับมันบ้าง

    ตอนนี้ก็พิสูจน์ผิวดิน ดินหนาหลายโยชน์ พอขึ้นมาด้านหลังของโลกนี้ พ้นจากหินแกร่งเข้าเขตดิน เริ่มมีต้นไม้ เริ่มมีความเยือกเย็นมีความชุ่มชื่น ต้นไม้เขียวชะอุ่ม มีป่าเยอะ ป่ามากกว่าป่าในประเทศไทยมาก

    หลังจากนั้นก็เดินเรื่อยไป เดินบนอากาศนะ ไม่ได้เดินบนพื้นดิน เดินพื้นดินไม่ไหวแน่ ต่อไปก็มองเห็นมหาสมุทร น้ำเขียวสวย น้ำเขียวขจี ได้เขียวขจี มันเขียวแบบไหนก็ไม่รู้ เขียวสวยๆ ไม่เขียวจัดนัก เขียวอ่อนๆ มองกำลังเย็นตา ก็เลยลอยละลิ่ว ปลิวลงมายังพื้นพสุธา คือ แผ่นดิน

    ก็บังเอิญเจอะคนคนหนึ่ง เป็นชายอายุไม่ค่อยจะมากนัก รูปร่างหน้าตาดีทรวดทรงดี ผิวค่อนข้างเหลือง เป็นมนุษย์ธรรมดาเรานี่เอง ก็ถามว่า คุณ คุณอยู่ในดินแดนนี้หรือ เขามอง แล้วรู้สึกเขายิ้ม เขาถามว่า ท่านที่มากันนี่ ท่านไม่ใช่คนโลกนี้ใช่ไหม ถามว่า ทำไมจึงทราบ

    เขาบอกว่า ผิวพรรณลักษณะหน้าตาบอกว่า ไม่ใช่คนโลกนี้ และอีกประการหนึ่ง เสียงที่พูด และภาษาที่ใช้ ก็ไม่เหมือนภาษาคนโลกนี้ ถามว่าคุณรู้จัก รู้ภาษาไหม เขาตอบว่า พอรู้ ก็เลยถามเขาบอกว่า คนโลกนี้มีมากหรือมีน้อย เขาบอกว่า ที่ท่านลงมาที่นี่ ที่ท่านถาม เป็นเมืองท่า เมืองท่าของมหาสมุทร

    ที่เมืองท่าของมหาสมุทรนี่ มันเป็น 3 เมืองด้วยกัน เมืองละท่าๆ ก็เป็นตลาดใหญ่ มีตึกสูงสวยสดงดงาม มีถนนราบเรียบ ทุกอย่างมันสวยไปหมด ถนนเขาก็ดีร่มรื่นสบายๆ มีจิตใจเป็นสุข คนที่เดินไปเดินมาก็ดี มีแต่อาการยิ้มแย้มแจ่มใส เขาบอก ในเขตของเมืองท่าทั้งหมด 3 เมือง ของ 3 ประเทศนี่ มีคนประมาณ 3 ล้านคน

    และก็ถามบอกว่า มหาสมุทรอย่างนี้ น้ำสีสวย เป็นทะเลเรียบ มันน่าจะมีเรือ มีเรือวิ่ง เรือเดินสมุทร เขาบอก มีแล้วเรือมีนามว่า แบนโนโรว์ เขาบอก แบนโนโรว์ ก็สงสัย หันเข้ามาถามพระท่าน ถามว่า แบนโนโรว์ นี่หมายความว่าอย่างไร พระท่านก็บอกว่า เป็นภาษาตามพื้นโลกของเขา

    เขาถือเป็นภาษากลาง ภาษากลางนี่ในโลกนี้จะไปที่ไหนก็ตาม เขาถือภาษานี้ แต่คำว่าแบนโนโรว์ นี่เขาแปลว่า เรือเดินมหาสมุทร และในขณะนั้นก็เห็นเรือกำลังวิ่งอยู่ แต่สีทุกสีเขานิยมเป็นสีไม้ เรือก็เป็นสีไม้ ตึกรามบ้านช่องก็มีลักษณะเป็นสีไม้ สีเย็นๆ ตา คือ สีเหมือนไม้อัดเหลืองๆนิดๆ

    ก็ถามเขาบอกว่า คุณ ที่นี่มีกฎหมายไหม เขายิ้ม เขาส่ายหัว เขาบอกว่า คำว่า กฎหมาย ที่นี่ไม่มี ก็เลยถามก่อน บอก ท่านอย่าเพิ่งถามฉันขอถามท่าน บอกว่า ท่านทั้งหลายที่มากันนี่ เวลานี้เอายานพาหนะจอดไว้ที่ไหน ก็บอกกับเขาว่า พวกที่มานี่ทั้งหมด ไม่มียานพาหนะ เขาถามว่า ท่านลอยมา หรือว่าท่านบินมา ก็เลยตอบเขาบอกว่า เลื่อนมา ไม่ได้ลอย ไม่ได้บิน แต่เลื่อนมาเฉยๆ เขาฟังแล้วก็รู้สึกว่า เขาไม่แปลกหน้าตาเขาก็เฉยๆ ไม่เห็นเป็นของแปลก

    ก็เลยถามเขาบอกว่า มนุษย์ต่างดาวหรือว่าดินแดนต่างดินแดน มนุษย์ต่างโลกเคยมาที่นี่ไหม เขาบอกว่า ที่นี่เป็นดินแดนที่ติดต่อระหว่างโลกต่อโลก คนโลกนี้ติดต่อกับโลกโน้น โลกโน้นติดต่อกับโลกนี้ ติดต่อกันไปติดต่อกันมานี่มีเยอะเป็นปกติ ก็ถามเขาบอกว่า ชาวโลกต่างๆที่มานี่ เขามาด้วยยานพาหนะอะไรเขาก็ตอบหน้าตาเฉยว่า ไม่เห็นมีอะไรนี่ มันก็เป็นยานพาหนะปกติ เราก็นึกในใจว่า เอ้อ ยานพาหนะปกติของเขา แต่มันไม่ใช่ปกติของเรา เราระหว่างเครื่องบินบนโลกจากทวีปนี้ไปทวีปโน้น จากประเทศนี้ไปประเทศโน้น มันยังย่ำแย่ ไอ้นี่แกข้ามโลกเป็นโลกๆ

    เมื่อมองดูจักรวาฬต่างๆ ก็มีความรู้สึกว่า มันห่างกันมาก จากการหมุนรอบตัวของโลก เข้าไปเทียบกับการห่างจักรวาฬ มันเทียบกันไม่ได้ อย่างโลกมนุษย์นี่ ถ้าเครื่องบินบินรอบตัว เราก็จะไปดวงดาวที่ใกล้ที่สุด หรือโลกที่ใกล้ที่สุด คือ ดวงดาวพระจันทร์
    ถ้าไปดวงดาวพระจันทร์ มันก็จะยาวกว่าเครื่องบินที่บินรอบโลก มันหลายแสนเท่า มันเทียบกันไม่ได้

    ทีนี้เราจะมีเครื่องบินไปดวงดาวพระจันทร์ มันก็ไปไม่ไหว ฝรั่งเขาต้องใช้จรวด ก็ต้องใช้กำลังสูง ลงทุนสูง แต่ชาวโลกต่อโลกในที่นี่ เขาเดินทางไปเดินทางมากันรู้สึกว่าสะดวก ก็เลยถามเขาบอกว่า ยานพาหนะที่ใช้ระหว่างโลกต่อโลก ที่ใช้ก็ดี และยานพาหนะที่ใช้ในโลกนี้ก็ดี ใช้น้ำมัน หรือว่าใช้แก๊สแข็ง เขาก็ยิ้มบอก ชาวโลกระดับนี้ไม่รู้จักคำว่าน้ำมัน ไม่รู้จักคำว่า แก๊สแข็ง แต่ความจริงเขารู้จัก แต่เขาไม่ใช้กัน เพราะว่าท่อไอเสียที่มันพ่นออกมานี่ มันเป็นอันตรายทำให้อากาศเป็นพิษ ที่นี่เขาใช้แร่เป็นเชื้อเพลิง อาศัยความร้อนของแร่เป็นเครื่องหมุนเครื่อง และแร่หรือรังสีที่ออกมา จะไม่เป็นอันตรายกับคน คนก็ไม่มีอันตราย สัตว์ก็ไม่มีอันตราย ก็ถามเขาบอกว่าประเทศฝั่งนี้ มีหลายประเทศไหม ก็บอกว่า มีเยอะ

    พระท่านก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เวลามันสั้น เวลามีน้อย สำหรับในตอนนี้ว่ากันโครมๆไปนิดหนึ่ง อยากจะถามว่า ประเทศฝั่งโน้น ฝั่งมหาสมุทรฝั่งโน้นมีไหม เขาบอกว่า มี เรือที่ติดต่อกันมี เป็นการค้าขายระหว่างฝั่งนี้กับฝั่งโน้น ถามว่า ฝั่งนี้นำอะไรไปค้าขายฝั่งโน้น เขาบอกว่า ส่วนใหญ่ก็เป็นพืชไร่ เพราะทางด้านฝั่งโน้นจนพืชไร่ ฝั่งนี้รวยพืชไร่ ด้านฝั่งโน้นที่ส่งมา ของขาย ก็เป็นของที่ผลิตแล้ว เป็นแดนอุตสาหกรรม แต่ฝั่งนี้ก็มีอุตสาหกรรมมาก แต่ว่าของมันไม่เหมือนกัน เราก็แลกกันไป แลกกันมา

    ถามว่ามหาสมุทรนี่ กว้างใหญ่ไพศาลมากไหม เขาก็บอกว่า กว้างใหญ่ไพศาลมาก จึงถามเขาบอกว่า ในระหว่างที่จะถึงฝั่งโน้นมีประเทศหรือมีเกาะใหญ่ๆ ระหว่างกลางมหาสมุทรไหม เขาก็ตอบว่า เกาะใหญ่ๆระหว่างกลางสมุทร และมีประเทศตั้งอยู่เยอะ และเป็นประเทศที่มีความสวยสดงดงาม จึงกราบพระท่านบอกว่า จะไปดูฝั่งโน้นกันดีไหม พระท่านก็บอกว่า ดี ก็ลาเขานิดหนึ่ง ก็บอก ลาประเดี๋ยวนะ เดี๋ยวจะมาคุยใหม่ ต่างคน ต่างก็เลื่อนตัวไป เลื่อนไป มันก็ไปไม่เร็วนัก ไปช้าๆ แต่เดี๋ยวเดียวก็ถึง ปรากฏว่าในกลางมหาสมุทร มีเมืองระเกะระกะสวยสดงดงามทันสมัย เรียกว่า ถ้าจริงๆแล้วสวยกว่าประเทศไทย สวยกว่าโลกของเรา

    ไปด้านฝั่งโน้น เมืองท่าของเขามีตึกสูงๆ และมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย หนาแน่นมาก ความหนาแน่นคล้ายกรุงเทพฯ แต่ถนนเขากว้างกว่าเรา อากาศสะอาดกว่าเรา ก็เดินทางกลับ พอกลับมาถึงตาคนนี้ ปรากฏว่า แทนที่แกจะมีคนเดียว ตอนนี้แกหาเพื่อนมาตั้งหลายคน มีเพื่อนมาแยะสักสิบคนกว่าๆ ก็ลงมาคุยกัน

    เมื่อลงมาแล้ว แกก็ยิ้มบอกว่า เมื่อกี้นี้ท่านใช้พาหนะอะไร ไหลไปง่ายๆ ไม่ต้องมีเรือ ไม่ต้องมีรถ ไม่ต้องมีอะไรทั้งหมด ไม่ต้องมีเครื่องบิน ก็บอกว่า ใช่ เขาถามว่า วิชาไหลแบบนี้ มีใครสอนไหม ก็ตอบเขาบอกว่า วิชานี้ไม่มีใครสอน ต้องฝึกเอาเอง หลักวิชาให้กันได้ แต่ว่าการสอนให้ไหลไม่ได้ ต้องฝึกเองจนกว่าจะไหลได้ เขาบอก เขาอยากเรียน ก็เลยบอก โอกาสหน้าถ้ามี จะนิมนต์พระท่านมาสอนให้ พอพูดถึงพระ เขาสะดุ้ง เขาถามว่า คณะที่ท่านมานี่เป็นพระหรือ ก็ตอบว่า ที่มาทั้งหมดนี่ เป็นพระ เขาถามว่า ทำไมไม่แต่งตัวอย่างพระ ก็เลยถามเขาบอกว่า ที่นี่เคยมีพระมาหรือ มีศาสนาเป็นเครื่องสอนใช่ไหม เขาถามว่า ศาสนาที่สอน คือ ธัมมธัมโม ใช่ไหม ก็บอกว่า ใช่ เขาบอกว่า ที่นี่มีพระพุทธศาสนา ก็แปลกใจ คิดว่า พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยบอกว่า พระพุทธศาสนาจะมีในโลกอื่น

    ก็ถามว่า พระที่พวกคุณรู้จักดีที่สุด ยอมรับนับถือมากที่สุด คือใคร ชื่ออะไร เขาตอบ พระที่ยอมรับนับถือมากที่สุดพบตัวกัน คือ พระโมคคัลลาน์ แต่พระโมคคัลลาน์ก็บอกว่า พระพุทธเจ้าเป็นอาจารย์สอนท่าน ให้ทุกคนนึกถึงพระพุทธเจ้า ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พวกข้าพเจ้าก็ยอมรับนับถือ และนับถือด้วยความจริงใจ

    ถามว่า พระโมคคัลลาน์ท่านมาบ่อยไหม เขาบอกว่า สมัยนั้นมาบ่อย เวลานี้ห่างไป ก็ถามว่า สมัยนั้น มันหมายถึงอะไร เขาก็ตอบว่า สมัยเมื่อถอยไปสองพันปีเศษ สองพ้นห้าร้อยปีเศษนี่ พระโมคคัลลาน์มาบ่อย ถามว่า มาคราวละกี่วัน ก็ตอบว่า ก็ไม่แน่นอนนัก อาจจะเป็น 2 วัน 3 วัน 4 วัน 5 วัน 7 วัน 10 วัน ถึงเดือนก็มี

    ก็ถามว่า พระโมคคัลลาน์มาน่ะ ท่านเหาะมาหรือว่าท่านไหลมา คนนั้นก็ตอบว่า ท่านไหลมาเหมือนพวกท่านนี่ ที่ท่านมาไหลมาฉันใด พระโมคคัลลาน์ก็ไหลมาฉันนั้น เลยถามว่า พระโมคคัลลาน์สอนอะไร เขาก็ตอบว่า พระโมคคัลลาน์สอนไม่มาก ไม่ได้สอนอะไรมาก แต่สิ่งที่สอนก็คือ มีกฎอยู่ 14 อย่าง คือ

    หมวดที่หนึ่ง
    มี 4 ได้แก่ 1. เมตตา ความรัก 2. กรุณา ความสงสาร 3. มุทุตา มีจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยากัน 4. อุเบกขา วางเฉย ในเมื่อกระทบสิ่งที่ไม่พอใจ

    และต่อไปก็มีอีกหมวดหนึ่งมี 10 อย่าง คือ 1. ไม่ฆ่าสัตว์ 2. ไม่ลักทรัพย์ 3. ไม่ประพฤติผิดในกาม ทางกาย

    ทางวาจา ก็ไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล

    ทางจิตใจ ก็ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใครคนอื่นมาเป็นของตนโดยไม่ชอบธรรม และก็ไม่คิดจองล้างจองผลาญใคร อารมณ์ไม่พอใจอาจจะมีบ้าง แต่อดใจไว้ และตั้งใจปฏิบัติทุกสิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดให้ครบถ้วน ทำจิตให้เป็นสุข

    เขาบอกว่า พระโมคคัลลาน์สอนเท่านี้ และโลกนี้ก็ปฏิบัติทั้งโลก โลกนี้โลกใกล้เคียง เขาปฏิบัติเหมือนกัน

    ก็เลยหันมาถามพระที่ท่านไปด้วย กราบท่านถามว่า อย่างนี้เขาเรียกว่า โลกโสดาบัน ใช่ไหม

    ท่านก็บอกว่า ยังเรียกโลกโสดาบันแท้ไม่ได้ เพราะกำลังใจของคนบางคนหรือส่วนใหญ่ยังอ่อนอยู่ ยังมีความรักพระนิพพานไม่แน่นอนนัก แต่บางคนเขาก็มีเหมือนกัน และมีความรักในพระนิพพานยวดยิ่ง ก็ถามพระบอกว่า เคยส่งพระโมคคัลลาน์มาสอนหรือ

    ท่านตอบว่า ไม่ได้ส่ง เป็นหน้าที่ของโมคคัลลาน์เอง จะสงเคราะห์คนที่มีความเคารพ พระโมคคัลลาน์เป็นผู้มีฤทธิ์ ไปไหนก็ไปได้ตามความพอใจ เห็นว่าที่ใดสมควร ก็ไปที่นั่น

    ไอ้นี่เป็นเรื่องนิทานนะบรรดาญาติโยม

    หลังจากนั้นก็หันมาถามคุณลุง จะเรียกคุณลุงก็กระดากปาก ถามว่า ลุงรู้จักพระโมคคัลลาน์ได้อย่างไร พระโมคคัลลาน์นิพพานไปสองพันปีเศษแล้ว ในเมืองมนุษย์ก็คิดเป็นเวลาสองพันปีเศษ ลุงนั้นก็หัวเราะ ก็บอกว่า มนุษย์ในโลกสีชมพู มีอายุเท่าไร เป็นอายุขัย ก็บอกว่า ในสมัยพระโมคคัลลาน์มีชีวิตมีอายุ 100 ปีเป็นอายุขัยเวลานี้อายุขัยเหลือ 75 ปี เขาก็หัวเราะ เขาถามว่า ทำไมอายุน้อยนักล่ะ ก็ตอบเขาว่า เป็นธรรมดา

    ถามเขาว่า ที่นี่มีอายุขัยเท่าไร เขาบอกว่า ที่นี่เวลานี้ มีอายุขัย 12,000 ปี ก็ถามบอกว่า ลุงน่ะรู้จักพระโมคคัลลาน์หรือ เขาบอก เขารู้จัก เขาปฏิบัติตามธรรมะที่พระโมคคัลลาน์สอนทุกอย่าง ก็ถามต่อไปว่า ประเดี๋ยวธัมมธัมโมค่อยคุยกัน

    ถามว่า เมืองเกาะที่ไปน่ะ ใช้เรืออย่างเดียว หรือว่าใช้เครื่องบินด้วยเขาบอก เครื่องบินก็ใช้ เรือก็ใช้ รถก็ใช้ ก็ถามเขาบอกว่า รถไปได้อย่างไรในเกาะ เขาบอก มีอุโมงค์ไปก็เลยพากันไปดูอุโมงค์ อุโมงค์มีทางรถยนต์ มีทางรถไฟ แต่เครื่องบินไม่มี อุโมงค์มองดูความกว้างแล้ว รู้สึกว่า กว้างประมาณ 4 กิโลเมตร คือ ไม่ต่ำกว่านั้น สูงกว่านั้น เมื่อนั่งรถไประหว่างอุโมงค์ สองข้างทางมันไม่เงียบ ไม่ได้เปล่าเปลี่ยวตามที่เราคิด มันมีบ้าน มีเมืองเป็นระยะๆ บางจุดก็เป็นเมืองใหญ่พอสมควร มีตลาดใหญ่ มีบ้านที่อยู่น่ารื่นรมย์ทุกอย่าง ไฟฟ้าก็สว่าง อากาศก็ดี เขาเรียกว่า เมืองใต้บาดาล เมืองใต้ดิน หรือใต้มหาสมุทร

    เขามีความศิวิไลซ์มาก การติดต่อเครื่องวิทยุสื่อสาร เขาก็มีการติดต่อกันได้คล่องแคล่ว เครื่องโทรศัพท์โทรเลขก็มีเป็นระยะ ๆ เออ พูดตอนนี้ก็คิดว่า คล้ายๆที่อเมริกา เขามีโทรศัพท์ตามทางเป็นระยะๆ แต่ว่าที่นั่นเขาดีกว่ามาก ถ้าพูดถึงด้านโทรศัพท์ ก็ไม่ได้ลองใช้ ลองใช้วิทยุของเขา เขาบอกว่านี่วิทยุไม่ต้องรอเครื่องโทรศัพท์ ติดต่อกับใครก็ได้ ถ้ารู้โค้ด รู้คลื่นของบุคคลนั้น หรือรู้โค้ดประจำตัว

    ในที่สุดพากันลงเดินเล่นบริเวณเมืองใต้บาดาล เมืองใต้บาดาลนี่มีความสุขมาก มีอาการรื่นรมย์ มีรถยนต์ มีมหรสพทุกอย่าง มีแต่ความสุข ที่แปลกที่สุดก็คือ คนหน้าบึ้งไม่มี คนที่มีอารมณ์เครียดไม่มี มีแต่คนที่มีอารมณ์แจ่มใส เจอะหน้าใครก็ยิ้มแย้มแจ่มใส

    ในเมื่อแกเห็นหน้าเข้า เขาก็ถามว่า ท่านมาจากไหน ถามว่า ทำไมจึงถามแบบนั้น ก็บอกว่าท่านนี่ไม่ใช่คนโลกนี้แน่ สัญลักษณ์ของคนโลกนี้คือ ผิวขาวเหลือง และก็ผมด้านหน้าจะหยิกนิดๆ ทีนี้ท่านมากันนี่ผมสั้น ผมตัดสั้นเกรียน แสดงว่าโลกที่ท่านอยู่ มีความร้อนมากกระมัง

    แหม มันหาว่า ตัดผมหนีร้อน ตัดผมรับลมรับความเย็นเสียได้ ก็รวมความหมายว่า ฉันไม่ใช่โลกนี้ เป็นชาวโลกชมพู ก็มีคนเขาถามเหมือนกันว่าโลกชมพู อยู่ที่ไหน ก็เลยบอกว่า ที่นี่อธิบายไม่ได้ ถ้าจะอธิบายได้ ต้องลอยขึ้นไปข้างบน และมองดูโลกชมพู มันไกลจากนี้มาก เขาก็ยิ้ม แล้วก็ส่ายหน้าแล้วก็เดินเลยไป

    แล้วต่อมาก็เดินไปอีกนิดหนึ่ง ไปถึงเขาบอกว่า ทางนี้ขึ้นไปเรือนกระจกแก้ว เรือนกระจกอยู่ในกลางมหาสมุทร เป็นเรือนกระจก พอไปจริงๆ เป็นเรือนกระจกจริงๆ ใหญ่มากกว้างขวางใหญ่โต มีที่นั่งสบาย มีคนเยอะ มีเครื่องยิงอาหารให้ปลา หมายความว่า ยื่นมือไปไม่ได้ น้ำมันไหลเข้ามา น้ำท่วมตาย ถ้าใส่เครื่องนี้แล้วกดปุ่มปั๊บ มันก็ยิงปุ๊ด อาหารออกไปกระจาย ปลาก็กินกัน

    เป็นอันว่า คนก็ดูปลา ปลาก็ดูคน น่าสดชื่น มีความสุข แล้วต่อมาก็ถอยหลังกลับ ถอยหลังกลับเข้ามาถึงเมืองเดิม หลังจากนั้นก็เดินไปอีกหน่อยหนึ่ง อยากจะขึ้นไปดูเมืองกลางมหาสมุทร ถามเขาบอกว่า ถ้าจะขึ้นไปเมืองกลางมหาสมุทรมีที่ขึ้นไหม เขาบอกว่า มี ก็ถามว่า ที่ไหน เขาบอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน มานั่งรถไปด้วยกันก่อน

    นั่งรถจากที่นี่ไปสักครู่หนึ่งก็จะถึงทางขึ้นเมืองกลางมหาสมุทรก็เป็นอันว่า นั่งรถไปกับเขา พอนั่งรถไปประเดี๋ยวเดียว มีความรู้สึกว่ามันเดี๋ยวเดียว พอปุ๊บปั๊บโผล่ออกมา เห็นอากาศกลางทะเล มีพื้นแผ่นดิน โอ้โฮ…อัศจรรย์ ทางของเขาเรียบจริง ๆ ขึ้นเนิน ยังไม่รู้สึกว่าขึ้นเนินเลย คิดว่านั่งในที่ราบ พอขึ้นมาเจอะเมืองกลางมหาสมุทรแล้วก็ยังไม่มีโอกาสจะเดินเข้าไปใกล้ๆ มีความสงสัยว่า เมืองกลางมหาสมุทรนี่ มันจะต้องถูกคลื่นยักษ์ซัดเข้ามาทำให้บ้านช่องพังพินาศบ้าง ไม่อย่างนั้นก็ลำบากในเรื่องของน้ำบ้าง

    ก็ถามเขาบอกว่าเมืองกลางมหาสมุทรนี่ ดูพื้นแผ่นดินก็ไม่สูงนัก แล้วมหาสมุทรก็ใหญ่คลื่นลมก็อาจจะมี เขาตอบว่า มีคลื่นลมมีเป็นคราวๆเหมือนกัน ถามเขาว่าลมหนาไหม หนักไหม เขาบอก ลมหนักมาก หนามากก็มี ไม่หนักมากก็มี พอปานกลาง ๆ ก็มี เล็กน้อยก็มี มีเหมือนกัน เขาก็เลยบอก ทุกโลกคิดว่า จะมีสภาพอย่างนี้เหมือนกัน เลยถามเขาบอกว่า ขณะที่คลื่นลมขนาดหนัก สูงประมาณเท่าตึก 7 ชั้น 5 ชั้น มีไหม เขาบอกว่า มี นานๆ จะมีครั้ง

    ก็ถามเขาต่อไปว่า ถ้าคลื่นลมมาอย่างนั้นจริงๆ บ้านเรือนที่นี่ ไม่พังหมดหรือ เขาก็บอก ดูซิ มันเต็มเกาะอย่างนี้ มันยังไม่พัง ถ้าพังเขาก็อยู่กันไม่ได้ เขาบอกวิธีกันลม มันกันไม่ได้ แต่วิธีที่กันกระแสน้ำแรงนี่กันได้ น้ำแรงเข้ามาถึงเกาะนี้แล้ว มันจะไม่แรงมาก

    เขาก็พาไปดูเขื่อนกั้นน้ำทะเล มันเป็นเขื่อนสูงพอสมควร มันเป็นเขื่อนสามชั้น ชั้นที่หนึ่งระดับหนึ่ง และถอยมาอีกระยะหนึ่ง ก็มีอีกชั้นหนึ่ง ถอยมาอีกระยะหนึ่งมีอีกชั้นหนึ่ง แต่ละชั้นก็สูงขึ้นไปตามลำดับ และก็มีช่องออกทะเล ช่องก็ไม่ตรงกัน วนไปวนมา เพราะน้ำไม่สามารถจะตีทันทีทันใดขึ้นบกได้ เขาบอก

    เขื่อนของเกาะนี่ มีสามชั้นแบบนี้ เป็นการบรรเทาความรุนแรงของน้ำ น้ำเมื่อซัดเข้ามาแล้ว บางส่วนจะเลยเขื่อนขึ้นไปบ้างก็ของธรรมดา และส่วนที่ค้างเขื่อนก็จะไหลลงทะเลไป ก็รู้ความว่า การที่เขาจะกั้นเขื่อน กั้นเกาะ และแข็งแรงมาก และก็สูงตามสมควร มีช่องออกเป็นช่องๆ ไอ้ตามช่องออกนี่มันจะไม่ตรงกัน หมายความว่า น้ำไหลถนัดไม่ได้ เพราะน้ำต้องเลี้ยวไปเลี้ยวมา ดูแล้วก็งง มีความรู้สึกว่า เขาต้องลงทุนมาก

    ก็ถามว่า การกั้นเขื่อนแบบนี้ มันต้องลงทุนมาก เขามีเงินทองพอจะกั้นหรือ เขาก็บอก เขากั้นกันแล้วนี่ ถ้าเงินไม่มี ทองไม่มี ของไม่มี เขากั้นไม่ได้ ที่นี่ก็มีค่าจ้างแรงงาน วัตถุก็ต้องซื้อเช่นเดียวกัน เวลาจะทำขึ้นมา ก็ต้องใช้เงิน ใช้เหมือนกัน
    แต่ว่าเงินต้องใช้มากน้อยเท่าไร เป็นของไม่หนัก ก็เลยถามเขาว่า เศรษฐกิจที่นี่ดีหรือ เขาบอกในโลกนี้เศรษฐกิจดีทุกสถานที่ ไม่มีที่ใดเศรษฐกิจไม่ดี ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่า ที่นี่ ค่าใช้จ่ายไม่สิ้นเปลืองนัก คนยากจนเข็ญใจไม่มี ชาวโลกอื่นที่เขามา เขาเคยเล่าสู่กันฟังว่า โลกของเขา รัฐบาลเก็บภาษีแพงมาก ทุกอย่างเก็บภาษีเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ หรือว่า 20 เปอร์เซ็นต์ 30 เปอร์เซ็นต์ 60 เปอร์เซ็นต์ 70 เปอร์เซ็นต์ อย่างนี้ เป็นต้น

    แต่ว่าภาษีที่นี่ เก็บน้อยมาก ถ้าเปรียบเทียบกับโลกอื่น แต่ก็ยังถือว่ามาก ของที่มีความสำคัญที่สุด เก็บภาษี 3 เปอร์เซ็นต์ อย่างต่ำที่สุดก็เก็บภาษีเปอร์เซ็นต์ครึ่ง และของระหว่างประเทศที่ซื้อเข้ามาขายในระหว่างประเทศนี่ก็เหมือนกัน จากประเทศโน้นมาประเทศนี้ ทางประเทศแต่ละประเทศไม่เก็บภาษีผ่าน ปล่อยให้ขายกันอย่างเสรี ก็ถามเขาว่า ถ้าอย่างนั้นประเทศจะมีเงินใช้หรือ เขาบอกว่าแค่เก็บ 3 เปอร์เซ็นต์อย่างสูง เปอร์เซ็นต์ครึ่งอย่างต่ำ แค่นี้เงินในประเทศก็มีเงินมหาศาลแล้ว ค่าใช้จ่ายน้อย

    ก็เลยถามเขาบอกว่า กำลังคนที่ต้องใช้ ก็ต้องใช้เงิน อย่างกองทัพนี่ กองทัพต้องใช้เงินมาก คนก็มาก ต้องใช้เงินก็มาก เครื่องรบราฆ่าฟัน ก็เป็นราคาสูง พอพูดถึงกองทัพ เขามองอย่างแปลกใจ เขาถามว่า กองทัพ คืออะไร อะไรมันทับกัน อะไรมันกองเข้าไว้ แล้วทับกัน

    ก็เป็นอันว่า บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ในเมื่อเขาสงสัยก็ยังไม่ทันอธิบาย ก็ปรากฏว่าเวลาของตอน 2 หมดพอดี ขอลาก่อน ฟังต่อไปในเล่มที่ 12

    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน ผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี

    (จากหนังสืออ่านเล่น เล่ม 11 หน้า 86-97)


    c9386f82183dcc96.jpg
    ภาพจาก https://www.matichon.co.th/columnists/news_2318195



     
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,733
    ดาวหลุมดำ ตอนที่ 3 ดาวต่างๆภายในดาวหลุมดำ


    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันที่บันทึกนี้ เป็น วันที่ 15 มกราคม 2533 ที่บอกวันเดือนปีไว้ก็เพราะว่า จะได้ทราบว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่จะกล่าวต่อไปนี้ มันเป็นเรื่องของความสับสนของสมอง แต่ก็เป็นเรื่องความจริงใจของบุคคลพวกหนึ่ง ที่เรียกว่า ท่านคณะจิตวิทยา สำหรับคณะจิตวิทยานี้ ในจิตเป็นกำลังงาน ทำงานด้วยกำลังของจิต จิตมีสภาพรวดเร็ว และไปได้ทุกหนทุกแห่ง แม้แต่ในที่ปิดบังลี้ลับ ก็สามารถจะไปได้ เรื่องนี้ก็ไม่ขออธิบาย ขืนอธิบายก็เพ้อ

    รวมความว่า วันนี้จะคุยกันเรื่อง ดาวหลุมดำ คำว่า ดาวหลุมดำ ความเป็นมาเป็นอย่างนี้ ผู้พูด หรือผู้เขียนเอง ก็ไม่ทราบมาก่อน เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2533 เดินทางเข้าไปกรุงเทพฯ ไปแวะที่บ้าน ท่านพล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต อดีตรองเสนาธิการทหาร แห่งกองบัญชาการทหารสูงสุด

    ในตอนหนึ่งท่านคุยให้ฟังว่า เวลานี้ฝรั่งเขากำลังสนใจ เรื่องถุงดำ คำว่า ถุงดำ ก็หมายความว่า เป็นดวงดาวดวงหนึ่งในอากาศ มีสภาพเป็นถุง บรรดาดาวทั้งหลายเข้าไปใกล้ มันก็ดูดเข้าไปหมด แม้แต่แสงสีต่าง ๆ เข้าไปใกล้ มันก็ดูดเข้าไปหมด เวลาที่ดูดเข้าไป ก็หายเข้าไปเลย เมื่อท่านพูดอย่างนี้ ความรู้สึกเวลานั้นก็มีความรู้สึกว่า ผิวของดวงดาวดวงนี้ ด้านหน้ากร้านมากแล้วก็มีความร้อนพอสมควร ไม่ใช่มีความร้อนอย่างแสงอาทิตย์ คือ เรียกว่า ร้อน ถ้าหากว่าสัตว์ที่มีชีวิต สามารถจะทนความได้ ถ้าจะเปรียบเทียบกันจริง ๆ ความร้อนด้านหน้าของดวงดาวดวงนี้ ถ้าจะเทียบกับตะวันออกกลาง ก็เห็นจะร้อนกว่าตะวันออกกลางนิดหน่อย ร้อนกว่าไม่เกิน 10 องศาเซนติเกรด เทียบกับตะวันออกกลางนะ เอาเฉพาะอย่างยิ่ง อียิปต์ ก็แล้วกัน
    จะร้อนกว่าอียิปต์ไม่เกิน 10 องศาเซนติเกรด ก็เรียกว่า พอทนกันได้

    ต่อมาเมื่อเดินทางไปถึงซอยสายลม บ้านท่านพล.อ.ท.ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ ผู้พูดเองก็ป่วย รอรับการให้น้ำเกลือจากแพทย์ เวลานั้นก็มีแพทย์ คือมี หมอมนตรี นามสกุลว่าอย่างไรก็จำไม่ค่อยได้แล้วนะ อ้อ.. หมอมนตรี อมรพิเชษฐ์กูล นี่ พรนุช คืนคงดี เขาจดไว้ให้ มีหมอมนตรีมาคอยก่อน และต่อมามี หมอแสงโสม คือ พญ.แสงโสม ปิรยะวราภรณ์ มา ต่อมาก็มี นพ.จรูญ ปิรยะวราภรณ์ ผู้สามีของ พญ.แสงโสม มา คือ แสงโสมนี่ ผู้พูดไม่ค่อยถนัด มักจะเรียกว่า อิ๋ง ๆ เป็นอันว่า หมอที่รักษาตัวอยู่จริง ๆ ก็คือ นพ.จรูญ ปิรยะวราภรณ์ พญ.แสงโสม ปิรยะวราภรณ์ ภรรยา และ นพ.ชนะ สิริยานนท์

    สำหรับหมอจรูญกับแสงโสมนี่เป็นหมอประจำ ให้ยาเป็นปกติ หมอชนะนี่เรียกว่า หมอญี่ปุ่น ไปเรียนญี่ปุ่นมาภายหลัง ตอนหลังไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น นี่เป็นหมอ คอ จมูก หู ลูกตาด้วยหรือเปล่าไม่ทราบ กับ ท่าน นพ.วัฒนะ หิตะดิลก สองคนนี้เป็นลูกศิษย์อาจารย์กัน หมายความว่า เป็นหมอที่ศิริราชเหมือนกัน เป็นฝ่ายคอ จมูก หู สำหรับ นพ.มนตรีนี่ เดิมประจำอยู่ที่ปากคลองสาน คงจะทราบว่าเป็นหมอชนิดไหน แต่เวลานี้ก็มาอยู่ที่ โรงพยาบาลศรีธัญญา

    รวมความว่า ถ้าใครคิดว่า ผู้พูดหรือผู้เขียนจะบ้า ก็ไม่เป็นไร เพราะมีหมอบ้า ประจำอยู่แล้ว หมอรักษาบ้านะ ไม่ใช่หมอบ้านะ แล้วก็ พญ.พงศ์ภารดี (ปุ๊) เจาฑะเกษตริน คนนี้ตามปกติเป็นหมอนวด แต่ไม่ใช่นวดด้วยมือ เขาเป็นแพทย์ เป็นหมอดมยาเหมือนกัน เช่นเดียวกับหมอแสงโสม แต่ว่าใช้เข็มนวด คือ เข็มจิ้ม เป็นหมอฝังเข็ม อาตมาเลยใช้สมญาว่า หมอนวด เพราะว่าปวดเมื่อยที่ไหน ถ้าหมอคนนี้ปักเข็มให้ เป็นหายทันที ใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที แล้วก็มี พ.ต.นพพร กับ พญ.เตือนใจ กลั่นสุภา นครสวรรค์ นี่เป็นกองทหารนครสวรรค์อีก 2 คน ประจำ แล้วก็มี หมอโอ๋ คำว่า หมอโอ๋ นี่ อาตมาเรียก หมอโอ๋ แต่ชื่อจริง อ.บุปผาชาติ พงษ์ประดิษฐ์ เป็นคนขับรถให้ และก็เป็นหมอยาไทย

    ทีนี้ในเมื่อไปพบ หมอมนตรี กับหมอทุกคนแล้ว ก็เป็นอันว่า สำหรับ หมอหมอนี่ คนขนยามามากที่สุดก็คือ หมอวัฒนะ แต่อาตมาชอบเรียกว่า ญี่ปุ่น ก็เป็นอันว่า ยาอะไรขาดก็ตาม หมอวัฒนะก็ขนมา หมอคนอื่นก็เอามาให้ แต่หมอวัฒนะขนมากหน่อย เมื่อพบหมอมนตรี ก็คุยกันถึงเรื่องเจ้าถุงดำในอากาศ หมอมนตรีก็อธิบายตามลักษณะที่ว่ามา ที่ท่านพล.อ.อ.อาทรพูดมาเหมือนกัน หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจ

    ต่อมา เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2533 ฟันมันเป็นหนองที่รากฟัน หมอเตือนใจรักษามานาน ทำมาเกือบ ๑๐ เที่ยว เขาค่อย ๆ ขูด ค่อย ๆ ดูดเอาหนอง ค่อย ๆ แคะเอาหนองออก ความจริงผู้พูดก็อยากจะให้เขาถอนทิ้งไป เพราะของไม่ดีไม่อยากจะได้ แต่หมอบอกว่า เสียดายฟัน ถ้าเกินวิสัยจริง ๆ จึงจะทิ้ง นี่เป็นลีลาของหมอ

    เพราะปกติเป็นอย่างนั้น หมอต้องรักษาของเดิมไว้ให้ได้ แต่เจ้าของของไม่อยากจะเก็บไว้ เพราะมันปวด หมอเตือนใจมาทำให้เกือบ 10 เที่ยว เธอก็นั่งรถหมอโอ๋มา และทุกสิ่งทุกอย่าง หมอก็ออกทั้งหมด โอ๋ออกทั้งหมด ผู้พูด หรือผู้บันทึก หรือผู้เขียน ไม่ได้ออกสตางค์เลย ก็เป็นอันว่า สำหรับแพทย์ฟัน ก็มี หมอจำนูน อีกคนหนึ่ง หมอจำนูนนี่ก็สำคัญมาก ช่วยเหลือมาในกาลก่อน เวลานี้ยังเป็นปกติและยกขบวนมาช่วยบรรดาฟันเด็ก และฟันคนแก่ คนหนุ่ม คนสาวก็ตาม ยกมาครั้งหนึ่งก็ฟรีทุกอย่าง ฟรีเหมือนกัน นอกจากฟรี หมอที่มาสงเคราะห์คณะผู้พูดมากนี่ คนฟุ้งนี่นะ โดยมากเขาไม่รักษาเฉยๆ เขาให้สตางค์ด้วยก็เลยเอา หมอประเภทนี้ชอบ และก็ชอบมากความจริงหมอที่ช่วยเหลือนั้นมีมาก

    ตั้งแต่เริ่มต้น พล.อ.ต.นพ. โกศล มณีจักร แล้วก็ต่อมา พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน ท่านก็ทำการรักษาเรื่อยมา หลายระยะ มามากด้วยกันหลายคน เยอะ ก็รวมความว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พูดมากไปแล้ว หมดเวลาไปตั้ง 10 นาที เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2533 ขณะที่หมอเตือนใจ กำลังขูดฟันอยู่ ดูดเอาหนอง ขณะที่เขาขูดฟัน เขาดูดหนอง ก็มีความรู้สึกว่าขึ้นชื่อว่า ความตาย มันเป็นของหาไม่ยาก ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง บางคนก็ตายด้วยเหตุที่ไม่ควรจะตาย แตะต้องนิดหน่อยก็ตาย ถึงวาระมันมา เวลานี้การทำฟันดูดหนองมันปวด มันเสียว ดีไม่ดี ระบบประสาทอาจจะตัดชีวิตของเราก็ได้

    ก็คิดขึ้นมาในใจว่าขึ้นชื่อว่า ชีวิต มันต้องตาย จะตายเวลานี้ก็ตาย จะตายเวลาอื่นก็ตาย ทำท่าเก่งไปอย่างนั้นเอง ความจริงแล้ว กลัวตาย แต่ในเมื่อคิดว่า เวลานี้ ถ้ามันจะตาย เราก็ไปก่อน ร่างกายตายทีหลัง เราจะไปก่อน ก็รวบรวมกำลังใจจับ อานาปานุสสติ กับ อุปสมานุสสติกรรมฐาน คำว่า อุปสมานุสสติ นั้นหมายถึง นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ จะไปนิพพานได้ หรือไม่ได้ เราก็ไปอย่างคนอยากไปนิพพาน ในเมื่อเราเป็นคนอยาก เมื่ออยากหนักๆเข้า มันก็ต้องถึงเอง ไม่ละความอยาก ใครเขาจะบอกว่า ความอยาก เป็นกิเลส ก็เป็นเรื่องของเขา กิเลสของเขา เป็นธรรมะของเรา เราอยากไปนิพพาน

    แต่บรรดานักเทศน์ ท่านเทศน์บอกว่า การอยากไปนิพพาน ถือว่าเป็นธรรมฉันทะ คือ มีความพอใจในธรรม ไม่ใช่กิเลส

    คนฟังแล้วก็เถียงกันเองก็แล้วกัน ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง นี่คนพูด คนเขียน พูดตามความพอใจของตนเอง ไปรอคนอื่นไม่ได้ รอคนอื่นมันไม่ได้พูด ไม่ได้เขียน ขณะที่รวบรวมกำลังใจ เวลานั้นจิตก็ตกวูบ เข้าสู่อารมณ์สงัด จิตมีอารมณ์เยือกเย็น เห็นท่านผู้มีคุณมากมาย แพรวพราวเป็นระยับก็ปรากฏล้อมอยู่ ท่านยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านบอกยังไม่ตาย คุณ ยังไม่ตาย ก็บอกท่านว่า จะตาย หรือไม่ตายก็ไม่ทราบ ขอไปที่อยู่ก่อน ท่านก็บอก ตามใจ เรื่องของคนขี้ขลาดขัดคอไม่ได้ อยากจะไปก็เชิญไปเถิด

    ก็เป็นอันว่า ท่านจะเชิญ หรือไม่เชิญ ผู้พูดก็ไปแล้ว นึกแว๊บเดียว แวะไปเยี่ยมพ่อ เยี่ยมแม่ ประเดี๋ยวเดียว กราบท่านบอกว่า เดี๋ยวขอไปบ้านพักหนึ่ง หมอกำลังทำฟัน แม่ท่านก็บอกว่า ทำไมขี้ขลาดแบบนี้ล่ะ ก็เลยบอกท่านว่า คนที่อยากจะไปนิพพานเป็นคนขี้ขลาดหรือ ท่านก็เลยบอกว่า ไอ้เรื่องปากแข็ง เถียงเก่ง เป็นเรื่องของคุณ ไปๆๆ ไปไหนก็ได้ ไปเถิด ไปได้ ถ้าอยู่ที่นี่เดี๋ยวก็ทะเลาะกันไป ทะเลาะกันมา หมอเขาทำเสร็จไม่ได้ไปนิพพาน แล้วท่านพ่อก็ถามจะไปนิพพานหรือ ก็บอก เปล่า ใจมันอยากไปนิพพาน แต่ว่าจริงๆมันจะไปได้ หรือไม่ได้ ก็ไม่ทราบ ก็ช่างหัวมัน

    แล้วท่านถามว่า จะไปไหน ก็บอกกับท่าน บอกว่า จะไปบ้าน ถ้าเจอะบ้าน เขาสร้างไว้ให้ที่ไหน จะไปที่นั่น ท่านก็ยิ้ม ท่านก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไปด้วย ชวนแม่เขาด้วยสิ ก็เลยยกมือไหว้แม่ท่าน แม่ท่านบอกว่า เอ้า ถ้าอย่างนั้น แม่ก็ไปด้วย ในเมื่อไปถึง ก็มีบ้านอยู่ 3 หลัง แพรวพราวเป็นระยับ มีกำแพงแก้วผสมทอง ไม่อธิบายละ มันสวยก็แล้วกัน เข้าไปนั่งก็คิดในใจ
    ก็บอกท่านพ่อ ท่านแม่ บอกว่า เวลานี้ฉันอยากจะนั่งคนเดียว ให้อารมณ์จิตมีความสงัด

    ท่านก็บอกว่า คุณก็สงัดแล้ว คำว่า สงัด ไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้คิดอะไรเลย มันคิดเฉพาะนิพพานอย่างเดียว ตัดทุกอย่าง ทรัพย์สมบัติไม่คิด อย่างนี้เรียกว่า สงัด สงัดจากกิเลส เฉพาะอารมณ์เวลานี้ ท่านก็บอกว่า ถ้าเป็นความประสงค์ของคุณ คุณนั่งตรงนี้ บ้านหลังนี้นะ พ่อท่านบอกว่า พ่อก็จะไปนั่งที่โน่น ที่แท่นแก้วขอบสระ ท่านก็เรียกแม่ บอก แม่ มาด้วยกันเถิด ปล่อยเขา ลูกชายคนนี้นิสัยเป็นอย่างไร แม่เลี้ยงมาก็ย่อมรู้อยู่แล้ว ท่านแม่ก็เลยบอกว่า แค่นั้นแหละ เด็กก็แค่นั้นแหละ หนุ่มก็แค่นั้นแหละ แก่ก็แค่นั้นแหละ ลีลาไม่ต่างจากเดิม นั่งตามสบายนะจ๊ะ แม่จะไปละ แล้วแม่ท่านก็ไป พอแม่ไปประเดี๋ยวเดียว

    สักอึดใจ ไม่ถึงดี คนแก่ไป สองแก่ พ่อก็แก่ แม่ก็แก่ ความจริง แก่ตามลักษณะที่เราเรียกกันนะ แต่ที่จริงท่านไม่แก่ ทีนี้มากลุ่มสาวๆมาหนักกว่านั้น กว่า 10 คน แต่งตัวแพรวพราวเป็นระยับ มาถึง ไม่ต้องรีรอ ไม่ต้องขออนุญาต ย่องเข้ามาเลยถึงปั๊บ นั่งบนที่นั่ง ก็เลยบอกว่า นี่ ผู้หญิงไป บ้านนี้ไม่รับผู้หญิงนะจ๊ะ เธอที่เป็นหัวหน้าก็บอกว่า ถ้าไม่รับผู้หญิง ก็ไม่เป็นไร พวกฉันไม่ใช่ผู้หญิง ก็ถามว่า เธอเป็นกระเทยหรือ เธอก็ตอบว่า ฉันไม่ใช่กระเทย ถามว่า เป็นบัณเฑาะว์หรือ ไอ้บัณเฑาะว์มันมีเพศสองเพศ ทั้งเพศผู้หญิง และเพศผู้ชาย เธอก็บอกว่า ไม่ใช่ ก็ถามว่า เป็นผู้ชายหรือ เธอก็บอก ไม่ใช่ ถามว่า เป็นอะไร เธอตอบว่า คนพวกฉัน ทั้งหมดที่มา ไม่มีอะไรเป็นเพศ ไม่มีทั้งผู้หญิง ไม่มีทั้งผู้ชาย ไม่มีทั้งกระเทย ไม่มีทั้งบัณเฑาะว์ ไม่มีทั้งหมด

    ก็เลยถามเธอว่า ถ้าเธอไม่เป็นกระเทย อย่างนี้เขาเรียก กระทุย ใช่ไหม เธอหันมายิ้มถาม กระทุย เป็นอย่างไร ก็เปรียบเทียบให้ฟัง บอก เหมือนกับควาย ควายเขามันกางออก เขาเรียก เจ้ากาง ถ้าเขาลอมเข้ามา เขาเรียกว่า ลอม ถ้าหลุบลงข้างล่าง เข้าใช้อะไรไม่ได้ เขาเรียก ทุย พวกเธอก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรจะใช้เลย เรื่องเพศก็เรียกเป็นพวกกระทุย ก็แล้วกัน

    เธอก็ตอบว่า ช่างเป็นไร เรียกอย่างไรก็ช่าง ร่างของฉันไม่เปลี่ยนแปลง ก็จบกัน เมื่อขณะนั่งคุยประเดี๋ยวหนึ่ง เธอก็ถามว่า เห็นพรหมโลกไหม มองลงต่ำ ก็มองลงดูตามเธอ เห็นพรหมโลก เธอถามต่อไปว่า เห็นสวรรค์ไหม ก็มองดูต่ำลงไป ก็เห็นสวรรค์ หลังจากนั้นเธอถามว่า เห็นจักรวาลต่างๆไหม ที่เรียกกันว่า จักรวาลมนุษย์ มีมนุษย์อยู่ แต่มีอยู่ไม่ทุกจุด มองลงมามัน เกลื่อนกลาดไปหมด เหมือนกับผลส้ม ลอยเกลื่อนในอากาศ ถ้าจะนับ ก็คงจะนับได้ แต่ไม่กล้าจะนับ ไม่มีเวลาจะนับ มันมากเหลือเกิน ลอยห่างกันบ้าง ใกล้กันบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เธอก็ชี้ให้ดูว่า จุดเล็กๆจุดโน้น ไกลสุดลงไป มันเป็นจุดที่คุณมีชีวิตอยู่ที่นั่น นั่นหมอกำลังทำร่างกายอยู่ กำลังแคะฟัน กำลังดูดหนอง คุณเห็นไหม ก็ตอบกับเธอบอกว่า เห็น บอก ไกลมาก แล้วกลุ่มที่ลอยมาใกล้ๆ อย่างโลกพระจันทร์ก็ดี โลกพระอังคารก็ดี โลกพระศุกร์ โลกพฤหัสก็ตาม มันอยู่ใกล้ๆกลุ่มนั้น แต่เหนือขึ้นมาอีกมากมาย สูงสุด มีโลกเกลื่อนกลาด ที่เรียกกันว่า ดวงดาว มันเกลื่อนกลาดไปหมด มันสูงกว่านั้นมาก

    แต่สิ่งที่จะให้คุณดูวันนี้ จะให้ดูดวงดาวสักดวงหนึ่ง มันไม่ใช่ดาว มันเป็นโลก แต่นักวิทยาศาสตร์เขาบอกว่า เขาเรียก ถุง มันเป็นถุงดำ ลอยอยู่เกือบจะเป็นผิวอวกาศ เกือบเป็นผิวจักรวาลน่ะ สูงสุด มันดวงใหญ่มาก เธอก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า โลกมนุษย์ มีสภาพเหมือนกับผลส้ม ไอ้เจ้าโลกถุงดำนี่ก็มีสภาพเหมือนกับพ้อมใหญ่ ๆ พ้อมใส่ข้าว ฉะนั้น ความใหญ่ของมัน ถ้าจะเอาโลกมนุษย์เข้ามาลอยภายในท้องของมัน ประมาณสักพันดวง ยังไม่ถึงไหนหรอก มันใหญ่โตมาก

    ก็ถามเธอว่า นั่นมันเป็นเรื่องของอนิจจังใช่ไหม เธอตอบว่า ใช่ ก็ถามว่า ให้ฉันดูทำไม เธอบอกว่า เวลานี้นักวิทยาศาสตร์เขาสนใจเจ้าถุงดำนี้ เขาเรียก ถุงดำ แต่ความจริงมันไม่ใช่ถุงธรรมดา มันเป็นโลก คล้ายกับส้มฝานกลางทิ้งไป ส่วนหนึ่งทิ้งไป อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้ มีสภาพเหมือนกระทะคว่ำลง กลางมันโบ๋ขึ้น เป็นช่องใหญ่มาก ด้านหน้ามันแกร่ง ด้านข้างบนนี้เป็นพื้นพิภพของคนอยู่ มีมหาสมุทร มีประเทศชาติ มีทุกอย่างอย่างโลกเขามีกัน แต่ว่าชาวโลกโลกนี้รู้สึกว่า แปลกกว่ามนุษย์โลกที่เรามีชีวิตอยู่ เพราะ มนุษยโลก ศีล 5 ไม่ค่อยจะครบ หาคนครบ ศีล 5 ยาก แต่โลกนี้เป็นโลกของกรรมบถ 10 เขารักษา กรรมบถ 10 ได้ครบถ้วน

    พอเธอพูดจบเท่านี้ปรากฏว่า พระท่านมา พระนี่เป็นพระใหญ่มาก มีความเคารพนับถือท่านมาก ท่านก็ถามว่า อยากจะไปชมโลกนี้ไหม ก็กราบเรียนกับท่านบอกว่า อยากชม เพราะว่าน้องสาวเพิ่งพูดให้ฟังเดี๋ยวนี้เอง ความจริงไม่รู้ก่อน ท่านก็บอกว่า เธอเวลานี้ไม่มีความสนใจอะไรแล้วไช่ไหม สวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี อะไรก็ตาม เงียบหมด หยุดหมด ไม่เหมือนเมื่อก่อน

    เมื่อก่อนมันอยากทุกอย่าง อยากรู้นั่น อยากรู้นี่ ไปโลกนั้น ไปโลกนี้ ไปที่โน่น เวลานี้เงียบสงัด ถ้าไม่จวนตัว จนใจจริง ๆ ก็ไม่ไป ไม่อยากจะรู้ใช่ไหม ก็ตอบท่านว่า ใช่ ก็กราบเรียนท่านบอกว่า มันไม่เกิดประโยชน์ รู้ไปก็แค่นั้น มันก็แก่ทุกวัน ร่างกายก็เต็มไปด้วยทุกขเวทนา ท่านบอกว่า ก่อนที่มันจะตาย รู้เสียหน่อยซิ จักรวาลทั้งหมดนั้น น่าจะรู้

    ก็เลยบอกท่านว่า ไม่เอาแล้ว ขอถวายบังคมลา เรื่องรู้แบบนี้ เอาเฉพาะจุด ถ้าท่านเห็นว่าควร ก็อาจจะรู้ ท่านบอกว่า โลกนี้ คน แล้วก็ยังมีอีกหลายโลกอยู่ระดับเดียวกัน ควรจะรู้อย่างยิ่ง เพราะว่าเป็นโลก ทั้ง ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่รู้อะไรเลย ความจริงเขาเข้าใจว่าเป็น ถุงดำ และกลืนดวงดาวต่าง ๆ แม้แต่แสงสีเข้าไปก็มองไม่เห็น อันนั้นความจริงมันไม่ได้กลืน สภาวะจริงๆของมัน เดี๋ยวไปดูกันก็แล้วกัน

    เมื่อท่านพูดจบ ท่านก็ลุกขึ้น ทุกคนก็ลุกขึ้นพร้อมกัน ท่านพ่อท่านแม่ก็มาด้วย พอท่านก้าวนำหน้า ทุกคนก็ก้าวตาม ก้าวเดียวก็ถึง พอถึงแล้วก็ไปยืนอยู่หลังโลก ขอบ ๆ เกือบริม หมายความว่า ห่างจากปากช่อง ปากทางเข้าข้างล่างจริง ๆ ไม่เกิน 1 โยชน์ ก็พยายามเดินไปเดินมา มันขรุขระทุกอย่าง ขรุขระเป็นโขด โขดสูงๆ โขดต่ำๆ พื้นพิภพเหมือนกับดินไหม้ สภาพเหมือนกับดินไหม้ แต่มันแข็งจัด ดูแล้วมันแข็ง เหมือนกับดินผสมเหล็ก พอเดินไปได้หน่อยหนึ่ง พระท่านก็บอกว่า คุณ ถ้าคุณขืนเดินอย่างนี้นะ อย่าลืมว่าโลกนี้ มันโตกว่าโลกมนุษย์หลายพันเท่า ถ้าคุณเดินอย่างนี้ กี่ชีวิตของคุณ มันก็เดินไม่จบ เราเดินแบบที่เราเดินมาก็แล้วกัน

    ก็ถามท่าน จะไปไหน ท่านบอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไปดูกันเสียก่อนเลย เรื่องจริง ๆ เราเลี้ยวไปที่อื่นก่อน วันนี้ขอตัดเข้าไปหาเลย ไปหาจุดนี้ ซึ่งมันเป็นจุดเดิม จุดจริง ๆ แล้วก็เป็นจุดที่พูดได้เต็มปาก เต็มคอ แล้วต่อไปก็เป็นเรื่องไม่ค่อยจริง เป็นนิทาน ตอนนี้เป็นเรื่องเล่าให้ฟังธรรมดา ๆ ไม่ใช่นิทาน เป็นอารมณ์เคลิ้ม อารมณ์เคลิ้มนี่ไม่แน่นอนนัก ถ้าเคลิ้มดีก็ดี ไม่ดีก็บ้าไปเลย แต่ไม่กล้าบ้าหรอก เพราะมีหมอมนตรีรักษา หมอโรงพยาบาลบ้ามีอยู่ รักษา เขาอยู่ถึงตั้ง 2 โรงพยาบาล เขาเก่ง เมื่อปราบโรงพยาบาลปากคลองสานมาได้แล้ว ก็มาปราบที่ศรีธัญญา ก็ยังจะปราบคนวัดท่าซุงอีกคนหนึ่ง คือ คนพูด ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวบ้า

    ก็เดินอีกก้าวเดียวก็ไปถึงปากโลก มันมีสภาพเหมือนกระทะคว่ำ หรือมีสภาพเหมือนผลส้ม หรือผลส้มโอถูกตัดกลาง ตัดเอาส่วนของหัวทิ้งไป ส่วนของหางไว้ หรือส่วนของหางทิ้งไป เหลือส่วนหัวก็ได้ มันคว่ำแบบนั้น ข้างในกลวงโบ๋ แต่อย่านึกว่า ความกลวงผิวมันจะบางนะ ผิวมันเป็นแผ่นดินหนาเป็นโยชน์ พระอธิบายให้ฟัง ท่านบอกว่า เข้าไปดูไหม ท่านบอก ที่เขาเรียกว่า หลุมดำ เพราะว่าสีมันดำ ความไหม้ของดินนี่มันดำจริง ๆ สภาพดำเป็นดินไหม้ และแข็งจัด

    ก็มองไปดูรอบๆ มองไปดูทางซ้าย เวลานั้นหันหน้าไปทางทิศตะวันตก มองไปดูทางซ้าย พระท่านก็ชี้บอกว่า โน่น อีกโลกหนึ่ง เลยไปอีกโลกหนึ่ง แต่ทั้ง 2 โลกนี้เขามีสภาพเต็ม ไม่ใช่ครึ่งโลก หรือโบ๋กลางเหมือนโลกนี้ แต่ว่าเราจะไปกันทีหลัง วันนี้คุยกันเรื่องโลกนี้ก่อน ท่านก็บอกว่า โลกนี้ตรงกลางมันโบ๋ มันมีความร้อนพอสมควร เข้าไปดูไหม ก็เลยบอกกับท่าน บอกว่า ขอเข้าไปดู ทั้งหมดก็เข้าไปพร้อมกัน

    พอเข้าไปภายในโลกนั้น ตกใจ มันเวิ้งว้างเหมือนกับฟ้าเฉพาะถ้าตาเนื้อธรรมดา ไม่มีโอกาสจะเห็นขอบฟ้าได้เลย อันนี้เรียกว่าเป็น ตาลม ลมก็หยาบไป เป็นตาอากาศ อากาศก็หยาบไป เป็นตาละเอียด สามารถจะมองอะไร ถึงไหนก็ได้ จักรวาลนี้ จักรวาลไหน จากนรกถึงนิพพานก็สามารถจะมองได้ จากนิพพานถึงนรกก็สามารถจะมองได้ เพราะเวลาที่พูดนั้น เป็นเวลาเป็นผี เพราะภาพนั้น เป็นภาพของผี ไม่ใช่คน ทิ้งคนไว้ข้างล่าง ผีขึ้นไปข้างบนแล้วก็มองไปมองมา ก็ไม่พบอะไร เข้าไปภายใน อากาศก็ดี ท่านบอกสภาพดีมาก มีอาการดึงดูดของแผ่นดิน เหมือนกับโลกธรรมดา ๆ ไม่มีอะไรผิด จะเรียกว่า สูญญากาศไม่ได้ ยังมีอากาศอยู่ แล้วภายในนั้นมีอะไร ทราบไหม

    ในนั้น ปรากฏว่าดวงดาวต่าง ๆ เท่าที่มองเห็น ที่มองไม่เห็นก็ไม่ทราบ มันมีอยู่เกิน 300 ดวง ไอ้เจ้าดวงดาวนั้น มันก็คล้าย ๆ กับผลมะนาวเล็ก ๆ อยู่ในพ้อมใหญ่ ๆ นั่นเอง มันก็ลอยอยู่ในนั้น ดวงดาวบางดวงก็มีแสงสว่างจ้า ทำให้ในพ้อมของโลกดำ หรือถุงดำนี่ เรียกว่า โลกดำ ดีกว่า ในท้องของโลกดำมันก็สว่าง บางจุดก็สว่างจ้า เหมือนกับแสงไฟฟ้าที่สว่าง บางจุดที่ไกลออกไปก็เป็นแสงสว่างสลัวๆ

    ก็รวมความว่า ทั้งท้องของดาวดวงนี้ ภายในสว่างจริงๆ ไม่ใช่มืด แต่ที่ฝรั่งบอกว่ามืดเพราะมันสุดสายตาของฝรั่ง สุดสายตาของกล้อง ระยะของกล้อง คือกล้องไม่สามารถจะมองเข้าไปข้างในได้ ถ้าเปรียบเทียบ เหมือนกับถ้ำ ถ้ำใหญ่ๆ ของภูเขาลูกใดลูกหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าเรา ถ้าเรายืนอยู่ไกลจากภูเขาลูกนั้นประมาณสัก 10 กิโลเมตร เราจะมองเห็นปากถ้ำรู้สึกว่า มันมืดภายใน เราไม่เห็นแสงสว่าง ถ้าเข้าไปใกล้ถึงถ้ำนั้นจะทราบว่า ภายในถ้ำนั้นมีแสงสว่าง

    ทีนี้พระท่านก็อธิบายให้ฟัง บอกว่า เท่าที่ฝรั่งมีความเข้าใจ มีความรู้สึก หรือเชื่อมั่นว่า ดวงดาวต่าง ๆ ที่เข้ามาในท้องของโลกนี้ในถุง ความจริงไม่ใช่ถุง มันท้องของโลก เข้ามาในท้องของโลกนี้ มันกลืนหายไปหมด แล้วแสงต่าง ๆ ก็กลืนหายหมด มองไม่เห็น แต่ความจริงมันไม่ได้กลืน เจ้าดวงดาวต่าง ๆ ที่เข้ามา มันมีโอกาสออก ไม่ใช่เข้าแล้วอยู่เลย เพราะว่าดวงดาวต่าง ๆ หรือโลกก็ตาม มันไม่มีกำลังขับเคลื่อนของมันเอง มันลอยไปตามกำลังของอากาศที่ดันมันเข้าไป ก็ถามว่า ถ้าดวงดาวดวงนี้ไม่ดูดเขา เขาจะเข้ามาอย่างไร ท่านก็บอกว่า ก็ดู เหมือนแม่น้ำ ที่มีน้ำไหลเชี่ยว แต่ว่ามีถ้ำจระเข้ลึกเข้ามาข้างในเป็นกิโล และเป็นถ้ำใหญ่มากอยู่ด้านใดด้านหนึ่ง ด้านนั้นจะมีน้ำวนเพราะน้ำที่ไหลมาจะไหลเข้าไปในถ้ำก่อน แล้วก็วนออกมา ด้านหน้าถ้ำจะเป็นน้ำวน เมื่อเป็นน้ำวนแล้ว หญ้าต่าง ๆ ก็จะไม่ไหลไปไหน จะวนอยู่หน้าถ้ำบ้าง จะผลุบเข้าไปในถ้ำบ้าง ส่วนที่ไหลเข้าไปในถ้ำแล้ว จะไหลออกมาในภายหลัง มันก็ใช้เวลาช้าหน่อย

    เอาละบรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่าน จะว่าไปอีกนิดมันก็ไม่ไหวแล้ว เหลือเวลาไม่ถึงครึ่งนาที ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนผู้ฟัง และผู้อ่านทุกท่า สวัสดี


    (จากหนังสืออ่านเล่น เล่ม 12 หน้า 1-13)


    106374_full.jpg
    ภาพจาก https://www.clipmass.com/story/106374
     
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,733
    ดาวหลุมดำ ตอนที่ 4 ทรัพยากรบนดาวเล็กๆที่อยู่ในท้องดาวหลุมดำ


    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่อง ดาวถุงดำ คำว่า ดาวถุงดำ หรือว่า โลกถุงดำ ก็ตามใจชอบ แต่ว่าวันก่อน ก็ลืมอธิบายไปว่า เมื่อมาถึงโลกนี้แล้ว พระท่านอธิบาย บอกว่าโลกนี้ เขาเรียกว่า ชินโลก คือ โลกที่มีความชนะ ชนะโลกต่างๆ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะโลกต่างๆ ที่เป็นโลกที่มีความเล็กกว่าก็ไหลเข้าท้องเจ้านี่เป็นแถวๆ

    แล้วเจ้าโลกทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไม่สามารถจะทำร้ายแก่เจ้าโลกใหญ่นี้ได้ มันลอยวนไป เวียนมา เป็นอาหารอยู่พักหนึ่ง ใช้เวลาไม่นานนัก 7 ปี 8 ปี มันก็ไหลออกมา

    พระท่านอธิบาย บอกว่า ตามที่ฝรั่งเขามีความรู้สึกว่า โลกนี้มันกินโลกกินดาว และแสงสีที่ไหลเข้ามาก็หายไปหมด ท่านบอกว่า ความจริงมันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันไม่ได้กิน วิ่งเข้ามาในท้องมันเอง แล้วฝรั่งก็ไม่มีเวลาดูว่า
    โลกที่ไหลเข้าไปมันไหลออกมาเมื่อไร ก็ใช้เวลาแรมปี อย่างเร็วที่สุดมันก็ต้องใช้เวลาถึง 3 ปีอย่างเร็ว และอย่างช้าที่สุดมันอาจจะใช้เวลาถึง 100 ปีก็ได้ ถ้ามันไปติดอยู่วงใน

    ก็รวมความว่า โลกนี้ไม่ใช่ดุร้าย หรือว่า เจ้าถุงนี้ไม่ใช่ดุร้ายตามความเข้าใจของฝรั่งนักวิทยาศาสตร์ เป็นโลกที่ใจดีมาก ความจริงต้องคิดว่าใจดี เพราะว่าถ้าโลกไหนวนไป เวียนมา ในอากาศ ชักจะเมื่อยเข้า ก็มาพักในท้องเจ้านี่ แสงดาวต่างๆ แสงสีต่างๆก็เช่นเดียวกัน

    ทีนี้ก็มาคุยกัน ถึงวัตถุที่มีอยู่ในท้องของโลกนี้ เอาอย่างนี้ดีกว่า ผิวของโลกนี้ ที่เป็นท้อง ตั้งแต่ปากเข้าไปถึงท้อง มันมีความแข็งที่หนามาก พระท่านบอกว่า มันมีความแข็งและหนาเป็นสิบๆ เกือบจะถึงร้อยโยชน์ แข็งจัด และก็หนาจัด แกร่งจัด เพราะถูกการเผาผลาญจากแสงอาทิตย์ ถ้าพิสูจน์กันจริงๆ มองไม่เห็นดวงพระอาทิตย์ภายนอก ข้างบนไม่มี มีแต่แสงสว่าง แต่ว่าแสงอาทิตย์ขึ้นไปจากข้างล่าง กระทบท้องเจ้านี่ก่อน แล้วจึงได้ไหลเข้าไปคลุมหลังโลกนี้

    ฟังแล้วก็คิดตามไป แต่ความจริงอย่าลืมว่า หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือนิทาน ที่ว่าจริงๆนั่น ก็ขอยืนยันว่าเป็นนิทานจริงๆ เรื่องทั้งหมดจริงตามเรื่องของนิทาน

    ถ้าหากว่าท่านผู้ใดมีความคล่องตัวในหลักสูตรที่ 2 และที่ 3 ของหมวดกรรมฐาน จะลองใช้การพิสูจน์ดูก็ได้ อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ถ้าหากว่าต้องการความจริง หรือไม่จริง แต่ที่พูดให้ฟังนี่ ไม่ได้พูดให้ใครเชื่อ ต้องการมาคุยกันแบบประเภทที่เรียกว่า เอาเรื่องมาเล่าสู่กันฟัง แทนที่จะคุยธัมมธัมโมเฉยๆ ถ้าคุยธัมมธัมโมเฉยๆ อย่างนี้มันก็ง่วง ถ้าไม่ง่วงก็รำคาญ ถ้าคุยเรื่องราวต่างๆอย่างนี้ มันก็เพลินดี เพลินบ้าง รำคาญบ้าง ตามใจชอบ

    ก็รวมความว่า มาคุยกันต่อไป ทีนี้พระท่านก็ชวนชม บอกเราไปชมดวงดาวต่างๆข้างในดีไหม ความจริงเวลานี้อยู่ช่วงช่องปาก มองดูรอบๆเจ้าดวงดาวต่างๆ คือโลกต่างๆ ขอให้ศัพท์ว่า โลก หรือ ดวงดาว ตามเขาก็ได้ ตามใจชอบ เจ้าโลกต่างๆ หรือดวงดาวต่างๆที่มันลอยอยู่ข้างใน มันลอยอยู่ห่างกัน ไม่มีการกระทบกัน

    ทีนี้นอกจากดวงดาว หรือโลก มันก็มีสิ่งหนึ่งเล็กๆ มองดูแล้วมันเป็นเครื่องบิน มันเป็นเครื่องบินของคนกลุ่มหนึ่ง บินไปมากคนบ้าง น้อยคนบ้าง ส่วนใหญ่ไปมาก และตัวเครื่องบินจริงๆด้านข้างเป็นกระจกทั้งหมด เห็นคนชัด เจ้าเครื่องบินประเภทนี้มักจะมีกล้องส่อง สังเกตแล้วเป็นกล้องถ่ายรูป อาจจะเป็นกล้องโทรทัศน์ก็ได้ อะไรก็ตามใจ ไม่ได้ถามเขา เขาอยู่ในประทุน ไม่มีโอกาสพูดกันได้ เขาก็ส่องดูด้วยความพอใจ วิ่งไปใกล้ดวงดาวโน้นบ้าง ใกล้ดวงดาวดวงนี้บ้าง แต่รู้สึกว่า ไปไม่ไกลนักก็กลับ ถ้าจะถามว่า การใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ประเดี๋ยวก็คุยกันได้ ที่โน่นนะ ไปบนผิวโลกเสียก่อนค่อยคุยกัน ตอนนี้ก็มาคุยกันถึงการเข้าชมดวงดาว

    ดาวบางดวงก็มีสภาพขรุขระ มีสภาพแกร่ง มีผิวขรุขระคล้ายหิน แล้วก็มีรังสี มันมีออกมาร้อนๆ นิดๆ หน่อยๆ เป็นของที่ไม่น่าดู แต่บางดวงก็ต้องคิด บางดวงมีแสงสว่างในตัว เจ้าดาวที่มีแสงสว่างนี่สิ มันก็ช่วยบันดาลให้ช่องท้องของเจ้าโลกดำนี่ หรือเจ้าถุงดำ มันเกิดแสงสว่างขึ้น แสงสว่างจากดวงดาวก็มีอยู่หลายจุด ที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง มันมีแสงสว่างในตัวของมันเอง เป็นเหตุให้เจ้าท้องของโลกดำนี่สว่าง บางที่ก็สว่างมาก บางที่ก็สลัวๆตามแสงที่ส่งมา

    ทีนี้ขณะที่แสงของดวงดาวมันส่อง สาดเข้าไปติดผิวของโลกดำ โลกถุงดำ หรือดาวถุงดำ ดาวถุงดำนี้ ในท้องของมันบางจุดก็เป็นแสงแพรวพราวทำให้เป็นแสงสะท้อนกลับมา เกิดแสงสว่าง แต่ก็แปลกว่า ดาวที่อยู่ไกลๆ เห็นแสงสว่างจ้าเหมือนกับดวงโคมไฟฟ้า แต่เข้าไปใกล้ดวงดาวนั้นจริงๆ มันก็เป็นหิน เป็นดินธรรมดา ก็ไม่เห็นมันสว่าง แต่ถอยออกมาไกลพอสมควร เห็นแสงสว่างของมัน อันนี้แปลก มันไม่ใช่ดวงอาทิตย์ แสงสว่างจริงๆน่ากลัวจะอยู่ข้างนอกดวงดาว อาศัยการเสียดสีจากอากาศให้เป็นแสงสว่าง หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ อันนี้ไม่เถียงวิทยาศาสตร์ ให้นักวิทยาศาสตร์เขาวินิจฉัย พิสูจน์เอง

    ทีนี้ดวงดาวบางดวงก็มีทรัพย์สินมาก เมื่อลอยเข้าไปแล้ว พระท่านบอกว่า ลงดวงดาวดวงนี้ เราเดินเที่ยวกัน ก็เป็นอันว่าดวงดาวทุกดวงที่เข้าไปในนั้น ไม่มีสิ่งที่มีชีวิต พระท่านก็บอกว่า ถ้าจะมีสิ่งที่มีชีวิตติดเข้ามา สิ่งที่มีชีวิตมันก็ไม่ตาย ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าอากาศมันพอจะสู้กันได้ ความเป็นอยู่พอสู้กันได้ แต่เท่าที่ลงไปเป็นดวงดาวแกร่ง เดินไปสัมผัสกับหินบ้าง สัมผัสกับดินบ้าง ที่เป็นดินธรรมดาก็มีเยอะ สัมผัสกับหินบ้าง สัมผัสกับทรายบ้าง

    เมื่อถึงจุดหนึ่ง ท่านบอกว่า เอามือล้วงลงไปซิ พอล้วงลงไปใต้ทราย งัดขึ้นมามันเป็นแก้วติดมือมา ท่านก็บอกว่า ที่ใสใส นั่นคือ เพชร แล้วก็บางจุดก็ต้องทุบ บางจุดก็ไม่ต้องทุบ บางจุดถ้าทุบแล้ว มันเห็นเป็นเพชร แต่ก็เป็นเพชรประเภทที่เขาต้องสกัด หรือเจียระไน แต่บางจุดมันก็เป็นเพชรใสแท้ๆ เป็นเม็ดใหญ่ๆ แพรวพราวเป็นระยับ

    ก็ถามท่านบอกว่า อันนี้เป็นสมบัติส่วนตัวของคน เขาฝังไว้หรืออย่างไร ท่านบอกว่า ไม่ใช่ หินที่คุณเห็นเมื่อกี้นี้น่ะ ความจริงมันไม่ใช่หินเพชรทั้งก้อน มันเป็นหินประกอบไปด้วยรังสี ใช้งานได้ ใช้งานทั้งในด้านสันติ และการรบราฆ่าฟัน แต่ว่าร่างกายของเรานี้ ที่เรามากันนี่ มันเป็นร่างกายประเภทที่รังสีทำอันตรายไม่ได้ และขณะที่มันมีเปลือกหุ้มห่ออยู่ ท่านก็ชี้ให้ดูว่า ก้อนนี้น่ะ มันมีสีเคลือบอยู่ข้างนอก สีมัวมาก ไอ้ตัวเคลือบนี่ มันหุ้มรังสีอยู่ ถ้าจะใช้งานให้เป็นประโยชน์ เป็นพลังงาน ต้องทำลายตัวเคลือบนี้ให้หมดไป แล้วก็จัดสิ่งหนึ่งใหม่เข้ามาเคลือบแทน รังสีจะไม่กระจายออก จะออกไปตามที่เราจะใช้

    ก็ถามท่านบอกว่า ในเมื่อมันมีรังสีแบบนั้น แล้วที่ท่านบอกว่า เพราะอาศัยหินประเภทนั้น แล้วที่นำมาเจียระไนเป็นเพชร มันใสใสชอบกล ทำไมถึงจะเกี่ยวข้องกับเพชรชุดนี้ ท่านก็บอก อันนี้มันไม่ยาก ในเมืองไทยที่เธออยู่ มันก็มีอยู่แล้ว อย่างที่ ภูเก็ต หินประเภทนี้ใช้อาศัยแรงงานได้ดี แต่ในเมื่อสภาพมันตายแล้ว มันจะกลายเป็นเพชร หลังจากที่เธอเขียน หนังสือพระเมตตา เสร็จ ไม่เกิน 2 เดือน ที่ตรงนั้นเขามีคนได้เพชร คนหน้าตะแกรงของแร่ดีบุก เขาเรียกกันว่า เพชรซีก แต่มีน้ำสวยมาก เขานำมาขายที่ร้านค้าที่นั่นมีได้ฉันใด เพชรพวกนี้ก็เช่นเดียวกัน

    ถ้าแร่ประเภทนี้มันกลายสภาพ หมดฤทธิ์ ตาย มันก็จะกลายเป็นเพชร ตามที่เธอหยิบขึ้นมาเมื่อกี้นี้ พอฟังท่านอธิบายแล้ว ก็ดูเพชรพวกนั้น มันสวยจริงๆ ถ้าเราเอามาแล้ว ก็มีอย่างเดียวคือทำให้มันเป็นหัวขึ้นมา จะทำหัวประเภทไหนๆได้หมด แพรวพราวเป็นระยับ ยกขึ้นส่องนี่ มันติดอกติดใจ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย มาพบไม้งามเมื่อขวานบิ่น เพราะอะไร เพราะเวลานี้ ตัวอยาก มันก็ยังอยากอยู่ แต่ไม่ใช่อยากได้เพชร

    มันอยากจะมีความสุข ชนิดที่เรียกว่า ไม่ต้องมีอะไรเข้ามาช่วย ไม่ต้องมีข้าวมาช่วย ไม่ต้องมีกับข้าวมาช่วย ไม่ต้องมีขนมมาช่วย ไม่ต้องมีเพชรนิลจินดา ทองหยองมาช่วย ถ้ามันจะอยู่เฉยๆอย่างมีความสุข อันนี้ชอบ อยากตัวนี้ มันอยากกันคนละตัว เป็นที่น่าเสียดาย เมื่อสมัยที่ยังหนุ่มๆอยู่มีแรง ถ้าพบอย่างนี้แล้ว เพชรก็เพชรเถิด ทองก็ทองเถิด ขนกันแน่

    แล้วต่อมา ท่านก็พาเดินต่อไป แล้วก็ชี้ให้ดูว่า จุดทั้งหลายนี้มีทรัพย์สิน มีแร่ที่มีคุณค่ามาก ก็กราบเรียนถามท่านว่า อย่างนี้โลกมนุษย์มีไหม ท่านบอกว่า มี หลายจุดมีเหมือนกัน แต่ว่าที่นี่เขามีอายุยืนยาวกว่า เขาแกร่งกว่า ใช้ได้ประโยชน์ดีกว่า ก็ถามท่านบอกว่า แร่อีกประเภทหนึ่ง คือ แร่ทองคำ มีไหม ท่านบอกว่า มี แต่ว่าโลกที่เรายืนอยู่นี้มันมีเป็นจุด มีเป็นจุด ๆ มีเป็นหย่อมๆ ไปดูโลกที่เป็นทองคำล้วนดีไหม แหม..น้ำลายหก ไม่ใช่ไหล หกจ๊อก ป๊อก ลงไปเลย พอท่านบอกแบบนั้น ยอมรับ ทุกท่านยอมรับ ก็ออกจากโลกนั้นไป โลกเล็กๆที่อยู่ในท้องโลกดำ

    ออกจากโลกนั้นไป ไปด้านหน้านิดหนึ่งไม่ไกลนัก ข้ามโลกต่างๆ ที่ขวางหน้าไปประมาณสัก 3 โลก โลกนี้มีสภาพบุ๋มลงไป มันมีแสงขึ้น แสงเรืองเหลืองอร่ามเป็นประกาย เพราะกระทบกับแสงสว่างของดวงดาวที่ไม่ไกลนัก เข้าไปใกล้ๆ พอลงไปแล้ว ทองที่มองเห็นมันเป็นเม็ดทราย มันไม่ได้เป็นแท่ง หยิบขึ้นมาได้ทันทีเหมือนกับกองทรายที่เรามีอยู่ ก็ถามท่านว่า โลกนี้มันเป็นทรายทั้งโลกใช่ไหม

    ท่านบอกว่า ไม่ใช่ มันเป็นเฉพาะผิว จากผิวนี่ลึกลงไปประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นทรายทองทั้งหมด ถามท่านว่า บริเวณท่านบอกว่า บริเวณรัศมีของมัน ที่อยู่ของมันจริงๆ เฉพาะจุดนี้ประมาณ 10 กิโลเมตร ระยะยาว ระยะกว้าง กว้างประมาณ 3 กิโลครึ่ง แล้วถามท่านว่า ที่อื่น ท่านก็บอกว่า ที่อื่นก็มีเป็นจุดๆ อย่างนี้แหละ ก็เดินกันเรื่อยๆ ไปดูไปรอบๆ

    เป็นอันว่า โลกนี้มีทองคำมาก ก็เป็นโลกกิเลส เวลานี้ตำหนิว่า ทองคำเป็นกิเลส หรือเวลาที่อยู่ที่ดวงดาวนี้ก็ตำหนิว่า ทองคำเป็นกิเลส ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าแบกหาม หยิบเอามาไม่ได้ จะใช้ศัพท์แบบชักผ้าบังสุกุล อิมํ วตฺถํ อสฺสามิกํ อุปฺเปมิ หรือว่า อิมํ สุวณฺณํ อสฺสามิกํ อุปฺเปมิ เขาแปลว่าอย่างไรก็ไม่รู้ ว่ามันส่งเดชไป จะถือว่าของนี้ไม่มีเจ้าของ หรือทองไม่มีเจ้าของ แล้วถือเอา มันก็ไม่แน่ เขาอาจจะมีเจ้าของก็ได้ ถ้าไม่มีเจ้าของจริงๆ เราก็เอามาไม่ได้ มือที่จะหยิบของที่เป็นวัตถุ มันก็ไม่ได้เอาไป เป็นที่น่าเสียดาย ที่ปล่อยให้หมอท่านรักษาแต่แค่ฟัน เราดันลืมมือไปเสียนี่ ทีหลังถ้าจะไปใหม่ ต้องเอามือไป บอก หมอมีหน้าที่รักษาฟัน ก็รักษาไปเถิด ฉันจะเอามือไปด้วย ช่วยหยิบทองคำ หยิบเพชรมาให้หมอ หมอจะเอาหรือไม่เอาก็ไม่ทราบ ถ้าหมอไม่เอา ก็ไม่เป็นไร

    ก็เอามาแจกเด็กๆ เด็กๆที่เลี้ยงไว้เวลานี้เกือบ 300 คน เลี้ยงด้วย ให้เสื้อผ้า ผ้าผ่อนท่อนสไบเสร็จ เหมือนกับพ่อแม่เลี้ยง ให้อาหารการบริโภค ให้วิชาความรู้ถึง ม.6 แล้วก็ภาระต่างๆ ก็มีเยอะ วัด ก็มีพระ ก็มีคน การก่อสร้างก็มี ฉะนั้นถ้าบังเอิญเอามือไปได้ทองคำมา ได้เพชรมา ก็ขายสร้างวัด

    แต่ว่าเป็นที่น่าเสียดายว่า ร่างกายมันก็อายุมากสำหรับคนโลกชมพู มันคงจะแบกมาได้ไม่มาก ฉะนั้นใครที่เป็นหนุ่มเป็นสาว มีกำลังมากๆ เพราะร่างกายดี ช่วยไปโลกนี้ทีเถิด ไปขนทองมา แล้วขอแบ่งส่วนแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ก็พอ ตามน้ำหนัก เอ้า..กิเลสท่วมหัวคนเดียวไม่พอ ยุชาวบ้านเขามีกิเลสอีก นี่คำว่า คน มันแปลว่า ยุ่ง ไม่ดีแบบนี้

    หลังจากนั้นไป ท่านก็พาไปชมสถานที่ต่างๆไปถึงก้นของโลก มันไกลจริงๆ ถ้าใช้กำลังตาหลบมานิดว่า เวลานี้ใช้กำลังตาเท่าตาเนื้อ ไม่มีความหมายเลย มันมืดตื้อ หมายความว่า มองไปแล้วสุดสายตา มันยังไม่หมดสถานที่ สถานที่มันกว้างจริงๆ การเข้าไปอยู่ที่นั่น ก็มีสภาพเหมือนเข้าไปอยู่ในท้องฟ้า มองดูจากปากไปหาก้นมัน ด้านบนก็เหมือนฟ้าเราดีดี ไกลมาก

    มองไปข้างๆ ก็เจอะเป็นฝ้า มองตัดหน้าไปถึงฝ้า ก็มีฝ้าต่อไป แล้วขึ้นไปที่เห็นเป็นท้องฟ้า พอเห็นแล้วก็ เหมือนกับเราขึ้นเครื่องบินว่า เมฆสูงแสนสูง แต่ขึ้นไปแล้วมันก็ไม่สูง เลยเมฆไปก็มีฟ้า สูงไปเท่าไรอีก เลยฟ้าขึ้นไปอีกมันก็มี ฟ้าซ้อนฟ้า หรือฟ้าเหนือฟ้า อันนี้มีสภาพฉันใด แม้ในโลกนี้มันก็เช่นเดียวกัน

    เมื่อวนไปเวียนมาๆอยู่พักหนึ่ง ก็ถามพระท่านบอกว่า ยานพาหนะที่มีลักษณะกลมๆ แล้วบินร่อนไปร่อนมานี่ เขาเรียก จานบิน ใช่ไหม พระท่านก็บอกว่า จานข้าว เอามาบินไม่ได้ มันต้องร่อน แต่นี่ลักษณะมันคล้ายกับยาน เป็นยานพาหนะของคน มองไปทางด้านซ้ายมือ เห็นเหมือนกับเรือยนต์วิ่งมา ลักษณะมันก็เหมือนๆ คล้ายๆ กับเรือบินของเรา แต่รูปร่างหน้าตา มันโตกว่า มันใหญ่กว่าเยอะ เทอะทะ แล้วก็มีปีก

    ท่านบอกว่า นี่เครื่องบินของเขา บรรทุกคนมามาก ก็ถามพระท่านบอกว่า คนพวกนี้มาจากโลกไหน ท่านบอกว่า ที่เป็นเรือยนต์ เป็นเครื่องบิน เป็นคนของโลกนี้เอง บนผิวโลกโน้นเขามากัน แล้วเครื่องยนต์ของเขา เขาไม่ได้ใช้น้ำมัน เขาใช้แร่ ใช้รังสีของแร่ขับเคลื่อน เหมือนกับนิวเคลียร์กระมัง แบบนั้น ถ้าใช้เป็นน้ำมัน มันก็บรรทุกไม่ไหว ต้องใช้น้ำมันกันมาก ก็ชมกันไป ชมกันมาอยู่พักหนึ่ง เห็นว่าทั่ว ไปทั่วแน่ ไปรอบๆทั่วแน่

    ดูไปดูมาก็นึกสงสารดาวพวกนั้นว่า ดาวพวกนี้มันจะกินข้าวที่ไหน แต่นึกในใจว่า ดาวมันเป็นวัตถุ มันก็กินข้าวไม่ได้ แต่มันก็ถูกกลืน มันลอยเข้ามา ไม่ใช่กลืน ไม่ใช่ดูด เขาลือกันว่า มันเป็นกำลังดูด ที่ดูดแม้แต่ดวงดาวเข้าไปน่ะ ไม่ใช่ มันเหมือนกับผักที่ลอยผ่านหน้าถ้ำจระเข้า แต่ก็พอดีน้ำไหลวนเข้าไป มันก็วนเข้าไปตามน้ำ เข้าไปในถ้ำจระเข้ฉันใด ดาวพวกนี้ก็เหมือนกัน

    อากาศที่มันเคลื่อนเข้ามา มันก็ดันดาวพวกนี้เข้ามาใกล้ เมื่ออากาศไหลไปทางไหน ดาวก็ไหลตามไป มันไม่มีเครื่องขับเคลื่อน ไม่สามารถจะฝืนได้ แต่บางดวงก็ใหญ่ บางดวงก็ไม่ใหญ่นัก แต่ดาวแต่ละดวง ที่เราเรียกว่า โลก ก็ไม่เล็กกว่าโลกมนุษย์ที่เราอยู่กัน เปรียบเทียบกันแล้ว แต่ละดวงนั้นไม่เล็กกว่า มีแต่โตกว่าบ้าง มีเสมอกันบ้าง เสมอกันนั้นก็น้อย แต่โตกว่านั้นมีมาก

    เมื่อชมกันพอสมควร พระท่านก็ชวน บอกว่า ขึ้นไปผิวโลกดีไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ดี ตอนนี้ก็ออกมาทางปาก มันก็ไม่ยาก ก้าวเพียงก้าวเดียวก็มาถึง อย่าลืมนะว่า เรื่องนี้เป็นนิทาน คนฟังทุกคนอย่าลืมสติสัมปชัญญะอย่าลืมว่า เรื่องนี้เป็นนิทาน

    นิทานนี่คุยแบบไหนก็ได้ แบบยาขอบเขียนเรื่องผู้ชนะสิบทิศ เขาบอกว่า เรื่องราวจริงๆ ท้องเรื่องจริงๆ มีประมาณ 2-3 บรรทัด หรือกี่บรรทัดก็ไม่ทราบ ไม่กี่บรรทัดหรอก น้อย แต่ยาขอบแต่งไม่รู้กี่พันหน้า ก็เป็นเรื่องนิทานเหมือนกัน เรื่องนี้ก็เหมือนกัน เรื่องจริงๆก็มีแค่ดวงดาวดวงดำๆเรื่องนิดเดียว มีดวงดาวถุงดำนี่แหละ

    ก็ลือกันไป ลือกันมาว่า ฝรั่งส่องกล้องเห็นดูดดาวอะไรต่างๆดูดแสงอะไรต่างๆเข้าไป แล้วก็ไม่สามารถจะไหลออกมาได้ มันหายเข้าไปหมด ดูสภาพแล้วมันดุดัน น่ากลัวเหลือเกิน

    แต่ความจริง โลกนี้ก็มีสภาพเหมือนกับพระพุทธรูป พระพุทธรูป ท่านนั่งเฉยๆ และก็ยิ้มตลอดเวลา แต่บางคนไปบนบานศาลกล่าว เมื่อบุญบารมีของตัวเองมี กำลังความดีของพระก็ช่วยได้ ก็ช่วย ถ้าบุญบารมีของตัวไม่มี มีแต่ความชั่ว พระก็ช่วยไม่ได้ คนชั่ว ทีนี้บนให้ถูกหวย หวยไม่ถูก บางคนถูกหวย ไปแก้บนพระ พระพุทธนะ ถ้าพระสงฆ์นี่ไม่แน่ พระบอกหวยไม่ได้รวยทุกองค์หรอก จน พวกถูกหวยนี่ ไม่เคยแบ่งให้ ถ้าไม่ถูก ด่า ไม่ถูกเมื่อไหร ด่าเมื่อนั้น ถ้าถูกเมื่อไหร เงียบ มีขันติ อดทนมาก มีอุเบกขา วางเฉย ไม่แบ่ง ไม่ปันให้

    พระที่ให้หวยทุกองค์น่ะ ซวย ก็แบบเดียวกับเจ้าโลกดำนี้ เมื่อเข้าไปแล้ว ให้เขามีความสุข พัก ให้มีการไหลอยู่ในเฉพาะขอบเขต ไม่ต้องไหลไปกว้างนัก แต่ว่าดวงดาวต่างๆ มันจะขอบใจบ้างหรือเปล่า ก็ไม่ทราบ แต่ความจริง มันเฉย แต่ดวงดาวก็คงไม่บ่น ที่เข้าไปแล้วออกมา หรือเข้าไปยังไม่ออก มันก็ไม่บ่น แต่คนที่ไม่เกี่ยวข้อง มันบ่น มันหาว่าดวงดาวนี้ดุร้าย
    ดูดไม่ว่าอะไร ดูดแล้วเข้าเก็บหมด

    แต่ความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างไหลออกมาตามสภาพเดิม ดวงที่ออกไวที่สุด เข้าไปแค่ปาก ไม่ลึกนัก กระทบนั่น กระทบนี่ เข้ากลางไม่ได้ เข้าลึกไม่ได้ อย่างเร็ว 3 ปีออก แต่ดวงที่เข้าไปก้นลึกจริงๆ 100 ปียังไม่ออก รอมันออก นั่งจ้องแบบนั้น อย่าเลิก จะเห็นว่า ดาวมันไหลออกมาได้

    ก็รวมความว่า คุยมากเกินไป เขาขยับขยายมาทางปากทาง ออกปากช่องล่องมาข้างนอก ลอยมานิดหนึ่ง แป๊บเดียวถึง ขึ้นไปทางด้านใต้ของโลกนี้ ขึ้นไปๆ เห็นสีดำๆๆ เข้มๆ แล้วก็แข็ง ต่อไปไม่ช้าก็พบแผ่นดิน ดินก็มีสภาพแข็ง เครียด ยังไม่มีต้นหญ้า ต่อไปไม่ช้าไม่นานนัก ประเดี๋ยวก็เจอะต้นหญ้าหรอมแหรมๆ แสดงว่า ความชุ่มชื้นเริ่มมี ต่อไปก็เจอะป่า ป่าเขียวชะอุ่ม ไม่เหมือนป่าประเทศไทย

    ประเทศไทยป่าไม้แห้ง แต่ป่าทรายเขียวชะอุ่ม เขียว หรือ ไม่เขียว ก็ไม่ทราบ ถ้าป่าไม่เขียว คนที่อยู่กลางป่าก็หน้าเขียว เพราะมันอด ป่าเขียวชะอุ่ม มีความชุ่มชื้น ต้องลอยข้ามป่าระยะไกลมาก ต่อมา ก็มองเห็นมหาสมุทร เป็นน้ำเขียวอ่อนๆ มองแล้วชื่นตาชื่นใจ ไม่เขียวเข้มเหมือนทะเลของเรา เป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลมาก

    ขึ้นไปทางทิศใต้นะ แล้วก็มองไปรอบๆ ไกลออกไปจากฝั่งมหาสมุทรพอสมควร มีเมือง มีเมืองอยู่หลายเมือง ตั้งเป็นระยะๆ มันก็ไกลกันนะ ระยะแต่ละเมืองไกลกันไม่น้อยกว่าร้อยโยชน์ แล้วก็มีเส้นทางถี่ยิบ มีถนนถี่ยิบ มียานพาหนะพอสมควร แต่เรื่องรถนี่แพ้ประเทศไทย รถยนต์เขามีน้อย นานๆ ถึงจะผ่านมาสักคัน ทุกๆสาย มองไปกลางเมืองก็เช่นเดียวกัน

    มองไปแล้วก็ เอ๊ะ รถมันไม่มาก นาน ๆ จะมีมาสักคัน อย่างเร็วที่สุดก็ประมาณสัก 10 นาที ผ่านมาคันหนึ่ง 20 นาทีผ่านมาคันหนึ่ง คนเดินกันเกลื่อนกลาด หมายความว่า คนก็เดินแต่ไม่เบียดเสียดเหมือนกรุงเทพฯ แม้จะเป็นเมืองหลวง ก็ลอยไป ลอยมาต่ำๆ มันเห็นได้ชัด พระท่านก็บอกว่า อย่าเพิ่งเดิน ลอยไป ลอยมาก่อน ดูมันเสียก่อน

    ดูด้านผิวก็ลอยอยู่ไกลๆ มันเห็นชัดดี เหมือนกับนั่งเครื่องบิน ลอยไปลอยมา ลอยมาลอยไป เห็นบ้านเมืองเขามีความสวยสดงดงาม เขียวชะอุ่มเหมือนกับต้นไม้ แต่มีตึกมีรามสวยมาก มีทางก็กว้างขวาง บ้านเมืองก็มีความสะอาด ชื่นใจ ทีนี้กิเลสมันยังมีในใจ ความอยากปรากฏ

    ก็กราบเรียนพระท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ขอลงใกล้ๆ ที่ฝั่งมหาสมุทรได้ไหม ท่านบอกว่า ได้ ท่านถามว่า เธอจะลงตรงไหน ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ถ้าหากว่าท่านเห็นสมควรตรงไหน ก็ลงตรงนั้น ท่านบอกว่า ไปตอนโน้นสิ หันหลังนิดหนึ่ง ไปจากนี้ไปประมาณ 10 โยชน์ จะเข้าเขตเมืองท่า 3 เมืองติดต่อกัน เป็นเมืองท่าของเมืองใหญ่ ที่ขนของลงเรือทะเล เป็นอันว่า เมื่อท่านสั่งดังนั้น ก็เห็นชอบด้วย เคลื่อนไปตามท่าน

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านผู้รับฟัง และผู้อ่าน พอขยับกายจะไปเมืองท่า ก็พอดีหมดเวลา ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังและผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี

    (จากหนังสืออ่านเล่น เล่ม 12 หน้า 14-25)


    d0d93a93-e4d0-4628-8ad3-285463d0e70c.jpg
    ภาพจาก https://travel.trueid.net/detail/GjDNQR28Y7p
     
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,733

    0001 (2).jpg
    ดาวหลุมดำ ตอนที่ 5 พระโมคคัลลาน์มาโปรดคนบนโลกนี้


    ท่านผู้ฟังและท่านผู้อ่านทั้งหลาย สำหรับตอนนี้ก็ขอทุกท่านฟังหรืออ่านเรื่องนิทาน 100 เปอร์เซ็นต์ ที่บอกว่าเป็นนิทาน 100 เปอร์เซ็นต์ ก็เพราะว่า เรื่องราวต่างๆที่นำมาพูดกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักบุญนักกุศลพูด มักจะนำเอาเรื่องพระสูตรที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนมาพูดกัน เป็นการแนะนำในเรื่องการบุญการกุศล แต่ทว่าเรื่องต่างๆของดาวทั้งหมดที่กล่าวมาจากเล่มที่ 11 ก็ตาม เล่มที่ 12 นี้ก็ตาม เป็นเรื่องนิทานจริงๆ

    ฉะนั้นความเป็นมาของนิทานก็ถือว่า เรื่องต่างๆจะจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้เพราะว่าเรื่องจริงที่ไม่สามารถจะสอบสวนได้ก็เป็นนิทาน แต่เรื่องนิทานที่เป็นความจริงที่ไม่สามารถจะสอบสวนได้ ก็ต้องเป็นนิทานเหมือนกัน รวมความว่าทุกอย่างเป็นเรื่องของนิทาน ทีนี้ก็มาคุยกันว่า

    หลังจากที่ขึ้นมาจากท้องของดาวดวงนี้แล้ว ที่กล่าวกันว่าดวงดาวดวงนี้ดุร้ายมาก อะไรก็ตามถ้าเข้าไปมันดูดหมด และดูดหายเข้าไปหมด โลกต่างๆดาวต่างๆก็ดูดหายเข้าไปในท้อง แม้แต่แสงสีต่างๆ ก็สามารถจะดูดหายเข้าไปในท้องได้หมด มองไม่เห็นแสง ความจริงจะว่า ดูด ก็ถูก หรือจะว่าสิ่งทั้งหลายต่างๆ ไหลเข้าไปจากอากาศดัน ก็ถูกอีกเหมือนกัน ถ้าพูดว่า ดูด เป็นศัพท์นิยมของชาวโลกพูดกัน เช่น น้ำดูดเข้าไปในโพรง น้ำดูดเข้าไปในถ้ำ น้ำดูดเข้าไปในวน ความจริงจะว่า น้ำดูด ก็ไม่ถูกนัก น้ำข้างหลังดันมา ข้างหน้าไหลเข้าไปในโพรง จะเรียกว่า น้ำดัน ก็ไม่ผิดเหมือนกัน

    เรื่องนี้ก็เหมือนกัน จะขอกล่าวว่าเป็นเรื่องของอากาศดันเข้าไปและก็หายเข้าไป ความจริงการหายนี่ หายเข้าไปนาน ถ้าจะใช้เวลาดูกัน จะใช้เวลาแรมปี ถ้าหากว่าเราจะสังเกตว่า ดาวดวงนี้ถูกดาวถุงดำดูดเข้าไป และตั้งหน้าตั้งตาสังเกตไว้ว่า มีตำหนิอะไร สีสันวรรณะเป็นอย่างไร ลักษณะเป็นอย่างไร สังเกตไว้ และก็ต้องถ่างตาดูกันเป็นปีๆ ไม่ใช่ดูกันเป็นชั่วโมง หรือไม่ใช่ดูเป็นวัน ใช้เวลาอย่างน้อยๆ น้อยที่สุดก็ต้อง 3 ปี หรือ 7 ปี หรือ 30 ปี หรือ 100 ปี บางที 100 ปียังไม่ออกมาก็มี

    ถ้าหากว่าจะมีใครตะโกนถามมาว่า รู้ได้อย่างไร ก็ขอตอบ ไม่ต้องตะโกนตอบ กระซิบตอบว่า รู้ได้ เพราะเป็นนิทาน เรื่องนิทานพูดกันอย่างไร ก็พูดได้ เมื่อออกมาจากท้องดาวเสร็จ ก็เหินมาตามอากาศ ใกล้ๆกับพื้นแผ่นดิน วันนี้คุยกันให้ได้เต็มที่ ใช้คำว่า เหิน คือ ไม่ใช่เหาะ เหาะสูง เหินต่ำ นี่เป็นศัพท์ของคนสร้างนิทานเหมือนกัน ไม่ใช่ศัพท์ที่นิยมกันทั่วๆไป

    ครั้นเมื่อมาถึงสถานที่ที่มีบ้านเมืองอยู่ด้านทิศใต้ของดวงดาว คือ ด้านทิศใต้ของมหาสมุทร เห็นมหาสมุทรเข้าก็ลงต่ำ แล้วก็เหินเรื่อยๆ ไปชมเมืองต่างๆที่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดิน ลึกมากเป็นเมืองที่มีความสวยสดงดงามมาก มีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม บางทีก็พร้อมมากกว่าโลกของเรา บางอย่างโลกของเราไม่มี แต่เขามีพร้อม มีอะไรบ้างก็ช่าง และต่อมาในเมื่อจิตใจมีความพอใจในมหาสมุทร มหาสมุทรที่เห็นนี่ สีเขียว มีความสวยสดงดงามมาก จึงย่องเข้าไปใกล้ๆ ไหลเข้าไปชิด

    เมื่อเข้ามาถึงแถวใกล้ฝั่งมหาสมุทร ก็เห็นเมือง 3 เมืองด้วยกัน มี 3 เมืองที่ตั้งอยู่ที่นั่น สวยสดงดงาม ห่างกันไม่ไกลนัก ก็ลงมาที่พื้นแผ่นดิน เมื่อลงมาที่พื้นแผ่นดินแล้วก็ตั้งอกตั้งใจว่า ดูกันละ เอาให้เต็มที่ ก็คิดว่าเมืองนี้มีความสวยสดงดงามดี หาทางลง การลงไม่ต้องหาสนามบิน ไม่ต้องมีรันเวย์ เพราะว่าผู้พูดและคณะ ไม่มีล้อมีแต่ขา มองไปมองมา ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ กลุ่มใหญ่หลายคน แต่กลุ่มเล็กๆก็มี 2-3 คน อีกจุดหนึ่งมีคนเดียว ห่างจากกันประมาณสัก 10 เมตร คนนี้อยู่คนเดียว กำลังเอามือ จิ้มโน่นจิ้มนี่ อาการของเขาแสดงว่า เป็นคนบอกสัญญาณอะไรสักอย่างหนึ่ง จึงลงไปที่นั่น

    เมื่อลงไปที่นั้นแล้ว ก็เดินเข้าไปหาคนนั้น ก็พอดีถึงเวลาเขาว่างพอดี พอเข้าไปใกล้ โผล่หน้าเข้าไปหน้าประตู เขาก็ยกมือร้องอีโละโก๊ะเก๊ะ อะไรก็ไม่ทราบ ภาษาของเขา พูดเสียงสั้นๆหนักๆ คล้ายๆภาษาญี่ปุ่น ถ้าฟังเป็นภาษาของเราก็ฟังได้ว่า เชิญขอรับ เชิญท่านผู้มีเกียรติซึ่งมาจากโลกอื่น เชิญท่านนั่งบนเก้าอี้ซิขอรับ นี่ฟังเป็นภาษาของเรา เขาพูดยาว ทั้งหมดประมาณ 10 ท่าน ก็เข้าไปในอาคารของเขา อาคารของเขาเรียบร้อย มีเก้าอี้ มีโต๊ะรับแขก มีทุกสิ่งทุกอย่างหมด เขาชี้ให้นั่ง พอนั่งเสร็จก็มีคน เจ้าหน้าที่ของเขา จะถือว่าเป็นคนรับใช้ก็ไม่ถูกนัก มีเจ้าหน้าที่ของเขานำเอาน้ำเย็นมาให้ และก็ส่งดอกไม้ให้คนละดอก เขาบอกว่าเป็นการแสดงการต้อนรับท่านผู้มีเกียรติ ที่มาจากโลกอื่น

    เขาพูดเป็นครั้งที่ 2 จึงถามว่า ท่านทราบได้อย่างไร ว่า คณะของข้าพเจ้ามาจากโลกอื่น เขาบอกว่า อันดับแรกที่จะมองเห็นคือ เครื่องแต่งตัวไม่เหมือนกัน ก็ถามเขาว่า ก็มีผ้า มีเสื้อเหมือนกัน เขาบอกว่า เสื้อผ้า แต่มันไม่เหมือนกัน เสื้อผ้าของท่าน ท่านจะเผลอไปกระมัง คณะของข้าพเจ้าใช้ผ้าธรรมดา แต่คณะของท่านใช้ผ้าประดับไปด้วยเพชร พอเขาพูดอย่างนั้นก็ตกใจ เพราะพวกเราลืมแปลงกาย ลืมเอาเครื่องแต่งกายเปลี่ยนตัวมา เรียกว่า ลืมเปลี่ยนเครื่องแต่งกายก็แล้วกัน ก็บอกว่าเครื่องแบบอย่างนี้ เป็นปกติธรรมดาของคนไม่ใช่หรือ เขาบอกว่า ใช่ แต่คนบางพวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในเมืองนี้ในประเทศทั้งหลายเหล่านี้ หลายๆประเทศ ไม่มีเครื่องแต่งกายอย่างนี้ เพราะว่าแก้วที่ประดับเสื้อผ้าของท่านมีราคาแพงมากซึ่งไม่มีใครเขาแต่งกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนแถวนี้ ถ้าจะมีก็ใส่คอนิดหนึ่ง คล้องสร้อยหรือว่าทำแหวน หรือทำสร้อยข้อมือ อย่างนี้เป็นต้น แต่ที่ติดผ้าทั้งผืน ไม่มีใครเขาทำกัน

    ฟังเขาแล้วก็ยิ้ม แล้วก็นึกในใจว่า ขอเครื่องแต่งกายสภาพที่ปกติให้หายไป มีเสื้อผ้าธรรมดาปรากฏ ก็ลืมนึกไปอีกว่า เสื้อผ้าธรรมดา มันควรจะเป็นกางเกงกับเสื้อ กลับเป็นเสื้อผ้าธรรมดา เป็นผ้าถุงมีผ้าคลุมตัว แล้วสีมันก็ออกจะเป็นสีส้มๆสีเหลืองๆ พอเขาเห็นเข้า เขาก็ตกใจ แสดงท่าตกใจ พอตกใจเขาทำอย่างไร เขาลงจากเก้าอี้ ก้มลงกราบ

    ถามว่า ท่านกราบทำไม คณะข้าพเจ้าทั้งหมดก็มีสภาพเหมือนท่าน เป็นคนเช่นเดียวกัน และเป็นแขกผู้มา เขาบอกว่า แขกประเภทนี้ เขารู้จัก มาเป็นครั้งเป็นคราว คือ ไม่ได้มาบ่อยนัก ถ้ามาทีไร ทุกอย่างที่นำมาให้ก็คือ ความสุข

    พอดีพระท่านเตือน ท่านบอกว่า คุณ คุณนึกอย่างนี้มันไม่ถูก เขาก็จับได้น่ะสิว่า คณะของเราเป็นใคร คุณนึกใหม่ดีกว่า นึกว่าให้เป็นเสื้อเป็นกางเกงอย่างเขา ก็เลยนึกตามนั้น เขาเห็นเข้า เขาก็แปลกใจอีกว่า เมื่อกี้เครื่องแต่งตัวชุดที่ 2 หายไปไหน ทำไมถึงกลายเป็นเสื้อเป็นกางเกง ก็บอกเขาว่า ในเมื่อเรามีเสื้อมีกางเกงเหมือนกัน ก็นั่งเสมอกันก็แล้วกัน เขาบอกว่า ยังนั่งไม่ได้ เพราะอาการอย่างนี้ พระใหญ่เคยมาแสดง

    ถามเขาว่า พระใหญ่ของท่านนั้นคือใคร ท่านจำชื่อได้ไหม เขาบอกว่า จำได้ ถามว่า ใคร

    เขาบอกว่า พระใหญ่ของเขาคือ "พระโมคคัลลาน์"

    พอฟังแล้วก็ตกใจ ถามว่า พระโมคคัลลาน์เคยมาที่นี่หรือ ท่านรู้จักพระโมคคัลลาน์หรือ เขาก็ตอบว่า คนส่วนใหญ่ที่นี่รู้จักพระโมคคัลลาน์ดี จึงถามเขาว่า ท่านมาเมื่อไร เขาก็ตอบว่า ท่านมาเป็นครั้งเป็นคราว แต่ว่าระยะนี้ห่างไปหน่อยไม่เห็นท่านมา ถามว่า เวลาที่ห่างไปจากระยะนี้ ที่ท่านเคยมา เป็นช่วง ถ้านับตามปีของจักรวาลมนุษย์ พอพูดว่า จักรวาลมนุษย์ เขาก็ยิ้ม เขาบอกว่า จะถามจักรวาลไหน จักรวาลนี้ที่คุยนี่ก็เป็น จักรวาลมนุษย์เหมือนกัน พวกข้าพเจ้าทั้งหมดก็เป็นมนุษย์ ก็เลยตกใจว่า พูดผิดอีกแล้ว คนขาดสติสัมปชัญญะ มันเป็นอย่างนี้

    ก็เลยบอกว่า จักรวาลมนุษย์มีมากใช่ไหม เขาบอกว่า มาก เท่าที่พวกเขารู้จักกันดีก็มี 4 จักรวาล คือ จักรวาลของเขานี่หนึ่ง เวลาที่คุยนี่หันหน้าไปทางทิศใต้ จักรวาลที่สองก็เป็นจักรวาลที่มองเห็น ถ้าใช้กล้องระยะไกลๆก็จะมองเห็นจักรวาลใหญ่ลอยอยู่ด้านซ้าย แล้วต่อไปอีกช่วงระยะหนึ่ง ก็มีอีกจักรวาลหนึ่ง และอีกจักรวาลหนึ่งก็อยู่ทางด้านเหนือเป็นจักรวาลใหญ่เหมือนกัน ลอยอยู่ในผิวเดียวกันของจักรวาล

    ก็ถามเขาว่า จักรวาลนอกจากนี้มีที่ไหนอีก เขาบอกว่า เขาไม่ทราบ คิดว่าดวงดาวต่างๆ ทั้งหมดในจักรวาลนี้ เป็นจักรวาลที่อยู่ของคนบ้าง ปราศจากผู้คนบ้าง เป็นจักรวาลว่างบ้าง แต่เท่าที่เขารู้จักจริงๆมี 4 จักรวาล รวมทั้งจักรวาลนี้ด้วย ก็ถามความเป็นมาว่า คนในจักรวาลทั้งหมด หรือทุกๆจักรวาล ท่านรู้จักคนไหม เขาก็ตอบว่า รู้จัก

    ถามเขาว่า รู้จักกันอย่างไร ท่านติดต่อทางวิทยุหรือทางไหน เขาบอกว่า เมื่อกี้นี้ก็ลองติดต่อกัน เพราะว่ามนุษย์จักรวาลต่างๆเขาจะมากัน เขาจะมาเที่ยวกัน มีฐานเป็นที่ลง มีสนามบินเป็นที่ลง ก็เลยถามเขาต่อไปว่า ในเมื่อจักรวาลต่างๆมีมาก เวลาเท่ากันไหม เขาบอกว่า เวลาไม่เท่ากัน ก็เลยยกนาฬิกาให้ดูว่า นาฬิกาที่เดินแบบนี้ วนไปรอบหนึ่งถือว่าเป็นครึ่งวันของจักรวาลโลกชมพู ถ้าหมุนไปอีกรอบหนึ่งถือว่าเป็นเวลาเต็มวัน เวลากลางคืนและเวลากลางวัน รวมเวลาแล้ว 24 ชั่วโมง เป็น 1 วัน เขาก็มีนาฬิกาเหมือนกัน มันก็เดินเหมือนกัน

    เขาบอกว่า ถ้านับเวลาอย่างนี้นะ ต้องถอยหลังไปประมาณ 2,000 ปีเศษที่พระโมคคัลลาน์ท่านมาบ่อยๆ แต่ว่าระยะหลังจากนั้นท่านก็มาบ้างเหมือนกัน แต่มานานๆครั้ง ถ้าจะเทียบตามเวลาของจักรวาลที่ยกนาฬิกาขึ้นดูนี้ ก็จะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปีจะมาครั้งหนึ่ง ก็ถามเขาบอกว่า เวลาตั้ง 2,000 ปีเศษ คนที่นี่อยู่ได้อย่างไร จะมีใครมีชีวิตอยู่ เขาก็ตอบว่า ข้าพเจ้านี่ เวลา 2,000 ปีเศษของท่าน มันเป็นเวลาเล็กน้อยเท่านั้นเอง ถ้านับเวลาตามนี้ คนในโลกนี้ทั้งหมดจะมีอายุถึง 12,000 ปี เลยถามว่า เวลานี้ท่านมีอายุเท่าไร เขาบอกว่า เวลานี้อายุของเขาตั้งแต่เกิดมาประมาณ 8,000 ปี ก็เลยนึกสงสัยว่า คน 8,000 ปีนี่หนุ่มมาก ดูหน้าตาแล้วคล้ายกับคนอายุสัก 28 ปีของเรา

    ก็เลยถามเขาต่อไปว่า ในเมื่อพระโมคคัลลาน์ท่านมาแล้ว ท่านทำอะไร ท่านเอาอะไรมาให้ เขาบอกว่า อันดับแรกที่ท่านมา ท่านเอาความดีมาให้ และทุกครั้งท่านก็มาย้ำความดีที่ท่านให้ไว้

    ถามว่า ความดีที่พระโมคคัลลาน์ให้ มีอะไร เขาก็ตอบว่า หนึ่ง พรหมวิหาร 4 ได้แก่ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทุตา มีจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร เห็นใครได้ดี พลอยยินดีด้วย แล้วก็ อุเบกขา วางเฉย ในเมื่อความไม่สบายใจเกิดขึ้น

    หลังจากนั้นท่านก็ให้ทรง กรรมบถ 10 คือ ทางกาย 1. ไม่ฆ่าสัตว์ 2.ไม่ลักทรัพย์ 3 .ไม่ประพฤติผิดในกาม

    ทางวาจา 4 คือไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด และไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล

    ทางด้านจิตใจ 3 คือ ไม่โลภอยากได้ทรัพย์ของคนอื่นโดยไม่ชอบธรรม คือไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของใคร ไม่จองล้างจองผลาญใคร มีความเห็นตรงตามคติทั้งหมดที่สอนมาแล้ว ให้ปฏิบัติตรงตามนั้น

    ก็ถามว่า คนในโลกนี้ ปฏิบัติตามนี้หรือ เขาบอกว่า คนทุกประเภทในประเทศนี้ รัฐบาลตั้งกฎนี้เป็นธรรมนูญการปกครอง การปกครองของประเทศนี้จะต้องมีพรหมวิหาร 4 กับกรรมบถ 10 เป็นพื้นฐาน จริงๆทุกคนปฏิบัติตามนี้

    เมื่อคุยกับเขาแล้ว ก็หันไปหาพระท่าน ท่านก็ยิ้ม แล้วท่านมองหน้า ก็มีความเข้าใจว่า เท่าที่เขาพูดนี้ เป็นความจริง ก็เลยถามเขาว่า พระโมคคัลลาน์เคยแนะนำ พระที่มีความใหญ่กว่าท่านมีไหม เขาก็ตอบว่า มี มีองค์เดียว ถามว่า พระอะไร เขาตอบว่า พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าใหญ่ที่สุด

    จึงถามเขาว่า เขาเคยเห็นพระพุทธเจ้าไหม เขาก็ตอบว่า ถ้าตามปกติ ด้วยตาเนื้อนี่ ไม่เคยเห็น แต่ว่าทาง ตาใจ นี่เคยเห็น เลยถามว่า ตาใจของท่านอยู่ที่ไหน เขาบอกว่า อยู่ที่อารมณ์ ก็ถามเขาบอกว่ามีความเคารพพระพุทธเจ้า เขาก็ตอบว่าเคารพพระพุทธเจ้า เคารพพระธรรม เคารพพระอริยสงฆ์ พระอริยสงฆ์นี่มีพระโมคคัลลาน์เป็นประธาน แน่..เขายึดแน่นอน เพราะคนทุกคนที่นี่ต้องปฏิบัติตามนั้น ถ้าใครละเมิดกฎ 4 ประการ คือ พรหมวิหาร 4 หรือกฎ 10 ประการคือ กรรมบถ 10 คนนั้นมีโทษหนัก

    ก็ถามว่า ในประเทศนี้มีการสั่งประหารชีวิตไหม เขาก็เลยตอบว่า ถ้ามีการสั่งประหารชีวิต ก็ผิดโทษปาณาติบาต ไม่มีการสั่งประหารชีวิต ก็เลยถามว่า ถ้าอย่างนั้น ทำอย่างไร เขาก็บอกว่า ก็ลงโทษไม่คบหาสมาคม ให้อยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งโดยเฉพาะ (กักบริเวณ) กักบริเวณอยู่ กว้างๆหน่อย แต่ห้ามออกจากเขตนั้น เป็นการทรมานใจ

    เมื่อคุยกันมาถึงตรงนี้ บรรดาท่านผู้ฟัง หรือท่านผู้อ่าน สำหรับคนพูดมาก มันก็พูดมากเรื่อยไป พูดกันไป มันก็จบ เขาคุยไป เขาก็มองมา เขาก็สงสัย เขาหันมาถามว่า ขอประทานโทษ เขาพูดภาษาเขา แต่เรานึกเอาเป็นภาษาของเรา และเวลาที่เราพูดภาษาของเรา ก็นึกให้เป็นภาษาของเขา อย่าลืมนะ ท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่าน นี่เป็นเรื่องของนิทาน นิทานจะพูดอย่างไรก็ได้ เอาอย่างไรก็ได้ทุกอย่าง เพราะมันเป็นเรื่องไม่จริง

    เขาก็ถามว่า คณะท่านที่มาทั้งหมดนี่ประมาณ 10 ท่าน ท่านอาจจะมายานพาหนะ เวลานี้ยานพาหนะของท่าน จอดที่ไหน ก็ถามเขาบอกว่า ทำไมท่านจึงสงสัยแบบนี้ เขาก็บอกว่า ยานพาหนะต่างๆอยู่ในสายตาของผม ผมเป็นเจ้าหน้าที่ดูยานพาหนะที่จะไป หรือจะมา ถ้าเครื่องบินมาถึงแล้ว จะเลี้ยวทางไหน จะจอดที่ไหน จะมีอะไรที่ไหน มันเป็นการแนะนำ จากผมทั้งหมด ต้องผ่านผม แต่ว่ายานพาหนะที่ท่านมานี่ รู้สึกว่า ไม่กระทบเครื่องสัญญาณของผม

    เมื่อสักครู่นี้ ผมเห็นบรรดาท่านทั้งหลาย ลอยในอากาศ ผมก็มีความรู้สึกว่า ท่านจะมีเครื่องทำกายให้เบาช่วยพยุงกายลงมา ถ้ามันเป็นระบบวิทยาศาสตร์ มันต้องเข้าคลื่นของผม แต่ว่าของท่านไม่ผ่านคลื่นผมเลย ผมก็สงสัย ท่านมีเครื่องผลักคลื่นหรืออย่างไร เอาอีกแล้ว ก็เลยตอบเขาบอกว่า คณะของข้าพเจ้าทั้งหมดที่มานี่ ไม่ได้มาด้วยยานพาหนะ ไม่มีเครื่องบิน ไม่มีเครื่องพยุงตัวให้ลอย แล้วก็ไม่มีการขับเคลื่อน ลอยมาเองเฉยๆ

    เขาถามว่า ลอยมาอย่างไร ฝึกการลอยได้อย่างไร ก็ตอบว่า นี่เป็นเรื่องของทางใจ ถ้าคณะท่านทั้งหลายมีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความสนใจในพระธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และมีความเลื่อมใส เคารพในพระสงฆ์ สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง เวลาที่พระโมคคัลลาน์ท่านมา พระโมคคัลลาน์ท่านก็ไม่มีเครื่องพาหนะมาเหมือนกัน เขาก็ยอมรับว่า ใช่ ก็ถามท่านศึกษาจากท่าน ท่านจะสอนให้ เขาก็หันมาถามว่า ถ้าอย่างนั้น คณะของท่านจะสอนข้าพเจ้าได้ไหม จึงได้หันไปหาพระท่าน พระท่านก็มองดูหน้า ก็แสดงว่า ไม่ใช่โอกาสที่จะสอนกัน ก็เลยบอกเขาว่า เวลาที่สอนมันไม่มี เวลานี้ยังไม่ต้องการเป็นครูของใคร เพราะยังไม่มีความเข้าใจในศรัทธาและปสาทะของทุกคน ตอนนี้ขอชมสถานที่ก่อน

    เขาก็ถามบอกว่า จะชมที่ไหน ก็เลยบอกเขาว่า อันดับแรก ขอชมในครัว เขาก็ยิ้ม และทุกคนที่ไปด้วยกันก็ยิ้ม เขาก็หันมาถามว่า ท่านหิวหรือ ก็ตอบเขาบอกว่า ไม่ได้หิว แต่อยากจะดูอาหาร เขาถามว่า ทำไมจะดูอาหาร ก็ตอบเขาว่า ในฐานะที่พวกท่านมี พรหมวิหาร 4 และมี กรรมบถ 10 ก็อยากจะดูอาหารของท่านว่า มีเนื้อสัตว์ไหม

    เขาก็บอกว่า แปลกใจหรือ คิดว่าพวกเขาจะกินหญ้าเหมือนวัว เหมือนควายใช่ไหม ผู้พูดก็ยิ้ม แล้วบอกว่า คิดว่าอาจจะกินผัก ไม่ใช่หญ้า หญ้า กับผัก มีสภาพไม่เหมือนกัน เพราะหญ้าเป็นอาหารของคนไม่ได้ มันต้องเป็นอาหารของวัว ของควาย ของม้า ของช้าง แต่ผักเป็นอาหารของสัตว์ก็ได้ เป็นอาหารของคนก็ได้

    คนกินผัก แต่ไม่กินหญ้า วัวควายกินหญ้าด้วย กินผักด้วย อยากจะทราบว่า คณะของท่านกินเนื้อสัตว์ไหม เขาก็ตอบว่า ปกติก็กินกัน ก็ถามว่า ปกติท่านจะเอาเนื้อสัตว์ที่ไหนมากิน เขาบอกว่า สัตว์ที่หมดอายุขัยมันมีอยู่ และเวลาที่พบสัตว์ตาย เนื้อยังสด ก็เอามากินกันได้ไม่แปลก ไม่มีอะไรแปลก แต่ทว่าถ้าไม่มีเนื้อสัตว์ พวกข้าพเจ้าก็ชอบกินผัก

    แต่การปรุงอาหารด้วยผัก จะเอารสอะไรก็ได้ ให้เหมือนกับรสสัตว์ประเภทไหนก็ได้ ก็เลยบอกเขาว่า ขอชมสักหน่อยได้ไหม อาหารมีไหม เขาก็บอกว่า มี เขาก็ให้สัญญาณกดออด ออดของเขากดเป็น 3 ระย อ๊อด..อ๊อด..อ๊อด..แล้วแถมท้ายอีกหนึ่งอ๊อด สั้นๆ ถามเขาบอกว่า การกดออดแบบนี้ เป็นสัญญาณอะไร เขาบอกว่า เป็นสัญญาณนำอาหารมา คือ จะนำอาหารมาเลี้ยงแขก ถามเขาบอกว่า อาหาร มีพร้อมอยู่แล้วหรือ เขาบอกว่า ที่นีต้องพร้อมทุกเวลา เพราะเป็นสถานที่รับรองแขกผู้มาจากประเทศอื่นด้วย

    พอเขาพูดก็ตกใจว่า เรานึกจะปลอมตัว ก็แบกความโง่เข้าไปทุกอย่าง อันดับแรก แบกความแพรวพราวเข้าไป ซึ่งไม่มีใครเขาแต่งตัวกัน อันดับที่สอง พอเขารู้ตัว แบกเอาความสีเหลืองรุ่มร่าม ห่มจีวรเข้าไปอีก นุ่งสบง ทรงจีวร เขาก็จับได้ มาระยะที่สาม แม้จะทรงกายแบบนี้ แต่ลักษณะท่าทาง ลีลาวาจา มันไม่เหมือนของเขา เขาก็จับได้อีก ในเมื่อเขาจับได้ ก็ยอมให้เขาจับ มันเรื่องไม่แปลก ปฏิเสธไม่ไหว

    พอเขานำอาหารมาให้ดู ดูแล้วอาหารทั้งหมดมีอยู่ 7 อย่าง เขาชี้ว่า อาหารถ้วยนี้เป็นอาหารที่มีการปรุงคล้ายกับเนื้อสัตว์ มีรสชาติอันนี้คล้ายเนื้อหมู อันนี้คล้ายเนื้อเก้ง อันนี้คล้ายเนื้อวัว ก็ลอง สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าลองกิน ก็ลองกินเข้าไป มันคล้ายคลึงจริงๆ เขาบอกว่า ประเภทนี้มีรสชาติเป็นผัก ผักโดยตรง แต่ว่าเขาไม่บอกว่า มังสวิรัต เพราะคณะของเขาไม่ได้ถือมังสวิรัต ถือแค่ มี เป็นสำคัญ ถ้าได้เนื้อสัตว์มาโดยไม่บาป เขากิน

    ก็ถามเขาว่า ตามปกติเขาอยากกินเนื้อสัตว์ไหม ถ้าบังเอิญมันไม่มี เขาบอกว่า ไม่อยากกิน เพราะอาหารทุกอย่าง มันเหมือนกันหมด จะปรุงให้คล้ายเนื้ออะไรก็ได้ ลักษณะสีสันวรรณะจะให้เหมือนเนื้อ ทุกอย่างได้หมด ความนิ่มนวลเหมือนกัน ดูแล้วก็เหมือนเนื้อ เขาก็ให้สัญญาณกับลูกน้องเขาว่า ยกอาหารมาอีกจานหนึ่ง จานนี้มันเหมือนเนื้อหมูซีกหนึ่ง เหมือนเนื้อวัวอีกซีกหนึ่ง เหมือนจริงๆ เห็นเข้าแล้วก็คิดว่า เนื้อหมู หรือเนื้อวัว

    พอชี้ไปถาม เขาบอกว่า นี่ผักล้วนๆ เขาก็ให้เจ้าหน้าที่ของเขามาทำการปรุงให้ดู เอาผักธรรมดาๆ มีเครื่องอะไรต่ออะไรก็ไม่ทราบ ใส่กร๊อกแกร๊กๆ มันโผล่ออกมาเป็นเนื้อ เหมือนเนื้อเสร็จ มีความนิ่มนวลเหมือนกัน มีสีสันวรรณะเหมือนกัน มีกลิ่นเหมือนกัน มีรสเหมือนกัน

    เอาละบรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลาย และท่านผู้อ่าน เวลานี้ถ้ามองสัญญาณไม่ผิด ก็หมดเวลาเสียแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่านและผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี

    (จากหนังสืออ่านเล่น เล่ม 12 หน้า 26-37)


    black-hole-338.jpg
     
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,733
    DSC06822.jpg
    lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UPW6jHmPutFw4jaOdGh_ZVM8E5aNSJ0zZjJ_CvqKbXjK.jpg หลวงพ่อพระปราโภ..jpg DSC06820.jpg

    ดาวหลุมดำ ตอนที่ 6 การปกครองและยานพาหนะต่างๆ


    ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย ต่อไปนี้ก็อ่าน หรือฟังเรื่องราวของ โลกดำ หรือ ดาวหลุมดำต่อไป แต่ทุกท่านจงอย่าลืมว่า ดาวหลุมดำเป็นนิทาน แต่ว่าถ้าบังเอิญมันจะเหมือนกับนักวิทยาศาสตร์เขาเห็นกัน แต่ว่านักวิทยาศาสตร์เขาเห็นของจริง แต่เวลานี้ท่านกำลังอ่าน หรือกำลังฟังเรื่องนิทาน นิทาน กับของจริงจะต่างกัน

    เมื่อชมอาหาร และลองชิมรสอาหารเขาแล้ว ก็รู้สึกว่า รสอาหารของเขาน่าจะติดใจ ก็มาคิดในใจว่า ถ้าคนโลกของเราในโลกชมพู ถ้าหากว่าสามารถปรุงอาหารจากผักได้ มีรสชาติเหมือนเนื้อสัตว์ คนที่ชอบเนื้อสัตว์ ก็ให้กินเหมือนเนื้อสัตว์ คนที่ไม่ชอบเนื้อสัตว์ ก็กินเหมือนผัก อันนี้จะมีประโยชน์มาก และก็จะไม่ต้องทำบาปอกุศล

    และอีกประการหนึ่ง ถ้าทุกคนอยู่ในเขตของ พรหมวิหาร 4 ถ้าทรงพรหมวิหาร 4 ได้ และประการที่สอง ทรงกรรมบถ 10 ได้ โลกก็จะเต็มไปด้วยความสุข

    ก็ถามเขาต่อไปว่า หลังจากท่านรับคำแนะนำจากพระโมคคัลลาน์แล้ว หลังจากนั้นคิดว่า พระโมคคัลลาน์คงจะสอนคนไม่ทุกคน แล้วมีคนสอนสืบต่อไหม

    ท่านบอกว่า มีสำนักเรียนเต็มประเทศ และหลายๆ ประเทศ ก็มีสำนักเรียนเหมือนกัน สอนวิชาที่พระโมคคัลลาน์สอน และให้ปฏิบัติตาม ฉะนั้นโลกนี้จึงมีความสุข ก็ถามเขาว่า โลกนี้มีคนจนไหม เขาบอกว่า โลกนี้และอีกหลายๆโลก 3-4 โลก ที่เป็นเพื่อนกัน ไม่มีใครจน ถามเขาว่า ทำไมจึงไม่จน เขาบอกว่า คนจนไม่มี เพราะที่นี่มีแต่คนรวย ทุกคนมีพอกิน พอใช้ ไม่มีการลำบากยากแค้น ไม่มีการเบียดเบียนกัน ค่าใช้จ่ายก็ต่ำ อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ไม่ต้องสร้าง

    ก็ถามว่า เรื่องของคน ไม่ต้องมีอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ได้ แต่เรื่องของประเทศชาติ ถ้าไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ละก็ บางทีชาติอื่นจะรุกราน เขาก็ถามว่า ที่ไหนมีการรุกรานกัน อันนี้แปลกอีกแล้ว บอกว่าที่นี่ไม่มีการรุกรานกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่นี่ตัดตรงหมด ที่ของใครเดิมเดิม จะมีการลดคดเคี้ยวบ้าง อาณาเขตชายแดน แต่ว่าทั้งสองฝ่ายตัดสินใจว่า ทำให้ตรงดีกว่า เมื่อทำให้ตรง ก็ทำถนนทั้งสองข้าง ประเทศโน้นทำถนนข้างโน้น ประเทศนี้ทำถนนข้างนี้ ส่วนจุดกลาง ทำเป็นทางรถไฟ 2 รางคู่ จึงบอกเขาว่า ถ้าอย่างนั้นพาไปดูได้ไหม เขาก็บอกว่า ได้

    เขาถามว่า ท่านจะไปยานพาหนะไหม ก็บอกว่า ไปสิ ท่านมี เราก็ไป ถ้ามีฟรี ไปทุกอย่าง เขาบอกว่า ในฐานะที่ท่านเป็นแขกบ้านแขกเมือง นี่โตไม่ใช่เล่นนะ เขาถือว่าเป็นแขกบ้านแขกเมือง ก็ต้องมียานพาหนะพิเศษ เขาก็นำไปข้างนอก บอกว่า คณะของท่านมาทั้งหมด 14 ท่าน แต่ความจริงคนพูดยังไม่ได้นับ ลืม หันไปลองนับดู นอกจากตัวคนพูดเอง 13 ท่าน แล้วก็ตัวเองเป็น 14 ท่าน เขาเก่ง เขาเรียบร้อยจริงๆ เขาถามว่า ท่านต้องการไปรถ หรือต้องการ เครื่องร่อน

    คำว่า เครื่องร่อน ก็หมายความว่า มันเป็นตัวกลมๆ ที่เรานิยมเรียกว่า จานบิน หรือว่าจะไปเครื่องบิน เครื่องบินนี่มันยาวๆ คล้ายๆเครื่องบินของเรา แต่ลักษณะหัวของเครื่องบินจะมีสภาพสูงกว่าเครื่องบินของเรา ของเราหัวลู่ลง ของเขาหัวตั้งและมีด้านมุมหัวแหลมๆคล้ายๆกับเรือเมล์ แต่ก็ไม่เหมือนนัก ก็รวมความว่า ก็บอกเขาว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านเห็นว่าอย่างไหนดี เอาอย่างนั้นก็แล้วกัน เขาก็บอกว่า ไปเครื่องร่อนดีกว่า ข้างล่างเป็นกระจก มองเห็นทุกอย่าง นั่นแน่ ของเขาดีด้วย

    ทุกคนก็นั่งเครื่องร่อนเขาไป เขาร่อนไปนิดเดียว ไปชั่วขณะเดียว มองดูข้างล่าง มันก็เต็มไปด้วยความสวยสดงดงาม พอถึงเส้นระหว่างประเทศ เขาก็ลง เขาบอกว่า ถนนฝั่งนี้ ถนนรถยนต์ มีเลนที่วิ่ง 8 เลน ถนนฝั่งโน้น ถนนรถยนต์ มีเลนที่วิ่ง 8 เลนเหมือนกัน เป็นถนนคอนกรีต นี่ไม่ใช่เมืองทิพย์นะ มันเป็นเมืองมนุษย์ จะว่าคอนกรีตก็ไม่เชิง มันมีสภาพเหมือนหิน เรียกว่า คอนกรีต ก็แล้วกัน ของเราแข็งที่สุดคือ คอนกรีต และก็ส่วนตรงกลางเป็นทางรถไฟ

    เขาบอกว่า รถไฟนี่ใช้รถไฟร่วมกันได้ทั้งสองประเทศ รถไฟขบวนเดียว ใครจะลงประเทศโน้นก็ได้ ประเทศนี้ก็ได้ มีสถานีตรงกันหมด ไปถึงสถานีปั๊บ ก็ลงได้ทั้ง 2 ข้าง ใครจะลงประเทศไหนก็ตาม ก็ถามว่า ผืนแผ่นดินที่จับจองกันในตอนก่อน มันมีการเลี้ยวลดคดเคี้ยว แต่เวลานี้ทั้งสองฝ่าย ต่างคนต่างตัดให้ตรง อาศัยอะไรเป็นเหตุ เพราะบางประเทศต้องเสียเนื้อที่ไป อาจจะขาดทุน

    เขาก็ยิ้ม เขาบอกว่า คำว่า ขาดทุน ในเมืองนี้ไม่มี เมืองนี้มีความต้องการอย่างเดียวคือ ความมีไมตรีซึ่งกันและกัน มีความรัก อะไรก็ตามจะเป็นจุดของความรักก็ได้ ถ้าเหตุของความรัก หรือการปฏิบัติกฎต่างๆไม่เกินกรรมบถ 10 หรือว่าไม่เกินพรหมวิหาร 4 ไม่นอกเหนือไปจากนั้น ไม่เป็นทางรก คือ สร้างความเดือดร้อน ประเทศนี้เอา และประเทศทั้งหมดนี้ เอาทั้งหมด ฉะนั้นประเทศทุกประเทศจึงไม่มีอาวุธรบ ในเมื่อไม่มีทหาร ไม่มีตำรวจ ก็ไม่ต้องจ่ายเงินเดือน ไม่ต้องจ่ายเครื่องอุปกรณ์ต่างๆซึ่งมันมีราคาแพงมาก แล้วก็ไม่ต้องจ้างตุลาการ ตุลาการคนตัดสินก็ไม่มี มีเจ้าหน้าที่คล้ายๆกำนัน คือ ในเขตหนึ่งๆก็มีผู้ใหญ่บ้าน มีกำนันเหมือนกัน
    ก็มีแค่นี้

    ต่อจากนั้นก็มีเมืองลูกหลวงเป็นเมือง ในเมืองแต่ละเมืองก็มีเจ้าเมือง ก็มีเจ้าหน้าที่ไม่กี่คนนัก งานที่เขาจะทำกันส่วนใหญ่เป็นคนรับภาษี ก็เลยถามเขาว่า เมืองนี้มีความรุ่งเรืองเจริญมาก รัฐบาลมีรายได้จากภาษีเยอะหรืออย่างไร เขาบอกว่า มากอยู่ ถามว่า รัฐบาลเก็บภาษีแพงไหม เขาบอกว่า ถ้าจะใช้ศัพท์ว่า แพง มันก็ไม่ใช่ของค้าขายกัน แต่ถ้าจะถือว่า น้อย หรือ มาก ต้องถือว่ารัฐบาลเขาเก็บมาก แต่คนที่เสียภาษีไม่เดือดร้อน

    ถามเขาบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ภาษีที่เก็บสูงสุดในของที่จำหน่ายจ่ายแจก ต้องเสียให้รัฐบาล ต้องเสียร้อยละเท่าไร เขาบอกว่า อย่างคนต่อรถยนต์ขาย ต่อเครื่องบินขาย ต่อเรือเมล์ขาย เป็นต้น ของหนักๆ ประเภทนี้ต้องเสียภาษีร้อยละสาม

    ฟังแล้วก็ งง ทำไมจึงว่า งง เพราะร้อยละสาม มันนิดเดียว ของต่ำไปจากนั้น อย่างเครื่องอุปโภคบริโภค อย่างของกินทั้งหมด ไม่ต้องเสียภาษี เสื้อผ้าที่ขายส่งไปให้ซึ่งกันและกัน ของใช้ตามธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี ภาษีนอกจากนี้ก็อาศัยภาษีโรงเรือน หมายถึงช่างที่รับเหมาทำโรง ทำเรือน อย่างนี้รัฐบาลเก็บร้อยละหนึ่ง

    ก็ถามเขาว่า เมื่อรัฐบาลเก็บน้อยๆอย่างนี้ จะมีเงินไปจ้างข้าราชการหรือ เขาก็ตอบว่า ข้าราชการที่นี่ไม่ต้องจ้าง ทุกคนมีกินมีใช้ แต่ปีหนึ่งรัฐบาลจะมีรางวัลให้จากผลประโยชน์ที่รัฐบาลจะพึงได้จากภาษีอากรร้อยละสิบ แล้วก็เฉลี่ยกันไป ระดับของพ่อเมืองได้ 3 เปอร์เซ็นต์ ระดับของลูกเมืองก็ว่ากันเป็นเปอร์เซ็นต์ๆไป แบ่งเปอร์เซ็นต์จากร้อยละสิบออกมาแล้วก็เฉลี่ยเป็นรางวัลต่อปี

    ก็คิดในใจว่า เมืองนี้มีความสุขจริงๆ ภาษีก็ไม่มีเดือดร้อน แล้วบ้านเมืองก็มีแต่ความสงบ ก็ถามเขาว่า ถ้าอย่างนั้น ถ้าเกิดเรื่องร้ายขึ้นมา เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มี ตุลาการไม่มี แล้วจะมีใครไปจับ เขาบอกว่า ไม่มีใครต้องจับใคร ทุกคนรู้ตัว ถ้าทำความผิด ก็มาสารภาพผิดกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่ตนขึ้นการปกครองกับเขา เท่านั้นก็เลิกกัน กำนัน ผู้ใหญ่บ้านสั่งการออกมาอย่างไร ปฏิบัติตามนั้น เป็นผู้พิพากษาไปในตัวเสร็จ

    นี่เป็นเรื่องนิทานนะ อย่าลืมว่าประเทศไหนๆ ที่จะมีความสุขอย่างนี้ มันไม่มีหรอก ก็รวมความว่า เป็นประเทศที่มีความสุขมาก ภาษีอากรก็เสียน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส่วนใหญ่จริงๆไม่มีใครต้องเสียภาษี ก็ถามเขาว่า ถนนหนทางก็ดี ตึกรามก็ดี โอ่โถง ใหญ่โตมาก ในเมื่อรัฐบาลมีรายได้น้อย แล้วจะสร้างได้อย่างไร เขาก็บอกว่า ไม่ใช่ของแปลก เขตไหนก็ตาม คนจะร่วมมือกัน ถ้าในตำบลนี้ต้องการถนน เขาก็ร่วมทุนกันสร้างถนน ที่นี้ต้องการจะสร้างตึกที่ทำการ ต้องการสร้างอะไรที่เป็นส่วนกลาง ก็รวมทุนเข้ามา นอกจากนั้นก็เป็นเงินส่วนตัว

    ถามถึงราคาของ ตกใจ สิ่งที่จะเปรียบเทียบกับท่านผู้ฟังได้ก็คือ ก๋วยเตี๋ยว อาหาร หรือก๋วยเตี๋ยว เอาธรรมดาๆ ข้างถนนกันของเรา ก๋วยเตี๋ยวอย่างดี ราคา 10 บาท อย่างต่ำลงมาก็ 5 บาท ต่ำมากกว่านั้นอีกนิดก็ประมาณ 4 บาท แต่ว่าก๋วยเตี๋ยวของเขาชามหนึ่งราคาประมาณ 10 สตางค์ของเรา เปรียบเทียบกับเงินเรา ก็เป็นการน่าอัศจรรย์มาก และรู้สึกว่าทุกอย่างมันถูกหมด ไปดูของซื้อของขาย ราคาเขาก็ถูก

    ก็รวมความว่า เป็นเมืองที่ทรงกรรมบถ 10 และพรหมวิหาร 4 ครบถ้วน จะเจอหน้าใครก็ตาม มีแต่อาการยิ้มแย้มแจ่มใส ก็บอกเขา บอกว่า ถ้าอย่างนั้น ลอยไปดูรอบๆ ลอยมาดูที่เมืองท่าก่อน มีอะไรบ้าง ตรงนี้เป็นเมืองท่าของประเทศไหนๆ เขาก็บอกหมด ก็ถามบอกว่า เมืองท่าของแต่ละประเทศ เวลาส่งของออกต่างประเทศ จะต้องเสียภาษีไหม

    เขาบอกว่า เรื่องภาษีออก กับภาษีเข้านี่ไม่มี ขนของออกไปเท่าไร ไม่ต้องเสียภาษี เสียตามที่จำเป็นต้องเสีย ตามกฎธรรมดา แต่การเสียภาษีเพื่อเป็นการส่งออกไม่มี ก็ถามว่า แล้วภาษีเข้าล่ะ เขาก็บอก ไม่มีเหมือนกัน ฉะนั้นของในประเทศนี้ จึงมีราคาถูก ถามถึงค่าจ้างแรงงาน เขาบอกว่า ค่าจ้างแรงงานก็มีเป็นของธรรมดา มีเป็นเปอร์เซ็นต์

    การขนของทุกอย่างราคาเท่าไร ว่ากันมา เขาดูราคาแล้วคิดเปอร์เซ็นต์ ราคาค่าขนตั้งแต่เริ่มเข้าลาน จากลานบรรจุกล่อง จากกล่องก็บรรจุเรือ นำลงเรือทั้งหมด อย่างนี้ เก็บร้อยละหนึ่ง ก็ถามเขาว่า พอไหม เขาบอกว่า ไม่เห็นใครเขาบ่นนี่ เขายิ้มแย้มแจ่มใสกัน

    ก็รวมความว่า ประเทศนี้มีความสุขทุกอย่างเพราะอาศัยพระโมคคัลลาน์เป็นผู้นำ หลังจากนั้นก็ถามเขาว่า ถ้าจะต้องการไปเมืองหลวง จะพาไปได้ไหม เขาบอกว่า เมืองหลวงอยู่ใกล้ๆ การเคลื่อนไปจากที่นี่ด้วยยานพาหนะประเภทนี้ ไปเพียงแค่ 5 นาทีก็ถึง เขาก็ตอบว่า เวลาของท่านนะ ก็เลยตามใจ บอก ถ้าอย่างนั้นไป ไปเมืองหลวงกัน

    พอไปถึงเมืองหลวง เมืองหลวงมีความสวยสดงดงามจริงๆ มีตึกมีราม มีถนนหนทาง มีผู้คนแต่งตัวสวยสดงดงาม ผิวคนทุกคนจะเหมือนกันคือ เป็นคนเนื้อละเอียด ผิวเหลือง หน้าอิ่ม เนื้ออิ่มทั้งกาย เรียกว่า คนเนื้อเต็ม ทั้งหมด รูปร่างไม่เว้า ไม่แหว่ง ไม่นูน เหมือนอย่างพวกเรา คำว่า เว้าแหว่งหมายความว่า ผอมเกินไป บางจุดก็ลีบ บางจุดก็มีเนื้อ อย่างนี้ เว้า หรือแหว่ง และก็ไม่อ้วนเกินไป คนอ้วนเกินไปไม่มี ลักษณะสมส่วนทั้งหมด ถือว่าเป็นคนสวย ทั้งผู้หญิง ทั้งผู้ชาย ยิ่งไปกว่านั้น ก็สวยมากยิ่งขึ้นไป คือ เห็นหน้ากันก็ยิ้ม เขาเจอะหน้าพวกเขากันเอง ก็ยิ้ม เขาเห็นพวกเรา ก็ยิ้ม ก็รู้สึกว่า ไปที่นี่มีแต่ความสดชื่น

    ก็ไม่ขอชมบ้านเมืองให้ฟัง รถราไม่ติดเหมือนกรุงเทพฯเรา และเขาก็แพ้กรุงเทพฯเราอยู่อย่าง คือ รถไม่ติด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถนนนอกเมืองของเรา ยังมีรถมากกว่าของเขา แต่ที่เขานิยมใช้จริงๆคือ เครื่องร่อน เครื่องร่อน หรือ จานบิน ที่เราเรียกว่า จานบิน นั่นแหละ เป็นที่นิยมของเขา รถยนต์เขาไม่ค่อยนิยมกัน แต่รถยนต์เขาใช้ ถ้าไปสถานที่ใกล้ๆเขาใช้รถยนต์ ถ้าไปที่ไกลๆ เขาก็ใช้เครื่องร่อน

    ถ้าถามว่า เครื่องร่อน หรือรถยนต์มีทุกบ้านไหม
    ก็ตอบว่า เขานิยมไม่เหมือนกัน บางบ้านก็นิยมมีรถยนต์ บางบ้านก็นิยมมีเครื่องร่อน แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยนิยมมี เพราะใช้เครื่องร่อนของกลาง ราคาถูกกว่า คือ ค่าพาหนะก็ถูก มีความสะดวกสบาย รถยนต์ กับเครื่องร่อนในเมือง มีสถานที่จอดอยู่รวมกัน แบ่งซีกกัน ซีกนี้เป็นซีกของเครื่องร่อน ซีกนี้เป็นซีกของรถยนต์ เป็นรถยนต์รับจ้าง เครื่องร่อนรับจ้าง ให้ความสะดวกเสียค่าพาหนะไม่มาก

    จึงหันมาถามเขาว่า ที่นี่มีพระราชา หรือมีประธานาธิบดี เขาฟังแล้วก็เลย งง ทั้งสองอย่าง เขาบอกว่า ไม่รู้จักคำว่า พระราชา ไม่รู้จักคำว่า ประธานาธิบดี ก็ถามว่า ที่นี่ปกครองกันอย่างไร เขาบอกว่า มีพ่อเมือง ก็ถามว่า พ่อเมืองเป็นมาตามตระกูลรัชทายาทกัน หรือสืบต่อกันมาจากตระกูลต่างๆหรืออย่างไร หรือเลือกตั้ง เขาบอกว่า ไม่มีตระกูลเป็นรัชทายาท ไม่ใช่สืบต่อตามตระกูล แล้วก็ไม่มีเลือกตั้ง ไม่มีการเลือกตั้ง มีแต่การแต่งตั้ง

    ถามเขาว่า การแต่งตั้งเป็นอย่างไร เขาก็เลยบอกว่า จะต้องการคนที่มีคุณสมบัติสูงจริงๆ สมกับตำแหน่งพ่อเมือง คือ เป็นพ่อของคนทั้งประเทศ เอามาเป็นพ่อเมือง

    ก็ถามเขาว่า ลักษณะเลือกคนมาเป็นพ่อเมือง เขาทำอย่างไร เขาบอกว่า ทุกจุดจะต้องสังเกตคนไว้ สังเกตลักษณะของคน คนเกิดลักษณะนี้ เขามีตำราดู นี่โบราณแท้ๆเลยนะนี่ มีตำราดู คล้ายๆ ลักษณะของ ธิเบต ปัจจุบัน ก็หมายความว่า อดีต ใกล้ปัจจุบัน ปัจจุบันเวลานี้ธิเบตก็คงไม่ได้ใช้ หรือใช้ก็ไม่ทราบ

    เขาจะดูกันมาตั้งแต่เด็ก ดูลักษณะท่าทาง และดูความประพฤติ ดูความทรงธรรม และแต่ละหน่วยก็ตั้ง ต่างคนต่างมีไว้ เลือกคนไว้แต่ละจุด ในที่สุด เมื่อพ่อเมืองของบ้านเมืองนี้ต้องตายไป จากไป เขาก็นำคนทั้งหลายนั้นมาแข่งขันกันอีก คำว่า แข่งขัน ก็คือ รายงานลักษณะอาการ จริยา ความทรงธรรมของบุคคลคนนั้น แล้วมาไล่เบี้ยดูลักษณะให้ครบถ้วน ดูความประพฤติปฏิบัติให้ครบถ้วน ตามที่เขาต้องการ เขาก็เชิญท่านผู้นั้นขึ้นครองเมือง เรียกว่า พ่อเมือง คนทุกคนมีความเคารพ

    ก็ถามเขาว่า ถ้าใช้เวลา สมมุติว่าเวลาผ่านมา 2,000 ปีเศษ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าของเราอุบัติขึ้นมา จนบัดนี้ 2,000 ปีเศษ อยากจะทราบว่า เขามีพ่อเมืองกี่คน

    เขาก็ยิ้ม เขาก็บอกว่า ตั้งแต่เขาเกิดมา เพิ่งมีพ่อเมืองคนเดียว 2,000 ปีเศษนี่ มีพ่อเมืองคนเดียว แต่เขาบอกว่า เขามีอายุ 8,000 ปีเศษ เขาเพิ่งพบพ่อเมืองคนเดียว ก็ถามเขาว่า ทำไมคนอายุยืนนัก เขาก็ตอบว่า ที่นี่ต้องมีอายุ 12,000 ปี ของจักรวาลโลกชมพู จึงจะตายกัน ทุกคนต้องอยู่เต็มอายุขัย ทั้งนี้เพราะอาศัยพรหมวิหาร 4 กับกรรมบถ 10 คุ้มครอง

    แหม เขาช่างมีความสุขจริงๆ เหลือเวลานิดหน่อย ขอให้เขาพาไปสนามบิน เขาบอกว่า สนามบินระหว่างในประเทศ หรือต่างประเทศ หรือต่างโลก แหม ในประเทศเราก็เคยเห็น ต่างประเทศเราก็เคยเห็น แต่ต่างโลกนี่ไม่เคยเห็น ก็ถามว่า คนต่างโลกมาที่นี่ กี่โลก เขาบอกว่า ที่มาประจำจริงๆ คือ 3 โลก โลกทางทิศเบื้องซ้าย ถ้าหันหน้าไปทิศใต้
    อยู่ด้านซ้ายมือถึง 2 โลก และโลกอยู่ด้านหลัง คือ ทิศเหนืออีก 1 โลก

    ก็ถามว่าทั้ง 3 โลกนี้ลงสนามบินเดียวกันหรือ เขาก็ตอบว่า ลงคนละสนาม ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นขอไปชม แล้วในระหว่างทางก็ถามเขาว่า แต่ละสนามมีลักษณะท่าทางแตกต่างกันไหม เขาบอกว่า ไม่แตกต่างกัน เหมือนกันทั้งหมด ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ขอชมสนามเดียว เขาก็พาไปชม

    ในที่นั้นก็มีเครื่องบินในประเทศอยู่ด้วย ก็เพราะว่า มีทั้งเครื่องบิน มีทั้งเครื่องร่อน เครื่องร่อน คือ จานหมุนๆนั่นแหละ มีทั้งเครื่องบิน มีทั้งจานบินก็ได้ เอาอย่างนี้ดีกว่า ฟังง่ายดี ลักษณะมันเหมือนจาน เพื่อรอรับชาวต่างโลกที่มาลง แล้วเขาต้องการไปที่ไหน ก็พาไปที่นั่น ในขณะที่ไป ก็พบเครื่องร่อนมาจากต่างโลก แต่ว่าเครื่องร่อนหรือเครื่องบิน ลักษณะมันก็ไม่เหมือนกัน

    บางลักษณะมาจากโลกเดียวกัน คือ รูปร่างคล้ายๆ เรือเมล์ แต่มีมีปีกก็มี รูปร่างลักษณะคล้ายๆเครื่องบินของเราก็มี รูปร่างคล้ายๆกับจานบินก็มี และต่างคนต่างมี พอเครื่องร่อนนั่นลงปั๊บ รู้สึกว่าเรียบร้อยดีมาก เขาเปิดเครื่องขึ้นมา คนก็ลงมา การแต่งกายมีลักษณะคล้ายคลึงกัน จึงเข้าไปถามคนที่มาจากต่างโลก ถามว่า ท่านมาจากโลกไหน เขาก็ตอบให้ทราบว่า มาจากโลกนั้นๆ

    ตอนนี้ท่านผู้ฟัง หรือท่านผู้อ่านอาจจะคิดว่า รู้ภาษาเขาได้อย่างไร ก็ขอตอบว่า รู้ภาษาจากอารมณ์ คือ คิดว่าภาษาของเขาเป็นอย่างไร ให้เราฟังเข้าใจรู้เรื่องเหมือนภาษาของเรา แล้วภาษาที่เราพูดไป มันอาจจะไม่เหมือนภาษาของเขา แต่ตั้งใจคิดว่า ให้เขาฟังเข้าใจเหมือนภาษาของเขา ให้เขามีความรู้สึกว่า เราพูดภาษาของเขา เขาก็ตอบภาษาของเขามา เราก็ตอบภาษาของเราไป มันก็ลงตัวกันได้

    ในเมื่อทุกอย่างลงตัวกันได้ ก็ถามความเป็นมาของเขา เขาก็เล่าความเป็นมา ถามว่า การที่เขาเคลื่อนมาจากโลกของเขา ต้องใช้ระยะการบินกี่ชั่วโมง เขาถามว่า เป็นเวลาของโลกชมพูใช่ไหม ก็ตอบว่า ใช่ ที่ถามนั่นก็เป็นพวกที่มาจากโลกทิศตะวันออก เป็นโลกใหญ่ใกล้ๆหน่อย ไม่ไกลนัก แต่ก็ไกลกว่าจากโลกของเราไปดวงจันทร์ เขาก็บอกว่า การใช้เวลาเดินทางมาที่นี่ ถ้าใช้เวลาของโลกชมพู ก็ใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมง

    ก็ถามเขาว่า โลกของท่านจริงๆ อยากจะทราบว่า มันมีมืด มีสว่าง เหมือนกับโลกชมพูไหม เขาก็ตอบว่า โลกของเขาไม่มีมืด มีแต่สว่าง ถามเขาว่า เวลาการนอน การพักผ่อน จะมีไหม เขาบอกว่า มี แต่การพักผ่อนไม่เสมอกัน คนนี้นอนเวลานี้ ตื่นเวลานั้น คนนั้นนอนเวลานี้ ตื่นเวลานั้น ก็เรียกว่า ทั้งเมือง ทั้งบ้านจะมีคนตื่น และคนหลับอยู่ตลอดเวลา การงานที่เขาทำทั้งหมด จะไม่มีอะไรคั่งค้าง ฟังแล้วก็น่าปลื้มใจ นอนต่างเวลากัน ทำการงานต่างเวลากัน ของเขามีสว่างตลอด

    ก็ถามถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ เขาบอกว่าเขามีครบครัน อันนี้ไม่ต้องอธิบาย ก็รวมความว่า ที่นี่มีความสะดวก ไปต่างโลกก็ได้ คนละโลกก็พูดรู้เรื่องกัน หันไปดูเจ้าหน้าที่เขาทักทายปราศรัยกัน แบบกันเองทุกอย่าง พูดก็เหมือนกัน คล้ายๆกับว่า เขาจะมีภาษากลางของเขา แต่ถ้าเราฟังภาษากลางของเขาแล้ว มันเหมือนคล้ายๆภาษาญี่ปุ่น สั้นๆอีโละโก๊ะเก๊ะ เสียงหนักๆเหมือนกัน แต่ว่าก็ไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่น

    ในเมื่อชมจุดนี้แล้วก็ถามเจ้าหน้าที่ที่นำไป ถามว่า นอกจากพาหนะบนผิวดิน คือ รถยนต์ แล้วก็บนอากาศ คือ เครื่องบิน หรือเครื่องร่อน นอกจากนั้น พาหนะของท่าน มีที่ไหนบ้าง เขาบอกว่า นอกจากบนผิวดิน และนอกจากอากาศ ก็มีใต้ดิน ก็ถามว่า ในใต้ดิน มีหรือ เขาบอกว่า มี ถามว่า มีอะไร บอกว่า มีรถไฟ มีรถยนต์ มีเมืองใต้ดิน แต่ความจริงเรื่องนี้ไม่แปลก เพราะโลกชมพูเรามีอยู่แล้ว ใต้ดินหลายๆประเทศ อย่างประเทศอเมริกาก็มี ประเทศญี่ปุ่นก็มี หลายๆประเทศเขาก็มีรถไฟใต้ดิน มีรถยนต์ใต้ดินกัน มีสถานอาคารใต้ดิน เขาก็มีอยู่แล้ว ก็ไม่ใช่ของแปลก โลกเราก็มี โลกเขาก็มี

    แต่ว่าอยากจะถามเขาว่า เมืองใต้ดิน มันเป็นเมืองใหญ่ไหม เขาก็บอกว่า ใหญ่พอดู ถามว่า เส้นทางของเมืองใต้ดิน ใช้ความกว้างประมาณเท่าไร เอาเฉพาะเส้นทาง เขาบอกว่า เส้นทางเมืองใต้ดินมี คือ รถยนต์ใต้ดิน รถไฟใต้ดินก็ตาม เป็นเส้นทางเดิน ก็มีความกว้าง ถ้าจะเทียบกับของเราก็ประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นความกว้าง

    ถามเขาว่า ขุดหนาไหม เขาบอกว่า หนามาก ถามเขาว่า เวลาขุดทางมันผ่านภูเขา ผ่านหินไหม เขาบอกว่า ผ่าน ก็ถามว่า ทำได้อย่างไร เขาบอกว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของคนสร้างเครื่องจักร บริษัทสร้างเครื่องจักรเขามีความรู้ มีความสามารถ เขาสามารถทำได้

    เอาละท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟัง คุยกันไป คุยกันมา มองดูเวลาเหลือนาทีเศษๆ ก็ต้องขอลาก่อน เพราะจะหมดเวลา ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงค]สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี


    (จากหนังสืออ่านเล่น เล่ม 12 หน้า 38-49)


    29282.jpg
     
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,733
    หลวงพ่อศักดิสิทธิ์.0000000000000.jpg


    ดาวหลุมดำ ตอนที่ 7 ชมเมืองใต้ดินและศูนย์พระพุทธศาสนาบนดาวหลุมดำ


    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และท่านผู้อ่านทั้งหลาย ต่อนี้ไปก็มาพบกัน เรื่องของ ดาวถุงดำ ขอท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลายโปรดทราบ และจงอย่าลืมว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องนิทาน

    เรื่องจริงๆก็มีอยู่ว่า นักวิทยาศาสตร์ของฝรั่ง เขาส่องกล้องเห็นดาวถุงดำ ใช้ศัพท์ว่าอย่างนี้ ไอ้เจ้าดาวถุงดำนี้พฤติการณ์มีอยู่ว่า อะไรก็ตาม ถ้าเข้าไปใกล้มัน มันดูดเข้าไปหมด แม้แต่แสงต่างๆก็ดูดเข้าไป จนกระทั่งมองไม่เห็น เรื่องจริงๆมีแค่นี้ ต่อมาก็นำเอาเรื่องดาวถุงดำ มาตั้งต้นเป็นนิทาน เรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาแล้วก็ตาม ที่จะว่ากันต่อไปก็ตาม เป็นนิทานทั้งหมด และเรื่องของนิทานอาจจะพาดพิงธรรมะบ้างก็เป็นของธรรมดา

    ก็รวมความว่า ต่อนี้ไปก็มาฟังกัน หลังจากได้ติดตามท่านเจ้าของถิ่นไปชมสถานเมืองต่างๆ และยานพาหนะต่างๆ ตลอดจนกระทั่งยานไปโลกต่างๆด้วย ได้ชมยานพาหนะที่โลกต่างๆมาสู่โลกนี้ ความจริงฟังแล้วก็ครึ้มดี แต่ถ้าเป็นจริงตามนั้นจะดีมาก หลังจากนั้นก็ลงมาที่เกาะ ขอโทษยังไม่ถึงเกาะ ที่ชายมหาสมุทร ที่เมืองท่า ก็ให้ท่านเจ้าของถิ่นพาชมเมืองท่าต่างๆ ก็รวมความว่า ความเป็นมาทุกสิ่งทุกอย่างของเรากับของเขา คล้ายคลึงกัน แต่ว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกชมพูนี้เอง

    คนพูดก็ไม่รู้ทั้งหมดว่ามีอะไรมาบ้าง แต่เรื่องราวของวิทยาศาสตร์ เราต้องยอมรับ เป็นอันว่าเขามีการคล่องตัวทุกอย่าง ทั้งค้าและทั้งขาย ซื้อมาและค้าขาย คล่องตัวทั้งหมด สิ่งที่อยากจะทราบก็คือว่า ทางใต้ดิน ที่เรียกกันว่า อุโมงค์ หรือ เมืองใต้ดิน ที่เขาบอกว่า ของเขามีแต่ความจริงที่โลกชมพูนี่เราก็มี เท่าที่ทราบอย่างอเมริกาเขาก็มี อย่างญี่ปุ่นก็มี และมีหลายๆประเทศ

    มันก็เป็นของไม่แปลกสำหรับคนผู้ฟัง แต่สำหรับผู้พูดเอง ก็รู้สึกว่า แปลก เพราะไม่เคยไป เคยแต่ลงอุโมงค์ที่ฮ่องกง มันก็เป็นอุโมงค์ใต้น้ำเฉยๆ ก็เลยตามเขาไปดู ก็ปรากฏว่า ทางใต้ดินของเขา มีความกว้างประมาณ 4 กิโลเมตรจริง มันกว้างมาก ไม่ใช่ทางเฉพาะรถ รถก็มีสองทาง ทางไป และ ทางมา รถไม่สวนกัน เดินกันคนละทาง และก็เลนที่สำหรับใช้วิ่งรถก็หลายเลนด้วยกัน รถมีมาก แต่ว่าใต้ดินนี้ ถามเขาว่า ยานเหาะมีไหม เขาบอกว่า สถานที่มันต่ำ ยานเหาะไม่มี แต่ว่ารถของเขาก็ดี มีทั้งรถไฟ มีทั้งรถราง มีทั้งรถยนต์ แต่ก็ขาดรถเจ๊ก กับรถม้า ของเขาไม่มี ของเราเคยมี ทั้งสองข้างทางไม่เปลี่ยว มีบ้านเรือนโรง มีตึก มีห้องแถวเป็นแถวๆไป ก็มีคนมากบ้างน้อยบ้างไม่มากนัก แต่พอนั่งรถไปประมาณสัก 30 กิโลเมตร ก็จะเจอะเมืองใหญ่ๆในเมืองนี้

    ท่านเจ้าของถิ่นบอกว่า จะมีพลเมืองในเมืองนี้ประมาณ 2 แสนคน มันก็ไม่เล็ก คือว่าเขาขุดอุโมงค์ลึกออกไปข้าง ๆ ตั้งตึกแถวบ้านช่องเรือนโรง คนจริงๆที่อยู่รู้สึกว่า ทุกคนมีความสดชื่น หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ถ้าจะถามว่ามีอะไรบ้าง ถ้าบอกไป เมืองเราก็มีหมดแล้ว เพียงแต่บอกว่า ที่นี่เขามีตุ๊กตา ตุ๊กตาบ้านเราก็มี มีผู้ชายกับผู้หญิง
    ผู้ชายกับผู้หญิงบ้านเราก็มี แต่ก็ไม่ได้ถามเขาว่า เมืองนี้มีกระเทยหรือเปล่า และหลังจากนั้นก็จะถามเขาอีกว่า มีอะไรบ้าง ก็ไม่น่าแปลก ไม่น่าถาม

    แต่ว่าสิ่งที่ถามก็คือว่า เมืองนี้ขุดลงลึกใต้ดินประมาณเท่าไร เจ้าหน้าที่ที่นำไปเขาบอกว่า เขาก็ไม่ได้ถามช่างเหมือนกัน แต่รู้สึกว่ามันลึกมาก ถามเขาว่า เวลานี้อยู่ใต้ระดับน้ำทะเลไหม เขาบอกว่า ไม่ใช่ใต้ระดับน้ำทะเล ใต้ท้องทะเลลึก ลึกกว่าท้องทะเลลงไปอีก ทางเส้นนี้ทั้งหมดลอดมหาสมุทร ลอดใต้เมืองพื้นแผ่นดินด้วย แล้วก็ลอดมหาสมุทรด้วย ไปตามเมืองเกาะกลางน้ำต่างๆซึ่งมีหลายเมือง

    ก็ถามเขาว่า เมืองทั้งหลายเหล่านั้น มันเป็นเมืองขึ้น หรือเปล่า เขาบอกว่า เปล่า ไม่ใช่ เป็นเอกราช เขาเป็นเมืองปกครองกันเอง ก็เลยบอกเขา บอกว่า อยากจะไปในเมืองนั้น เขาบอก ไปได้ จะนำไป แล้วก็นั่งรถไป ชมทิวทัศน์ทั้งสองข้างอย่างสะดวกสบายมีความสุข พอไปถึงบริเวณอีกเมืองเมืองหนึ่ง ใต้บาดาล เมืองนี้ไม่โตนัก เป็นเมืองเล็กๆ เขาบอกว่ามีพลเมืองประมาณ 2 หมื่นคน เขาบอกว่า ที่เมืองเมืองนี้แหละ เป็นทาง มีทางขึ้นเมืองในเกาะในทะเล เมืองที่อยู่กลางมหาสมุทร หรืออยู่กลางทะเล เหมือนกับประเทศญี่ปุ่น หรือฟิลิปปินส์ แบบนี้แหละ แต่ก็มีทางขึ้นบก

    ก็บอกเขา บอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็อยากจะขึ้นบก เขาก็นำวิ่งรถไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าความเป็นเนินขึ้นทีละน้อยๆขึ้นสะดวกมาก ลาดชันน้อยๆ ถ้าไม่สังเกตจะไม่รู้สึก สักประเดี๋ยวหนึ่งก็ปรากฏว่าขึ้นเหนือพื้นแผ่นดิน ก็ปรากฏว่า ไอ้ที่ตรงนั้นเป็นเมืองเกาะ มีเกาะน้ำล้อมรอบ แต่ไม่ใช่เกาะเล็กๆ ที่ทราบว่าเป็นเกาะน้ำล้อมรอบก็เพราะว่า ขึ้นชายเกาะ เห็นน้ำเป็นแนวไกล แต่ว่าถ้าจะมองตัดผ่าศูนย์กลางให้ดูด้านเกาะทางโน้นไม่เห็นกันแน่ มันไกลมาก

    ถามเขาว่า เกาะนี้มีเนื้อที่กี่ตารางกิโลเมตร เขาบอกว่ามีเนื้อที่ประมาณ 2 แสนตารางกิโลเมตร ก็เป็นเมืองใหญ่มาก ก็เป็นประเทศประเทศหนึ่ง และก็ถามเขาบอกว่า
    ถ้าหากว่าเมืองนี้อยู่กลางเกาะ ลมพายุหนักๆจะมีไหม เขาก็บอกว่า เรื่องทะเลก็ดี มหาสมุทรก็ดี การที่มีลมพายุหนักๆมันเป็นของธรรมดา ก็ถามเขาบอกว่า ถ้าหากว่า ลมพายุหนักๆเข้ามา เมืองนี้มันไม่กลายเป็นเมืองใต้น้ำหรือ เขาก็บอกว่า ประเทศนี้เป็นประเทศที่เขาอยู่กลางทะเลมาเป็นประจำ เขามีการป้องกันกระแสน้ำไม่ให้มีกำลังแรงนักเมื่อขึ้นไปบนเกาะของเขา แล้วผู้นำเขาก็พาไปชายทะเล ไปไกลห่างกันประมาณ 3 กิโลเมตร

    ก็เห็นกำแพงสูงตระหง่าน กำแพงมีความสูงมาก ก็ลืมไป ไม่ได้ถามเขาว่า กำแพงที่เห็น มันสูงกี่เมตรกันแน่ มันสูงกว่าศีรษะหลาย ๆ เท่า เป็นกำแพงกั้นรอบ ๆ เท่าที่ตาเห็น เป็นกำแพงกั้นรอบชายน้ำทั้งหมด เขาจึงพาเข้าไปทางประตูที่ออก พอถึงทางออก ก็มีทางออกใหญ่ ที่เรียกว่า รถขนาด 5-6 คันเรียงเข้าไปยังไม่เต็มทาง เมื่อออกทางนั้นแล้ว ก็ไปสักครู่หนึ่งก็ไปเจอะกำแพงอีกด้านหนึ่ง อีกชั้นหนึ่ง หรืออีกตอนหนึ่ง เป็นกำแพงกั้นตรง เลี้ยวซ้ายไปนิดหนึ่ง เดินไปสักครู่หนึ่ง ก็ไปเจอะประตูทางออกต่อไป เมื่อเดินตรงไปแล้ว ก็ไปเจอะกำแพงอีกชั้นหนึ่ง เป็นกำแพงสูงเหมือนกัน

    ถามเขาบอกว่า กำแพงนี้เขาทำไว้ทำไม ผู้นำก็บอกว่า กำแพงนี่ชาวเกาะเขามีความฉลาด คลื่นลมตามธรรมดา ถ้าธรรมดาๆแล้วเขาไม่กลัวกัน แต่ก็เป็นธรรมดาอยู่เอง คลื่นลมที่มีความแรงมากมีอยู่ แต่คลื่นลมจะแรงมาก จะขนาดไหนก็ตาม จะทำลายบ้านเรือนเขาไม่ได้ เพราะว่าเขาชินต่อการป้องกัน แต่ทว่ากระแสน้ำอาจจะตีขึ้นเกาะเขาได้ ฉะนั้นเขาจึงหาทางป้องกันกระแสน้ำ

    อย่างกำแพงชั้นแรกชายทะเลนี่ เมื่อน้ำกระแทกเข้ามาแล้ว น้ำส่วนที่กระแทกกำแพงจะต้องสะท้อนกลับไปมหาสมุทร ส่วนที่เหนือขึ้นไปนั้น เหนือกำแพงขึ้นไป ก็จะตกลงในช่วงช่องของกำแพง ถ้าคลื่นมาอีกก็เป็นแบบนี้ จะทำให้กระแสน้ำมีกำลังอ่อน ก่อนที่ไหลเข้าเกาะ การจะไหลเข้า ก็ไหลลำบาก เพราะช่องไม่ตรงกัน มันเยื้องกัน กระแสน้ำที่ไหลเข้าไปแล้ว และตกแล้ว ก็ไหลออกมหาสมุทร เขาทำแบบนี้ เขาบอกว่า เป็นการป้องกันแผ่นดินเขาเปียกน้ำได้ดีมาก คือว่า น้ำจะไม่เข้าถึงแผ่นดินใหญ่ ถ้าเข้าถึงบ้าง ก็มีเล็กน้อย มีแต่กระแสน้ำฝน กระแสน้ำของคลื่นจริงๆ ไม่สามารถจะเข้าถึง เพราะกำลังของคลื่นจะตกลงในระหว่างกำแพงที่เขากั้นไว้

    มองดูเขาก็ชื่นใจในความฉลาดแต่ความจริง เรื่องความฉลาดอย่างนี้ก็ถือว่า ไม่ใช่ความฉลาดเป็นพิเศษ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าคนทุกคนย่อมคิดได้ คนทุกคนสามารถจะสั่งการได้ แต่ทุนทรัพย์ที่จะพึงทำมันไม่มี หลังจากนั้นก็ชวนเขาเข้าไปในเขตตลาด เข้าไปในเมือง เข้าไปในเมืองก็มีสภาพเช่นเดียวกัน มีของทุกอย่างพร้อมมูลบริบูรณ์ทั้งหมด คนก็รูปร่างลักษณะหน้าตาคล้ายคลึงกันทั้งบนบก และในทะเล คล้ายคลึงกันมาก ไม่แตกต่างกัน อย่างคนไทย กับฟิลิปปินส์ ก็มองยากเหมือนกัน คล้ายคลึงกันมาก คนของเขาก็มีสภาพแบบนี้ ไม่เหมือนเช่นเรากับญี่ปุ่น ของเราพอถึงญี่ปุ่นแตกต่างไปเยอะแล้ว พอเข้าไปอินโดนีเซีย ก็รู้สึกว่าแตกต่างกันมาก สังเกตง่าย แต่คนไทยกับฟิลิปปินส์สังเกตยาก เว้นไว้แต่พูด ถ้าไม่พูด จะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร สังเกตกันยาก

    ข้อนี้ฉันใด เมืองของเขาเมืองนี้ กับเมืองบนบกที่ผ่านมาแล้ว ก็มีสภาพเช่นเดียวกัน ในเมื่อเขาชวนเดินไปบ้าง นั่งรถไปบ้าง ชมตลาดของเขา ก็ไม่หนาแน่นเหมือนของเรา คนไม่มากเท่าเรา แต่สิ่งของที่ส่งมาทางเรือก็มีมาก โดยมากที่มาจากบนบกมักจะเป็นพืชไร่และของป่า แต่ของที่ชาวเกาะส่งไปขายบนบก เป็นของที่ประดิษฐ์ขึ้นทางด้านวิทยาศาสตร์เป็นส่วนใหญ่

    ก็รวมความว่าก็เป็นของธรรมดาอีก จึงเดินเข้าไปในจุดๆ หนึ่ง ในที่นั้นมีสถานที่แปลก ที่ว่าแปลกก็เพราะว่าเป็นตึกไม่สูงเท่าตึกอื่น ตึกเขาสร้างสูงๆ กว้างขวางใหญ่โต สวยสดงดงามมาก มีแสงสว่างแพรวพราวไปด้วยไฟฟ้า เครื่องไฟฟ้าไม่ต้องห่วง ของเขาดีแน่ แต่ว่าสิ่งที่น่าแปลกก็คือว่า สถานที่นั้นสร้างไม่เหมือนบ้านทุกหลังที่มีอยู่ ที่เคยเห็นมา มียอดแหลมๆ และก็มีหลังคาคล้ายๆ กับช่อฟ้า มีทรงแปลกๆ รู้สึกว่าสวยสะดุดตา

    จึงถามเขาว่า สถานที่นั้นเป็นอะไร เขาบอกว่า ที่ตรงนั้นเป็น ศูนย์ศึกษาพระศาสนา ก็ถามเขาว่า ศาสนาที่เขานับถือ เป็นศาสนาอะไร เขาบอก เรื่องศาสนาที่นี่ไม่บังคับกัน ใครจะนับถืออะไรก็ได้ แต่ว่าทุกคนต้องปฏิบัติให้เหมือนกันหมด นั่นคือ พรหมวิหาร 4 และกรรมบถ 10 อันนี้ต้องเหมือนกันทุกคนในประเทศนี้ และทุกๆประเทศ เรียกว่า ในโลกนี้ต้องปฏิบัติเหมือนกันหมด นอกจากนั้นคำสอนของท่านผู้ใด จะสอนไปแบบไหนก็ช่างเถิด แต่ว่าจะละเมิดพรหมวิหาร 4 กับกรรมบถ 10 ไม่ได้

    ก็ถามเขาว่านั่นเป็นเรื่องทั่วๆไป แต่ศาสนาจริงๆที่ยอมรับนับถือกันส่วนใหญ่ เขาบอกว่า นั่นก็คือ พระพุทธศาสนา

    ก็ถามเขาว่าพระพุทธศาสนายอมรับนับถือกันมาตั้งแต่เมื่อไร เขาบอกว่า บรรพบุรุษบอกมาว่า นับถือพุทธศาสนากันจริงจังเมื่อ 2,500 ปีเศษ นับอายุ หรือนับปี ในจักรวาลของโลกชมพู แต่จักรวาลของโลกเขา เขาไม่ได้บอก แต่คนของเขาจริงๆ ถ้านับอายุในโลกชมพูแล้วจะมีอายุถึง 12,000 ปีเป็นอายุขัย ฉะนั้นเวลานี้ คนที่นำทางเขานับอายุในโลกของเราได้ 8,000 ปี ในเมื่อเขามีอายุตั้ง 8,000 ปี เขาก็ต้องพบพระพุทธศาสนาแน่ เลยถามเขาบอกว่า พระที่มาเทศน์ส่วนใหญ่เป็นใคร เขาบอกว่า ในสมัยนั้นจริงๆ ส่วนใหญ่เป็น พระโมคคัลลาน์

    แล้วก็ถามว่าพระองค์อื่นมาบ้างไหม เขาก็บอกว่า มา ถามว่า การมาของท่าน ท่านมาอย่างไร เขาบอกว่า ท่านก็ลอยมาแบบนี้แหละ เป็นพระที่ลอยได้ ก็บอกกับเขาว่า เวลานี้ พระโมคคัลลาน์นิพพานไปแล้ว เขาทราบไหม
    เขาบอกว่า เขาทราบ ก็ถามว่า พระอรหันต์รุ่นนั้นก็นิพพานไปมากมาย เขาทราบไหม เขาบอกว่า เขาทราบ ถามเขาว่า เขารู้จักพระพุทธเจ้าไหม เขาบอกว่า เขารู้จัก ถามว่า เคยเห็นตัวไหม เขาบอกว่า เขาไม่เคยเห็นตัว ไม่เคยเห็นว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร เอาตัวจริงๆกัน

    แต่พระโมคคัลลาน์เคยทำปาฏิหาริย์ให้เห็น ให้เห็นพระพุทธเจ้ามีรูปร่างลักษณะสวยสดงดงามมาก ก็ถามเขาว่า เวลานี้พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านนิพพานไปแล้ว ยังจะมีพระอะไรมาสอนบ้างไหม เขาก็บอกว่า มี ถามเขาว่า ท่านมาบ่อยๆหรือนานๆมาครั้ง เขาบอกว่า ถ้าจะนับเวลาในโลกชมพูกันจริงๆก็จะประมาณ 3 เดือน มีมาครั้งหนึ่ง

    ก็ถามเขาว่า 3 เดือน ท่านมาครั้งหนึ่ง รู้สึกว่านานไปไหม เขาก็ตอบว่า ไม่นาน เพราะคำสอนของท่านแต่ละอย่าง ท่านสอนไว้แม้จะน้อย แต่ว่าเราก็ปฏิบัติกันไม่ค่อยได้ ถ้าจะใช้คำว่า นาน ก็หมายความว่า ปฏิบัติได้แล้วนานแล้ว ท่านไม่มาต่อให้ อันนี้ควรจะว่านาน และความรู้ความปฏิบัติ ที่ท่านสอนพวกเรา พวกเราปฏิบัติไม่ค่อยจะถึงท่าน

    จึงถามเขาว่า ในเมื่อทุกคนที่นี่ตั้งอยู่ในพรหมวิหาร 4 และในกรรมบถ 10 และคำสอนของพระโมคคัลลาน์ ท่านสอนอย่างไรต่อไปอีก เขาบอกว่า ท่านก็แนะนำให้ละสังโยชน์ สังโยชน์มี 10 อย่าง ถ้าพูดไปแล้วก็เหมือนของเรา ก็บอกว่า การละสังโยชน์ 10 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 เบื้องต้น ท่านทำได้ไหม เขาบอกว่า เขาทำได้ แต่มันไม่หมด การทรงตัวยังไม่แน่แท้นัก

    ก็ถามว่า ข้อไหนที่ถือว่ายากที่สุด เขาบอกว่า ทุกข้อไม่ยาก แต่ก็ไม่มีความมั่นใจว่าทำได้จริงๆ อันนี้เขาไม่ประมาทจริงๆ ก็เลยบอกว่า ในเมื่อโลกนี้ทั้งโลกบังคับว่า ต้องปฏิบัติใน พรหมวิหาร 4 และ กรรมบถ 10 ในเมื่อสองอย่างนี้ครบถ้วน ทุกคนก็เป็นพระโสดาบัน กับสกิทาคามีได้แล้ว คือว่า ทุกคนยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ และถ้าปฏิบัติใน ศีล และกรรมบถ 10 ได้ครบถ้วนก็เป็นพระอริยะเบื้องต้น คือ พระโสดาบัน หรือสกิทาคามี

    เขาบอกว่า ถ้า 2 อย่างนี่ไม่หนัก แต่มันหนักอีกอย่างหนึ่ง ถามว่า หนักอะไร เขาก็ตอบว่า หนักในการเห็นตัวทุกข์ คนโลกนี้จริงๆ ไม่ค่อยจะเห็นทุกข์ ทุกอย่างมันสุขหมด จะกินเมื่อไร ก็มีกิน จะนอนเมื่อไรก็ได้ อันตรายต่างๆก็ไม่มี การระมัดระวังต่างๆก็ไม่มี การเดินไปเดินมา จะหาคนฉกกระเป๋าแบบโลกชมพู ก็ไม่มี นอนหลับ ตื่นขึ้นมาของหายแบบโลกชมพูก็ไม่มี นั่งอยู่ดีๆถูกจี้เอาเงินเอาทองไปแบบโลกชมพู ก็ไม่มี นี่เขาสรรเสริญโลกชมพูเรานะ

    เป็นอันว่า โลกชมพูเรา เขาสรรเสริญมากว่า นักจี้ก็มี นักปล้นก็มี นักล้วงกระเป๋าก็มี มีทุกอย่าง เขาบอกว่า ยิ่งไปกว่านั้น โลกชมพู ยังมีความรู้พิเศษ คือ ความรู้บวก คำว่า บวก หมายถึงว่า หากำไรของอย่างนี้ ซื้อมาเท่านี้ บอกราคาเท่าโน้น แล้วขายเท่าโน้นต่อไปอีก ของซื้อมาหนึ่งบาท บอกว่า หกสลึง ขาย สองบาท ในขณะที่บอกราคานี้เป็นกำไรในตัว อย่างนี้เขาเรียกว่า บวก อย่างนี้โลกชมพูก็มี แต่ว่าชินโลกนี้ไม่มี พอเขาพูดให้ฟัง ก็มีความเข้าใจว่า คนโลกนี้ไม่เข้าใจในทุกข์

    และเขาก็พูดต่อไปว่า ข้อหนึ่งของสังโยชน์ นั่นคือ สักกายทิฐิ ที่พระโมคคัลลาน์สอนให้เห็นว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา คือ เรา กับ ร่างกาย แยกกันออกไป ร่างกาย ถ้ามันตายแล้ว เราไม่ตาย เรามีความดี คือ บุญ ทำไว้ ไปสวรรค์บ้าง ไปพรหมโลกบ้าง ไปนิพพานบ้าง ถ้าเรามีความชั่ว มีบาป เช่น ปาณาติบาต เป็นต้น ก็ไปเกิดเป็น เปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง ลงนรกไปบ้าง และให้ถือว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง ความตายจะมาถึงเราเมื่อไรก็ได้ อย่างนี้คนโลกนี้ไม่เข้าใจ

    ก็ถามเขาว่า ทำไมถึงไม่เข้าใจ เขาก็บอกว่า คนโลกนี้จริงๆจะต้องมีอายุ 12,000 ปีเต็มทุกคนจึงตาย ในเมื่ออายุไม่ถึง 12,000 ปีมันไม่ตาย จะถือว่า ความตายจะเข้าถึงเราเมื่อไรก็ได้ มันก็นึกไม่ออก นึกได้แต่เพียงว่า เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็มีความตายในที่สุด แต่ก็มองไม่เห็นทุกข์ คิดว่า ถ้าเราเกิดมาเป็นคนต่อไปอีก เราก็มีความสุขอย่างนี้ เวลานี้มีความสุข เราไม่มีรถใช้ เราก็โดยสารรถได้ ราคารถก็ไม่แพง เราไม่มีเครื่องบินใช้ เราก็โดยสารเครื่องบินได้ จะไปเมื่อไรก็ได้ เครื่องบินมีเยอะ
    ค่าพาหนะก็ถูก คือว่า ประเทศนี้ไม่ได้ใช้น้ำมัน

    ก็รวมความว่า คุยกันไป คุยกันมา เวลามันก็มาก คนฟังรำคาญหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เมื่อสรุปแล้ว คนโลกนี้คิดว่า พระโสดาบันเป็นของยาก และยากข้อเดียว คือ สักกายทิฐิ ก็น่าเห็นใจเขา แต่ความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ เขามีจริง

    หลังจากนั้นก็ชวน บอกว่าถ้าอย่างนั้น อาคารหลังนี้ เป็นอาคารสอนศาสนาใช่ไหม เขาบอกว่า ใช่ ถามเขาว่า เวลานี้มีพระมาไหม เขาแลเห็นธงสีเหลืองยกขึ้น เขาบอกว่า เวลานี้พระกำลังเทศน์แล้ว ก็บอกเขาว่า ถ้าอย่างนั้นต้องขออภัยที่รบกวนท่าน ทำให้ท่านไม่มีโอกาสได้ฟังเทศน์ เขาก็เลยบอกว่า ไม่เป็นไร ที่นี่เป็นเมืองเกาะสำหรับเขา เขาฟังมาแล้วจากเมืองบนพื้นดิน พระท่านเทศน์ที่โน่น แล้วก็มาเทศน์ที่เมืองบนเกาะนี้ ก็ถามเขาว่า เวลาที่พระเทศน์ เราจะเข้าไปได้ไหม เขาบอกว่า พระท่านเทศน์ ความจริง ท่านไม่ได้พูดคนเดียว ท่านพูดกับคนเป็นแบบสนทนากัน เรียกว่า เทศน์ ท่านถามถึงความเข้าใจในเรื่องที่ท่านพูดไหม อย่างนี้เข้าใจไหม อย่างนั้นเข้าใจไหม เรียกว่า รู้เรื่องกัน เราเข้าไปได้ มาถึงเมื่อไร ก็ฟังเทศน์ได้ คุยเทศน์ได้ คำว่า คุยเทศน์ ก็หมายความว่า เราถามได้ จึงชวนเขาให้เขานำเข้าไปในสถานที่สอนศาสนา

    พอเข้าไปในสถานที่นั้น ก็ปรากฏว่าที่บริเวณกว้างขวางจริงๆ ตึกด้านหน้าที่มองเห็นด้านหน้าเป็นมุข แสดงว่า ที่นี่เป็นที่สอนศาสนา แต่เข้าไปข้างใน เป็นตึกใหญ่มาก บริเวณกว้างขวางมาก มีแสงสว่าง มีความเย็นดีมาก และเครื่องขยายเสียงเขา ก็ดีมากจริงๆ ใครจะพูดเมื่อไร ก็ได้ยินกันทั่วเมื่อนั้น ไมโครโฟนเขาก็ไม่ต้องตั้งให้ชูสูง อย่างไมโครโฟนของเรา อย่างที่คนพูดนี่ ไมโครโฟนตั้งสูง ของเขามองไม่เห็น อยู่กับพื้น นั่งโต๊ะปุ๊บเป็นพบไมโครโฟน คือ ช่องเล็กๆ และก็พูดได้ทันที ใครพูดขึ้นมา คนอื่นได้ยินหมด

    เมื่อเข้าไปในที่นั้นเจอะพระ ท่านกำลังนั่งอยู่บนธรรมาสน์งามสง่ามาก องค์โตกว่าคนธรรมดามาก ใหญ่มาก ก็ทราบได้ทันทีว่า การแสดงองค์แบบนั้น ต้องเป็นการแสดงปาฏิหาริย์ ก็ถามคนที่เขานำว่า องค์นี้พระอะไร เขาบอกว่า องค์นี้คือ พระโมคคัลลาน์ ที่ท่านบอกว่า พระโมคคัลลาน์นิพพานแล้วสำหรับโลกโน้น แต่โลกนี้ พระโมคคัลลาน์ไม่เคยนิพพาน ท่านมาตามเวลาของท่าน

    จริงๆองค์ใหญ่ขนาดนี้ คนในพื้นพิภพนี้ทั้งหมด เรียกว่า โลกนี้ทั้งหมด เขาเรียกองค์นี้ว่าเป็น พระใหญ่ ที่บางคนในโลกชมพู เขามีคนมาแล้วนะ ไม่ใช่มีแต่เฉพาะคณะของท่าน เขามีคนมาแล้ว เขาเคยถามว่า โลกนี้มีพระพุทธศาสนาไหม ก็บอกเขาว่า มี เขาถามว่า พระอะไรมาสอน ก็บอกเขาไปว่า ส่วนใหญ่ พระองค์ใหญ่มาสอน คำว่า พระองค์ใหญ่ ก็หมายถึง พระโมคคัลลาน์ เวลานั้น ท่านกำลังเทศน์ เข้าไปด้านนั้น รู้สึกว่า ท่านหันมาข้างหน้า แต่คนนั่งทุกๆด้านก็มีความรู้สึกว่า นั่งข้างหน้าท่านทั้งหมด อันนี้เป็นปาฏิหาริย์ใหญ่ ตามบาลีบอกว่า อาการอย่างนี้จะแสดงได้เฉพาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่นั่นก็หมายความว่า ทุกองค์ยังมีชีวิตเป็นมนุษย์อยู่ เวลานี้อัครสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู คือ พระโมคคัลลาน์ ท่านนิพพานไปแล้ว

    คำว่า นิพพาน แปลว่า สูญ เมื่อวันที่ 16 เด็กนักเรียนสตรีวิทยามาปฏิบัติกรรมฐานที่วัดท่าซุง เธอถามว่า นิพพาน เขาบอกว่า สูญ ใช่ไหม ก็ตอบว่า เขาแปลกันว่า สูญ เธอก็ถามว่า สูญ หมายถึง สลายไปเลย หายไปเลยใช่ไหม ก็ตอบว่า ใช่ เธอก็ถามว่า เวลาปฏิบัติกรรมฐานจริงๆ ทำไมจึงมีความรู้สึกสัมผัส นี่เป็นอันว่า เด็กนักเรียนเธอบอกว่า นิพพาน มีความรู้สึกสัมผัส สัมผัสรู้ว่านี่เป็นนิพพาน จะพูดกันง่ายๆ ก็หมายความว่า นิพพานที่เธอสัมผัสมีตัวมีตน

    ก็เลยบอกกับเธอว่า นิพพานก็ดี สวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี เป็นต้น เขาเรียกว่า นามธรรม แต่สิ่งที่ประสบของเธอ เป็นรูปขึ้นมา เขาเรียกว่า รูปในนาม คือ ส่วนที่เป็นนาม ก็มีรูปของนาม เราไม่สามารถเห็นได้ด้วย ตาเนื้อ ก็ต้องใช้กำลังจิตสัมผัส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องกล่าวว่า ต้องใช้กำลังทิพจักขุญาณสัมผัส ใช้ตาเนื้อไม่ได้ ต้องใช้ตาใจ คือใจเป็นทิพย์

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท มองดูเวลาเหลือนาทีเศษๆ ก็จะหมดเวลาแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์ พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี

    (จากหนังสืออ่านเล่น เล่ม 12 หน้า50-62)


    13395.jpg
     
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,733
    oHJRl7jzIP9nKya7xZM40QzuW24ZsjS85B7Jovk4ricrzZpJ05Z-um-gOa4w9qB8.jpg
    ดาวหลุมดำ ตอนที่ 8 (ตอนจบ) สถานที่เที่ยวบนดาวหลุมดำ



    ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย มาตอนนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่อง เมืองชินโลก หรือโลกถุงดำ หรือดวงดาวถุงดำ กันต่อไป ก็ขอท่านผู้อ่านก็ดี ท่านผู้ฟังก็ดีอย่าลืมว่าเป็นนิทาน แต่ว่านิทานพระพูดก็มีธัมมธัมโมที่น่ารำคาญผสมอยู่ด้วยเป็นของธรรมดา เพราะว่าสถานีวิทยุเขาถือว่า วันนี้เป็นรายการธรรมะ ก็ว่ากันเรื่อยๆไป เป็นธรรมบ้างหรือเป็นอะไรบ้าง ก็ตามเรื่อง เป็นนิทานบ้าง เป็นธรรมะไปบ้าง แต่ว่าตอนท้ายๆธรรมะจะมากหน่อย เพราะเรื่องของโลกนี้มันหมด ถ้าคุยกันไปก็มีแต่เรื่องซ้ำๆเรื่องของคน

    แต่ก็มีจุดๆหนึ่งเป็นของที่โลกเราก็มี นั่นคือ เรือนกระจกในน้ำ ในมหาสมุทร เขาก็มีทางลงจากบก เหมือนกับอุโมงค์รถลอด อุโมงค์จากนี่ไปโน่นนั่นแหละ เหมือนกับที่ฮ่องกง คือ ลอดจากอีกฝั่งหนึ่ง ไปฝั่งหนึ่ง ลอดมหาสมุทรไปลงไปในน้ำ ไปถึงเรือนกระจก เรือนกระจกเขาสวยสดงดงามมาก มีไฟฟ้าสว่าง มีแสงสว่างมาก มีเครื่องยิง เครื่องยิงให้ปลา คือ ไม่ใช่ยิงปลา เครื่องยิงอาหารให้ปลา ไปชมปลาต่างๆ มีความสวยสดงดงาม มีสีหลากๆ กัน ปลา กับ คน ไม่เป็นศัตรูกัน เพราะคนไม่กินปลา ปลาก็เลยไม่กลัวคน

    ก็มีสถานที่บางจุด ถ้าคนจะออกไปว่ายน้ำเล่น ก็มีเครื่องประดาน้ำสำหรับหายใจได้ เพราะมันใต้ส่วนลึกของมหาสมุทร เขาก็มีเครื่องยิง ยิงปุ๊บไป เหมือนกับทหารเรือยิงตอร์ปิโด แต่ว่ายิงไปแล้ว ขากลับก็เข้ามาถึงจุดที่เข้า ก็ดูดเข้ามา อันนี้เป็นของไม่ยาก โลกนี้ก็ทำได้ โลกโน้นก็ทำได้

    แต่ว่าที่น่าแปลกใจก็คือ คนพูดไม่เคยลงเรือนกระจกในโลกนี้ แต่ก็ไปลงเรือนกระจกในโลกนั้น เรือนกระจกของเขามีมาก จากเรือนนี้แล้ว ถ้าจะไปเรือนโน้นก็มีอุโมงค์ไป เป็นทางไป ก็มียานสำหรับเป็นพาหนะ เป็นรถย่อมๆวิ่งไปได้ แล้วไปถึงเรือนโน้น แล้วก็ไปถึงเรือนโน้น เรื่องอาหารการบริโภคไม่ต้องห่วง เขามีพร้อม ระบบอากาศหายใจเขาก็ดี ไม่เห็นมีอะไร เข้าไปในเรือนกระจกก็ไม่ต้องใส่หน้ากากให้มีออกซิเจน ไม่มีอะไรทั้งนั้น เดินกันแบบสบายๆเพลิดเพลิน จะพรรณนาความสวยสดงดงาม ดีไม่ดีปลาในโลกชมพูเราอาจจะสวยกว่า เพราะว่า ก็ไม่รู้จักปลาทุกประเภท

    ถ้าจะถามว่า เห็นปลาทำอันตรายกันไหม ก็ขอตอบว่า เห็น เพราะปลาไม่มีพระเทศน์สอนให้ปลาไม่ทำอันตรายกัน ก็มีปลาทำอันตรายกันก็มีให้เห็นบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก ส่วนใหญ่ก็เป็นปลามาล้อมรอบเรือนกระจก รับอาหาร คนที่ไปทุกคน ต่างคนต่างก็ซื้ออาหารให้กับปลา ใส่เครื่องยิง ยิงไปแล้ว อาหารก็พุ่งออกไป กระจายออกปลาก็แย่งกันกินตามระเบียบของปลา

    จุดนี้จริงๆแล้วก็ไม่มีอะไร ถามเขาว่า เรือนกระจกยังมีอีกมากไหม ยังเห็นมีทางต่อไป เขาบอกว่า มีมาก เพราะเมืองในมหาสมุทรเขาได้เปรียบ เขาไม่เก็บค่าผ่านประตูเข้ามาชมเรือนกระจก ค่าพาหนะที่จะมาส่ง เขาก็ไม่เก็บ แต่ว่าเขาขายอาหารที่ให้กับปลา คนจะเลี้ยงปลา ต้องซื้ออาหารจากเขา และอาหารที่ซื้อก็รู้สึกว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับโลกเรา มันต่างกันเยอะ ราคาของเขาถูกมาก เพราะความเป็นอยู่เขาดี รัฐบาลเขาก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องเก็บภาษีให้มาก เพราะบรรดาข้าราชการทั้งหมด ข้าราชการเขาก็มีไม่มาก อย่างของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตำรวจอย่างเดียว ก็เข้าไปเป็นแสนแล้ว ต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่อบุคคลสูง เฉพาะเงินเดือนกับเบี้ยเลี้ยง ก็ยังแถมค่าพาหนะ ค่าโรงแรม ค่าห้องพักอีก นอกจากนั้นเครื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ต้องมาก ก็ต้องจ่ายสตางค์ แล้วยานพาหนะก็ต้องใช้ ต้องใช้เยอะ

    ของเขาก็มียานพาหนะเหมือนกัน แต่ว่ายานพาหนะของเขาไม่เปลืองสตางค์ เพราะเขาไม่ได้ใช้น้ำมัน เขาใช้รังสีของแร่ จะถามเขาว่า แร่อะไร เขาก็ไม่ได้บอก ก็ไม่ได้ถาม ไม่ได้ซัก เพราะเห็นว่า โลกเราใช้ยูเรเนียมเป็นกำลังขับเคลื่อนกันอยู่แล้ว ของเขาอาจจะมีเหมือนเรา เราอาจจะมีเหมือนเขาก็ได้ ก็รวมความว่า ไม่ได้ซักถาม และจุดนี้อีกจุดหนึ่งเป็นสิ่งที่น่าเที่ยว หลังจากนั้นก็กลับ

    เมื่อกลับขึ้นมาบนบกแล้ว ก็ชวนคนพาเจ้าของถิ่นว่า อยากจะขึ้นบนบกอีกฝั่งมหาสมุทรหนึ่ง เขาก็บอกว่า เมืองเกาะมีมาก จะไปแวะเมืองเกาะอื่นๆ ไหม ก็เลยบอกว่า มันมีสภาพแตกต่างกันไหม เขาบอกว่า แตกต่างกันบ้างนิดหน่อย ส่วนใหญ่ก็เหมือนกัน ก็เลยบอกว่า ถ้ามันเหมือนกันไม่ไปดูดีกว่า ไปดูแล้วก็ไม่ทราบว่า จะนำอะไรไปได้ ของสักชิ้นหนึ่งที่มาที่นี่ ก็ไม่มีโอกาสจะนำไป เขาก็บอกว่า เอ๊ะ ก็เหมือนพระที่ท่านเทศน์ ถามว่า ทำไม

    เขาบอกว่า พระที่มาเทศน์ก็เหมือนกัน คนเขาก็มีศรัทธา เมื่อฟังเทศน์แล้ว ก็ถวายอย่างโน้นถวายอย่างนี้ แต่เวลาพระท่านจะไป ท่านบอกว่า ทรัพย์สมบัติที่เกิดขึ้นที่ไหน ให้อยู่ที่นั่น นั่นก็หมายความว่า ท่านมอบไว้กับเจ้าหน้าที่ เจ้าของวัด เจ้าของสถานที่พระศาสนา แล้วเจ้าของสถานที่พระศาสนาก็ทำการจัดสร้างบ้าง จัดของหาซื้อของใช้ต่างๆนานา ก็รวมความว่า มีทุกอย่างเท่าที่เกิดขึ้นมาแล้ว ที่เห็นเมื่อกี้นี้ ก็เพราะว่า เงินที่เหลือจากพระท่านเทศน์ พระท่านเทศน์แล้ว ท่านก็ไม่ได้นำไป ก็เลยบอกเขาว่า การที่ไม่นำไปของพระท่าน ท่านอาจจะไม่นำไปเพราะ จิตเมตตาก็ได้ หรือท่านไม่สะสมทรัพย์สิน ท่านไม่มีความจำเป็นในทรัพย์สินก็ได้ แต่สำหรับข้าพเจ้าที่ไม่นำไป ก็เพราะว่า แบกไปไม่ได้ ขึ้นชื่อว่า วัตถุนิดหนึ่ง ก็ไม่สามารถจะแบกไปได้

    เขาถามว่า ถ้าอย่างนั้นมาที่นี่ อยากได้อะไรบ้าง ก็เลยตอบเขา ตรงไปตรงมาว่า การมาที่นี่ไม่ใช่อยากได้ อยากรู้อย่างเดียว มีความอยากเหมือนกัน อยากจะรู้ว่า ไอ้ถุงดำในอากาศ ที่นักวิทยาศาสตร์เขามองกัน มันคืออะไรกันแน่ เขาก็ย้อนถามว่า ท่านเข้าใจถุงดำแล้วหรือยัง ก็บอกว่า เข้าใจแล้ว เพราะว่าไปในอุ้งของถุงดำมาแล้ว เขาก็เลยถามว่า ท่านไปในอุ้งของถุงดำ ในท้องของถุงดำ เคยเห็นอะไรบ้าง ก็บอกว่า เรือบินก็เห็น ยานพาหนะที่มีลักษณะกลมๆอย่างของท่านมี ก็เห็น แล้วก็ดวงดาวต่างๆที่ลอยเข้าไป ก็เห็น

    เขาก็ถามว่า ดวงดาวต่างๆมีลักษณะแตกต่างกันไหม ก็บอกว่า ดวงดาวที่เข้าไปมันคล้ายคลึงกันก็มี มีลักษณะแตกต่างกันก็มี ดวงดาวบางดวงดาวก็มีขุมทรัพย์อยู่หลังดวงดาวนั้น บนผิวโลก ถามเขาว่า ที่นั่นท่านเคยไปไหม เขาบอกว่า ถ้าบินรอบโลกนั่งเครื่องบินก็ต้องผ่านจุดนั้น เขาบอกว่า บินรอบจากสูงไปต่ำ ถ้าบินรอบข้างๆก็ไม่ต้องผ่าน ก็ถือว่า สถานที่นั่นเป็นสถานที่เที่ยวของคนโลกนี้ โอ้โฮ น่าอัศจรรย์

    ก็ถามเขาว่า เคยเห็นทรัพย์สินไหม เขาบอกว่า เคยเห็น ถามเขาว่า ไอ้ธาตุสีเหลืองๆอร่าม ที่นี่เขาใช้ไหม เขาก็บอกว่า ใช้ ถามว่า ท่านไปที่นั่น ไม่อยากได้ทองคำที่นั่นบ้างหรือ เพราะมีโลกอยู่โลกหนึ่ง อาจจะมีหลายโลกก็ได้ ขึ้นไปที่โลกต่างๆ เพียงแค่สามโลก เท่าที่มองเห็นมันเกิน 300 โลก อยากจะถามว่า ท่านอยากได้ทองคำไหม เขาบอกว่า ไม่เคยอยากได้ เพราะพื้นพิภพนี้ก็มีเยอะ แล้วก็ถามเขาว่า พื้นพิภพนี้ ทองคำเป็นวัตถุมีค่าสูง หรือว่าทองคำเป็นวัตถุมีค่าต่ำ เขาบอกว่า ขึ้นชื่อว่า ทองคำ โลกชมพูต้องการขนาดไหน เขาไม่ทราบ แต่ที่นี่ถือเป็นมาตรฐานการเงิน การเงินต่างๆ แบงก์ต่างๆที่พิมพ์ออกมา ต้องมีทองคำรับรอง

    ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นโลกโน้นกับโลกนี้ ก็มีสภาพเหมือนกัน ก็เลยล้วงกระเป๋าอีกนิดหนึ่ง ถามว่า ที่นี่ คนจนๆมีไหม เขาถามว่า คำว่า จน หมายถึงอย่างไร ก็ตอบว่า จนขนาดที่ไม่มีกิน ไม่มีใช้ ต้องขอทาน เขาก็ยิ้ม บอกว่า ที่นี่ไม่มีความจำเป็นต้องขอ เพราะว่า ถ้าบุคคลใดเขาเห็นว่า คนกลุ่มใด หรือบุคคลใดก็ตาม เห็นว่าคนใดมีความขัดข้องเรื่องความเป็นอยู่ โดยเฉพาะการเงินก็ดี เสื้อผ้าก็ดี อาหารการบริโภคก็ตาม เขาก็รีบช่วยกันสงเคราะห์ แต่เขาบอกว่า เขาเกิดมา 8,000 ปีของโลกชมพู ยังไม่เคยเห็นใครต้องสงเคราะห์กันด้วยวัตถุอย่างนี้ ที่มีความขัดสนจริงๆมีแต่เพียงว่า เรามีอย่างนี้ เขามีอย่างโน้น เรามีมากชิ้น ไปแบ่งให้เขา เขามีอย่างหนึ่งที่เราไม่มี เขาแบ่งให้เรา มีแค่นี้ คำว่า ยากจนจริงๆไม่มี

    ก็ถามเขาถึงอาชีพ เขาบอกว่า อาชีพส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไร ในประเทศที่ท่านจากมา ส่วนใหญ่ก็เป็นเกษตรกรรม หรือว่าอาชีพของป่าไม้ ของในป่า และสิ่งประดิษฐ์ก็มีมาก โรงงานก็มีเยอะ ก็ไม่มีอะไร ต่างคนต่างก็ทำกัน การใช้จ่ายนี่มันไม่เปลือง เพราะว่า ที่นี่กินผักเป็นพื้นฐาน ในเมื่อกินผักเป็นพื้นฐานแล้ว ก็ปลูกผักกัน ของเรามีอย่างนี้ ของเขามีอย่างนั้น ถ้าใครไม่มีอย่างไหนก็แลกกัน ใครต้องการอย่างไหน ก็ขอกันได้ ที่นี่เขาไม่มีการหวงกัน

    เขาก็บอกว่า โลกนี้พระท่านบอกว่า เป็นโลกมนุษย์ พอเขาพูดอย่างนี้ ก็หนักใจเหมือนกัน ที่เคยศึกษาในพุทธศาสนา ในธรรมะ ท่านมี ท่านบอกว่า ให้ปฏิบัติในมนุษยธรรม ถ้าปฏิบัติในมนุษยธรรมได้ ก็สามารถจะเกิดเป็นมนุษย์ได้ ก็ยังมีความสงสัยว่า คนทุกคนในโลกชมพู ต่างคนต่างก็เรียกตนเองว่า เป็นมนุษย์ แล้วทำไมพระพุทธเจ้า จึงจะมาสอนมนุษยธรรมอีก ในเมื่อเกิดมาเป็นคนแล้ว เมื่อตายจากความเป็นคน มาเกิดเป็นคน มันก็ต้องเป็นของไม่ยาก เพราะว่าเป็นสถานที่เดิมของตนที่เคยอยู่ แต่นี่เป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมครู ที่คนพูดไม่ทราบ แต่คนพูดเองมีความโง่ถนัด มีความเข้าใจว่า คนทุกคนที่เกิดมาในโลกชมพู เป็นมนุษย์

    ครั้นมาเจอะมนุษย์ในชินโลก หรือว่าดาวถุงดำนี่เข้า จึงมีความเข้าใจจริงๆว่า เขาเป็นมนุษย์แน่ ชาวโลกชมพูตามความรู้สึกของคนอื่นเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ ถ้าพลาดไปก็ขออภัยด้วย ตามความรู้สึกของผู้พูดจริงๆคือว่า ที่โลกมนุษย์ หามนุษย์ได้ยาก ที่โลกชมพูนี่นะ หาคนที่เป็นมนุษย์แสนจะยาก ไม่ใช่ไม่มี ปริมาณที่มีก็มีน้อย แต่ว่าถ้าจะเป็นคนเสียจริงๆเป็นคนมาก

    ในโลกชมพูเรา มีคนมากกว่ามนุษย์ แต่การพูดอย่างนี้ บางท่านอาจจะร้องตะโกนถามว่ามนุษย์ กับคนมันต่างกันตรงไหน ก็ขอตอบว่า ในอาการ 32 จริงๆไม่ต่างกัน มีธาตุ 4 เหมือนกัน มีอาการ 32 เหมือนกัน แต่ความรู้สึกของจิตใจไม่เหมือนกัน

    สำหรับ มนุษย์ ท่านแปลว่า ใจสูง คำว่า ใจสูง ก็คือ มีอารมณ์ไม่ต่ำ อารมณ์ประเภทใดก็ตามที่นำมาซึ่งความเดือดร้อน มนุษย์เขาไม่ใช้กัน เช่น ความโกรธ การแสดงอาการความโกรธเป็นศัตรูกัน เขาไม่มี เขามีแต่ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มนุษย์เขามีแต่เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทุตา มีจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยากัน ใครได้ดีก็พลอยยินดีด้วย อุเบกขา ถ้าอะไรก็ตาม เกิดความขัดข้องขึ้นมา ไม่สามารถจะแก้ไขได้ ก็วางเฉยไม่ดิ้นรน คือ ไม่กลุ้ม ไม่กระวนกระวาย

    และนอกจากนั้น ขึ้นชื่อว่า ชีวิต เลือดเนื้อร่างกาย ทุกคนรัก ก็ไม่มีใครทำร้ายร่างกายกัน ทรัพย์สมบัติต่างๆ เรารักเขาก็รัก ก็ไม่มีใครยื้อแย่งทรัพย์สมบัติกัน คนรักของเรา เราก็รัก ของเขา เขาก็รัก ไม่มีใครละเมิดความรักกัน

    และวาจา ก็มีวาจาจริง วาจาอ่อนหวาน และก็วาจาแสดงความเป็นมิตร วาจามีหลัก มีเกณฑ์ มีเหตุ มีผล เขามีวาจาสี่

    ด้านจิตใจ เขาไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใครโดยไม่ชอบธรรม เขาไม่ให้ เราไม่เอา และก็ไม่ขอทำให้ใครสะเทือนใจ และก็ไม่คิดจองล้างจองผลาญ โกรธอาจจะมีบ้าง อารมณ์ไม่พอใจอาจจะมีบ้าง แต่ไม่แสดงออก และไม่จองล้างจองผลาญ จองเวรจองกรรมกัน อารมณ์ใจคิดถูกตามความเป็นจริง ด้วยเหตุผลเสมอ นี่ลักษณะของมนุษย์ เขาเป็นอย่างนี้

    สำหรับคนในโลกชมพูของเรา ไม่ต้องเอากรรมบถ 10 เอาแค่ศีล 5 อาจจะนับตัวได้ว่าใครทรงศีล 5 บริสุทธิ์บ้าง อย่าลืมว่า ชินโลก หรือว่าดาวหลุมดำ เขาต้องฝึกกรรมบถ 10 และพรหมวิหาร 4 กันมาตั้งแต่เกิด ขณะที่อยู่ในท้องแม่ ถ้าลูกสามารถได้ยินเสียงแม่ได้ จะได้ยินเสียงแม่พูดเรื่อง พรหมวิหาร 4 กรรมบถ 10 ให้ได้ยิน หรือว่าชาวบ้านคุยกัน คุยกันให้ได้ยิน ถ้าสามารถได้ยินได้นะ รวมความว่า ตั้งแต่อยู่ในท้อง ก็อยู่ในท้องของคนมีกรรมบถ 10 และพรหมวิหาร 4 ออกมาแล้ว ก็อยู่ในแวดวงของคนที่มี พรหมวิหาร 4 และกรรมบถ 10 การที่จะทรงอารมณ์ตามนี้ จึงเป็นของไม่ยาก เพราะว่าชินมาตั้งแต่ลืมตาเห็น

    ก็เป็นอันว่า โลกชมพูของเรา เป็นโลกของคน คำว่า คน แปลว่า ยุ่ง มันผสมผเสทั้งความชั่ว และความดี ความชั่วก็มี ความดีก็ปรากฏ เขาเรียกว่า คน เอาแน่นอนไม่ได้ เดี๋ยวก็ดีบ้าง เดี๋ยวก็ชั่วบ้าง เช้าดี บ่ายชั่ว หรือเช้าชั่ว บ่ายดี อะไรก็ตามใจ กลางวันดี กลางคืนชั่ว กลางคืนดี กลางวันชั่ว มันก็อาจจะมีความชั่วขึ้นมาปะปน ก็รวมความแล้วว่า โลกของเรา ไม่ใช่มนุษย์แน่ ที่จะมีมนุษย์อยู่ก็จริงแหล่ แต่ว่าก็มีคนอยู่มาก ของเขามนุษย์แท้ มีมนุษยธรรมคือ กรรมบถ 10 และพรหมวิหาร 4

    เมื่อคุยกันมาตอนนี้ คนฟังรำคาญหรือยัง เรื่องมันก็หมดแล้วนี่ รำคาญหรือไม่รำคาญ ก็ไปต่อไป ต่อนี้ไปก็ชวนกันขึ้นบก ไปเมืองที่ถนนตรงไป มันมีถนนแยกไปหลายสายในมหาสมุทร ใต้มหาสมุทร ก็บอกว่า ไปในจุดที่ตรงไป ตั้งหน้ายืนจากเมืองท่าที่เราผ่านมาแล้ว หันหน้าตรงไปทางไหน ไปทางนั้น เขาก็นำตรงไป ไปขึ้นเมืองท่าของอีกฝั่งหนึ่ง ไปนาน ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงก็ไปถึง ทางค่อยๆ ลาดขึ้นๆ สังเกตได้ยาก เขาทำดีจริงๆ ไม่ใช่วิ่งถนนชันตั้งขึ้นไป จนเราสังเกตรู้ ไม่ใช่อย่างนั้น มันขึ้นเนินทีละน้อยๆ รถก็วิ่งไปตามเรื่องตามราว โผล่ปุ๊บ ถึงผืนแผ่นดินแล้ว

    ไปที่นี่ เมืองท่าของเขาใหญ่มาก ใหญ่กว่าฝั่งโน้นเยอะ บริเวณกว้างใหญ่ไพศาล บ้านช่องเยอะ บุคคลก็มาก บริเวณก็ไกล อาคารสูงๆก็มีเยอะ ตึกรามมียอดแหลมๆก็มีมาก ถ้าจะคุยกันไปก็ซ้ำแบบเดิม ก็ถามเขาว่า ประเพณีนิยม หรือหลักเกณฑ์การปฏิบัติ ของคนเมืองท่านี้กับเมืองท่าโน้นเหมือนกันไหม เขาก็บอกว่า เหมือนกัน ถามว่า เงินตราที่ท่านใช้ ต้องไปแลกกันที่ไหน เขาก็ยิ้ม เขาถามว่า ทำไมต้องแลก ก็บอกว่าโลกชมพู เงินตราที่ใช้มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกัน มีค่าไม่เท่ากัน อย่างเงินไทย 25 บาท ก็เป็นเงินอเมริกันเขา 1 บาท ราคาไม่เท่ากันตามนี้ แล้วธนบัตร หรือแบงค์ที่ใช้ก็ลักษณะไม่เหมือนกัน แต่ละประเทศ ต่างคนต่างใช้ ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างมีความพอใจ

    เขาบอกว่า ชินโลก หรือโลกดาวหลุมดำ ท่านจะไปที่ไหนก็ตาม พกเงินไปอย่างเดียวใช้ได้หมดทั้งโลก แหม ทำไมสบาย อย่างนี้ก็ไม่ทราบ เป็นโลกที่สบายจริงๆ ก็คงจะตอบกันได้กระมังว่า ที่สบายจริงๆมีการคล่องตัวทุกอย่างเพราะมันเป็นโลกนิทาน โลกจริงๆถ้ามีอย่างนี้ก็คล้ายๆกับเทวดา

    แต่โลกนี้จะถือว่าเหมือนเทวดาไม่ได้ เพราะยังมีแก่ ยังมีตาย ยังมีผัว มีเมีย ผัวเมียก็มีไม่เหมือนเทวดาเขา เทวดาหรือนางฟ้า เขามีไว้ดูเล่น แต่ของเรา ต้องปฏิบัติตามระเบียบ ระเบียบการแต่งงาน แต่งงานแล้วต้องปฏิบัติแบบไหน ก็ต้องทำตามนั้น เหมือนๆกันทุกคน เป็นระเบียบของโลกนี้

    และอีกอย่างหนึ่ง โลกชินโลก หรือโลกดาวหลุมดำก็ดี โลกชมพูก็ดี ก็ปฏิบัติเหมือนกัน การแต่งงาน มีสามี ภรรยา เขาจะต้องปฏิบัติกันอย่างไรบ้าง ต้องมีความรัก ต้องมีความซื่อสัตย์ ซึ่งกันและกัน แต่ความรักจริงๆความซื่อสัตย์จริงๆ ของเขามีแน่ ก็ลืมถามหมอนี่ไป นึกไปนึกมา ก็เห็นคนเขาเดินมา มีผู้ชายหนึ่งผู้หญิงสามบ้าง ผู้หญิงสี่บ้าง ผู้หญิงหนึ่งบ้าง ก็แปลกใจว่า ลักษณะการเดินแบบนี้มันเป็นระเบียบของชาวเมืองนี้หรือ

    ก็ถามเขาว่า คนเมืองนี้รักษากรรมบถ 10 ใช่ไหม เขาตอบว่า ใช่ และก็ถามเขาว่า การแต่งงาน จะต้องมี ภรรยาสามีคู่หนึ่ง คือ ภรรยาคน สามีคน ใช่ไหม เขาตอบว่า ใช่ ก็ถามว่า คนที่เขาเดินไป เมื่อกี้นี้ เขาหลีกเราไป ลักษณะท่าทางคล้ายๆเขาเป็นสามีภรรยากันทั้งหมด มีผู้หญิงสี่ ผู้ชายหนึ่ง เขาบอกว่า เป็นสามีภรรยากันจริง ก็ถามว่า เมื่อกี้นี้ คุณบอกสามีคน ภรรยาคนใช่ไหม คุณตอบว่า ใช่ แต่คณะนี้เขามีภรรยาตั้ง 4 สามี 1 คุณไม่กล่าวผิดจากความเป็นจริงหรือ

    เขาเลยบอกว่า ท่านถามในขณะที่แต่งงานกันนี่ เวลาที่เขาแต่งงานกันจริง เวลาแต่งงานโดยเฉพาะก็มีสามีหนึ่ง มีภรรยาหนึ่ง ผู้ชายเป็นสามี ผู้หญิงเป็นภรรยา แต่ว่า การแต่งงานที่นี่ เขามีหลายวาระได้ นี่แน่..ไอ้โลกนี้มันน่าอยู่ก็ตรงนี้แหละนะ

    ก็ถามว่า กฎหมายของคุณไม่บังคับหรือ กฎหมายบังคับแต่เพียงว่า ห้ามแย่งสามี ภรรยาของคนอื่น ก็เลยถามเขาว่า ถ้าผู้ชายจะมีภรรยาหลายคน ก็แสดงว่า หญิงอื่นมาแย่งภรรยาของคนนี้ใช่ไหม เขาตอบว่า ไม่ใช่ เขาตอบว่า นั่นภรรยาเดิมเขาอนุญาต เขาถือว่า คนมาใหม่นี่เป็นน้อง ยังมีน้องด้วยนะ คนที่มาใหม่ต้องมีความเคารพคนก่อนเหมือนพี่ มีความเคารพกันเหมือนพี่เหมือนน้อง และก่อนที่จะแต่งงานกัน

    ถ้าสามีไปชอบหญิงคนใด นึกชอบยังไม่แต๊ะอั๋ง และก็หญิงคนนั้นเกิดความรัก เกิดชอบในชายคนนี้เข้าซึ่งมีภรรยาแล้ว ทีนี้ถ้าสามีไปชวนบอกว่า แต่งงานกับฉันไหม ผู้หญิงคนนั้นเขาบอกพร้อมที่จะแต่ง ถ้าภรรยาของคุณอนุญาต เขาก็ต้องพามาหาภรรยา

    ภรรยาเมื่อซักไซ้ไต่ถามได้ความเป็นจริงว่า เขารักกันจริง ก็อนุญาต อนุญาตให้แต่งงานกันได้ แต่ไม่ใช่เลิกกับเธอ เธอก็ยังเป็นภรรยาหลวงอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่หามาได้ หรือจัดขึ้นมาได้ เธอต้องเป็นหนึ่ง หมายความว่า การนับหนึ่ง นั่นคือ เธอ ถึงเธอก่อน ซื้อก๋วยเตี๋ยวมาสองชาม ชามที่หนึ่งเป็นของเธอ ชามที่สองเป็นของภรรยาคนต่อไป และชามที่สี่ ที่ห้า ก็เป็นของภรรยาคนต่อไป อะไรก็ตาม ขึ้นต้นเธอหนึ่งอยู่เสมอ อย่างนี้

    อย่างนี้เขาบอกว่า ไม่มีการทะเลาะกัน ที่นี่คำว่าทะเลาะเบาะแว้ง การขัดข้องกันเรื่องนี้ไม่มี ความจริงโลกนี้มันก็น่าอยู่ ถามเขาว่า ถ้าอย่างนั้น คุณอยากจะมาเกิดโลกนี้อีกไหม เขาก็ตอบว่า มันก้ำกึ่ง บางเวลาก็อยากมาเกิด แต่ส่วนใหญ่ของเวลาอยากมาเกิด แต่ว่าพระท่านก็บอกว่า ถ้าต้องการเกิดในโลกนี้ ให้ทุกคนปฏิบัติในกรรมบถ 10 กับพรหมวิหาร 4 ให้ครบถ้วน ถ้าหากทั้งสองประการนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งพร่อง จะไม่มีโอกาสมาเกิดโลกนี้

    ก็ถามเขาว่า ถ้าอย่างนั้น พระท่านแนะนำว่าอย่างไรต่อไป ท่านบอกว่า ถ้าบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องไปอบายภูมิ คนที่บกพร่องในกรรมบถ 10 ก็ดี ในพรหมวิหาร 4 ก็ดี พร่องมีบ้างไม่ใช่ไม่มี ถ้าจะเกิดมีรูปร่างลักษณะอย่างนี้ใหม่ ต้องไปเกิดในโลกชมพู แหม..ฟังแล้วก็ช้ำใจ นี่เขาจะด่าผู้พูดบ้าง หรือเปล่า ก็ไม่ทราบ และเขาก็รู้แล้วว่าเราเป็นคนโลกชมพู ก็เป็นอันว่า ต้องยอมรับกับเขา

    เมื่อเห็นเวลา มันใกล้จะหมดเวลา หมอทำฟันใกล้จะเสร็จ เขากรอแล้ว กรออีก เจาะแล้ว เจาะอีก เพื่อจะเอาหนองออก ดูดหนองบ้าง นี่เป็นวาระที่หมอเตือนใจทำ แต่งานนี้หมอจำนูนที่อยู่กรุงเทพฯ ก็อยากจะทำให้ แต่ว่าคลีนิคอยู่ไกล อยู่ถึงกรุงเทพฯ แต่หมอเตือนใจอยู่นครสวรรค์ ใกล้หน่อย เมื่อพูดถึงหมอจำนูน เวลาเหลือประมาณสัก 2 นาที ก็ขอบอกข่าวว่า วันนี้คือ วันที่ 17 มกราคม 2533 หมอจำนูนโทรศัพท์มาถึง ครูนนทา อนันตวงษ์ ที่วัดท่าซุง อุทัยธานี เธอบอกข่าวดีว่า เธอฝันไปว่าต่อไปเบื้องหน้า คนที่เขามีโอกาสมีสตางค์มากๆจะเอาเงินมาแจก สมมติว่า เมื่อ 4 ปีไปแล้ว ใครลงทุนไปหนึ่งบาท เขาจะแจกให้หกสลึง เฉพาะคนที่อยู่ในทะเบียนที่หนึ่ง สำหรับคนที่อยู่ในทะเบียนที่สองไม่แน่ อาจจะแจกให้มากกว่านั้น แต่การที่หมอจำนูนเธอฝัน ไม่ทราบว่า ฝันจะตรงกับความจริง หรือไม่ แต่ถึงอย่างไรก็ดี ความฝันของหมอจำนูน ทำให้คนยิ้มแป้นหุบปากไม่ลงไปตามๆกัน

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ถึงตอนนี้ ก็ขอโมเมกลับบ้านกันเสียที เวลานี้ใกล้จะหมดเวลาแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ฟัง และผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี

    (จากหนังสืออ่านเล่น เล่ม 12 หน้า 63-75)


    wallpaper2you_424999.jpg
     
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,733
    Merge.jpg lWn-HE_Lu.jpg 7060.jpg

    พระเลี่ยมทอง

    ที่เรียกว่าพระห่มจีวรสวย คือพระเลี่ยมทองนี่นะ ก็มีอานิสงส์นี่ ที่เราเลี่ยมทองพระแล้วคล้องคอนี่

    มีอยู่คราวหนึ่ง มีคนเขาโดนปล้น ปล้นไปหมดเลย หลวงพ่อก็ไปเยี่ยมหรือไงนี่ ก็เรียกเข้ามา อีหนูเอาพระนี่ไปนะ ภาวนาอย่างนี้นะ ถ้ามีเงินมีทองแกก็เลี่ยมซะ เลี่ยมทองซะ

    ทีนี้คนนี้เขามีความเคารพนะ พอมีเงินก็เลี่ยมทองเลย เลี่ยมทองแล้วก็ภาวนาตามที่ท่านสั่งไว้ ก็ทำมาค้าขึ้น

    เราก็มาดูตามพระสูตรที่ว่า มีคนเอาแผ่นทองคำเปลวปิดพระก็มีอานิสงส์นี่ ขนาดปิดฐานส้วมยังมีอานิสงส์ตั้งเยอะ แต่นี่เราปิดพระพุทธรูป พระพุทธเจ้านะ จึงมีอานิสงส์มาก

    คนโบราณเขาฉลาดดีอยู่แล้วละ เราอย่าฉลาดกว่าก็แล้วกัน คือทำทำไม มีผลอย่างไร มีผลตามพระสูตรตามที่พระพุทธเจ้าตรัสนี่ ไม่ใช่คนมีกิเลสตรัส พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีอานิสงส์ คนสมัยใหม่อาจจะรู้เกินไปซะหน่อย

    เลี่ยมทองนี่ทำให้สวยแล้วก็เป็นบุญด้วย

    (จากคอลัมน์ "ท่านเจ้าคุณสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 465 เดือนธันวาคม 2562 หน้า 24-25)

    okay2...jpg okay1.jpg

    พระคำข้าว

    ยกทรงบอกว่า ของพระคำข้าว กับ พระของหลวงปู่โต มีอานิสงส์เท่ากันไหมครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า มีผลเท่ากันเพราะว่า 1 พุทธภูมิ แล้วก็วิริยาธิกะ แล้วก็เต็มแล้ว

    ยกทรงถามว่า ความปลอดภัยจะต่างกันไหมครับ

    ยกทรงบอกว่า พระธาตุขึ้นเยอะจัง พระคำข้าวกับพระหางหมากของหลวงพ่อ รูปหล่อ รูปยืน รูปเหมือน พระธาตุขึ้นหมด

    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า เคยได้ฟังว่า ทำไมพระธาตุไปขึ้นที่นั่น ท่านบอกว่า พระพุทธเจ้ามาบอกว่า คุณ ศพของคุณไม่ได้เผา จะให้เป็นพระธาตุเหมือนที่พระเขาเผากันไม่ได้ เพราะศพของคุณไม่ได้เผานี่ ฉันจึงให้ตอนนี้ก่อน ให้รู้ว่าของคุณเป็นพระธาตุ

    อันนี้ไปฟังเทปที่ท่านเล่าไว้ พระพุทธเจ้าบอก ศพของคุณไม่เผานี่ ฉันจึงให้พระธาตุเสด็จมาก่อน เพื่อทดแทนกัน เพื่อชดเชยกัน ที่พระธาตุเสด็จไปที่นู่น (ที่ท่าลาน สระบุรี เป็นพระธาตุชานหมาก) แต่ที่วัดไม่ค่อยเสด็จ เสด็จไปที่ชาวบ้าน แต่ก็ดีอย่างถ้าเสด็จที่อยู่วัด เดี๋ยวจะหาว่าพระโปรโมทขึ้นมาเอง เดี๋ยวจะหาว่าโฆษณาชวนเชื่อ ก็จึงไปอยู่ที่ชาวบ้าน

    ยกทรงบอกว่า สำรวจดู ตามสถิติลูกศิษย์รุ่นใหม่มีพระธาตุมากกว่าลูกศิษย์รุ่นเก่า รุ่นใหม่มีพระธาตุกันเยอะ หรือรุ่นเก่าไม่ค่อยดีครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า ลูกศิษย์ใหม่กำลังใจยังอ่อนอยู่นี่ ก็เอาพระธาตุนำไว้ รุ่นเก่ากำลังใจมั่นคงแล้วไม่ต้องมาก็ได้


    ยกทรงบอกว่า เออ ไปได้นะอย่างนี้ ชื่นใจๆ

    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า พูดปลอบใจตัวเองไว้

    ยกทรงบอก ที่บ้านว่างไปส่องดูทีละองค์ๆไม่มีเลย ไอ้นั่นเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อแค่เดือนเดียวมีทั้งหน้าทั้งหลังเต็มหมดเลย พระบรมสารีริกธาตุเต็มหมดเลย

    ท่านเจ้าคุณฯ เล่าว่า ก็มีอยู่คราวหนึ่ง ตอนกลางคืนนอนไม่หลับ เมื่อก่อนก็ตุนพระคำข้าวกันไว้คนละ 100 , 200 องค์ นอนไม่หลับ แล้วทำอะไรดีวะเนี่ย ก็เอาพระคำข้าวมาส่อง มีพระธาตุไหม ส่องเป็นร้อยองค์ไม่เจอสักองค์ แว่นตาก็ไม่มี

    ยกทรงบอกว่า นี่ขนาดอยู่วัดยังไม่มีมา น่าอัศจรรย์จริงๆ

    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า ก่อนที่พระธาตุจะเสด็จ พระมาบอกก่อนแล้ว ว่าจะให้ของอะไรคุณสักอย่าง แต่ไม่รู้จะให้อะไรเท่านั้นเอง หลวงพ่อก็ไม่รู้ว่าจะให้อะไร พระโมคคัลลาน์ หรือไงมาบอกคุณ ขอท่านสิ ขอให้พาคนไปไหนมาไหนได้อย่างว่องไว แบบเหาะอะไรอย่างนี้ หลวงพ่อบอก ไม่ขอหรอกครับ แล้วแต่พระองค์จะเมตตาจะให้อะไร แหม ไม่โลภเหมือนเรานะพุทธภูมิ

    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า อันที่จริงพระในประเทศไทยที่เก่งๆมีเยอะนะ บางองค์ก็ไม่ลาพุทธภูมิ ส่วนมากที่มีชื่อเสียงเป็นพุทธภูมิเกือบทั้งนั้น

    อย่างวัดอนาลโยนี่ (พระอาจารย์ไพบูลย์) ก็มาจากพุทธภูมิ สร้างวัดสวยมาก สร้างเอาจริงเอาจังเลย โอ้โฮ ที่ดอยบุษราคัม ในหลวงท่านเสด็จไป มอบงานศิลปาชีพให้ทำ ท่านก็ทำทั้งนั้น ช่วยเหลือสังคมดี บริษัทอะไรไม่รู้ให้ตั้ง 70 ล้าน เนชั่นแนลหรือไง ขนาดปรับพื้นที่ตั้ง 60 ล้าน รัฐมนตรีเกษตรให้ภูเขาตั้งกี่ลูกไม่รู้ เมื่อก่อนก็ให้เช่า พอเห็นทำจริงก็ให้เลย เป็นภูเขา 2-3 ลูก ใครไปพะเยาก็ขอให้แวะวัดอนาลโย เรียกว่า ดอยบุษราคัม

    ที่วัดท่านนี่เทวดาให้สร้าง เทวดามาให้สร้างท่านก็ไม่เชื่อ ไม่ยอม ตอนแรกก็ให้มาถางป่าก่อน แน่จริงให้พาคนมาทำบุญ คนก็มาทำบุญ ที่นี่เศรษฐีไปทำทั้งนั้น พวกกรุงเทพฯ พวกคนรวยไปช่วยท่านสร้าง ตอนนี้ไปสร้างที่เขาอีกลูกหนึ่งแล้ว อดีตท่านเป็นพญาอะไร พญางำเมือง

    (จากคอลัมน์ "ท่านเจ้าคุณสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 465 เดือนธันวาคม 2562 หน้า 25-26)


    3jh (1).jpg
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,044
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    สวัสดีคุณน้องวรรณและลูกหลานหลวงพ่อทุกๆท่านค่ะ เอ เล่าเรื่อง"พระยิ้ม"ให้ฟังหรือยังนี่?
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,044
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    First Buddhawhite.jpg
    ตั้งแต่หลวงพ่อให้จับภาพพระก็ทํามาเรื่อยๆ (พุทธานุสติ)จนวันหนึ่งขณะทําสมาธิก็นึกถึงภาพพระไปเรื่อยๆ เอ พระพุทธเจ้าของเรานี่จะต้องหล่อที่สุดในโลกเลย ดูสิแม้กระทั่งพระวักลิวันๆก็นั่งชมโฉมพระองค์จนถูกอัปเปหิ(ตอนหลังท่านสําเร็จ)แหมเวลาพระองค์ยิ้มนี่คงจะสวยมากๆ ถ้าเราเห็นจะเป็นบุญหลายเลยนะ อ้าวฟุ้งๆๆ พอที คราวนี้ก็ดิ่งลงๆๆไปเรื่อยๆ ทุกๆอย่างเงียบสงัด นานเท่าไหร่ไม่ทราบ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังในหัวว่า"ขอมากไปแล้ว" เลยข๋าออกจากสมาธิแล้วเข้านอน
    smilingBuddha2.jpg
    พอตื่นเช้าก็ลงจากเตึยง ตาเหลือบมองไปที่พระพุุทธรูปสูงราว๕นิ้วที่มี ก็เห็นมุมพระโอษฐ์ด้านขวากระดกขึ้นมานิดนึง ใจเลยคิดว่าตรูตาหลอนแต่เช้าเลย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงในหัวอีก"อ้าว เมื่อคืนขอไว้ไง" โอ้โฮพระพุทธเจ้าของเราท่านใจดีที่สุดในโลกเลยที่มาโปรดคนกระจอกๆอย่างเรา
    จบค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2021
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,733
    10033.jpg

    สวัสดีครับพี่ supatorn

    ขอกราบอนุโมนทนาบุญกรรมฐานของพี่ด้วยนะครับ

    160939.jpg
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,044
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ก็ได้รับคําสอนจากครูหลายท่านในเว็ปนี้แหละค่ะ หลังจากนั้นก็เกิดกําลังใจจับภาพพระสีขาวและ"พุทโธ"ๆๆๆๆไปเรื่อยๆ พอฟุ้งๆก็รู้สึกตัวก็กลับมาพุทโธต่อจนเงียบและดิ่งลงๆๆเหมือนเดิม ก็เกิดนิมิตเป็นภาพพระใสขึ้นๆจนเป็นแก้วใส ต่อมาสักพักพระท่านก็หมุนช้าๆจนเห็นพระเมาลีขดสีดํา ทันใดนั้นก็มีแสงสีทองจากฟ้าพุ่งมาที่กลางหน้าอกและมีเสียง"เรารับเจ้าแล้วนะ" แล้วออกจากสมาธิเข้านอนค่ะ
     
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,733
    138559.jpg
     
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,733
    พุทธานุภาพองค์หมาก

    เมื่อวันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม 2534 คุณแดงลัดดา วงศ์ภักดี ภรรยาคุณหมอสบ
    สันต์ คุณหมอกับคุณแดงไปกราบหลวงพ่อที่สายลมตั้งใจเอาเงินไปถวายหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เมื่อคณะหลวงพ่อท่านไปอเมริกา ครอบครัวคุณหมอจะต้องเดินทางจากนิวยอร์คเพื่อกราบหลวงพ่อที่ชิคาโกทุกครั้ง และอยู่หลายวัน บางครั้งอยู่จนคณะหลวงพ่อกลับ

    วันนั้นข้าพเจ้าเห็นมาไกลจากอเมริกาจึงพาขึ้นไปกราบและถวายเงินบนห้อง
    ของหลวงพ่อท่านขณะที่ท่านขึ้นไปฉันเพล หลวงพ่อท่านหยิบองค์หมาก (ชานหมากที่ปั้นเป็นลูกกลมๆตากแห้ง ของหลวงพ่อ) เข้าพิธีพุทธาภิเษกรุ่นที่ 2 ที่บ้านสายลมเป็นชาตรีรุ่นหนึ่ง

    ท่านหยิบให้คุณแดงหลายองค์ ข้าพเจ้า ชะโงกทำตัวยืดยาวเต็มที่ จ้องที่มือหลวงพ่อท่านตาไม่กระพริบโดยไม่รู้สึกตัว ไม่คิดอะไรเป็นไปตามอัตโนมัติ หลวงพ่อท่านจึงหยิบส่งให้ข้าพเจ้าองค์หนึ่งพร้อมทั้งพูดว่า "จ้องเป๋งเชียวโว๊ย"

    เมื่อรับมาแล้วด้วยความดีใจและคิดในใจว่าองค์นี้จะต้องเลี่ยมใส่สร้อยคอติดตัวตลอด เพราะรับกับมือท่านองค์เดียว ไม่ต้องลังเลสงสัยว่าจะเลือกองค์ไหนดี องค์อื่นๆได้พร้อมกันหลายองค์

    นึกในใจว่าองค์นี้จะเอาทองคำเปลวปิดหุ้มองค์หมากก่อนเลี่ยมพลาสติกแล้วเลี่ยมทองอีกทีเพื่อกันน้ำเข้า รับโชคและสวยดี

    หลวงพ่อท่านพูดออกมาเลยว่า "แกไม่ต้องเอาทองหุ้มเดี๋ยวเป็นพระธาตุจะมองไม่เห็น"

    เจ้าค่ะ แล้วทำตามที่ท่านบอก

    ท่านเอ๊ย แค่ 2 เดือนขาวเป็นพระธาตุเกือบหมดองค์ ขาวแบบหางพลูของหลวงพ่อท่านที่เคยให้คุณแดง ลัดดาที่ชิคาโกเมื่อหลายปีก่อน มีลงในธัมมวิโมกข์ เล่มที่ 127 เดือนกันยายน 2534

    ความศักดิ์สิทธิ์ที่เห็นชัดๆคือ เมื่อต้นเดือนตุลาคม 3 เดือนผ่านไป ข้าพเจ้าเอามีดอีโต้ฟันมะพร้าวอ่อนเพื่อจะถวายหลวงพ่อท่านที่บ้านสายลม มีดหลุดมือขณะที่ฟันเต็มแรง คมมีดตกบนหลังเท้าข้าพเจ้าอย่างแรง เห็นถนัดตาแล้วกระเด็นออกไป ไทร (วันดี ฉันทวิกิจ) แม่ครัวประจำทั้งงานวัดและบ้านสายลม ยืนอยู่ด้วยกันร้องว้าย !! ทั้ง 2 คน นึกว่าเลือดกระฉูดแล้ว ปรากฏว่าไม่เข้าและไม่มีรอยอะไรเลย ชาตรีลูกเบาจริงๆไม่เจ็บด้วย ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ มีดใหญ่ขนาดนั้น ธรรมดาต้องเข้าเนื้อหรือมีรอยเขียวช้ำ เจ้าประคุณเอ๋ย ! นึกถึงองค์หมากชาตรีทันทีเลย ม่ายงั้นมีดอีโต้ใหญ่สับแน่ๆ

    ไทรว่าน้าเชิญใจร้อนหนูคิดจะทำให้แล้ว เลยตอบไปว่าไม่ใช่ใจร้อนน้าทำอะไรทำแบบเร็วเสร็จเร็วๆ เลยดูเหมือนคนใจร้อน เมื่อก่อนน้าเข้าครัวเมื่อไรมีดบาดเมื่อนั้น เดี๋ยวนี้ไม่เข้าครัวมีดไม่บาด

    เมื่อ 2-3 ปีก่อน ปอกมะม่วงฟ้าลั่นถวายหลวงพ่อท่านที่บ้านสายลม หลวงพ่อบอกว่าราคาลูกละ 40-50 บาทมีคนบอกท่าน ข้าพเจ้าปอกไปใจคิดว่าตั้ง 40-50 บาท เอาเงินถวายทำบุญอย่างอื่นดีกว่า เท่านั้นพอฝานมะม่วงฟ้าลั่น ลั่นเป๊าะ ! แตกจากกันมีดเฉือนเอานิ้วมือเกือบขาด เย็บตั้ง 11 เข็ม

    ตั้งแต่นั้นเข็ดเลย ทำและโมทนาอย่างเดียวไม่วิตกวิจารว่าดีกว่าหรือเลวกว่า น่าจะอย่างนั้นอย่างนี้ดี ถ้าไม่มีพระของหลวงพ่อท่านห้อยคอ นิ้วคงขาดพิการไม่ครบ 32 เทวดาสุดวิสัยที่จะช่วยได้ นึกเลวมากไปเพ่งโทษคนอื่น

    เวลานี้ช่วยทำทุกอย่าง ทำหน้าที่ปอกและจัดผลไม้เรื่อยๆโดยมีดไม่บาดมือ ทำงานเป็นหลายอย่างเพราะฝึกหัดจากช่วยงานวัดและงานหลวงพ่อนั่นเอง เป็นเวลานาน 22 ปีแล้ว ถ้ายังไม่เป็นเรียกว่าปัญญาอ่อนหรือบัวใต้โคลนตมดินเหนียว บัวใต้น้ำยังน้อยไป

    หลายๆท่านมีของหลวงพ่อที่กลายเป็นพระธาตุ หลายแบบที่เปลี่ยนไปจากเดิม
    สำหรับข้าพเจ้ามีของหลวงพ่อท่านไว้อย่างละมากๆ ได้ยินคนอื่นว่าแบบนั้นแบบนี้เป็นพระธาตุแล้ว ข้าพเจ้าไม่รู้จะดูของเราองค์ไหนดีเพราะมีมาก พระเครื่องรุ่นละเป็นสิบๆองค์ เป็นร้อยและเป็นหลายร้อยองค์ก็มี เลยไม่รู้จะดูองค์ไหน คิดว่าดีหมดจะกลายเป็นพระธาตุหรือเหมือนเดิม ก็คือของหลวงพ่อท่านทั้งนั้น ดีหมด เคารพบูชานับถือไม่เปลี่ยนใจ หรือละห้อยละเหี่ยใจว่าไม่เหมือนเขา

    ที่ชัดแจ้งง่ายดายไม่ต้องค้นคือองค์หมากที่หลวงพ่อท่านให้และสั่งเป็นเรื่องเป็นราวนี่เอง ถึงได้มีเรื่องอวดเรื่องคุยกับเขาบ้าง

    จำไว้นะท่านอย่าเอาทองหุ้ม เดี๋ยวกลายเป็นพระธาตุจะมองไม่เห็น สวัสดี

    อัญเชิญ มณีจักร

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 130 เดือนธันวาคม 2534 หน้า 113-114)

    ชานหมาก.jpg
     
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,733
    DSC06111.jpg


    ท่านปู่ใหญ่ คือ ท้าวมหาพรหม คือ สหัมบดีพรหม หรือ พรหมเอราวัณ

    (มีโยมฝากคำถามมาถามยกทรง)

    ยกทรง : ผ้ายันต์มหาพรหมมีคุณภาพทางไหนบ้างเจ้าคะ ผ้ายันต์มหาพรหม คงจะเรียกไม่ผิดแล้วล่ะ

    ท่านเจ้าคุณฯ : อันที่จริงนี่เพลี้ยนี่คือ อุปสรรค ของการทำมาหากิน แต่ตัวคาถาจริงๆ ยันต์ของท่านท้าวมหาพรหม ไปดูแล้วนี่แปลว่า ป้องกันอุปสรรค

    คาถานี้ป้องกันอุปสรรคนี่ อุปสรรคคือสิ่งที่ไม่ถูกใจ ไอ้เพลี้ยนี่มันอยู่ที่นา มันเป็นเพลี้ย ที่ทำครั้งแรกๆเกี่ยวกับเพลี้ย แต่มาดูจริงๆ คือป้องกันอุปสรรคทุกอย่าง

    หากว่าอยู่ที่นาที่ไรให้ทำเป็นธงไปปักกลางที่ ใช้ สัคเค... เปิดหนังสืออ่านเอา นึกถึงเทวดาที่ปกปักรักษา ลองดู ทำด้วยความเคารพนะ

    ยกทรง : ถามว่าจะเปิดเทปได้ไหมครับ ยิ่งดีมั้ง

    ท่านเจ้าคุณฯ : นึกถึง ท้าวมหาพรหม ก็แล้วกัน ท่านเป็นเจ้าของคาถานี้นี่

    ท้าวมหาพรหม คือ สหัมบดีพรหม หรือ พรหมเอราวัณ อยู่ที่ชั้นพรหม เป็นพระอนาคามี

    ท้าวมหาพรหม หลวงพ่อเรียกท่านปู่ ปู่ใหญ่ เราเรียกกันว่า ท่านปู่ใหญ่

    โยม : ยันต์นี้ขจัดอุปสรรดด้วยใช่ไหมคะ สามารถไปไว้ที่รถได้ไหมเจ้าคะ

    ท่านเจ้าคุณฯ : เออ ดีใส่รถน่ะนะ ป้องกันอันตรายนะ

    โยม : การใช้ยันต์ในการกันเพลี้ยนี่ อธิษฐานแทนพ่อซึ่งอยู่ที่ไร่ได้ไหมคะ เรา
    อธิษฐานแทนพ่อ

    ท่านเจ้าคุณฯ : อธิษฐานอย่างนี้ ได้ๆ แต่โยมปักที่นี่อธิษฐานไปคุมที่โน่นยังไง ไม่รู้หรอก (หัวเราะ) อธิษฐานแทนพ่อได้ แล้วไปปักให้พ่อ พ่อไม่เชื่อเดี๋ยวยันต์เหาะ (หัวเราะ)

    โยม : ปักที่ไร่ต้องปักกันอย่างไรคะ

    ท่านเจ้าคุณฯ : ก็ปักที่ไร่ก็ปักให้ถึงดินก็แล้วกัน หรือปักที่ต้นไม้ก็ได้ ไม่มีคนเห็น

    โยม : กลับไปเดี๋ยวจะไปติดรอบบ้านเลย

    ท่านเจ้าคุณฯ : เอาลองดูเอาแค่สักผืนเดียวก่อนก็ได้ ถ้ารอบบ้านเป็นหมื่นเป็นอะไรเข้าเดี๋ยวจะยุ่ง เดี๋ยวเกิดทำเป็นราวเขาจะหาว่า เอ๊ะ บ้านนี้มีงานอะไรวะติดธงราว (หัวเราะ)

    ***เมื่อได้ผ้ายันต์มาแล้ว เอาไปปักก็อย่าลืมอธิษฐานนะ การอธิษฐานก็คือการตั้งใจแล้วก็ขอพรต่อ***

    (จากคอลัมน์ "ท่านเจ้าคุณสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 482 เดือนพฤษภาคม 2564 หน้า 26-27)


    ผ้ายันต์กันเพลี้ย 3 แบบ.jpg
     
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,733
    IMG20210219143513.jpg
    (พระบรมธาตุสมเด็จองค์ปฐม พระผู้ใหญ่เมตตามอบให้มาบูชาครับ)


    พระธาตุเสด็จ

    ยกทรง : ได้ข่าวว่าเมื่องานธุดงค์ ที่วิหาร 100 เมตรก็ดี ที่วิหารองค์ปฐมก็ดีพระบรมสารีริกธาตุ โอ้โฮ เสด็จมานับไม่ถ้วนเลยที่ได้กันไป

    ท่านเจ้าคุณฯ : ก็มีอยู่คนหนึ่งชื่ออะไรนะ ไอ้เกียง แล้วก็ใครวะ มิดดี้ หรือไง คู่กับไอ้เกียง มิดดี้เอาแม่ไปด้วย ไปภาวนาอยู่หน้าพระศพ บวช 5 วัน แกไปได้พระธาตุมาองค์ใสแน๋ว แม่ก็เก็บไว้ไม่บอกลูก เก็บใส่กระดาษทิชชู่แล้วห่อมา มาใส่ผอบที่บ้านที่กรุงเทพฯนี่

    พอลูกสาวบวช 10 วันก็กลับไปบ้าน แม่ก็เอาอวด พอเปิดผอบขึ้นเท่านั้นแหละ แสงพุ่งฉิวขึ้นข้างบนเลย พระธาตุหายไปหมดเลย องค์เดียวนะหายไปเลย พุ่งขึ้นไปข้างบนเป็นแสงสีทองขึ้นไปเลยอย่างนี้

    โอ้โฮ เก๊กซิมละทีนี้ ภาวนายังไงก็ไม่ติดละทีนี้ ความจะอวดลูกสาว แสงพุ่งขึ้นไปเลยทีนี้ หายไปกับตาอย่างนี้ โอ้โฮ ทีนี้เองไปนั่ง 5 วันไม่ได้อะไรแล้ว อั๊วไปนั่ง 5 วันหลวงพ่อให้อั๊ว 5 วันเท่านั้นเองหายไปแล้ว ก็ยังเสียใจอยู่

    ตอนหลังใครมาปลอบใจยังไงไม่รู้ อุตส่าห์พาแม่ไปนะ เป็นคนที่อยู่บ้านสบายนี่ ไปอยู่โน่นได้ 5 วัน พระธาตุก็ไปอยู่ได้ 5 วันเหมือนกันแล้วก็กลับ ก็แปลก

    หลวงพี่โอ ก็บอก ก็ยุใหญ่ทีนี้ ต้องภาวนาอย่างนั้นนะอย่างนี้นะ หลอกให้ภาวนาอีก จะมาหรือไม่มาไม่รู้ให้ภาวนาไว้ก่อน ท่านถึงจะมาใหม่

    ยกทรง : อันนี้แปลก แสดงปาฏิหาริย์เลยนะ

    ท่านเจ้าคุณฯ : ตอนนี้เขาขยันรักษาศีลภาวนานี่ บ้านนี้นะ



    ยกทรง : หลวงพ่อเคยเล่าไหมว่า ถ้าทำดีก็เสด็จมา ทำไม่ดีก็อาจเสด็จไปได้ มีไหมครับเรื่องอย่างนี้

    ท่านเจ้าคุณฯ : เรื่องนี้จริง มาได้ไปได้ ทำดีพระธาตุเสด็จมาได้เสด็จไปได้ เสด็จมาถือว่ากระทำความดี

    อย่างบ้านพลอากาศเอกอาทร ท่านมาใหญ่กว่าเก่า ใหญ่กว่าเยอะใหญ่กว่าเดิม 10 เท่าตัวมั้ง ยิ่งนั่น (ภาวนา) ยิ่งอ้วน

    โยมตุ๋ยก็ไปถามหลวงพ่อ ทำไมท่านถึงใหญ่ขึ้น ท่านบอกเป็นรางวัลแห่งความดีกระทำความดีท่านก็สงเคราะห์ให้เกิดศรัทธานี่

    ยกทรง : อ้อ ที่ใหญ่ขึ้นเพราะความดี

    ท่านเจ้าคุณฯ : ใช่ ยังไม่เคยเห็นพระธาตุใหญ่เท่านี้เลย เห็นแต่องค์เล็ก
    เท่า (เมล็ด) ข้าวสาร นี่ใหญ่กว่านั่นเยอะ เท่าเมล็ดข้าวโพดนี่ บอกได้มาใหม่ๆ ก็องค์เล็ก องค์ท่านใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

    ยกทรง : ทั้งๆ ที่อยู่ตลับฝาปิดนั่นนะ

    ท่านเจ้าคุณฯ : ใช่ ตลับฝาปิดเสด็จเข้าไปได้ไปเพิ่มอีก ขนาดปิดแล้วนะ เออ ก็แปลกเหมือนกัน ท่านก็บอก ไปเล่าให้คนอื่นเขาก็คงไม่เชื่อ ท่านบอกนี่เป็นสิ่งสำคัญมันไม่ธรรมดา

    สมัยก่อนใครเล่าเราก็ไม่เชื่อ ใช่ไหม ให้มันได้กับตัวเองน่ะ

    ยกทรง : ต้องประสบการณ์ตนเองถึงจะเชื่อนะ แล้ววิธีที่จะให้พระบรมสารีริกธาตุเสด็จมานี่ หลวงพ่อมีคำแนะนำอย่างไร ปฏิบัติอย่างไรหรือเปล่าครับ

    บางคน แหม...ตั้งพานไว้เบ้อเร่อ ไม่ได้สักองค์หนึ่ง ต้องมีเทคนิคอะไรหรือเปล่าครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ : ท่านบอกกับเรานะ ธรรมดานี่เขามีคาถากัน มีคาถาภาวนานี่ แต่ท่านไม่บอกกับเรา ไม่เหมือนกับคาถาคนอื่นเขา ท่านบอกว่าแกสวด อิติปิ โส นี่แหละ

    อิติปิ โส ภะคะวา อะระหังสัมมา.... สรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้านี่แหละ แกไม่ต้องไปสวดคาถาอื่นหรอก คาถาอย่างนี้สรรเสริญพระพุทธเจ้า อิติปิโส 3 ห้อง นี่นะ สวดให้ครบ 3 ห้องก็ได้ พุทธคุณนี่

    ยกทรง : วันหนึ่งซักกี่จบ มีกติกาไหมครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ : เอาแค่สบายใจ เดี๋ยวตั้งไว้ 108 จบ พอสวดไปได้สัก 20 จบ อื้อหือ กูเอ๋ย ทำไมถึงทุกข์ยากอย่างนี้วะนี่ (หัวเราะ) มันจะเกิดนิพพิทาญาณ เดี๋ยวจะสวดไปด่าไป

    สมัยก่อนมีอยู่ พ.ศ. 16 หรือ 17 นี่นะ บ้านเมืองมันก็ไม่ค่อยดี ค่อยๆ พูด
    กันนะ มันเกี่ยวกับดวงเมืองเป็นอย่างไรไม่รู้ เจ้าพิธีก็ให้สวดพุทธคุณ 108 จบ

    แต่หลวงพ่อท่านไม่สวดเหมือนคนอื่นเขาหรอก ท่านเอาพระ 3 กะ 3 ชุด ชุดละ 9 จบ พอ 9 จบก็พัก องค์นั้นก็มาต่อ เปลี่ยนกันอย่างนี้จน 108 จบ ถ้าสวดชุดเดียวคงเอาเรื่องสังเกตดู หลวงพ่อท่านไม่ทำให้เหนื่อย


    (จากคอลัมน์ "ท่านเจ้าคุณสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 483 เดือนมิถุนายน 2564 หน้า 12-13)

     
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,733
    IMG_20170418_125845.jpg IMG_20170418_130045.jpg IMG_20170418_130414.jpg IMG_20170418_130418.jpg


    พระผงรุ่น 1 ปี หลวงพ่อมรณภาพ ในภาพเป็นพระผงนะครับ ผมนำไปให้ทางร้าน Gold Innovation เคลือบทอง โรเดี้ยม และ นาค เพื่อไว้บูชาส่วนตัวครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2021

แชร์หน้านี้

Loading...