อัลบั้มพระ ประวัติ และวัตถุมงคล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ปู ท่าพระ, 26 ธันวาคม 2013.

  1. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    6825A547-FEE7-482F-8B9B-04645301494D.jpeg

    6BC2870A-D7B7-4DB4-BC5C-3F7687E02E30.jpeg

    CBD74E53-3765-4414-9624-91FCC1D9B13E.jpeg

    842CE324-1A07-4223-994D-4DA4A924429B.jpeg


    ใกล้ๆกันน่าจะเป็นศาลาการเปรียญเพราะมีขนาดใหญ่โตกว้างขวางจุศรัทธาสาธุชนได้มาก ศิลปะละเอียดงดงาม พระประธานประดิษฐานอยู่ในโขงพระเจ้า ดูงดงามแปลกตา
     
  2. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    A851DAEF-29CE-490B-AFE9-8556E9736ADD.jpeg

    0DD2B1B7-B3AA-47CC-9E43-8BAC819236A4.jpeg

    D7A0D2EB-71F6-4DC1-B71E-71FCB4F67747.jpeg

    6A6AE6BA-AB81-4D95-B18C-861E80BB9DA7.jpeg

    ความงามขององค์หลวงปู่ทั้งสอง หลวงปู่แสง ญาณวโร กับ หลวงปู่ไพบูลย์ สุมังคโล ท่านทั้งสองเคยออกธุดงค์ด้วยกัน สมัยตอนท่านเป็นพระหนุ่ม ๆ จากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ เวลาร่วม ๕๐ ปี ที่ทั้งสองไม่ได้เจอกัน สุดท้ายองค์หลวงปู่ทั้งสองก็มาพบกัน ในวัยชรา ที่สำนักสงฆ์เทพนิมิตรสุดเขตแดนสยาม อ.เชียงของ จังหวัดเชียงราย องค์หลวงปู่ไพบูลย์ ท่านเคารพนอบน้อมต่อองค์หลวงปู่แสง ท่านเคารพองค์หลวงปู่แสงมาก ท่านเรียกพ่อ ๆทุกคำ ทำให้พวกเราที่เห็นภาพมหามงคล และอยู่ในเหตุการณ์ ต่างน้ำตาคลอ ๆไปตาม ๆ กัน ด้วยความปีติยิ่ง

    นับเป็นมหามงคลของดินแดนนครล้านนา ติดแดนชายขอบที่มีพระอริยะ มาอาศัยครับ

    ขอกราบอาราธนาองค์หลวงปู่ทั้งสอง มีธาตุขันธ์แข็งแรงตลอดไป

    Cr. คมกริช บอล วีรวิกรม ​
     
  3. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    2A52B13E-CDEB-434F-96FA-9E2FB0FDE620.jpeg

    E41F78F7-1E63-495E-A8AA-E4D3784FCCBF.jpeg

    63FE2938-E3ED-4BD4-A473-386E1BB83015.jpeg

    7F7E69FA-8D2E-4A16-A2E9-78352085B500.jpeg

    09028375-91BC-4AF7-89D4-EF5F6586C8CC.jpeg

    D0FAA655-9259-444D-91D3-B80E6E356948.jpeg

    9BEE8697-71BE-4FF0-B554-AC503037210C.jpeg

    EB9D8FC8-F4F7-4E9F-85B7-523150162A4F.jpeg

    CE26B72F-E802-4B35-9E39-130C74FCB52D.jpeg

    ปิดทริปเชียงรายด้วยภาพวัดอนาลโยชุดนี้ วัดอนาลโยนี้ใหญ่โตมากมีสิ่งก่อสร้างเยอะล้วนแล้วแต่งดงามบรรยากาศเหมือนอยู่บนสรวงสวรรค์ มีหลายคนที่สามารถสัมผัสได้ถึงความลี้ลับ หากจะเดินชมให้ครบคงต้องใช้เวลาทั้งวัน เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ควรไปให้ได้สักครั้งในชีวิต
     
  4. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    F0788BCD-5D13-4906-9512-46B2F56C4EAC.jpeg

    9907F05E-6C8F-4D99-85D7-1D72EE6E9AEC.jpeg

    0AE7E9F3-2FAD-45BC-9BE6-BE8FAF3C778D.jpeg

    A72577E8-7621-4A9B-A819-70F5C66D4ECA.jpeg

    EFD266B9-BE63-456A-AA3F-319E2E51195C.jpeg



    เมืองแห่งยักษา วัดจุฬามณี จ.สมุทรสงคราม(๑)

    ครูบาอาจารย์แต่โบราณ ท่านได้สรรสร้างเครื่องรางไว้หลายรูปแบบ ด้วยมีการใช้ที่แตกต่างกัน บางอย่างใช้ทาง เมตตาค้าขาย คงกระพัน ป้องกันคุณไสย ไว้รบทัพจับศึก เป็นต้น ปัจจุบันเครื่องรางประเภทครุฑ พญานาค และท้าวเวสสุวรรณ กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก

    ท้าวเวสสุวรรณ เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมมานาน พานพบได้ตามวัดวาอาราม ยืนตระหง่านเฝ้าประตู โบสถ์วิหาร นอกจากนี้ครูบาอาจารย์ท่านยังสร้างเป็นเครื่องรางมีทั้ง รูปหล่อ เหรียญ ผ้ายันต์ เอาไว้ให้ศิษย์ได้ใช้ป้องกันตัว ด้วยมีคติความเชื่อกันว่า ท้าวเวสสุวรรณ เป็นนายแห่งภูตผีปีศาจ คนสมัยก่อนนิยมนำผ้ายันต์ท้าวเวสสุวรรณ แขวนไว้เหนือเปลเด็กใช้ป้องกันภูตผี ที่จะมารบกวน

    DCCBADF6-4BFA-4D0D-ABD5-8C8E27D6E324.jpeg

    นอกจากนี้ยังใช้ป้องกันไสย์เวทย์มนต์ดำ กระทำย่ำยี จะไม่มีแก่ผู้ที่บูชาท้าวเวสสุวรรณ และยังเชื่อกันว่าท่านเป็นจ้าวแห่งทรัพย์ หากบูชาให้ดี จะเกิดโชคลาภมามี เหมือนที่คนจีนบูชาเทพ "ไฉ่ซิงเอี๊ย"
     
  5. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    5.jpg

    4.jpg

    6.jpg


    เมืองแห่งยักษา วัดจุฬามณี จ.สมุทรสงคราม(๒)

    ท้าวเวสสุวรรณพรหมาสูติเทพ

    ทุกวันนี้หากจะกล่าวถึงองค์ท้าวเวสสุวรรณ หรือจะหาวัตถุมงคลมาบูชาก็ต้องนึกถึงวัดจุฬามณีเป็นอันดับต้นๆ ด้วยมีผู้นิยมบูชาแม้กระทั้งดารามีชื่อต่างก็มาขึ้นกันมากมาย กลิ่นธูปควันเทียนไม่เคยจางหาย เสียงประทัดสายดังสนั่นไม่เคยขาดตอน ย่อมสะท้อนความศรัทธาของมหาชนได้เป็นอย่างดี ท้าวเวสสุวรรณวัดจุฬามณีมีที่มาเช่นไรนั้นไปสอบถามอากู๋มาได้ความว่า

    ************************************

    พระอาจารย์อิฏฐ์ เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันของวัดจุฬามณีได้เล่าว่าตอนที่ท่านรับตำแหน่งเจ้าอาวาสใหม่ๆ ท่าเกิดล้มป่วยลงและได้นิมิต(ฝัน)เห็นเทพองค์หนึ่ง(ท้าวเวสสุวรรณพรหมาสูติเทพ) ในนิมิตนั้นองค์ท่านได้พาพระอาจารย์อิฏฐ์ไปเที่ยวชมยมโลกจนทั่ว แล้วจึงพาท่านกลับก่อนจากกันท่านพระอาจารย์อิฏฐ์ถามว่าท่านคือใคร เทพบุตรองค์นั้นจึงเนรมิตร่างเป็นองค์ท้าวเวสสุวรรณปางจตุมหาราชิกายืนถือกระบองอย่างที่เราคุ้นตากัน พระอาจารย์อิฏฐ์จึงตั้งอธิษฐานเป็นสัจจะวาจาเอาไว้ว่า ถ้ากลับไปในโลกมนุษย์ครั้งนี้จะทำการตั้งรูปปั้นขององค์ท้าวเวสสุวรรณไว้กลางวัด เสมือนเป็นการขอบคุณและการให้ความเคารพแก่ท่าน ในนิมิตพระอาจารย์อิฏฐ์ก็ได้บอกความประสงค์นี้แก่ท่านท้าวเวสสุวรรณไป ท่านจึงบอกกลับมาว่า หากจะปั้นฉัน จะต้องไปตามช่างปั้นชื่อทองร่วงที่อยู่ในจังหวัดเพชรบุรี ต้องให้ช่างผู้นี้เป็นผู้ปั้นเท่านั้น และนั่นจึงกลายเป็นตำนานที่มา ที่ทำให้ท้าวเวสสุวรรณแห่งวัดจุฬามณี ได้รับแรงศรัทธาจากผู้คนล้นหลาม กลิ่นธูปควันเทียนและเสียงสวดคาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณจากคนทั่วทุกสารทิศจึงมาอบอวลอยู่ที่วัดจุฬามณีแห่งนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน

    ท้าวเวสสุวรรณวัดจุฬามณีนั้นจะแตกต่างจากที่อื่น เพราะนอกจากจะมีปางที่เป็นรูปยักษ์อย่างที่เราคุ้นเคยกันแล้วก็ยังมี ปางอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แค่ที่เป็นยักษ์ให้เราเห็นและกราบไว้บูชาอีกด้วย ซึ่งรูปปั้นท้าวเวสสุวรรณ์แห่งวัดจุฬามณีนั้น จะมีอยู่ด้วยกันถึง ๔ ปาง ดังนี้

    ๑. ปางพรหมาสูติเทพ – ปางนี้จะเป็นเทพอยู่บนสวรรค์ชั้นพรหม รูปกายองค์ท่านจะสีทอง และสวมใส่ภูษาสีทองเช่นกัน อำนวยชัยให้พรแก่ผู้ที่มาขอในเรื่องโชคลาภเงินทอง
    ๒. ปางเทพบุตรสูติเทพ – ปางนี้จะเป็นเทพบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ รูปกายองค์ท่านจะสีทอง สวมใส่ภูษาสีแดง อำนวยชัยให้พรแก่ผู้ที่มาขอในเรื่องความรัก คู่ครองความปรารถนาต่าง ๆ
    ๓. ปางจาตุมมหาราช – เป็นปางที่เราคุ้นเคยกันดี เป็นยักษ์ร่างใหญ่ ดูน่ายำเกรง ซึ่งปางนี้รูปกายองค์ท่านจะสีเขียวออกดำ สวมใส่ภูษาสีเขียว อำนวยชัยให้พรแก่ผู้ที่มาขอการในเรื่องปกป้องคุ้มครองให้ชีวิตมีแต่ความปลอดภัยจากสิ่งไม่ดี และสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ
    ๔. ปางมนุษย์ – ปางนี้อำนวยชัยให้พรแก่ผู้ที่มาขอในเรื่องการดำเนินชีวิตที่ราบรื่น ทำสิ่งใดก็ไม่มีอุปสรรค

    ด้วยองค์ท่านเป็นเทพเทวาที่มีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถอำนวยพรให้แก่เหล่ามนุษย์ผู้คนทั้งหลายได้ทุกด้านครอบคลุมดังนี้ จึงไม่แปลกใจที่ใครหลายคนจะกราบไหว้บูชา บางคนก็มีเหรียญหรือรูปหล่อองค์ท่านพกติดตัว บางคนก็เป็นผ้ายันต์รูปท้าวเวสสุวรรณ หรือบางคนก็นำรูปท่านอย่างปางพรหมาสูติเทพ หรือปางมนุษย์ตั้งเป็นรูปในหน้าจอมือถือสมาร์ทโฟนของตนเองด้วย ด้วยความเชื่อที่ว่าเวลาใช้ติดต่อการงานก็จะประสบความสำเร็จนั่นเอง


    ที่มา: https://art-made-easy.com/ท้าวเวสสุ...L5j3PpGoSxys1GG1vUfsqSDaGEcD4j9nCnEOktaUUCgTI
     
  6. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    539DF55E-0BBE-4309-B523-45FAA0702EE2.jpeg

    FDC1B0E6-190E-4577-B9D0-B936A3E59551.jpeg

    C3AFA58D-AEC4-4FC6-B4CD-C5A5B217747F.jpeg

    B1869255-E809-4B45-B958-D81A76562F34.jpeg

    4F39DAC2-049C-4C67-BA86-D73F1F36567D.jpeg


    เมืองแห่งยักษา วัดจุฬามณี จ.สมุทรสงคราม(๓)

    ตำนานความเชื่อองค์ท้าวเวสสุวรรณ(๑)

    ท้าวเวสสุวรรณ เป็นที่เคารพของผู้คนมากมายหลากหลายศาสนา ปรากฏมาแต่ครั้งโบราณ มีทั้งตำนานและรูปเคารพบูชา เรามาดูกันว่าแต่ละท้องที่มีความเชื่อเช่นใดกันบ้าง

    ***************************

    *ตามตำนาน องค์ท้าวกุเวร

    ---บางตำนานก็เรียก...พระเศรษฐี เรียก....ไฉ่ฉิงเอี๊ย เรียก....ท้าวเวสสุวรรณ

    ---ในความเป็นมนุษย์ ย่อมมีศรัทธาเป็นที่ตั้ง มีหลายสิ่งหลายอย่างเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ความเชื่อในศาสตร์ ความเชื่อในศิลปวัฒนธรรม

    *มีตำนาน มากมายอ้างอิงถึงประวัติของแต่ละความเชื่อ

    ---ให้ยึดมั่นถือมั่นในความดี มีศีลธรรม คิดดีประพฤติดี มีสัจจะ ทั้งทางกาย วาจา ใจ องค์ท้าวกุเวร (ชัมภล) หรือ เทพเจ้าแห่งความร่ำรวย พระหัตถ์ด้านขวาถือลูกแก้ววิเศษ พระหัตถ์ด้านซ้ายถือพังพอน ที่กำลังคาย เพชร,นิล,จินดา,แก้วแหวนเงินทอง พระบาทซ้ายเหยียบหอยโข่ง นั่งท่ามหาราชเทวา

    *ความเชื่อในพระปางนี้
    ---มีมาตั้งแต่อินเดียผ่านไทยไปถึงเมืองจีน ที่เมืองจีนเรียกไฉ่ฉิงเอี้ย สลักอยู่ที่หน้าผาหิน

    ---ท้าวกุเวร วัดถ้ำคูหาพิมุข ถ้ำพระนอน อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ท้าวกุเวรมหาราช (พระธนบดีศรีธรรมราช) ผู้ประทานโชคลาภและความมั่งคั่ง แห่งอาณาจักรทะเลใต้จำลองจากต้นแบบองค์ที่สวยที่สุดในโลก ซึ่งปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์กีเม่ต์ ประเทศฝรั่งเศส พระธนบดี ศิลปะศรีวิชัย เนื้อสำริดสนิมเขียว อายุประมาณ 1,200 ปี องค์นี้มีความงดงามสุดยอด เป็นศิลปะศรีวิชัยบริสุทธิ์ นำมาเป็นต้นแบบจัดสร้างในครั้งนี้

    *พระธนบดีศรีธรรมราช (เจ้าแห่งโชคลาภ)
    ---จัดสร้างขึ้นเป็นครั้งแรก โดยจำลองแบบมาจากรูปหล่อ ท้าวกุเวรเจ้าแห่งขุมทรัพย์ที่สร้างขึ้นในสมัยศรีวิชัย โดยมีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น พระธนบดี พระกุเวร พระรัตนครรภ์ เจ้าพ่อขุมทรัพย์ เทพเจ้าแห่งโชคลาภ โบราณถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ที่มีหน้าที่ประทานความมั่งคั่ง ความมีโชคดีให้กับผู้บูชา ฯลฯ

    ---ท้าวกุเวร เป็นเทพผู้รักษาทิศเหนือ ตามลัทธิศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ

    *ประวัติของท้าวกุเวรกล่าวไว้ว่า
    ---พระองค์ได้บำเพ็ญทุกรกิริยา เป็นเวลาหลายพันปี จนพระพรหมทรงเห็นใจโปรดให้เป็นเทพแห่งความมั่งคั่ง จากมหากาพย์รามายณะ กล่าวว่า เทพกุมารได้รับยานที่ขับเคลื่อนไปในอากาศได้ตามประสงค์ของเจ้าของคือ บุษบก

    ---บางตำรากล่าวว่าท้าวกุเวรมีม้าสีขาวเป็นพาหนะ มีมเหสีนามว่า จารวี หรือ ฤทธี มีโอรส 2 องค์ ชื่อ มณีครีพ หรือ วรรณกวี กับ นุลกุพล หรือ มยุราช

    ---มีธิดา 1 องค์ชื่อ มีนากษี ในรามเกียรติ์กล่าวว่า ท้าวกุเวรทรงเป็นบิดาคันธมาทน์ นายทหารของพระราม และมีสวนชื่อเจตรรถอยู่บนยอดเขามันทร ท้าวกุเวรยังมีชื่อเรียกตามเรื่องราวและคุณสมบัติอีกหลายชื่อ เช่น กุตนุ (มีรูปร่างน่าเกลียด) รัตนครรภ(มีเพชรเต็มพุง) ราชราช (เจ้าแห่งราชา) นรราช ธนบดี (เป็นใหญ่ในทรัพย์) ยักษราช (เจ้าแห่งยักษ์) รากชเสนทร์ (เป็นใหญ่ในพวกรากษส) ฯลฯ

    ---ตามเรื่องรามเกียรติ์ เรียกชื่อท้าวกุเวรว่า ท้าวกุเปรัน แต่ชื่อที่คนไทยคุ้นเคย คือ ท้าวเวสสุวัณ (สันสกฤต-ไวศรวณบาลี-เวสสวณ) ในคัมภีร์ไตรเพทกล่าวว่า ทรงเป็นอธิบดี ของพวกอสูร รากษสและภูติผี ในกลุ่มพวกนับถือศาสนาพุทธลัทธิมหายานในประเทศจีนกล่าวว่าโลกบาลทิศอุดร มีชื่อว่า "โตบุ๋น" แปลว่า " ได้ยินทั่วไป " มีพวกยักษ์เป็นบริวารมีกายสีดำ ถือดวงแก้วและงู

    ---ส่วนพวกธิเบตกล่าวว่าถือธงและพังพอน สีกายเป็นสีทองคำ ในประเทศญี่ปุ่นถือว่า โลกบาลทิศนี้ เป็นเทพเจ้าประจำโชคลาภมีนามว่า " พิสะมอน " ตรงกับนามว่า " ธนบดี " หรือ ธเนศวร อันเป็นนามหนึ่งของท้าวกุเวร แปลว่า ผู้เป็นเจ้าแห่งทรัพย์ ส่วนหนึ่งของที่ถือนั้น มีแก้วมณีกับทวนหรือธง

    ---ศาสนาพุทธนิกายมหายาน ลัทธิวัชรยานในคัมภีร์สาธนมา กล่าวถึงท้าวกุเวรว่ามีหน้าที่เป็นทั้งธรรมบาล คือ ผู้มีตำแหน่งเทียบเท่าพระโพธิสัตว์ มีหน้าที่ทำสงครามปราบปรามปีศาจและยักษ์มารต่างๆ ซึ่งเป็นศัตรูต่อพระพุทธศาสนา ทรงเป็นโลกบาล (มีชื่อว่า เวสสุวัณหรือไวศรวีณ) คือ เทพผู้มีหน้าที่ปกป้องทิศทั้ง 4 (เฉพาะทิศเหนือ) อยู่บนเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาล และ คอยเฝ้าคอยดูแลทางเข้าสวรรค์ (ดินแดนสุขาวดี)

    ---พระธนบดีที่เก่าที่สุด เท่าที่พบในประเทศไทย มีการสร้างมาตั้งแต่ครั้งยุคสมัยศรีวิชัย เมื่อกว่า 1,000 ปีก่อน แสดงให้เห็นถึงความสำคัญได้อย่างดี พระธนบดียังถือว่าเป็นนิรมาณกายอีกปางหนึ่งของพระโพธิสัตว์ และยังเป็นส่วนหนึ่งของพระมหากษัตริย์ตามคำภีร์พระมนู ซึ่งจะหมายถึงปางหนึ่งของจตุคามรามเทพก็ได้ ที่จะประทานความอุดมสมบูรณ์และความมั่งคั่งให้กับโลกมนุษย์ การสร้างพระธนบดีครั้งนี้จึงสร้างขึ้นจากศาสตร์ความรู้ที่มีมาตั้งแต่ครั้งโบราณ

    *ตามคัมภีร์เก่าแก่กล่าวไว้ว่า
    ---ท่านเป็นผู้ประทานความมั่งคั่ง แผ่นดินใดที่อุดมสมบูรณ์พระมหากษัตริย์ปกครองแผ่นดินโดยธรรม ทรงเปี่ยมไปด้วยพระบรมเดชานุภาพเหนือกว่าพระราชาทั้งปวงหรือที่เรียกว่า "จักรพรรดิ" ท้าวกุเวรหรือชัมภลนี้ จะเป็นผู้ประทาน "สัตรัตนมณี" แก้วเจ็ดประการหรือสมบัติแห่งจักรพรรดิอันมีช้างแก้ว ม้าแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว มณีแก้ว นางแก้ว จักรแก้ว การประทานสมบัติเจ็ดประการของมหาจักรพรรดิ เพื่อความรุ่งเรืองแห่งแผ่นดิน มีดังนี้

    ---ประการที่ 1 จักรรัตนะ คือ จักรแก้ว หมายถึง การมีอำนาจหรือเดชานุภาพแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ

    ---ประการที่ 2 หัตติรัตนะ คือ ช้างแก้ว หมายถึง การแสดงออกซึ่งความมีบารมีที่ยิ่งใหม่ความมั่นคง

    ---ประการที่ 3 อัสสรัตนะ คือ ม้าแก้ว หมายถึง การมีบริวารข้าทาสรับใช้ที่ดี

    ---ประการที่ 4 มณีรัตนะ คือ มณีแก้ว หมายถึง ความสว่าง ความมีสติปัญญา ความรู้

    ---ประการที่ 5 อิตถีรัตนะ คือ นางแก้ว หมายถึง ได้คู่ครองที่ดีมีความงดงาม

    ---ประการที่ 6 คหปติรัตนะ คือ ขุนคลังแก้ว หมายถึง ความมีทรัพย์สิน เงินทองบริบูรณ์

    ---ประการที่ 7 ปริณายกรัตนะ คือ ขุนพลแก้ว หมายถึง ที่ปรึกษาคู่ใจ ผู้ให้ความรู้ ผู้ปกป้องคุ้มครอง บุตรที่ดี

    ---พระธนบดี หินแกะสลักที่มหาเจดีย์บุโรพุทโธ อินโดนีเซีย ศิลปะศรีวิชัยที่งดงาม ประจักษ์พยานถึงความสำคัญของพระธนบดี ผู้ประทานสมบัติพระจักรพรรดิแห่งอาณาจักรทะเลใต้ ดังนั้น อานุภาพแห่งพระธนบดีนี้ สามารถอธิษฐานขอพรได้ 7 ประการดัวยกัน ตามคุณลักษณะของสมบัติจักรพรรดิ 7 ประการ ซึ่งประทานให้โดยมหาราชผู้เป็นท้าวจตุโลกบาล ซึ่งคุ้มครองดูแลโลกมนุษย์ตลอดกาล อาณาจักรศรีวิชัยเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มีพระราชาธิราช ที่มีพระบรมเดชานุภาพเหนือกว่าพระราชาองค์อื่นปกครองทั่วน่านน้ำอาณาจักรทะเลใต้ มีพระมหากษัตริย์ที่ประกาศตนยิ่งใหญ่ ประดุจพระอาทิตย์ พระจันทร์ มีจารึกกรุงศรีวิชัย ประกาศความยิ่งใหญ่ ปรากฏชัดเจน

    *ในคัมภีร์รามายณะและมหาภารตะได้บันทึกไว้ว่า
    ---ท้าวเวสสุวรรณมีอีกนามหนึ่งคือ ท้าวกุเวร (ท้าวจตุโลกบาล หรือท้าวมหากาพย์ หมายถึง เทพผู้มีภารกิจคุ้มครองปกป้องโลกทั้งสาม) ซึ่งเป็นเทพแห่งยักษ์เป็นอสูรเทพ ท้าวเวสสุวรรณนี้เป็นเจ้าแห่งอสูรเทพทั้งมวลนั่นเอง พระปุลัสตย์นั้นเป็นพระบิดาของท้าวเวสสุวรรณและท้าวเวสสุวรรณได้มีโอรสองค์หนึ่งชื่อว่า พระวิศรวัส

    ---ท้าวเวสสุวรรณแม้จะเป็นเทพอสูร แต่เป็นอสูรที่มีชาวบ้านชาวเมืองเคารพนับถือเป็นอันมาก ดังจะเห็นว่าแม้ในปัจจุบันนี้ ก็ยังมีพระรูปของท้าวเวสสุวรรณติดไว้ตามบ้านต่างๆ เพื่อให้พระองค์ได้คุ้มครองดูแลปกป้องบ้านเรือนของครอบครัวนั้น ส่วนใหญ่พระรูปของท้าวเวสสุวรรณ จะถูกชาวบ้านชาวเมืองนำมาติดไว้ที่ประตูหรือหน้ารั้วเพื่อให้พระองค์ได้ปกป้องคุ้มครอง เพราะอีกนัยหนึ่งนั้นมีความเชื่อในหมู่ชาวอินเดียโบราณว่า ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งทรัพย์สินด้วย

    ---พระนามในบางคัมภีร์ของท้าวเวสสุวรรณ อาทิ ยักษราช มยุราช รากษสเสนทร์ และธนบดี ซึ่งหมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์สินนั่นเอง การที่คนในพุทธศาสนาได้ทำบุญแล้วอธิษฐาน อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรนั้น จริงๆ แล้วในความเชื่อของพราหมณ์ ถือว่าหมายถึง ท้าวเวสสุวรรณ หรือท้าวจตุโลกบาลนั่นเอง

    ---ท้าวเวสสุวรรณในบางคัมภีร์ เป็นอสูรเทพ เป็นยักษ์ 3 ขา มีฟัน 8 ซี แต่พระวรกายขาวกระจ่าง สวมอาภรณ์งดงามมีมงกุฎทรงอยู่บนพระเศียร แต่มีรูปกายพิการและมีพาหนะคือ ม้าสีขาวนวลราวกับปุยเมฆ องค์นี้เป็นศิลปะแบบธิเบต

    *ท้าวเวสสุวรรณหรือท้าวกุเวร
    ---ธิเบตเรียก นัม.โถ.เซ. จีนเรียก ใช้ป๋อเทียนอ๊วงหรือพีซามึ้งเทียนอ๊วงหรือแป๊ะไช้ซิ้ง ท่านมีสองสถานะคือ สถานะเทพผู้ประทานทรัพย์องค์ขาว และสถานะหนึ่งในท้าวจตุโลกบาล

    ---ตำนานได้กล่าวไว้ว่า เมื่อก่อนพระศากยะมุนีพุทธเจ้า จะปรินิพพานได้สั่งความแก่ท้าวจตุโลบาลไว้ว่า ในอนาคตต่อไปพุทธศาสนาจะประสพกับอุปสรรคมากมายจากพวกนอกศาสนา พวกไม่หวังดีต่อพุทธศาสนา จะทำร้ายพุทธศาสนา ขอให้ท้าวจตุโลกบาลช่วยกันปกป้องรักษาพุทธศาสนา ตั้งแต่นั้นมาท่านก็ได้ทำหน้าที่ปกป้อง พิทักษ์รักษาพุทธศาสนาและผู้ปฏิบัติธรรมเสมอมา คาถาประจำองค์ โอม ไว ซา วา นา เย โซ ฮา ฯลฯ

    *คติชาวไทย
    ---ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ เป็นอธิบดีแห่งอสูรย์หรือยักษ์ หรือเป็นเจ้าแห่งผี เป็นหนึ่งในบรรดาท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ทรงอิทธิฤทธิ์อานุภาพมาก ประทับ ณ โลกบาลทิศเหนือ มียักษ์เป็นบริวาร คนไทยโบราณนิยมนำผ้ายันต์รูปยักษ์ผูกไว้ที่หัวเตียงเด็ก เพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้มารังควาญแก่เด็ก ท้าวกุเวรองค์นี้มีกล่าวถึงในอาฏานาฏิยปริตรว่านำเทวดาในสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา มาเฝ้าพระพุทธเจ้าและได้ถวายสัตย์ที่จะดูแลพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกไม่ให้ยักษ์หรือบริวารอื่น ๆ ของท้าวจตุโลกบาลไปรังควาญ

    ท้าวกุเวรหรือท่านท้าวเวสสุวรรณนั้น ส่วนมากเราจะพบเห็นในรูปลักษณ์ของยักษ์ยืนถือกระบองยาวหรือคทา (ไม้เท้าเป็นรูปกระบอง) กันซะส่วนใหญ่ แต่แท้ที่จริงแล้ว ยังมีรูปเคารพของท่านในรูปของชายนั่งในท่ามหาราชลีลา มีลักษณะอันโดดเด่นคือ พระอุระพลุ้ยอีกด้วย เป็นที่เคารพนับถือ ในความเชื่อว่าเป็นเทพแห่งความร่ำรวย
    แต่ท้าวกุเวรในรูปของท้าวเวสสุวรรณซึ่งมาในรูปของยักษ์เป็นที่เคารพนับถือว่า เป็นเครื่องรางของขลังป้องกันภูติผีปีศาจ กล่าวกันว่าผู้มีอาชีพสัปเหร่อ หรือเพชรฆาต มักพกพารูปท้าวเวสสุวรรณ สำหรับคล้องคอเพื่อเป็นเครื่องรางของขลังป้องกันภัยจากวิญญาณร้ายที่จะเข้ามาเบียดเบียน ในภายหลัง

    --- สารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่มที่ 3 หน้า 1439 กล่าวถึงท้าวกุเวรหรือท้าวเวสสุวรรณไว้ว่า กุเวร-ท้าว พระยายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์ มียักษ์และคุยหกะ (ยักษ์ผู้เฝ้าขุมทรัพย์) เป็นบริวาร ท้าวกุเวรนั้นบางทีก็เรียกว่า ท้าวไวศรวัน (เวสสุวรรณ) ภาษาทมิฬเรียก "กุเวร" ว่า "กุเปรัน" ซึ่งมีเรื่องอยู่ในรามเกียรติ์ว่าเป็นพี่ต่างมารดาของทศกัณฐ์และทศกัณฐ์ไปแย่งบุษบกของท้าวกุเวรไป

    ---ท้าวกุเวรมีรูปร่างพิการผิวขาวมีฟัน 8 ซี่ และมีขาสามขา (ภาพท้าวเวสสุวรรณจึงมักเขียนท่ายืนแยงแย ถือไม้กระบองยาว อยู่หว่างขา) เมืองท้าวกุเวรชื่อ "อลกา" อยู่บนเขาหิมาลัย มีสวนอุทยานอยู่ไหล่เขาแห่งหนึ่งของเขาพระสุเมรุชื่อว่า "สวนไจตรต" หรือ "มนทร" มีพวกกินนรและคนธรรพ์เป็นผู้รับใช้ ท้าวกุเวร เป็นโลกบาลประจำทิศเหนือ ท้าวกุเวรนี้สถิตอยู่ยอดเขายุคนธรอีสานราชธานี มีสระโกธาณีใหญ่ 1 สระ ชื่อ ธรณีกว้าง 50 โยชน์ ในน้ำดารดาษไปด้วยประทุมชาติ และคลาคล่ำไปด้วยหมู่สัตว์น้ำต่างพรรณ ขอบสระมีมณฑปชื่อ "ภคลวดี" กว้างใหญ่ 12 โยชน์ สำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ปกคลุมด้วยเครือเถาภควดีลดาวัลย์ ซึ่งมีดอกออกสะพรั่งห้อยย้อยเป็นพวงพู ณ สถานที่นี้

    ---เป็นสโมสรสถานของเหล่ายักษ์บริวาร และยังมีนครสำหรับเป็นที่แปรเทพยสถานอีก 10 แห่ง ท้าวกุเวรมียักษ์เป็นเสนาบดี 32 ตน ยักษ์รักษาพระนคร 12 ตน ยักษ์เฝ้าประตูนิเวศ 12 ตน ยักษ์ที่เป็นทาส 9 ตน นอกจากนี้ยังมีกล่าวว่าท้าวเวสสุวรรณยังมีกายสีเขียว สัณฐานสูง 2 คาวุต ประมาณ200 เส้น มีอาวุธเป็นกระบอง มีพาหนะ ช้าง ม้า รถ บางทีปราสาท อาภรณ์มงกุฎประดับรูปนาค ดำรงอิสริยศเป็นเจ้าแห่งยักษ์ มีบริวารแสนโกฏิ ถือโล่แก้วประพาฬ หอกทอง ท่านท้าวเวสสุวรรณ ๑ใน ๔ ท้าวจตุโลกบาล

    ---โดยมีท้าวธตรฐดูแลพื้นที่ อยู่ทางทิศตะวันออก ท้าววิรุฬหกดูแลรักษาพื้นที่อยู่ทางทิศใต้ ท้าววิรูปักข์ดูแลรักษาพื้นที่อยู่ทิศตะวันตก และท้าวเวสสุวรรณรักษาพื้นที่อยู่ทางทิศเหนือ โดยทั้ง ๔ ท่านมีหน้าที่แบ่งกันปกครองทั้งเหล่าคนธรรพ์ กินรี กินนร กุมภัณฑ์ นาค เทวดา และยักษ์ อยู่บนสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา

    ---ในส่วนของท้าวเวสสุวรรณ ท่านจะปกครองเหล่าอสูรและยักษ์ ตลอดจนภูติผีปีศาจทั้งหลาย ตามตำนานกล่าวว่าเริ่มแรกท่านท้าวเวสสุวรรณปกครองอยู่เมืองลงกา ต่อมาได้ถูกทศกัณฑ์มายึดและขับไล่ให้ท่านไปอยู่ที่อื่น พร้อมทั้งแย่งบุษบก (ของวิเศษที่พระพรหมมอบให้) ไปครอบครองอีก

    ---ท้าวเวสสุวรรณจึงได้มาสร้างเมืองใหม่อยู่บนสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา โดยท่านมีหน้าที่ดูแลปกครองเหล่าอสูร ยักษ์ ตลอดจนเหล่าภูติผีปีศาจทั้งหมด และยังเป็นเจ้าบัญชีพระกาฬใหญ่ ท่านท้าวเวสสุวรรณท่านเป็นยักษ์ที่ใจบุญ อีกทั้งยังให้ความเคารพนับถือในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ในสมัยพุทธกาล กล่าวว่ามีพระภิกษุสงฆ์ สามเณร ที่ออกเดินธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร เพื่อแสวงหาโมกขธรรม มีพระภิกษุสงฆ์บางรูปที่ยังไม่ได้สำเร็จอภิญญามักจะโดนบรรดาภูติผีปีศาจ หลอกหลอนไม่เป็นอันได้ปฏิบัติกิจของสงฆ์ คือการเจริญสมาธิกรรมฐานเพื่อชำระจิตใจให้สงบได้อย่างเต็มที่ ท่านท้าวเวสสุวรรณ ได้เสด็จลงมาจากเทวโลกเพื่อมากราบนมัสการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมทั้งถวายมนต์ “ภาณยักษ์” ให้ไว้เพื่อเป็นมนต์ป้องกัน

    ---เวลาพระภิกษุ สามเณร ที่ออกธุดงค์ตามป่าเขา ถูกบรรดาภูติผีปีศาจ ยักษ์ เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิ หลอกหลอน ซึ่งมนต์ “ภาณยักษ์” บทนี้ยังนำมาใช้สวดกันอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ โดยการสวดมนต์ “ภาณยักษ์” บทนี้มักจะทำ เป็นพิธีการยิ่งใหญ่ ทุกวัดมักจะจัดให้มีการสวด “ภาณยักษ์” นี้ขึ้นเชื่อกันว่าใครที่ถูกคุณ ถูกของหรือโดนผีเข้าสิง เมื่อเข้าไปในบริเวณพิธีสวด “ภาณยักษ์” สิ่งอัปมงคลต่างๆที่มีอยู่ในตัวก็จะหมดไปด้วย มนต์ภาณยักษ์อันวิเศษบทนี้และนอกจากนี้ ท้าวเวสสุวรรณยังเป็นเทพเจ้าแห่งความร่ำรวยสัญญลักษณ์แห่งมหาเศรษฐี

    ---ในหนังสือเทวกำเนิดของพระยาสัจจาภิรมย์ ระบุชื่อ ท้าวเวสสุวรรณ ล้วนมุ่งหมายทางมหาเศรษฐีมั่งมีทรัพย์ อาทิ ท้าวรัตนครรถ (ผู้มีเพชรเต็มพุง) ท้าวกุเวรธนบดี (ผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์) ท้าวธเนศวร (เจ้าทรัพย์) องค์อิฉาวสุ (ผู้มั่งมีได้ตามใจ) ท้าวเวสสุวรรณ (ยิ่งด้วยทอง) แม้แต่ชาวจีนก็ยกย่ององค์ท้าวเวสสุวรรณว่า เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภและความร่ำรวยในนาม “องค์ไฉ่ซิงเอี้ย” ซึ่งมีบูชากันทุกบ้านร่ำรวยทุกคน ขับไล่ภูติผีปีศาจ วิญญาณร้าย แก้เสนียด อัปมงคลคุณไสยต่างๆ หากท่านผู้ใดบูชาท่านท้าวเวสสุวรรณ ด้วยความเคารพศรัทธา จงเชื่อได้เลยว่าท่านจะประสบแต่ความโชคดีมีทรัพย์ ตลอดจนพ้นภัยจากบรรดาภูติผีปีศาจทั้งหลาย ในคัมภีร์โบราณ ได้กล่าวไว้ว่าผู้ใดหวังความเจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา ให้บูชารูปท้าวเวสสุวรรณหรือท้าวกุเวร

    *ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร
    ---ในคัมภีร์ไตรภูมิพระร่วง เรียกท้าวเวสสุวรรณว่า “ท้าวไพศรพมหาราช” และได้พรรณนาถึงการแต่งองค์ไว้ว่า ”ท้าวไพศรพมหาราชเป็นพระยาแก่ ฝูงยักษ์แลเทพยดาทั้งหลายฝ่ายทิศอุดร เถิงกำแพงจักรวาลเบื้องอุดรทิศพระสุเมรุราชแลเครื่องประดับตัว แลบริวารทั้งหลายเทียรย่อมทองเนื้อสุก ฝูงยักษ์ทั้งหลายนั้นบ้างถือค้อน ถือสากแลจามจุรีเทียรย่อมทองคำบ่มิรู้ขิร้อยล้าน แลฝูงยักษ์นั้นมีหน้าอันพึงกลัวแลท้าวไพศรพจึงขึ้นม้าเหลืองตัวหนึ่งดูงามดั่งทอง”

    ---จากคำพรรณนาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ท้าวเวสสุวรรณหรือท้าวไพศรพนั้นร่ำรวยมหาศาลมีทองคำมากมายไม่รู้กี่ร้อยล้าน ทั้งยังมีเครื่องประดับเป็นทองคำ บริวารก็ถือ ค้อนทอง สากทอง และทรงม้าสีทอง ฝ่ายพุทธศาสนามีปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกมหานิทานสูตร มหาวรรคทีฆนิกายกล่าวไว้ว่า ดินแดนที่ประทับของท้าวเวสสุวรรณ ชื่ออาลกมันทาราชธานี เป็นนครเทพเจ้าที่งดงามรุ่งเรืองมากโดยท้าวเวสสุวรรณเทวราชโลกบาลองค์นี้ เป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน

    ---และเมื่อพระมหาโมคคัลลานะเดินทางขึ้นมาเยี่ยมเยียนพระอินทร์ท้าวสักกะเทวราช ณ มหาปราสาทไพชยนต์วิมาน ท้าวเวสสุวรรณพระองค์นี้ก็ได้เสด็จเข้าร่วมให้การต้อนรับด้วยพระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์แห่งแคว้นมคธ หลังจากที่เสด็จสวรรคตเนื่องจากการทารุณกรรมของพระเจ้าอชาตศัตรู ผู้เป็นราชโอรสที่เข้ายึดอำนาจก็ได้มาอุบัติในโลกสวรรค์เป็นพญายักษ์เสนาบดีตนหนึ่งของท้าวเวสสุวรรณนั่นเอง ในอรรถาโลภปาลสูตรกล่าวว่า เมื่อถึงวันอุโบสถคือ ขึ้นหรือแรม ๘ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ องค์ จะลงมาตรวจโลกมนุษย์อยู่เสมอ โดยจะถือแผ่นทองและดินสอมาด้วยและจะเที่ยวเดินดูไปทุกแห่งทั่วถิ่นฐานบ้านเมืองใหญ่น้อยทั้งหลายในโลกมนุษย์ ถ้าใครทำบุญประพฤติธรรม ทำความดี ก็จะเขียนชื่อและการกระทำลงบนแผ่นทองคำแล้วนำแผ่นทองคำไปให้ปัญจสิขรเทวบุตรซึ่งจะนำไปให้พระมาตุลีอีกต่อหนึ่ง พระมาตุลีจึงเอาไปทูลถวายแด่พระอินทร์ถ้าบัญชีในแผ่นทองมีมากเทวดาทั้งหลายก็จะแซ่ซ้องสาธุการ ด้วยความยินดีที่มนุษย์จะได้ขึ้นสวรรค์มาก

    ---แต่หากมนุษย์ใดทำความชั่วก็จะจดชื่อส่งบัญชีให้ท้าวยมราช เพื่อให้นายนิริยบาลทั้งหลายจะได้ทำกรรมกรณ์ ให้ต้องตามโทษานุโทษเท่าสัตว์นรกเหล่านั้น ศิลาจารึกสมัยกรุงศรีอยุธยากล่าวว่า ท้าวเวสสุวรรณ มีปราสาทช้างเรืองอร่ามด้วยแสงแก้วอยู่เหนือยอดเขายุคนทร มียักษ์เฝ้าประตูวังและยักษ์เสนาบดีอยู่หลายตนมีร่างทิพย์ ม้าทิพย์ ราชรถทิพย์และบุษบกทิพย์ มีศักดิ์เป็นใหญ่แก่ฝูงยักษ์ทั้งหลาย ๙ ตนมีบริวารที่เรียกว่า ”ยักขรัฏฐิภะ” ซึ่งมีหน้าที่สืบข่าวและตรวจตราเหตุการณ์ต่างๆรวม ๑๒ ตนและยังมียักษ์ที่สำคัญเป็นเสนาบดียักษ์อีก ๒๘ นายที่คอยรับใช้ท้าวเวสสุวรรณอยู่ดังจะเห็นว่า ท้าวเวสสุวรรณ มีกำเนิดจากหลายตำนาน

    ---แม้กระทั่งในลัทธิของจีนฝ่ายมหายานว่า ท้าวโลกบาลทิศอุดรมีชื่อว่า ”โตบุ๋น” เป็นขุนแห่งยักษ์ มีพวกยักษ์บริวารมีกายสีดำ ถือดวงแก้วและงู ทางทิเบตมีกายสีทองคำถือธงและพังพอน ทางญี่ปุ่น ถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภนามว่า "พิสมอน" ถือแก้วมณีทวนและธงตามที่ได้พรรณนามานั้นเป็นเพียงประวัติย่อๆ ของท้าวเวสสุวรรณเพื่อชี้ให้เห็นว่าท่านมีความสำคัญมากเพียงใด โบราณาจารย์จึงได้จัดสร้างรูปไว้เคารพบูชามาตั้งกว่าพันปีมาแล้ว โดยสรุปแล้วท้าวเวสสุวรรณ ถือเป็นเทพเจ้าที่สำคัญยิ่ง เป็นที่เคารพนับถือในหลายต่อหลายประเทศ ในไทยเราเองนั้นนับถือเทพเจ้าองค์นี้มาก

    ---ในฐานะผู้คุ้มครองให้ปลอดภัยจากวิญญาณร้าย ดังเราจะเห็นได้ว่าครูบาอาจารย์มักทำผ้ายันต์ท้าวเวสสุวรรณ เป็นผืนสีแดงไว้ติดตามประตู เพื่อป้องกันภูตีผีปีศาจ คติความเชื่อนี้ถือว่าเก่าแก่และเป็นที่คุ้นตาที่สุด หรือ อย่างพิธีสวดภาณยักษ์ ก็เช่น พระคาถาภาณยักษ์ หรือบท “วิปัสสิ” นี้เป็นพระคาถาที่ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ท่าน โดยมีท้าวเวสสุวรรณเป็นหัวหน้า นำมามอบให้พระพุทธเจ้า ปัจจุบันเราก็ยังสามารถพบเห็นการสวดภาณยักษ์ได้อยู่ และจะเห็นรูปท้าวเวสสุวัณเด่นเป็นสง่าเสมอในพิธีสวดภาณยักษ์นี้ เพราะท้าวเวสสุวรรณเป็นผู้ที่มีสิทธิเฉียบขาดในการลงโทษภูตีผีปีศาจทั้งหลาย จึงเป็นที่ศรัทธาเชื่อมั่นว่า ท้าวเวสสุวรรณนี้เป็นเทพเจ้าที่มีคุณในการทำลายล้างสิ่งอัปมงคล ทั้งกันทั้งแก้เรื่องผีปีศาจ คุณไสยมนต์ดำทั้งหลายได้ ทั้งยังให้คุณเรื่องโภคทรัพย์อีกประการหนึ่งดังที่กล่าวมาแล้ว
    ที่มา: http://www.watkaokrailas.com/index.php?lite=article&qid=42191801
     
  7. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    2C98393B-9A44-41CA-98C9-290E485DC079.jpeg

    ท้าวเวสสุวรรณ มหายักษ์ ผู้คอยรักษา ผู้เคารพบูชาในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    FD1730AD-22E3-4306-8C84-56AF22704942.jpeg
    9886C55E-B5DE-4C4E-90A4-5DD7CBB94536.jpeg
    พระโพธิสัตว์ชัมภล-ท้าวเวสสุวรรณ

    Cr. ภาพจากเน็ต

    E7DDF77D-2293-47EC-827E-C56D19ADFC05.jpeg
    โต้บุ๋นเทียนอ๋อง(ตัวเหวินเทียนหวาง)-ท้าวเวสสุวรรณ
    ตามคติจีนเป็นเทพประจำฤดูฝนจึงถือร่ม

    Cr. ภาพจากเน็ต


    3C9A4F4A-63A8-4A04-8CD5-4683D7CDF18C.jpeg
    โต้บุ๋นเทียนอ๋อง(ตัวเหวินเทียนหวาง)-ท้าวเวสสุวรรณ
    แต่บางคติก็ถือหอกแทน

    Cr. ภาพจากเน็ต

    8F2AEFF1-5A2C-45C7-927B-8902C6F8A4DF.jpeg
    096562C4-50D0-4CA1-A104-67C1FC5C8AF2.jpeg
    จตุโลกบาลคติจีน

    Cr. ภาพจากเน็ต

    A2C81757-DBAC-441E-A22F-41E29E33994C.jpeg
    4518BE0E-50F7-455D-B2AF-9A1F1C635A5A.jpeg
    พิสมอนในบทความ หรือบิชามอนเทน(Bishamonten)-ท้าวเวสสุวรรณในคติญี่ปุ่น

    Cr. ภาพจากเน็ต

    AD60C9A2-7ABD-4FD7-B2D4-3F0EE54674FF.jpeg
    294AC78C-01E9-499D-80D1-4DE1A4BB97DC.jpeg

    9C61C14B-6C82-4FBC-90F9-D2D4CA229A56.jpeg

    2443374C-FDE7-464C-A8C2-BCED185F6F51.jpeg
    พิสมอนในบทความ หรือบิชามอนเทน(Bishamonten)-ท้าวเวสสุวรรณในคติญี่ปุ่น

    Cr. ภาพจากเน็ต

     
  8. Pichet533

    Pichet533 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2022
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +7
    สร้างปีไหนครับพี่พอรู้ไหม
     
  9. Pichet533

    Pichet533 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2022
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +7
    สร้างปีไหนครับพี่
     
  10. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,482
    ค่าพลัง:
    +53,107
    ไม่แน่ใจ ต้องสอบถามในกลุ่มเฟสดูครับผม
     
  11. Pichet533

    Pichet533 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2022
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +7
     
  12. Pichet533

    Pichet533 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2022
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +7
    พี่ยังมีอยู่ไหมครับ‍♀️
     
  13. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,482
    ค่าพลัง:
    +53,107
    ไม่มีแล้วครับผม
     
  14. Pichet533

    Pichet533 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2022
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +7
    ขอบคุณมากครับพี่ นึกว่ายังมีอยู่
     
  15. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    8CC8674A-A056-461C-BAD6-E45CC4EB6FF6.jpeg

    1E2E359F-D550-4EFE-86C4-ADE3E973DEEE.jpeg

    B9376D1D-87B3-4548-ABC4-36475FF877D2.jpeg



    เมืองแห่งยักษา วัดจุฬามณี จ.สมุทรสงคราม(๔)

    ตำนานความเชื่อองค์ท้าวเวสสุวรรณ(๒)


    *คติชาวจีน
    ---ไฉ่ซิงเอี้ย เทพเจ้าแห่งโชคลาภ หากเอ่ยถึงเทพเจ้าต่างๆ ที่ชาวจีนกราบไหว้บูชาแล้ว จะเห็นได้ว่ามีอยู่ด้วยกันนับสิบสิบองค์ และองค์หนึ่งที่ชาวจีนมักบูชาเพื่อความโชคดี ความมั่งคั่ง ความร่ำรวยมีโชคมีลาภก็คือ ไฉ่ซิงเอี้ย เทพเจ้าแห่งโชคลาภนั่นเอง ซึ่งเป็นเทพเจ้าองค์แรก ที่ชาวจีนทุกครอบครัวกราบไหว้บูชากันในวันแรกของปีใหม่ ตามคติของชาวจีนคือ วันชิวอิก ตรุษจีนของปี เพื่อขอให้ท่านประทานความมั่งมีศรีสุข โชคลาภ ความร่ำรวย ชาวจีนให้ความเคารพนับถือและกราบไว้บูชากันมาหลายพันปีแล้ว

    ---ประวัติความเป็นมาของไฉ่ซิงเอี้ย นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายตำนาน เท่าที่ศึกษาดูและพอจะมีหลักฐาน เค้าความจริงอยู่ด้วยกันหลายเรื่อง มีอยู่ด้วยกัน 2 ภาค คือ เทพเจ้าแห่งโชคลาภฝ่ายบู๊ (บูไฉ่ซิงเอี้ย) และเทพเจ้าแห่งโชคลาภฝ่ายบุ๋น (บุ่งไฉ่ซิงเอี้ย)

    ---ตามตำนานกล่าวกันว่า เทพเจ้าแห่งโชคลาภฝ่ายบู๊ก็คือ เจ้ากงหมิง ซึ่งบำเพ็ญพรตอยู่บนเขาง้อไบ๊ สำเร็จมรรคผลเป็นเซียนที่มีอิทธิฤทธิ์สูงมาก หน้าตาดุร้าย มีหนวดเครารุงรัง มีสมุนร้ายกาจมาก คือ เสือดำ บางตำราว่าเป็นเสือโคร่ง และยังมีของวิเศษอีกหลายอย่าง เช่น แส้เหล็ก ไข่มุกวิเศษ เชือกล่ามมังกร แม้แต่เจียงไท่กง ซึ่งเป็นเทพผู้ใหญ่ซึ่งมีหน้าที่แต่งตั้งเทพเจ้าองค์ต่างๆ ยังสู้เจ้ากงหมิงไม่ได้และตอนหลังยังได้ของวิเศษอีก 4 อย่าง คือเจียป้อ หนับเตียง เจียใช้ หลี่ฉี ซึ่งเป็นของวิเศษที่สามารถเรียกเงินทองให้ไหลมาเทมา ช่วยให้การค้าราบรื่นได้กำไรงาม ประชาชนจึงพากันกราบไหว้ เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภเงินทองความมั่งคั่ง

    ---เทพเจ้าแห่งโชคลาภฝ่ายบุ๋น ตามตำนานกล่าวกันว่า คือ ปี่กาน อัครมหาเสนาบดีของจักกรพรรดิอินโจ้ว ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์อิน หน้าตาสะอาดหมดจด รับใช้ราชสำนักด้วยความจงรักภักดี แต่ถูกนางสนมเอกของจักรพรรดิอินโจ้ว กลั่นแกล้ง โดยจะขอหัวใจของปี่กานมาเป็นยา ซึ่งปี่กานก็รู้ว่าถูกกลั่นแกล้ง แต่ก่อนที่จะควักหัวใจให้ไป ปี่กานได้รับยาวิเศษจากเจียงไท่กง ผู้ใดกินแล้วถึงแม้ไม่มีหัวใจและกินเข้าไปก่อนแล้ว ก่อนควักหัวใจจึงทำให้มีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องมีหัวใจ พอควักหัวใจให้ไปแล้วก็เดินออกจากวังไป ตอนหลังเร่ร่อนไปตามหมู่บ้านต่างๆ เที่ยวโปรยเงินโปรยทองกลายเป็นเทพเจ้าแห่งทรัพย์สินเงินทอง และโปรยเงินทองให้ประชาชนอย่างทั่วถึง

    *ลักษณะที่สำคัญอันเป็นเอกลักษณ์
    ---เนื่องจากไฉ่ซิงเอี้ยเป็นเทพแห่งความโชคดี ความมั่งคั่งและความร่ำรวยและเป็นที่นิยมนับถือกันในหมู่ชาวจีน โดยเฉพาะชาวจีนที่ประกอบการค้า ดังนั้นจึงปรากฏว่ามีการสร้างรูปเคารพของไฉ่ซิงเอี้ยขึ้นมา เพื่อสักการะบูชากันซึ่งมีตั้งแต่เป็นภาพวาด รูปปั้นเซรามิค (กระเบื้อง) และรูปหล่อโลหะ (มีน้อยไม่ค่อยพบเห็นเพราะจัดสร้างยาก ต้นทุนสูง)

    *ลักษณะที่ปรากฏในรูปเคารพดังกล่าว จึงแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
    ---1.รูปเคารพของไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบู๊ รูปเคารพของไฉ่ซิงเอี้ยในลักษณะนี้ จะเป็นรูปของไฉ่ซิงเอี้ยที่อยู่ในวัยกลางคนสวมใส่ชุดนักรบจีนโบราณ อันประกอบ ไปด้วยชุดเกราะ, หมวกขุนพลจีนโบราณ มือขวาจะถือกระบอง มือซ้ายถือเงินหยวน (หยวนเปา) ใบหน้าดุดันค่อนข้างไปในทางเหี้ยมโหด และมีพาหนะเป็นเสือโคร่งลายพาดกลอนตัวใหญ่

    ---2.รูปเคารพของไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบุ๋น รูปเคารพของไฉ่ซิงเอี้ยในลักษณะนี้ เป็นรูปของไฉ่ซิงเอี้ยอยู่ในชุดขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของจีนโบราณ สวมหมวกขุนนาง มีปีกออกไปสองข้าง (ลักษณะเดียวกับหมวกของเทพลก) ชุดขุนนางจีนชั้นผู้ใหญ่ก็จะครบเครื่องครบครันทั้งเสื้อนอกเสื้อใน มือซ้ายจะถือเงินหยวน (หยวนเปา) หรือบางที่ไม่ได้ถืออะไรดังกล่าวเลย แต่มือทั้งสองจะถือแผ่นผ้าจารึกอักษร (ปัก) ที่คลี่ออกมาเป็นคำอวยพรที่เป็นสิริมงคลแก่ผู้บูชาทุกท่าน

    *อานุภาพของไฉ่ซิงเอี้ย
    ---ไฉ่ซิงเอี้ยเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ความมั่งคั่ง และความร่ำรวยของชาวจีนย่อมจะต้องมีอานุภาพในด้านอำนวยความมีโชคลาภ ความมั่งคั่งและความร่ำรวยให้แก่ผู้บูชา ซึ่งหากบูชาได้ถูกวิธีก็จะดียิ่งขึ้น สำหรับอานุภาพของไฉ่ซิงเอี๊ยนั้นขอจำแนก ออกเป็นภาคเพื่อจะได้เข้าใจได้ชัดเจนดียิ่งขึ้น

    ---1.ไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบู๊ ไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบู๊นี้ชาวจีนที่นับถือเชื่อกันว่าจะมีอานุภาพ ให้คุณแก่ผู้บูชาในเรื่องของหนี้สินกล่าว คือ จะช่วยดลบันดาลให้ผู้บูชาที่เป็นเจ้าหนี้สามารถทวงหนี้ จากลูกหนี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น ลูกหนี้ไม่คิดที่จะเบี้ยวหรือหนี ให้เจ้าหนี้ต้องลำบากลำบน นอกจากนี้ยังรวมไปถึงอานุภาพ ในการช่วยดูแลควบคุม บริวารลูกจ้างทั้งหลายให้อยู่ในกรอบในระเบียบ ให้ขยันทำการทำงาน โดยเฉพาะตามโรงงานใหญ่หรือบริษัทใหญ่ๆ ตลอดจนกิจการงานที่มีลูกน้องมากๆ ต่างนิยมบูชาไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบู๊นี้ด้วย มีความเชื่อว่าท่านจะช่วยกำกับดูแล ลูกน้องให้ดีเป็นหูเป็นตาให้แก่ผู้บูชาหรือเจ้าของกิจการ ทั้งนี้และทั้งนั้นยังรวมไปถึงบรรดาข้าราชการทหาร ตำรวจที่อยู่ในระดับหัวหน้า (ชั้นสูงๆ) ที่มีผู้ใต้บังคับบัญชามากๆ ต่างนิยมบูชาไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบู๊ด้วยกันทั้งสิ้น (ของจีน) นอกจากนี้ยังมีอานุภาพ ในการคุ้มครองบุตร ภรรยา (ของผู้บูชา) ทั้งที่อยู่ในบ้านและต่างถิ่นแดนไกลให้ทำตนเป็นคนดี มีความขยันหมั่นเพียร ไม่เกียจคร้าน

    ---2.ไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบุ๋น ชาวจีนเชื่อว่า ไฉ่ซิงเอี้ยในภาคบุ๋นนี้จะอำนวยพรให้ผู้บูชา มีความมั่งคั่งและมีความร่ำรวย มีโชคลาภเป็นประจำ โชคลาภที่ได้เป็นรายได้พิเศษ ที่นอกเหนือไปจากรายได้ประจำ ไฉ่ซิงเอี้ยในภาคนี้จะมีอานุภาพในด้าน เกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ และโชคลาภ ที่ถือเป็นรายได้รายรับที่จะทำให้ผู้บูชามีความมั่งคั่งและมีความร่ำรวยเปรียบดังนักการฑูต ที่ดีมีความสามารถในการเจรจาโน้มน้าวให้ต่างชาติ ต่างภาษามีความเชื่อถือในประเทศของตน และเช่นเดียวกัน ทำให้ลูกค้าเชื่อถือในคุณภาพสินค้าและบริการ และกลายเป็นลูกค้าประจำ ดังนั้นผู้ที่จะบูชาไฉ่ซิงเอี้ยก็ควรอย่างยิ่งที่จะต้องบูชาไฉ่ซิงเอี้ยให้ครบชุด กล่าวคือ จะต้องมีรูปไฉ่ซิงเอี้ยทั้งในภาคบู๊และภาคบุ๋นคู่กัน เพื่อท่านจะได้อำนวยความเป็นสิริมงคลให้ครบทุกๆ ด้าน ดังกล่าวมาแล้ว

    *รูปแบบการจัดสร้าง เทพเจ้าแห่งโชคลาภ "ไฉ่ซิงเอี้ย"
    ---รูปหล่อบูชาไฉ่ซิงเอี๋ยในชุดนักรบยืนเหยียบเสือขนาดสูง 16 นิ้ว มือซ้ายถือเงินทองและไข่มุกวิเศษ มือขวาถือดาบคล้ายกระบอง สวมใส่เสื้อมังกร เหน็บแส้ไว้ข้างลำตัว จัดเป็นปางที่สวยสมบูรณ์แบบที่สุดของเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ยปางบู๊ ก็ว่าได้ซึ่งรูปแบบจะเห็นได้ถึงความลงตัวของงานศิลปะจีนที่สวยงามอลังการยิ่งนัก ปั้นแบบโดยประติมากรชื่อดังซึ่งปั้นงานศิลปะจีนได้ สวยงามที่สุดแห่งยุค (ขอสงวนนาม)

    ---องค์เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ยอยู่ในชุดนักรบเหยียบเสือ สวมใส่เสื้อมังกรชุดนักรบมือซ้ายถือก้อนเงินก้อนทองจีน มีไข่มุกวิเศษ มุกไฟล่อมังกร เป็นการเรียกทรัพย์โชคลาภ ข้างลำตัวเหน็บแส้เหล็กไว้ พระพักตร์เต็มไปด้วยเมตตา ปกติบู๊ไฉ่ซิงหน้าตาจะดุมาก ลักษณะต่างๆ ถูกต้องตามโหงวเฮ้งยิ่งนัก จมูกเจ้าทรัพย์เป็นมหาเศรษฐี เป็นเคล็ดว่าผู้บูชาจะได้ร่ำรวยเป็นสิริมงคล มีอำนาจบารมีประกอบกับปางบู๊เหยียบเสือนี้ มีความหมายยิ่งนัก เพราะเสือเป็นราชาแห่งสัตว์ป่าทั้งมวล บ่งบอกถึงอำนาจ ราชศักดิ์ความสง่าผึ่งผาย ความกล้าหาญ ความทรงพลังทางอำนาจ ตลอดจนการค้าอีกด้วย

    ---และในภาวะเศรษฐกิจโลกปัจจุบันเปิดกว้างถึงกันหมด การค้าขายก็ไม่ผิดอะไรกับสงครามการค้าดีๆ นี่เอง จึงควรบูชาบู๊ไฉ่ซิงเอี้ย เพื่อขอพระให้ท่านช่วยให้ทำการค้าประสบผลสำเร็จ และปางเหยียบเสือนี้สอดคล้องกับปีนักษัตรจอ ที่จะมาถึงในปี พ.ศ.2549 ยิ่งนัก เพราะเสือกับจอเป็นคู่มิตร (ซาฮะ) จะหนุนเสริมเติมพลังให้กันและกัน ผู้บูชาจะทำให้ธุรกิจการค้าพุ่งไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และเจริญก้าวหน้า เสื้อที่องค์ไฉ่ซิงเอี้ยสวมใส่นอกจากชุดนักรบยังมีเสื้อมังกรอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มังกรนั้นเป็นสัตว์ในเทพนิยายจีน ที่มีรูปลักษณะเด่นสะดุดตาหลายสิ่งหลายอย่าง รวมกันถึง 9 ประการกล่าว คือ

    ---หัวคล้ายอูฐมีเขาสวมอยู่คล้ายเขากวาง

    ---มีตาเหมือนกระต่าย

    ---มีหูเหมือนหูวัว คอเหมือนงู

    ---ลำตัวยาวเหมือนจระเข้ มีเกล็ดยาวตลอด

    ---ลำตัวคล้ายเกล็ดปลา

    ---กรงเล็บเหมือนนกเหยี่ยว ฝ่าเท้าเหมือนเท้าเสือ

    ---เลื้อยแล่นวิ่งซอนไชอยู่บนก้อนเมฆบนท้องฟ้า บางครั้งก็พบกำลังเลื้อยแล่นโต้คลื่นอยู่ในทะเล ใกล้หัวมังกร มีลูกกลมเป็นไข่มุกไฟลอยหมุนอยู่ มังกรถือเป็นสัตว์เทพเจ้ามีความเป็นอมตะ จะตายก็ต่อเมื่อสมัครใจเองและไม่มีกำหนด มังกรจึงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชาวจีน ซึ่งล้วนแต่เป็นสิริมงคลเ ป็นพื้นฐานของความเมตตา กรุณา พลังอำนาจวาสนา ความแคล้วคลาดปลอดภัย เป็นผู้พิทักษ์อำนาจของเทวดาที่คอยเฝ้าดูอยู่เหนือจักรวาลและมวลมนุษย์ แม้แต่ฉลองพระองค์จักรพรรดิจีน ยังต้องมี "มังกร 9 ตัว" เป็นหัวใจ

    ---รูปแบบที่มือขวาถือดาบคล้ายกระบอง เป็นการช่วยในเรื่องของการค้า การเจรจา อำนาจให้ดูมีบารมีน่าเกรงขาม แส้เหล็ก ที่เหน็บข้างลำตัวไว้ปราบเสือ เหมือนดั่งเอาไว้ควบคุมบริวารให้อยู่ในโอวาทไม่คดโกง มือซ้ายถือก้อนเงินก้อนทองไข่มุกวิเศษ ล้วนมีความหมายเป็นสิริมงคล ให้ผู้บูชามีทรัพย์สินเงินทอง ร่ำรวย มีอำนาจ วาสนา ยศฐาบรรดาศักดิ์ เกียรติยศชื่อเสียงฯลฯ
    ที่มา: http://www.watkaokrailas.com/index.php?lite=article...
     
  16. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    0AC7EDCB-C648-4B4A-8E69-A47A33C19FA0.jpeg

    ท้าวเวสสุวรรณพรหมาสูติเทพ ท้าวเวสสุวรรณที่ท่านพระอาจารย์อิฏฐ์พบในนิมิต และเป็นท้าวเวสสุวรรณองค์แรกสุดในวัดจุฬามณี ปั้นโดยช่างทองร่วง เอมโอษฐ์ ช่างชั้นครูแห่งเมืองเพชรบุรี

    Cr. ภาพเพจวัดจุฬามณี

    1BEA4B15-B785-40CE-893C-DE99F16BB1A0.jpeg
    0475F7B6-C02D-47BF-A074-A8D8BD69D54E.jpeg

    ไฉ่ซิงเอี๊ยปางบู๊

    Cr. ภาพจากเน็ต

    60C123F0-27E1-4BF4-AC45-4804AAD293BA.jpeg
    41A7D945-6E06-4E76-A432-5B02F0624340.jpeg

    ไฉ่ซิงเอี๊ยปางบุ๋น

    Cr. ภาพจากเน็ต


    มดดำพาชมท้าวเวสุวรรณ วัดจุฬามณี

     
  17. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    1F053157-A488-4DF9-BA94-05A2CA42CFD8.jpeg

    7026579B-FF80-4EE0-885D-200D8AB8B0B4.jpeg

    B1FA69EE-D366-4DBC-A8A6-45CADE92DB1A.jpeg



    เมืองแห่งยักษา วัดจุฬามณี จ.สมุทรสงคราม(๕)

    ตำนานความเชื่อองค์ท้าวเวสสุวรรณ(๓)


    ลัทธิความเชื่อของพราหมณ์กล่าวถึงประวัติของท้าวเวสสุวรรณไว้ว่า ทรง เป็นโอรสของ พระวิศรวิสุมนี กับ นางอิทาวิทา แต่ในมหาภารตะว่า เป็นโอรสของพระปุลัสต์ ซึ่งเป็นบิดาของ พระวิศรวัส กล่าวว่า ด้วยเหตุที่ท้าวกุเวร ใฝ่ใจกับท้าวมหาพรหม เป็นเหตุทำให้บิดาโกรธ จึงแบ่งภาคเป็น พระวิศวรัส หรือ มีนามหนึ่งว่า เปาลัสตยัม ซึ่งรามเกียรติ์ไทยเรียกว่า ลัสเตียน ท้าว ลัสเตียน หรือ พระวิศวรัสซึ่งเป็นภาคหนึ่งของ พระวิศรวิสุมนี นั้น ได้นางนิกษา บุตรีท้าวสุมาลีรักษา เป็นชายา มีโอรสด้วยกันคือ ทศกัณฐ์ กุมภกรรณ พิเภก และ นางสำมะนักขา ดังนั้น ท้าวกุเวร จึงเป็นพี่ชายต่างมารดา และร่วมบิดาเดียวกับทศกัณฐ์

    เหตุที่ท้าวกุเวรผิดใจกับผู้เป็นพ่อ เพราะไปฝักใฝ่กับท่านท้าวมหาพรหม ซึ่งเป็นเทวดา ทำให้ผู้เป็นพ่อ คือ พระวิศรวิสุมนีโกรธ เพราะถือทิฐิว่า ตนเป็นยักษ์ ที่เป็นเทวดาต่ำศักดิ์กว่า ไม่ควรไปยุ่งกับเทวดา ที่บนสวรรค์ชั้นสูงกว่า เห็นคนอื่นดีกว่าพ่อของตน ก็เลยแบ่งภาคออกไปมีเมียใหม่ ลูกใหม่ ซะเลย ที่ท้าวกุเวร มีใจฝักใฝ่กับท่านท้าวมหาพรหมนั้น เป็นเพราะท้าวกุเวรนั้น ต้องการบำเพ็ญตบะบารมี หรือ สร้างสมความดี ด้วยการเข้าฌาน และบำเพ็ญทุกรกิริยา นานนับพันปี จนท่านท้าวมหาพรหมโปรดปราน ประทานบุษบกให้

    อันบุษบกนี้ หากใครได้ขึ้นไปแล้ว สามารถล่องลอยไปไหนมาไหนได้ตามต้องการ เดิมที นั้น ท้าวกุเวรครองกรุงลงกา ซึ่งมีพระวิศวกรรม(พระวิษณุกรรม) เป็นผู้สร้างให้ แต่นางนิกษา ได้ยุยงให้ทศกัณฐ์ ชิงกรุงลงกา มาจากท้าวกุเวร ทั้งยังชิงเอาบุษบกอันพระพรหมได้ประทานแก่ท้าวกุเวรมาด้วย ดังที่ได้บอกเอาไว้แล้วว่า บุษบกนี้ สามารถลอยไปไหนมาไหนได้ดังใจนึก แต่มีข้อห้ามมิให้หญิงที่ถูกสมพาส (แปลว่า การอยู่ร่วม การร่วมประเวณี) จากชาย 3 คน นั่ง ซึ่งต่อมานางมณโฑ ได้นั่งบุษบก จึงไม่สามารถ ที่จะลอยไปไหนมาไหน ได้อีกเลย

    สำหรับ นางมณโฑ ที่แต่เดิมเป็นนางฟ้า ที่พระอิศวรประทานให้กับทศกัณฐ์ ต้องกลายมาเป็นหญิงสามผัว ด้วยเหตุที่ว่า เมื่อทศกัณฐ์ได้รับตัวนางมณโฑจากพระอิศวรมาแล้ว ก็อุ้มพานางเหาะกลับมายังกรุงลงกา ขณะที่เหาะข้าม มาระหว่างทาง ได้เหาะข้ามเมืองขีดขิน ซึ่งมี “พาลี” เป็นเจ้าเมือง พาลีโกรธ ที่ทศกัณฐ์บังอาจ อุ้มหญิงสาว เหาะข้ามหัว โดยไม่เกรงใจ จึงเหาะขึ้นไปรบกับทศกัณฐ์ ทศกัณฐ์สู้ไม่ได้ เพราะพาลีได้รับพร จากพระอิศวรว่า หากรบด้วยผู้ใด ศัตรูผู้นั้นจะมีกำลังลดลงครึ่งหนึ่ง หรือมีความสามารถลดน้อยกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง เมื่อทศกัณฐ์ เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงถูกพาลีแย่งชิงเอานางมณโฑไปเป็นมเหสี ต่อมา เมื่อพาลีคืนนางมณโฑ ให้กับทศกัณฐ์แล้ว เมื่อตอนที่หุงน้ำทิพย์ “หนุมาน” ได้เข้าไปทำลายพิธี โดยปลอมตัวเป็นทศกัณฐ์ แล้วร่วมสังวาส กับนางมณโฑ นางมณโฑ จึงเป็นหญิงที่ผ่านการสมพาสชายมาถึง 3 คน คือ พาลี ทศกัณฐ์ และ หนุมาน เมื่อทศกัณฐ์ ให้นางมณโฑ ขึ้นนั่งบุษบกนี้ทีหลัง บุษบกก็เกิดการขัดข้องทางเทคนิค ไม่ลอยไปไหนมาไหน ตามต้องการ เหมือนเก่า

    ครั้นเมื่อท้าวกุเวรต้องเสียกรุงลงกาไปแล้ว ท้าวมหาพรหมท่านก็สร้างนครให้ใหม่ ชื่อ “อลกา” หรือ “ประภา” อันตั้งอยู่ที่เขาหิมาลัย มีสวนชื่อ “เจตรรถ” อยู่บนเขามันทรคีรี อันเป็นกิ่งแห่งเขาพระสุเมรุ บ้างก็ว่า ท้าวกุเวร อยู่ที่เขาไกรลาส ซึ่งพระวิษณุกรรมเป็นผู้สร้างให้

    ความเชื่อตามพระพุทธศาสนาใน พระสูตรที่ชื่อว่า “อาฏานาฏิยะ” กล่าวว่า ท้าวกุเวร ตั้งเมืองอยู่ในอากาศ ข้างทิศที่อุตรกุรุทวีป (เหนือ) และ เขาพระสุเมรุ ยอดสุทัศน์ (ที่เป็นผาทอง) ตั้งอยู่ มีราชธานี 2 ชื่อ คือ อาลกมันทา และ วิสาณา มีนครอีก 8 นคร ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณนั้น ยังมีชื่ออีกหลายชื่อ เช่น ธนบดี หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์ ธเนศวร หมายถึง ผู้เป็นเจ้าแห่งทรัพย์ อิจฉาวสุ หมายถึง มั่งมีได้ตามใจ ยักษ์ราชหมายถึง เจ้าแห่งยักษ์ มยุราช หมายถึง เป็นเจ้าแห่ง กินนร รากษเสนทร์ หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในพวกรากษส ส่วนในเรื่องรามเกียรติ์ เรียกท้าวเวสสุวรรณว่า ท้าวกุเรปัน

    ในทางพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงอดีตชาติของท้าวกุเวร เอาไว้ใน พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม 3 ภาค 2 - หน้าที่ 151 ว่า ในสมัยที่โลกยังว่าง จากพระพุทธศาสนา ไม่มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัตินั้น มีพราหมณ์ ผู้หนึ่ง นามว่า กุเวร เป็นคนใจดีมีเมตตากรุณา ประกอบสัมมาชีพ ด้วยการทำไร่อ้อย นำต้นอ้อย ตัดใส่ลงไปในหีบยนต์ แล้วบีบน้ำอ้อยขายเลี้ยงชีวิตตน และบุตรภรรยา ต่อมากิจการ เจริญขึ้น จนเป็นเจ้าของ หีบยนต์สำหรับบีบน้ำอ้อยถึง 7 เครื่อง จึงสร้างที่พักสำหรับ คนเดินทาง และบริจาคน้ำอ้อย จากหีบยนต์เครื่องหนึ่ง ซึ่งมีปริมาณน้ำอ้อยมากกว่าหีบยนต์เครื่องอื่น ๆ ให้เป็นทาน แก่คนเดินผ่านไปมา จนตลอดอายุขัย ด้วยอำนาจ แห่งบุญกุศลที่บริจาคน้ำอ้อยให้เป็นทานนั้น ทำให้กุเวรได้ไปอุบัติเป็นเทพบุตร บนสวรรค์ชั้น จาตุมหาราชิกา มีนามว่า"กุเวรเทพบุตร" ต่อมากุเวรเทพบุตร ได้เทวาภิเษกเป็นผู้ปกครองดูแล พระนครด้านทิศเหนือ จึงได้มีพระนามว่า "ท้าวเวสสุวรรณ"

    ตามหลักฐานในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ยืนยันว่า "ท้าวกุเวร" หรือ "ท้าวเวสสุวรรณ" เทวราชพระองค์นี้ ได้สำเร็จเป็น พระอริยบุคคลชั้นโสดาบันเมื่อครั้ง "จุลสุภัททะ ปริพาชก" เกิดความสงสัยในความเป็นมาแห่ง องค์สมเด็จ พระพุทธเจ้า ท่าน "ท้าวเวสสุวรรณ" องค์นี้แหละ ที่ได้เสด็จไปร่วมต้อนรับด้วย และ ยังเป็นประจักษ์พยาน เรื่องพระมหาโมคคัลลานะ ใช้เท้าจิกพื้นไพชยนตวิมาน ของพระอินทร์จนเกิดการ สั่นสะเทือนไป ทั้งดาวดึงส์ เทวโลก อันเป็นการเตือนสติสักกะเทวราชอีกด้วย

    และก็เชื่อกันตาม ฎีกามาลัยเทวสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม 1 ภาค 2 - หน้าที่ 435 ว่า "คทาวุธ" ของ "ท้าวเวสสุวรรณ" นั้น เป็นยอดศัสตราวุธ มีอานุภาพสามารถทำลายโลกใบนี้ให้เป็น จุณวิจุณภายในพริบตา จะเห็นได้ว่า ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณนั้น ท่านเป็นเทพที่สำคัญยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง ที่พิทักษ์รักษา พระพุทธศาสนา ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า ท่านท้าวสักกะเทวราช หรือ พระอินทร์เลยทีเดียว ตามวัดวาอารามต่าง ๆ จะมีรูปปั้นยักษ์ 1 ตน บ้าง 2 ตนบ้าง ยืนถือกระบองค้ำพื้น ส่วนมากจะมี 2 ตน เฝ้าอยู่หน้า ประตูโบสถ์ หรือ วิหารที่เก็บของมีค่า มีพระพุทธรูป และโบราณสมบัติล้ำค่าของทางวัดบรรจุอยู่ ด้านละ 1 ตน หรือไม่ก็บริเวณลานวัด หรือที่ที่มีคนผ่านไปมาแล้วเห็นโดยง่าย บ้างก็สร้างเอาไว้ในวิหาร หรือ ศาลาโดยเฉพาะก็มี ซึ่งยักษ์เหล่านั้น ถ้าเป็น ตนเดียว ก็จะหมายถึง รูปเคารพของท้าวเวสสุวรรณ แต่ถ้าเป็น 2 ตนก็จะเป็นบริวารของท่านท้าวเวสสุวรรณ คอยทำหน้าที่ ปกปักรักษา ดูแลบริเวณวัด

    พระสูตร อาฏานาฏิยสูตร นั้นคือ คาถาภาณยักษ์ใหญ่ที่พระเขาสวดกันเวลามีงานใหญ่ ๆ นอกจากนี้ยังเชื่ออีกว่า ใครได้บูชาคาถาอาฏานาฏิยสูตรแล้วบุคคลผู้นั้นจะบังเกิดความเป็นสิริมงคลแก่ทั้งตนเองและบุคคลรอบข้างอีกด้วย นอกจากนี้ยังทำให้เกิดคนรัก คนนิยมอีกต่างหาก เพราะคาถานี้นอกจากจะบังเกดความดีแก่ตนแล้วยังถือว่า เป็นการสะสมความดีให้ถึงพร้อมอีก เราอาจเคยเห็นได้ยินความเชื่อเรื่อง "ท้าวเวสสุวรรณ" ว่ามีอิทธิฤทธิ์ในการขับไล่ภูตผีปีศาจทั้งหลาย หรืออาจเคยเห็นคุณย่าคุณยายนำรูป "ท้าวเวสสุวรรณ" มาแขวนไว้เหนือเปลเด็กอ่อน แถมบ้างก็ว่า ท้าวเวสสุวรรณ เป็นเทพแห่งความร่ำรวย จนอดสงสัยไม่ได้ว่า จริง ๆ แล้ว "ท้าวเวสสุวรรณ" คือใคร

    ท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวเวสสุวัน) หรือในภาษาพราหมณ์เรียกว่า "ท้าวกุเวร" ถ้าในพระพุทธศาสนาจะเรียก "ท้าวไพสพ" เป็นอธิบดีแห่งอสูร หรือเจ้าแห่งภูตผีปีศาจทั้งหลาย โดย ท้าวเวสสุวรรณ เป็นหนึ่งในท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ประทับทางทิศเหนือมีอสูร รากษส และภูตผีปีศาจเป็นบริวาร ว่ากันว่าอาณาเขตที่ ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองนั้นใหญ่มหาศาลมาก และ ท้าวเวสสุวรรณ ยังเป็นหัวหน้าของท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 อันประกอบไปด้วย "พระอินทร์" (ท้าวธตรฐ) ปกครองโลกด้านทิศตะวันออก , "พระยม" (ท้าววิรุฬหก) ปกครองโลกด้านทิศใต้ และ "พระวรุณ" (ท้าววิรูปักษ์) ปกครองโลกด้านทิศตะวันตกและเพราะ ท้าวเวสสุวรรณ เป็นเจ้าแห่งอสูร คนโบราณจึงมักทำรูป ท้าวเวสสุวรรณ แขวนไว้เหนือเปลเด็กอ่อน เพราะเชื่อว่าจะช่วยป้องกันภูตผีปีศาจไม่ให้มารบกวนเด็กเล็กได้ และนิยมทำผ้ายันต์รูป ท้าวเวสสุวรรณ รวมทั้งจำหลักรูป ท้าวเวสสุวรรณ ไว้ที่มีดหมอของสัปเหร่อ เพื่อกำราบวิญญาณ และยังมีผู้พกพารูป ท้าวเวสสุวรรณ หรือทำเป็นเครื่องรางของขลัง ป้องกันภัยจากวิญญาณอีกด้วย

    ทั้งนี้ ส่วนใหญ่แล้วเรามักเห็นภาพ ท้าวเวสสุวรรณ ในรูปลักษณ์ของยักษ์ ยืนถือกระบองยาว หรือไม้เท้าขนาดใหญ่อยู่ระหว่างขา เหมือนมีขาสามขา เนื่องจากท้าวกุเวรมีรูปร่างพิการ จึงเป็นเหตุให้พระพรหมตั้งชื่อให้ว่า "ท้าวกุเวร" แต่ในวรรณคดีหลายฉบับ รวมทั้งตำราโบราณ ได้กล่าวตรงกันว่า อันที่จริงแล้ว ท้าวเวสสุวรรณ เป็นยักษ์ที่มีผิวกายและพัสตราภรณ์สีเหลืองทอง จิตใจดีงาม และอุทิศตนถวายพิทักษ์รักษาพุทธสถาน และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น หากใครที่เดินทางไปยังวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ที่จังหวัดพิษณุโลก ก็อาจจะได้พบรูปหล่อปิดทองด้านซ้ายของฐานองค์พระพุทธชินราช ทำเป็นรูป ท้าวเวสสุวรรณ เพื่อปกปักคุ้มครองพระพุทธศาสนา ไม่ให้หมู่มารมารังควาน รวมทั้งปกป้องคุ้มครองแก่ผู้นั่งสมาธิปฏิบัติพระกรรมฐาน ดังนั้น เราอาจจะเคยเห็นว่า วัดวาอารามต่าง ๆ หรือด้านหน้าถ้ำ จะมีรูปปั้้นยักษ์ 1 หรือ 2 ตน ยืนถือกระบองค้ำพื้นเฝ้าหน้าประตูโบสถ์ หรือวิหารที่เก็บของมีค่า โบราณวัตถุของทางวัดอยู่ ซึ่งหากยักษ์ที่ยืนปกปักรักษาอยู่มีตนเดียว นั่นก็คือ ท้าวเวสสุวรรณ นั่นเอง แต่ถ้าหากมี 2 ตน ก็คือบริวารของ ท้าวเวสสุวรรณ ที่จะมาคอยปกปักรักษาบริเวณวัดและนอกจาก ท้าวเวสสุวรรณ จะมีหน้าที่ปกปักรักษาพระพุทธศาสนาแล้ว ท้าวเวสสุวรรณ ยังมีหน้าที่จดความดีของคนทางทิศเหนือไปจารึก และประกาศให้เทพยดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้รับรู้อีกด้วย

    ตำนานความเชื่อของ ท้าวเวสสุวรรณตามตำนานทางพระพุทธศาสนา เชื่อกันว่า ในอดีตชาติ ท้าวเวสสุวรรณ เคยเป็นพราหมณ์ เปิดโรงงานค้าขายหีบอ้อยจนร่ำรวย ด้วยความใจบุญจึงได้นำเงินทองไปบริจาคให้ผู้ยากไร้ และด้วยกุศลผลบุญที่ ท้าวเวสสุวรรณ บำเพ็ญมานับหลายพันปี พระพรหม และ พระอิศวร จึงให้พรแก่ ท้าวเวสสุวรรณ ให้เป็นอมตะ และเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั่วปฐพี เป็นเทพแห่งความร่ำรวย ดังนั้นผู้คนจึงนิยมจำหลักรูป ท้าวเวสสุวรรณ ไว้เคารพบูชาเพื่อความมั่งคั่งอีกหนึ่งประการ ตรงตามความหมายของชื่อ "ท้าวเวสสุวรรณ" คือ คำว่า "เวส" แปลว่า พ่อค้า จึงหมายถึงพ่อค้าอันมีทรัพย์ ได้แก่ ทองคำ นอกจากนี้อีกหนึ่งตำนานในพระพุทธศาสนา เชื่อกันว่า ในชาติหนึ่ง ท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งเดิมชื่อ กุเวรพราหมณ์ ได้ทำบุญกุศลมาก จนชาติต่อมา ได้เป็นกษัตริย์ครองกรุงราชคฤห์ พระนามว่า พระเจ้าพิมพิสาร และทรงเป็นพระสหายกับเจ้าชายสิทธัตถะ ต่อมาเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จมาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร จนบรรลุเป็นโสดาบัน และได้ถวายพระเวฬุวันมหาวิหาร ให้พระพุทธเจ้าได้เข้าประทับ จึงเป็นอานิสงส์ให้ได้วิมานอันสวยงาม และการที่พระเจ้าพิมพิสารถวายทานบ่อย ๆ จึงเป็นปัจจัยให้มีทิพยสมบัติมากมาย เมื่อได้เป็นเทวดาก็ทรงมีอำนาจมาก
    ที่มา:
     
  18. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    D793E20E-1556-49DA-80F8-7C5989B83F6B.jpeg
    องค์ขายสาม นาจาซาไท้จื้อ(หน่าจาซาไท้จื้อ)

    AE5C16FE-9FC6-49FA-82B6-5DD205E27290.jpeg
    นาจา บางตำนานมีความเชื่อว่าได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย โดยเชื่อว่านาจาคือ นลกุเวร ลูกชายของ ท้าวกุเวรหรือท้าวเวสสุวรรณ

    153396B1-DE82-41F6-868E-17CDA1A7B268.jpeg
    นิทานพื้นบ้านเรื่องโกมินทร์ เชื่อว่าได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องนาจา

    เสียงสวดภาณยักษ์ ภาณยักษ์ เป็นคาถาที่ท้าวจาตุมหาราชอันมีท้าวเวสสุวรรณเป็นหัวหน้า นำไปถวายพระพุทธเจ้า เพื่อให้บรรดาพระสงฆ์ที่ถูกภูตผีปิศาจรังควานขณะประพฤติปฏิบัติธรรม

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2022
  19. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    9279E839-FF5A-4CF8-BDD5-6D5B852B2E22.jpeg



    ครูบาอาจารย์แต่โบราณท่านได้กล่าวอานิสงส์การบูชาท้าวเวสสุวรรณ ไว้ดังนี้

    ๑. รักษาทรัพย์แด่ผู้บูชา เนื่องจากถือว่าเป็น “ธนบดี” เจ้าแห่งทรัพย์
    ๒. “เวส” แปลว่า “พ่อค้า” “สุวรรณ” แปลว่า “ทอง” ชื่อดีเป็นมงคล ทำให้กิจการการค้าเจริญรุ่งเรือง
    ๓. ส่งเสริมคนดี มีศีล เพราะเป็นผู้บันทึกความดี ความชั่ว ส่งบัญชีให้พญายมราช
    ๔. ป้องกันภูตผีปีศาจ เหล่าวิญญาณร้ายเกรงกลัว เพราะเป็นใหญ่เหนือภูตผีปีศาจทั้งหลาย
    ๕. คุ้มครองเด็กแรกเกิด โบราณจะติดยันต์เหมือนเปลเด็ก เพื่อคุ้มครอง ดูแล กันภยันตราย ทั้งที่มองเห็น และไม่เห็น
    ๖. อายุยืนยาว ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะโรคเวรโรคกรรมจะทุเลาลง เพราะท้าวเวสสุวรรณเป็นผู้ได้พรจากพระพรหมว่า “ให้ชีวิตเป็นอมตะ”
    ๗. สนับสนุนการปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้า เนื่องจากเป็นเทวดาที่เคยถวายการดูแลพระพุทธองค์ และศรัทธาในพระศาสนา
    ๘. เหมาะกับผู้ที่ทำงานเสี่ยงภัย ไม่ว่าจะเสี่ยงทางเรื่องงาน เช่นดับเพลิง ทหาร ตำรวจ หรือแม้ผู้ต้องเดินทางไกลๆ
    ๙. ปรับแก้ฮวงจุ้ยได้ สถานที่บ้านหากตรงกับทางสามแพร่ง อยู่ใกล้วัดมากเกินไป ให้ติดยันต์ที่บ้านเพื่อช่วยให้อยู่แล้วร่มเย็นเป็นสุข

    นี่คือ ๙ เหตุผลที่เราต้องบูชาท้าวเวสสุวรรณ ทำให้เรา มีอำนาจวาสนา สูงสุดทางมหาเศรษฐี ขจัดสิ่งอัปมงคล มีความเชื่อกันว่า ผู้ใดห้อยบูชาท้าวเวสสุวรรณ จะบังเกิดโชคลาภมากมาย ร่ำรวยเงินทอง มีกินมีใช้ไม่ขาดแก้ปีชง เสริมปีชง เทพแห่งปีชง ป้องกันภัยจากสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ป้องกันภูติ ผีวิญญาณต่างๆไม่กล้ามาทำอันตรายใดๆให้กับคนในครอบครัว ในร้านนั้นๆ เพราะภูติผีปีศาจ ยักษ์ เป็นบริวารท้าวเวสสุวรรณ คนมีลูกเพิ่งคลอด หรือมีเด็กเล็ก มักนิยมบูชาท้าวเวสสุวรรณ ตั้งไว้ตรงที่เด็กนอนหลับ เพราะมีความเชื่อว่าภูติผีปีศาจจะไม่กล้ามารบกวนเด็ก เพราะท้าวเวสสุวรรณเป็นผู้ปกครองแห่งภูติผีปีศาจนั่นเอง จึงแนะนำคนที่มีลูกอ่อน ลูกเล็ก หากชอบร้องไห้ตอนกลางคืน ไม่หลับไม่นอนเหมือนมีอะไรมารบกวนเด็ก และยังสามารถกันภูติผีปีศาจคุณไสย์มนต์ดำได้หมด
    ที่มา: http://rich.in.th/rich/vessuwan-9-reasons/
     
  20. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    6134F483-75BC-4FFC-9809-6E3F4033AD4A.jpeg

    ๓ มหายักษ์ ที่ได้รับสักการะบูชา จากศรัทธามหาชน

    ๑. ท้าวเวสสุวรรณ ท้าวเวสสุวรรณอยู่คู่กับสังคมไทยมานาน แต่โบราณนิยมสร้างเป็นเครื่องรางไว้ป้องกันตัวจากภูตผีปีศาจ สิ่งเร้นลับ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ ปัจจุบันความเชื่อเรื่องภูตผีจะน้อยลงไปตามเวลา จึงบูชาท่านในเรื่องเมตตา ค้าขาย กันมากกว่า เพราะเชื่อว่าท่านเป็น ธนบดี เจ้าแห่งทรัพย์

    คาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ (ตำรับวัดจุฬามณี)

    • ปุตตะ กาโม ละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง
    อัตถิกาเย กายะยายะ เทวานัง ปิยะตังสุตวาฯ

    • อิติปิโส ภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณ
    มรณังสุขัง อะหังสุคะโต นะโม พุทธายะฯ

    • ท้าวเวสสุวรรณโณ จตุมหาราชาชิกา ยักขะพันตาภัทภูริโต
    เวสสะ พุสะ พุทธัง อรหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโม พุทธายะฯ

    ************************

    คาถากันโรคระบาดท้าวเวสสุวรรณ

    “คะสะชะนะ อิติ ศัตรู อย่ามาคะตา”

    ************************

    ยันต์กันโรคระบาด ท้าวเวสสุวรรณ
    (ท้าวเวสสุวรรณดูแลเรื่องโรคระบาด)

    “นะ ณา มะ อะ อุ”

    ************************

    พระพุทธคาถา

    “สัมมาสัมพุทธัสสะ พระอะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ”

    ให้สวดทุกคืนๆ ละ ๗ จบ อานุภาพของพระคาถาศัตรูจะพินาศเองเมื่อคิดประทุษร้ายจะเกิดผลในด้านมงคลทุกประการ จะสามารถเห็นได้แจ่มแจ้งด้วยญาณ เป่าให้ศิษย์ผู้เรียนทิพจักขุญาณและเรียนไปปรโลก มีญาณเครื่องเห็นแจ่มใส

    ท้าวมหาราชทั้ง ๔ นำมามอบให้วันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๐๙ เวลา ๙ น. ณ สำนักพระยายม ท่านพระยายมบอกให้ทราบว่าท้าวมหาราชทั้ง ๔ จะมาคุยด้วย แล้วท้าวมหาราชทั้ง ๔ ก็มา ท่านท้าวธตรฐมาก่อนแล้วท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ และท้าวเวสสุวัณมาตามลำดับ ท่านเอาคาถามาให้ดูบอกว่า พระอินทร์ให้นำมาถวาย
    โดยกล่าวว่า พระอินทร์รับพระบัญชาจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เอามาให้ ท่านว่าคณะท่านทั้ง ๔ และเทวดาจะตามรักษาคาถานี้ให้เป็นไปตามนั้น

    อานุภาพคาถามีดังนี้

    ๑. ศัตรูจะพินาศไปเองเมื่อคิดประทุษร้าย
    ๒. จะเกิดผลในด้านมงคลทุกประการตามที่ปรารถนา
    ๓. จะสามารถเห็นได้แจ่มแจ้งด้วยฌาน เห็นได้ชัดเจนทุกประการ และทุกขณะที่ประสงค์จะเห็น
    ๔. เป่าให้ศิษย์ผู้เรียนทิพจักขุญาณ และเรียนไปปรโลกได้ มีญาณเครื่องเห็นแจ่มใส

    จากหนังสือสมบัติพ่อให้

     

แชร์หน้านี้

Loading...