เรื่องเด่น กสิณของฤาษี กับกสิณของพระพุทธเจ้า / หลวงปู่มั่น ภูริฑัตโต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 3 ธันวาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,429
    "กสิณของฤาษี กับกสิณของพระพุทธเจ้า"
    จากหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    @ในตอน.. พาพระมหาเปรียญมาจับผิดหลวงปู่มั่น

    พ่อแม่ครูบาอาจารย์เล่าว่า ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังไม่เลิกทิฎฐิที่จะเอาชนะพระกัมมัฎฐานให้ได้...
    ในคราวงานผูกพัทธสีมาพระอุโบสถวัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านไปเป็นประธานในงานนี้ หลวงปู่มั่น ก็ได้รับนิมนต์ไปในงานนี้ด้วย.
    พอตกเย็น ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ก็พาพระมหาเปรียญจากกรุงเทพฯ ๒-๓ รูป ไปสนทนาธรรมกับหลวงปู่มั่น ทราบกันดีว่าในครั้งนั้น. ต้องการจะให้พระเปรียญที่คงแก่เรียนนั้น ไปไล่ต้อนให้หลวงปู่มั่นจนมุมให้จงได้
    พระมหาเปรียญเหล่านั้นไม่มีใครกราบหลวงปู่มั่นตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติกัน คงจะถือว่าพวกท่านเป็นพระของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ. หรือถือตัวว่าเป็นพระมหาเปรียญผู้แตกฉานในพระไตรปิฎก ส่วนพระป่าที่เอาแต่นั่งหลับตา ไม่น่าจะรู้ธรรมะได้แตกฉานลึกซึ้งเท่า. เบื้องแรกมีการสนทนาไต่ถามทุกข์สุข ทำความคุ้นเคยกันพอสมควรแล้ว พระมหากลุ่มนั้นก็ตั้งปัญหาถามหลวงปู่มั่นว่า...

    “ในฐานะที่ท่านมีความชำนาญในสมาธิภาวนา จึงอยากจะถามท่านเกี่ยวกับเรื่อง กสิณ ว่าท่านใช้วิธีเพ่งกสิณอย่างไร เช่น การเพ่งดิน น้ำ ลม ไฟ หรือสีเหลือง แดง ขาว พวกนั้นมันเป็นอย่างไร ? ท่านใช้เพ่งอย่างไร ? ขอให้อธิบายด้วย?”
    ตั้งคำถามเหมือนกับข้อสอบ พระมหากลุ่มนั้นหวังจะให้หลวงปู่มั่น ท่านตกหลุมพราง จะได้เป็นหลักฐานกล่าวได้ว่า หลวงปู่มั่นและศิษย์
    ประพฤติปฏิบัติตนออกนอกรีตนอกรอย ของพระพุทธศาสนา
    ฝ่ายหลวงปู่มั่น ท่านไม่ต้องรอคิดหาคำตอบ ท่านตอบทันทีว่า :-

    “อ๋อ ! นั่นก็กสิณเหมือนกัน ที่เพ่งภายนอกนั้น แต่มันเป็นกสิณของพวกฤๅษีชีไพร
    ส่วนกสิณของพระพุทธเจ้า ท่านให้เพ่งน้อมเข้ามาในกายตน เช่นเพ่งไฟ ก็ไฟธาตุในตน เพ่งน้ำ ก็น้ำเลือด น้ำดี น้ำหนอง น้ำเสลด เพ่งดิน ก็ดูผม ขน เล็บ ฟัน หนังเพ่งลม ก็ลมหายใจเข้าออก ลมระบายออกทางทวาร ลมวิ่งไปในกระเพาะ ลมตีขึ้นเบื้องสูง ลมตีลงเบื้องต่ำ. ส่วนการเพ่งสีนั้น ก็เพ่งในร่างกายของเรานี้เอง สีแดงก็เลือด สีเหลืองก็หนอง สีขาวก็กระดูก สีเขียวก็น้ำดี
    เพ่งให้เป็นธาตุปฏิกูล ความเปื่อยเน่า ความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนเราเขา... นี่คือ กสิณของพระพุทธเจ้า ผู้ไกลจากกิเลส สำหรับผู้ไปเพ่งอย่างอื่นที่อยู่นอกตัว ยังเพ่งไม่ถูกแน่...”

    เมื่อได้ฟังคำตอบขอหลวงปู่มั่น เช่นนั้นพระมหาเปรียญผู้ถามถึงกับตลึงงัน เพราะไม่คิดว่าจะพลิกผันไปเช่นนี้ แถมยังเป็นสุดยอดของคำถาม
    คำตอบ ซึ่งอ่านในตำราจนจบก็ไม่สามารถหาได้ ทุกองค์ยอมจำนน ไม่มีใครกล้าถามต่อไปอีก....

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    ขอน้อมกราบพระธรรมคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ด้วยเศียรเกล้า

    kqmrxjv9qa1imefvtxmkhojb8wzif8kjleb0je7_-_nc_ohc-c2az_69xy1gax-lr7vr-_nc_ht-scontent-fcnx3-1-jpg.jpg
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,429
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,429
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,429
    e0-b8-ab-e0-b8-9b-e0-b8-a1-jpg-jpg.jpg



    สติปัฏฐานเป็นชัยภูมิฝึกฝน(
    จากหนังสือ "มุตโตทัย" หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)



    พระบรมศาสดาเจ้าทรงตั้ง "มหาสติปัฏฐานเป็นชัยภูมิ เข้าสู่มรรคผลนิพพาน" อุปมาในทางโลก การรบทัพชิงชัยมุ่งหมายเอาชัยชนะ จำต้องหาชัยภูมิ ถ้าได้ชัยภูมิดี ย่อมสามารถป้องกันอาวุธของข้าศึกได้ดี ณ ที่นั้นสามารถรวบรวมกำลังใหญ่ฆ่าฟันข้าศึกให้พ่ายแพ้ไปได้

    อุปมัยทางธรรมก็ฉันนั้น ที่เอามหาสติปัฏฐานเป็นชัยภูมิ โดย "ผู้ที่จะเข้าสู่สงครามรบข้าศึก คือกิเลส ต้องพิจารณากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน" เป็นต้นก่อน เพราะคนเราที่เกิดกามราคะ เป็นต้นขึ้น ก็เกิดที่กาย พอตาแลไปเห็นกายก็ทำใจให้กำเริบ กายจึงเป็นเครื่องก่อเหตุ ต้องพิจารณากายก่อน จะได้ดับนิวรณ์ทำใจให้สงบได้ ณ ที่นี้พึงทำให้มาก เจริญให้มาก คือพิจารณาไม่ถอยเลยทีเดียว เมื่ออุคคหนิมิตปรากฏ จะปรากฏส่วนไหนก็ตาม ให้ถือเอากายส่วนนั้นพิจารณาเป็นหลักไว้ ไม่ต้องย้ายไปพิจารณาที่อื่น ที่อื่นยังไม่เห็นก็ต้องพิจารณาที่อื่นสิ ! เช่นนี้หาควรไม่


    ถึงแม้จะพิจารณากายเป็นส่วนๆ ทุกๆ อาการอันเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ได้อย่างละเอียด ที่เรียกว่า ปฏิภาคก็ตาม ก็ต้องพิจารณากาย ที่เห็นทีแรกด้วยอุคคหนิมิตนั้นจนชำนาญ ที่จะชำนาญได้ต้องพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำอีก ณ ที่เดียวนั้นเอง เหมือนการสวดมนต์ฉะนั้น เมื่อเราท่องสูตรนี้ได้แล้วทิ้งเสีย ไม่เล่า ไม่สวดไว้อีก ก็จะลืมเสีย ไม่สำเร็จประโยชน์ ฉันใด การพิจารณากายก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อได้อุคคหนิมิตแล้ว ไม่พิจารณาให้มาก ปล่อยทิ้งเสียด้วยความประมาท ก็ไม่สำเร็จประโยชน์อะไรอย่างเดียวกัน




    อัตภาพร่างกายอันประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟนี้ ให้พิจารณาไตร่ตรองให้แยบคาย กระทำให้แจ้ง แทงให้ตลอดเป็นของสำคัญมาก ผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้ทั้งหมด ล้วนแต่ต้องพิจารณากายทั้งสิ้น แม้พระพุทธเจ้าจะได้ตรัสรู้ทีแรก ก็ทรงพิจารณาลม ลมจะไม่ใช่กายอย่างไร เพราะฉะนั้นมหาสติปัฏฐาน มีกายานุปัสสนาเป็นต้น ชื่อว่า เป็นชัยภูมิที่ดี
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,429
    ffVmwN_OgZZFAkI2pgBD7_Do5ratBgiJ6&_nc_ohc=A8ua9-FWVhEAX_fwu0N&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk29-4.jpg
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +70,429
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...