เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 11 มิถุนายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,467
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,339
    ค่าพลัง:
    +26,096
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,467
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,339
    ค่าพลัง:
    +26,096
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ พระวินัยธรจิตศิลป์ เหมรํสี ประธานสงฆ์สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี (ดร.หนึ่ง) ของเรา จบธรรมทูตรุ่นที่ ๓๐ แล้ว มาขอให้กระผม/อาตมภาพเซ็นหนังสืออนุญาตให้ไปจำพรรษาที่ประเทศญี่ปุ่น

    ในเรื่องของพระธรรมทูตนั้นบ้านเราหลงทางมานาน คำว่าหลงทางมานานก็คือ ในสมัยที่ญาติโยมนิมนต์ให้กระผม/อาตมภาพไปสอนกรรมฐานที่วัดไทยซานดิเอโก ต้องไปขออนุญาตกับหลวงพ่อพูนทรัพย์ (พระมงคลเทพโมลี วิ.) วัดสุทัศนเทพวราราม ท่านถามว่ากระผม/อาตมภาพเรียนจบบาลีประโยคไหน ? เรียนจบพุทธศาสตร์บัณฑิตระดับไหน ?

    พอกราบเรียนท่านว่าไม่ได้เรียนทางด้านนี้เลย จบแค่นักธรรมชั้นเอกเท่านั้น ท่านบอกว่าให้ไปเรียนเสียก่อน เนื่องเพราะว่าท่านส่งพระธรรมทูตไปที่อเมริกาแล้ว ๒ รุ่น รุ่นละ ๔๐ รูป ตอนนี้สึกหาลาเพศไปเกือบหมด ที่เหลืออยู่ ๔ รูปก็มีปัญหาเรื่องเงินติดตัวทั้งนั้น..!

    กระผม/อาตมภาพได้ยินแล้วก็ถอนใจ ถ้าหากว่าท่านยังกำหนดคุณสมบัติของพระธรรมทูตว่า จะต้องเป็นพระนักเรียนเท่านั้น ก็ต้องเจอแบบนี้ เนื่องเพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเมื่อไม่ได้ปฏิบัติธรรม กำลังใจก็ไม่เข้มแข็งพอ แล้วโดยเฉพาะสาว ๆ ทางด้านโน้น พอได้ยินได้ฟังแล้วชอบใจ เขาก็ขอแต่งงานด้วยเลย..! ส่วนใหญ่ก็หวังที่จะไปเจริญก้าวหน้าทำมาหากินที่นั่น เมื่อแต่งงานกับประชาชนของเขาก็จะได้กรีนการ์ด ก็คือได้รับบัตรอนุญาตให้ทำมาหากินอยู่ในบ้านเขาได้ จึงสึกหาลาเพศกันหมด..!

    ส่วนที่เหลือเรื่องของเงินทอง ดอลลาร์ก็ใหญ่กว่าเงินไทยหลายเท่า ในเมื่อมีเงินเข้ามาปัญหาก็เกิด สรุปว่าทั้งสตรีและสตางค์เป็นเหตุ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจึงไม่ประสบความสำเร็จ เพราะว่าไปกำหนดคุณสมบัติของพระธรรมทูตผิด

    ถ้าท่านทั้งหลายดูพระธรรมทูตยุคแรก ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งให้ออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ทั้ง ๖๐ รูปเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น ท่านถึงขนาดใช้คำว่า มุตตาหัง ภิกขะเว สัพพะปาเสหิ เย ทิพพา เย จะ มะนุสสาฯ ก็คือตัวเราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์และเป็นของมนุษย์ เธอทั้งหลายก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์และเป็นของมนุษย์

    เพราะฉะนั้น..ภิกษุทั้งหลาย..ขอพวกเธอจงเที่ยวไป เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก เพื่อความสุขของคนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก ก็แปลว่าธรรมทูตสมัยนั้น ไม่มีภาระทางใจอะไรที่ต้องทำแล้ว หมดสิ้นกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ทั้งสิ้นแล้ว จึงสามารถทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม จนกระทั่งพระพุทธศาสนาตั้งมั่นในชมพูทวีปได้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,467
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,339
    ค่าพลัง:
    +26,096
    แต่ในปัจจุบันของเรา อย่างรุ่นหลัง ๆ มา การอบรมพระธรรมทูตรับผิดชอบโดยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จึงได้มีการเน้นให้ปฏิบัติธรรม แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่าการเน้นในการปฏิบัติธรรมนั้น เน้นที่รูปแบบซึ่งจะไปแนะนำให้ผู้อื่นได้ปฏิบัติ ไม่ได้เน้นในการที่ปฏิบัติขัดเกลาให้ตนเองเหลือกิเลสให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ ดังนั้น..จะไปตั้งความหวังกับพระธรรมทูตรุ่นหลัง ๆ ว่าดีกว่ารุ่นแรก ๆ ก็คงจะเป็นไปได้ยาก

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมั่นคงต่อแนวทางของตน ก็คือยึดมั่นในพระพุทธศาสนา ดำรงในความเป็นพระภิกษุสามเณรเอาไว้ได้ กำลังใจต้องมั่นคงต่อ ศีล สมาธิ ปัญญา โดยเฉพาะสมาธิ ซึ่งจะช่วยให้พวกเรามีกำลังในการต่อต้านกิเลสได้ มีสติรู้จักยั้งคิด ไม่เสียเวลาไปสร้างโลกให้ตนเองทุกข์เพิ่มขึ้น มีปัญญาในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

    แต่คราวนี้ในเมื่อการอบรมส่วนใหญ่แล้ว ไปเน้นในส่วนของการศึกษารูปแบบ เพื่อไปถ่ายทอดให้ผู้สนใจ ก็จะกลายเป็นเรื่องยาก เพราะว่าการปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าเราทำไม่ถึงเอง ย่อมไม่สามารถที่จะอธิบายอารมณ์ของสภาวธรรมให้ถูกต้องได้ ก็ได้แต่มั่ว ๆ ผิว ๆ เผิน ๆ ไปเท่านั้น

    แบบเดียวกับปัจจุบันนี้ที่เขามีการสอนว่า ถ้าผ่านญาณ ๑๖ แล้วแปลว่าคุณได้อย่างน้อยพระโสดาบัน..! แล้วก็ทำเอาผู้ปฏิบัติทั้งหลายหลงทิศหลงทางกันไปมากมาย เนื่องเพราะว่าพอถึงเวลาเราไปส่งอารมณ์แล้ว มีเฉียดญาณใดญาณหนึ่งขึ้นมาแม้แต่เล็กน้อย ครูบาอาจารย์ท่านก็จะฟันธงว่าผ่านญาณนั้นแล้ว สรุปก็คือของราคาเป็นล้าน เก็บได้สลึงหนึ่ง เขาก็บอกว่าได้ครบล้านแล้ว..!

    ดังนั้น..จะเอาดีในเรื่องของการปฏิบัติแบบนี้ก็เป็นเรื่องยาก นอกจากเรารักที่จะไปปฏิบัติเพิ่มเติมด้วยตนเอง แต่ก็มักจะอยู่ในลักษณะที่เข้าใจผิด โดยเฉพาะทางสายพองยุบในปัจจุบันนี้ น่าเป็นห่วงที่สุด เนื่องเพราะว่าพอมีความคิดขึ้นมา ท่านก็จะให้ภาวนาว่า คิดหนอ..คิดหนอ..คิดหนอ จนกระทั่งความคิดนั้นดับไป
    ถ้าหากว่าเราคิดไม่ได้แล้วจะพิจารณาธรรมอย่างไร ?

    แล้วโดยเฉพาะก็คือ ส่วนใหญ่ไปกำหนดว่าให้เราใช้กำลังแค่ขณิกสมาธิ หรือว่าอุปจารสมาธิเท่านั้น ซึ่งกำลังเหล่านั้นไม่เพียงพอในการตัดกิเลสแม้แต่น้อย กำลังที่พอจะตัดกิเลสเบื้องต้น อย่างต่ำต้องเป็นปฐมฌานละเอียด หรือถ้าสามารถทรงฌาน ๔ ได้ก็ยิ่งดี แต่ท่านก็ส่วนใหญ่ให้ใช้แค่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ แล้วก็อาศัยการที่รู้เท่าทันอารมณ์ปัจจุบันว่า ตอนนี้เราโกรธ ตอนนี้เรารัก ตอนนี้เราโลภ ตอนนี้เราหลง เป็นต้น แล้วบอกว่านั่นคือวิปัสสนาญาณ..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,467
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,339
    ค่าพลัง:
    +26,096
    คำว่าวิปัสสนาญาณนั้น ก็คือการรู้แจ้งเห็นจริงในสรรพสิ่งทั้งหลายว่า ไม่เที่ยงอย่างไร ? เป็นทุกข์อย่างไร ? ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างไร ? จนกระทั่งท้ายสุดก็เห็นว่า ร่างกายของเราไม่เที่ยงแบบนั้น เป็นทุกข์แบบนั้น ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราจริง ๆ แล้วถอนจิตจากการยึดการเกาะในร่างกายของเราออกมา ยิ่งสามารถถอดถอนได้มากเท่าไร โอกาสที่จะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าก็ยิ่งมากเท่านั้น

    ไม่ใช่ไปคิดหนอ..คิดหนอ ให้ความคิดทั้งหลายเหล่านั้นหยุดลงไป หมดลงไป ไม่ใช่ใช้กำลังแค่อุปจารสมาธิ หรือขณิกสมาธิ เนื่องเพราะว่าไม่เพียงพอ แล้วก็โดนกิเลสตีเสียปางตาย โดยที่ไปหลงเข้าใจผิดว่า เราต้องกล้าเผชิญกับความเป็นจริง คืออารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง ที่เกิดขึ้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมากว่า ต่อให้เราฝึกฝนไปขนาดไหนก็ตาม ถ้ายังผิดทางแบบนี้ โอกาสที่จะไปแนะนำให้คนอื่นได้ดีนั้นก็ยากมาก..!

    กระผม/อาตมภาพมีครูบาอาจารย์ที่มาสายนี้หลายรูป แล้วก็เจอมาด้วยตนเองว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้นแอบทรงฌานเป็นปกติ ตอนไปส่งอารมณ์ได้แอบกระซิบถามท่าน ท่านก็ยอมรับ แต่ท่านไม่สามารถที่จะสอนได้ เพราะว่าตามแนวทางของสายกรรมฐานแล้ว เขาไม่ยอมรับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เพราะเขาถือว่าสมาธิยิ่งมากเท่าไร โกสัชชะคือความขี้เกียจจะก็จะมากเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่กำลังใจของเราถ้าทรงสมาธิได้ รัก โลภ โกรธ หลง จะโดนดับสนิทไปชั่วคราว เมื่อสภาพจิตของเราผ่องใสก็จะเห็นช่องทางว่าทำอย่างไรจะ ลด ละ เลิก กิเลสต่าง ๆ ให้เบาบางลง จนกระทั่งถ้ากำลังเพียงพอก็ลาขาดตัดขาดกันไปเลย

    ดังนั้น..โอกาสที่พระธรรมทูตสายต่างประเทศของเราจะไปเผยแผ่หลักธรรมแล้วได้ผล ก็ต้องอย่างหลวงพ่อโรเบิร์ต สุเมโธ (พระพรหมวชิรญาณ) เนื่องเพราะว่าได้รับการเคี่ยวกรำจากครูบาอาจารย์ คือหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพงมา จนกระทั่งตัวเองมั่นคงแล้วถึงไปเผยแผ่ ไม่เช่นนั้นแล้วที่เหลือก็ดูท่าว่าจะไม่รอด หรือดีไม่ดีก็พาผู้อื่นเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะว่าสอนเขาหลงทางตามกันไปด้วย

    จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะน่าเป็นห่วง แต่ในเมื่อเขายึดมั่นถือมั่นว่าการปฏิบัติแนวนี้เท่านั้นถึงจะใช้ได้ โดยที่หลายคนก็ตั้งใจแปลผิดด้วย เอกายโน อะยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา ดูก่อน..ภิกษุทั้งหลาย นี่เป็นหนทางหนึ่งที่จะนำสัตว์เข้าสู่ความบริสุทธิ์ เขาไปแปลว่า "นี่เป็นหนทางเดียว" ที่จะนำสัตว์เข้าสู่ความบริสุทธิ์ ถ้าเป็นหนทางเดียว แล้วพระพุทธเจ้าจะเทศน์ไปทำไม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ?

    จึงฝากให้ท่านทั้งหลายไปพินิจพิจารณาด้วย เนื่องเพราะว่าในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ถ้าไม่มีการปฏิบัติธรรมจนกระทั่งปรากฏผลแล้วมายืนยัน ก็ไม่สามารถที่จะกล่าวได้ว่าปริยัตินั้นถูกต้องแท้จริงหรือไม่ ?

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๑๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...