ชมรมวัชรธาตุขอมอบพลอยพญานาคแบบรังหินแด่ผู้บริจาคร่วมบุญในโครงการ

อยากจะขอทำบุญบูชาเพชรพญานาคด้วยค่ะ
ตอนนี้ยังมีอยู่ใช่มั้ยคะ จะได้โอนค่าบูชาให้
ขออนุโมทนา

 

ได้รับของเรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ

 

ขณะนี้มีรังหินมาแล้วค่ะ ท่านที่โอนเงินมาแล้วกรุณาแจ้งชื่อที่อยู่ด้วยค่ะ

-----------------------------------------------------------------------

ขณะนี้รังหินขนาดไข่ไก่เบอร์ 3 เข้ามาแล้ว ท่านใดสนใจร่วมบุญแจ้งมาได้เลยค่ะ

ขออนุโมทนาบุญค่ะ

น้ำใส

 

จองไว้ 5 ก้อนครับ รอโอนแล้วแจ้งอีกทีครับ

 

ไม่ทราบว่าส่งมาให้หรือยังครับ จากไพรัช โตจั่น
อ้างอิงจากหน้า 4

ไพรัช โตจั่น โอนเงินแล้วครับ ทางตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงไทย สาขาชุมแสง นว. เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 3 กรกฎาคม 2551 เวลา 17.41 น. จำนวน 1,800.-บาท เข้าบัญชี น.ส. พุทธารา เหลือดี และน.ส. นิตยา จูสิงห์ เลขที่ 234-4-06768-7ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด
สาขา เดอะมอลล์ –บางกะปิ ประเภท ออมทรัพย์ (จำนวน 6 ก้อน ) ส่งมาที่สำนักงานเทศบาลตำบลวังตะกู ต.วังตะกู อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร 66210
<!-- / message -->
<!-- / message --><!-- edit note --><HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>Last edited by จั่นเจา_w9; 04-07-2008 at 09:08 AM. เหตุผล: แก้ไข

 

เรียนพี่น้ำใสขอความกรุณาช่วยเช็ค เมล isoon99@hotmail.com
ได้รับหลักฐาน การโอน 1000 บาทวันที่ 11 07 08 หรือยังครับ

 

ไพรัช ได้รับแล้วครับ 6 ก้อน

 

ผมขอร่วมทำบุญ 1 องค์ครับ
(โอนปัจจัยแล้ว จะแจ้งอีกทีครับ)
ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ

 

ถ้าอยากจะขอบูชา ไม่ทราบว่าตอนนี้ยังเปิดให้บูชาอยู่หรือเปล่าคะ

 

---------------------------------------------------

ยังมีอยู่ค่ะ ถ้าเป็นแบบรังหิน ก้อนละ 300 บาท

หรือแบบเพชรพญานาคสัณฐานพลอยหลังเบี้ย หรือ สัณฐานกลม ขนาดจิ๋ว 150 บาท ขนาดเล็ก 300 บาท ขนาดกลาง 500 และขนาดใหญ่ 700 บาท

หรือดูสัณฐานอื่น ๆ ได้ที่....

http://www.watcharathath.com/

สนใจมีจิตศรัทธาร่วมบริจาคกรุณาโอนเงินเข้าบัญชีต่อไปนี้...
<O</O
ชื่อบัญชี น.ส. นิตยา จูสิงห์เลขที่ 493-1-02465-3 , ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขา ย่อยไทยซัมมิททาวเวอร์ประเภท ออมทรัพย์<O</O
หรือ<O</O
ชื่อบัญชี น.ส. พุทธารา เหลือดี และน.ส. นิตยา จูสิงห์เลขที่ 234-4-06768-7 ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด , สาขา เดอะมอลล์

 

<TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>

ไม่ทราบว่าได้มาจากที่ใดครับ มีองค์ประกอบในแก้วอย่างไร
ขอยกตัวอย่างในการผลิตนะครับ ซึ่งถ้าพอมีความรู้ทางเคมีบ้างคงพอเข้าใจ และสามารถผลิตได้ด้วย

วัตถุดิบในการหลอมแก้ว ​

<HR width="60%" color=#e9f0f8 noShade></TD></TR><TR><TD height=24>องค์ประกอบทางเคมีของแก้วจะมีผลต่อคุณสมบัติของแก้ว ดังต่อไปนี้ </TD></TR><TR><TD>

1. SiO2 แก้วที่มีปริมาณของ SiO2 สูง จะทำให้แก้วนั้นมีโครงสร้างที่แข็งแรง ทนต่อความร้อนและสารเคมี แต่ทำการผลิตได้ยากเนื่องจากต้องใช้การหลอมเหลวที่อุณหภูมิสูงขึ้น และขึ้นรูปได้ยากเนื่องจากมีความหนืดสูง
2. Na2O แก้วที่มีปริมาณ Na2O สูงจะหลอมเหลวที่อุณหภูมิต่ำ เปราะแตกง่าย และไม่ทนต่อสารเคมี ถ้ามีปริมาณ Na2O สูงมากๆ จะสามารถละลายน้ำได้
3. K2O ช่วยให้การตกผลึกเป็นไปอย่างช้าๆ ทำให้การเรียงตัวของผลึกออกมาสวยงาม
4. CaO, MgO หรือ BaO จะช่วยในการขึ้นรูป ทำให้แก้วคงตัว (set) เร็วขึ้นเมื่อเย็นลง และเพิ่มความทนต่อสารเคมี แก้วที่มีปริมาณ MgO มากกว่า CaO จะทำให้ให้การตกผลึกเป็นไปอย่างช้าๆ ทำให้การเรียงตัวของผลึกออกมาสวยงาม
5. Al2O3 แก้วที่มีปริมาณ Al2O3 สูง จะทำให้แก้วนั้นมีความทนทานต่อการสึกกร่อนและสารเคมีได้ดีขึ้น
6. B2O3 แก้วที่มีสารประกอบพวก Boron เป็นองค์ประกอบ (Borosilicate) จะมีความคงทนต่อกรด-ด่าง และทนต่อความร้อน เนื่องจากจะทำให้สัมประสิทธิ์การขยายตัวเนื่องจากความร้อนลดลง แก้วประเภทนี้เป็นแก้วที่ใช้ในอุปกรณ์วิทยาศาสตร์และเป็นแก้วประเภทที่สามารถใช้ในเตาไมโครเวฟได้
7. PbO แก้วที่มีตะกั่วเป็นองค์ประกอบ (Lead glass) เนื้อแก้วใสวาวเนื่องจากมีค่าดัชนีหักเหสูงมีความอ่อน (soft) ไม่แข็งกระด้าง ง่ายต่อการเจียระไน เวลาเคาะมีเสียงกังวาน
8. Fe2O3 ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงในขณะหลอม แต่จะทำให้เนื้อกระจกใส มีสีค่อนไปทางเขียว
9. ออกไซด์ อื่นๆ หากต้องการให้แก้ว หรือกระจกมีสีสันต่างๆ สามารถเติมสารนอกเหนือจากส่วนผสมข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว ดังนี้

</TD></TR><TR><TD><TABLE width="80%" align=right bgColor=#f0f8f9 border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff height=151><TABLE width="98%" align=center bgColor=#f9fcfd><TBODY><TR><TD width="66%" bgColor=#ffffff height=21>Chromium oxide (Cr2O3)</TD><TD width="34%" height=21>

สีเขียว​

</TD></TR><TR><TD width="66%" bgColor=#ffffff height=20>Cobalt oxide (CoO)</TD><TD width="34%" height=20>

สีน้ำเงิน​

</TD></TR><TR><TD width="66%" bgColor=#ffffff height=23>Urenium (U)</TD><TD width="34%" height=23>

สีเหลือง​

</TD></TR><TR><TD width="66%" bgColor=#ffffff height=21>Nickle (Ni)</TD><TD width="34%" height=21>

สีน้ำตาล​

</TD></TR><TR><TD width="66%" bgColor=#ffffff height=21>Carbon-Sulfur-Iron (C-S-Fe)</TD><TD width="34%" height=21>

สีอำพัน​

</TD></TR><TR><TD width="66%" bgColor=#ffffff height=20>Manganese (Mn)</TD><TD width="34%" height=20>

สีชมพู​

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD> </TD></TR><TR><TD height=22>

โดยปกติแล้วองค์ประกอบทางเคมีของแก้ว จะมาจากแหล่งวัตถุดิบ ดังต่อไปนี้ ​

</TD></TR><TR><TD height=37><TABLE height=66 width="80%" align=right bgColor=#f0f8f9 border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff height=196><TABLE width="98%" align=center bgColor=#f9fcfd border=0><TBODY><TR><TD height=26>องค์ประกอบทางเคมี</TD><TD height=26>วัตถุดิบซึ่งเป็นที่มา</TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD width="33%" height=21> SiO2</TD><TD width="67%" height=21>Silica sand</TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD width="33%" height=21> Na2O</TD><TD width="67%" height=21>Soda ash (Na2CO3), Salt cake (Na2SO4)</TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD width="33%" height=22> K2O</TD><TD width="67%" height=22>Feldspar (เป็นแร่พวก Alumino silicate ที่มี Na, K เจือปน)</TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD width="33%" height=22> CaO</TD><TD width="67%" height=22>Dolomite (เป็นแร่พวก carbonate ของ Mg, Ca) , Lime stone</TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD width="33%" height=20> MgO</TD><TD width="67%" height=20>Dolomite</TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD width="33%" height=19> Al2O3</TD><TD width="67%" height=19>Feldspar</TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD width="33%" height=21> Fe2O3</TD><TD width="67%" height=21>Impurities</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
สำหรับใยแก้วนำแสงใช้ SiCl4 และ GeCl4 เป็นวัตถุดิบ
(จากรูปที่เห็นการสะท้อนความวาวมีสารเคลือนค่อนข้างชัด เป็นสารที่ใช้ในการผลิตลูกปัดในโรงงาน เนื่องด้วยแสงที่กระทบพื้นผิวดังกล่าวไม่รวมแสงดังเช่น พวกคลิสตอลน์หรือรัตนชาติทั่วไป)

ขอแยกประเภทดังนี้
<TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>

ชนิดของแก้ว ​

<HR width="60%" color=#e9f0f8 noShade></TD></TR><TR><TD height=50> การแบ่งประเภทของแก้ว สามารถแบ่งได้หลายแบบ เช่น แบ่งตามกรรมวิธีการผลิต แบ่งองค์ประกอบทางเคมี หรือแบ่งตามการใช้งาน แต่โดยส่วนใหญ่เรามักจะบอกประเภทของแก้วตามองค์ประกอบของมัน ดังนี้ </TD></TR><TR><TD height=2><TABLE width="90%" align=right border=0><TBODY><TR><TD height=56><TABLE width="100%" bgColor=#fcfdfe border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff height=79><TABLE width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>1. แก้วโซดาไลม์ (Soda-lime glass)</TD></TR><TR><TD height=50>

ผลิตจากวัตถุดิบหลัก คือ ทราย โซดาแอช หินปูน เป็นแก้วที่พบเห็นได้โดยทั่วไป ได้แก่ แก้วที่เป็นขวด แก้วน้ำ กระจก เป็นต้น สามารถทำให้เกิดสีต่างๆ ได้โดยการเติมออกไซด์ที่มีสีลงไป
​

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=2><TABLE width="100%" bgColor=#fcfdfe border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff height=79><TABLE width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>2. แก้วที่บอโรซิลิเกต (Borosilicate glass ) หรือ Pyrex </TD></TR><TR><TD height=50>

เป็นแก้วที่มีการเติมบอริค-ออกไซด์ ลงไป ทำให้มีค่าสัมประสิทธิ์การขยายตัวเนื่องจากความร้อนต่ำ และทนต่อการเปลี่ยนแปลงความร้อน แก้วที่ได้สามารถนำไปใช้ทำเครื่องแก้ววิทยาศาสตร์ ทำภาชนะแก้วสำหรับใช้ในเตาไมโครเวฟ เป็นต้น
​

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=35><TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE width="100%" bgColor=#fcfdfe border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff height=77><TABLE width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>3. แก้วตะกั่ว (Lead glass) หรือแก้วคริสตัล </TD></TR><TR><TD height=50>

เป็นแก้วที่มีสารผสมของตะกั่วออกไซด์ อยู่มากกว่า 24% โดยน้ำหนัก จะเป็นแก้วที่มีดัชนีหักเหสูงมากกว่าแก้วชนิดอื่น ทำให้มีประกายแวววาวสวยงาม และแกะสลักเป็นลวดลายต่างๆ ได้ ใช้ทำเครื่องแก้วที่มีราคาแพง
​

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE width="100%" bgColor=#fcfdfe border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff height=79><TABLE width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>4. แก้วโอ-ปอล (Opal glass)</TD></TR><TR><TD height=50>

เป็นแก้วที่มีการเติมสารบางตัว เช่น โซเดียมฟลูออไรด์ หรือแคลเซียมฟลูออไรด์ ทำให้มีการตกผลึก หรือการแยกเฟสขึ้นในเนื้อแก้ว ทำให้แก้วชนิดนี้มีความขุ่นหรือโปร่งแสง เนื่องจากสามารถหลอม และขึ้นรูปได้ง่ายจึงมีต้นทุนการผลิตต่ำ และสามารถทำให้มีความแข็งแรงทนทานมากขึ้นเมื่อนำไปผ่าน ขบวนการอบ (tempering) หรือการเคลือบ (laminating)
​

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE width="100%" bgColor=#fcfdfe border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff height=79><TABLE width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>5. แก้วอลูมิโนซิลิเกต (Alumino silicate glass)</TD></TR><TR><TD height=50>

มีอลูมินาและซิลิกาเป็นส่วนผสมหลัก มีค่าสัมประสิทธิ์การขยายตัว เนื่องจากความร้อนต่ำ และมีจุดอ่อนตัวของแก้ว (softening point) สูง พอที่จะป้องกันการเสียรูปทรงเมื่อทำการอบ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ผลิตภัณฑ์
​

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE width="100%" bgColor=#fcfdfe border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff height=79><TABLE width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>6. แก้วอัลคาไลน์-เอิร์ท อลูมิโนซิลิเกต (alkaline-earth alumino silicate)</TD></TR><TR><TD height=50>

มีส่วนผสมของแคมเซียมออกไซด์ หรือแบเรียมออกไซด์ ทำให้มีค่าดัชนีหักเหใกล้เคียงกับแก้วตะกั่ว แต่ผลิตง่ายกว่าและมีความทนทานต่อกรดและด่าง มากกว่าแก้วตะกั่วเล็กน้อย
​

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE width="100%" bgColor=#fcfdfe border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff height=79><TABLE width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>7. กลาส-เซรามิกส์ (glass-ceramics) </TD></TR><TR><TD height=50>

เป็นแก้วประเภทลิเธียมอลูมิโนซิลิเกตที่มี TiO2 หรือ ZrO2 ผสมอยู่เล็กน้อย ซึ่งจะทำให้เกิดผลึกในเนื้อแก้ว ซึ่งอาจทำให้แก้วมีความทึบแสงหรือโปร่งใส ขึ้นกับชนิดของผลึก กลาส-เซรามิกส์จะทนทาน และมีสัมประสิทธิ์การขยายตัวเนื่องจากความร้อนต่ำมาก สามารถนำไปใช้เป็นภาชนะหุงต้ม หรือเป็นแผ่นบนเตาหุงต้มได้
นอกจากนี้อาจมีแก้วประเภทอื่นๆ อีกหลายประเภท ขึ้นอยู่กับส่วนผสมที่แตกต่างกันออกไป แต่เนื่องจาก อาจไม่มีการใช้ที่แพร่หลายนัก จึงไม่นำมากล่าวในที่นี้
​

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

กระผมมิได้มีเจตนาโจมตีผู้ตั้งกระทู้นะครับ การร่วมบุญย่อมเป็นเรื่องที่ดี แต่ด้วยมีข้อสังเกตและสาระในทางวิชาการที่ควรนำเสนอเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องหลักวิทยาศาสตร์ที่สามารถจะอธิบายได้ในกรณีนี้ มิใช้เรื่องเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด สามารถตรวจสอบด้วยตัวท่านเองที่สถาบันอุดมการศึกษาทั่วไปที่มีห้องปฏิบัติการ หรือกระทรวงอุตสหกรรมฝ่ายการผลิต,กระทรวงวิทยาศาสตร์ เป็นต้น หากเป็นหินธรรมชาติหรือก่อตัวขึ้นเองก็จะได้ผลเป็นอีกแบบ กล่าวคือต้องเป็นสะสารธาตุที่มีอยู่ในบริเวณที่พบเจอ และส่วนมากจะไม่มีปฏิกิริยาเคมีเจือปน ยกตัวอย่างเช่น แร่เกาะช้าง และเพชรหน้าทั่ง เป็นต้น ถ้ามีองค์ประกอบการสังเคราะห์เมื่อไหรก็เอวังครับ........สาธุ

 

แถมให้อีกเรื่องด้วยความหวังดี เรื่องของสบู่เหลว ครับ

สบู่เหลวได้รับความนิยมยิ่งขึ้นด้วยเหตุผลของความสะดวกสบายเป็นสำคัญ แต่คุณรู้ไหมว่า สบู่เหลวที่เราใช้กันอยู่นั้นไม่ใช่สบู่ แต่เป็นสารเคมีล้วนๆ สบู่เหลวที่ดีจริงๆจะต้องมีส่วนผสมของเนื้อสบู่อย่างน้อย 25% แล้วที่เหลือเป็นน้ำ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่มีสบู่เหลวแบบนี้วางขายอยู่เลย เพราะผลิตภัณฑ์เกือบทุกชนิดที่วางขายอยู่นั้นเป็นแค่ใช้สารซักฟอกหรือดีเทอร์เจนผสมกับสารเคมีสังเคราะห์อื่นๆแล้วทำให้อยู่ในรูปของเหลว ซึ่งสารซักฟอกหรือดีเทอร์เจนก็คือสารเคมีหลักที่ใช้ในการผลิต แชมพู น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดพื้น หรือแม้แต่น้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำนั่นเอง จะผิดกันก็แต่ว่าความเข้มข้นของสารซักฟอกที่ใช้ทำสบู่เหลวมีความเจือจางกว่าเท่านั้น ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สบู่เหลว คงไม่เกิดขึ้นในฉับพลันทันทีแต่จะสะสมเป็นปัญหาในระยะยาวได้ เพราะสารเคมีเหล่านี้จะแทรกซึมลงไปในผิวหนัง อวัยวะภายใน และกระแสเลือดได้ทุกครั้งที่เราอาบน้ำ SLS หรือ โซเดียมลอริลซัลเฟต เป็นตัวอย่างหนึ่งของสารเคมีหลักที่มักใช้ในสบู่

คุณลองไปพลิกพวกผลิตภัณฑ์ซักล้างทุกอย่างดูจะเห็นส่วนผสมนี้จริงๆ (บางทีใช้ชื่อว่าลอริล) และเป็นสารเคมีอันตราย หลายประเทศในยุโรปและอเมริกามีกฎหมายห้ามใช้แล้ว และบางประเทศก็จำกัดให้มีการใช้น้อยลง แต่ในบ้านเรากลับใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งๆที่ SLS เป็นสารเคมีที่ดูดซึมผ่านผิวหนังได้ง่ายและรวดเร็ว สามารถสะสมอยู่ในดวงตา สมอง หัวใจ ตับ และก่อปัญหาในระยะยาว

หากยิ่งมีการใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลอามีน ก็จะกลายเป็นสารก่อมะเร็งในที่สุด เพราะฉะนั้น เราอาจต้องถามตัวเองดูใหม่ว่ามีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องใช้สบู่เหลว ซึ่งจริงๆแล้วคือสารเคมีล้วนๆ แต่ถ้ายังคงต้องการที่จะใช้ การใช้สบู่เหลวสำหรับเด็กก็จะดีกว่า ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย (เพียงแต่มีสารเคมีเจือจางกว่าเท่านั้น) แต่ถ้าจะให้ดี การกลับไปใช้สบู่ก้อนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ข้อมูลจากวารสารเกษตรกรรมธรรมชาติ [FONT=Default Sans Serif,Verdana,Arial,Helvetica,sans-serif]
[/FONT]<!-- / message --><!-- sig -->

 

ร่วมทำบญด้วย 300 บาท

โอนเงินแล้วจะแจ้งครับ

 

--------------------------

เรื่องนี้ ขึ้นอยู่กับวิจารณญานของแต่ละบุคคลค่ะ ดิฉันคงไม่กล่าวอะไรมาก นอกจาก ขอช่วยกรุณาอธิบายภาพด้านล่างในเชิงวิทยาศาสตร์ได้มั้ยคะ ว่า พบสิ่งเหล่านี้ในถ้ำได้อย่างไร แล้วแสงรังสีที่เกิดขึ้นในภาพถ่าย 2 ภาพสุดท้ายคืออะไร

ขออนุโมทนาบุญในธรรมทานค่ะ

น้ำใส

 

ไม่ทราบว่า "ที่ว่าเพชรพญานาคที่พบในภาพ วางเรียงรายกันอยู่ ไม่ได้มีใครนำมาจัดฉาก ผมมีความรู้สึกว่า สวยใสสะอาดมาก? ขออภัยในความคิด หากลบหลู่ เพราะมีความสงสัยเช่นกันนะครับ

 

การทำบุญอยู่ที่ความตั้งใจครับ ส่วนของที่มอบให้ก็เป็นของที่ระลึกครับอย่าไปคิดอะไรมากเลย ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่นั้นก็อยู่ที่ใจและความเชื่ออีกเหมือนกัน พุทธศาสนาจะคงอยู่ได้ก็พวกเราต้องช่วนกันครับ ผมเองก็อธิษฐานเวลาทำบุญขอให้ถูกหวยรวยทรัพย์นับเงินหมื่นเงินแสนเงินล้านเพื่อจะได้นำเงินไปสมทบทุนถวายเป็นปัจจัยบำรุงพระพุทธศาสนาและถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองคงอยู่ตลอดไปครับแต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ประสพผลเลยครับก็ต้องแบ่งเอาจากน้ำพักน้ำแรงไปทำบุญน่ะครับ คนละเล็กละน้อยก็ได้เยอะครับยังมีวัดวาอารามที่ยังต้องการความช่วยเหลือจากการทำบุญของพวกเราอีกมากครับ