เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ขอแสดงความยินดีกับ คุณ Mead หัวหน้าผู้ก่อตั้งห้องวิทย์ฯค่ะ วันนี้มีผู้อ่านแจ้งมาว่า ยอดผู้อ่านกระทู้ห้องวิทย์ฯ เป็นอันดับหนึ่ง สูงกว่ากระทู้อื่นๆทั้งหมด แต่พี่นักเขียนนำตัวเลขมาแสดงไม่เป็นค่ะ รบกวนหัวหน้าช่วยนำมาแสดงให้พวกเราเห็นบ้าง จะได้ชื่นชมด้วยกันหน่อยค่ะ
    [​IMG]
     
  2. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    หลังจากอ่านสิ่งที่พี่นักเขียน โพสมาในวันนี้ เดรดนึกย้อนกลับไปที่เป้าหมายชีวิตตัวเอง สิ่งที่เดรดพยายามเรียนรู้จริงๆคืออะไร?...ลองทบทวน ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา..เดรดเติบโตมากับครอบครัวที่อบอุ่น พ่อแม่รักปานดวงใจ แทบไม่เคยมีอะไรที่เดรดอยากได้แล้วไม่ได้ เดรดเป็นพี่สาวคนโต ปกติทุกครอบครัว มักต้องอยู่ในฐานะผู้เสียสละแก่น้องๆ แต่ในกรณีนี้ไม่ เดรดจะมักได้รับสิทธิ์พิเศษมากกว่าคนอื่นๆ

    ด้วยความที่ได้รับสิทธิ์พิเศษนี้ทำให้เรารู้สึกว่า แตะต้องแทบไม่ได้ เวลาโดนตำหนิ แม้น้อยนิด จะรู้สึกเสียใจมาก น้อยใจมาก โดยเฉพาะกับ พ่อและแม่ โดยไม่ได้สนใจเลยว่ามันสมควรหรือไม่ จนมันลามปามออกมาที่สังคมภายนอก กับญาติ เพื่อนๆ หรือคนทั่วไป ทนไม่ได้กับการถูกตำหนิ และการไม่ยอมรับจากคนอื่นๆ ทุกๆสิ่งที่ทำ ต้องดีต้องเลิศ ถ้าโดนตำหนิ จะต้องแก้ให้ถูก ต้องเอาชนะให้คนยอมรับให้ได้

    มันจึงกลายเป็นว่า เดรดพยายามทำสิ่งที่ถูกต้องตลอด(คิดเอาเอง) ทุกอย่างควรยุติธรรม(วิเคราะห์เข้าข้างตัวเองอีกตะหาก)การโต้ตอบกลับไปกลายเป็นตาต่อตา ฟันต่อฟัน ใครดีมาดีตอบ ใครร้ายมา ร้ายใส่ โดยไม่ค่อยใส่ใจกับความรู้สึกชาวบ้าน แต่กลับไม่มองกลับมาที่ตัวเลยว่า ไอ้สิ่งที่ทำไป มันให้ผลย้อนกลับมาที่เราเสมอ แต่เรากลับคิดว่า ถูกต้องแล้ว ควรแล้ว

    ที่เล่ามาไม่ใช่เดรดเป็นคนร้ายกาจอะไรมากมายนะค่ะ จะลุยชาวบ้านเค้าอย่างเดียว ตรงกันข้าม กลับมีเพื่อนสนิทที่รักเยอะมาก ไม่ค่อยมีเรื่องกับใครเลย ไม่ค่อยสร้างปัญหาให้ใคร ไม่เคยหาเรื่องใครก่อนแม้บางที่จะเหลือเกินก็ตาม ค่อนข้างจะเป็นที่รักกับคนทั่วไป (หุหุ...อย่าหาว่าคุยเลยนะค่ะ อาจตาบอดมองไม่เห็นเองก็ได้)

    แต่เดรดกลับรู้สึกว่า เดรดต้องการเป็นมากกว่านี้ ไม่ต้องการให้ใครมาว่า มาตำหนิเลย (แม้จะจริงก็ตาม...รู้ว่าผิดแต่ไม่รับ ไม่ได้เถียงแต่ไม่รับ...มั่นเหลือเกิน) เดรดเลยพยายามทุกวิถีทาง ที่จะทำให้คนอื่นพอใจ ไมพยายามไปขัดใจเค้า(แม้สิ่งนั้นๆจะฝืนใจมากๆ) เพราะคิดว่า ถ้าเราต้องการอะไร เราต้องทำแบบนั้นด้วย แต่ปัญหาก็ยังไม่หมด ไม่มีอะไรที่ดีที่สุด เลิศที่สุด มันเป็นอินฟินิตี้

    เดรดคิดว่า เดรดรู้แล้วว่า เราต้องการอะไร เดรดต้องการความรัก และความปรารถนาดีแบบไม่มีเงื่อนไข แต่เดรดจะไม่ได้รับมัน เพราะเดรดเองนั่นแหล่ะที่มีเงื่อนไข ตราบใดที่เราไม่สามารถให้ได้อย่างจริงใจ และไม่หวังผล...เราจะไม่มีวันได้รับสิ่งเหล่านั้นกลับมาด้วย(เมื่อตรวจสอบใจแท้ๆ แบบไม่เข้าข้าง ผลจึงออกมาเป็นเช่นนี้) ถึงแม้เดรดเองจะได้ชื่อว่าเป็นที่รักของคนส่วนใหญ่ก็ตามเถอะ

    คงต้องกลับมาพิจารณาใหม่เสียแล้วว่า...ถ้าไม่ลด ละ เลิก ความต้องการ และซื่อสัตย์ต่อตัวเองให้มากกว่านี้ เดรดคงไปไม่ถึงเป้าหมายที่แท้จริง ถามว่าชีวิตทุกวันนี้สุขสบายมั๊ย...ไม่เคยกลุ้มอะไรเกิน10 นาที (เพราะมีเรื่องอื่นๆให้กลุ้มอีก 1 2 3 4 5...เรื่อง กว่าจะกลุ้มถึงเรื่องที่10 พลันนึกทางออกของการกลุ้มครั้งที่1ได้...ประมาณนี้ค่ะ) แต่ทำไม่เราต้องแสวงหาอะไรอีก เพราะเรายังปล่อยวางไม่ได้จริงนั่นเอง เราแค่หาข้ออ้างเพื่อพ้นจากสิ่งที่เราไม่ชื่นชอบ...แต่จริงๆ แล้ว เราไม่เคยหลุดพ้นจากบ่วงที่ตัวเอง เหวี่ยงออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า...เพราะเราอยู่ในบ่วงนั้นด้วย

    ขอบพระคุณพี่นักเขียนที่รักอีกครั้งค่ะ bubu
    พี่นักเขียนมักจะคอยสะกิดเตือนพวกเราอยู่เสมอๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทุกครั้งที่พี่นักเขียนโพส เดรดมักได้อะไรดีๆกลับมาเสมอ เดรดคงต้องมุ่งหน้าต่อไปเพื่อไปสู่เป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต อย่างจริงจังเสียที โดยจะไม่หนีและหาข้ออ้างอีกต่อไป.....

    ปล.บอกความในใจแล้ว...เพื่อนๆ อย่าเพิ่งเกลียดเดรดนะค่ะ เพิ่งสำนึกอ่ะค่ะ ขอโอกาสแก้ตัว และพัฒนาจิตวิญญาณ เปลี่ยนแปลงความเชื่อที่ผิด ให้กลายเป็นความรู้...หน่อยนึงนะ..:VO สู้ตายค่ะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2008
  3. VeggieGuy

    VeggieGuy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    3,942
    ค่าพลัง:
    +4,262
    score

    รีบเอาตัวเลขมาโชว์ก่อนหัวหน้าห้องครับ
    จำนวนครั้งที่เปิดอ่านกระทู้ห้องนี้ 140,846 (ใช่ตัวเลขแบบนี้หรือเปล่า?)
    สูงเป็นอันดับหนึ่งจริงๆ ครับ (แต่อันดับสองก็ตามมาติดๆ ครับ)
    ร่วมฉลองและช่วยกันสร้างสรรค์กระทู้นี้ต่อไปครับ
    และขอเชิญชวนพลังเงียบ (ที่ซุ่มอ่านอย่างเหนียวแน่น) ช่วยปรากฎตัวมาทักทายเราบ้างนะครับ
     
  4. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ขอเอาเรื่องของ Nick Vujicic มาโพสขยายความอีก อันนี้เป็นข้อความที่เคยโพสไว้ที่อื่น ข้อความนี้จะเห็นถึงความคิดของเค้า

    ที่นำเรื่องของ Nick Vujicic มาโพสอีกเพราะรู้สึกว่านี่แหล่ะ เป็นคนที่ค้นพบแล้วว่าจุดมุ่งหมายของตัวเองคืออะไร เพื่อเป็นตัวอย่าง

    ความคิดความเชื่อของ Nick Vujicic จะอิงไปทางคริสเตียน คิดว่าเค้าก็คงเป็นคริสเตียนที่ศรัทธาเช่นกัน

    ถ้า Nick Vujicic ไม่เป็นเช่นนี้ กฏหมายเกี่ยวกับคนพิการในประเทศนี้ก็คงไม่เปลี่ยน
    ถ้า Nick Vujicic ไม่เป็นเช่นนี้ คงไม่เป็นคนที่ให้กำลังใจกับผู้คนอื่นๆ ได้มากเท่านี้

    ถ้าเห็นถึงเป้าหมายในชีวิตของ Nick Vujicic แล้ว รับรองว่าคนอย่างเราๆ ที่เป็นปกติ ยังไม่ค่อยมีใครกล้าตั้งไว้สูงขนาดนั้นเลย
    <hr>
    <center><img src="http://www.geocities.com/attitude_is_altitude/Imgp0681.jpg"></center>
    คิดว่าบางคนคงเคยเห็นหน้าเค้าแล้ว และคงเคยอ่านเรื่องราวของเค้ามาบ้างแล้ว แต่คงยังไม่เคยเห็นภาพที่เค้าทำกิจกรรมต่างๆ ก็เลยจะเอาภาพคลิปวีดีโอที่ถ่ายเค้าในการทำกิจกรรมประจำวันต่างๆ และก็ภาพตอนที่เค้าไปอบรมให้ดู

    <center><embed src="http://godtube.com/flvplayer.swf" FlashVars="flvPath=http://www.godtube.com/flvideo/9bc6025b51155e26f6ce/4817.flv&flvTitle=Brought to you by: GODTUBE.COM" wmode="transparent" quality="high" width="330" height="270" name="flv_demo" align="middle" allowScriptAccess="sameDomain" type="application/x-shockwave-flash" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer" /></embed></center>

    http://www.godtube.com/view_video.php?viewkey=9bc6025b51155e26f6ce

    ส่วนนี่เป็นเรื่องที่เค้าเขียนแปลมา เพื่อว่าจะได้รู้จักเค้าคนนี้ดียิ่งขึ้น

    <font color='#3300CC'><center><b>"No arms, No legs, No worries"</b></center></font><br><br><font color='#0000FF'>An amazing story of faith in adversity. If Nick's story doesn't convince us about God's love & His power & what faith can do, then nothing else will.<br>เรื่องเล่าอันน่าอัศจรรย์ใจเกี่ยวกับความเชื่อในภาวะอันยากลำบาก ถ้าเรื่องของนิคไม่ทำให้เราเชื่อเรื่องความรักของพระเจ้าและพลังของพระองค์ รวมถึงสิ่งที่ความเชื่อนั้นทำให้เกิดขึ้นได้ ก็คงไม่มีเรื่องไหนที่จะทำให้เราเชื่อได้อีกแล้ว</font><br><br>My name is Nick Vujicic and I give God the Glory for how He has used my testimony to touch thousands of hearts around the world!<br><font color='#660000'>ผมชื่อ นิค วูจิซิค และผมขอมอบสิ่งดีต่าง ๆ ให้เป็นของพระเจ้าสำหรับโอกาสการเป็นพยานของผมที่จับต้องหัวใจของคนนับแสนทั่วโลก!</font><br>I was born without limbs and doctors have no medical explanation for this birth "defect". As you can imagine, I was faced with many challenges and obstacles. <br><font color='#660000'>ผมเกิดมาโดยที่ไม่มีแขนขาและหมอก็หาคำอธิบายทางการแพทย์ไม่ได้สำหรับ "ข้อบกพร่อง" จากการกำเนิดนี้ อย่างที่คุณน่าจะจินตนาการได้ว่าผมต้องเจอกับความท้าทายและอุปสรรคมากมาย</font><br><br><font color='#0033FF'><b>"Consider it pure joy, my Brothers, whenever you face trials of many kinds."<br>"คิดซะว่ามันเป็นความรู้สึกเป็นสุขอันบริสุทธิ์เถิดพี่น้อง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องเจอกับการทดลองในหลายรูปแบบ"</b></font> <br><br>....To count our hurt, pain and struggle as nothing but pure joy? As my parents were Christians, and my Dad even a Pastor of our church, they knew that verse very well. <br><font color='#660000'>...ให้ถือว่าความเจ็บปวด ความทุกข์ยาก และการต่อสู้ดิ้นรนของเราเป็นความรู้สึกอันเป็นสุขงั้นเหรอ? ด้วยความที่พ่อแม่ของผมเป็นคริสเตียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อของผมที่เป็นนักเทศน์ในโบสถ์ พวกเค้ารู้ซื้งในคำพูดนั้นเป็นอย่างดี</font><br>However, on the morning of the 4th of December 1982 in Melbourne (Australia), the last two words on the minds of my parents was "Praise God!".<br><font color='#660000'>อย่างไรก็ตาม เช้าวันหนึ่งของวันที่ 4 ธันวาคม ปี 1982 ที่เมืองเมลเบิร์น (ประเทศออกเตรเลีย) สองคำสุดท้ายที่อยู่ในใจของพ่อแม่ผมก็คือ "สรรเสริญพระเจ้า!"</font><br>Their firstborn son had been born without limbs! There were no warnings or time to prepare themselves for it. The doctors we shocked and had no answers at all! There is still no medical reason why this had happened and Nick now has a Brother and Sister who were born just like any other baby. <br><font color='#660000'>ลูกชายคนแรกของพวกเขาเกิดมาไม่มีแขนขา! ไม่มีคำเตือนใด ๆ หรือแม้แต่เวลาให้เตรียมใจสำหรับเรื่องนี้ หมอก็ตกใจและไม่มีคำตอบใด ๆ เลย! ยังคงไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ใด ๆ ที่จะอธิบายได้ว่าทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น และตอนนี้นิคมีทั้งน้องชายและน้องสาวที่เกิดมาเหมือนกับเดกปกติคนอื่น ๆ</font><br><br>The whole church mourned over my birth and my parents were absolutely devastated. Everyone asked, "if God is a God of Love, then why would God let something this bad happen to not just anyone, but dedicated Christians?" My Dad thought I wouldn't survive for very long, but tests proved that I was a healthy baby boy just with a few limbs missing.<br><font color='#660000'>คนทั้งโบสถ์เศร้าโศกกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับการเกิดมาของผม และพ่อแม่ผมก็รู้สึกไปกับเรื่องเหล่านั้น ทุกคนถามว่า "ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ถ้างั้นทำไมพระองค์ถึงยอมให้สิ่งเลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่กับใครคนอื่น แต่กับคริสเตียนที่ทุ่มเทแบบนี้" พ่อผมไม่คิดว่าผมจะมีชิวิตอยู่ได้นานนัก แต่ผลการทดสอบกลับบอกว่าผมเป็นเด็กผู้ชายแข็งแรง เพียงแค่แขนขาหายไปเท่านั้นเอง</font><br><br><center><img src='http://i176.photobucket.com/albums/w198/conejo_dulce/no%20arms%20no%20legs/01.jpg'><img src='http://i176.photobucket.com/albums/w198/conejo_dulce/no%20arms%20no%20legs/02.jpg'></center><br><br>Understandably, my parents had strong concern and evident fears of what kind of life I'd be able to lead. God provided them strength, wisdom and courage through those early years and soon after that I was old enough to go to school. <br><font color='#660000'>พ่อแม่ผมมีความกังวลอย่างมากและแสดงให้เห็นถึงความกลัวว่าชีวิตแบบไหนกันนะที่ผมจะเติบโตขึ้นมา ซึ่งมันก็เข้าใจได้อยู่หรอก แต่ว่าพระเจ้าก็ให้ความเข้มแข็ง สติปัญญา และความกล้าแก่พวกท่านในการที่จะผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้ในช่วงปีแรก ๆ และไม่นานหลังจากนั้นผมก็โตพอที่จะไปโรงเรียนได้</font><br><br>The law in Australia didn't allow me to be integrated into a main-stream school because of my physical disability. God did miracles and gave my Mom the strength to fight for the law to be changed. I was one of the first disabled students to be integrated into a main-stream school. <br><font color='#660000'>กฎหมายในประเทศไม่อนุญาตให้ผมได้เข้าโรงเรียนที่ดีที่สุดเนื่องจากสภาพความบกพร่องทางร่างกายของผม แต่พระเจ้าก็ทำเรื่องมหัศจรรย์และให้พลังแก่แม่ผมในการที่จะต่อสู้กับกฎหมายเพื่อให้มันเปลี่ยนไป ผมเป็นคนหนึ่งในนักเรียนที่พิการรุ่นแรกที่ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนในระดับหน้า</font><br><br>I liked going to school, and just try to live life like everyone else, but it was in my early years of school where I encountered uncomfortable times of feeling rejected, weird and bullied because of my physical difference. It was very hard for me to get used to, but with the support of my parents, I started to develop attitudes and values which helped me overcome these challenging times. <br><font color='#660000'>ผมชอบไปโรงเรียนและพยายามที่จะมีชีวิตเหมือนกับคนอื่น ๆ แต่ผมก็ได้รับรู้ในปีแรก ๆ ของการไปโรงเรียนถึงเวลาที่รู้สึกไม่สบายใจอันเกิดจากการถูกปฎิเสธ รู้สึกแปลกแยกและถูกล้อเลียนจากความแตกต่างทางร่างกายของผม เป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะชินกับความรู้สึกนั้น แต่ด้วยการสนับสนุนของพ่อแม่ ผมเริ่มที่จะพัฒนาทัศนคติที่ดีและคุณค่าที่ช่วยให้ผมก้าวผ่านเวลาแห่งความท้าทายนั้น<br></font><br><br>I knew that I was different but on the inside I was just like everyone else. There were many times when I felt so low that I wouldn't go to school just so I didn't have to face all the negative attention. I was encouraged by my parents to ignore them and to try start making friends by just talking with some kids. Soon the students realized that I was just like them, and starting there God kept on blessing me with new friends. <br><font color='#660000'>ผมรู้ว่าภายนอกผมต่างจากคนอื่นแต่ข้างในนั้นผมก็เหมือนกับทุกคนแหละ มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกแย่มาก ๆ จนไม่อยากไปโรงเรียนเพื่อที่จะไม่ต้องไปเจอเรื่องแย่ ๆ พวกนั้น แต่ผมก็ได้รับการชูใจจากพ่อแม่ในการที่จะไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น และให้เริ่มหาเพื่อนโดยการไปพูดคุยกับเด็กบางคน ไม่นานนักเด็กนักเรียนเหล่านั้นก็รู้ว่าผมก็เหมือนพวกเขานั้นแหละ และจากตรงนั้น พระเจ้าก็อวยพรผมในการพบเพื่อนใหม่</font><br><br>There were times when I felt depressed and angry because I couldn't change the way I was, or blame anyone for that matter. I went to Sunday School and learnt that God loves us all and that He cares for you. I understood that love to a point as a child, but I didn't understand that if God loved me why did He make me like this? Is it because I did something wrong? I thought I must have because out of all the kids at school, I'm the only weird one. I felt like I was a burden to those around me and the sooner I go, the better it'd be for everyone. I wanted to end my pain and end my life at a young age, but I am thankful once again, for my parents and family who were always there to comfort me and give me strength. <br><font color='#660000'>มีบางเวลาที่ผมรู้สึกหดหู่และโกรธเกรี้ยวเพราะผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายผม หรือไม่สามารถโทษใครได้สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไปโรงเรียนสอนศาสนาวันอาทิตย์และได้เรียนรู้ว่าพระเจ้ารักเราทุกคนและพระองค์ทรงห่วงใยเรา ผมก็เข้าใจความรักในแบบเด็ก ๆ แต่ผมไม่เข้าใจว่า ถ้าพระเจ้ารักผม ทำไมพระองค์ถึงทำให้ผมเป็นแบบนี้? เป็นเพราะว่าผมทำอะไรผิดหรือเปล่า? ผมคิดว่าผมต้องทำอะไรผิดแน่เลยเพราะจากเด็กทุกคนในโรงเรียน มีผมคนเดียวที่ประหลาด ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมเป็นภาระของคนรอบ ๆ ตัวผม และถ้าผมยิ่งตายเร็วเท่าไหร่ ทุกคนก็คงสบายขึ้นเท่านั้น ผมต้องการที่จะจบความเจ็บปวดและจบชีวิตนี้ด้วยอายุเพียงน้อยนิด แต่ผมก็ต้องขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง สำหรับพ่อแม่และครอบครัวที่อยู่ตรงนั้นเพื่อผมตลอดเวลาเพื่อที่จะทำให้ผมรู้สึกดีและเข้มแข็ง</font><br><br>Due to my emotional struggles I had experienced with bullying, self esteem and loneliness, God has implanted a passion of sharing my story and experiences to help others cope with whatever challenge they have in their life and let God turn it into a blessing. <br><font color='#660000'>เนื่องจากการต้องดิ้นรนในด้านอารมณ์ของผม ผมต้องเจอกับการกลั่นแกล้ง การเคารพตัวเอง และความโดดเดี่ยว พระเจ้าได้ปลูกฝังความหลงไหลในการแบ่งปันเรื่องราวและประสบกาณ์ของผมเพื่อช่วยเหลือคนอื่นในการรับมือกับความท้าทายใด ๆ ก็ตามที่พวกเขาต้องเจอในชีวิตและยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนเรื่องเหล่านั้นเป็นพระพร</font><br><br>To encourage and inspire others to live to their fullest potential and not let anything get in the way of accomplishing their hopes and dreams. <br>One of the first lessons that I have learnt was not to take things for granted.<br><font color='#660000'>เพื่อหนุนใจและดลใจให้ผู้อื่นใช้ชีวิตอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ และไม่ยอมให้สิ่งใดเข้ามาขวางความหวังและฝันของพวกเข้าได้<br>บทเรียนหนึ่งในเรื่องแรก ๆ ที่ผมได้เรียนรู้ก็คือการที่จะไม่ทึกทักเอาเอง</font><br><br><center><img src='http://i176.photobucket.com/albums/w198/conejo_dulce/no%20arms%20no%20legs/03.jpg'> <img src='http://i176.photobucket.com/albums/w198/conejo_dulce/no%20arms%20no%20legs/04.jpg'><br><img src='http://i176.photobucket.com/albums/w198/conejo_dulce/no%20arms%20no%20legs/05.jpg'> <img src='http://i176.photobucket.com/albums/w198/conejo_dulce/no%20arms%20no%20legs/06.jpg'></center><br><br>"And we know that in all things God works for the best for those who love Him." <br>That verse spoke to my heart and convicted me to the point where that I know that there is no such thing as luck, chance or coincidence that these "bad" things happen in our life. <br><font color='#660000'>"และเรารู้ว่าพระเจ้ากระทำดีที่สุดในทุกสิ่งเพื่อคนที่รักพระองค์" คำพูดนั้นโดนใจผมมากและพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า โชค หรือความบังเอิญที่ทำให้สิ่ง "เลวร้าย" นี้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา</font><br>I had complete peace knowing that God won't let anything happen to us in our life unless He has a good purpose for it all. I completely gave my life to Christ at the age of fifteen after reading John 9.<br>Jesus said that the reason the man was born blind was "so that the works of God may be revealed through Him." I truly believed that God would heal me so I could be a great testimony of His Awesome Power. Later on I was given the wisdom to understand that if we pray for something, if it's God's will, it'll happen in His time. If it's not God's will for it to happen, then I know that He has something better. I now see that Glory revealed as He is using me just the way I am and in ways others can't be used.<br><font color='#660000'>ผมได้พบกับความสงบอย่างสมบูรณ์ในการได้รู้ว่าพระเจ้าจะไม่ปล่อยให้สิ่งใดเกิดขึ้นกับเราถ้าพระองค์ไม่มีจุดหมายที่ดีสำหรับเราทุกคน ผมอุทิศทั้งชีวิตของผมให้กับพระเจ้าเมื่อผมอายุ 15 หลังจากได้อ่าน ยอห์น บทที่ 9<br>พระเยซูกล่าวว่าเหตุผลที่คนตาบอดเกิดมาตาบอดก็เพราะ "เพื่อว่างานของพระเจ้าจะได้รับการสรรเสริญผ่านทางคนนั้น" ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าพระเจ้าจะรักษาผมเพื่อที่ผมจะได้เป็นพยายานอันยิ่งใหญ่ให้กับพลังอันดีเลิศของพระองค์ หลังจากนั้นผมก็ได้รับสติปัญญาที่จะเข้าใจว่าถ้าเราอธิฐานเพื่อสิ่งใด ถ้าสิ่งนั้นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นในเวลาของพระองค์ ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้เกิดขึ้น ผมก็รู้ว่าพระองค์มีสิ่งที่ดีกว่าให้กับผม ตอนนี้ผมได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ในการใช้ผมในสิ่งที่ผมเป็นและเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่มี</font><br> <br>I am now twenty-three years old and have completed a Bachelor of Commerce majoring in Financial Planning and Accounting. I am also a motivational speaker and love to go out and share my story and testimony wherever opportunities become available. I have developed talks to relate to and encourage students through topics that challenge today's teenagers. I am also a speaker in the corporate sector.<br><font color='#660000'>ตอนนี้ผมอายุ 23 ปีและสำเร็จปริญญาตรีด้านการค้า เอกการวางแผนด้านการเงินและบัญชี ผมยังเป็นนักพูดให้กำลังใจและรักที่จะออกไปข้างนอกและแบ่งปันเรื่องราวของผมและเป็นพยาน ณ ที่ใดก็ตามที่โอกาสเป็นใจ ผมได้พัฒนาการพูดเพื่อให้เกี่ยวโยงกับการให้กำลังใจนักเรียนผ่านทางหัวข้อที่เป็นเรื่องท้าทายสำหรับเด็กวัยรุ่นในสมัยนี้ นอกจากนั้นผมยังเป็นนักพูดในภาคธุรกิจอีกด้วย</font><br><br><center><img src='http://i176.photobucket.com/albums/w198/conejo_dulce/no%20arms%20no%20legs/07.jpg'> <img src='http://i176.photobucket.com/albums/w198/conejo_dulce/no%20arms%20no%20legs/08.jpg'><br><img src='http://i176.photobucket.com/albums/w198/conejo_dulce/no%20arms%20no%20legs/09.jpg'> <img src='http://i176.photobucket.com/albums/w198/conejo_dulce/no%20arms%20no%20legs/10.jpg'></center><br><br>I have a passion for reaching out to youth and keep myself available for whatever God wants me to do, and wherever He leads, I follow. <br><font color='#660000'>ผมมีความรักในการยื่นมือออกไปช่วยเยาวชน และการทำตัวเองให้ว่างเพื่อสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าอยากให้ผมทำ และที่ใดก็ตามที่พระองค์ทรงนำ ผมตาม</font><br><br>I have many dreams and goals that I have set to achieve in my life. I want to become the best witness I can be of God's Love and Hope, to become an international inspirational speaker and be used as a vessel in both Christian and non-Christian venues. I want to become financially independent by the age of 25, through real estate investments, to modify a car for me to drive and to be interviewed and share my story on the "Oprah Winfrey Show"! <br>Writing several best-selling books has been one of my dreams and I hope to finish writing my first by the end of the year. It will be called "No Arms, No Legs, No Worries!" <br><font color='#660000'>ผมมีความฝันและเป้าหมายมากมายที่ผมตั้งไว้เพื่อที่จะทำให้สำเร็จในชีวิตนี้ ผมอยากจะเป็นพยานที่ดีที่สุดที่ผมจะเป็นได้สำหรับความรักและความหวังของพระเจ้า อยากเป็นนักพูดให้กำลังใจในระดับสากล และเพื่อถูกใช้เป็นภาชนะทั้งในเรื่องของคริสเตียนและเรื่องอื่น ๆ ผมอยากมีอิสระทางการเงินเมื่ออายุ 25 ผ่านทางการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ เพื่อออกแบบรถสำหรับผมที่จะขับได้และอยากได้รับการสัมภาษณ์และแบ่งปันเรื่องราวของผมผ่านทางรายการ "โอปราห์ วินฟรี โชว์"! <br>การได้เขียนหนังสือหลายเล่มที่ติดอันดับขายดีที่สุดก็เป็นหนึ่งในความฝันของผม และผมหวังว่าจะเขียนหนังสือเล่มแรกให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้ หนังสือเล่มนี้จะมีชื่อว่า "ไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่มีกังวล!"</font><br><br><center><img src='http://i176.photobucket.com/albums/w198/conejo_dulce/no%20arms%20no%20legs/11.jpg'> <img src='http://i176.photobucket.com/albums/w198/conejo_dulce/no%20arms%20no%20legs/12.jpg'><br><img src='http://i176.photobucket.com/albums/w198/conejo_dulce/no%20arms%20no%20legs/13.jpg'><br><img src='http://i176.photobucket.com/albums/w198/conejo_dulce/no%20arms%20no%20legs/14.jpg'> <img src='http://i176.photobucket.com/albums/w198/conejo_dulce/no%20arms%20no%20legs/15.jpg'></center><br><br>I believe that if you have the desire and passion to do something, and if it's God's will, you will achieve it in good time. As humans, we continually put limits on ourselves for no reason at all! What's worse is putting limits on God who can do all things. We put God in a "box". <br>The awesome thing about the Power of God, is that if we want to do something for God, instead of focusing on our capability, concentrate on our availability for we know that it is God through us and we can't do anything without Him. Once we make ourselves available for God's work, guess whose capabilities we rely on? God's! <br><font color='#660000'>ผมเชื่อว่าถ้าคุณมีความปรารถนาและความหลงไหลที่จะทำสิ่งใด และถ้าสิ่งนั้นเป็นประสงค์ของพระเจ้า คุณก็จะทำสำเร็จในเวลาที่เหมาะสม จากการเป็นมนุษย์นี้เอง ทำให้เรามักจะจำกัดตัวเองโดยไร้เหตุผล! สิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือการจำกัดความสามารถของพระเจ้าใตการกระทำทุกสิ่ง เราจำกัดพระเจ้าลงใน "กล่อง" <br>สิ่งที่ดีเกี่ยวกับพลังของพระเจ้าก็คือการที่ถ้าเราต้องการที่จะทำสิ่งใดก็ตามเพื่อพระองค์ แทนที่จะสนใจความสามารถของเรา ให้เพ่งความสนใจไปที่เวลาที่เรามีที่จะให้พระองค์ เพราะเรารู้ดีว่าสิ่งที่กระทำนั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าทำผ่านเรา และเราไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลยหากปราศจากพระองค์ แต่เมื่อเราทำตัวให้ว่างเพื่องานของพระเจ้าแล้ว ลองเดาดูซิว่าความสามารถของใครที่เราจะพึ่งพา? ของพระเจ้าไง!<br></font><br><br><center><img src='http://i176.photobucket.com/albums/w198/conejo_dulce/no%20arms%20no%20legs/16.jpg'> <img src='http://i176.photobucket.com/albums/w198/conejo_dulce/no%20arms%20no%20legs/17.jpg'><br><img src='http://i176.photobucket.com/albums/w198/conejo_dulce/no%20arms%20no%20legs/18.jpg'> <img src='http://i176.photobucket.com/albums/w198/conejo_dulce/no%20arms%20no%20legs/19.jpg'><br><img src='http://i176.photobucket.com/albums/w198/conejo_dulce/no%20arms%20no%20legs/20.jpg'> <img src='http://i176.photobucket.com/albums/w198/conejo_dulce/no%20arms%20no%20legs/21.jpg'></center><br><br>May the Lord Bless you<br>ขอพระเจ้าอวยพระพร<br>In Christ, <br>ในพระคริสต์,<br>Nick Vujicic.<br>นิค วูจิซิค.<br><br><center><font color='#FF0000'>************************</font></center><br><br>คำแปลโดย: Dory <br>หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ค่ะ <img src=http://www.bloggang.com/emo/emo15.gif><br>

    ที่มา http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=huneybunny&month=04-2007&date=27&group=7&gblog=2

    แล้วนี่ก็เป็นเวปของคนพิการคนนั้น http://www.geocities.com/attitude_is_altitude/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2008
  5. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    เรื่องการค้นพบจุดหมายในชีวิตนี้ ขอบอกว่าตัวเองก็ยังไม่พบเหมือนกัน เลยไม่สามารถจะเขียนตอบอะไรได้

    แต่เคยคิดไว้ว่าการมอบความรักให้แก่ทุกคนอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม นั่นคงจะเป็นจุดมุ่งหมายหลัก
    แต่หลังจากที่มาดูคลิปวีดีโอ Nick Vujicic อีกรอบ ก็มีอีกความคิดขึ้นมาว่า บางทีก็ต่อสู้กับอุปสรรคทั้งหลายที่เข้ามาในชีวิต ก็อาจจะเป็นจุดมุ่งหมายของเราก็ได้

    จริงๆ มันก็ไม่มีสูตรตายตัวหรอกว่าจะมาทำอะไร บ้างก็คงมาเพื่อสานต่องานตัวเอง บ้างก็คงมาเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเอง เหมือนคนดำน้ำ ที่บางคนก็มาเพื่อชมความสวยงาม บางคนก็มาเพื่อฟื้นฟู บางคนก็มาเพื่อวิจัย

    แต่คำใบ้นั้นก็คงอยู่กับสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

    อย่างในกรณีของ Nick Vujicic การที่เค้าเป็นอย่างนี้ทำให้แม่ของเค้าต้องต่อสู้เพื่อเปลี่ยนกฏหมายคนพิการเกี่ยวกับการศึกษา

    การกระทำของ Nick Vujicic ก็เป็นแรงกำลังใจให้หลายๆ คน

    อุปสรรคที่เข้ามา เราเป็นคนเลือกเอง เพื่อที่จะผ่านพ้นมันไป

    ในไทยก็มีคนพิการคนด้อยโอกาสอีกมากที่น่ายกย่องไม่แพ้ Nick Vujicic นี้เลย จากที่ได้ดูรายการคนค้นฅนมา ไม่ว่าจะน้องอ้อมหรือช่างก้อง
    <hr>
    คุณเดรดมีอะไรที่รู้สึกคล้ายๆ กัน แต่ต้นตอมันต่างกัน ที่คุณเดรดเขียนมาว่า

    "เดรดต้องการเป็นมากกว่านี้ ไม่ต้องการให้ใครมาว่า มาตำหนิเลย (แม้จะจริงก็ตาม...รู้ว่าผิดแต่ไม่รับ ไม่ได้เถียงแต่ไม่รับ...มั่นเหลือเกิน)"

    ที่ว่าผิดแต่ไม่รับ เพราะว่าไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองทำไม่สมบูรณ์ แต่สำหรับผมก็มีไม่ยอมรับเหมือนกัน แต่เกิดจากความรู้สึกที่ว่า เราทำผิดอีกแล้วเหรอเนี่ย ทำผิดเยอะเหลือเกิน เลยไม่ค่อยอยากจะรับความผิดเพิ่ม
     
  6. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    คุณZip ช่วยนำเรื่องราวที่สนับสนุน ความเชื่อ ในเรื่องความไม่พร่องของชีวิต มาให้เราเรียนรู้ ที่ทำให้เรารู้สึกว่า เมื่อเราคิดว่าเราไม่พร่อง เราก็จะไม่แสวงหา หรือเรียกร้องอะไรมาเติม และสิ่งที่ Mr.Nick Vujicic แสดงให้เห็น นอกจากแสดงถึงความไม่พร่องแล้ว เค้ายังสามารถแบ่งบันส่วนที่เหลือเฟือในจิตวิญญาณของเค้าให้กับสังคมด้วย ก็คือ ความรัก และความปรารถนาดีอย่างไม่มีประมาณน่ะค่ะ

    และตรงนี้ ทำให้เดรดรู้สึกว่า แทนที่เราจะมาคอยกังวลกับสิ่งที่เราขาด ทำไมเราไม่พยายามมองในส่วนที่เรามีเหลือเฟือ แล้วแบ่งปันออกไปให้ผู้อื่น มันน่าจะมีประโยชน์และสร้างสรรค์กว่า...ว่ามั๊ยค่ะ

    ขอบคุณ คุณ Zip อีกครั้งนะค่ะ เป็น search engine man ตัวจริง เสียงจริง เลยอ่ะ...:VO...อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2008
  7. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    แค่เอาเรื่องเก่าที่เคยโพสไว้ มาโพสอีกรอบเท่านั้นเอง :D
    ก็ดีใจนะที่มีประโยชน์กับหลายๆ คน

    ถ้าเข้าไปหาในเวป youtube อีกก็เจออีกเยอะ

    ดูเรื่องของเค้าแล้ว ก็มาคิดว่าการที่คนจะเกิดมาพิการนั้นก็ถ้าเป็นความตั้งใจของจิตวิญญาณดวงนั้น.. การไปทำแท้งเพื่อให้เกิดที่บอกว่าสงสารเด็กที่จะเกิดออกมา ก็เป็นเรื่องขัดต่อความตั้งใจของจิตวิญญาณดวงนั้นหน่ะสิ

    เรื่องนี้รู้สึกว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนจริงๆ ในทางการแพทย์แล้ว ถ้าตรวจรู้ว่าเด็กมีปัญหาตั้งแต่ในท้องแล้ว การทำแท้งเพื่อเอาเด็กออกไม่ถือว่าเป็นความผิด(ผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ?)
     
  8. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ในความเป็นปัจจุบัน ไม่ว่าจะอ่านซักกี่ครั้ง ก็ได้ข้อคิดดีๆเสมอๆ จากพี่นักเขียนครับ [​IMG]

    วันนี้ผมรู้สึกได้อย่างชัดเจน ถึงดอกไม้ที่บานในหัวใจของคุณเดรด และคุณ zip เลยครับ
    และยังส่งผลสะเทือนถึงผม และผู้ที่เข้ามาอ่าน ณ ที่นี้

    ขอบคุณทุกๆท่านครับ
     
  9. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    <TABLE class=tborder id=threadslist cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY id=threadbits_forum_2><TR><TD class=alt1 id=td_threadtitle_86527 title="(f)[​IMG] แนะนำ เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer] (5 คน กำลังดูอยู่) ([​IMG] 1234567891011121314151617181920 ... หน้าสุดท้าย)
    [​IMG] mead

    ;33denceedenceedencee

    </TD><TD class=alt2 title="จำนวนตอบ: 5,395, จำนวนอ่าน: 140,914">วันนี้ 11:11 AM
    โดย เซลล์ [​IMG]



    </TD><TD class=alt1 align=middle>5,395</TD><TD class=alt2 align=middle>140,914</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    จ๊ะเอ๋ ขจรวรรณ กินข้ามเที่ยวหรือยัง
     
  11. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    เมื่อคืน ก่อนนอนได้อ่านหนังสือ อิสระแห่งความปราถนา หน้า 172 ที่ท่านกล่าวว่า

    เธอสามารถนำพาเอาสติสัมปชัญญะของตัวตนยามตื่นเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความฝันได้เพื่อประโยชน์ของเธอเอง หากเธอทำเช่นนั้นได้เธอจะตระหนักว่า ตัวตนในความฝันและตัวตนยามตื่นของเธอ-คือเธอ-เป็นหนึ่งเดียวกัน

    ผมได้ฝันถึงเรื่องราวที่ต่อเนื่องกัน สลับกันไประหว่างหลับ และตื่นอยู่ 3 ช่วงครับ
    อยากให้พี่นักเขียน และเพื่อนๆช่วยกันแชร์ถึงกระบวนการ และการนำมาใช้ด้วยกันนะครับ

    ตอนแรก จะเป็นฉากในห้องเรียน 1 ห้อง ที่นี่จะมีผู้เรียนรู้ในทุกศาสนา ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ผู้สอนในที่นี้ จะให้ตอบปัญหาทางธรรมร่วมกัน โดยเมื่อถามแล้วต้องตอบทันที ให้ออกมาจากจิตในขณะนั้นเลย ไม่มีผิดไม่มีถูก หากใครตอบโดยคิดนานๆ ก็จะได้รับการลงโทษคือการทำให้อับอายต่างๆนาๆครับ เหตุการณ์ในการเรียนรู้ การถาม การตอบ ค่อนข้างโกลาหลพอสมควร ทุกคนในที่นี้ส่วนหนึ่งจะถูกลงโทษดังกล่าว เมื่อรุ่นต่อมาที่ต้องมาทำการทดสอบเดินเข้ามา ก็จะรับรู้ถึงบรรยากาศในการเรียนรู้ และสภาพแวดล้อมที่ดูน่าสะพรึงกลัวพอสมควร

    สิ่งที่ได้เรียนรู้จากความฝัน คือ เรื่องความสัตย์ซื่อที่อยู่ในใจ ถ้าปราศจากสิ่งนี้แล้วเราจะยังไม่ก้าวหน้าไปไหน

    ตอนนี้จะตื่นขึ้นมา และทบทวนความฝัน และหลับต่อ

    จะไปที่ห้องเรียนที่หนึ่ง มีนักเรียนอยู่จำนวนหนึ่ง และครูผู้สอน 1 คน ครูผู้สอนจะสอนถึงคำว่า คุณธรรม 6 ประการ ในฝันทุกคนจะมองดูที่กระดานดำ และจำได้อย่างขึ้นใจทุกคน จำได้ว่าข้อแรก คือ เรื่องความอดทน

    จากนั้นก็ตื่นมาทบทวนความฝัน จำได้ขึ้นใจเรื่องคุณธรรม 6 ประการครับ แต่ตื่นมาตอนเช้า ลืมหมดแว๊วว ตกหล่นอยู่กลางทาง จำได้ข้อเดียวครับ ตื่นมารู้สึกปวดที่นิ้วเท้า และก็หลับต่อ

    ฝันอีกเรื่อง คือ เป็นผู้ชายคนหนึ่งเดินถือของพะรุงพะรัง หนักมากๆ เค้าเดินลงมาที่บันไดพร้อมกับของที่หนักมากๆ ของเหล่านี้เป็นสิ่งที่เค้าต้องการนำกลับบ้าน เพื่อนำไปขาย แต่ละก้าวที่เดิน เดินด้วยความยากลำบาก และเขาก็ถือของไม่ไหว ของได้กลิ้งตกลงมาบนบันได เสียงดังตู๊ม คนแถวๆนั้นจะตกใจมากๆกับเสียงนั้น ของได้แยกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งตกที่บริเวณป้ายรถเมล์ที่ central อีกส่วนหนึ่งกระเด็นข้ามไปที่ป้ายรถเมล์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ชายคนนั้นถอนหายใจและบอกกับตนเองว่า ยังดีนะ ที่ไม่ตกที่กลางถนน ไม่งั้นโดยรถเหยียบให้ของเสียหายแน่นอน (ในช่วงนี้สติสัมปชัญญะได้บอกในเรื่องการมองโลกในแง่ดี) และผมก็ได้ติดตามความฝันที่มีชายคนนี้เป็นผู้ดำเนินเรื่องต่อไป
    ชายคนนี้ได้มาเก็บของบริเวณป้ายรถเมล์ที่ central มีเด็กผู้หญิงคนนึงได้เก็บของเค้าได้ 1 ชิ้น เด็กผู้หญิงคนนั้นชั่งใจว่าจะเก็บของนั้นเข้าในกระเป๋าตนเองหรือเปล่า แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเมื่อเห็นสายตาที่น่าสงสารของชายคนนั้น และก็ได้ยื่นของคืนให้เขาไป ชายคนนั้นเมื่อเก็บของเสร็จ ได้เดินข้ามถนนไป และก็โค้งให้กับรถที่ผ่านไปมา รถต่างก็จอดให้ เพื่อให้ชายคนนั้นได้เดินข้ามไปให้สำเร็จ เมื่อมาถึงอีกฝั่งนึง เค้าก็ได้ตามเก็บของ แต่มีของบางส่วนได้หายไป เค้าพบว่าของนั้นได้ไปอยู่ที่ร้านค้าแผงลอยที่อยู่ใกล้ เขาได้เดินไปเพื่อจะทวงของคืน แต่แม่ค้าทำไม่รู้ไม่ชี้ เขารู้สึกโมโห และก็เดินไปเอาของคืนให้ได้ แม่ค้าคนนั้นได้เดินไปที่สำนักงานที่อยู่ใกล้ๆ และได้เรียกผู้ชายสองคนมาช่วยเคลียร์ ผู้ชายคนหนึ่งคือเพื่อนเก่าของชายคนนั้น ส่วนอีกคนไม่รู้จักกัน ชายคนนั้นรู้สึกเสียใจมาก เมื่อรู้ว่าเป็นเพื่อนเก่า เรื่องของไม่เสียดายเท่ากับความเป็นเพื่อนที่มีอยู่ เขาก็ได้บันดาลโทสะแล้วใช้ไม้ที่ถืออยู่ตีไปที่ศีรษะของชายทั้งสอง ชายทั้งสองได้วิ่งหนีไป และไปแจ้งตำรวจให้มาจับ ชายคนนั้นยอมแต่โดยดี ตำรวจได้มาช่วยเคลียร์ให้ โดยให้นั่งคุยกัน เมื่อคุยกันซักระยะหนึ่งเขาก็ได้เฉลยความจริงว่า ฉากที่จัดมาทั้งหมด เพื่อให้เค้าเรียนรู้เรื่องความอดทน อดกลั้น และทุกคนก็ออกมาเฉลยว่า เราเป็นผู้ช่วยเหลือ เพื่อให้คุณได้เรียนรู้เรื่องนี้ ชายคนนั้นก็ได้ร้องไห้โฮออกมา ผมก็รู้สึกว่าเป็นคนๆเดียวกับชายคนนี้ในตอนนี้เลยครับ คือ รู้สึกซาบซึ้งและจะร้องไห้ออกมาเหมือนกัน

    ตื่นมาทบทวนความฝัน และเข้าใจถึง คุณค่าของความอดทน และความช่วยเหลือของจิตวิญญาณต่างร่างทั้งหลายที่อยู่ในชีวิตประจำวัน เราไม่เคยอยู่อย่างโดดเดี่ยวจริงๆ ทุกเรื่องไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่ทำให้เราเรียนรู้ได้ถึงคุณค่าบางสิ่งบางอย่างได้อย่างหมดใจ ;aa31
     
  12. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ทานแล้วจ้า แอบเล่นได้ช่วงนี้แหล่ะค่ะพี่ใหญ่.. วันละประมาณ 1 ชั่วโมง อิอิ..
    ;7;7;7
     
  13. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    เย้ คุณวิกกี้กาย ถูกล็อตเตอรี่ 41 ;k05
     
  14. avatar_boy

    avatar_boy Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +77
    ;aa31;18:z2
    CONGRATULATION KHUN VEGGIEGUY:)
     
  15. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ดีใจกับคุณ veggie guy ด้วยนะครับ :z2;aa31

    อยากถามพี่นักเขียนหน่อยครับ เรื่องมุมมองที่เปลี่ยนไป หลังจากที่พี่นักเขียนได้รับการสื่อสารจาก อ.อนาลัย ครับ ในเรื่องของการรักษาโดยใช้สมาธิ กับ คำว่าจิตวิญญาณประสานกายครับ ;k04
     
  16. srirattana

    srirattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,972
    เข้ามาส่งการบ้านค่ะ หลังจากคิดทบทวนอยู่นาน พยายามตอบให้รวบรัดและได้ใจความที่สุด
    1.เราแต่ละคนมีความเชื่อ ความเข้าใจ ความเห็นข้อมูลหรือประสบการณ์เกี่ยวกับการค้นพบเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตอย่างไร?
    ตัวเราเองเปรียบเมือนมดตวเล็กๆตัวหนึ่งหากเทียบกับโลกใบนี้ และหากมองให้แคบเข้ามาเราก็เปรียบเสมือนดอกไม้ดอกหนึ่งหรือต้นไม้ต้นหนึ่งในป่าฝืนใหญ่ แต่ไม่ว่าเราจะเป็นอะไรก็ตาม ทุกชีวิต ย่อมเกิดมาพร้อมคำถาม ย่อมเกิดมาเพี่อเป็นจักรเฟืองให้ชีวิตทุกชีวิตได้ดำเนินไปเราต่างก็เป็นคำตอบและคำถามของซึ่งกันและกัน การตายของคนคนหนึ่งอาจเป็นคำตอบหนึ่งของคำถาม การเกิดของคนคนหนึ่งอาจเป็นคำถามเพื่อให้ใครคนหนึ่งได้คำตอบ รายละเอียดในการใช้ชีวิตก็คือข้อมูล
    ที่เราเก็บเกี่ยวไว้เป็นประสบการณ์ และบันทึกมันเอาไว้ เพื่อประโยชน์ในการดำเนินชีวิตต่อไป ในระหว่างนี้ความเชื่อก้เริ่มเข้ามาตอกย้ำและเร่งเร้าให้เราหาเป้าหมายในชีวิตให้พบ คำตอบของข้อ1และข้อ2 มันก็คือคำตอบอันเดียวกัน มันเป็น สิ่งที่สัมพันธ์กัน ต่อให้ เรียกว่าอย่างไรก็ตาม แต่ก็เป็นเหตุผล ที่ สัมพันธ์กัน เช่น
    ชีวิตหนึ่งกำเนิดมาบนโลกใบนี้ ชีวิตดำเนินไปตามกฎของโลก และพร้อมกันนั้นก็เริ่มเรียนรู้ ที่จะอยู่กับสิ่งมีชีวิตหลายหลาก ไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งจนชีวิต ต้องสะเทือน เพราะได้เรียนรู้จากประสบการณ์การว่า หากชีวิต มีปัญหา ความยุ่งยากก็จะตามมา ชีวิตก้ต้องสะเทืนอย่างช่วยไม่ได้ประสบการณ์สร้างให้เราเชื่อ และข้อมูลก็มาตอกย้ำความเชื่อให้มั่นคงมากขึ้น ทำอย่างไรปัญหาจึงจะไม่เกิด นี่คือเป้าหมายใช่หรือไม่ คำตอบคือใช่ แล้วทำอย่างไร...เป็นคนดีของสังคม..ปฎิบัติตามกฎที่บังคับไว้..สร้างสันติภาพให้เกิดขึ้น..เราปฎิบัติตามด้วยความเชื่อ..ผลจะเป็นเช่นไรแต่เราก็เชื่อว่ามันจะไม่ทำให้ชีวิตมีปัญหา...ก็เหมือนกับคนที่หันหน้าเข้าหาศาสนาไง ก็ชีวิตมันทุกข์มันเร่าร้อน ทำอย่างไรชีวิตมันจึงเย็นลง..และเผื่อแผ่ไปให้คนรอบกายเรา
    ชีวิตที่เร่าร้อนจิตวิญญาณก็พลอยเร่าร้อนไปด้วย...เราจึงต้องคิดให้เป็นจนเกิดคำถามและลงมือปฎิบัติเพี่อหาคำตอบ เป็นปัจจัยให้เราค้นพบเป้าหมายที่แท้จริงในชีวิต..
    ข้อ.3 ตอบไม่ได้ค่ะ..เพราะยังไม่ได้อ่านเลยขอโทษด้วยนะคะ พี่นักเขียน ...คำตอบของหนูไม่ทราบว่ามันดูสับสนไปไหม..แต่ก็ตอบออกมาจากใจเพราะชีวิตได้เรียนรู้อะไรมามากมาย..หนึ่งในนั้นก็คือ การเริ่มต้นด้วยความจริงใจ เป็นกุญแจสู่การค้นพบค่ะ และควมจริงของชีวิตในแต่ละคน อาจมองไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ทุกชีวิต ต้องเผชิญทุกวันี้ก็คือความทุกข์และความสุขที่ไม่จีรัง โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ หรือ ประเภทของสิ่งมีชีวิต หากมองให้ดี..เราอาจเห็นทุกข์ในเสียงหัวเราะหนึ่ง..หรือเห็นน้ำตาในรอยยิ้มหนึ่ง...โดยรวมแล้วมันคือปัจจัยให้เราหาทางพ้นทุกข์รึเปล่าคะ..และทุกข์ที่แท้..สุขที่แท้ นั้นคืออะไร คำตอบอยู่ในที่เดียวกันกับคำถาม..อ่านแล้วไม่รู้ว่าจะงงรึเปล่า..
     
  17. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ;aa31;18
     
  18. avatar_boy

    avatar_boy Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +77
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2008
  19. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    เรื่องนี้เดรดก็ค่อนข้าง ทำความเข้าใจยากซักหน่อย ถ้าในกรณีของศิล5 การทำลายชีวิต เป็นบาปแน่นอน

    แต่ ตัวอย่าง ในหนังสือ Embraced by the light สิ่งที่เกิดกับ Betty ผู้เขียน ก็มีประสบการณ์ เช่นนี้ กับลูกคนสุดท้อง คำวินิจฉัยของแพทย์ที่ให้เอาเด็กออก เนื่องจากความผิดปกติของครรภ์ เด็กอาจออกมาไม่สมประกอบ และ อาจเป็นอันตรายต่อแม่ ทำให้ Betty ตัดสินใจที่จะทำตามในตอนแรก แต่เจ้าตัวกลับเปลี่ยนใจในภายหลัง ในวันนอนรอทำแท้ง (เพราะครรภ์ไม่ยอมแท้งเอง) เพียงแค่ได้ยินหมอพูดว่า "เราไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเจ้าหนูน้อยคนนี้ยังไม่ยอมแพ้เลยนะ" (อยู่ในหนังสือ หน้าที่ 15-17) จากนั้น Betty ก็ได้รับลูกชายที่น่ารัก และแข็งแรงอย่างยิ่ง...(อธิบายไงดี กับคำวินิจฉัยของแพทย์)

    ทำให้เรารู้สึกว่า จิตวิญญาณ มีความมุ่งมั่นที่จะเลือกมาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังให้ได้ และไม่มีใคร หรืออะไร สามารถจะมาขัดขวางเค้าได้ ในกรณี Mr.Nick ก็อาจเป็นเช่นนี้ จิตวิญญาณของ Mr Nick อาจต้องการมาเรียนรู้ ในแบบเฉพาะ ที่เป็นเอกลักษณ์นี้ ลองคิดดูซิค่ะว่า ถ้า Mr.Nick ร่างกายสมประกอบ สิ่งที่เค้าทำในวันนี้ จะได้รับความสนใจขนาดนี้หรือไม่....

    แต่ถ้าจิตวิญญาณ เลือกที่จะอยู่แค่ในช่วงของครรภ์มารดา และสลายไป นั่นก็คือ วัตถุประสงค์ของจิตวิญญาณนั้นๆ ที่เลือกมาเรียนรู้กับประสบการณ์แค่นั้น ในเรื่องนี้ อ.อนาลัย ก็มีกล่าวไว้ในหนังสือของท่าน (ซึ่งเดรดต้องขอโทษที่จำไม่ได้ว่าเล่มไหน) และคนที่เป็นแม่ก็เรียนรู้ ในประสบการณ์ที่เคยแท้ง เนื่องจากเหตุใด และเพราะอะไร

    ความรู้สึกว่าผิดหรือไม่นั้น คงอยู่ที่วัตถุประสงค์ของ จิตวิญญาณนั้นๆมากกว่า ว่าจะเลือกเชื่ออะไร เกณฑ์วัดความผิดถูก ตั้งมาตรฐานไว้ที่ไหน มีเหตุ และผล ที่จะมาสนับสนุนความเชื่อเหล่านี้ อย่างไรบ้าง ...เดรดว่านะ

    คุณZip ละว่าไง?...แล้ว ท่านอื่นๆละว่าไง?...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2008
  20. srirattana

    srirattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,972
    มันคงจะเป็นบททดสอบอันยิ่งใหญ่ในความเชื่อ อันมุ่งมั่น..อย่างเช่นศีล5เป็นความเชื่อเป็นความดี ที่เรายึดมั่น ต่อให้ต้องตายก็ขอตายไปพร้อมกับความเชื่อของตนเอง ดีกว่าที่เราทำลายความเชื่อด้วยตัวของเราเอง อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะคะ ชีวิตมีบททดสอบมากมายมาวัดใจกับความเชื่อของเรา
     

แชร์หน้านี้

Loading...