วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ติดเอาไว้หลายๆท่านครับในส่วนของการปฏิบัติธรรม


    เอาเป็นการวางอารมณ์ใจในการปฏิบัติธรรมของเราในแต่ละวันครับ ปฏิบัติแบบไม่ต้องยึดรูปแบบ ปฏิบัติแบบอยู่บ้าน อยู่ที่โรงเรียน ที่ทำงาน โดยไม่ให้มีใครรู้ว่าเราปฏิบัติธรรมครับ

    เริ่มต้นตั้งแต่ที่เราตื่น (จิตตื่นขึ้นจากการนอนหลับ) บางท่านจะมีอาการที่จิตถอนลอยขึ้นช้าๆ หูเริ่มค่อยๆได้ยินเสียงรอบตัวค่อยๆดังขึ้น แบบนี้ เป็นอาการที่หลับอยู่ในฌานอย่างสมบูรณ์ครับ

    ส่วนโดยทั่วไปก็จะค่อยๆตื่นขึ้น ค่อยๆรู้สึกตัว

    เมื่อรู้สึกตัวแล้ว ก็ให้เราตั้งสติก่อน (หากไม่ตั้งสติ จิตมันก็จะเลยไปเลย) จากนั้น ผู้ที่ได้มโนมยิทธิแล้ว ก็ยกอาทิสมานกายขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน เป็นการระลึกนึกถึงพุทธานุสติและอารมณ์พระนิพพาน

    จากนั้นก็พิจารณาธรรม ในหัวข้อที่เราเอง รู้สึกสบาย ไม่หนักเกินไปตามภูมิธรรม ไล่เรียงลำดับให้ไปจนถึงละเอียด

    -ตั้งใจว่าเรานี้ วันนี้เราจะสร้างความดี และรักษาใจเราให้มีแต่ความคิดที่ดีให้ได้ตลอดทั้งวัน (พื้นฐานที่สุด)

    -พิจารณาในส่วนของศีลห้าว่าเราจะรักษาเอาไว้ให้ได้ตลอดวัน รักษากรรมบทสิบให้ได้ รักษาอารมณ์ใจในเมตตาพรหมวิหารสี่เอาไว้ให้จิตเราเย็นอยู่ตลอดเวลา

    -พิจารณาว่า เราอาจ"ตาย"เมื่อไรก็ได้ เราจะไม่ประมาทในชีวิต ไม่ประมาทในความดี ไม่ประมาทในการปฏิบัติธรรม(เริ่มเป็นวิปัสนาญาณ )

    -พิจารณาธรรมเพื่อละในสังโยชน์ทั้งสิบประการ

    -พิจารณาในบารมีทั้งสามสิบทัศน์ ตั้งใจในกำลังใจที่จะทรงบารมีได้อย่างเต็มอัตรา

    เมื่อพิจารณาในฌานแล้ว สำหรับท่านที่ได้มโนมยิทธิ ส่วนใหญ่พระท่านก็จะเมตตาบอกสอนเวลานี้ สำหรับผมเองพระท่านชอบมาบอกงานในช่วงเวลาตื่นแบบนี้เนื่องจากเราได้พักผ่อนเต็มที่แล้ว มีความสดชื่น ทรงลมหายใจสบายเป็นสมาธิได้ง่าย

    ครั้นเมื่อตื่นนอนแล้ว

    สำหรับการอาบน้ำแปรงฟันล้างหน้า ถ่ายหนักถ่ายเบา เราก็พิจารณาธรรมไปด้วย ในข้อกายคตาในส่วนของ ความสกปรก ไม่สะอาด ความเสื่อมในร่างกายของเรา ด้วยจิตที่เบาๆสบายๆให้จิตคลายจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายลง

    พอทานอาหาร ก่อนทานข้าวทุกมื้อ เราก็นำอาหารไปถวายพระด้วยความเป็นทิพย์เสียก่อน จากนั้นก็มาพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญา และความเป็นธาตุสี่ อธิฐานให้อาหารที่ทานเป็นอาหารทิพย์หล่อเลี้ยงธาตุขันธ์เพื่อการบำเพ็ญธรรม ทำความดี

    พอออกเดินทางไปธุระ ระหว่างเดินทาง เราก็จับลมหายใจสบายทรงสมาธิจิตไป ตอนขับรถเราก็ทำได้ ทรงลมหายใจที่หายไปจนเป็นฌานสี่ใช้งาน จิตยิ่งตั้งมั่นมีสมาธิเต็มอัตรา หรือเรานั่งรถก็พิจารณาไปในคนสัตว์ ว่าทุกข์อย่างไร เขาเห็นทุกข์ไหม เราเห็นเราก็หาทางออกจากทุกข์ ด้วยธรรม

    ตลอดจนแผ่เมตตาไปในทิศทั้งปวง ไปไหนมาไหน เจอผู้ใดก็ให้จิตเขาเย็นตามจิตเรา ไปไหนก็ปรารถนาให้ที่นั้นมีความเจริญรุ่งเรืองมีศานติสุข สงบร่มเย็น มีแต่รอยยิ้มและมิตรไมตรีต่อกัน


    -


    -
     
  2. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    อุปปาตะสันติ บทสวดสงบเหตุร้าย

    <BIG>;welcome3</BIG>
    <BIG>อุปปาตะสันติ</BIG>
    <BIG>บทสวดสงบเหตุร้าย </BIG>
    <BIG></BIG>
    <BIG>;2</BIG>
    <BIG></BIG>
    <BIG>อานุภาพของอุปปาตะสันติ
    ผู้ใดสวดหรือฟัง “อุปปาตะสันติ“ อันกล่าวแล้วด้วประการฉะนี้บุคคลนั้น</BIG>
    <BIG>จะพึงชนะจากสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง จักเจริญด้วยคุณ </BIG><BIG>ณ ประการคือ อายุวรรณะ </BIG>
    <BIG>สุขะ </BIG><BIG>ความวิบัติย่อมไม่มาแผ้วพาน </BIG><BIG>ย่อมได้รับความอิ่มใจในกาลทุกเมื่อ
    </BIG><BIG></BIG>
    <BIG>ยาพิษ และ ศาสตราวุธย่อมไม่กล้ำกรายย่อมชนะข้าศึกทั้งมวลโรคาพยาธิย่อมไม่เบียดเบียนย่อมเจริญด้วยทรัพย์ศฤงคาร ภัยจากมนุษย์ อมนุษย์และสัตว์ร้ายน้อยใหญ่ ย่อมสงบไป ด้วยเสียงแห่งการสวด “อุปปาตะสันติ“
    ผู้ที่สวด “อุปปาตะสันติ“ แล้ว อุทิศให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วก็ดี ที่ยังมีชีวิต
    ทวยเทพเทวดาทั้งหลาย ท้าวพระยามหากษัตริย์ทั้งหลายอยู่ก็ดี
    จักช่วยให้เขาเหล่านั้นพ้นจากมหันตทุกข์ย่อมเข้าถึงสุขในกาลทุกเมื่อ
    จักเป็นผู้เจริญด้วยเดช และ สิริมงคลด้วยกฤตยานุภาพแห่งพระคาถานี้

    - เหตุร้ายอันเกิดจากภัยธรรมชาติ มีแผ่นดินไหว และน้ำท่วม
    เหตุร้ายอันเกิดจากสุริยุปราคาจันทรุปราคา เป็นต้น

    - เหตุร้ายอันเกิดจากฟากฟ้า เหตุร้ายอันเกิดจากบาปกรรม
    เหตุร้ายทั้งปวงจักพินาศไปด้วยเดชแห่ง ” อุปปาตะสันติ

    คัมภีร์อุปปาตะสันติ มีข้อความขอความช่วยเหลือ ขอให้พระรัตนตรัย
    และบุคคล พร้อมทั้งสิ่งทรงอิทธิพลในจักรวาลรวม ๑๓ ประเภท ดังกล่าว
    มาแล้วช่วยสร้างสันติ หรือ มหาสันติ ขอให้ช่วยเป็นตู้นิรภัยคุ้มครอง
    กำจัดเหตุร้ายอันตราย หรือ สิ่งกระทบกระเทือนต่างๆ อย่าให้เกิดมีในตน
    ในครอบครัว ในหมู่คณะ หรือในวงงานของตน และในวงงานของคนอื่นทั่วไป ,,,,


    </BIG><BIG>;k07</BIG>
    <BIG>
    </BIG>
    <B><BIG>อุปปาตะสันติ</BIG>
    <BIG>บทสวดสงบเหตุร้าย </BIG>
    </B>​

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ.
    ขอ ความนอบน้อม ของข้าพเจ้าจงมีแด่ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น
    คันถารัมภะ (คำเริ่มต้นคัมภีร์)

    (ก) สุทุททะโส อะยัง ธัมโมโลกัตถัง ชินะเทสิโต
    มะหาสันติกะโร โลเกสัพพะสัมปัตติทายะโก.
    ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ เพื่อประโยชน์ของสัตว์โลก เป็นธรรมที่เห็นได้ยากยิ่ง
    สำหรับธรรมที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นธรรมที่สามารถกระทำความสงบอันประเสริฐ
    และสามารถประทานซึ่งสมบัติทั้งปวง​


    (ข) สัพพุปปาตูปะสะมะโณภูตะยักขะนิวาระโณ
    อะกาละมัจจุสะมะโณโสกะโรคะวินาสะโน.
    เป็นเครื่องสงบเหตุร้ายทั้งปวง เป็นเครื่องป้องกันอมนุษย์และยักษ์
    เป็นเครื่องระงับความตายก่อนกำหนดเวลา เป็นเครื่องขจัดความเศร้าโศกและโรค


    (ค) ปะระจักกะปะมัททะโนรัญโญ วิชะยะวัฑฒะโน
    สัพพานิฏฐะหะโร สันโตธัมมัง วักขามิ ภูตะโต.
    เป็นเครื่องย่ำยีกำลังของข้าศึก เป็นเครื่องจำเริญชัยชนะแด่พระราชา
    เป็นเครื่องนำสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาทั้งปวงออกไป เป็นธรรมอันประเสริฐ
    ข้าพเจ้า (พระสีละวังสะมหาเถระ) จักแสดงคุณธรรมเช่นนั้น ตามสภาพที่เป็นจริง​


    (ฆ) วัตถุตตะยัสสะ โย ยัตถะสังวัณเณติ คุณุตตะเม
    ตัสสะ ตัตถะ สุขาโรคฺยะ-โสตถิโย โหนติ สัพพะทา.
    ณ ที่ใด มีผู้กล่าววาจาสรรเสริญพระคุณอันประเสริฐของพระรัตนตรัย
    ด้วยจิตที่เลื่อมใส ณ ที่นั้น ความสุข ความสบาย และความสวัสดี
    ย่อมมีแก่ผู้นั้นตลอดกาลทุกเมื่อ


    (ในสารมัณฑกัป ๔ พระองค์)
    (พระพุทธเจ้าในอดีต ๒๘ พระองค์)

    ๑.ตัณหังกะโร มะหาวีโรสัพพะโลกานุกัมปะโก
    วันตะสังสาระคะมะโนสัพพะกามะทะโท สะทา.
    พระตัณหังกร สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้แกล้วกล้ามาก ผู้อนุเคราะห์สัตว์โลกทั้งปวง
    ผู้คลายตัณหาอันเป็นเหตุท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏได้แล้ว
    ผู้ประทานสิ่งที่น่าปรารถนาทั้งปวงให้ ในกาลทุกเมื่อ​


    ๒. สัพพาภิภู สัพพะวิทูสัพพะเทวะคะรุตตะโม
    สัพพาสะวะปะริกขีโณสะทา โสตถิง กะโรตุ โน.
    ผู้ทรงครอบงำธรรมทั้งปวง ทรงรู้แจ้งธรรมทั้งปวง
    ทรงเป็นครูผู้ยอดเยี่ยมของมนุษย์และเทวดาทั้งปวง ทรงสิ้นอาสวะทั้งปวงแล้ว
    โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด


    ๓.วะระลักขะณะสัมปันโนเมธังกะโร มะหามุนิ
    ชุตินธะโร มะหาสิรีสุวัณณะคิริสันนิโภ.
    พระจอมมุนีพระนามว่า เมธังกร ผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยพระลักษณะอันเลิศ
    ผู้ทรงไว้ซึ่งพระรัศมี ผู้ทรงมีพระสิริยิ่งใหญ่ รุ่งเรืองดุจสุวรรณคีรี​


    ๔.ทิพพะรูโป มะหากาโยมะหานาโถ มะหัพพะโล
    มะหาการุณิโก สัตถามะหาสันติง กะโรตุ โน.
    ผู้ทรงมีพระรูปเพียงดังท้าวมหาพรหม มีพระวรกายอันประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ
    ทรงเป็นที่พึ่งอันประเสริฐมีพระกำลังมาก ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณา
    ทรงเป็นพระศาสดา โปรดประทานความสงบอันยิ่งใหญ่ แก่พวกข้าพระองค์เถิด


    ๕.มะหาโมหะตะมัง หันตฺวาโย นาโถ สะระณังกะโร
    เทวาเทวะมะนุสสานังโลกานัญจะ หิตังกะโร.
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สรณังกร ทรงเป็นที่พึ่ง
    ทรงกำจัดความมืดมน คือ อวิชชา ได้แล้ว ทรงกระทำประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก
    กล่าวคือเหล่าทวยเทพ อสูร และมนุษย์ทั้งหลาย​


    ๖.พฺยามัปปะภาภิรุจิโตนิโคฺรธะปะริมัณฑะโล
    นิโคฺรธะปักกะพิมโพฏโฐสะทา โสตถิง กะโรตุ โน.
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า สรณังกร พระองค์นั้น
    ผู้ทรงรุ่งเรืองด้วยพระรัศมีแผ่ออกไปหนึ่งวาโดยรอบ
    ผู้ทรงมีพระวรกายเป็นปริมณฑลดุจต้นนิโครธ (ความสูงของกายเท่ากับความยาวของวา)
    ผู้ทรงมีพระโอฏฐ์แดงเรื่อดุจผลตำลึงสุก ที่ต้นนิโครธ (นิสสยะฉบับพม่า แปลว่า ดุจผลนิโครธสุก)
    โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด


    ๗.อะสีติระตะนุพเพโธทีปังกะโร มะหามุนิ
    ปะภา นิทธาวะเต ตัสสะฐาเน ทฺวาทะสะ โยชะเน.
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ทีปังกร มีพระวรกายสูงแปดสิบศอก
    ทรงเป็นพระมหามุนี พระรัศมีของพระองค์แผ่ออกไปในที่สิบสองโยชน์​


    ๘.วัสสัสสะตะสะหัสสานิฐัตฺวา โลเก วินายะโก
    โลกาโลกะกะโร สัตถาสะทา โสตถิง กะโรตุ โน.
    พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ในโลกหนึ่งแสนปี ทรงนำเวไนยสัตว์สู่พระนิพพาน
    ทรงเป็นพระศาสดาผู้ประทานแสงสว่างแก่โลก
    โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด


    <HR>(พระปัจเจกพุทธเจ้า)
    ๖๐.สัพเพ ปัจเจกะสัมพุทธานิโรธะฌานะโกวิทา
    นิราละยา นิราสังกาอัปปะเมยยา มะเหสะโย.
    พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าทั้งปวง ทรงปรีชาญาณใน นิโรธสมาบัติและ ฌานสมาบัติ
    ทรง ปราศจากความกำหนัดยินดี หมดความรังเกียจ
    ทรงคุณอันหาประมาณมิได้ ทรงแสวงหาคุณอันประเสริฐ


    ๖๑.ทูเรปิ วิเนยเย ทิสฺวาสัมปัตตา ตังขะเณนะ เต
    สันทิฏฐิกะผะเล กัตฺวาสะทา สันติง กะโรนตุ โน.
    พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านี้ เห็นหมู่เวไนยสัตว์แม้ในที่ไกล
    ก็ทรงเสด็จไปช่วยเหลือสัตว์เหล่านั้น ให้ได้รับประโยชน์โดยพลัน
    โปรดประทานความสงบ แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

    <HR>(พระธรรมรัตนะ : นวโลกุตตรธรรม และปริยัติธรรม )

    ๖๒.สฺวากขาตะตาทิสัมปันโนธัมโม สะปะริยัตติโก
    สังสาระสาคะรา โลเกตาเรติ ชินะโคจะโร.
    พระธรรม พร้อมทั้งปริยัติที่สมบูรณ์ด้วยคุณ มีความเป็นธรรม
    ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วเป็นต้น เป็นอารมณ์ของพระพุทธเจ้า
    เป็นเหตุยังสัตว์โลกให้ข้ามพ้นสาคร คือ สังสารวัฏ

    ๖๓.กิเลสะชาละวิทธังสีวิสุทโธ พุทธะเสวิโต
    นิพพานะคะมะโน สันโตสะทา โสตถิง กะโรตุ โน.
    ขอพระธรรมอันบริสุทธิ์ยิ่ง อันมีปกติ ทำลาย ข่ายคือ กิเลส
    เป็นธรรมที่พระพุทธองค์ทรงเจริญแล้ว เป็นธรรมอันประเสริฐอันยังสัตว์ให้ถึงพระนิพพาน
    โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

    <HR>

    (พระสังฆรัตนะ)

    ๖๔.สีลาทิคุณะสัมปันโนสังโฆ มัคคะผะเล ฐิโต
    ชิตินทฺริโย ชิตะปาโปทักขิเณยโย อะนุตตะโร.
    พระสงฆ์ ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณ มีศีล เป็นต้น ดำรงอยู่ใน มรรค และผลชนะอินทรีย์แล้ว
    ชนะบาปแล้ว เป็น ทักขิเณยยบุคคลผู้ยอดเยี่ยม

    ๖๕.อะนาสะโว ปะริสุทโธนิราสาโส ภะวาภะเว
    นิพพานะโคจะโร สันโตสะทา โสตถิง กะโรตุ โน.
    ขอ พระอริยสงฆ์ ผู้ ไม่มีอาสวะ ผู้บริสุทธิ์ ผู้หมดความปรารถนาในภพน้อยภพใหญ่
    ผู้มีจิตจดจ่อในพระนิพพาน เป็นสัตบุรุษ
    ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

    <HR>

    (พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ๑๐๘ องค์)

    ๖๖.อัญญาตะโกณฑัญญัตเถโรรัตตัญญูนัง อัคโค อะหุ
    ธัมมะจักกาภิสะมะโยสะทา โสตถิง กะโรตุ โน.
    พระอัญญาโกณฑัญญะเถระ เป็นผู้เลิศกว่าเหล่าภิกษุผู้รู้ราตรี
    ผู้บรรลุเป็น พระโสดาบัน ด้วย พระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
    ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด
    (มีต่อ)

    อ่านต่อได้ที่ http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=649
    ;aa12​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2008
  3. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    เมื่อสองสามวันมานี้ได้ทบทวนการปฏิบัติที่พี่คณานันท์เคยสอนมาค่ะ มีความรู้สึกว่ายังปฏิบัติไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่พยายามปรับปรุงทำให้ดีขึ้น และช่วงนี้เหมือนโดนสอบเรื่องความโกรธและปฏิฆะ ทุกทีจะระงับไม่ค่อยอยู่ เมื่อวานโดนอีกมีความรู้สึกไหลตามกระแสแต่พอใช้สติยั้ง จึงใช้ความคิดตามว่าที่โกรธนั้นเพราะอะไร แล้วคิดต่อไปว่าโกรธแล้วได้ประโยชน์ไหม สุดท้ายสรุปคนที่ทำให้เราโกรธนั้นสมควรที่จะโกรธเขาต่อ หรือควรที่จะสงสารเขาดี จึงตัดสินใจได้ว่าเราไม่ควรโกรธและควรที่จะให้อภัยและสงสารเขามากขึ้นค่ะ
     
  4. Forever In LoVE

    Forever In LoVE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,349
    ค่าพลัง:
    +3,864
    กว่าพายุที่ว่า จะไปถึงบางนา คงพัดผ่านจากบ้านพี่ละน้องชัช เ อ ย ~

    ไม่รู้ว่ากายเนื้อพี่จะถูกพัดไปหล่นปุ๊แถวนั้นหรือเปล่า ..ถ้าเจอ ฝากเก็บด้วยนะจ๊ะ ..คิกคิก

    ช่วงนี้ เร่งสรุปงานแล้วส่งออกไปฝากไว้ที่คนอื่นๆเสียให้หมด

    อย่างน้อย ถ้าเราไม่ได้อยู่ทำต่อ งานก็ยังเดินต่อไปได้

    ใครที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยทั้งหลาย โปรดเก็บเอกสารสำคัญใส่ซองกันน้ำไว้ด้วยนะคะ

    เป้ฉุกเฉิน เตรียมกันหรือยังเอ่ย ...คนเตรียมแล้วนี่ยิ้มแฉ่งเลย

    เวลาที่เหลือ คอยชี้แนะคนอื่นๆรอบตัว ให้เตรียมจัดเป้ เตรียมของใช้ฉุกเฉิน

    เตรียมจิตใจ ตั้งสติให้มั่นคง และเตรียมซ้อมหลบภัย หลายๆแบบ อย่างที่เราชาวภัยพิบัติรู้และศึกษาไว้ก่อนแล้ว....

    ช่วงเวลานี้ พูดเตือนและแนะนำเกี่ยวกับภัยพิบัติ ใครๆก็ฟัง
    ...โดยเฉพาะสมุทรปราการ :b ...

    -

    -
     
  5. พัฒนาตน

    พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    ยังไม่ได้เตรียมเป้เลยง่ะ ได้ผอมแน่คราวนี้ เหอๆๆ
     
  6. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ไม่ได้ผ่านแค่บ้านน้องชัชและซันหรอกจ้า บ้านน้าสาวพี่ก็โดนหางเลขเหมือนกันจ้า (อยู่แถวราษฎร์บูรณะน่ะ);26
     
  7. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    อนุโมทนากับทุกหัวข้อธรรมค่ะ
    เช้านี้พลังจิตเอื่อยมากเลย กดกระทู้แล้วไม่เข้า ต้องคลิก ๓-๔ ครั้ง (เสียเวลาจัง) กดอนุโมทนาแล้วไม่โผล่...
    ไม่ทราบเพราะเหตุใดค่ะ
     
  8. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    บันทึกเพื่อปฎิบัติตามค่ะ
    เด๋วจะลืมก่อนอีก - -" ต้องเอามาอ่าน ก่อน - หลัง อาหาร 3 มื้อ
    อ่าน ก่อนนอน - ตื่นนอน เป็นประจำทุกวันเรยค่ะ

    ---------------------------------------------------------------------------------

    1. วางอารมณ์ใจในการปฏิบัติธรรมของเราในแต่ละวันโดย ปฏิบัติแบบไม่ต้องยึดรูปแบบ
    ปฏิบัติแบบอยู่บ้าน อยู่ที่โรงเรียน ที่ทำงาน โดย ไม่ให้มีใครรู้ว่าเราปฏิบัติธรรม
    2. เริ่มต้นตั้งแต่ที่เราตื่นก็ให้เราตั้งสติก่อน (หากไม่ตั้งสติ จิตมันก็จะเลยไปเลย)
    จากนั้น ผู้ที่ได้มโนมยิทธิแล้ว ก็ยกอาทิสมานกายขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน
    เป็นการ ระลึกนึกถึงพุทธานุสติ และ ทรงอารมณ์พระนิพพาน
    3. พิจารณาว่า เราอาจ "ตาย" เมื่อไรก็ได้ เราจะไม่ประมาทในชีวิต
    ไม่ประมาทในความดี ไม่ประมาทในการปฏิบัติธรรม (เริ่มเป็นวิปัสนาญาณ )
    4. พิจารณาธรรมเพื่อ ละใน สังโยชน์ 10 ประการ
    5. พิจารณาใน บารมี 30 ทัศน์ ตั้งใจในกำลังใจที่จะทรงบารมีได้อย่างเต็มอัตรา
    6. สำหรับการอาบน้ำแปรงฟันล้างหน้า ถ่ายหนักถ่ายเบา เราก็ พิจารณาธรรมไปด้วย
    ในข้อ กายคตา ในส่วนของ ความสกปรก ไม่สะอาด ความเสื่อมในร่างกายของเรา

    ด้วยจิตที่เบาๆสบายๆให้จิตคลายจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายลง
    7. พอทานอาหาร ก่อนทานข้าวทุกมื้อ เราก็ นำอาหารไปถวายพระด้วยความเป็นทิพย์เสียก่อน
    จากนั้นก็มาพิจารณา อาหาเรปฏิกูลสัญญา และ ความเป็น ธาตุสี่
    อธิฐานให้อาหารที่ทานเป็นอาหารทิพย์หล่อเลี้ยงธาตุขันธ์ เพื่อการบำเพ็ญธรรม ทำความดี
    8. พอออกเดินทางไปธุระ ระหว่างเดินทาง เราก็ จับลมหายใจสบายทรงสมาธิจิตไป
    ตอนขับรถเราก็ทำได้ ทรงลมหายใจที่หายไปจนเป็น ฌานสี่ ใช้งาน
    จิตยิ่งตั้งมั่นมีสมาธิเต็มอัตรา หรือเรานั่งรถก็พิจารณาไปในคนสัตว์
    ว่าทุกข์อย่างไร เขาเห็นทุกข์ไหม เราเห็นเราก็ หาทางออกจากทุกข์ ด้วยธรรม
    9. ตลอดจน แผ่เมตตาไปในทิศทั้งปวง ไปไหนมาไหน เจอผู้ใดก็ให้จิตเขาเย็นตามจิตเรา
    ไปไหนก็ปรารถนาให้ที่นั้นมีความเจริญรุ่งเรืองมีศานติสุข สงบร่มเย็น มีแต่รอยยิ้มและมิตรไมตรีต่อกัน ,,,
    10 . บวชใจก่อน ทำใจ ทำจิตเราให้เป็นชีจริงๆ ไม่โกนหัวใส่ชุดขาว ไม่ต้องขึ้นยู่กับสถานที่
    บุคคล และ ฯลฯ

    --------------------------------------------------------------------------------


    :z10 + :z10 + :z10 + :z10:z10 + :z10 + :z10


    กราบขอบพระคุณค่ะ ,,,
     
  9. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,632
    เมื่อวันเสาร์ที่ 16 ส.ค.51 ใช้เวลาไปเกือบประมาณ 3 ชม ในการรื้อสัมภาระของที่จัดเก็บไว้ในกล่อง มาจัดลงเป้เดินทาง 2 ใบ เป้ติดตัว 1 ใบ เนื่องจากของบางอย่างมีอันเดียว เลยใช้วิธีเอาของบางอย่าง มาทดแทนของอีกอย่าง เช่น มีเสื้อกันหนาวที่ใช้ในเขตหนาวจัด 1 ตัว อีกเป้ก็ใช้เสื้อกันฝนปันโจ/เสื้อกันฝนผ้าไนล่อน แบบเป็นชุดเสื้อ กางเกง มาทดแทนเสื้อกันหนาว หรือเอาผ้าพลาสติกปูโต๊ะอาหาร(ผืนละ 60 บาท) มาใช้แทนผ้าฟลายชีท หรือยาทำน้ำบริสุทธิ์มี 1แผง (10 เม็ด) อีกเป้ก็ใช้ด่างทับทิมบรรจุแทน(ใช้ด่างทับทิม 2-3 เกล็ดต่อน้ำ 1 ลิตรทิ้งไว้ 30 นาทีก็ดื่มได้ อย่าใช้มากจะฝาดคอและอาจจะดื่มยากยิ่งขึ้น) ถ้าใครไม่มีไฟฉายแบบติดหัว แนะนำการทำไฟฉายติดหัวแบบแสวงเครื่อง เห็นจากรายการโทรทัศน์ ใช้ยางในรถจักรยาน/หนังสติกยิงนกมามัดไฟฉายไว้ แล้วนำมาคาดที่ศีรษะ เราก็มีไฟฉายคาดหัวแบบเท่ๆ ใช้แล้ว ไม่สงวนลิขสิทธิ
    ถ้าจะมีผู้ใดนำไปทำจำหน่าย:z3:z5
    <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2008
  10. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ชีวิตดั่งดอกไม้


    โดย ผู้จัดการออนไลน์ 31 สิงหาคม 2548



    มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งหลังจากแต่งงานกัน พวกเขาก็ตั้งใจทำมาหากิน เก็บหอมรอม ริบ จนปลูกบ้านหลังเล็กๆได้หลังหนึ่ง เหมือนที่เคยหวังกันไว้ จากนั้นเขาก็เริ่มวางแผนการงานให้มั่นคงขึ้น ขยันขันแข็งขึ้น ทำงานมากขึ้น และพักผ่อนให้น้อยลง เพราะตั้งใจจะเก็บเงินอีกก้อนให้เพียงพอสำหรับการมีสมาชิกใหม่ตัวน้อยๆ เพิ่มขึ้นอีกคนในครอบครัว แต่เมื่อความฝันทั้งหมดเริ่มเป็นรูปร่าง ไม่นานฝ่ายชายกลับต้องมาตายจากไปด้วยอุบัติเหตุ ทิ้งให้หญิงสาวนอนซมเศร้าโศกเสียใจ ไม่เป็นอันกินอันนอน ไม่ทำงาน ไม่ดูแลตัวเองและบ้านช่อง ปล่อยให้ความทุกข์เกาะกินหัวใจและชีวิตของตน ราวกับจะปล่อยตัวเองให้ตรอมใจจนตาย



    เพื่อนข้างบ้านคนหนึ่ง เฝ้ามองดูความหมดอาลัยตายอยากของหญิงสาวผู้นี้ด้วย ความสังเวช วันหนึ่งเขาจึงเดินเข้ามาที่บ้านหญิงสาวพร้อมกับกระถางดอกไม้ ที่ดอกของมันกำลังเบ่งบานชูช่อไสว สีสันก็สวยงามยิ่งนัก ใบเขียวสดราวกับใบไม้ในภาพวาด เลยทีเดียว
     
  11. monsodsai

    monsodsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +570
     
  12. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    การเกิดนี้ไม่มีแก่นสาร
    ดังนั้นมาจับมือเพื่อนๆของเรา พากันไปพระนิพพานดีกว่าครับ
    พรุ่งนี้ผมจะกลับมาสอนสมาธิแล้วครับ
    เนื่องจากรร.มีงานเยอะช่วงหลัง เลยไม่มีเวลาให้ผมสอน
    แต่ว่าพรุ่งนี้จะต้องได้สอนแน่นอนครับ หากฝนไม่ตกนะ
    ช่วยๆกันขอพุทธบารมีเพื่อให้อากาศแจ่มใสด้วยนะครับ จะได้สอนซะที
    ผมมีความรู้สึกอยากสอนเหลือเกิน ไม่ได้สอนแล้วจะนอนไม่หลับ
    เป็นโรคเสพติดการสอนครับ เป็นโรคที่ดี
    ขอให้ผมไม่หายจากโรคนี้ และขอให้โรคนี้อย่าหายไปจากผม
    และขอให้โรคนี้ส่งต่อไปยังผู้อื่นเยอะๆ จะได้มาช่วยๆกันสร้างสรรค์สังคมที่ดี
     
  13. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ข้อห้าม... สำหรับสตรีเพศ...

    ได้ยินมาตั้งแต่เป็นเด็กแล้วค่ะ...ว่า ผู้หญิงน่ะ... เวลามีประจำเดือน... แล้ว

    ห้าม...

    - ไหว้พระ สวดมนต์

    - ปฏิบัติธรรม

    - เข้าโบสถ์

    - ไปวัดถือศีลอุโบสถ

    - ห้าม ห้าม ห้าม ห้าม ห้าม ห้าม ห้าม ห้าม ห้าม
    ........................ ฯลฯ


    ขอนำคำตอบของ... พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ... ท่านมาให้อ่านกัน...

    (ถึงแม้คำถามที่มีผู้ถามท่านจะเป็น...

    "เวลาเข้าส้วม ถ่ายหนัก ถ่ายเบา... มีบางคนเขาบอกว่า ห้ามภาวนา ห้ามจับภาพพระ... เพราะจะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย... เพราะกิจที่เราทำ ถือเป็นของสกปรก...")

    ท่านตอบว่า...

    "ก็แล้วถ้าเกิดเราตายขึ้นมาตอนกำลังเข้าส้วมล่ะ... จะเป็นยังไง...

    ไอ้ของสกปรกพวกนั้น... มันก็ไม่ได้เพิ่งจะออกมาสกปรกเมื่ออยู่นอกสังขารร่างกายเราเมื่อไหร่ล่ะ... มันก็สกปรกตั้งแต่มันอยู่ในตัวเรานั่นแหละ..."

    ^__^ ^__^ ^__^
     
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    มาต่อในส่วนของการตั้งกำลังใจ ปฏิบัติธรรมในขณะที่เราเองอยู่กับโลก อยู่ในโลก และเป็นฆราวาสครับ

    อันที่จริง จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ขึ้นอยู่กับการใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็น "ธรรม" ที่การอยู่ในโลกนั้น เห็นทุกข์ได้ชัดเจนกว่า

    ก็มาถึงการใช้เวลา ในการเรียนบ้าง หรือการทำงานบ้าง ต่างกันไปตามภาระหน้าที่

    เราก็ทรงลมหายใจสบาย อารมณ์สบายเป็นปกติ ใช้ปัญญา พิจารณา ว่า การงานที่ทำนี้ มีความยาก ความลำบากหรือไม่ มีผู้ทำให้กระทบกระทั่งไม่สบายใจ บ้างไหม ความเหนื่อยยากมีสักเพียงใด พิจารณาให้เห็นว่าที่เราต้องเหนื่อยยากนี้ก็เพียงเพื่อหาทรัพย์สินมาบำรุงเลี้ยงร่างกายขันธุ์ห้าของเราบ้าง ร่างกายขันธุ์ห้าของครอบครัวเราบ้าง ไปตามปุถุชนวิสัย

    เรากำหนดให้เห็นทุกข์ จนจิตใจเราเกิดความเบื่อหน่ายในทุกข์

    แล้วใช้ปัญญาพิจารณารู้เท่าทัน กิเลสเครื่องล่อให้ยึดติดในสังสารวัฏฏ์

    อารมณ์จิตที่ถูกในการปฏิบัติธรรม ก็คือ เมื่อจิตรู้เท่าทันและปล่อยวาง(ได้บ้าง อาจจะยังไม่ทั้งหมดก็ตาม) จิตจะยิ่งเบา ยิ่งลดจากความหนัก ความยึดติด ในอารมณ์ที่ดึงเราด้วยโลกธรรมทั้งปวง จนจิตใจเราสงบ เบา ไม่กังวล ไม่หนักใจ จิตสะอาด สว่าง สงบ แม้อยู่ในทุกข์แต่ไม่ทุกข์เพราะเรารู้เท่าทันเสียแล้ว

    เราจะรู้สึกทุกข์ก็ต่อเมื่อเราไม่รู้เท่าทันทุกข์ ปล่อยให้โลภ โกรธ หลงมามีอิทธิพลต่อดวงจิตเราได้อยู่


    อารมณ์ใจที่ยังไม่ วางไว้ไม่ถูก ก็คือ เมื่อยิ่งพิจารณาในตัวทุกข์ก็ดี เจริญวิปัสนาญาณก็ดี แต่จิตเรายิ่งเซ็ง ยิ่งเครียด ยิ่งหนัก

    เหตุนี้เป็นเพราะเราเอง ขาดตัวปล่อยวางออกไป

    ดังนั้น

    ยิ่งปฏิบัติธรรมจิตเจริญเมตตาพรหมวิหารสี่ให้มาก จิตก็ยิ่งเบาสบาย

    จิตยิ่งเบาสบาย สงบ

    ยิ่งเจริญวิปัสนาญาณ ได้แตกฉานจนจิตเบาบางจากกิเลส


    จิตยิ่งเบาจากกิเลส

    นิวรณ์ห้ายิ่งลดหายลง

    นิวรณ์ห้ายิ่งลดหายลง

    สมาธิระดับฌานยิ่งตั้งมั่น

    สมาธิระดับฌานยิ่งตั้งมั่น

    การเจริญวิปัสนาญาณยิ่งลึกซึ้ง

    การเจริญวิปัสนาญาณยิ่งลึกซึ้ง

    โลกุตรธรรมยิ่งปรากฏแก่ใจ

    โลกุตรธรรมยิ่งปรากฏแก่ใจ

    ยิ่งก้าวหน้าเจริญในธรรม อย่างไม่ถอยกลับ

    ทุกอย่างตามเหตุตามปัจจัย

    สมถะและวิปัสนาญาณต้องเจริญควบคู่กัน แตกเกื้อหนุนในกัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
     
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เมื่อเราทำงาน สิ่งใด เราก็ตั้งกำลังใจก่อนว่า

    งานที่เราทำเป็นสัมมาอาชีวะหรือไม่

    และหากงานที่เราทำ ทรงคุณประโยชน์ต่อส่วนรวมก็ให้เรายิ่งมุมานะทำด้วยความเพียรและความมุ่งมั่นยิ่งขึ้นไปอีก

    ความทุกข์ การกระทบใจใดๆ เราก็นำมาใช้เป็นบทเรียนในธรรมของเราในทุกๆอย่าง เห็นทุกข์และเห็นธรรมไปพร้อมๆกัน

    ทำตัวเหมือนดาบที่ยิ่งถูกกระหน่ำตี (ด้วยความทุกข์ ปัญหา และอุปสรรคทั้งปวง) เราก็ยิ่งแกร่ง คมกล้า (ทั้งด้วยบารมี กำลังใจและวิปัสนาญาณ) ดาบดีๆถูกตี เป็นแสนๆครั้ง เราเป็นดาบดี ก็ย่อมพบความทุกข์อุปสรรคมากเป็นธรรมดา


    ผ่านมาถึงการใช้เวลาก่อนเข้านอน

    -จับลมสบายก่อน

    -แผ่เมตตา

    -ทรงภาพพระ

    -ตั้งกำลังใจในมรณานุสติว่าหากเราตายไปในคืนนี้เราจะไปไหน

    -ใช้มโนมยิทธิขึ้นไปบนพระนิพพาน กราบพระท่าน

    -สำหรับท่านที่กำลังใจเป็นสาวกภูมิก็ขอให้ตั้งใจว่า เราขออยู่บนพระนิพพานนี้ หากแม้เราตายไปในคืนนี้ก็ดี หรือตายวันใดก็ดี เราขออยู่บนพระนิพพานนี้กับพระพุทธเจ้าท่าน

    -สำหรับท่านที่เป็นพุทธภูมิ ก็จงกราบพระพุทธเจ้า สมเด็จองค์ปฐม และพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ แผ่เมตตาอัปปันนาณฌาน อธิฐานจิตว่า

    "การที่ข้าพเจ้าจุติลงมาสร้างทศบารมี ปรารถนาถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณครั้งนี้ กายเนื้อของข้าพเจ้า มีข้อจำกัด ในการสร้างบารมี

    แต่ด้วยกำลังใจอันเป็นปรมัตถบารมีของข้าพเจ้านั้น ปรารถนารื้อขนมวลหมู่สรรพสัตว์ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณให้ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

    ด้วยพุทธบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ได้ทรงเป็นกำลังให้ข้าพเจ้า

    แยกอาทิสมานกายออกไปจำนวนมากมายมหาศาลยิ่งกว่า ดวงดาวทั้งอนันตจักรวาล กระจายออกไป โปรด ไปสงเคราะห์ ไปช่วยเหลือ ไปสั่งสอน มวลหมู่สรรพชีวิตทุกๆดวงจิตทั่วอนันตจักรวาลทั้งสามไตรภพ ด้วยเทอญ"

    จากนั้นก็แยกอาทิสมานกายออกไป โดยมีร่างหนึ่งทรงตัวไว้กับพระพุทธองค์บนพระนิพพาน

    จากนั้นก็ปล่อยกายเนื้อพักผ่อนไปตามประสามันไป กายจริงเราออกไปสร้างความดี อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยหยุดพัก ทำมันทั้งทางโลก ทางธรรม อะไรขึ้นชื่อความความสุข ความดี เราทำให้เพื่อส่วนรวมเอาไว้เสมอ

    คืนนี้ และคืนต่อๆไปพบกันข้างบนครับ

    ขอให้ทุกๆท่านทรงกำลังใจได้สูงสุดในความดี ในภูมิธรรมแห่งตนได้เจริญยิ่งขึ้นไปไม่ถอยกลับ มีแต่สูงขึ้นไปจนถึงที่สุดแห่งทุกข์คือพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  16. monsodsai

    monsodsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +570
    ขอบคุณสำหรับข้อธรรมนี้...ช่างดีแท้..เหมือนช่วยเปิดใจที่ปิด...หงายจิตที่คว่ำกระนั้น...

    จริงๆ ก็พยายามทรงอารมณ์ใจอยู่ด้วยสติรู้ลมหายใจเข้าออก..แต่ก็พลั้งเผลอหลุดไปตามภาวะของหน้าที่การงานที่อัดแน่น...จนซึมซับเข้าสู่กระแสจิตให้รู้สึกหนักหน่วง...อีกทั้งหลายกระแสแห่งข่าวภัยพิบัติที่ถาโถมทวีอยู่ในขณะนี้ ทำให้เกิดความกังวล เป็นห่วงบุพการีและพี่น้องที่เขายังไม่สามารถประคองจิตประคองสติให้เข้าถึงธรรม ในระดับที่จะพาจิตวิญญาณให้หลุดพ้นจากอบายได้ ในส่วนตัวแล้ว..ไม่ได้กลัวที่จะตาย เพราะพิจารณาถึงมรณานุสติอยู่ประจำและบ่อยครั้ง จนเห็นทุกข์ของการมีชีวิตอยู่ ก่อให้จิตเกิดความเบื่อหน่าย...หนัก..หดหู่...เป็นอารมณ์ที่เข้ามาจับอยู่ในขณะนี้ จึงมักทอดถอนใจ..อยู่เสมอ...แลหาความโปร่งโล่งเบาสบายแห่งจิตมิได้เลย...

    จะหมั่นน้อมนำ ระลึกถึงข้อธรรมนี้ เพื่อการปล่อยวางใจลงให้ต่อเนื่อง...
     
  17. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ขออนุโมทนาค่ะ ขอบคุณค่ะพี่ สำหรับธรรมะที่ลึกซึ้งอ่านแล้วทำให้มีกำลังใจในการปฏิบัติมากขึ้นค่ะ ถึงแม้จะเจออุปสรรคหนักขนาดไหน จะไม่ท้อค่ะ ขอทำให้ถึงจุดหมายที่ได้ตั้งใจไว้ค่ะ
     
  18. ~ สุดที่รัก ~

    ~ สุดที่รัก ~ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอบพระคุณสำหรับแนวทางการเข้าถึงซึ่งธรรมะอันประเสริฐ

    การปฏิบัติให้เข้าถึงได้ด้วยกำลังจิตของตนเอง

    ก้าวหน้า แบบไม่ถอยหลังอีกแล้ว

    แล้วพบกันข้างบนค่ะ
     
  19. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    มีติดค้างเรื่อง สมาธิ"นอน" กับ น้องขวัญ merhaba ครับ ก็ขอนำลงตรงนี้เลยหากได้เป็นประโยชน์กับท่านอื่นๆด้วย


    เนื่องจากมีหลายๆท่านที่มีความจำเป็นต้อง "แอบ" ปฏิบัติธรรมเนื่องจาก ต้องระมัดระวังผลกระทบจากบุคคลรอบข้าง ที่อาจปรามาส ดังนั้นการที่เราสามารถปฏิบัติธรรมแบบ "เนียนๆ "ได้มากเท่าไร ก็ย่อมมีอานิสงค์พิเศษอีกมาก เป็นการลดมานะทิษฐิ ลดมารยาสาไธยที่มาแสดงตน อวดตน ว่า ฉันปฏิบัติธรรมนะ ฉันดีกว่าเธอ อันเป็นอุปกิเลสละเอียด

    ปฏิบัติดี จิตดี เรารู้ได้ด้วยตนเอง ทำตัวเป็นคนธรรมดา ไอ้บรรดาความสามารถพิเศษ ต่างๆนั้น การรู้ดูจิตนั้นเป็นเรื่องเด็กๆ การรู้แล้วทำเป็นไม่รู้ นี่เป็นจริยา ที่เราถ่อมจิตเราเอง ไม่ไปโอ้อวดตน ซึ่งเป็นเหตุที่จะทำให้เราเองรักษาอภิญญาสมาบัติเอาไว้ได้ ยิ่งอวดมากเท่าไร ก็ยิ่งเสื่อมเร็ว เพราะกิเลสกินอุปทานกิน จาก ตัวมานะนั่นเอง


    สำหรับการทำสมาธินั้น การนอนก็เป็นการทำสมาธิที่ดีมากแบบหนึ่ง เป็นอิริยาบท ที่ทำสมาธิได้เช่นกัน

    ที่สำคัญมีพวกเราหลายๆคนนี่ล่ะ ที่ชอบหากินด้วยสมาธินอน ถอดกายทิพย์ไปนี่ก็ไอ้ตอนนอนกันเสีย 90 เปอร์เซนต์

    คราวนี้เราลองมาดูว่า เราจะทำสมาธินอนได้อย่างไร

    ก่อนอื่นก็ต้องล้มตัวลงนอนก่อน

    หากถามว่าต้องนอนท่าไหน ก็ต้องตอบว่านอนท่าที่สบาย ไม่กดทับ หายใจสะดวกเข้าไว้

    นอนได้แล้ว เราก็เริ่มจับลมหายใจสบายให้ได้ก่อน จนจิตสงบ
    กำหนดจิตว่า เราจะรักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ กรรมบทสิบสะอาดหมดจด พรหมวิหารสี่ครบถ้วน ทรงสมาธิมั่นคงหลับในสมาธิตั้งแต่หลับจนกระทั่งตื่น

    (ตั้งกำลังใจแบบนี้ เท่ากับ เราได้รักษาศีลห้า กรรมบทสิบ ได้ครึ่งวัน 7- 12 ชม. เป็นอย่างน้อย รวมทั้งครูบาอาจารย์ท่านว่า เราได้อานิสงค์ได้ทรงสมาธิเป็นเวลาตั้งแต่หลับไปยันตื่นนอนด้วยเป็นกำไรมหาศาล ปฏิบัติง่าย ได้อานิสงค์สูง เกิดจนตาย 60 ปี เท่ากับเราทำกรรมฐาน ร่วม 30 ปี เมื่อไปเทียบกับคนที่ฝึกสมาธิแบบนั่งเป็นรูปแบบวันละ 1 ชม. นั้นต้องใช้เวลา 360 ปี )

    ดังนั้นเมื่อเราไม่ หายใจทิ้ง ก็จงอย่า หลับทิ้งเปล่าๆปลี้ๆ ไปเสีย จงหลับด้วยกำลังใจที่เป็นกรรมฐาน

    เมื่อเข้าใจ และตั้งกำลังใจได้แล้ว

    คราวนี้เราก็จับภาพพระพุทธเจ้าท่านจากนั้น ขอให้ท่านถ่ายทอดธรรมมะสู่ดวงจิตของเรา ให้ซึมลงไปในกระแสจิตดวงใจของเรา

    เริ่มด้วยการพิจารณา ความตาย พิจารณา ร่างกาย ในความเป็นอสุภะ ในความเป็นรังของโรค ในเหตุแห่งความทุกข์

    จากนั้นใช้ปัญญาปล่อยวางคลายความยึดมั่นถือมั่นเกาะเกี่ยวในร่างกาย จนจิตเบาขึ้นสบายขึ้น แผ่เมตตาอีกครั้ง ให้จิตยิ่งเย็น

    จากนั้นขอบารมีพระท่านยกอาทิสมานกายขึ้นไปบนพระนิพพาน

    ขึ้นบนพระนิพพานได้แล้ว ก็ เริ่ม พิจารณาใน บารมีทั้ง สิบทัศน์ ให้ละเอียด แล้วจึง พิจารณา ตัดสังโยชน์สิบอีกครั้งหนึ่ง จนจิตยิ่งสะอาด ขึ้นละเอียดขึ้น

    ดูจิตตัวเองให้ใสสะอาด บริสุทธิ์

    บางท่านจากนั้นก็ขอบารมีพระท่านสอนธรรมมะเป็นพิเศษบ้าง ซึ่งจะเห็นได้ว่า ท่านเหล่านี้จะก้าวหน้าในธรรมอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ตนเองก็ตกใจ

    เนื่องจากธรรมมะที่พระท่านสอนข้างบน ละเอียดลึกซึ้ง ตรงวาระจิตเราอย่างยิ่งเป็นธรรมมะเฉพาะตน แก้ไขจุดบกพร่องของเราเอง จนจิตคลายตัวได้

    อย่างบางท่านช่วงนี้ ติดในอดีตชาติ และเกาะเกี่ยวกับบุคคลมาก ท่านก็ฝากเตือนมา เราไปพระนิพพานได้ ด้วยจิตเราเอง ทุกข์ หรือสุขอยู่ที่ดวงจิตของเรา ยิ่งปล่อย ยิ่งวาง ยิ่งเบา ยิ่งสุข

    สำหรับบางท่านก็เริ่มออกเดินทาง ไปช่วยยังแดนต่างๆ ภพภูมิต่างๆ ปลดปล่อยภพภูมิต่างๆ ด้วยอำนาจแห่งเมตตาอัปปันนาณญาณ โดยบารมีของพระท่านช่วยสงเคราะห์ด้วย ยามเกิดภัยพิบัติมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายหลายแห่งทั่วโลก พวกนี้เขาก็ไปแผ่เมตตาจิตปลดปล่อยภพภูมิที่ตกค้างเป็นสัมภเวสีให้ได้ โมทนาบุญในเมตตาและกระแสบุญ กระแสที่ขออาราธนาพุทธบารมีลงมา โปรดดวงวิญญานเหล่านั้น ให้ไปจุติยังภพภูมิที่ดีกว่า

    การทำกรรมฐาน นอนจึงมีความสำคัญที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเนื้อดังนี้ ชาวบ้านเขาอาจมองว่าไอ้เจ้านี่ขี้เกียจไม่เห็นปฏิบัติเลย นอนเรื่อย แต่ที่จริงพวกนี้เขาไปถึงไหนถึงไหนกันแล้วก็ไม่รู้

    เมื่อเราทำให้เป็นปกติทุกๆคืนก็ไม่ใช่เรื่องยาก เรื่องหนักหรือเกินกำลังของเรา


    การใช้ปัญญาบารมี ก็คือ การทำเรื่องยากให้กลับง่าย ทำเรื่องที่คนมองข้ามให้กลายเป็นเรื่อง ที่สร้างบารมีได้สูง


    "หากบุญกุศลใดอันบังเกิดขึ้นจากผลแห่งการปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าครูบาอาจารย์ท่านได้เมตตาสั่งสอนข้าพเจ้ามีเพียงใด ขอให้ธรรมมะปฏิบัติเหล่านี้จงเจริญยิ่งกว่า ในดวงจิตของทุกๆท่านด้วยเทอญ"
     
  20. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    เช้านี้มีข่าวเด็กตาย เป็นปอดบวม ไปคลินิคบัตรทองสองครั้งคลินิคไม่ส่งตัวเด็กไปรพ. ภูมิพล
    ให้ยาแล้วส่งกลับบ้าน พ่อแม่ทนไม่ไหวส่งฉุกเฉิน น้ำท่วมปอด ติดเชื้อแล้ว เสียชีวิตในสามชม.
    เสียใจกับพ่อแม่ด้วย

    ฉุกใจตอนแม่ให้สัมภาษณ์ แม่อายุ ๔๐ พ่อ ๕๓

    "ลูกคนนี้ฉันไปทำกิีฟมา ๒ ปี ได้เชยชมไม่ทันสองขวบเลย มาตายไปอย่างนี้หมอจะว่ายังไง"

    ฟังแล้วเหมือนพ่อแม่มีลูกเพื่อความต้องการของตนหรือเปล่า

    ในทางชีววิทยา การไม่ตั้งครรภ์คือธรรมชาติไม่เลือกให้ชายหญิงคู่หนึ่งได้สืบพันธุ์
    การไปก้าวล่วงธรรมชาติ เราได้อะไรหรือใครมาร่วมพันธุ...
    สงสารพ่อแม่ สงสารเ็ด็ก
    แต่สงสัยว่า เด็กพ้นกรรมแล้ว พ่อแม่จะจองเวรจองกรรมผูกพันธนาการตนเองไว้ทำไม
     

แชร์หน้านี้

Loading...