ความลับของจักวาล ในพระไตรปิฏก

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เทพธรรมสมาบัติ๙มรรคา, 31 สิงหาคม 2008.

  1. เทพธรรมสมาบัติ๙มรรคา

    เทพธรรมสมาบัติ๙มรรคา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +30
    ขนาดของจักรวาล
    จักรวาลอันหนึ่ง โดยยาวและโดยกว้าง ประมาณ ๑,๒๐๓,๔๕๐ โยชน์ (๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร)
    ส่วนโดยรอบปริมณฑลทั้งสิ้น (ของจักรวาลนั้น) ประมาณ ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์

    ขนาดหนาของแผ่นดิน ในจักรวาลนั้น
    แผ่นดินนี้ กล่าวโดยความหนา มีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์

    ขนาดหนาของน้ำรองแผ่นดิน สิ่งที่รองแผ่นดินนั้นหรือ
    คือน้ำอันตั้งอยู่บนลม โดยความหนามีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์

    ขนาดความหนาของลมรองน้ำ
    ลมอัน (พัดดัน) ขึ้นฟ้า (โดยความหนา) มีประมาณ ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ นี่เป็นความตั้งอยู่พร้อมมูลแห่งโลก

    ขนาดภูเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) และต้นไม้ประจำทวีป
    อนึ่ง ในจักรวาลที่ตั้งอยู่พร้อมมูลอย่างนี้นั้น มี
    ภูเขาสิเนรุอันเป็นภูเขาสูงที่สุด หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็ประมาณเท่ากันนั้น
    ภูเขาใหญ่ทั้งหลาย คือภูเขายุคันธร ภูเขาอิสินธร ภูเขากรวีกะ ภูเขาสุทัสสนะ ภูเขาเนมินธระ
    ภูเขาวินตกะ ภูเขาอัสสกัณณะ อันตระการไปด้วยรัตนะหลากๆ ราวกะภูเขาทิพย์ หยั่ง (ลึก) ลงไป
    (ในมหาสมุทร) และสูงขึ้นไป (ในฟ้า) โดยประมาณกึ่งหนึ่งแต่ประมาณแห่งภูเขาสิเนรุไปตามลำดับ
    ภูเขาใหญ่ทั้ง ๗ นั้น (ตั้งอยู่) โดยรอบภูเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ (จาตุ)มหาราช เป็นที่ๆ เทวดา และยักษ์อาศัยอยู่

    ภูเขาหิมวาสูง ๕๐๐ โยชน์ ยาวและกว้าง ๓,๐๐๐ โยชน์ (เท่ากัน) ประดับไปด้วยยอดถึง ๘๔,๐๐๐ ยอด
    ต้นชมพู (หว้า) ชื่อนคะ วัดรอบลำต้นได้ ๑๕ โยชน์ ลำต้นสูง ๕๐ โยชน์ และกิ่ง (แต่ละกิ่ง)
    ก็ยาว ๕๐ โยชน์ แผ่ออกไปวัดได้ ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ และสูงขึ้นไปก็เท่ากันนั้น ด้วยอานุภาพของ
    ต้นชมพู (นี้) ไรเล่า ทวีปนี้จึงถูกประกาศชื่อว่า ชมพูทวีป
    ก็แลขนาดของต้นชมพูนี้ใด ขนาดนั้นนั่นแหละเป็นขนาดของต้นจิตรปาฏลี (แคฝอย) ของพวกอสูร
    ต้นสิมพลี (งิ้ว) ของพวกครุฑ ต้นกทัมพะ (กระทุ่ม) ในอมรโคยานทวีป ต้นกัปปะในอุตตรกุรุทวีป
    ต้นสิรีระ (ซึก) ในบุพพวิเทหทวีป ต้นปาริฉัตตกะ ในดาวดึงส์ เพราะเหตุนั้นแล ท่านโบราณจารย์จึงกล่าวไว้ว่า
    (ต้นไม้ประจำภพและทวีป คือ) ต้นปาฏลี ต้นสิมพลี ต้นชมพู ต้นปาริตฉัตตะของพวกเทวดา
    ต้นกทัมพะ ต้นกัปปะ และต้นที่ ๗ คือ ต้นสิรีสะ ดังนี้

    ขนาดภูเขาจักรวาล
    ภูเขาจักรวาล หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๒,๐๐๐ โยชน์ สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็เท่ากันนั้น
    ภูเขาจักรวาลนี้ตั้งล้อมโลกธาตุทั้งสิ้นนั้นอยู่

    ขนาดของภพและทวีป
    ในโลกธาตุนั้น มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภพดาวดึงส์ ๑๐,๐๐๐ โยชน์ ภพอสูร มหานรกอเวจี และชมพูทวีปก็
    เท่ากันนั้น อมรโคยานทวีป ๗,๐๐๐ โยชน์ บุพพวิเทหทวีปก็เท่านั้น อุตตรกุรุทวีป ๘,๐๐๐ โยชน์ อนึ่ง ในโลกธาตุนั้น
    ทวีปใหญ่ๆ ทวีป ๑ ๆ มีทวีปน้อยเป็นบริวาร ทวีปละ ๕๐๐
    สิ่งทั้งปวง (ที่กล่าวมานี้) นั้น (รวม) เป็นจักรวาล ๑ ชื่อว่า โลกธาตุอัน ๑ ๑ในระหว่างแห่งโลกธาตุ
    ทั้งหลายมีโลกันตนรก (แห่งละ ๑)

    ๑. มหาฎีกาว่า จักรวาล ก็คือโลกธาตุ โลกธาตุได้ชื่อว่า จักรวาล ก็เพราะมีภูเขาจักรวาล ซึ่งสัณฐานดังกง
    รถล้อมอยู่โดยรอบเท่านั้นเองไม่ใช่จักรวาลอัน ๑ โลกธาตุอัน ๑
    ๒. ท่านว่าจักรวาลหรือโลกธาตุนั้นมีมากนัก ช่องว่างในระหว่างจักรวาล ๓ จักรวาลต่อกัน มีโลกันตนรก ๑
    ทุกแห่งไป โดยนัยนี้ คำว่า โลกันตนรก ก็แปลว่า นรกอันตั้งอยู่ในช่องระหว่างจักรวาล ๓ อันนั่นเอง
    ------------------
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "จูฬนีสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๒๑๕ เล่ม ๒๐ ว่า
    จักรวาล ประกอบด้วยดวงจันทร์ โลก ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลายโคจร ไปร่วมกัน จะมีขุนเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) (เป็นภูเขาทิพย์ที่เห็นได้เฉพาะผู้มีอภิญญา) ทวีปต่างๆ ที่ตั้งชื่อกันในสมัย
    นั้นคือ ชมพูทวีป อปรโคยานทวีป อุตรกุรุทวีป และปุพพวิเทหทวีป มหาสมุทรทั้ง ๔ (นับกันได้ในสมัยนั้น) มีนรกขุมต่างๆ สวรรค์ชั้นต่างๆ และพรหมโลกชั้นต่างๆ
    โลกธาตุ มี ๓ ขนาด คือ โลกธาตุอย่างเล็กมีจำนวนพันจักรวาล โลกธาตุอย่างกลางมีจำนวนล้านจักรวาล โลกธาตุอย่างใหญ่มีจำนวน แสนโกฏิจักรวาล
    ทั้งโลกธาตุอย่างเล็กก็ดี อย่างกลางก็ดี อย่างใหญ่ก็ดี ยังมีอีกจำนวนมากมาย "ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกดับไปในที่สุด"
    กำเนิดของโลกพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "อัคคัญญสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๖๑ เล่ม ๑๑ ว่า เกิดมีน้ำขึ้นในห้วงอวกาศอันมืดมิดก่อนแล้วนานๆไปเกิดการรวมตัวงวดเข้าเป็นง้วนดิน แล้วพัฒนาเป็นกระบิดิน ต่อไปเป็นเครือดิน จากนั้นมีต้นข้าวและพืชทั้งหลายเกิดขึ้น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หมู่ดาว นรกขุมต่างๆ เทวโลก และพรหมโลกชั้นต่างๆ ก็เกิดขึ้นเอง
    กำเนิดชีวิตพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "เพราะมีความอยาก จึงมีการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลขึ้นมา เมื่อไม่มีความอยากการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลก็ไม่มี"
    กำเนิดชีวิตในจักรวาลอื่น ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยังถกเถียงกันอยู่ว่ามีหรือไม่มี ? และยังคงไม่มีใครสามารถสร้างเครื่องมือติดต่อค้นหาเพื่อตอบคำถามนี้ได้ แต่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แน่นอนมากว่าสองพันปีแล้วว่า "มี"

    นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า "ดวงอาทิตย์ มีเส้นผ่าศูยน์กลางประมาณ ๑,๔๐๐,๐๐๐ กิโลเมตร หรือโตกว่าโลกประมาณ ๑๐๙ เท่า มีน้ำหนักประมาณ ๒ x ๑,๐๓๐ กิโลกรัม (หรือ ๒๐ ตามด้วย ๐ จำนวน ๓๐ ตัว) เนื้อตัวทั้งหมดของดวงอาทิตย์เป็นธาตุไฮโดรเจนซึ่งเป็นธาตุเบา เผาไหม้ตัวเองด้วยปฏิกิริยา เทอร์โมนิวเคลียร์ จากภายในใจกลางออกมาไม่ใช่เผาไหม้เฉพาะพื้นผิว สิ้นมวลของตัวเองวินาทีละ ๔ ล้านตัน เผาไหม้อย่างนี้มาแล้ว ๕,๕๐๐ ล้านปี และจะเผาไหม้อย่างนี้ต่อไปอีก ๕,๕๐๐ ล้านปี" เมื่อเป็นเช่นนี้ลองคิดดูว่าวันหนึ่งมีกี่วินาที ? ต่อให้ดวงอาทิตย์หรือดาวฤกษ์นั้นใหญ่โตขนาดไหนก็ตาม น่าจะย่อยยับหมดสิ้นภายในวันเดียว แต่ดวงอาทิตย์หรือดาวฤกษ์นั้นก็ยังอยู่ยืนยาวมานานนับพันๆล้านปี โดยยังมีขนาดเท่าเดิม " นี้คือความมหัศจรรย์ที่ยังคงเหนือการพิสูจน์
    อีกอย่างหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์คาดคะเนว่า "เวลาอันยาวนานในอนาคต ดวงอาทิตย์จะขยายตัวบวมขึ้นจนมีขนาดโตถึงวงโคจรของโลก แล้วกลืนกินโลกและดาวเคราะห์วงในทั้งหมด และเมื่อเวลายาวนานอีกต่อไปก็จะค่อยๆยุบตัวลงกลายเป็นดาวแคระ คือจะมีขนาดเล็กลงเท่าโลกแต่มีความร้อนจัด ดาวฤกษ์บางดวงก็ยุบตัวลงเป็นดาวนิวตรอนที่มีขนาดเส้นผ่าศูยน์กลางเพียง ๒๕-๓๐ กิโลเมตร และดาวฤกษ์บางดวงก็ยุบตัวลงเป็นหลุมดำ"

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ในอนาคตอันยาวไกลในสุริยะจักรวาล จะมีดวงอาทิตย์เกิดขึ้นเองเพิ่มขึ้นทีละดวงๆ จนครบ ๗ ดวง แล้วเผาไหม้โลกและดาวเคราะห์บริวารทั้งหมด นรกทุกขุม สวรรค์ทุกชั้น และพรหมโลกชั้นต่ำๆ รวมทั้งดวงอาทิตย์ทั้ง ๗ ดวงนั้น ก็พินาศไปด้วย แล้วก็จะมีแต่ความมืดมิดจนนานแสนนาน ก็ก่อตัวขึ้นมาใหม่อีก" (สุริยะสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ หน้า ๘๓)

    นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย คือปุถุชนผู้ที่ยังมีกิเลสตัณหา ตั้งทฤษฎีมาจากการคาดคะเน การนึกคิด การเดา การสันนิษฐาน การค้นคว้าทดลอง การสังเกตจดจำ การใช้เครื่องมือและอุปกรณ์เป็นจำนวนมาก แต่ทฤษฎีเหล่านั้นก็ยังไม่ตายตัว พร้อมที่จะถูกลบล้างได้ตลอดเวลา
    พระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือบุคคลพิเศษ วิเศษ เป็นอัจฉริยะมนุษย์ เป็นบุคคลเอกที่ไม่มีใครเสมอเหมือน เป็นผู้สิ้นกิเลสตัณหา เป็นผู้มีญาณวิเศษรู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นผู้ตรัสรู้ เป็นผู้รู้แจ้งโลก ดังนั้นพระสูตรหรือทฤษฎีต่างๆที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว จึงตายตัวไม่มีใครลบล้างได้
    -----------------------------
    ลักษณะของจักรวาล คือ มีเขาสิเนรุเป็นแกนกลาง มี เขาสัตตบริภัณฑ์ คือ เขาล้อมรอบ ๗ ชั้น ซึ่งมี สีทันดรมหาสมุทร คั่นอยู่ในระหว่าง ตั้งเป็นรูปร่างขึ้นไว้ก่อน ภูมิสวรรค์อยู่พ้นทวีปทั้งหลายซึ่งเป็นที่อยู่ของมนุษย์ เช่น ชมพูทวีปซึ่งมีอินเดียเป็นศูนย์กลาง จึงอยู่พ้นป่าหิมพานต์ พ้นภูเขาหิมวันตะหรือ หิมาลัย พ้นมหาสมุทรแห่งทวีปทั้งปวง แล้วถึงภูเขาสัตตบริภัณฑ์ ตั้งต้นแต่ภูเขาสุทัสสนะ จนถึงภูเขาอัสสกัณณะ จึงเป็นอันถึงสวรรค์ชั้นที่ ๑ เพราะยอดเขาสัตตบริภัณฑ์เหล่านี้เองเป็นที่อยู่ของท้าวมหาราช ๔ องค์กับบริวาร นับเป็นสวรรค์ชั้นที่ ๑ เรียกว่า จาตุมหาราชิก

    ท้าวมหาราช ๔ องค์นี้ แบ่งกันครอบครอง ดั่งนี้
    ๑)ด้านทิศตะวันออกของเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ ท้าวธตรัฏฐะ มีพวกคนธรรพ์เป็นบริวาร (ถัดออกไปเป็นปุพพวิเทหทวีป)
    ๒)ด้านทิศใต้เป็นที่อยู่ของ ท้าววิรุฬหก มีพวกกุมภัณฑ์เป็นบริวาร (ถัดออกไปเป็นชมพูทวีป) พวกกุมภัณฑ์นี้ ท่านอธิบายว่าได้แก่ ทานพรากษส
    ๓)ด้านทิศตะวันตกของเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ ท้าววิรูปักข์ มีพวกนาคเป็นบริวาร (ออกไปเป็น อมรโคยานทวีป)
    ๔)ด้านทิศเหนือของเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ ท้าวกุเวร มีพวกยักษ์เป็นบริวาร (ถัดออกไปเป็นอุตตรกุรุทวีป)

    ท้าวมหาราชที่ ๔ ครองอยู่ ๔ ทิศของเขาสิเนรุ มีกล่าวถึงใน อาฏานาฏิยสูตร หน้าที่ของท้าวมหาราชที่ ๔ และบริวารตามที่ได้กล่าวไว้ คือเป็นผู้รับด่านหน้าของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อป้องกันพวกอสูรซึ่งเป็นศัตรูของเทพชั้นดาวดึงส์จะยกมาตีเอาถิ่นสวรรค์ชั้นนั้น แต่ใน สุตตันตปิฎก ติกนิบาต ได้มีแสดงหน้าที่ให้เป็นผู้ตรวจ ซึ่งเป็นที่อยู่ของหมู่มนุษย์อีกด้วย แสดงเป็นพระพุทธภาษิตมีความว่า ในวัน ๘ ค่ำแห่งอมาตย์บริษัทของท้าวมหาราชทั้ง ๔ เที่ยวตรวจดูโลก ในวัน ๑๔ ค่ำแห่งปักข์ บุตรทั้งของท้าวมหาราชทั้ง ๔ เที่ยวตรวจดูโลก ในวัน ๑๕ ค่ำแห่งปักษ์ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ตรวจดูโลกเองว่าพวกมนุษย์พากันบำรุงบิดามารดา บำรุงสมณพราหมณ์ เคารพนบน้อมผู้ใหญ่ในตระกูล รักษาอุโบสถ ทำบุญกุศล มีจำนวนมากด้วยกันอยู่หรือ เมื่อตรวจดูแล้ว ถ้าเห็นว่ามีจำนวนน้อย ก็ไปบอกแก่พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ซึ่งประชุมกันใน สุธรรมสภา พวกเทพชั้นดาวดึงส์ เมื่อได้ฟังดั่งนั้นก็มีใจหดหู่ว่า ทิพยกายจักลดถอย อสุรกายจักเพิ่มพูน แต่ถ้าเห็นว่าพวกมนุษย์พากันทำดี มีบำรุงมารดาบิดาเป็นต้น เป็นจำนวนมาก ก็ไปบอกแก่พวกเทพชั้นดาวดึงส์เหมือนอย่างนั้น พวกเทพชั้นดาวดึงส์ก็พากันมีใจชื่นบานว่า ทิพยกายจักเพิ่มพูน อสุรกายจักลดถอย ๑

    ท้าวมหาราชทั้ง ๔ มีหน้าที่เป็น จตุโลกบาล คือ เป็นผู้คุ้มครองโลกทั้ง ๔ ทิศ ตามที่เชื่อถือกันมาเก่าก่อนพระพุทธศาสนา แต่เมื่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นแล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดง ธรรมเป็นโลกบาล คือ คุ้มครองโลกไว้ ๒ ข้อ คือ หิริ ความละอายใจ ที่จะทำชั่ว โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อความชั่ว เพราะเหตุนี้ จึงไม่กล่าวให้ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ทำหน้าที่คุ้มครองโลกโดยตรง จะไม่กล่าวถึงเลยก็จะขัดขวางต่อความเชื่อของคนทั้งหลายจนเกินไป จึงกล่าวเปลี่ยนไปให้มีหน้าที่เที่ยวตรวจดูโลกมนุษย์ ว่าได้พากันทำดีมากน้อยอย่างไร แล้วก็นำไปรายงานพวกเทพชั้นดาวดึงส์ พวกเทพชั้นนั้นได้รับรายงานแล้วก็เพียงแต่มีใจชื่นบานหรือไม่เท่านั้น เห็นได้ว่าท่านผู้รวบรวมร้อยกรองเรื่องนี้ไว้ในพระสุตตันตปิฎก ต้องการจะรักษาเรื่องเก่าที่คนส่วนมากเชื่อถือ ด้วยวิธีนำมาเล่าให้เป็นประโยชน์ในทางตักเตือนให้ทำดี เหมือนอย่างที่มีคำเก่ากล่าวไว้ว่า ถึงคนไม่เห็น เทวดาก็ย่อมเห็น คือ สดงจตุโลกบาลที่เขาเชื่อกันอยู่แล้วในทางที่อาจเข้าใจเป็นธรรมาธิษฐาน ซึ่งเป็นข้อมุ่งหมายโดยตรง ถึงจะเชื่อว่ามีตัวตนอยู่จริงและคอยมาตรวจดูโลกว่า ใครทำดีไม่ดีอย่างไรก็ไม่เสียหาย กลับจะดีเพราะจะได้เกิดละอายกลัวเกรงว่า จตุโลกบาลจะรู้จะเห็นว่าทำไม่ดี หรือไม่ทำดี เป็นอันหนุนให้เกิดหิริโอตตัปปะขึ้นได้ ผู้ที่ไม่ยอดเชื่อเสียอีกอาจจะร้ายกว่า เพราะไม่มีที่ละอายยำเกรง เว้นไว้แต่จะมีภูมิธรรมในจิตใจดีอยู่แล้ว หรือมีที่ละอายยำเกรงอย่างอื่นแทนอยู่ วันที่ท่านกล่าวว่าจตุโลกบาลมาตรวจดูโลก เดือนหนึ่งมีไม่กี่วัน ดูเหมือนจะน้อยไป แต่คงไม่หมายความว่าตรวจกรรมของคนเฉพาะวันนั้น วันอื่นไม่เกี่ยวข้องด้วย ควรเข้าใจว่า ตรวจดูรู้ย้อนไปถึงวันอื่นๆ ในระหว่างที่ไม่ได้ลงมานั้นด้วย ตัวของเราเองทุกๆคนนึกย้อนตรวจดูกรรมของตนเองภายใน ๗ วันยังจำได้ ไฉนโลกบาลจะไม่รู้กรรมที่ตนเองทำ แม้จะลืมไปแล้ว โลกบาลก็ต้องรู้ เมื่อเชื่อว่าโลกบาลมีจริง ก็ควรจะเชื่ออย่างนี้ด้วย จึงจะเป็นโลกบาลที่สมบูรณ์ สรุปลงแล้วทำความเข้าใจว่า โลกบาลมาตรวจตราดูที่จิตใจนี้เอง จะเกิดประโยชน์มาก.
    ตามหลักในการจัดภูมิต่างๆ สัตว์ดิรัจฉานเป็นอบายภูมิต่ำกว่าภูมิมนุษย์และสวรรค์ พระอาจารย์จึงกล่าวว่าในสวรรค์ไม่มีสัตว์เดียรัจฉาน การเกิดในสวรรค์ เกิดโดยอุปปาติก กำเนิดอย่างเดียว จึงน่ามีปัญหาว่า พวกนาคซึ่งเป็นบริวารของท้าวมหาราชจะจัดว่าเป็นภูมิอะไร นอกจากนี้ บริวารของท้าวมหาราชจำพวกอื่น เช่น พวกกุมณฑ์ ก็มีลักษณะพิกล ยักษ์บางพวกก็ดุร้าย เป็นผีเที่ยวสิงมนุษย์ก็มี ดูต่ำต้อยกว่าภูมิมนุษย์ แต่ก็อยู่ในสวรรค์ชั้นหนึ่งนี้ด้วย ตามที่กล่าวมานี้ น่าเห็นว่าเก็บเอามาจากเรื่องเก่าๆ จึงฟังไม่สนิทตามหลักการจัดภูมิต่าง ๆ ดั่งกล่าว
    --------------------------------
    ชมพูทวีป หมายถึง โลกมนุษย์ทั้งหมด ไม่ใช่อินเดีย-เนปาล อย่างที่หลายๆคนเข้าใจ ดังมีหลักฐานที่พระพุทธเจ้าแสดงดังนี้

    ทวีปต่างๆในจักรวาล
    ๑) ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -มีธาตุมรกตอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุมรกตทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของชมพูทวีปมีสีน้ำเงินแกมเขียว
    -มนุษย์ที่ชมพูทวีป มีความสูง ๔ ศอก มีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี (อาจตายก่อนอายุได้ ไม่แน่นอน)
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ อายุยิ่งหย่อนขึ้นอยู่กับคุณธรรม ไม่แน่นอน
    -สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระวิปัสสี" มนุษย์ในชมพูทวีปมีอายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปี
    -สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระเรวะตะ" มนุษย์ในชมพูทวีปมีความสูงถึง ๘๐ ศอก
    -แต่เมื่อคุณธรรมเสื่อมลง จิตใจหยาบช้าลง อาหารเลวลง อายุก็ลดลง ร่างกายก็เตี้ยลง
    -ต่อไปภายภาคหน้ามนุษย์ในชมพูทวีป จะมีอายุเพียง ๑๐ ปี เท่านั้น และตัวจะเตี้ยถึงขนาดต้องสอยมะเขือกิน เรียกยุคนั้นว่า "ยุคทมิฬ" เป็นยุคที่เสื่อมที่สุดของ "ชมพูทวีป"
    -ดอกไม้ประจำชมพูทวีปคือ "ชมพู (ไม้หว้า)" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกว่า "ชมพูทวีป" เพราะดอกไม้ประจำทวีปนี้คือ ดอก "ชมพู"
    -ชมพูทวีป เป็นทวีปเดียวที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ต้องมาตรัสรู้ที่ทวีปนี้เท่านั้น

    ๒) อมรโคยานทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -เป็นแผ่นดินกว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ ประกอบด้วยเกาะ และแม่น้ำใหญ่น้อย
    -มีธาตุแก้วผลึกอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุแก้วผลึกทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอมรโคยานทวีปมีสีแก้วผลึก
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์ครึ่งซีก มีใบหน้าวงกลม คล้ายวงพระจันทร์ คนหน้าเหมือนดั่งเดือนแรม จมูกโด่ง คางแหลม
    -มนุษย์ที่อมรโคยานทวีป มีความสูง ๖ ศอก มีอายุ ๕๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -ดอกไม้ประจำอมรโคยานทวีปคือ "กะทัมพะ (ไม้กระทุ่ม)"

    ๓) ปุพพวิเทหะทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -เนื้อที่กว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ มีเกาะ ๔๐๐ เกาะ
    -มีธาตุเงินอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุเงินทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของปุพพวิเทหะทวีปมีสีเงิน
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์เต็มดวง คนหน้ากลมเหมือนดวงจันทร์ มีใบหน้าตอนบนโค้งตัดลงมาเหมือนบาตร
    -มนุษย์ที่ปุพพวิเทหะทวีป มีความสูง ๙ ศอก มีอายุ ๗๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -ดอกไม้ประจำปุพพวิเทหะทวีปคือ "สิรีสะ (ไม้ทรึก)"

    ๔) อุตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม เนื้อที่กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ เป็นที่ราบ
    -มีธาตุทองคำอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุทองคำทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอุตรกุรุทวีปมีสีเหลืองทอง
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ รูปร่างงาม มีลักษณะใบหน้าเป็นรูป ๔ เหลี่ยม รักษาศีล ๕ เป็นนิจ ไม่ยึดถือสมบัติ บุตร ภรรยา สามี ว่าเป็นของๆตน
    -มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป มีความสูง ๑๓ ศอก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -มีต้นไม้นานาชนิด ดอกไม้ประจำอุตรกุรุทวีปคือ "กัปปรุกขะ (กัลปพฤกษ์)" ถ้าอยากได้อะไร ก็ไปนึกเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์ จะสมปรารถนา
    -มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป เมื่อตายจากทวีปนี้ ทุกคนจะได้ไปเกิดใน "เทวภูมิ ชั้นตาวติงสาห์ภูมิ" ทุกๆคน เป็นกฏตายตัว
    -ในภาษาบาลี "อุตร" แปลว่า "เหนือ" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกทวีปนี้ว่า "อุตรกุรุทวีป
     
  2. เทพธรรมสมาบัติ๙มรรคา

    เทพธรรมสมาบัติ๙มรรคา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +30
    ผู้รู้ก็มี ผู้ไม่รู้ก็มี ผู้เคยอ่านก็มี ผู้ไม่เคยอ่านก็มี ผู้เคยเห็นก็มี ผู้ไม่เคยเห็นก็มี ผู้บรรลุธรรมก็มี ผู้ไม่บรรลุธรรมก็มี ผู้มีบารมีได้วิโมกข์๘ก็มี ผู้มีบารมีได้อภิญญา๖ก็มี ผู้มีบารมีได้ปฏิสัมภิทา๔ก็มี ผู้มีบารมีได้วิชา๓ก็มี ผู้มีบารมีได้สุขวิปัสโกก็มี แล้วคนที่ไม่ได้อะไรเลยจะรู้อะไรถ้าการทำให้แจ้งคุณวิเศษมันง่ายทั้งโลกก็คงมีแต่พระอรหันต์ทั้งนั้น
     
  3. เทพธรรมสมาบัติ๙มรรคา

    เทพธรรมสมาบัติ๙มรรคา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +30
    ผมไม่กล้าที่จะเอาคำพูดของตัวเองมาเสนอให้คนอื่นอ่านครับ ถ้าไม่ยึดคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วจะให้ไปยึดอะไร ถ้าการเอาคำสอนในพระไตรปิฎกมาเผยแผ่ไม่ดีแล้วจะให้เอาคำสอนที่ไหนมาเผยแผ่จึงจะดี หรือท่านเองบรรลุธรรมเห็นแจ้งในทุกสิ่งแล้วถึงจะได้ไม่ต้องอ้างคำสอนของพระพุทธเจ้า
     
  4. Sinderking

    Sinderking เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +673
    ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ เจ้าของกระทู้
     
  5. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ขอบคุณ และเป็นกำลังใจให้ จขกท. นำคำสอนหรือบทความ ที่มีประโยชน์มาแสดงครับ ^-^
     
  6. เทพธรรมสมาบัติ๙มรรคา

    เทพธรรมสมาบัติ๙มรรคา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +30
    ถ้าเป็นแบบนั้นการที่พระสงฆ์ทั่วไปสอนธรรมแก่ประชาชนก็ผิดนะสิยกเว้นว่าท่านได้บรรลุธรรมอันมีคุณวิเศษแล้ว
     
  7. เทพธรรมสมาบัติ๙มรรคา

    เทพธรรมสมาบัติ๙มรรคา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +30
    ผมพอจะเข้าใจท่านและว่าท่านคงอยากจะให้ผมตั้งกระทู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับการพ้นทุกข์แต่ความรู้บางอย่างถึงแม้ว่าไม่เกี่ยวกับการพ้นทุกข์แต่ถ้ารู้ไว้ก็ใช่ว่าจะเสียหายอะไรรู้ไว้ก็ยังดีกว่าไม่รู้ ดังนั้นผมจะขอเชื่อมโยงกับกระทู้ที่ผมตั้งไว้ทีแรกคือว่าถ้ามีใครรู้ว่าความกว้างใหญ่ของจักวาลหรือโลกธาตุนั้นมีเพียงใด บางคนถ้ามีมานะถือตนว่าใหญ่แล้วลองเอาตัวเองไปเทียบกับความใหญ่ของจักรวาลดูแม้จักรวาลจะใหญ่ก็ยังมีการเกิดดับ มีการเสื่อมสลาย การเปลี่ยนแปลง การไม่ยั่งยืน การเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถึงตัวเราเองก้คงไม่รอดเช่นกัน ถ้าใครมีมานะถือว่าตัวเองรู้มากก็น้อมนำไปพิจารณาถึงสิ่งที่เราไม่รู้ภายนอกโลกมีอีกมากก็อาจจะทำให้คนนั้นถ่อมตนเรื่องความรู้ก็เป็นได้ เมื่อเชื่อมโยงมาแบบนี้ยังพอที่จะเป็นเหตุให้พ้นทุกข์รึเปล่าครับ
     
  8. เบิ่งกายเบิ่งจิต

    เบิ่งกายเบิ่งจิต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +5
    ขอให้คุณเจ้าของกระทู้นำความรู้ดีๆอย่างนี้มาลงอีกนะครับเพราะหลายคนก็ยังไม่เคยรู้
     
  9. uglyduckling

    uglyduckling Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +36
    โค๊ชสอนชกมวย สอนให้ชนะเป็นแชมป์โลก
    แต่ตัวเองก็ชกไม่เก่ง ไม่ได้เป็นแชมป์โลก

    หลายสิ่งดีๆ ที่หลายๆคนรู้แต่ทำไม่ได้ก็เยอะ

    เปิดใจให้กว้าง

    มองโลกแบบนี้มันแคบไปนะ

    คุณพายุทะเลทรายอาจจะยังเด็ก เลยอาจจะควบคุม EQ ได้ไม่ดีพอ

    หมั่นฝึก EQ ต่อไปจะดีขึ้นเอง เห็นมาหลายกระทู้แล้ว
     
  10. neo1982

    neo1982 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +17
    คุณ พายุทะเลทรายครับ
    บางครั้งคนเรามองต่างมุม นะครับ พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า อย่าไปเพ่งโทษ ผู้อื่น ดูตัวเองให้ดีเถิด
    ขณะที่ คุณ มองว่า เจ้าของงกระทู้ นำ ข้อความ ในพระไตรฯ มาเผยแพร่ แบบนี้ มันไม่มีประโยชน์ เป็นเมือนใบไม้นอกกำมือ
    แต่ บางครั้ง มันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไปครับ เมื่อก่อน ที่ผมจะศึกษาและปฏิบัติ ผมก็ได้อ่าน เรื่องราวเหลือเชื่อ ประวัติ พระพุทธเจ้า และอื่นๆ จนทำให้เกิดความเลื่อมใส ศรัทธา
    และ เกิดความคิดที่อยากรู้ว่ามันจริงไหม ไม่อยากแค่อ่านและจินตนาการเอา เลย คิดที่จะลงมือปฏิบัติ เพื่อรู้ให้ได้ ด้วยตัวเอง เพื่อคลายสงสัย

    ความศรัทธาและความเชื่อ เป็นแรง จูงใจ ในการปฏิบัติ ที่ มีพลัง มากพอสมควรนะครับ
    สิ่งที่คุณมองว่าไร้ สาระ บางที มันอาจจะมีประโยชน์กับคนอื่นก้ได้ ผมพูดแค่นี้ละครับ ถ้าไม่เข้าใจก้จน ปัญญา
    อย่าเอาตัวเองเป็น ศุนย์กลางของจักรวาล สิ่งที่คุณ คิด คุณทำ ไม่ใช่ว่าจะถูกต้องคนเดียวเสมอไป เส้นทางถึงจุดหมายก้มีหลายทาง แล้วแต่นักเดินทางจะเลือกเดิน
     
  11. โอทาตนาค

    โอทาตนาค Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +99
    รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหามนี่ครับ ทุกความรุ้มีประโยชน์นะครับ คนอ่านแล้วก้มีเยอะ คนยังไม่เคยอ่านก็ยังมีอีกมากมาย การช่วยเหลือผู้อื่นให้มี้ความรุ้ก็เป็นกุศลอย่างนึงนะครับ
     
  12. uglyduckling

    uglyduckling Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +36
    หวังคุณพายุทะเลทรายคงจะเข้าใจได้ดีขึ้นนะ ขออนุโมทนาให้คุณพายุทะเลทราย
     
  13. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เลิกทะเลาะกัน แล้วมาฟังผมวิเคราะห์บ้างนะครับ
    เพราะไหนๆพวกเราก็เป้นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งนั้น
    มิหนำซ้ำ พวกเราเองก็ยังเป้นแค่พวกตาบอดคลำช้างกันทั้งนั้นเลย
    ยังมืดบอดไปด้วยอวิชชา คือความไม่รู้ ยังถูกกิเลส ตัณหา ราคะ เกาะกินกะบาลหัวอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน
    และยังมีรัก โลภ โกรธ หลง กันอยู่ทั้งนั้นเลย

    ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องไม่ขุดหาความชั่วของกันและกัน ของเราเองนี่ก็ดูไม่ไหวแล้วหละครับ

    เฮ้อ...!!!
    .........................................................................................................

    ข้อความต่อไปนี้ จากกระทู้นี้นะครับ เป็นข้อความที่ผมเขียนเอาไว้ตั้งแต่ปีมะโว้แล้วหละ
    คือกระทู้ชื่อนี้ หรือเรื่องแบบนี้ ยกข้อความพระไตรปิฎกมากล่าวแบนี้ มันก็มีมาเป็นระยะๆหนะแหละ
    แต่สุดท้ายกระทู้ก็จบลงด้วยการหาข้อสรุปอะไรไม่ได้ เพราะผู้ยกข้อความมากล่าวเองก็ไม่รู้จริง
    คนเข้ามาอ่าน และมาวิเคราะห์อย่างผมนี่ ก็ล้วนไม่มีใครรู้จริง

    มิหนำซ้ำบางกระทู้ ก็จะจบลงด้วยการทะเลาะกันแบบนี้นี่แหละครับ
    มันเป็นธรรมดาๆ ของมนุษย์ขี้เหม็นแบบเราๆนี่แหละครับ

    http://palungjit.org/showthread.php?p=145022

    .....ข้อความเหล่านี่ เป็นบทวิเคราะห์ของคุณ Vicha
    แห่งเวปลานธรรมล้วนๆนะครับ ผมเป็นแค่เพียงผูยกมาให้อ่านเฉยๆครับ...
    (แต่หาลิงค์มาลงไม่เจอแล้วครับ เพราะนามมากแล้ว ตั้งแต่ 22/9/2547 โน่น)
    ................................................................................................

    ...ส่วนที่ 2 เรื่องจักรวาลเปรียบเทียบ จากที่พุทธเจ้าตรัสตรงกับวิทยาศาสตร์ และจากที่สนทนาดังนี้

    1 จักรวาล ทางพุทธ คือ มีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์ นั้นประกอบไปด้วย
    พระจันทร์หนึ่งดวง มีอาทิตย์หนึ่งดวง มีขุนเขาสิเนรุหนึ่ง มีชมพูทวีปหนึ่ง มีอปรโคยานทวีปหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีปหนึ่ง มีปุพพวิเทหทวีปหนึ่ง
    มีมหาสมุทรสี่ มีท้าวมหาราชสี่ มีเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดาวดึงส์หนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาหนึ่ง
    มีเทวโลกชั้นดุสิตพัน มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีหนึ่ง มีพรหมโลกหนึ่ง

    1 สุริยะจักรวาลทางวิทยาศาสตร์ มีดวงอาทิตย์ 1 ดวง และมีดาวเคราะห์หลายดวงเป็นบริวาร โคจรรอบดวงอาทิตย์
    ส่วนดาวเคราะห์นั้นมีดวงจันทร์เป็นบริวารอาจจะมี 1 ดวงหรือมากกว่าหนึ่งดวงก็ได้

    เมื่อแยกมาเปรียบเทียบก็ได้ดังนั้น จักรวาลทางพุทธ มีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์
    กับสุริยะจักรวาลทางวิทยาศาสตร์ ในเชิงเป็นวัตถุที่มนุษย์เห็นได้ก็มีความเข้ากันได้ เพี่ยงแต่ในทางพุทธนั้น
    เป็นการนำเสนอที่มนุษย์ในสมัยนั้นพอเข้าใจได้

    จากที่แยกเปรียบเทียบด้านบน ก็จะได้ 1 จักรวาลทางพุทธ ก็คืออาณาบริเวณที่คลุ่มระบบสุริยะจักรวาลหนึ่งๆ ทางวิทยาศาสตร์นี้เอง

    ต่อไปก็ต้องพิจารณาว่าอาณาบริเวณจักรวาลทางพุทธนั้นมากกว่า ระบบสุริยะจักรวาลมากแค่ไหน

    ทางวิทยาศาสตร์นั้น ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้กับสุริยะจักรวาลของเรา อยู่ห่างไปประมาณ 4.3 ปีแสง ต้องอาศัยการวัดระยะทาง
    และขนาดของโลก ขนาดของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เข้ามาช่วยแล้ว


    1 ปีแสง = 5.88 X 10**12 = 5,880,000,000,000 ไมล์ ( 1 ไมล์ = 1.6 กิโลเมตร)

    โลกมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 7,900 ไมล์

    โลกห่างจากดวงจันทร์ ประมาณ 238,400 ไมล์

    ดวงจันทร์มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 2,163 ไมล์

    โลกห่างจากดวงอาทิตย์ ประมาณ 93,000,000 ไมล์

    ดวงอาทิตย์มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 864,000 ไมล์

    ดวงอาทิตย์ห่างจากดาวฤกษ์ที่ใกล้ที่สุด~25,284,000,000,000 ไมล์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2011
  14. bigboom007

    bigboom007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    319
    ค่าพลัง:
    +570
    อ่านแล้วอยากไปเกิดที่ อุตรกุรุทวีป อิอิ แลจะสบายมากๆเลย
     
  15. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ต่อนะครับ.....

    ...ดังนั้น...ที่ว่า...

    ขนาดของจักรวาล
    จักรวาลอันหนึ่ง โดยยาวและโดยกว้าง ประมาณ ๑,๒๐๓,๔๕๐ โยชน์ (๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร)

    ซึ่งถ้าคิดเป็นกิโลเมตร จะ = 1,203,450 x 16 km = 19,255,200 km.
    หรือ = 19,255,200 km / 1.609 = 11,967,184.5 mile

    และถ้าดูข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ผมยกมาข้างบนนั้นแล้วจะเห็นว่า ขนาดของจักรวาลทางพุทธเรา
    จะเห็นว่ามีขนาดเล็กกว่าระยะทางจากโลกไปถึงดวงอาทิตย์ซะอีก (93,000,000 miles)

    มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน ??????

    ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ไม่ต้องคำนวณแล้วหละครับ...จบ แล้ว

    สรุปว่า...(ในความคิดเห็นของผมเท่านั้นนะครับ)

    เรื่องราวเกี่ยวกับจักรวาลนั้น..
    ศาสนาพุทธเรา เป็นศาสนาที่กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ไม่น่าเชื่อถือเลย!!!

    (ผมเข้าใจว่าท่านจะแย้งว่ายังไง แต่ย้ำนะครับว่า ผมพูดถึงเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับจักรวาลเท่านั้น
    ไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่นเลยนะครับ)

    มันยังคงมีความบกพร่อง ความไม่สมบูรณ์แบบอยู่ในตัวมันเอง
    เพราะมันก็คือ"ตำรา" ชุดหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งโดยธรรมดาแล้ว ตำรา ก็มักจะเป็นเช่นนี้เอง

    จบครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2011
  16. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ย้อนระลึกอดีตครับ
    วันนี้ไม่รู้เป็นยังไง
    อยากย้อนระลึกอดีตทั้งวันเลย

    เฮ้อ...

    ................................
     
  17. Leonidas 1

    Leonidas 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2007
    โพสต์:
    157
    ค่าพลัง:
    +188
    ผมไม่ทราบจริงๆนะว่า ชาติไหนที่คิดหลักการวัดระยะทางเป็นกิโล ยอมรับว่าโง่!! แต่หลักการวัดเป็นโยชน์อ่ะ มีใช้ในอินเดีย อันนี้ OK และก้อมีคนมาเทียบว่า 16 กิโล เท่ากับ 400 เส้น หรือ 1 โยชน์ แต่เท่าที่ผมเคยอ่านในหนังสือธัมมวิโมกข์นะ ฉบับไหนไม่ทราบ ลืมแล้ว หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเคยบอกว่า เวลาคนอินเดียในสมัยพุทธกาลหรือก่อนนั้นวัดระยะทางอ่ะ ถ้าบอกกันเป็นโยชน์ก้อแปลว่าไกลมาก มากกว่า 16 กิโลเสียอีกมั๊ง! เพราะฉะนั้น ผมคิดว่า ควา่มยาวและความกว้างของจักรวาลที่อยู่ในพระไตรปิฏก คงจะคำนวณคาดคะเนตามหลักวิชาการสมัยนี้ไม่ได้เลย คิดว่านะ
     
  18. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571
    จัดไปให้เข้ากับ บรรยากาศ

    ของ Enya ....Boadicea

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=GIKzo_6CHhA"]Enya-Boadicea - YouTube[/ame]
     
  19. เทพเมรัย

    เทพเมรัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +80
    ในเรื่องระยะทางและขนาดของจักรวาลตามคติความเชื่อของพุทธ(จากไตรปิฎก) และจากวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน มีความแตกต่างกันมาก ของพุทธจักวาลมีขนาดเล็กนิดเดียว (ถ้าเทียบ 1 โยชน์ = 16 km) ดังที่คุณ chayutt เปรียบเทียบไว้

    แต่ผมกลับคิดว่า งานนี้ไม่มีใครผิด ถ้านำเอาทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์มาจับ เรื่องระยะทาง เวลา และขนาด สัมพัทธภาพบอกเราว่าทั้ง 3 อย่าง ไม่มีอยู่จริง เปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นกับปัจจัยต่างๆและผู้สังเกตุการณ์ หรือภาษาธรรมเรียกว่า มายา

    วิทยาศาสตร์ที่เราเรียนรู้กันอยู่นี้ มีพื้นฐานมาจากการยอมรับระบบประสาทสัมผัสของมนุษย์(อายตนะ) เป็นหลัก ซึ่งการรับรู้เช่นนี้ มีขีดจำกัดอย่างมาก (ถ้ามากไปกว่านี้ ยอมรับไม่ค่อยได้ เพราะอายตนะรับไม่ไหว) เช่น เรื่องของเวลา ไอน์สไตน์บอกเราว่า ยิ่งเราเคลื่อนที่เร็วเท่าไหร่ เวลาจะช้าลง ขนาดของเราจะเล็กลงเรื่อยๆ แต่มวลของเราจะเพิ่มขึ้นๆ จนถึงความเร็วใกล้แสง เวลาเกือบจะเป็น 0 ระยะทางจะไม่มีความหมาย น้ำหนักตัวของเราเกือบเท่ากับจักรวาล เรื่องเช่นนี้ อายตนะปกติของเราไม่มีวันนึกสภาพออก และสมองเราจะไม่ยอมรับว่ามันเป็นไปได้อย่างไร (แต่มันก็เป็นไปแล้ว)

    ถ้าพระพุทธเจ้าจะวัดขนาดและระยะทางของจักรวาล พระองค์จะใช้เครื่องมือใดในการวัด (สมัยนั้นไม่น่าจะมี GPS หรือเลเซอร์ วัดระยะทาง) ผมคิดว่า พระองค์น่าจะใช้ทศพลญาณ ในการวัด ก็ใช้ความรู้ที่เกิดจากญาณนั่นแหละ ซึ่งความรู้จากทศพลญาณก็อยู่เหนืออายตนะปกติของมนุษย์ออกไป และการรู้เห็นจัรกวาลผ่านทศพลญาณ คงไม่เหมือนที่เราเห็นจักรวาลด้วยตาเนื้อเป็นแน่แท้ (เช่น ถ้าเราใช้กล้องอินฟาเรดส่องดู จะเห็นจักรวาลเป็นอีกแบบหนึ่ง) จักรวาลที่พระพุทธเจ้าเห็น ต้องเป็นการเห็นในระดับที่เป็นจริงมากขึ้น ไม่ใช่มายาภาพอย่างที่เราเห็นผ่านอายตนะ ดังนั้น ทั้งรูปร่าง ขนาด ระยะทาง ของจักรวาลในทรรศนะของพระพุทธเจ้า ย่อมไม่เหมือนที่ตามนุษย์หรือกล้องของนักวิทยาศาสตร์มองเห็น พระองค์จึงเปรียบเทียบระยะทาง ขนาด ตามมาตราวัดของคนในสมัยนั้นให้เข้าใจ (ส่วนมากมักไม่น่าจะเข้าใจ เพราะขนาดมันใหญ่มากๆ อย่าลืมว่าในสมัยนั้น การเห็นของมนุษย์มีข่้อจำกัด)

    ดังนั้น ในเมื่อเห็นคนละอย่าง ก็ย่อมแปลความออกมาคนละอย่าง ดั่งที่ว่า นี่เหรียญเงินสิบบาทใช่ไหม บางคนตอบว่าใช่แล้ว แต่บางคนตอบว่า มันคือแร่ธาตุนิกเกิลผสมตะกั่วเท่านั้นเอง
     
  20. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    แล้วอันนี้หละครับ?

    "แผ่นดิน" หนาเท่านั้น เท่านี้
    ซึ่งมี "แผ่นน้ำ" รองรับแผ่นดินอีกที หนาเท่านั้น เท่านี้

    ใต้แผ่นน้ำ ก็มี "ลม" รองรับอีกที หนาเท่านั้น เท่านี้

    สรุปว่า ตามตำราที่ว่ามานี้ ทุกอย่างแบนหมด ไม่มีอะไรที่เป็นทรงกลมเลย
    แม้แต่โลก และ จักรวาลก็ตาม..


    อ้างอิง..

    ขนาดของจักรวาล
    จักรวาลอันหนึ่ง โดยยาวและโดยกว้าง ประมาณ ๑,๒๐๓,๔๕๐ โยชน์ (๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร)
    ส่วนโดยรอบปริมณฑลทั้งสิ้น (ของจักรวาลนั้น) ประมาณ ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์

    ขนาดหนาของแผ่นดิน ในจักรวาลนั้น
    แผ่นดินนี้ กล่าวโดยความหนา มีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์

    ขนาดหนาของน้ำรองแผ่นดิน สิ่งที่รองแผ่นดินนั้นหรือ
    คือน้ำอันตั้งอยู่บนลม โดยความหนามีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์

    ขนาดความหนาของลมรองน้ำ
    ลมอัน (พัดดัน) ขึ้นฟ้า (โดยความหนา) มีประมาณ ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ นี่เป็นความตั้งอยู่พร้อมมูลแห่งโลก

    ขนาดภูเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) และต้นไม้ประจำทวีป
    อนึ่ง ในจักรวาลที่ตั้งอยู่พร้อมมูลอย่างนี้นั้น มี
    ภูเขาสิเนรุอันเป็นภูเขาสูงที่สุด หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็ประมาณเท่ากันนั้น
    ภูเขาใหญ่ทั้งหลาย คือภูเขายุคันธร ภูเขาอิสินธร ภูเขากรวีกะ ภูเขาสุทัสสนะ ภูเขาเนมินธระ
    ภูเขาวินตกะ ภูเขาอัสสกัณณะ อันตระการไปด้วยรัตนะหลากๆ ราวกะภูเขาทิพย์ หยั่ง (ลึก) ลงไป
    (ในมหาสมุทร) และสูงขึ้นไป (ในฟ้า) โดยประมาณกึ่งหนึ่งแต่ประมาณแห่งภูเขาสิเนรุไปตามลำดับ
    ภูเขาใหญ่ทั้ง ๗ นั้น (ตั้งอยู่) โดยรอบภูเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ (จาตุ)มหาราช เป็นที่ๆ เทวดา และยักษ์อาศัยอยู่...

    ................................................
     

แชร์หน้านี้

Loading...